พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

สิทธิอำนาจของพระเจ้า (2)

วันนี้เราจะมาสานต่อการสามัคคีธรรมของเราในหัวข้อ “พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์” เราได้สามัคคีธรรมกันในหัวข้อนี้ไปแล้วสองคราว คราวแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า และคราวที่สองเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  หลังจากที่ได้รับฟังการสามัคคีธรรมทั้งสองคราวนี้แล้ว พวกเจ้าได้รับความเข้าใจใหม่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับพระอัตลักษณ์ พระสถานภาพ และเนื้อแท้ของพระเจ้าหรือไม่?  ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเหล่านี้ช่วยให้พวกเจ้าสัมฤทธิ์ความรู้ที่มีสาระและความมั่นใจในความจริงของการดำรงอยู่ของพระเจ้ามากขึ้นหรือไม่?  วันนี้เรามีแผนการที่จะขยายความในหัวข้อ “สิทธิอำนาจของพระเจ้า”

การเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าจากมุมมองระดับมหัพภาคและจุลภาค

สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นมีเอกลักษณ์ เป็นการแสดงออกถึงคุณลักษณะเฉพาะของพระเจ้าและเป็นแก่นแท้ที่พิเศษของพระเจ้า พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง ชนิดที่ไม่มีในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและไม่ได้ทรงสร้างใดๆ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจประเภทนี้  กล่าวคือ มีเพียงพระผู้สร้าง—พระเจ้าพระผู้ทรงเอกลักษณ์—ที่แสดงออกในหนทางนี้และมีแก่นแท้นี้  ดังนั้นแล้ว เหตุใดพวกเราจึงควรพูดคุยเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้ากันเล่า?  สิทธิอำนาจของพระเจ้าพระองค์เองนั้นแตกต่างจาก “สิทธิอำนาจ” ที่มนุษย์คิดฝันในใจของเขาอย่างไร?  สิทธิอำนาจมีสิ่งใดพิเศษกระนั้นหรือ?  เหตุใดการพูดคุยเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าในที่นี้จึงมีนัยสำคัญเป็นพิเศษ?  พวกเจ้าแต่ละคนต้องพิจารณาประเด็นปัญหานี้อย่างรอบคอบ  สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว “สิทธิอำนาจของพระเจ้า” เป็นแนวคิดที่คลุมเครือ เป็นแนวความคิดที่พึงต้องใช้ความพยายามอันใหญ่หลวงที่จะทำความเข้าใจ และการเสวนาใดๆ ในเรื่องนี้ก็มีแนวโน้มไปในเชิงนามธรรม  ด้วยเหตุนั้นจึงมักจะมีช่องว่างระหว่างความรู้ที่มนุษย์สามารถมีได้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าและแก่นแท้ของสิทธิอำนาจของพระเจ้าอยู่เสมอ  ในการที่จะเชื่อมช่องว่างนี้เข้าด้วยกัน ทุกคนต้องค่อยๆ มาทำความรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ต่างๆ สิ่งต่างๆ  และปรากฏการณ์หลากหลายที่อยู่ภายในขอบเขตของการเอื้อมถึงของมนุษย์และภายในความสามารถที่จะเข้าใจของมนุษย์ในชีวิตจริงของพวกเขา  แม้ว่าวลี “สิทธิอำนาจของพระเจ้า” อาจดูเหมือนมิอาจหยั่งลึกได้ แต่สิทธิอำนาจของพระเจ้าก็ไม่ได้เป็นนามธรรมแต่อย่างใด  พระองค์สถิตอยู่กับมนุษย์โดยตลอดทุกนาทีของชีวิตมนุษย์ ทรงนำทางเขาโดยตลอดในทุกๆ วัน  ดังนั้น ในชีวิตจริงแล้ว บุคคลทุกคนจำเป็นจะต้องมองเห็นและมีประสบการณ์กับแง่มุมที่จับต้องได้มากที่สุดแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า  แง่มุมที่จับต้องได้นี้คือข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้ามีอยู่จริง และยังเปิดโอกาสให้คนเราระลึกรู้และจับใจความได้อย่างครบถ้วนในข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจดังกล่าว

พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา และหลังจากที่ได้ทรงสร้างแล้ว พระองค์ก็ทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  นอกเหนือจากการมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่งแล้ว พระเจ้ายังทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง  แนวคิดที่ว่า “พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง” นี้หมายความว่าอย่างไร?  จะสามารถอธิบายแนวคิดนี้ได้อย่างไร?  แนวคิดนี้ใช้ได้อย่างไรกับชีวิตจริง?  การเข้าใจข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะสามารถนำไปสู่การเข้าใจสิทธิอำนาจของพระองค์ได้อย่างไร?  จากวลีที่ว่า “พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง” นี้นี่เองที่พวกเราควรมองเห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงควบคุมนั้นหาใช่ส่วนหนึ่งของหมู่ดาวเคราะห์หรือส่วนหนึ่งของสิ่งทรงสร้างไม่ และยิ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์ แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง กล่าวคือ จากสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตไปจนถึงสิ่งที่เล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จากสิ่งที่มองเห็นได้ไปจนถึงสิ่งที่มองไม่เห็น จากหมู่ดาวแห่งห้วงจักรวาลไปจนถึงสิ่งต่างๆ ที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลก ตลอดจนเหล่าจุลชีพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ดำรงอยู่ในรูปแบบอื่นๆ  นี่คือนิยามอันเที่ยงตรงของ “ทุกสิ่งทุกอย่าง” ที่พระเจ้าทรง “ควบคุม” เป็นวงเขตแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์ ขอบข่ายแห่งอธิปไตยและกฎเกณฑ์ของพระองค์

ก่อนที่มนุษยชาตินี้จะเกิดขึ้น ห้วงจักรวาล—กล่าวคือ ดาวเคราะห์ทั้งมวลและหมู่ดาวทั้งหมดในฟ้าสวรรค์—ได้ดำรงอยู่มาก่อนแล้ว  ในระดับมหัพภาค เทห์ฟากฟ้าเหล่านี้มีการโคจรอย่างเป็นปกติตลอดมาภายใต้การควบคุมของพระเจ้าสำหรับการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของพวกมัน ไม่ว่าจะผ่านไปหลายปีดีดักอย่างไรก็ตาม  ดาวเคราะห์ใดไปถึงจุดใด ณ เวลาจำเพาะใด ดาวเคราะห์ใดทำหน้าที่ใดและเมื่อใด ดาวเคราะห์ใดโคจรไปตามวงโคจรใด และมันจะอันตรธานหรือถูกแทนที่เมื่อใด—สิ่งทั้งมวลเหล่านี้ดำเนินไปโดยไม่มีความผิดพลาดแม้แต่น้อย  ตำแหน่งของดาวเคราะห์และระยะห่างระหว่างดาวเคราะห์ทั้งหมดเป็นไปตามแบบแผนต่างๆ อันรัดกุม ซึ่งทั้งหมดนั้นสามารถใช้ข้อมูลอันเที่ยงตรงมาพรรณนาได้ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางที่ดาวเคราะห์เดินทางร่วมกันไป ความเร็วและรูปแบบของวงโคจร เมื่อใดดาวเคราะห์จะไปอยู่ตรงตำแหน่งใด—ทั้งหมดนี้สามารถคำนวณได้อย่างเที่ยงตรงและอธิบายด้วยกฎพิเศษต่างๆ ได้  ดาวเคราะห์ทั้งหลายได้ดำเนินตามกฎเหล่านี้มาหลายกัปหลายกัลป์โดยปราศจากการเบี่ยงเบนแม้แต่น้อย  ไม่มีอำนาจใดสามารถเปลี่ยนหรือขัดขวางวงโคจรของพวกมันหรือแบบแผนที่พวกมันดำเนินตามได้  เนื่องเพราะกฎพิเศษต่างๆ ที่กำกับดูแลการเคลื่อนไหวของพวกมันและข้อมูลอันเที่ยงตรงที่อธิบายกฎเหล่านั้นถูกสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ดาวเคราะห์ทั้งหลายจึงทำตามกฎเหล่านี้โดยอัตโนมัติภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระผู้สร้าง  ในระดับมหัพภาค ไม่เป็นการยากที่มนุษย์จะค้นพบแบบแผนบางอย่าง ข้อมูลบางอย่าง และกฎหรือปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดและไม่สามารถอธิบายได้บางอย่าง  แม้มนุษยชาติไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง และไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างได้ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาและทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้ระลึกรู้ถึงการดำรงอยู่แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง กระนั้นก็ตาม เหล่านักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักฟิสิกส์ทั้งหลายของมนุษย์ก็กำลังค้นพบกันมากขึ้นทุกทีว่า หลักการกับแบบแผนที่บงการการดำรงอยู่และการเคลื่อนที่ของทุกสรรพสิ่งนั้น ถูกกำกับดูแลและควบคุมโดยพลังงานมืดอันไพศาลและซ่อนเร้นอย่างหนึ่ง  ข้อเท็จจริงนี้บีบให้มนุษย์ยอมเผชิญหน้าและยอมรับรู้ว่า มีองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงฤทธิ์ในท่ามกลางแบบแผนการเคลื่อนที่เหล่านี้ที่คอยจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งทุกอย่าง  ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นเหนือปกติ และแม้ว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระองค์ได้ พระองค์ก็ทรงควบคุมและครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่งทุกอย่างในทุกชั่วขณะ  ไม่มีมนุษย์หรือกำลังบังคับใดที่สามารถล่วงพ้นอธิปไตยของพระองค์ได้ ครั้นได้เผชิญกับข้อเท็จจริงนี้แล้ว มนุษย์ย่อมต้องระลึกรู้ว่า กฎต่างๆ ที่กำลังกำกับดูแลการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งนั้นไม่สามารถถูกมนุษย์ควบคุมได้ ไม่สามารถถูกใครก็ตามเปลี่ยนแปลงได้ เขาต้องยอมรับอีกด้วยว่า มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าใจกฎเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน และกฎเหล่านี้ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ถูกบงการโดยองค์อธิปไตยองค์หนึ่ง  เหล่านี้คือการแสดงออกทั้งหมดของสิทธิอำนาจแห่งพระเจ้าที่มวลมนุษย์สามารถรับรู้ได้ในระดับมหัพภาค

ในระดับจุลภาคนั้น ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ ทะเล และผืนแผ่นดินทั้งหมดที่มนุษย์อาจมองเห็นบนแผ่นดินโลก ทุกฤดูกาลที่เขาผ่านประสบการณ์ ทุกสรรพสิ่งที่อาศัยแผ่นดินโลกอยู่ รวมถึงพืชพรรณ สัตว์ จุลชีพ และมนุษย์ ล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระเจ้า  ภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระเจ้านั้น ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นหรืออันตรธานไปโดยสอดคล้องกับพระดำริของพระองค์ กฎทั้งหลายเกิดขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ก็เจริญเติบโตและเพิ่มทวีคูณโดยเป็นไปตามกฎเหล่านี้ ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งใดอยู่เหนือกฎเหล่านี้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  มีเพียงคำตอบเดียวก็คือ เป็นเพราะสิทธิอำนาจของพระเจ้า  หรือพูดอีกอย่างว่า เป็นเพราะพระดำริของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า เพราะการกระทำส่วนพระองค์ของพระเจ้าพระองค์เอง  นี่หมายความว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้าและพระกมลของพระเจ้านี่เองที่ให้กำเนิดกฎเหล่านี้ซึ่งขยับย้ายและเปลี่ยนแปลงไปตามพระดำริแห่งพระองค์ การขยับย้ายและการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นหรือเลือนหายไปก็เพื่อประโยชน์แห่งแผนการของพระองค์  ตัวอย่างเช่น การเกิดโรคระบาด  โรคเกิดแพร่ระบาดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า  ไม่มีผู้ใดรู้จุดกำเนิดของพวกมันหรือเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดโรคระบาดจึงเกิดขึ้น  และเมื่อใดก็ตามที่โรคหนึ่งแพร่ระบาดไปถึงบางสถานที่ พวกที่ถูกชี้ชะตาไว้ย่อมไม่สามารถหลีกหนีจากหายนะได้  วิทยาศาสตร์ของมนุษย์เข้าใจว่าโรคระบาดทั้งหลายเกิดจากการแพร่กระจายของจุลินทรีย์ที่ร้ายแรงหรือเป็นอันตราย และวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ไม่สามารถคาดคะเนหรือควบคุมความเร็ว  แนวเขต และวิธีการแพร่เชื้อของพวกมันได้  แม้ผู้คนต่อต้านโรคระบาดโดยใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมได้ว่าผู้คนหรือสัตว์ใดจะได้รับผลกระทบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงเมื่อเกิดการระบาดของโรค  สิ่งเดียวที่มนุษย์ทำได้ก็คือ พยายามป้องกันโรค ต้านทานโรคเอาไว้ และศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพวกมัน  แต่ไม่มีใครรู้มูลเหตุที่อธิบายการเกิดขึ้นหรือการสิ้นสุดของโรคระบาดแต่ละโรค และไม่มีใครสามารถควบคุมพวกมันได้  ครั้นได้เผชิญกับการเกิดขึ้นและการแพร่กระจายของโรคระบาดแล้ว มาตรการแรกที่มนุษย์ใช้ก็คือ การพัฒนาวัคซีนขึ้นมา แต่บ่อยครั้งที่โรคระบาดวายไปเองก่อนที่วัคซีนจะพร้อมใช้  เหตุใดเล่าโรคระบาดจึงสลายตัว?  บ้างก็พูดว่าพวกเชื้อโรคถูกควบคุมไว้ได้แล้ว ในขณะที่คนอื่นพากันพูดว่า พวกมันหายสูญไปก็เพราะการเปลี่ยนไปของฤดูกาล… ในส่วนที่ว่าการคาดเดาส่งเดชเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่นั้น วิทยาศาสตร์กลับไม่สามารถให้คำอธิบายและไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้  มนุษยชาติต้องไม่เพียงให้ความสำคัญกับการคาดเดาเหล่านี้ แต่ต้องให้ความสำคัญกับการขาดความเข้าใจและความหวาดกลัวที่มวลมนุษย์มีต่อโรคระบาดด้วย  ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ไม่มีผู้ใดรู้สาเหตุที่โรคระบาดก่อตัวหรือสาเหตุที่พวกมันจบลง  เนื่องจากมนุษยชาติมีความเชื่อแต่ในวิทยาศาสตร์  วางใจในวิทยาศาสตร์จนหมดสิ้น และไม่ระลึกรู้ถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างหรือยอมรับอธิปไตยของพระองค์ พวกเขาย่อมจะไม่มีวันได้มาซึ่งคำตอบ

ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ทุกสรรพสิ่งถือกำเนิด ใช้ชีวิต และพินาศไปก็เพราะสิทธิอำนาจแห่งพระองค์และการบริหารจัดการของพระองค์  บางสิ่งมาแล้วก็ไปอย่างเงียบเชียบ และมนุษย์ไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันมาจากไหนหรือจับความเข้าใจในแบบแผนที่พวกมันดำเนินตามได้ นับประสาอะไรที่จะเข้าใจเหตุผลต่างๆ ว่าเหตุใดพวกมันจึงมาและไป  แม้ว่ามนุษย์สามารถมองเห็นทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาท่ามกลางทุกสรรพสิ่งด้วยตาของเขาเอง และสามารถได้ยินด้วยหูของเขา และสามารถมีประสบการณ์กับมันด้วยตนเอง แม้ว่าทั้งหมดนั้นมีความเชื่อมโยงกับมนุษย์ และแม้ว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์จะจับความเข้าใจในความไม่ปกติ ความเป็นปกติ หรือแม้แต่ความแปลกประหลาดอันสัมพัทธ์ของนานาปรากฏการณ์ แต่เขาก็ยังคงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเบื้องหลังของปรากฏการณ์เหล่านั้น ซึ่งก็คือเจตนารมณ์และพระดำริของพระผู้สร้าง  มีเรื่องเล่ามากมายเบื้องหลังปรากฏการณ์เหล่านี้ หลายความจริงที่ถูกซ่อนไว้  เนื่องเพราะมนุษย์ได้พเนจรห่างไกลไปจากพระผู้สร้าง และเนื่องเพราะเขาไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า สิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างกำกับดูแลทุกสรรพสิ่ง เขาก็จะไม่มีวันรู้และจับใจความทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้  ส่วนใหญ่แล้ว การควบคุมและอธิปไตยของพระเจ้าอยู่เหนือขอบเขตแห่งจินตนาการของมนุษย์ ขอบเขตแห่งความรู้ของมนุษย์ ขอบเขตแห่งความเข้าใจของมนุษย์ และขอบเขตของสิ่งที่วิทยาศาสตร์ของมนุษย์จะสามารถสัมฤทธิ์ นั่นก็คืออยู่เหนือขอบเขตการล่วงรู้ของมนุษยชาติที่ทรงสร้าง  บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่เคยได้เป็นพยานในอธิปไตยของพระเจ้าด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าจะสามารถเชื่อได้อย่างไรว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจแห่งพระองค์?”  การมองเห็นไม่ใช่การเชื่อเสมอไป ทั้งยังไม่ใช่การระลึกรู้และการเข้าใจเสมอไป  ดังนั้นแล้วการเชื่อมาจากแห่งหนใด?  เราสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าการเชื่อมาจากระดับและความลึกซึ้งของการจับความเข้าใจของผู้คนเกี่ยวกับความเป็นจริงและมูลเหตุของสิ่งต่างๆ รวมทั้งประสบการณ์ที่ผู้คนมีกับสิ่งเหล่านั้น  หากเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง แต่เจ้าไม่สามารถระลึกรู้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสามารถล่วงรู้ได้ถึงข้อเท็จจริงแห่งการควบคุมของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งแล้วไซร้ ในหัวใจของเจ้า เจ้าก็จะไม่มีวันยอมรับว่าพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจประเภทนี้ ว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นมีเอกลักษณ์  เจ้าจะไม่มีวันยอมรับพระผู้สร้างว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าและพระเจ้าของเจ้าอย่างแท้จริง

ชะตากรรมของมนุษยชาติและชะตากรรมแห่งจักรวาลมิอาจแยกจากอธิปไตยของพระผู้สร้างได้

พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่ บางคนอยู่ในวัยกลางคน บางคนได้เข้าสู่วัยชรา  พวกเจ้ามาจากการไม่เชื่อในพระเจ้าจนมาถึงการเชื่อในพระองค์ และจากการเริ่มเชื่อในพระเจ้าจนมาถึงการยอมรับพระวจนะของพระองค์ และการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์  แล้วพวกเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้ามากเพียงใด?  เจ้าได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกอันใดในชะตากรรมมนุษย์บ้าง?  คนเราสามารถสัมฤทธิ์ทุกสิ่งที่คนเราอยากได้อยากมีในชีวิตหรือไม่?  ตลอดไม่กี่ทศวรรษแห่งการดำรงอยู่ของพวกเจ้า มีกี่อย่างที่พวกเจ้าสามารถสำเร็จลุล่วงในทางที่พวกเจ้าปรารถนา?  มีกี่อย่างที่เกิดขึ้นโดยที่เจ้าไม่เคยคาดหวัง?  มีกี่อย่างที่มาในรูปของความประหลาดใจอันน่ายินดี?  มีกี่อย่างที่ผู้คนยังคงรอคอยต่อไปในความมุ่งหวังว่าพวกมันจะให้ดอกผล—โดยรอคอยชั่วขณะที่เหมาะสม รอคอยน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์โดยไม่รู้ตัว?  มีกี่อย่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึกอับจนหนทางและไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไร?  ทุกคนเต็มไปด้วยความหวังเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเขา โดยคาดหวังว่าทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาจะเป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนา ว่าพวกเขาจะไม่ขาดแคลนอาหารหรือเครื่องนุ่งห่ม ว่าโชคชะตาของพวกเขาจะเฟื่องฟูขึ้นอย่างน่าฮือฮา  ไม่มีใครต้องการชีวิตที่ยากจนและต่ำต้อย เต็มไปด้วยความยากลำบาก และถูกหายนะรุมเร้า  แต่ผู้คนไม่อาจรู้ล่วงหน้าหรือควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้  บางทีสำหรับบางคนแล้ว อดีตเป็นเพียงประสบการณ์จิปาถะอันยุ่งเหยิงปะปน พวกเขาไม่เคยเรียนรู้สิ่งที่เป็นน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจว่าน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์คืออะไร  พวกเขาดำเนินชีวิตของตัวเองไปอย่างไม่คิดอะไร เหมือนสัตว์ทั้งหลายที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ใส่ใจเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษยชาติ หรือเหตุใดมนุษย์จึงมีชีวิต หรือมนุษย์ควรจะใช้ชีวิตอย่างไร  ผู้คนเหล่านี้เข้าสู่วัยชราโดยที่ไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์เลย และกระทั่งชั่วขณะที่พวกเขาตาย พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตคือเรื่องเกี่ยวกับอะไร  ผู้คนเหล่านี้ได้ตายไปแล้ว พวกเขามีชีวิตอยู่โดยปราศจากจิตวิญญาณ พวกเขาคือสัตว์ป่า  แม้ว่าผู้คนใช้ชีวิตอยู่ภายในการทรงสร้างและได้รับความชื่นชมยินดีจากหลายหนทางที่โลกใช้สนองความจำเป็นทางวัตถุของพวกเขา และแม้ว่าพวกเขามองเห็นโลกวัตถุนี้รุดหน้าไปอย่างสม่ำเสมอ กระนั้นประสบการณ์ของพวกเขาเอง—สิ่งที่หัวใจและจิตวิญญาณของพวกเขารู้สึกและมีประสบการณ์—ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสิ่งที่จับต้องได้ทั้งหลาย และไม่มีวัตถุใดที่ทดแทนประสบการณ์ได้  ประสบการณ์คือการระลึกรู้ลึกลงไปในหัวใจของคนเรา เป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า  การระลึกรู้นี้มีอยู่ในความเข้าใจของคนเราและการรับรู้ของคนเราเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์และชะตากรรมมนุษย์  และบ่อยครั้งมันก็นำทางคนเราไปสู่การเข้าใจว่า องค์อธิปัตย์ผู้มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นกำลังจัดการเตรียมสิ่งต่างๆ ทั้งหมด ทรงจัดวางเรียบเรียงทุกอย่างสำหรับมนุษย์  ในท่ามกลางทั้งหมดนี้ คนเราทำได้เพียงยอมรับการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของชะตากรรม คนเราทำได้เพียงยอมรับเส้นทางข้างหน้าที่พระผู้สร้างได้วางเอาไว้ ยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมของคนเรา  นี่คือข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่ว่าคนเรามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและท่าทีใดเกี่ยวกับชะตากรรม ก็ไม่มีใครเลยที่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้

ในระหว่างแต่ละวันนั้น คนคนหนึ่งจะไปที่ใด พวกเขาจะทำสิ่งใด ใครหรืออะไรที่พวกเขาจะเผชิญ พวกเขาจะพูดอะไร และจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา—ผู้คนสามารถทำนายสิ่งเหล่านี้ได้บ้างหรือไม่?  อาจกล่าวได้ว่าไม่เพียงผู้คนไม่สามารถคาดการณ์ทั้งหมดนี้ล่วงหน้า แต่ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะพัฒนาไปอย่างไร  ในชีวิตประจำวันของผู้คน เหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้เหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เหตุการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ  การเกิดขึ้นของ “เรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน” เหล่านี้ อีกทั้งวิธีและรูปแบบที่เรื่องเหล่านี้พัฒนาไปนั้นเป็นสิ่งเตือนความจำให้แก่มวลมนุษย์อยู่เสมอว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างไร้แบบแผน และเตือนว่ากระบวนการพัฒนาของแต่ละเหตุการณ์และความไม่อาจเลี่ยงได้ของแต่ละเหตุการณ์นั้นไม่อาจขยับเปลี่ยนได้โดยเจตจำนงของมนุษย์  สิ่งที่เกิดขึ้นของทุกเหตุการณ์ถ่ายทอดการเตือนสอนจากพระผู้สร้างมายังมวลมนุษย์ และยังส่งสารมาด้วยว่ามนุษย์ไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้  ในขณะเดียวกัน ยังเป็นการหักล้างความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของมวลมนุษย์ที่หวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะกุมชะตากรรมของตนไว้ในมือของตัวเอง  การหักล้างนี้เป็นเหมือนการตบหน้าอย่างแรงที่กระหน่ำใส่มวลมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า บีบให้ผู้คนทบทวนว่าใครกันแน่ที่ถืออธิปไตยอยู่เหนือและควบคุมชะตากรรมของพวกเขา  และเมื่อความทะเยอทะยานและความอยากทั้งหลายของพวกเขาถูกทำลายและพังพินาศลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้คนยังอดไม่ได้ที่จะคล้อยตามการจัดการเตรียมการของชะตากรรมโดยไม่รู้ตัว และยอมรับความเป็นจริง น้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์ และอธิปไตยของพระผู้สร้าง  จากการเกิดขึ้นซ้ำๆ ของ “เรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน” สู่ชะตากรรมของทั้งชีวิตของมนุษย์ทั้งมวล หามีสิ่งใดที่ไม่ได้เปิดเผยอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง หามีสิ่งใดที่ไม่ได้ส่งสารว่า “สิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างนั้นมิอาจก้ำเกินได้” หามีสิ่งใดที่ไม่ได้ถ่ายทอดความจริงอันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ที่ว่า “สิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างนั้นสูงสุด”

ชะตากรรมของมนุษยชาติและสรรพสิ่งย่อมเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง ผูกติดอยู่กับการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้างโดยมิอาจแยกออกจากกันได้ ในท้ายที่สุดแล้ว ชะตากรรมเหล่านี้ก็ไม่อาจแยกออกจากสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้ ในกฎแห่งทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จึงมาเข้าใจการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้างและอธิปไตยของพระองค์ ในกฎเกณฑ์แห่งการอยู่รอดของทุกสรรพสิ่ง เขาจึงมารับรู้การกำกับดูแลของพระผู้สร้าง ในชะตากรรมของทุกสรรพสิ่ง เขาจึงได้อนุมานวิธีต่างๆ ที่พระผู้สร้างทรงใช้อธิปไตยและการควบคุมของพระองค์เหนือทุกสรรพสิ่ง และในวงจรชีวิตของมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จึงมามีประสบการณ์อย่างแท้จริงกับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างสำหรับทุกสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิต มาเป็นพยานว่าการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการเหล่านั้นอยู่เหนือกฎ กฎเกณฑ์ และขนบประเพณีทางโลกทั้งหมด พลังอำนาจและกำลังบังคับอื่นๆ ทั้งหมด  เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษยชาติจึงถูกบีบให้ยอมรับว่าอธิปไตยของพระผู้สร้างมิอาจถูกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดฝ่าฝืนได้ ไม่มีกำลังบังคับใดสามารถก่อกวนหรือปรับเปลี่ยนเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ที่พระผู้สร้างได้ทรงลิขิตไว้แล้วล่วงหน้า  ภายใต้กฎและกฎเกณฑ์แห่งพระเจ้านี่เองที่มนุษย์และทุกสรรพสิ่งล้วนมีชีวิตอยู่และขยายเผ่าพันธุ์รุ่นแล้วรุ่นเล่า  นี่ไม่ใช่รูปจำแลงที่แท้จริงของสิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างหรอกหรือ?  แม้ว่าในกฎเชิงวัตถุวิสัยทั้งหลาย มนุษย์มองเห็นอธิปไตยของพระผู้สร้างและการสถาปนาทุกเหตุการณ์และทุกสรรพสิ่งของพระองค์ มีกี่คนที่สามารถทำความเข้าใจหลักการแห่งอธิปไตยที่พระผู้สร้างมีเหนือสรรพสิ่งได้เต็มที่?  มีผู้คนมากเท่าใดที่สามารถรู้จัก ระลึกได้ ยอมรับ และนบนอบอย่างแท้จริงต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างที่มีเหนือชะตากรรมของพวกเขาเอง?  เมื่อได้เชื่อในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระผู้สร้างแล้ว ผู้ใดเล่าจะเชื่อและระลึกรู้อย่างแท้จริงว่าพระผู้สร้างทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของชีวิตมนุษย์เช่นกัน?  ใครเล่าที่สามารถจับใจความได้อย่างแท้จริงในข้อเท็จจริงที่ว่าชะตากรรมของมนุษย์วางอยู่ในฝ่าพระหัตถ์แห่งพระผู้สร้าง?  ท่าทีแบบใดที่มนุษยชาติควรมีต่ออธิปไตยของพระผู้สร้างเมื่อเผชิญหน้าข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงกำกับดูแลและควบคุมชะตากรรมของมนุษยชาติ?  นั่นเป็นการตัดสินใจซึ่งมนุษย์ทุกคนที่กำลังเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงนี้ต้องทำเพื่อตัวพวกเขาเอง

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งหกในชีวิตมนุษย์

ในครรลองชีวิตของคนเรา บุคคลทุกคนย่อมมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่วิกฤติเป็นระยะๆ  เหล่านี้คือขั้นตอนพื้นฐานที่สุดและสำคัญที่สุดที่กำหนดชะตากรรมในชีวิตของบุคคล  ต่อจากนี้คือการบรรยายโดยย่อเกี่ยวกับเครื่องหมายบอกทางเหล่านี้ที่ทุกบุคคลต้องผ่านในครรลองแห่งชีวิตของพวกเขา

หัวเลี้ยวหัวต่อแรก: การเกิด

สถานที่เกิดของบุคคล ครอบครัวที่พวกเขาเกิดมา เพศ รูปลักษณ์ และเวลาเกิดของคนเรา—เหล่านี้คือรายละเอียดของหัวเลี้ยวหัวต่อแรกของชีวิตบุคคล

ไม่มีผู้ใดอาจเลือกรายละเอียดที่แน่นอนของหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ได้ รายละเอียดเหล่านี้ถูกพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว  รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมภายนอกแต่อย่างใด และปัจจัยที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเหล่านี้ ซึ่งถูกพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว  การที่บุคคลหนึ่งจะถือกำเนิดมานั้นหมายความว่า พระผู้สร้างได้ทรงลุล่วงขั้นตอนแรกของชะตากรรมที่พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการสำหรับบุคคลนั้นแล้ว เนื่องเพราะพระองค์ได้ทรงลิขิตรายละเอียดทั้งหมดนี้ไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว จึงไม่มีผู้ใดมีพลังอำนาจในการแก้ไขดัดแปลงรายละเอียดใดๆ  ไม่ว่าชะตากรรมที่ตามมาของบุคคลนั้นจะเป็นเช่นไร เงื่อนไขการเกิดของคนเราได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และจะคงอยู่อย่างที่มันเป็น กล่าวคือ รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากชะตากรรมในชีวิตของคนเราแต่อย่างใดเลย อีกทั้งไม่ส่งผลกระทบในทางใดต่ออธิปไตยของพระผู้สร้างที่มีเหนือชะตากรรมในชีวิตของคนเราด้วย

1) ชีวิตใหม่ถือกำเนิดมาจากแผนการของพระผู้สร้าง

รายละเอียดใดของหัวเลี้ยวหัวต่อแรก—สถานที่เกิดของคนเรา ครอบครัวของคนเรา เพศของคนเรา รูปลักษณ์ทางกายภาพของคนเรา เวลาเกิดของคนเรา—บุคคลหนึ่งสามารถเลือกสิ่งใดได้?  เห็นได้ชัดว่าการเกิดของคนเรานั้นเป็นเหตุการณ์เชิงรับ  คนเราเกิดมาในสถานที่จำเพาะ ณ เวลาจำเพาะ ในครอบครัวจำเพาะ ด้วยรูปลักษณ์จำเพาะทางกายภาพโดยมิได้ตั้งใจเอง คนเรากลายเป็นสมาชิกของครัวเรือนหนึ่ง เป็นกิ่งก้านของสาแหรกตระกูลหนึ่ง โดยมิได้จงใจ  คนเราไม่มีทางเลือก ณ หัวเลี้ยวหัวต่อแรกของชีวิตนี้ แต่กลับถือกำเนิดมาในสภาพแวดล้อมที่ตายตัวตามแผนการของพระผู้สร้างเสียมากกว่า เข้าสู่ครอบครัวที่เจาะจง ด้วยเพศและรูปลักษณ์ที่เจาะจง และ ณ เวลาที่เจาะจงซึ่งเชื่อมโยงใกล้ชิดกับครรลองแห่งชีวิตของบุคคล บุคคลหนึ่งสามารถทำสิ่งใดได้ ณ หัวเลี้ยวหัวต่ออันวิกฤตินี้?  โดยรวมแล้ว คนเราไม่มีทางเลือกเกี่ยวกับรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับกำเนิดของคนเราเหล่านี้แม้แต่อย่างเดียว  หากไม่ใช่เพราะการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้างและการทรงนำของพระองค์ ชีวิตที่ถือกำเนิดใหม่ในพิภพนี้คงไม่รู้ว่าจะไปทางไหนหรือจะพำนักอยู่แห่งหนใด คงจะไร้ญาติพี่น้อง ไม่มีพวกพ้อง และไม่มีบ้านที่แท้จริง  แต่เพราะการจัดการเตรียมการอันพิถีพิถันของพระผู้สร้าง ชีวิตใหม่นี้จึงมีที่ให้พำนัก มีบิดามารดา มีสถานที่ให้เป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น และมีญาติพี่น้อง และจากนั้น ชีวิตนั้นจึงเริ่มเดินไปบนครรลองแห่งการเดินทางของมัน  ตลอดกระบวนการนี้ การทำให้ชีวิตใหม่นี้เกิดเป็นตัวตนขึ้นมาได้ถูกกำหนดโดยแผนการต่างๆ ของพระผู้สร้าง และทุกอย่างที่ชีวิตนี้จะได้ครอบครองก็จะได้รับการประทานจากพระผู้สร้าง  จากร่างที่ลอยละล่องไร้ทิศทางโดยไม่มีสิ่งใดติดตัว ค่อยๆ กลายมาเป็นมนุษย์ซึ่งมีเลือดเนื้อ มองเห็นได้ จับต้องได้ เป็นหนึ่งในสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า ที่คิด หายใจ และรู้สึกร้อนหนาว สามารถมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมปกติของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในโลกทางวัตถุ และเป็นผู้ที่จะก้าวผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต้องผ่านประสบการณ์ในชีวิต  การลิขิตล่วงหน้าโดยพระผู้สร้างเกี่ยวกับกำเนิดของบุคคลหมายความว่า พระองค์จะประทานทุกสิ่งซึ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดแก่บุคคลนั้น และในทำนองเดียวกัน ข้อเท็จจริงที่ว่าบุคคลหนึ่งได้เกิดมาย่อมหมายความว่า พวกเขาจะได้รับทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการอยู่รอดจากพระผู้สร้าง และจากจุดนั้นเป็นต้นไป พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในอีกรูปหนึ่ง ซึ่งจัดเตรียมให้โดยพระผู้สร้าง และอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง

2) เหตุใดมนุษย์ซึ่งต่างกันจึงกำเนิดมาภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่ต่างกัน

บ่อยครั้งที่ผู้คนชอบจินตนาการไปว่า หากพวกเขาได้เกิดใหม่ ก็คงจะเป็นในครอบครัวที่เด่นดัง หากพวกเขาเป็นผู้หญิง พวกเขาคงจะมีหน้าตาดั่งสโนว์ไวท์และเป็นที่รักของทุกคน และหากพวกเขาเป็นผู้ชาย พวกเขาคงจะเป็นเจ้าชายรูปงามซึ่งไม่ขาดแคลนสิ่งใดเลย พร้อมโลกทั้งใบที่คอยทำทุกสิ่งที่ต้องการให้  บ่อยครั้งที่มีพวกที่ตรากตรำทำงานอยู่ภายใต้ภาพมายามากมายเกี่ยวกับกำเนิดของตนและรู้สึกไม่พึงพอใจในกำเนิดของพวกเขาอย่างมาก ไม่พอใจในครอบครัวของพวกเขา รูปลักษณ์ของพวกเขา เพศของพวกเขา แม้กระทั่งเวลาเกิดของพวกเขา  กระนั้นผู้คนก็ยังไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงเกิดมาในครอบครัวเฉพาะครอบครัวหนึ่ง หรือเหตุใดพวกเขาจึงมีรูปร่างหน้าตาเฉพาะแบบหนึ่ง  พวกเขาไม่รู้ว่า ไม่ว่าพวกเขาถือกำเนิด ณ แห่งหนใด หรือพวกเขามีรูปร่างหน้าตาเช่นใด พวกเขาก็จะต้องรับบทบาทอันหลากหลายและทำภารกิจที่แตกต่างกันในการบริหารจัดการของพระผู้สร้างให้ลุล่วง และจุดประสงค์นี้จะไม่มีวันเปลี่ยนไป  ในสายพระเนตรของพระผู้สร้าง สถานที่เกิดของคนเรา เพศของคนเรา และรูปลักษณ์ทางกายของคนเราทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งชั่วคราว พวกมันเป็นอณูเล็กๆ ชุดหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์เล็กจิ๋วในแต่ละระยะของการบริหารจัดการมวลมนุษย์ทั้งปวงของพระองค์  และบั้นปลายกับบทอวสานที่แท้จริงของบุคคลหนึ่งนั้นหาได้ถูกกำหนดพิจารณาโดยการเกิดในระยะเฉพาะใดๆ ของพวกเขาไม่ แต่โดยภารกิจที่พวกเขาทำจนลุล่วงในชีวิตของพวกเขา และโดยการพิพากษาของพระผู้สร้างที่มีต่อพวกเขาเมื่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์เสร็จสมบูรณ์

กล่าวกันว่า ทุกผลกระทบย่อมมีต้นเหตุ และว่าไม่มีผลใดที่ไร้เหตุ  ดังนั้น การถือกำเนิดของคนเราจึงจำเป็นต้องผูกติดอยู่กับทั้งชีวิตปัจจุบันของคนเราและชีวิตก่อนหน้านี้  หากความตายของบุคคลคือการจบวาระชีวิตในปัจจุบันของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว การเกิดของบุคคลก็คือการเริ่มต้นวัฏจักรใหม่ หากวัฏจักรเดิมเป็นตัวแทนของชีวิตก่อนหน้านี้ของบุคคล เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นธรรมดาที่วัฏจักรใหม่ก็คือชีวิตปัจจุบันของพวกเขา  ในเมื่อกำเนิดของคนเราเชื่อมโยงกับชีวิตในอดีตของคนเรา รวมทั้งชีวิตปัจจุบันของคนเรา จึงกลายเป็นว่าตำแหน่งที่ตั้ง ครอบครัว เพศ รูปลักษณ์ และปัจจัยอื่นๆ ดังกล่าวซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกิดของคนเราล้วนจำเป็นต้องสัมพันธ์กับชีวิตปัจจุบันและชีวิตในอดีตของคนเรา  นี่หมายความว่า ปัจจัยทั้งหลายในการเกิดของบุคคลไม่เพียงได้รับอิทธิพลจากชีวิตก่อนหน้านี้ของคนเรา แต่ยังถูกกำหนดพิจารณาจากโชคชะตาในชีวิตปัจจุบันของคนเราด้วย ซึ่งอธิบายความหลากหลายของรูปการณ์แวดล้อมอันแตกต่างกันที่ผู้คนได้ถือกำเนิดมา กล่าวคือ บ้างก็เกิดมาในครอบครัวยากจน ส่วนคนอื่นๆ ก็เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย  บ้างก็เกิดมาในครอบครัวธรรมดาสามัญ ขณะที่คนอื่นมีวงศ์ตระกูลเด่นดัง  บ้างก็เกิดทางใต้ ส่วนคนอื่นเกิดทางเหนือ  บ้างก็เกิดในทะเลทราย ส่วนคนอื่นเกิดในดินแดนอันเขียวขจี  การเกิดของผู้คนบางคนมาพร้อมกับเสียงโห่ร้องยินดี เสียงหัวเราะ และการเฉลิมฉลอง ส่วนการเกิดของคนอื่นนำมาซึ่งน้ำตา หายนะ และวิบัติ  บ้างเกิดมาเป็นที่หวงแหนราวสมบัติล้ำค่า ส่วนคนอื่นเกิดมาก็ถูกทิ้งขว้างราววัชพืช  บ้างเกิดมาพร้อมรูปร่างหน้าตาที่ดี ส่วนคนอื่นมาพร้อมรูปร่างที่คดงอ  บ้างก็น่ารักชวนมอง ส่วนคนอื่นนั้นอัปลักษณ์  บ้างก็เกิดยามเที่ยงคืน ส่วนคนอื่นเกิดภายใต้เปลวแดดของพระอาทิตย์เที่ยงวัน… กำเนิดของผู้คนทุกจำพวกถูกกำหนดพิจารณาโดยชะตากรรมที่พระผู้สร้างทรงเตรียมไว้ให้พวกเขา กำเนิดของพวกเขากำหนดพิจารณาชะตากรรมในชีวิตปัจจุบันของพวกเขา ตลอดจนบทบาทที่พวกเขาจะแสดงและภารกิจที่พวกเขาจะทำให้ลุล่วง  ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง ถูกพระองค์ลิขิตไว้ล่วงหน้า ไม่มีใครสามารถหลีกหนีชะตาที่ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าของพวกเขาไปได้ ไม่มีใครเลยที่สามารถเปลี่ยนแปลงกำเนิดของพวกเขาได้ และไม่มีใครเลยที่สามารถเลือกชะตากรรมของพวกเขาได้

หัวเลี้ยวหัวต่อที่สอง: การเจริญเติบโต

ผู้คนเจริญเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมทางบ้านที่แตกต่างกัน และเรียนรู้บทเรียนที่แตกต่างกันจากบิดามารดาของพวกเขา โดยขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาถือกำเนิดมาในครอบครัวประเภทใด  ปัจจัยเหล่านี้กำหนดพิจารณาสภาพเงื่อนไขทั้งหลายที่บุคคลหนึ่งจะใช้ก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และการเจริญเติบโตก็เป็นตัวแทนของช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออันวิกฤติช่วงที่สองของชีวิตบุคคล  คงไม่จำเป็นต้องกล่าวว่า ผู้คนไม่มีทางเลือก ณ หัวเลี้ยวหัวต่อนี้เช่นกัน  มันถูกกำหนดตายตัว ถูกจัดการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน

1) พระผู้สร้างได้ทรงวางสภาพเงื่อนไขตายตัวสำหรับการก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ของแต่ละบุคคล

บุคคลไม่สามารถเลือกผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งทั้งหลายที่สอนสั่งและมีอิทธิพลต่อพวกเขาในขณะที่พวกเขาเจริญเติบโต  คนเราไม่สามารถเลือกว่าจะได้รับความรู้หรือทักษะใดมา จะสร้างนิสัยใดขึ้นมา  คนเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าบิดามารดาและญาติพี่น้องของตนเป็นใคร คนเราเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมแบบใด กล่าวคือ สัมพันธภาพของคนเรากับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ในสภาพแวดล้อมของคนเรา และวิธีที่สิ่งเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของคนเรา ทั้งหมดนั้นอยู่เหนือการควบคุมของคนเรา  เช่นนั้นแล้วใครกันเล่าที่ตัดสินใจในสิ่งเหล่านี้?  ผู้ใดจัดการเตรียมการสิ่งเหล่านี้?  ในเมื่อผู้คนไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจในสิ่งเหล่านี้ให้กับตัวเองได้ และในเมื่อเห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่า การก่อรูปของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้วางอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้างนั่นเอง  แน่นอนว่า เช่นเดียวกับที่พระผู้สร้างทรงจัดเตรียมรูปการณ์แวดล้อมเฉพาะเกี่ยวกับกำเนิดของทุกบุคคล พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมรูปการณ์แวดล้อมที่เฉพาะเจาะจงให้คนเราได้เจริญเติบโตขึ้นเช่นกัน  หากการเกิดของบุคคลหนึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ รอบตัวพวกเขาแล้วไซร้ การเจริญเติบโตและพัฒนาการของบุคคลนั้นก็จำเป็นจะต้องส่งผลกระทบต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งรอบตัวพวกเขาเช่นกัน  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนเกิดมาในครอบครัวยากจน แต่เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่อุดมไปด้วยโภคทรัพย์ ส่วนคนอื่นๆ เกิดมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง แต่กลับเป็นเหตุให้โชคลาภต่างๆ ของครอบครัวเสื่อมลง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมแบบยากจน  ไม่มีกำเนิดของใครเลยที่ถูกกำกับดูแลด้วยกฎเกณฑ์ที่ตายตัว และไม่มีใครเลยที่เติบโตขึ้นภายใต้ชุดรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวและหลีกเลี่ยงไม่ได้  เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลหนึ่งสามารถจินตนาการหรือควบคุมได้ พวกมันคือผลิตผลแห่งชะตากรรมของคนเรา และถูกกำหนดพิจารณาจากชะตากรรมของคนเรา  แน่นอนว่า โดยรากเหง้าของพวกมันแล้ว สิ่งเหล่านี้ถูกกำหนดพิจารณาจากชะตากรรมซึ่งพระผู้สร้างทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าสำหรับแต่ละบุคคล พวกมันถูกกำหนดพิจารณาโดยอธิปไตยของพระผู้สร้างที่อยู่เหนือชะตากรรมของบุคคลผู้นั้นและแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้เพื่อชะตากรรมนั้น

2) รูปการณ์แวดล้อมอันหลากหลายที่ผู้คนเติบโตขึ้นมานั้นก่อให้เกิดบทบาทที่แตกต่างกัน

ในระดับพื้นฐาน รูปการณ์แวดล้อมทั้งหลายแห่งกำเนิดของบุคคลเป็นตัวกำหนดสิ่งแวดล้อมและรูปการณ์แวดล้อมที่พวกเขาต้องใช้เจริญเติบโตขึ้นมา และในทำนองเดียวกัน รูปการณ์แวดล้อมที่บุคคลหนึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาก็คือผลงานของรูปการณ์แวดล้อมแห่งกำเนิดของพวกเขา  ในระหว่างช่วงเวลานี้ คนเราเริ่มเรียนรู้ภาษา และจิตใจของคนเราเริ่มประสบพบเจอและซึมซาบสิ่งใหม่ๆ มากมาย อันเป็นกระบวนการของการที่คนเรากำลังเติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สิ่งทั้งหลายที่บุคคลได้ยินด้วยหูของคนเรา มองเห็นด้วยตาของคนเรา และซึมซับด้วยจิตใจของคนเราจะค่อยๆ เติมและให้ความมีชีวิตชีวาแก่โลกภายในของคนเรา  ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่คนเราได้มาติดต่อสัมพันธ์ด้วย สามัญสำนึก ความรู้ และทักษะที่คนเราเรียนรู้ และวิธีคิดต่างๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อคนเราและถูกใช้ฝังหัวหรือพร่ำสอนคนเรามา ทั้งหมดจะชี้นำและส่งอิทธิพลต่อชะตากรรมในชีวิตของบุคคล  ภาษาที่คนเราเรียนรู้ในขณะที่คนเราเติบโตและวิธีคิดของคนเรานั้นไม่สามารถแยกจากสิ่งแวดล้อมที่คนเราใช้ชีวิตวัยเยาว์ของคนเราได้ และสิ่งแวดล้อมนั้นประกอบด้วยบิดามารดาและพี่น้องร่วมสายเลือด และผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งอื่นๆ รอบตัวพวกเขา  ดังนั้น ครรลองแห่งพัฒนาการของบุคคลจึงถูกกำหนดพิจารณาจากสิ่งแวดล้อมที่คนเราเติบโตขึ้นมา และยังขึ้นอยู่กับผู้คน เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับคนเราในระหว่างช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน  เนื่องจากเงื่อนไขที่บุคคลเติบโตขึ้นมานั้นถูกลิขิตไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว สิ่งแวดล้อมที่คนเราอาศัยอยู่ในระหว่างกระบวนการนี้จึงถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าเป็นธรรมดาด้วยเช่นกัน มันไม่ได้ถูกตัดสินใจจากตัวเลือกหรือความชอบของบุคคล แต่เป็นไปตามแผนการของพระผู้สร้าง ซึ่งกำหนดพิจารณาโดยการจัดการเตรียมการอันรอบคอบของพระผู้สร้างและอธิปไตยของพระองค์เหนือชะตากรรมในชีวิตของบุคคลนั้น  ดังนั้น ผู้คนที่บุคคลใดประสบพบเจอในครรลองของการเจริญเติบโต และสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาติดต่อสัมพันธ์ด้วย จึงล้วนเชื่อมโยงกับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างเป็นธรรมดา  ผู้คนไม่อาจรู้ล่วงหน้าถึงประเภทต่างๆ เหล่านี้ของสัมพันธภาพระหว่างกันอันซับซ้อน ทั้งยังไม่อาจควบคุมพวกมันหรือหยั่งลึกถึงพวกมันได้ ผู้คนและสิ่งต่างๆ มากมายที่แตกต่างกันมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่บุคคลหนึ่งเติบโตขึ้นมา และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถจัดการเตรียมการหรือจัดวางเรียบเรียงโครงข่ายอันไพศาลของการเชื่อมโยงดังกล่าวได้  ไม่มีบุคคลหรือสิ่งใดสามารถควบคุมการปรากฏอยู่ของผู้คน สิ่งต่างๆ และเหตุการณ์ทั้งหมดได้ นอกจากพระผู้สร้าง ทั้งพวกเขาก็ไม่อาจธำรงผู้คนและสิ่งเหล่านั้นเอาไว้หรือควบคุมการอันตรธานไปของผู้คนและสิ่งทั้งหมด แล้วก็เป็นโครงข่ายการเชื่อมโยงอันไพศาลดังกล่าวนั้นนั่นเองที่ปรับรูปทรงของพัฒนาการของบุคคลไปตามที่พระผู้สร้างได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า และสร้างสิ่งแวดล้อมนานาที่ผู้คนเติบโตขึ้นมา  มันคือสิ่งที่สร้างบทบาทอันหลากหลายซึ่งจำเป็นต่อพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระผู้สร้าง โดยวางรากฐานอันแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นเพื่อให้ผู้คนประสบความสำเร็จในการทำภารกิจของพวกเขาให้ลุล่วง

หัวเลี้ยวหัวต่อที่สาม: ความมีอิสระ

หลังจากที่บุคคลหนึ่งได้ผ่านพ้นวัยเด็กและวัยรุ่น และค่อยๆ ไปถึงภาวะความเป็นผู้ใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก้าวต่อไปก็คือ พวกเขาจะต้องละทิ้งวัยเยาว์ของพวกเขาโดยสมบูรณ์ กล่าวคำอำลากับบิดามารดาของพวกเขา และเผชิญหน้าถนนที่ทอดไปข้างหน้าอย่างผู้ใหญ่ที่มีอิสระคนหนึ่ง  ณ จุดนี้ พวกเขาจะต้องเผชิญกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งต้องเผชิญหน้า เผชิญกับทุกส่วนของชะตากรรมของพวกเขาที่จะเผยตัวในไม่ช้า  นี่คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่สามที่บุคคลต้องผ่านล่วงไป

1) หลังจากกลายมามีอิสระ บุคคลก็เริ่มมีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้าง

หากการเกิดและการเจริญเติบโตของบุคคลคือ “ช่วงเวลาเตรียมพร้อม” สำหรับการเดินทางในชีวิตของคนเรา โดยเป็นการวางเสาหลักให้กับชะตากรรมของบุคคลแล้วไซร้ เมื่อคนเราเริ่มพึ่งพาตนเองก็คือการเปิดฉากพูดคุยกับชะตากรรมในชีวิตของตน  หากการเกิดและการเจริญเติบโตของบุคคลคือความมั่งคั่งที่พวกเขาได้สั่งสมมาเพื่อตระเตรียมสำหรับชะตากรรมในชีวิตของพวกเขา เช่นนั้นแล้วความมีอิสระของบุคคลก็คือตอนที่พวกเขาเริ่มต้นใช้จ่ายหรือเพิ่มพูนความมั่งคั่งนั้น  เมื่อคนเราจากบิดามารดาของคนเรามา และกลายมามีอิสระ ทั้งเงื่อนไขต่างๆ ทางสังคมที่คนเราเผชิญ และประเภทของงานและอาชีพที่มีให้คนเราทำ ต่างก็ถูกประกาศิตโดยชะตากรรมและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับบิดามารดาของคนเราเลย  ผู้คนบางคนเลือกวิชาเอกที่ดีในมหาวิทยาลัยและจบลงด้วยการได้งานที่พึงพอใจหลังจากสำเร็จการศึกษา สร้างก้าวย่างแรกแห่งชัยชนะในการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขา  ผู้คนบางคนเรียนรู้และชำนาญในทักษะแตกต่างมากมาย แต่กระนั้นก็ยังไม่เคยเจอสักงานที่เหมาะสมกับพวกเขา หรือไม่เคยได้ตำแหน่งที่พวกเขาต้องการ นับประสาอะไรกับอาชีพการงาน กล่าวคือ ณ จุดเริ่มของการเดินทางแห่งชีวิต พวกเขาพบว่าตัวเองติดขัดไปทุกการขยับตัว ถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรคปัญหา  ความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จอับเฉา และชีวิตของพวกเขานั้นไม่แน่นอน  ผู้คนบางคนพยายามอย่างขยันขันแข็งในการศึกษาของพวกเขา ทว่ากลับพลาดโอกาสไปอย่างฉิวเฉียดที่จะได้เรียนต่อขั้นอุดมศึกษา พวกเขาดูเหมือนถูกกำหนดชะตากรรมให้ไม่มีวันสัมฤทธิ์ความสำเร็จ ความมุ่งมาดปรารถนาแรกสุดของพวกเขาในการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขาได้สลายไปในอากาศ  ด้วยความที่ไม่รู้ว่าถนนที่ทอดไปข้างหน้านั้นราบเรียบหรือขรุขระ พวกเขาจึงรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าโชคชะตาของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความปรวนแปรขนาดไหน และดังนั้นจึงมองชีวิตด้วยความมุ่งหวังและความหวาดหวั่น  ผู้คนบางคนทั้งที่ไม่ได้มีการศึกษาดีนัก กลับเขียนหนังสือและสัมฤทธิ์ชื่อเสียงในระดับหนึ่ง บางคนแม้ว่าแทบจะไม่รู้หนังสือเอาเสียเลย ก็หาเงินได้จากการทำธุรกิจและด้วยเหตุนั้นจึงสามารถค้ำจุนตัวเองได้… อาชีพที่คนเราเลือก วิธีที่คนเราหาเลี้ยงชีพ ผู้คนควบคุมได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะเลือกตัวเลือกที่ดีหรือตัวเลือกที่ไม่ดีในบรรดาสิ่งเหล่านี้?  สิ่งเหล่านี้เป็นไปโดยสอดคล้องกับความอยากได้อยากมีและการตัดสินใจของผู้คนหรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่มีความปรารถนาดังต่อไปนี้คือ ทำงานน้อย ได้เงินมาก ไม่ต้องกรำงานตากแดดตากฝน แต่งกายดี เรืองรองรุ่งโรจน์ไปทุกแห่งหน ตระหง่านง้ำเหนือคนอื่น และนำเกียรติมาสู่บรรพบุรุษของพวกเขา  ผู้คนหวังที่จะมีความเพียบพร้อม แต่เมื่อพวกเขาเหยียบย่างก้าวแรกในการเดินทางของชีวิตพวกเขา พวกเขาจึงค่อยๆ มาตระหนักว่า โชคชะตาของมนุษย์นั้นไม่สมประกอบเพียงใด และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงในข้อเท็จจริงที่ว่า แม้คนเราสามารถวางแผนการอันอาจหาญสำหรับอนาคตของคนเรา และแม้คนเราอาจเก็บงำความเพ้อฝันอันบ้าบิ่นต่างๆ เอาไว้ แต่ไม่มีใครมีความสามารถหรือพลังอำนาจที่จะทำให้ความฝันของพวกเขาเองเป็นจริงขึ้นมา และไม่มีใครอยู่ในฐานะที่จะควบคุมอนาคตของตนเองได้  จะมีระยะห่างอยู่เสมอระหว่างความฝันของคนเรากับความเป็นจริงต่างๆ ที่คนเราต้องเผชิญ สิ่งต่างๆ ไม่เคยเป็นดั่งที่คนเราต้องการให้พวกมันเป็น และเมื่อเผชิญกับความเป็นจริงต่างๆ ดังกล่าว ผู้คนก็ไม่มีวันที่จะสามารถสัมฤทธิ์ความพึงพอใจหรือความสุขสมใจได้เลย  ผู้คนบางคนจะพยายามทุกทางที่จินตนาการได้ จะใช้ความอุตสาหะใหญ่หลวงและการพลีอุทิศที่ยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ของชีวิตความเป็นอยู่และอนาคตของพวกเขา โดยขวนขวายที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง  แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้พวกเขาสามารถทำให้ความฝันและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมาด้วยวิถีทางแห่งการทำงานหนักของพวกเขาเอง พวกเขาก็ไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้ และไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างหัวเด็ดตีนขาดเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีวันไปได้เกินกว่าสิ่งที่โชคชะตาได้จัดสรรไว้ให้พวกเขา  ไม่ว่าความสามารถ เชาวน์ปัญญา และพลังใจมีความแตกต่างกันอย่างไร ผู้คนทั้งหมดล้วนเสมอภาคกันเมื่ออยู่ต่อหน้าชะตากรรมซึ่งไม่แยกความต่างระหว่างคนยิ่งใหญ่กับคนตัวเล็ก คนสูงส่งกับคนต่ำต้อย คนที่ได้รับการยกย่องกับคนต่ำศักดิ์  อาชีพที่คนเราเสาะหา สิ่งที่คนเราทำเพื่อเลี้ยงชีพ และความอุดมสมบูรณ์ในโภคทรัพย์ที่คนเราสั่งสมได้ในชีวิตไม่ได้ถูกชี้ขาดโดยบิดามารดาของคนเรา พรสวรรค์ของคนเรา ความพยายามของคนเรา หรือความทะเยอทะยานของคนเรา แต่ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระผู้สร้าง

2) การไปจากบิดามารดาและการเริ่มต้นอย่างจริงจังตั้งใจที่จะรับบทบาทของคนเราในโรงมหรสพแห่งชีวิต

เมื่อคนเราไปถึงภาวะความเป็นผู้ใหญ่ คนเราสามารถที่จะไปจากบิดามารดาของคนเราและดั้นด้นไปตามลำพัง และ ณ จุดนี้เองที่คนเราเริ่มรับบทบาทของคนเราเองอย่างแท้จริง ที่ทุกอย่างแจ่มชัดกว่าเดิม และภารกิจในชีวิตของคนเราค่อยๆ กลายมาเป็นชัดเจน  โดยนามแล้ว คนเรายังคงผูกพันใกล้ชิดกับบิดามารดาของคนเรา แต่ด้วยภารกิจของคนเราและบทบาทที่คนเราแสดงในชีวิตนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมารดาและบิดาของคนเราเลย โดยแก่นแท้แล้ว ความผูกพันใกล้ชิดนี้สลายลงเมื่อบุคคลค่อยๆ กลายมามีอิสระ  จากมุมมองทางชีววิทยา ผู้คนอดไม่ได้ที่จะยังคงพึ่งพิงบิดามารดาของพวกเขาทางจิตใต้สำนึก แต่หากกล่าวไปตามข้อเท็จจริงแล้ว  ทันทีที่พวกเขาเติบโตเต็มที่ พวกเขาก็มีชีวิตที่แยกจากบิดามารดาของพวกเขาโดยสมบูรณ์ และจะแสดงบทบาทที่พวกเขารับมาอย่างเป็นอิสระ  นอกเหนือจากการเกิดและการเลี้ยงดูเด็กแล้ว ความรับผิดชอบที่บิดามารดามีต่อชีวิตลูกๆ ของพวกเขาก็มีแค่จัดเตรียมสิ่งแวดล้อมให้ลูกๆ ได้เจริญเติบโตเพียงเท่านั้น เพราะไม่มีสิ่งใดนอกจากการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้างที่มีอิทธิพลต่อชะตากรรมของบุคคล  ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ว่าบุคคลหนึ่งจะพึงมีอนาคตชนิดใด มันได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว และแม้แต่บิดามารดาของคนเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนเราได้  ในเรื่องของชะตากรรมนั้น ทุกคนเป็นอิสระ และทุกคนมีชะตากรรมของตนเอง  ดังนั้นจึงไม่มีบิดามารดาของใครที่สามารถกีดขวางชะตากรรมในชีวิตของพวกเขาได้เลย หรือผลักดันพวกเขาแม้เพียงน้อยนิดเมื่อเป็นเรื่องบทบาทที่พวกเขาแสดงในชีวิต  อาจกล่าวได้ว่า ครอบครัวที่คนเราถูกลิขิตชะตาให้มาเกิดและสิ่งแวดล้อมที่คนเราเติบโตขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเงื่อนไขล่วงหน้าที่ต้องมีเพื่อการทำให้ภารกิจในชีวิตของคนเรานั้นลุล่วง  ไม่ว่าโดยวิธีใด เงื่อนไขเหล่านี้ไม่ได้กำหนดชะตากรรมในชีวิตของบุคคล หรือประเภทของชะตาลิขิตที่บุคคลพึงปฏิบัติภารกิจของพวกเขาให้ลุล่วง  และดังนั้น ไม่มีบิดามารดาของใครสามารถช่วยเหลือคนเราให้ทำภารกิจในชีวิตจนสำเร็จลุล่วงได้ และในทำนองเดียวกัน ไม่มีญาติพี่น้องของใครที่สามารถช่วยคนเรารับบทบาทในชีวิตของคนเราได้  วิธีที่คนเราทำภารกิจของตนจนสำเร็จลุล่วงและประเภทของสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่คนเราแสดงบทบาทของคนเราอยู่ภายในนั้น ล้วนถูกกำหนดโดยชะตากรรมในชีวิตของคนเราทั้งหมดทั้งสิ้น  พูดอีกอย่างว่า ไม่มีสภาพเงื่อนไขบนพื้นฐานของความเป็นจริงอื่นใดสามารถแสดงอิทธิพลต่อภารกิจของบุคคล ซึ่งถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระผู้สร้าง  ผู้คนทั้งมวลกลายมาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา จากนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ เริ่มออกเดินทางไปบนถนนแห่งชีวิตของพวกเขาเองทีละก้าวๆ และทำให้ชะตาลิขิตต่างๆ ที่พระผู้สร้างได้ทรงวางแผนการไว้ให้พวกเขาลุล่วงได้  ตามธรรมชาติแล้วพวกเขาย่อมเข้าสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งมนุษยชาติอย่างไม่ตั้งใจ และรับตำแหน่งหน้าที่ในชีวิตของตัวเอง ที่ซึ่งพวกเขาเริ่มทำให้ความรับผิดชอบต่างๆ ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นลุล่วงเพื่อประโยชน์แห่งการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง เพื่อประโยชน์แห่งอธิปไตยของพระองค์

หัวเลี้ยวหัวต่อที่สี่: การสมรส

เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นและเป็นผู้ใหญ่ คนเรายิ่งห่างไกลจากบิดามารดาของตนและสิ่งแวดล้อมที่คนเราเกิดมาและได้รับการเลี้ยงดู และกลับเริ่มแสวงหาทิศทางในชีวิตและไล่ตามเสาะหาเป้าหมายชีวิตของตัวเองในลีลาที่ต่างจากบิดามารดาของคนเราแทน  ในระหว่างเวลานี้  คนเราไม่จำเป็นต้องมีบิดามารดาอีกต่อไป แต่กลับมีคู่หูสักคนที่คนเราสามารถใช้ชีวิตด้วยได้ นั่นก็คือ คู่สมรส บุคคลหนึ่งซึ่งชะตากรรมของคนเราเกี่ยวพันเข้าด้วยกันอย่างใกล้ชิด  ดังนั้นเหตุการณ์ใหญ่ของชีวิตเหตุการณ์แรกหลังความเป็นอิสระก็คือการสมรส หัวเลี้ยวหัวต่อที่สี่ที่คนเราต้องผ่านล่วงไป

1) ทางเลือกของปัจเจกบุคคลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสมรส

การสมรสเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของบุคคลไม่ว่าบุคคลใด เป็นเวลาที่คนเราเริ่มเข้ารับความรับผิดชอบหลากหลายประเภทอย่างแท้จริง และค่อยๆ ทำภารกิจสารพัดประเภทให้เสร็จสิ้นลง  ผู้คนเก็บงำภาพมายาเกี่ยวกับการสมรสเอาไว้มากมายก่อนที่พวกเขาจะมีประสบการณ์กับมันด้วยตนเอง และภาพมายาทั้งหมดเหล่านี้ก็สวยงามทีเดียว  พวกผู้หญิงจินตนาการว่าอีกครึ่งหนึ่งของพวกเธอจะเป็นเจ้าชายรูปงาม และพวกผู้ชายจินตนาการว่าพวกเขาจะสมรสกับสโนว์ไวท์ ความเพ้อฝันเหล่านี้พิสูจน์ว่าทุกบุคคลมีข้อพึงประสงค์ที่แน่นอนสำหรับการสมรสอยู่ อันเป็นชุดข้อเรียกร้องและมาตรฐานต่างๆ ของตัวพวกเขาเอง  แม้ในยุคที่ชั่วนี้ ผู้คนก็ถูกถล่มด้วยข่าวสารที่บิดเบือนเกี่ยวกับการสมรสอยู่ตลอดเวลา ซึ่งยิ่งสร้างข้อพึงประสงค์เพิ่มเติมและทำให้ผู้คนเกิดปมในใจและท่าทีแปลกๆ ทุกชนิดขึ้น บุคคลใดก็ตามที่ผ่านประสบการณ์กับการสมรสแล้วย่อมรู้ว่า ไม่ว่าคนเราเข้าใจมันเช่นไร ไม่ว่าคนเรามีท่าทีต่อมันอย่างไร การสมรสนั้นหาใช่เป็นเรื่องทางเลือกของปัจเจกบุคคลไม่

คนเราเผชิญกับผู้คนมากมายในชีวิตของคนเรา แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครจะมาเป็นคู่สมรสของตน  แม้ว่าทุกคนจะมีแนวความคิดของตัวเองและจุดยืนส่วนบุคคลในหัวข้อของการสมรส แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรู้ล่วงหน้าว่า แท้จริงแล้วใครจะกลายมาเป็นอีกครึ่งหนึ่งของพวกเขาในที่สุด และแนวความคิดต่างๆ ของคนเราเองในเรื่องนี้นั้นมีความสำคัญน้อยนิด  หลังจากที่ได้พบกับใครบางคนที่เจ้าชอบ เจ้าสามารถไล่ตามไขว่คว้าบุคคลนั้น แต่ไม่ว่าพวกเขาจะสนใจเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถกลายมาเป็นคู่ของเจ้าได้หรือไม่—นั่นหาใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินใจไม่  เป้าหมายแห่งความเสน่หาของเจ้านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่เจ้าจะสามารถแบ่งปันชีวิตของเจ้าด้วยได้ และในขณะเดียวกัน ใครบางคนที่เจ้าไม่เคยได้คาดหมายก็อาจเข้ามาในชีวิตของเจ้าอย่างเงียบเชียบ และกลายมาเป็นคู่ครองของเจ้า องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในชะตากรรมของเจ้า อีกครึ่งหนึ่งของเจ้า คนที่ชะตากรรมของเจ้าถูกผูกเข้าไว้อย่างแก้ไม่ออก  และดังนั้น แม้มีการสมรสนับหลายล้านในโลกนี้ ทุกๆ การสมรสก็แตกต่างกัน นั่นคือ การสมรสมากมายนักที่ไม่สมดังปรารถนา มากมายนักที่มีความสุข มากมายนักที่เชื่อมโยงระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตก มากมายนักที่เชื่อมโยงทิศเหนือกับทิศใต้ มากมายนักที่เป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ มากมายนักที่มาจากสังคมระดับเดียวกัน มากมายนักที่มีความสุขและปรองดอง มากมายยิ่งนักที่เจ็บปวดและโศกเศร้า มากมายนักที่ยั่วให้คนอื่นรู้สึกอิจฉา มากมายนักที่ถูกเข้าใจผิดและไม่เป็นที่ยอมรับ มากมายยิ่งนักที่เต็มไปด้วยความชื่นบาน มากมายนักที่นองไปด้วยน้ำตาและนำมาซึ่งความรู้สึกหมดศรัทธาอาลัย… ในหมื่นแสนชนิดของการสมรสเหล่านี้ มนุษย์เปิดเผยความรักภักดีและการผูกพันมั่นหมายชั่วชีวิตต่อการสมรส พวกเขาเปิดเผยความรัก ความผูกพัน และความมิอาจพรากจากกันได้ หรือความกล้ำกลืนฝืนทนและความไม่เข้าใจกัน  บางคนทรยศชีวิตสมรส หรือถึงขั้นรู้สึกชิงชังมัน  ไม่ว่าการสมรสเองนำมาซึ่งความสุขหรือความปวดร้าว ภารกิจของทุกคนในการสมรสนั้นได้ถูกพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วและจะไม่เปลี่ยนแปลง ภารกิจนี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนต้องทำให้เสร็จสิ้น  ชะตากรรมของบุคคลแต่ละคนซึ่งซ่อนอยู่หลังทุกชีวิตสมรสนั้นไม่เปลี่ยนแปลงด้วยถูกกำหนดไว้ล่วงหน้านานแล้วโดยพระผู้สร้าง

2) การสมรสเกิดจากชะตากรรมของคู่สมรสทั้งสอง

การสมรสเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในชีวิตของบุคคล  เป็นผลงานของชะตากรรมของบุคคลและการเชื่อมโยงที่สำคัญยิ่งยวดในชะตากรรมของคนเรา และไม่ได้ตั้งอยู่บนอำนาจการตัดสินใจด้วยตัวเองและการเลือกชอบของตัวบุคคลนั้น และไม่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกใดๆ แต่ถูกกำหนดโดยชะตากรรมของทั้งสองฝ่าย โดยการจัดการเตรียมการและการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้างสำหรับชะตากรรมของสมาชิกของคู่ครองทั้งสอง  โดยผิวเผินแล้ว จุดประสงค์ของการสมรสก็คือการสืบสานเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ แต่ในความจริง การสมรสไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากพิธีกรรมที่คนเราก้าวผ่านในกระบวนการทำภารกิจของคนเราให้เสร็จสิ้น  ในการสมรส ผู้คนไม่เพียงแค่แสดงบทบาทของการเลี้ยงดูคนรุ่นต่อไป พวกเขายังนำบทบาทอันหลากหลายทั้งหมดมาใช้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประคับประคองชีวิตสมรสและภารกิจต่างๆ ที่บทบาทเหล่านั้นกำหนดให้คนเราจำเป็นต้องทำจนเสร็จสิ้น  เนื่องจากการเกิดของคนเรามีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ล้อมรอบมันต้องก้าวผ่าน การสมรสของคนเราจึงย่อมจะส่งผลกระทบต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ย่อมจะแปลงสภาพสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดในหนทางหลากหลาย

เมื่อคนเรากลายมามีอิสระ คนเราก็เริ่มการเดินทางในชีวิตของคนเราเอง ซึ่งนำทางคนเราให้ตรงไปหาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับการสมรสของคนเราทีละก้าวๆ  ในเวลาเดียวกัน อีกบุคคลหนึ่งที่กำลังจะมาอยู่ในการสมรสนั้นก็กำลังเข้าหาบรรดาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งเดียวกันทีละก้าวๆ  ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง ผู้คนสองคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน พร้อมด้วยชะตากรรมที่สัมพันธ์กัน ค่อยๆ เข้าสู่การสมรสเดียวกัน และกลายมาเป็นครอบครัวหนึ่งอย่างปาฏิหาริย์ “ตั๊กแตนโลคัสตาสองตัวเกาะเกี่ยวเชือกเส้นเดียวกัน”  ดังนั้นเมื่อคนเราเข้าสู่ชีวิตสมรส การเดินทางในชีวิตของคนเราจะมีอิทธิพลและกระทบต่ออีกครึ่งหนึ่งของคนเรา และในทำนองเดียวกัน การเดินทางในชีวิตของคู่ของคนเราจะมีอิทธิพลและกระทบต่อชะตากรรมในชีวิตของตัวคนเราเอง  กล่าวอีกอย่างว่า ชะตากรรมของมนุษย์เชื่อมโยงกันและกัน และไม่มีผู้ใดสามารถทำภารกิจในชีวิตของคนเราให้เสร็จสิ้นหรือแสดงบทบาทของคนเราอย่างเป็นอิสระจากผู้อื่นโดยสมบูรณ์  กำเนิดของคนเราส่งผลต่อห่วงโซ่แห่งสัมพันธภาพขนาดมหึมา การเจริญเติบโตก็เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่แห่งสัมพันธภาพอันซับซ้อนด้วยเช่นกัน และในทำนองคล้ายคลึงกัน การสมรสก็ดำรงอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถูกดำรงไว้ภายในโครงข่ายอันซับซ้อนและไพศาลของการติดต่อสัมพันธ์ของมนุษย์ โดยเกี่ยวข้องกับสมาชิกทุกคนของโครงข่ายนั้น และส่งอิทธิพลต่อชะตากรรมของทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของมัน  การสมรสไม่ได้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากครอบครัวของทั้งสองฝ่าย รูปการณ์แวดล้อมที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา รูปลักษณ์ของพวกเขา อายุของพวกเขา ขีดความสามารถของพวกเขา พรสวรรค์ของพวกเขา หรือปัจจัยอื่นใด แต่กลับกัน มันเกิดขึ้นจากภารกิจร่วมและชะตากรรมอันเกี่ยวพัน  นี่คือจุดกำเนิดของการสมรส ผลงานของชะตากรรมมนุษย์ที่พระผู้สร้างทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงจัดการเตรียมการ

หัวเลี้ยวหัวต่อที่ห้า: ผู้สืบสันดาน

หลังการวิวาห์ คนเราเริ่มฟูมฟักคนรุ่นต่อไป  คนเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าคนเราจะมีบุตรกี่คนและมีบุตรประเภทใด สิ่งนี้ได้ถูกกำหนดจากชะตากรรมของบุคคล ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระผู้สร้างด้วยเช่นกัน  นี่คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่ห้าที่บุคคลหนึ่งต้องผ่านพ้น

หากคนเราเกิดมาเพื่อลุล่วงบทบาทของการเป็นบุตรของใครบางคน เช่นนั้นแล้วคนเราก็เลี้ยงดูคนรุ่นต่อไปเพื่อที่จะลุล่วงบทบาทของการเป็นบิดามารดาของใครบางคน  บทบาทที่ขยับเปลี่ยนไปนี้ทำให้คนเรามีประสบการณ์กับระยะที่ต่างกันของชีวิตจากมุมมองที่ต่างกัน  การขยับเปลี่ยนนี้ยังให้ชุดประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันแก่คนเรา ส่งผลให้คนเรามารู้จักอธิปไตยแห่งพระผู้สร้างซึ่งแสดงบทบาทไปในทางเดียวกันเสมอ และเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราเผชิญกับข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครสามารถก้าวล้ำหรือดัดแปลงแก้ไขการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้าง

1) คนเราไม่มีอำนาจควบคุมเหนือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเชื้อสายของคนเรา

การเกิด การเจริญเติบโต และการสมรสล้วนนำมาซึ่งความผิดหวังหลากหลายประเภทและในระดับที่แตกต่างกัน  ผู้คนบางคนไม่พึงพอใจกับครอบครัวของพวกเขาหรือรูปลักษณ์ทางกายของตัวพวกเขาเอง บ้างก็ไม่ชอบบิดามารดาของตัวเอง บ้างก็คับแค้นใจ หรือมีเรื่องพร่ำบ่นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาได้เติบโตขึ้นมา  และสำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว ท่ามกลางความผิดหวังเหล่านี้ การสมรสคือที่สุดของความไม่สมดังปรารถนา  ไม่ว่าคนเราไม่พึงพอใจกับกำเนิด การเติบโตเต็มวัย หรือการสมรสของคนเราอย่างไร ทุกคนที่ได้ก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้วย่อมรู้ว่า คนเราไม่สามารถเลือกสถานที่และเวลาเกิดของพวกเขา รูปร่างหน้าตาของพวกเขา ผู้ที่เป็นบิดามารดาของพวกเขา และผู้ที่เป็นคู่สมรสของพวกเขาได้ แต่เพียงต้องยอมรับน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์เท่านั้น กระนั้นเมื่อถึงเวลาที่ผู้คนจะฟูมฟักคนรุ่นต่อไป พวกเขาจะทุ่มความอยากได้อยากมีทั้งหมดที่พวกเขาไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ในครึ่งแรกของชีวิตพวกเขาลงบนผู้ที่เป็นพงศ์พันธุ์ของพวกเขา ด้วยความหวังว่าเชื้อสายของพวกเขาจะชดเชยความผิดหวังต่างๆ ในครึ่งแรกของชีวิตของตัวพวกเขาเอง  ดังนั้นผู้คนจึงปล่อยตัวเองให้ดื่มด่ำอยู่ในความเพ้อฝันทุกประเภทเกี่ยวกับลูกๆ ของตัวเอง ว่าลูกสาวของพวกเขาจะโตขึ้นไปเป็นสาวงามผู้ชวนตะลึง ลูกชายของพวกเขาจะเป็นสุภาพบุรุษผู้โก้หรู ว่าลูกสาวของพวกเขาจะรอบรู้วัฒนธรรมและเปี่ยมพรสวรรค์ และลูกชายของพวกเขาจะเป็นนักเรียนที่ฉลาดหัวดีและเป็นดาวกีฬา ว่าลูกสาวของพวกเขาจะสุภาพอ่อนโยน มีคุณธรรม และมีเหตุผล และลูกชายของพวกเขาจะเฉลียวฉลาด มีความสามารถ และเข้าใจความรู้สึกผู้อื่นได้ดี  พวกเขาหวังว่าเชื้อสายของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชาย จะเคารพผู้ใหญ่ เข้าใจหัวอกพ่อแม่ เป็นที่รักและยกย่องของทุกคน… ณ จุดนี้ ความหวังของชีวิตผลิบานสดชื่น และความหลงใหลใหม่ๆ ก็ถูกจุดประกายขึ้นในหัวใจของผู้คน  ผู้คนรู้ว่าพวกเขาไร้พลังและหมดสิ้นความหวังในชีวิตนี้ ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสอีกครั้งหรือความหวังอีกครั้งที่จะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน และว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับชะตากรรมของพวกเขา  และดังนั้นพวกเขาจึงยัดเยียดความหวังทั้งหมดของพวกเขา ความอยากได้อยากมีและอุดมคติที่ยังไม่เป็นจริงของพวกเขาให้กับคนรุ่นต่อไป โดยหวังว่าเชื้อสายของพวกเขาจะสามารถช่วยให้พวกเขาสัมฤทธิ์ความฝันของพวกเขาและทำให้ความอยากต่างๆ ของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา หวังว่าลูกสาวและลูกชายของพวกเขาจะนำเกียรติยศมาสู่วงศ์สกุล กลายมามีความสำคัญ ร่ำรวย และโด่งดัง  กล่าวสั้นๆ ก็คือ พวกเขาต้องการเห็นโชควาสนาของลูกๆ ของพวกเขาทะยานขึ้นสูง  แผนการและความเพ้อฝันของผู้คนนั้นสมบูรณ์แบบ พวกเขาไม่รู้หรือว่าจำนวนบุตรที่พวกเขามี รูปลักษณ์ ความสามารถ และอื่นๆ ของลูกๆ ของพวกเขานั้นหาใช่สิ่งที่พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจไม่ พวกเขาไม่รู้หรือว่าไม่มีส่วนใดในชะตากรรมของลูกๆ ของพวกเขาอยู่ในมือพวกเขา?  มนุษย์ไม่ได้เป็นนายแห่งชะตากรรมของตัวพวกเขาเอง ทว่าพวกเขาก็ยังหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนรุ่นเยาว์ พวกเขาไร้พลังอำนาจที่จะหลีกหนีชะตากรรมของตัวเอง ทว่าพวกเขากลับพยายามที่จะควบคุมชะตากรรมของลูกชายและลูกสาว  พวกเขาไม่ได้กำลังประเมินตัวเองสูงเกินไปหรอกหรือ?  นี่มิใช่ความโง่เขลาเบาปัญญาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์หรอกหรือ?  ผู้คนจะพยายามทุกทางเพื่อประโยชน์ของเชื้อสายของพวกเขา แต่ในท้ายที่สุดแล้ว แผนการและความอยากได้อยากมีของคนเราก็มิอาจชี้ขาดว่าคนเราจะมีบุตรกี่คนและบุตรเหล่านั้นจะมีลักษณะอย่างไร  ผู้คนบางคนไร้เงินทอง แต่กลับมีบุตรมากมาย ผู้คนบางคนที่อุดมด้วยโภคทรัพย์กลับยังไม่มีบุตรสักคน  บ้างก็ต้องการลูกสาวแต่ความปรารถนานั้นก็ถูกปฏิเสธ บ้างต้องการลูกชายแต่กลับล้มเหลวที่จะผลิตบุตรชายออกมา สำหรับบางคน ลูกคือพร สำหรับคนอื่นๆ ลูกๆ คือคำสาปแช่ง  คู่ครองบางคู่มีความเฉลียวฉลาด ทว่ากลับให้กำเนิดบุตรที่หัวช้า พ่อแม่บางคนขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ ทว่าลูกๆ ที่พวกเขาฟูมฟักกลับขี้เกียจสันหลังยาว  พ่อแม่บางคนจิตใจดีและซื่อตรง แต่มีบุตรที่กลับกลายเป็นปลิ้นปล้อนและจิตใจโหดร้าย  พ่อแม่บางคนสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ให้กำเนิดบุตรที่ไม่สมประกอบ  พ่อแม่บางคนเป็นคนธรรมดาและไม่ประสบความสำเร็จ ทว่ากลับมีบุตรที่สัมฤทธิ์การใหญ่  พ่อแม่บางคนมีสถานภาพต่ำต้อย ทว่ากลับมีบุตรที่ผงาดสู่ความมีชื่อเสียงเด่นดัง…

2) หลังการฟูมฟักคนรุ่นต่อไป ผู้คนได้รับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับชะตากรรม

ผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้าสู่ชีวิตแต่งงานทำเช่นนั้นในช่วงอายุราวสามสิบปี อันเป็นเวลาในชีวิตที่คนเรายังไม่มีความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์  แต่เมื่อผู้คนเริ่มฟูมฟักลูกๆ และเมื่อเชื้อสายของพวกเขาเติบโต พวกเขาก็เฝ้ามองคนรุ่นใหม่มีชีวิตและประสบการณ์ทั้งหมดซ้ำรอยคนรุ่นก่อนหน้า และเมื่อมองเห็นอดีตของตัวพวกเขาเองสะท้อนอยู่ในลูกๆ พวกเขาจึงตระหนักว่าเส้นทางเดินของคนรุ่นเยาว์ก็เหมือนกับของพวกเขาเอง คือไม่สามารถถูกวางแผนหรือเลือกได้  ครั้นเผชิญกับข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับแต่โดยดีว่า ชะตากรรมของบุคคลทุกคนนั้นได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และโดยไม่ได้ตระหนักถึงมันเสียทีเดียวนัก ผู้คนก็ค่อยๆ วางความอยากได้อยากมีของตนลง และความหลงใหลในหัวใจของพวกเขาก็ทะลักทลายและวายวางลง… ด้วยความที่ได้ผ่านป้ายบอกทางสำคัญๆ ในชีวิตตามที่จำเป็นมาแล้ว ผู้คนในช่วงเวลานี้จึงได้สัมฤทธิ์ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับชีวิต และนำท่าทีใหม่มาใช้  บุคคลหนึ่งในวัยนี้สามารถคาดหวังจากอนาคตได้เท่าใดกัน และความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้อันใดหนอที่พวกเขาต้องตั้งตารอ?  หญิงวัยห้าสิบปีแบบไหนกันที่ยังคงฝันถึงเจ้าชายรูปงาม?  ชายวัยห้าสิบปีแบบไหนกันที่ยังคงมองหาสโนว์ไวท์?  หญิงวัยกลางคนแบบไหนกันที่ยังคงหวังจะพลิกจากลูกเป็ดขี้เหร่มาเป็นหงส์?  ชายชราส่วนใหญ่มีพลังขับดันในอาชีพการงานแบบเดียวกับชายหนุ่มหรือ?  โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าคนเราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผู้ใดก็ตามที่มีชีวิตมาถึงวัยนี้ย่อมมีแนวโน้มที่จะมีท่าทีซึ่งมีเหตุมีผลและใช้การได้เกี่ยวกับการสมรส ครอบครัว และลูกๆ  โดยหลักแล้วบุคคลดังกล่าวไม่มีทางเลือกเหลืออยู่  ไม่มีแรงกระตุ้นที่จะท้าทายชะตากรรม  ส่วนในด้านประสบการณ์ของมนุษย์นั้น ทันทีที่คนเรามาถึงวัยนี้ คนเราย่อมเกิดท่าทีบางอย่างขึ้นมาเองว่า “คนเราต้องยอมรับชะตากรรม ลูกๆ ของคนเรามีโชควาสนาของพวกเขาเอง ชะตากรรมของมนุษย์นั้นถูกฟ้าสวรรค์ลิขิตไว้”  ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจความจริง หลังจากได้ฝ่าทุกความผันผวน ความคับข้องขุ่นมัว และความยากลำบากของพิภพนี้มาแล้ว ก็จะสรุปความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ด้วยคำว่า “นี่เป็นชะตากรรม!”  แม้ว่าวลีนี้แสดงความตระหนักในชะตากรรมมนุษย์ของผู้คนทางโลกและบทสรุปที่พวกเขาได้มาถึงแล้วได้อย่างรัดกุม และแม้ว่ามันแสดงให้เห็นความอับจนหนทางของมนุษยชาติและอาจพรรณนาได้คมชัดและแม่นยำ แต่ก็ยังห่างไกลจากความเข้าใจในอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างมาก และไม่อาจแทนที่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้เลย

3) ความเชื่อในชะตากรรมไม่สามารถแทนที่ความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยแห่งพระผู้สร้าง

หลังจากที่ได้ติดตามพระเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ มีความแตกต่างอย่างมีสาระสำคัญระหว่างความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับชะตากรรม กับความรู้เกี่ยวกับผู้คนทางโลกหรือไม่?  เจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วหรือเกี่ยวกับการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง และมารู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างแท้จริงแล้วหรือ?  ผู้คนบางคนมีความเข้าใจที่ลุ่มลึกและรับรู้ได้ลึกซึ้งถึงวลีที่ว่า “นั่นเป็นชะตากรรม”  กระนั้นพวกเขาก็ไม่เชื่อในอธิปไตยของพระผู้สร้างแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เชื่อว่าชะตากรรมของมนุษย์ได้ถูกจัดการเตรียมการและจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า และไม่เต็มใจที่จะนบนอบอธิปไตยของพระเจ้า  ผู้คนเช่นนั้นช่างเสมือนลอยคออยู่กลางมหาสมุทร ถูกคลื่นซัดสาดโยนไปมา ละล่องคว้างไปตามกระแสน้ำ ไม่มีทางเลือก ได้แต่รอเฉยๆ และกล้ำกลืนยอมรับชะตากรรมของตน  กระนั้นพวกเขาก็หาได้ระลึกรู้ไม่ว่า ชะตากรรมของมนุษย์นั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถริเริ่มที่จะมารู้จักอธิปไตยของพระเจ้าด้วยตนเอง และด้วยการนั้น สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หยุดฝืนต้านชะตากรรม และใช้ชีวิตภายใต้การดูแลเอาใจใส่ การปกป้อง และการทรงนำของพระเจ้า  กล่าวได้อีกอย่างว่า การยอมรับชะตากรรมไม่ใช่สิ่งเดียวกับการนบนอบอธิปไตยของพระผู้สร้าง การเชื่อในชะตากรรมหาได้หมายความว่าคนเรายอมรับ ระลึกรู้ และรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง การเชื่อในชะตากรรมเป็นแค่การระลึกรู้ความจริงของชะตากรรมและการสำแดงอันผิวเผินของมัน  นี่แตกต่างจากการรู้ว่าพระผู้สร้างทรงปกครองชะตากรรมของมนุษยชาติอย่างไร จากการระลึกรู้ว่าพระผู้สร้างคือแหล่งกำเนิดแห่งอำนาจครอบครองเหนือชะตากรรมของทุกสรรพสิ่ง และแน่นอนว่ายังห่างไกลอย่างมากจากการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการสำหรับชะตากรรมของมนุษยชาติของพระผู้สร้าง  สมมติว่าบุคคลหนึ่งเพียงเชื่อในชะตากรรมเท่านั้น และถึงขั้นรู้สึกเกี่ยวกับชะตากรรมนั้นอย่างลึกซึ้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถรู้จักและยอมรับอธิปไตยที่พระผู้สร้างทรงมีเหนือชะตากรรมของผู้คน ไม่สามารถยอมรับและนบนอบอธิปไตยนั้น ในกรณีเช่นนั้น ชีวิตของเขาก็จะเป็นโศกนาฏกรรม ไม่ว่าอย่างไรก็จะอยู่อย่างสูญเปล่า เป็นความว่างเปล่า เขาจะไม่สามารถยอมสยบอยู่ใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้างอยู่ดี ไม่สามารถกลายเป็นมนุษย์ทรงสร้างในความหมายที่จริงแท้ของคำศัพท์นั้น และไม่สามารถได้รับการยอมรับจากพระผู้สร้าง  บุคคลหนึ่งซึ่งรู้จักและมีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างแท้จริงควรอยู่ในสภาวะที่เป็นบวก ไม่ใช่สภาวะที่เป็นลบหรือยอมจำนน  ในขณะที่ยอมรับว่าสรรพสิ่งถูกกำหนดชะตากรรม เขาย่อมมีคำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำของชีวิตและชะตากรรมอยู่ในหัวใจของตน นั่นก็คือ ชีวิตมนุษย์ทั้งชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง  เมื่อพวกเขามองย้อนกลับไปยังถนนที่ตนได้เดินมา เมื่อพวกเขาย้อนรำลึกถึงทุกระยะของการเดินทางในชีวิต พวกเขาย่อมมองเห็นว่า ในทุกย่างก้าว ไม่ว่าการเดินทางนั้นจะทุลักทุเลหรือราบรื่น พระเจ้าทรงนำทางพวกเขา และทรงจัดการเตรียมเส้นทางนั้นให้พวกเขาอยู่  พวกเขาเข้าใจว่าการวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบของพระเจ้า และการจัดการเตรียมการอันระมัดระวังของพระองค์นี่เองที่นำทางพวกเขามาถึงทุกวันนี้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว  พวกเขาตระหนักว่าการที่สามารถยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้างได้ ยอมรับความรอดจากพระองค์ได้นั้นคือพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของมนุษย์!  หากบุคคลมีท่าทีที่เป็นลบต่อชะตากรรม นั่นก็พิสูจน์ว่า พวกเขากำลังฝืนต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้พวกเขา ว่าพวกเขาไม่มีท่าทีนบนอบ  หากใครบางคนมีท่าทีที่เป็นบวกต่ออธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ของพระเจ้าแล้วไซร้ เช่นนั้นเมื่อพวกเขาย้อนมองการเดินทางของตน เมื่อพวกเขามีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมอยากอย่างจริงแท้มากขึ้นที่จะนบนอบทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมไว้ และจะมีความตั้งใจแน่วแน่และมีความเชื่อมากขึ้นในการยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงชะตากรรมของตนและไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป ด้วยความที่คนเรามองเห็นว่า เมื่อคนเราไม่จับใจความเกี่ยวกับชะตากรรม เมื่อคนเราไม่เข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาก็เอาแต่ดิ้นรนอย่างดื้อดึงและเดินโซเซฝ่าม่านหมอก และการเดินทางนั้นก็ยากเกินไป อีกทั้งทำให้เจ็บปวดหัวใจมากเกินไป  ดังนั้นเมื่อผู้คนตระหนักว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ คนฉลาดย่อมเลือกที่จะทำความรู้จักและยอมรับอธิปไตยของพระเจ้า อำลาวันเวลาอันปวดร้าวเมื่อตอนที่พวกเขาได้พยายามจะสร้างชีวิตที่ดีด้วยสองมือของพวกเขาเอง และหยุดดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและไล่ตามเสาะหาสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เป้าหมายชีวิต” ในหนทางของพวกเขาเอง  เมื่อคนเราไม่มีพระเจ้า เมื่อคนเรามองไม่เห็นพระองค์ เมื่อคนเราไม่สามารถรู้จักอธิปไตยของพระเจ้าโดยแท้และชัดเจนได้ ทุกวันก็ย่อมไร้ความหมาย ไร้คุณค่า เจ็บปวดแสนสาหัส  ไม่ว่าคนเราจะอยู่แห่งหนใด งานการของคนเราจะเป็นอะไร วิธีดำรงชีวิตและไล่ตามเสาะหาเป้าหมายก็ไม่ได้นำอะไรมาให้เลยนอกจากหัวใจที่เจ็บปวดอย่างไม่รู้จบและความทุกข์ทนที่ไม่มีการบรรเทา ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจทนมองย้อนกลับไปได้  มีเพียงเมื่อคนเรายอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้าง นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และไล่ตามการได้มาซึ่งชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงคนเราถึงจะค่อยๆ หลุดพ้นจากความปวดร้าวใจและเจ็บปวดทั้งหมด และกำจัดความว่างเปล่าทั้งปวงในชีวิตให้หมดสิ้นไป

4) มีเพียงผู้ซึ่งนบนอบอธิปไตยของพระผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถบรรลุอิสรภาพที่แท้จริง

เพราะผู้คนไม่รู้จักการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาจึงเผชิญหน้ากับชะตากรรมด้วยความท้าทายและด้วยท่าทีที่เป็นกบฏตลอดเวลา และพวกเขาต้องการสลัดทิ้งสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้า รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ชะตากรรมเตรียมไว้ให้อยู่เสมอ โดยหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ของตนในปัจจุบัน และแปรเปลี่ยนชะตากรรมของตน  แต่พวกเขาไม่มีทางทำได้สำเร็จ และถูกขัดขวางทุกย่างก้าว  การดิ้นรนที่ก่อตัวลึกในดวงจิตของพวกเขานี้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดต่อพวกเขา และความเจ็บปวดนี้ฝังลึกเข้าไปถึงกระดูกของพวกเขา พร้อมกันนั้นก็ทำให้พวกเขาผลาญชีวิตของตนเองไปเปล่าๆ  อะไรหรือคือสาเหตุของความเจ็บปวดนี้?  เพราะอธิปไตยของพระเจ้า หรือเพราะคนคนหนึ่งเกิดมาโชคร้าย?  เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นความจริงทั้งคู่ โดยพื้นฐานแล้ว นั่นเกิดจากเส้นทางที่ผู้คนเลือกเดิน และวิธีที่พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตของตน  บางคนอาจไม่มีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้  แต่เมื่อเจ้ารู้จริง เมื่อเจ้ายอมรับอย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ เมื่อเจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงมีอธิปไตยและจัดเตรียมไว้ให้เจ้าล้วนเป็นประโยชน์ต่อเจ้าและคุ้มครองเจ้าอย่างมาก จากนั้นเจ้าย่อมรู้สึกว่าความเจ็บปวดของเจ้าค่อยๆ เบาบางลง และตัวตนของเจ้าทั้งหมดจะค่อยๆ ผ่อนคลาย มีเสรี และเป็นอิสระ  เมื่อตัดสินจากสภาวะของผู้คนส่วนใหญ่ กล่าวตามความจริงแล้ว พวกเขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้อย่างแท้จริงถึงคุณค่าและความหมายในทางปฏิบัติของอธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมมนุษย์ แม้ว่าในระดับความรู้สึกส่วนตัวแล้ว พวกเขาไม่ต้องการดำเนินชีวิตอย่างที่พวกเขาเคยทำมาก่อนอีกต่อไป และต้องการหลุดพ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขา แต่ในแง่ความเป็นจริง พวกเขากลับไม่สามารถระลึกรู้และนบนอบอธิปไตยของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง และยิ่งไม่รู้วิธีแสวงหาและยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง  ดังนั้น หากผู้คนไม่สามารถระลึกรู้อย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์และเหนือเรื่องราวทั้งหมดของมนุษย์ หากพวกเขาไม่สามารถนบนอบอำนาจครอบครองของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นการยากที่พวกเขาจะไม่ถูกล่ามและถูกขับเคลื่อนโดยแนวความคิดที่ว่า “ชะตากรรมของคนเรานั้นอยู่ในมือของคนเราเอง” มันย่อมจะยากที่พวกเขาจะสลัดหลุดจากความเจ็บปวดในการคร่ำเคร่งดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และคงไม่จำเป็นต้องพูดว่า มันก็จะเป็นการลำบากสำหรับพวกเขาเช่นกันที่จะกลายมามีเสรีภาพและเป็นอิสระอย่างแท้จริง กลายมาเป็นผู้คนที่นมัสการพระเจ้า  แต่มีหนทางที่จะทำให้คนเราเป็นอิสระจากสภาวะนี้อยู่หนทางหนึ่งซึ่งเรียบง่ายยิ่งนัก นั่นก็คือการอำลาวิถีชีวิตแต่เก่าก่อนของคนเรา การกล่าวคำอำลาเป้าหมายชีวิตก่อนหน้านี้ของคนเรา การสรุปและชำแหละรูปแบบการใช้ชีวิต มุมมองในชีวิต การไล่ตามไขว่คว้า ความอยากได้อยากมี และอุดมคติต่างๆ ก่อนหน้านี้ของคนเรา แล้วจากนั้นก็นำสิ่งเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับเจตนารมณ์และข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และข้อกำหนดของพระเจ้า ดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่มอบคุณค่าที่ถูกต้องของชีวิต นำทางคนเราไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความจริง และอำนวยให้คนเรามีชีวิตอยู่กับสภาวะความเป็นมนุษย์และสภาพเสมือนมนุษย์คนหนึ่ง  เมื่อเจ้ายังคงเจาะลึกลงไปซ้ำๆ และชำแหละเป้าหมายอันหลากหลายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาในชีวิตและหนทางการดำเนินชีวิตนับหมื่นแสนของพวกเขาอย่างระมัดระวัง เจ้าจะไม่พบสักอย่างเดียวที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระผู้สร้างซึ่งพระองค์ใช้ในการสร้างมนุษยชาติขึ้นมา  สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดดึงผู้คนให้ห่างออกจากอธิปไตยและการดูแลเอาใจใส่ของพระผู้สร้าง สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดคือกับดักที่เป็นเหตุให้ผู้คนกลายเป็นคนที่ต่ำช้าและนำทางพวกเขาไปสู่นรก  หลังจากที่เจ้าตระหนักรู้การนี้ กิจของเจ้าก็คือการวางมุมมองเก่าของชีวิตลง อยู่ให้ห่างจากกับดักนานา ยอมให้พระเจ้าเข้ากำกับชีวิตของเจ้าและทำการจัดการเตรียมการสำหรับเจ้า นี่คือการเสาะแสวงที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการทรงนำของพระเจ้าเท่านั้น เป็นการมีชีวิตโดยปราศจากการเลือกของปัจเจกบุคคล และกลายเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งนมัสการพระเจ้า  การนี้ฟังดูง่าย แต่ยากที่จะทำ  ผู้คนบางคนสามารถทนความเจ็บปวดของมันได้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่สามารถทนได้ บ้างก็เต็มใจที่จะปฏิบัติตาม ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่เต็มใจ  พวกที่ไม่เต็มใจขาดความพึงปรารถนาและปณิธานที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาตระหนักรู้ในอธิปไตยของพระเจ้าอย่างชัดเจน รู้ดีอย่างครบถ้วนว่าพระเจ้านี่เองที่ทรงวางแผนการและจัดการเตรียมชะตากรรมมนุษย์ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงเตะถีบดิ้นรน และยังคงไม่ยอมประนีประนอมที่จะวางชะตากรรมของพวกเขาไว้ในฝ่าพระหัตถ์ของพระเจ้าและนบนอบอธิปไตยของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคับแค้นใจในการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ดังนั้นจึงมีผู้คนบางคนที่ต้องการดูด้วยตัวเองเสมอว่า พวกเขามีความสามารถอะไร พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมด้วยสองมือของพวกเขาเอง หรือสัมฤทธิ์ความสุขด้วยพลังอำนาจของพวกเขาเอง ต้องการมองเห็นว่าพวกเขาสามารถก้าวล้ำขอบเขตสิทธิอำนาจของพระเจ้า และผงาดเหนืออธิปไตยของพระเจ้าได้หรือไม่  โศกนาฏกรรมของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่เขาไล่ตามไขว่คว้าชีวิตที่มีความสุข ไม่ได้อยู่ที่เขาไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ หรือดิ้นรนต่อสู้ชะตากรรมของตัวเองผ่านม่านหมอก แต่กลับอยู่ที่ว่า หลังจากที่เขาได้เห็นการดำรงอยู่ของพระผู้สร้าง หลังจากที่เขาได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงว่าพระผู้สร้างทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมนุษย์แล้ว เขาก็ยังไม่สามารถหันหลังกลับจากเส้นทางที่ผิด ไม่สามารถชักเท้าขึ้นจากปลักตม แต่กลับทำใจแข็งและดึงดันในความผิดพลาดของตน  เขาชอบมากกว่าที่จะยังคงดิ้นรนอยู่ในโคลนตม ต่อสู้กับอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างหัวชนฝา ต่อต้านไปจนถึงที่สุด ทั้งหมดนั้นไม่มีความสำนึกผิดแม้เพียงเสี้ยวกระผีก  จนกระทั่งเมื่อเขานอนหมดสิ้นสภาพและโลหิตไหลนองเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจยอมแพ้และหันหลังกลับในที่สุด  นี่คือโศกนาฏกรรมอันแท้จริงของมนุษย์  ดังนั้น เราจึงกล่าวว่า บรรดาผู้ที่เลือกนบนอบนั้นเป็นคนมีปัญญา ส่วนพวกที่เลือกดิ้นรนต่อสู้และหลบหนีนั้นเป็นคนโง่เขลาและดื้อรั้น

หัวเลี้ยวหัวต่อที่หก: ความตาย

หลังจากความวุ่นวายมากมายเหลือเกิน ความคับข้องขุ่นมัวและความผิดหวังหลายครั้งครา หลังจากความชื่นบานและความเศร้าโศก และการขึ้นๆ ลงๆ มากมายยิ่งนัก หลังจากหลายต่อหลายปีที่ไม่สามารถลืมเลือน หลังจากได้จับตามองฤดูกาลผันเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า คนเราก็ได้ผ่านเครื่องหมายบอกทางสำคัญต่างๆ ของชีวิตโดยปราศจากการสังเกต และในชั่วพริบตา คนเราก็พบว่าตัวเองเข้าสู่วัยสนธยาของคนเราเสียแล้ว มีรอยประทับเครื่องหมายแสดงเวลาทั้งหลายทั่วร่างของคนเรา กล่าวคือ คนเราไม่สามารถยืนหลังตรงได้อีกต่อไป เส้นผมของคนเราเปลี่ยนจากสีเข้มเป็นสีขาว ในขณะที่ดวงตาซึ่งครั้งหนึ่งเคยสดใสและแจ่มชัดเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวและพร่าเลือน ผิวที่เคยเรียบเนียนและนุ่มนวลกลับกลายเป็นยับย่นและมีจุดด่างดำ  การได้ยินของคนเราอ่อนแอลง ฟันของคนเราโยกคลอนและร่วงหล่น ปฏิกิริยาตอบสนองของคนเรากลายเป็นเฉื่อยชา การเคลื่อนไหวของคนเราเชื่องช้า… ณ จุดนี้ คนเราได้แสดงการอำลาครั้งสุดท้ายต่อหลายปีแห่งความรุ่มร้อนของวัยเยาว์ของคนเรา และเข้าสู่สนธยาแห่งชีวิตคนเรา นั่นคือ วัยชรา  อันดับต่อไป คนเราจะเผชิญหน้ากับความตาย หัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายในชีวิตมนุษย์

1) มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงกุมพลังอำนาจแห่งชีวิตและความตายไว้เหนือมนุษย์

หากการเกิดของคนเราถูกลิขิตโดยชีวิตก่อนหน้าของตน เช่นนั้นแล้วความตายของคนเราก็แสดงถึงบทอวสานของชะตาลิขิตนั้น  หากการเกิดของคนเราคือจุดเริ่มต้นภารกิจของคนเราในชีวิตนี้ เช่นนั้นแล้ว ความตายของคนเราก็แสดงถึงบทอวสานของภารกิจนั้น  เนื่องจากพระผู้สร้างได้ทรงกำหนดชุดรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวสำหรับการกำเนิดของแต่ละคนเอาไว้แล้ว แน่นอนว่า พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมชุดรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวสำหรับความตายของพวกเขาไว้แล้วเช่นกัน  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่มีใครที่เกิดมาโดยบังเอิญ ไม่มีใครตายอย่างกะทันหัน ทั้งการเกิดและความตายเกี่ยวข้องกับชีวิตก่อนหน้าและชีวิตปัจจุบันของคนเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  รูปการณ์แวดล้อมของการเกิดและรูปการณ์แวดล้อมของความตายของคนเราเป็นอย่างไรนั้น สัมพันธ์กับการกำหนดไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง นี่คือชะตาลิขิตของคนคนหนึ่ง เป็นชะตากรรมของคนคนหนึ่ง  เนื่องจากมีคำอธิบายมากมายเกี่ยวกับการกำเนิดของคนคนหนึ่ง ย่อมต้องมีรูปการณ์แวดล้อมเฉพาะที่หลากหลายสำหรับความตายของคนคนหนึ่งด้วยเช่นกัน  ในหนทางนี้ อายุขัยที่แตกต่างกัน ตลอดจนเวลาและรูปแบบของความตายที่หลากหลายจึงเกิดขึ้นในหมู่มวลมนุษย์  คนบางคนแข็งแรงและมีสุขภาพดี แต่กลับตายตั้งแต่อายุยังน้อย บางคนอ่อนแอและเจ็บออดๆ แอดๆ แต่กลับมีชีวิตจนถึงวัยชราและจากไปอย่างสงบ  บางคนตายด้วยสาเหตุที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนบางคนตายไปตามธรรมชาติ  บางคนก็ตายไกลบ้าน ส่วนบางคนหลับตาลงเป็นครั้งสุดท้ายโดยมีผู้เป็นที่รักของตนอยู่เคียงข้าง  คนบางคนตายกลางอากาศ บางคนตายใต้แผ่นดินโลก  บางคนจมน้ำ บางคนตายจากภัยพิบัติ  บางคนตายในตอนเช้า บางคนตายตอนกลางคืน… ทุกคนล้วนต้องการการกำเนิดที่เด่นดัง ชีวิตที่เจิดจรัส และความตายที่มีเกียรติ แต่ไม่มีใครสามารถอยู่เหนือชะตาลิขิตของตนเองได้ ไม่มีใครสามารถหลบหนีอธิปไตยของพระผู้สร้างได้  นี่เป็นชะตากรรมของมนุษย์  ผู้คนสามารถวางแผนสำหรับอนาคตของพวกเขาได้ทุกรูปแบบ แต่ไม่มีใครสามารถวางแผนว่าตนจะเกิดมาอย่างไรหรือจากโลกนี้ไปอย่างไรและเมื่อใด  แม้ว่าผู้คนต่างทำดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงและต้านทานการมาถึงของความตาย แต่ความตายก็ยังคงคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างเงียบกริบโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวอยู่ดี  ไม่มีใครรู้ว่าตนจะตายเมื่อใดหรือตายอย่างไร  ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน เห็นได้ชัดว่า ผู้กุมอำนาจสูงสุดเหนือชีวิตและความตายไม่ใช่มนุษย์ และไม่ใช่สิ่งมีชีวิตใดในโลกธรรมชาติ แต่เป็นพระผู้สร้างผู้ทรงสิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์  ชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ไม่ใช่ผลลัพธ์ของกฎบางอย่างแห่งโลกธรรมชาติ แต่เป็นผลลัพธ์ของอธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

2) ผู้ซึ่งไม่รู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างจะถูกหลอนโดยความหวาดกลัวต่อความตาย

เมื่อคนเราเข้าสู่วัยชรา ความท้าทายที่คนเราเผชิญหน้าไม่ใช่การจัดเตรียมเพื่อครอบครัวหรือการมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของคนเรา แต่เป็นวิธีที่จะบอกลาชีวิตของคนเรา วิธีที่จะพบจุดจบของชีวิตคนเรา วิธีที่จะใส่เครื่องหมายจุดจบประโยคตรงท้ายประโยคแห่งชีวิตคนเรา  แม้โดยผิวเผินแล้ว ดูเหมือนว่าผู้คนให้ความใส่ใจเพียงน้อยนิดต่อความตาย แต่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงการสำรวจตรวจค้นหัวข้อนี้ได้ เพราะไม่มีใครเลยที่รู้ว่ามีอีกพิภพหนึ่งนอนรออยู่อีกฟากของความตายหรือไม่ พิภพที่มนุษย์มิอาจล่วงรู้หรือรู้สึกได้ พิภพที่พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย  นี่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่จะเผชิญกับความตายที่มาประจันหน้า หวาดกลัวที่จะเผชิญกับมันตามที่พวกเขาควรเผชิญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับทำทุกอย่างที่จะหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้  และดังนั้นมันจึงเติมความหวาดหวั่นเกี่ยวกับความตายให้กับบุคคลทุกคน และเพิ่มม่านแห่งความล้ำลึกให้กับข้อเท็จจริงซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้นี้ คลี่คลุมเงาถาวรลงบนหัวใจของทุกบุคคล

เมื่อคนเรารู้สึกถึงความเสื่อมของร่างกายคนเรา เมื่อคนเราสำนึกรับรู้ว่าตนกำลังเคลื่อนเข้าใกล้ความตาย คนเราก็รู้สึกถึงความหวาดหวั่นอันคลุมเครืออย่างหนึ่ง ความเกรงกลัวอย่างหนึ่งซึ่งไม่สามารถบรรยายได้ ความเกรงกลัวต่อความตายทำให้คนเรารู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิมและรู้สึกอับจนหนทางมากขึ้นเรื่อยๆ และที่จุดนี้เอง คนเราจึงถามตัวเองว่ามนุษย์มาจากไหน?  มนุษย์กำลังจะไปที่ใด?  มนุษย์ตายไปพร้อมกับที่ชีวิตของเขาวิ่งผ่านเขาไปอย่างเร่งรีบแบบนี้หรือ?  นี่คือจุดท้ายประโยคที่ทำเครื่องหมายแสดงจุดจบของชีวิตมนุษย์อย่างนั้นหรือ?  ในท้ายที่สุดแล้ว อะไรคือความหมายของชีวิต?  จะว่าไปแล้ว ชีวิตมีค่าอะไรหรือ?  มันเกี่ยวกับความมีชื่อเสียงและโชควาสนาใช่หรือไม่?  มันเกี่ยวกับการฟูมฟักเลี้ยงดูครอบครัวหนึ่งใช่หรือไม่?… ไม่ว่าคนเราจะครุ่นคิดตลอดมาเกี่ยวกับคำถามเฉพาะเหล่านี้อย่างไร ไม่ว่าคนเราจะเกรงกลัวความตายอย่างลึกล้ำเพียงใด ในส่วนลึกของหัวใจของบุคคลทุกคนมีความพึงปรารถนาที่จะหยั่งคะเนความล้ำลึกต่างๆ อันเป็นความรู้สึกหนึ่งของความไม่เข้าใจชีวิต และที่ปะปนมากับสิ่งเหล่านี้ก็คือความรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจเกี่ยวกับโลก ความรู้สึกอิดออดที่จะจากไป  บางทีอาจไม่มีใครเลยที่สามารถเสกสรรพรรณนาได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่มนุษย์เกรงกลัวนั้นคืออะไรกันแน่ สิ่งที่มนุษย์แสวงหาคือสิ่งใด สิ่งที่เขารู้สึกอ่อนไหวด้วยนั้นคืออะไร และอะไรที่เขารู้สึกอิดออดไม่อยากทิ้งไว้ข้างหลัง…

ด้วยความที่พวกเขาเกรงกลัวความตาย ผู้คนจึงมีความกังวลมากมายเหลือเกิน ด้วยความที่พวกเขาเกรงกลัวความตาย ผู้คนจึงมีสิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเขาไม่อาจปล่อยวางได้  ครั้นถึงเวลาที่พวกเขากำลังจะตาย บางผู้คนก็หงุดหงิดกระสับกระส่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้เรื่องนั้น พวกเขากังวลเกี่ยวกับลูกๆ ของพวกเขา คนที่พวกเขารัก ความอุดมในโภคทรัพย์ของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาสามารถลบความทุกข์และความหวาดหวั่นที่ความตายนำมาให้ออกไปได้ด้วยการวิตกกังวลนี้ ราวกับว่าพวกเขาสามารถหลีกหนีความอับจนหนทางและความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดายที่เคียงคู่มากับความตายได้ด้วยการผดุงความใกล้ชิดกับการดำรงชีวิตประเภทนี้เอาไว้  ในส่วนลึกของหัวใจมนุษย์มีความเกรงกลัวอันคลุมเครือ ความเกรงกลัวการพลัดพรากจากผู้เป็นที่รักทั้งหลายของคนเรา เกรงกลัวว่าจะไม่มีวันได้ทอดสายตามองไปยังผืนนภาสีครามอีกแล้ว ว่าจะไม่มีวันได้มองไปบนโลกวัตถุอีกแล้ว  วิญญาณอันเปลี่ยวดายซึ่งคุ้นชินกับการอยู่ท่ามกลางผู้เป็นที่รัก กำลังอิดออดที่จะคลายมือที่เกาะกุมออกและจากไป คนเดียวตามลำพัง สู่พิภพหนึ่งซึ่งไม่รู้จักและไม่คุ้นเคย

3) ชีวิตหนึ่งซึ่งใช้ไปกับการแสวงหาชื่อเสียงและโชควาสนา ทำให้คนเราตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยามเผชิญหน้ากับความตาย

เพราะอธิปไตยและการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง ดวงจิตเดียวดายที่เริ่มต้นโดยปราศจากสิ่งใดโดยสิ้นเชิงจึงได้รับบิดามารดาและครอบครัว ได้รับโอกาสที่จะกลายเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และโอกาสที่จะมีประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์และการเดินทางผ่านโลกมนุษย์  นอกจากนี้ยังได้รับโอกาสที่จะมีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้าง มารู้จักความอัศจรรย์แห่งการทรงสร้างของพระผู้สร้าง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ โอกาสที่จะมารู้จักและยอมสยบต่อสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  ทว่าผู้คนส่วนใหญ่กลับไม่คว้าโอกาสที่หายากและแสนสั้นนี้เอาไว้อย่างแท้จริง  ผู้คนทุ่มเทพลังงานทั้งชีวิตต่อสู้กับชะตากรรม ใช้เวลาทั้งชีวิตวุ่นวายอยู่กับการพยายามหาเลี้ยงครอบครัวของตนและวิ่งวุ่นไปมาเพื่อเกียรติยศและผลประโยชน์  สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนหวงแหนยิ่งนักคือความรักครอบครัว เงินตรา ชื่อเสียงและผลประโยชน์ และพวกเขามองสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต  ผู้คนล้วนพร่ำบ่นถึงชะตากรรมอันโหดร้าย แต่พวกเขากลับเพิกเฉยต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ผู้คนควรเข้าใจและพึงสำรวจมากที่สุด นั่นคือ “เหตุใดมนุษย์จึงมีชีวิตอยู่ มนุษย์ควรดำเนินชีวิตอย่างไร รวมทั้งอะไรคือคุณค่าและความหมายของชีวิตมนุษย์”  ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ยาวนานเพียงใด พวกเขาก็จะใช้เวลาทั้งชีวิตเพียงเพื่อเร่งรีบแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ จนกระทั่งวัยเยาว์ล่วงเลยไป ผมหงอกและผิวหนังก็เหี่ยวย่นแล้ว จนกระทั่งพวกเขาตระหนักว่าชื่อเสียงและผลประโยชน์ไม่อาจหยุดยั้งตนจากความชราได้ เงินทองไม่อาจเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจของตนได้ และจนกระทั่งพวกเขาเข้าใจว่าไม่มีใครสามารถหลีกหนีจากกฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บป่วย และตายได้ รวมถึงไม่มีใครสามารถหลบพ้นการจัดการเตรียมการของชะตากรรม  มีเพียงเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตเท่านั้นที่พวกเขาจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่า ต่อให้คนเรามีโภคทรัพย์มหาศาลและสินทรัพย์มากล้น ต่อให้คนเรามีสิทธิพิเศษและอยู่ในฐานะสูงส่ง คนเราก็ยังคงไม่สามารถหลบหนีความตายและต้องคืนสู่สถานะดั้งเดิมของพวกเขาอยู่ดี นั่นคือ ดวงวิญญาณอันโดดเดี่ยวที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย  ในยามที่ผู้คนมีบิดามารดา พวกเขาเชื่อว่าบิดามารดาคือทุกสิ่งทุกอย่าง ในยามที่ผู้คนมีทรัพย์สมบัติ พวกเขาก็คิดว่าเงินทองคือปัจจัยหลักในการยังชีพของคนเรา ว่ามันคือวิถีทางที่คนเราใช้ในการดำเนินชีวิต ในยามที่ผู้คนมีสถานภาพ พวกเขาก็เกาะเกี่ยวมันไว้อย่างแน่นหนาและจะเสี่ยงชีวิตพวกเขาเพื่อมัน  มีเพียงเมื่อผู้คนกำลังจะปลดปล่อยโลกนี้ไปเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่า สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาใช้ชีวิตไล่ตามเสาะหานั้น ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากหมู่เมฆที่ลอยผ่านไป ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่พวกเขาสามารถเกาะกุมได้ ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่พวกเขาสามารถเอาไปด้วยได้ ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่สามารถละเว้นพวกเขาจากความตาย ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่สามารถจัดเตรียมเพื่อนร่วมทางหรือการปลอบประโลมให้กับดวงวิญญาณที่โดดเดี่ยวระหว่างการเดินทางกลับของพวกเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรในสิ่งเหล่านี้เลยที่สามารถช่วยบุคคลหนึ่งให้รอดและทำให้พวกเขาสามารถอยู่เหนือความตายได้  ชื่อเสียงและโชควาสนาที่คนเราได้รับในโลกวัตถุให้ความพึงพอใจชั่วคราว ความยินดีที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สำนึกรับรู้แห่งความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจแบบผิดๆ ในระหว่างนั้นพวกมันก็ทำให้คนเราหลงทาง  และดังนั้นผู้คนจึงถูกคลื่นลูกแล้วลูกเล่ากลืนหายไปในระหว่างที่พวกเขาดิ้นตะเกียกตะกายอยู่กลางทะเลแห่งมนุษยชาติอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างกระหายในสันติสุข ความสุขสบาย และความสงบเยือกเย็นในหัวใจ  ในยามที่ผู้คนยังต้องตอบคำถามต่างๆ ที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดต่อการทำความเข้าใจ—ว่าพวกเขามาจากไหน เหตุใดพวกเขาจึงมีชีวิต พวกเขากำลังจะไปที่ใด และอื่นๆ—พวกเขาก็ถูกชื่อเสียงและโชควาสนายั่วใจ ถูกพวกมันควบคุมและชักนำไปในทางที่ผิด และหลงทางไปอย่างไม่อาจย้อนคืน  เวลาผ่านไปเร็วราวกับติดปีก หลายปีผ่านไปในชั่วพริบตา และก่อนที่คนเราตระหนักในสิ่งนี้ คนเราก็ได้บอกลาปีต่างๆ ที่ดีที่สุดของชีวิตคนเราไปแล้ว  เมื่อผู้คนใกล้จะอำลาจากโลกนี้ พวกเขาย่อมมาถึงจุดที่ค่อยๆ ตระหนักว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้กำลังลอยหายไป พวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเกาะกุมสิ่งใดที่เดิมทีเป็นของตนไว้อีกต่อไป ในเวลานี้ พวกเขาจึงรู้สึกอย่างแท้จริงว่าตนเองก็เป็นเหมือนทารกแรกเกิดที่กำลังร้องไห้จ้าโดยยังคงไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเลย  เมื่อถึงจุดนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองว่าตนได้ทำอะไรไปแล้วบ้างในชีวิต คุณค่าของการมีชีวิตอยู่คืออะไร ความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร และผู้คนได้มาสู่โลกนี้เพราะเหตุใด  และแน่แท้ว่า ณ จุดนี้เองที่พวกเขายิ่งต้องการรู้มากขึ้นทุกที ว่าชีวิตถัดไปมีอยู่จริงหรือไม่ สวรรค์มีจริงหรือไม่ ผลกรรมสนองมีจริงหรือไม่… ยิ่งคนเราเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเท่าใด คนเราก็ยิ่งต้องการที่จะเข้าใจว่าชีวิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคนเราใกล้ความตายเข้าไปเท่าไร หัวใจของเราก็ยิ่งดูเหมือนว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคนเราใกล้ความตายมากขึ้นเท่าไร คนเราก็ยิ่งรู้สึกอับจนหนทางมากขึ้นเท่านั้น และดังนั้น ความเกรงกลัวที่คนเรามีต่อความตายจึงค่อยๆ เติบโตขึ้นในแต่ละวัน  มีสองเหตุผลที่ความรู้สึกดังกล่าวสำแดงออกมาในผู้คนในยามที่พวกเขาเข้าใกล้ความตาย ประการแรกคือ พวกเขากำลังจะสูญเสียชื่อเสียงและความอุดมในโภคทรัพย์ที่ชีวิตพวกเขาเคยได้อาศัยพึ่งพิง กำลังจะละทิ้งทั้งหมดที่ดวงตามองเห็นในโลกนี้ไว้ข้างหลัง ประการที่สองคือ พวกเขากำลังจะเผชิญหน้า คนเดียวตามลำพัง กับพิภพที่ไม่คุ้นเคย ดินแดนลี้ลับที่ไม่รู้จัก ที่ซึ่งพวกเขากลัวที่จะย่างเท้าลงไป ที่ซึ่งพวกเขาไม่มีผู้เป็นที่รักและไม่มีการค้ำจุนในวิถีทางใดเลย เพราะเหตุผลสองประการนี้ ทุกคนซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความตายจึงรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ผ่านประสบการณ์กับความตื่นตระหนกและสำนึกรับรู้แห่งความรู้สึกอับจนหนทางอย่างที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย  มีเพียงเมื่อใครบางคนได้มาถึงจุดนี้จริงๆ เท่านั้น พวกเขาจึงตระหนักว่าเมื่อคนคนหนึ่งเข้าสู่โลกนี้ สิ่งแรกที่พวกเขาต้องเข้าใจคือมนุษย์มาจากไหน เหตุใดผู้คนจึงมีชีวิตอยู่ ผู้ใดครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมนุษย์ รวมทั้งผู้ใดจัดเตรียมและมีอธิปไตยเหนือการดำรงอยู่ของมนุษย์—ความเข้าใจนี้คือต้นทุนที่คนคนหนึ่งใช้ดำรงชีวิต และนี่คือพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของคนคนหนึ่ง  พวกเขาไม่ควรเรียนรู้เป็นอันดับแรกว่าจะจัดเตรียมเพื่อครอบครัวของตนหรือไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์อย่างไร หรือทำอย่างไรจึงจะโดดเด่นเหนือคนอื่นในกลุ่ม หรือวิธีที่จะใช้ชีวิตที่มั่งคั่งกว่าเดิม ยิ่งไม่ควรเรียนรู้ว่าจะอยู่เหนือผู้อื่นหรือแข่งขันอย่างง่ายดายในการแข่งขันประเภทต่างๆ ได้อย่างไร  แม้ว่าทักษะเพื่อความอยู่รอดนานัปการที่ผู้คนใช้เวลาทั้งชีวิตของพวกเขากับการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญจะทำให้พวกเขามีความสะดวกสบายทางวัตถุอย่างล้นเหลือ แต่ทักษะเหล่านี้กลับไม่เคยนำการปลอบประโลมและความมั่นคงที่แท้จริงมาสู่หัวใจของพวกเขาเลย  แต่กลับทำให้ผู้คนหลงทิศทางอยู่ตลอดเวลา มีความลำบากยากเย็นในการควบคุมตนเอง และพลาดโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะเรียนรู้ความหมายของชีวิต ทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาซ่อนเร้นในตัวผู้คนเกี่ยวกับวิธีเผชิญหน้ากับความตายอย่างถูกต้อง—ชีวิตของผู้คนกำลังถูกทำลายในหนทางนี้  พระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรม ทรงมอบโอกาสเหมาะทั้งหลายแก่ทุกคน ซึ่งต้องใช้ทั้งชีวิตจึงจะได้มา เพื่อให้ได้รับประสบการณ์และรู้จักอธิปไตยของพระองค์ ทว่ามีเพียงเมื่อความตายขยับเข้ามาใกล้ เมื่อตอนที่ความน่าสะพรึงกลัวของมันปรากฏขึ้นรางๆ เท่านั้น ที่คนเราเริ่มมองเห็นความสว่าง—และแล้ว มันก็สายเกินไป!

ผู้คนใช้ทั้งชีวิตไปกับการไล่ล่าเงินทอง ชื่อเสียง และผลประโยชน์ พวกเขากอดรัดกองฟางเหล่านี้ไว้แนบอก ทำเหมือนว่าเป็นปัจจัยเพียงอย่างเดียวในการยังชีพของตน ราวกับว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ด้วยการมีสิ่งเหล่านี้ ได้รับการยกเว้นจากความตาย  แต่ในยามที่พวกเขากำลังจะตายแล้วเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเพียงใด พวกเขาอ่อนแอไร้กำลังเพียงใดเมื่อเผชิญหน้าความตาย เปราะบางเพียงใด เปลี่ยวดายและอับจนหนทางเพียงไร โดยไม่มีที่ใดให้หันหน้าไปพึ่งพา  พวกเขาตระหนักว่า ชีวิตไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทองหรือชื่อเสียงและผลประโยชน์ ว่าไม่ว่าบุคคลหนึ่งอาจอุดมด้วยโภคทรัพย์เพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งขนาดไหน ทุกคนล้วนยากจนและไร้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย  พวกเขาตระหนักว่า เงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้ ชื่อเสียงและผลประโยชน์ไม่สามารถลบความตายได้ และไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือชื่อเสียงและผลประโยชน์ต่างก็ไม่สามารถยืดชีวิตคนเราได้แม้แต่นาทีเดียว วินาทีเดียว  ยิ่งผู้คนรู้สึกเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งโหยหาที่จะรักษาชีวิตไว้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งผู้คนรู้สึกในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งหวาดหวั่นในการย่างกรายเข้ามาใกล้ของความตายมากขึ้นเท่านั้น  มีเพียงที่จุดนี้เท่านั้นที่พวกเขาตระหนักอย่างแท้จริงว่า ชีวิตของพวกเขาไม่ได้เป็นของพวกเขา ไม่ใช่พวกเขาที่จะเป็นผู้ควบคุม และตระหนักว่า คนเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าคนเราจะอยู่หรือตาย—ว่าทั้งหมดนี้อยู่นอกการควบคุมของคนเรา

4) จงยอมสยบอยู่ใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง และเผชิญหน้าความตายอย่างสงบ

ณ ชั่วขณะที่บุคคลหนึ่งเกิดมา วิญญาณเปลี่ยวดายดวงหนึ่งก็เริ่มประสบการณ์ของตัวเองบนแผ่นดินโลก เป็นประสบการณ์เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างที่พระผู้สร้างได้ทรงจัดการเตรียมการเพื่อวิญญาณดวงนั้น คงไม่จำเป็นต้องพูดว่า สำหรับบุคคลนั้น—ซึ่งก็คือดวงวิญญาณนั้น—นี่คือโอกาสอันยอดเยี่ยมที่จะได้รับความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง โอกาสที่จะมารู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์ และได้รับประสบการณ์กับมันด้วยตนเอง  ผู้คนใช้ชีวิตของตัวเองภายใต้กฎต่างๆ ของชะตากรรมที่พระผู้สร้างทรงวางไว้ให้พวกเขา และให้แก่บุคคลใดก็ตามที่เป็นคนมีเหตุผลและมโนธรรม การใช้เวลาหลายทศวรรษในชีวิตของพวกเขาทำใจยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้างและการมารู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นหาใช่สิ่งที่ยากเกินจะทำไม่  เพราะฉะนั้น มันน่าจะง่ายมากสำหรับทุกคนที่จะระลึกรู้โดยผ่านทางประสบการณ์ชีวิตกว่าหลายสิบปีของพวกเขาเองว่า ชะตากรรมทั้งปวงของมนุษย์ล้วนถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และมันควรง่ายที่จะจับความเข้าใจหรือสรุปว่าการมีชีวิตหมายถึงอะไร  ขณะที่คนเราอ้าแขนรับบทเรียนชีวิตเหล่านี้ คนเราจะค่อยๆ มาเข้าใจว่าชีวิตมาจากไหน มาจับความเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่หัวใจจำเป็นต้องมีอย่างแท้จริง อะไรคือสิ่งที่จะนำทางคนเราไปบนเส้นทางชีวิตที่แท้จริง และอะไรคือภารกิจและเป้าหมายที่ควรจะเป็นของชีวิตมนุษย์  คนเราจะค่อยๆ ระลึกรู้ว่า หากคนเราไม่นมัสการพระผู้สร้าง หากคนเราไม่ยอมสยบอยู่ใต้อำนาจครอบครองของพระองค์แล้วไซร้ ครั้นถึงคราวเผชิญกับความตาย—คราที่ดวงวิญญาณของคนเรากำลังจะเผชิญหน้ากับพระผู้สร้างอีกครั้ง—หัวใจของคนเราจะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและความวุ่นวายสับสนอันไร้ขีดจำกัด  หากบุคคลหนึ่งได้อยู่ในโลกมาหลายสิบปีแล้ว ทว่ายังไม่เข้าใจว่าชีวิตมนุษย์มาจากไหน ทั้งยังไม่ระลึกรู้ว่าชะตากรรมของมนุษย์วางอยู่ในฝ่ามือของใคร เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าประหลาดใจเลยที่พวกเขาจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับความตายได้อย่างสงบ  ในหลายสิบปีแห่งประสบการณ์ชีวิตมนุษย์ของพวกเขา บุคคลหนึ่งซึ่งได้รับความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้างคือบุคคลที่มีความซาบซึ้งในความหมายและคุณค่าของชีวิตอย่างถูกต้อง  บุคคลเช่นนั้นมีความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับจุดประสงค์ของชีวิต พร้อมด้วยประสบการณ์และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง และที่เหนือล้ำไปกว่านั้นก็คือ สามารถที่จะนบนอบสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  บุคคลเช่นนั้นเข้าใจความหมายของการที่พระผู้สร้างทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา เข้าใจว่ามนุษย์ควรนมัสการพระผู้สร้าง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ครอบครองนั้นมาจากพระผู้สร้างและจะคืนกลับไปสู่พระองค์ในสักวันหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลในอนาคต  บุคคลประเภทนี้เข้าใจว่าพระผู้สร้างทรงจัดการเตรียมการกำเนิดของมนุษย์และทรงมีอธิปไตยเหนือความตายของมนุษย์ และว่าทั้งชีวิตและความตายได้ถูกสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว  ดังนั้น เมื่อคนเราจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงในสิ่งเหล่านี้ คนเราจะสามารถเผชิญหน้าความตายได้อย่างสงบเป็นธรรมดา สามารถวางสิ่งภายนอกทั้งหมดของคนเราลงอย่างสงบ ยอมรับและน้อมรับทุกสิ่งที่ตามมาอย่างมีความสุข และยินดีต้อนรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายซึ่งถูกจัดการเตรียมการโดยพระผู้สร้างอย่างที่มันเป็น แทนที่จะหวาดหวั่นกับมันและดิ้นรนขัดขืนมันอย่างมืดบอด  หากคนเรามองว่าชีวิตคือโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้างและมารู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์ หากคนเรามองชีวิตของตนว่าเป็นโอกาสอันหาได้ยากที่จะลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะมนุษย์ทรงสร้างและทำภารกิจของตนให้เสร็จสิ้น เช่นนั้นแล้ว คนเราก็จะมีทรรศนะที่ถูกต้องต่อชีวิตอย่างแน่นอน จะมีชีวิตที่ได้รับพรและการทรงนำจากพระผู้สร้างอย่างแน่นอน จะเดินในความสว่างแห่งพระผู้สร้างอย่างแน่นอน จะรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างแน่นอน จะยอมสยบอยู่ใต้อำนาจครอบครองของพระองค์อย่างแน่นอน และจะกลายมาเป็นพยานให้กับกิจการอันอัศจรรย์เลิศเลอของพระองค์ พยานต่อสิทธิอำนาจของพระองค์อย่างแน่นอน คงไม่จำเป็นต้องพูดว่า บุคคลเช่นนั้นจะได้รับความรักและการยอมรับจากพระผู้สร้างอย่างแน่นอน และมีเพียงบุคคลเช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถมีท่าทีที่สงบต่อความตาย และยินดีต้อนรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตด้วยความชื่นบาน  เห็นได้ชัดว่าบุคคลหนึ่งซึ่งมีท่าทีประเภทนี้กับความตายก็คือโยบ โยบอยู่ในสถานะที่ยอมรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตอย่างมีความสุข และได้นำการเดินทางแห่งชีวิตของเขาไปสู่บทสรุปที่ราบรื่น และทำภารกิจในชีวิตของเขาจนเสร็จสมบูรณ์ เขาได้กลับคืนไปอยู่เคียงข้างพระผู้สร้าง

5) กิจที่เสาะแสวงทำและสิ่งที่ได้รับมาในชีวิตของโยบอำนวยให้เขาเผชิญความตายโดยสงบ

ในข้อพระคัมภีร์ได้เขียนเกี่ยวกับโยบไว้ว่า “และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว” (โยบ 42:17)  นี่หมายความว่า เมื่อโยบตายจากไป เขาไม่มีความเสียใจและไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย แต่ไปจากพิภพนี้อย่างเป็นธรรมชาติ  ดังที่ทุกคนรู้กันแล้ว โยบเป็นชายผู้หนึ่งซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วในขณะที่เขายังมีชีวิต  ความประพฤติของเขาได้รับการชมเชยจากพระเจ้าและได้รับการรำลึกถึงโดยผู้อื่น และชีวิตของเขาอาจกล่าวได้ว่ามีคุณค่าและนัยสำคัญที่เกินล้ำผู้อื่นทั้งปวง  โยบได้ชื่นชมพรจากพระเจ้า และได้รับการเรียกขานว่าชอบธรรมจากพระองค์บนแผ่นดินโลก เขาถูกพระเจ้าทดสอบและถูกซาตานทดลองอีกด้วย  เขาได้ยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้าและคู่ควรที่จะได้รับการเรียกขานจากพระองค์ว่าบุคคลผู้ชอบธรรม  ในหลายทศวรรษหลังจากที่เขาถูกพระเจ้าทดสอบ เขาใช้ชีวิตที่ยิ่งมีค่ากว่า เปี่ยมความหมายกว่า เป็นหลักเป็นฐานกว่า และเปี่ยมสันติสุขกว่าแต่ก่อน  เนื่องเพราะความประพฤติอันชอบธรรมของเขา พระเจ้าจึงทรงทดสอบเขา และเนื่องเพราะความประพฤติอันชอบธรรมของเขาอีกเช่นกัน พระเจ้าจึงได้ทรงปรากฏแก่เขาและตรัสกับเขาโดยตรง  ดังนั้น หลายปีหลังจากที่เขาถูกทดสอบ โยบก็ได้เข้าใจและได้ซาบซึ้งในคุณค่าของชีวิตอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ได้บรรลุความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง และได้รับความรู้ที่เที่ยงตรงและแน่ชัดมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระผู้สร้างประทานและนำพรของพระองค์คืนไป  หนังสือของโยบบันทึกว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าถึงกับประทานพรแก่โยบมากมายกว่าที่พระองค์เคยทำมาก่อน โดยถึงกับทรงวางโยบในตำแหน่งที่จะรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างและเผชิญกับความตายอย่างสงบได้ดีขึ้น  ดังนั้นเมื่อโยบแก่ตัวลงและเผชิญหน้าความตาย แน่นอนว่าเขาย่อมจะไม่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของเขาเลย  เขาไม่มีความห่วงกังวล ไม่มีอะไรให้เสียใจ และแน่นอนว่าไม่ได้เกรงกลัวความตาย เนื่องเพราะเขาได้ใช้ชีวิตทั้งหมดของเขาไปกับการเดินบนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องห่วงกังวลเกี่ยวกับจุดจบของตัวเขาเอง  ทุกวันนี้มีผู้คนกี่คนเล่าที่สามารถปฏิบัติในทุกทางเหมือนกับที่โยบได้ทำตอนที่เขาได้เผชิญหน้ากับความตายของตัวเขาเอง?  เหตุใดจึงไม่มีใครสามารถรักษาบุคลิกลักษณะภายนอกที่เรียบง่ายแบบนั้น?  มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นก็คือ โยบได้ใช้ชีวิตของเขาในการไล่ตามเสาะหาการเชื่อ ความระลึกรู้ และการนบนอบอธิปไตยของพระเจ้าด้วยตัวเขาเอง  และด้วยการเชื่อ การระลึกรู้ และการนบนอบนี้เองที่เขาได้ใช้ก้าวผ่านหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในชีวิต ได้ใช้ชีวิตในช่วงหลายปีสุดท้ายของเขา และได้ต้อนรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย  ไม่ว่าสิ่งที่โยบได้รับประสบการณ์จะเป็นอะไร กิจต่างๆ ที่เขาเสาะแสวงทำและเป้าหมายในชีวิตของเขานั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เป็นความสุข  เขาไม่ได้มีความสุขเพียงเพราะพรต่างๆ หรือการเห็นชอบที่พระผู้สร้างประทานแก่เขาเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเพราะกิจที่เขาเสาะแสวงทำและเป้าหมายชีวิตของเขา เพราะการเติบโตของความรู้และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้างที่เขาได้บรรลุโดยผ่านทางความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว และยิ่งไปกว่านั้น เพราะประสบการณ์ส่วนตัวของเขา ในฐานะผู้ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง อยู่ภายใต้กิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า และเพราะประสบการณ์และความทรงจำอันแผ่วเบาทว่าไม่อาจลืมเลือนได้เกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์กัน การได้ใกล้ชิดสนิทสนม และความเข้าใจในกันและกันระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  โยบมีความสุขก็เพราะความชูใจและความชื่นบานที่มาจากการได้รู้เจตนารมณ์ของพระผู้สร้าง และเพราะความยำเกรงซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ได้เห็นว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ น่าอัศจรรย์ ดีงาม และสัตย์ซื่อ  โยบสามารถเผชิญความตายโดยปราศจากความทุกข์ใดๆ ก็เพราะเขาได้รู้ว่า ในการตายนั้น เขาจะได้กลับไปเคียงข้างพระผู้สร้าง  กิจต่างๆ ที่เขาได้เสาะแสวงทำและสิ่งต่างๆ ที่เขาได้รับมาในชีวิตนั่นเองที่ได้อำนวยให้เขาเผชิญกับความตายอย่างสงบ อำนวยให้เขาเผชิญกับความน่าจะเป็นของการที่พระผู้สร้างจะทรงนำชีวิตของเขาคืนไปได้อย่างสงบ และยิ่งไปกว่านั้น อำนวยให้เขาได้ยืนอย่างไร้มลทินและไร้กังวลเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้สร้าง  ทุกวันนี้ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ความสุขประเภทที่โยบได้มีหรือไม่?  พวกเจ้ามีภาวะที่จำเป็นสำหรับการทำเช่นนั้นหรือไม่?  ในเมื่อทุกวันนี้ผู้คนมีภาวะเหล่านี้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถที่จะมีชีวิตอย่างเป็นสุขดังเช่นที่โยบได้มี?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถหลีกหนีความทุกข์ของการเกรงกลัวความตายได้?  ในตอนที่กำลังเผชิญกับความตาย ผู้คนบางคนปัสสาวะราดออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ส่วนคนอื่นๆ ก็สั่นเทิ้ม เป็นลมหมดสติ ต่อว่าฟ้าสวรรค์และมนุษย์ไม่ต่างกัน บางคนถึงกับร่ำไห้คร่ำครวญ  เหล่านี้หาใช่ปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันเมื่อความตายคืบใกล้เข้ามาแต่อย่างใดไม่ โดยหลักแล้ว ผู้คนประพฤติไปในทางที่น่าตะขิดตะขวงใจเหล่านี้ก็เพราะลึกลงไปภายในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาเกรงกลัวความตาย เพราะพวกเขาไม่มีความรู้ที่ชัดเจนและความซึ้งคุณค่าในอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์ นับประสาอะไรที่จะนบนอบสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง  ผู้คนมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ก็เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรเลยนอกจากจัดการเตรียมการและกำกับดูแลทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวพวกเขาเอง ควบคุมชะตากรรมของพวกเขาเอง ชีวิตและความตายของพวกเขาเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่พวกเขาไม่เคยสามารถที่จะหลีกหนีความเกรงกลัวที่มีต่อความตายได้

6) โดยการยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้างเท่านั้นที่คนเราจะสามารถคืนกลับไปเคียงข้างพระองค์ได้

เมื่อคนเราไม่มีความรู้และประสบการณ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ความรู้ของคนเราเกี่ยวกับชะตากรรมและความตายก็ย่อมจะไม่ปะติดปะต่อกันอย่างเลี่ยงไม่ได้  ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นวางอยู่ในฝ่าพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ตระหนักว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมและอธิปไตยของพระเจ้า ไม่ระลึกรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถปลดเปลื้อง หรือหลีกหนีอธิปไตยดังกล่าวไปได้  ด้วยเหตุผลนี้เอง เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญกับความตาย จึงมีคำสั่งเสีย ความห่วงกังวล ความเสียใจของพวกเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  พวกเขาหนักอึ้งไปด้วยปมในใจมากมายเหลือเกิน ความรู้สึกอิดออดไม่เต็มใจมากมายเหลือเกิน ความรู้สึกสับสนมากมายเหลือเกิน  นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเกรงกลัวความตาย  สำหรับบุคคลใดก็ตามที่ได้ถือกำเนิดมาในพิภพนี้ การเกิดเป็นสิ่งจำเป็น และความตายเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีใครเลยที่สามารถผงาดเหนือครรลองของสิ่งต่างๆ  หากคนเราปรารถนาที่จะจากพิภพนี้ไปอย่างไร้ความเจ็บปวด หากคนเราต้องการที่จะสามารถเผชิญหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตโดยปราศจากความฝืนใจหรือความห่วงกังวล หนทางเดียวก็คือจากไปอย่างไม่มีความรู้สึกเสียใจ  และหนทางเดียวที่จะจากไปโดยปราศจากความรู้สึกเสียใจเลยก็คือ การรู้จักอธิปไตยของพระเจ้า รู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์ และนบนอบพระองค์  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถอยู่ห่างไกลจากความต่อสู้ดิ้นรนของมนุษย์ จากความชั่ว จากพันธนาการของซาตาน และเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถใช้ชีวิตเหมือนชีวิตของโยบ ได้รับการทรงนำและได้รับพรจากพระผู้สร้างได้ ชีวิตหนึ่งซึ่งเป็นอิสระและมีเสรีภาพ ชีวิตหนึ่งซึ่งมีค่าและความหมาย ชีวิตหนึ่งซึ่งซื่อสัตย์และจริงใจเปิดเผย  เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถน้อมรับต่อการทดสอบและการลิดรอนของพระผู้สร้าง การจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างได้เหมือนกับโยบ  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราสามารถนมัสการพระผู้สร้างด้วยชีวิตทั้งหมดของคนเรา และได้รับการเห็นชอบจากพระองค์ ดังที่โยบได้ทำ และได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ มองเห็นพระองค์ทรงปรากฏ  เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถมีชีวิตอยู่และตายไปอย่างเป็นสุข ปราศจากความเจ็บปวด ปราศจากความห่วงกังวล ปราศจากความรู้สึกเสียใจเหมือนกับโยบ เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถมีชีวิตอยู่ในความสว่างเหมือนกับโยบ และผ่านทุกหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตในความสว่าง เสร็จสิ้นการเดินทางของคนเราในความสว่างอย่างราบรื่น เสร็จสิ้นภารกิจของคนเราอย่างประสบความสำเร็จ—ได้รับประสบการณ์ เรียนรู้ และมารู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—และตายจากไปในความสว่าง และยืนเคียงข้างพระผู้สร้างตราบชั่วนิจนิรันดร์ ในฐานะมนุษย์ที่ทรงสร้างและที่พระองค์ทรงเห็นชอบ

จงอย่าพลาดโอกาสเหมาะที่จะได้รู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง

หัวเลี้ยวหัวต่อทั้งหกที่พรรณนาไปข้างต้นเป็นระยะที่มีความสำคัญยิ่งยวดซึ่งพระผู้สร้างทรงวางไว้ และบุคคลปกติทุกคนต้องผ่านล่วงในชีวิตของพวกเขา  จากมุมมองของมนุษย์ ทุกหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เป็นจริง ไม่มีใครสามารถเดินเลี่ยงไปได้ และหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งหมดมีความสัมพันธ์กับการลิขิตไว้ล่วงหน้าและอธิปไตยของพระผู้สร้าง  ดังนั้น สำหรับมนุษย์แล้ว แต่ละหัวเลี้ยวหัวต่อนี้คือด่านสำคัญ และตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเผชิญหน้ากับคำถามที่จริงจังว่า จะผ่านแต่ละด่านไปอย่างประสบความสำเร็จได้อย่างไร

หลายทศวรรษที่ก่อเกิดเป็นชีวิตมนุษย์นั้นไม่ยาวและไม่สั้น ช่วงเวลายี่สิบปีเศษระหว่างการเกิดและการเจริญวัยไปเป็นผู้ใหญ่ผ่านไปในชั่วพริบตา และแม้ว่า ณ จุดนี้ของชีวิต บุคคลหนึ่งถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว แต่ผู้คนในกลุ่มอายุนี้แทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์และชะตากรรมมนุษย์  เมื่อพวกเขาเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาก็ค่อยๆ ก้าวไปสู่วัยกลางคน  ผู้คนในวัยสามสิบกว่าและสี่สิบกว่ามีประสบการณ์ของชีวิตและชะตากรรมในขั้นหัดบิน แต่แนวคิดของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงคลุมเครืออยู่มาก  กระทั่งถึงวัยสี่สิบแล้วนั่นเองที่ผู้คนบางคนเริ่มเข้าใจมวลมนุษย์และจักรวาลซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น และจับความเข้าใจได้ว่าชีวิตมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ชะตากรรมมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร  ผู้คนบางคนแม้ได้เป็นผู้ติดตามพระเจ้ามานานแล้วและตอนนี้อยู่ในวัยกลางคน ก็ยังคงไม่สามารถมีความรู้และนิยามที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้า นับประสาอะไรกับการนบนอบที่แท้จริง  ผู้คนบางคนไม่ใส่ใจในสิ่งใดเลยนอกจากการพยายามที่จะได้รับพร และแม้ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่มาหลายปี พวกเขาก็ไม่รู้หรือเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้างที่มีอยู่เหนือชะตากรรมมนุษย์เลยแม้แต่น้อย และไม่เคยแม้แต่จะก้าวเข้าสู่บทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าแต่อย่างใด  ผู้คนเช่นนั้นช่างโง่เขลาเบาปัญญาอย่างสิ้นเชิง และชีวิตของพวกเขาก็ถูกใช้ไปอย่างเปล่าประโยชน์

หากช่วงเวลาของชีวิตมนุษย์ถูกแบ่งออกตามระดับประสบการณ์ชีวิตและความรู้เกี่ยวกับชะตากรรมมนุษย์ของผู้คน พวกมันจะสามารถถูกแบ่งอย่างคร่าวๆ ได้เป็นสามระยะ  ระยะแรกคือวัยเยาว์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาระหว่างการเกิดและวัยกลางคน หรือจากการเกิดกระทั่งถึงวัยสามสิบปี  ระยะที่สองคือการเจริญวัยไปเป็นผู้ใหญ่ จากวัยกลางคนสู่วัยชรา หรือจากอายุสามสิบปีถึงหกสิบปี  และระยะที่สามคือช่วงเวลาแห่งการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวของคนเรา ซึ่งลงท้ายด้วยการเริ่มต้นของวัยชรา เริ่มจากอายุหกสิบปีจนกระทั่งคนเราไปจากพิภพนี้  พูดอีกอย่างได้ว่า ตั้งแต่การเกิดถึงวัยกลางคน ความรู้ของผู้คนส่วนใหญ่เกี่ยวกับชะตากรรมและชีวิตนั้นถูกจำกัดอยู่กับการลอกเลียนแนวคิดของผู้อื่น และแทบไม่มีสาระที่เป็นจริงในทางปฏิบัติเลย  ในระหว่างช่วงเวลานี้ ทรรศนะที่คนเรามีต่อชีวิตและหนทางทั้งหลายที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนั้นค่อนข้างผิวเผินและใสซื่อ  นี่คือช่วงเวลาอ่อนเยาว์ของคนเรา  เพียงหลังจากที่คนเราได้ลิ้มรสความชื่นบานและความโศกเศร้าทั้งมวลของชีวิตแล้วเท่านั้นที่คนเราได้รับความเข้าใจที่แท้จริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับชะตากรรม และ—โดยจิตใต้สำนึก ลึกลงไปในหัวใจของคนเรา—ค่อยๆ มาซึ้งคุณค่าของความมิอาจเปลี่ยนกลับได้ของชะตากรรม และตระหนักอย่างช้าๆ ว่า อธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมมนุษย์นั้นมีอยู่จริง  นี่คือช่วงเวลาแห่งการเจริญไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ของคนเรา  บุคคลหนึ่งเข้าสู่ช่วงเวลาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวของพวกเขาเมื่อพวกเขาหยุดดิ้นรนต่อต้านชะตากรรม และเมื่อพวกเขาไม่เต็มใจที่จะถูกดึงดูดเข้าสู่การต่อสู้ดิ้นรน และกลับรู้จักความเป็นไปของชีวิตตัวเอง นบนอบเจตจำนงของฟ้าสวรรค์ สรุปรวมผลสำเร็จและความผิดพลาดต่างๆ ในชีวิตของตนเอง และรอการพิพากษาของพระผู้สร้างที่มีต่อชีวิตของพวกเขาแทน  เมื่อพิจารณาประสบการณ์และสิ่งถือครองอันแตกต่างที่ผู้คนได้มาในระหว่างสามช่วงเวลานี้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกติ โอกาสทองที่คนเราจะได้รู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างนั้นไม่ได้มีมากมายนัก  หากคนเรามีชีวิตอยู่ถึงอายุหกสิบปี คนเราย่อมมีเวลาเพียงสามสิบปีโดยประมาณที่จะทำความรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง หากคนเราต้องการช่วงเวลาที่ยาวกว่านั้น นั่นก็เป็นไปได้ต่อเมื่อชีวิตคนเรายืนยาวเพียงพอ ต่อเมื่อคนเราสามารถมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งศตวรรษเท่านั้น  เราจึงพูดเลยว่า ตามกฎการดำรงอยู่ของมนุษย์ตามปกตินั้น แม้เป็นกระบวนการที่ยาวนานมาก นับจากตอนที่คนเราเผชิญกับหัวข้อของการทำความรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างเป็นครั้งแรกจนกระทั่งถึงเวลาที่คนเราสามารถระลึกรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยนั้น และจากตรงนั้นจนถึงจุดที่คนเราสามารถนบนอบอธิปไตยของพระผู้สร้าง หากคนเรานับปีดูจริงๆ แล้ว คนเรามีโอกาสไม่เกินสามสิบหรือสี่สิบปีเลยที่จะได้รับบำเหน็จรางวัลเหล่านี้  และบ่อยครั้งที่ผู้คนหลงลืมตัวไปกับความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของพวกเขาในการที่จะได้รับพร  ดังนั้นพวกเขาจึงมิอาจหยั่งรู้ว่า แก่นสารของชีวิตมนุษย์นั้นอยู่ที่ไหนและไม่จับความเข้าใจในความสำคัญของการทำความรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง  ผู้คนเช่นนั้นไม่หวงแหนโอกาสอันล้ำค่าของการเข้าสู่พิภพมนุษย์เพื่อมีประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์และอธิปไตยของพระผู้สร้างนี้ และพวกเขาหาได้ตระหนักไม่ว่าการที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้รับการทรงนำจากพระผู้สร้างด้วยพระองค์เองนั้นล้ำค่าอย่างไร  เราจึงพูดเลยว่า ผู้คนที่ต้องการให้พระราชกิจของพระเจ้าจบลงโดยเร็ว ผู้ซึ่งปรารถนาว่าพระเจ้าจะทรงจัดการเตรียมจุดจบของมนุษย์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่พวกเขาอาจมองเห็นสภาวะบุคคลที่แท้จริงของพระองค์ในทันที และได้รับพรโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้—พวกเขามีความผิดฐานไม่เชื่อฟังในระดับที่เลวร้ายที่สุด และพวกเขาช่างโง่เขลาอย่างถึงที่สุด  ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีปัญญาในหมู่มนุษย์ บรรดาผู้ที่มีความเฉียบแหลมทางจิตใจอย่างที่สุด คือผู้ที่พึงปรารถนาที่จะคว้าโอกาสอันไม่เหมือนใครนี้ไว้ในช่วงเวลาอันจำกัดของพวกเขา เพื่อทำความรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง  สองความอยากที่แตกต่างกันนี้เผยให้เห็นสองทรรศนะและการไล่ตามเสาะหาที่แตกต่างกันอย่างมหาศาล กล่าวคือ บรรดาผู้ที่แสวงหาพรมีความเห็นแก่ตัวและต่ำช้า แสดงให้เห็นการไร้ความคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่เคยพยายามทำความรู้จักอธิปไตยของพระเจ้า ไม่เคยพึงปรารถนาที่จะนบนอบอธิปไตยนั้น แต่แค่ต้องการมีชีวิตตามที่พวกเขาพอใจ  พวกเขาเป็นพวกคนเสื่อมที่ไม่อนาทรร้อนใจ และเป็นผู้คนในหมวดหมู่นี้นี่เองที่จะถูกทำลายล้าง  บรรดาผู้ที่พยายามทำความรู้จักพระเจ้านั้นสามารถวางความอยากของตัวเองลง มีความเต็มใจที่จะนบนอบอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขาเสาะเสวงที่จะเป็นผู้คนประเภทที่นบนอบสิทธิอำนาจของพระเจ้าและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ผู้คนดังกล่าวมีชีวิตอยู่ในความสว่างและในท่ามกลางพรของพระเจ้า และแน่นอนว่าพวกเขาจะได้รับการชมเชยจากพระเจ้า  ไม่ว่าอย่างไร ทางเลือกของมนุษย์นั้นไม่มีประโยชน์ และมนุษย์ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะใช้เวลานานเท่าใด  จะเป็นการดีกับผู้คนมากกว่าหากพวกเขาปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามพระปรานีของพระเจ้าและนบนอบอธิปไตยของพระองค์  หากเจ้าไม่วางตัวเองให้เป็นไปตามพระปรานีของพระเจ้าแล้วไซร้ อะไรเล่าที่เจ้าจะสามารถทำได้?  พระเจ้าจะทรงได้ผลลัพธ์เป็นการทนทุกข์กับความสูญเสียอันใดอย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าไม่ปล่อยตัวเองให้ขึ้นอยู่กับพระปรานีของพระเจ้า แต่กลับพยายามวางตัวเองเป็นผู้กำกับควบคุมแล้วไซร้ เจ้าก็กำลังสร้างทางเลือกที่โง่เขลา และท้ายที่สุดเจ้าก็จะเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ทนทุกข์กับความสูญเสีย  ต่อเมื่อผู้คนให้ความร่วมมือกับพระเจ้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น ต่อเมื่อผู้คนรีบเร่งที่จะยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ ทำความรู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์ และทำความเข้าใจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำเพื่อพวกเขาเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีความหวัง  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่ชีวิตของพวกเขาจะไม่ถูกใช้ให้หมดไปอย่างไร้ประโยชน์ และพวกเขาจะได้รับความรอด

ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงกุมอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์

หลังจากที่ได้ฟังทุกสิ่งที่เราเพิ่งได้พูดไป แนวคิดของพวกเจ้าเกี่ยวกับชะตากรรมได้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?  เจ้าเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมของมนุษย์ว่าอย่างไร?  พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า ทุกบุคคลยอมรับอธิปไตยของพระองค์และการจัดการเตรียมการของพระองค์ในเชิงรุกหรือไม่ก็ในเชิงรับ และไม่ว่าคนเราดิ้นรนอย่างไรในครรลองชีวิตของคนเรา ไม่ว่าคนเราเดินไปบนเส้นทางคดเคี้ยวสักกี่สาย ในท้ายที่สุดแล้ว คนเราจะกลับคืนสู่วงโคจรแห่งชะตากรรมที่พระผู้สร้างได้ทรงขีดเส้นไว้ให้พวกเขา  นี่คือความมิอาจถูกพิชิตได้แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างและลักษณะที่สิทธิอำนาจของพระองค์ควบคุมและกำกับดูแลจักรวาล  การควบคุมและกำกับดูแลในรูปแบบของความมิอาจถูกพิชิตได้นี้นี่เองที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบกฎต่างๆ ที่ลิขิตชีวิตของทุกสรรพสิ่ง อำนวยให้มนุษย์มาเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยปราศจากการแทรกแซง ทำให้โลกหมุนตามปกติและเคลื่อนไปข้างหน้าวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า  พวกเจ้าได้เป็นพยานให้กับข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้และเจ้าเข้าใจพวกมัน ไม่ว่าจะอย่างผิวเผินหรือลึกซึ้ง และความลึกซึ้งของความเข้าใจของเจ้าก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับความจริง และขึ้นอยู่กับความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า  เจ้ารู้จักความเป็นจริงความจริงดีเพียงใด เจ้าผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว เจ้ารู้จักแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าดีเพียงใด—เหล่านี้ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งของความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  การดำรงอยู่ของอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าขึ้นอยู่กับการที่มนุษย์นบนอบหรือไม่นบนอบพวกมันหรือไม่?  ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจนี้ถูกกำหนดโดยการที่มนุษยชาตินบนอบหรือไม่นบนอบสิทธิอำนาจนี้หรือไม่?  สิทธิอำนาจของพระเจ้าดำรงอยู่ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นอย่างไร  ในทุกสถานการณ์ พระเจ้าทรงสั่งการและจัดการเตรียมทุกชะตากรรมมนุษย์และทุกสรรพสิ่งตามพระดำริและพระประสงค์ของพระองค์  ความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์จะไม่ส่งผลให้การนี้เปลี่ยนแปลงไป  มันเป็นอิสระจากเจตจำนงของมนุษย์ ไม่สามารถถูกแก้ไขดัดแปลงโดยความเปลี่ยนแปลงใดๆ ของกาลเวลา พื้นที่ และภูมิประเทศ เนื่องเพราะสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นคือแก่นแท้ของพระองค์นั่นเอง  ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถรู้จักและยอมรับอธิปไตยของพระเจ้าได้หรือไม่ และไม่ว่ามนุษย์จะสามารถนบนอบอธิปไตยนี้ได้หรือไม่—ข้อพิจารณาทั้งสองนี้ไม่ได้ดัดแปลงแก้ไขข้อเท็จจริงที่ว่าอธิปไตยของพระเจ้าอยู่เหนือชะตากรรมมนุษย์แม้แต่น้อย  กล่าวได้ว่า ไม่ว่ามนุษย์มีท่าทีเช่นไรต่ออธิปไตยของพระเจ้า ท่าทีนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงกุมอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์และเหนือทุกสรรพสิ่งได้อยู่ดี  ต่อให้เจ้าไม่นบนอบอธิปไตยของพระเจ้า พระองค์ก็ยังทรงบัญชาชะตากรรมของเจ้าอยู่ดี ต่อให้เจ้าไม่สามารถรู้จักอธิปไตยของพระองค์ สิทธิอำนาจของพระองค์ก็ยังคงมีอยู่จริง  สิทธิอำนาจของพระเจ้าและข้อเท็จจริงที่อธิปไตยของพระเจ้าอยู่เหนือชะตากรรมมนุษย์นั้นเป็นอิสระจากเจตจำนงของมนุษย์ และไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเลือกชอบหรือทางเลือกของมนุษย์  สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นอยู่ในทุกแห่งหน ทุกโมงยาม ทุกขณะเวลา  ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะจากไป แต่สิทธิอำนาจของพระองค์จะไม่มีวันจากไป เพราะพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์ทรงครองสิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ และสิทธิอำนาจของพระองค์ไม่ถูกจำกัดหรือขีดคั่นโดยผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งต่างๆ โดยห้วงอวกาศ หรือภูมิประเทศ  ตลอดเวลาทั้งหมด พระเจ้าทรงกวัดไกวสิทธิอำนาจของพระองค์ แสดงพระอิทธิฤทธิ์ของพระองค์ สืบสานพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ดังพระองค์ได้ทรงทำเสมอ ตลอดเวลาทั้งหมด พระองค์ทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง ทรงจัดเตรียมเพื่อทุกสรรพสิ่ง ทรงจัดวางเรียบเรียงทุกสรรพสิ่ง—ดังเช่นที่พระองค์ได้ทรงทำเสมอ  ไม่มีใครเลยที่เปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้  มันคือข้อเท็จจริง มันคือความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับแต่ครั้งโบราณกาล!

ท่าทีและการปฏิบัติอันเหมาะสมสำหรับผู้ซึ่งปรารถนาจะนบนอบสิทธิอำนาจของพระเจ้า

ตอนนี้มนุษย์รู้และคำนึงถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมของมนุษย์ด้วยท่าทีอะไร?  นี่คือปัญหาที่แท้จริงปัญหาหนึ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าทุกบุคคล  ในเวลาที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาในชีวิตจริง เจ้าควรรู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์อย่างไร?  เมื่อเจ้าถูกประจันหน้าด้วยปัญหาเหล่านี้ และไม่รู้ว่าจะทำความเข้าใจ รับมือ และรับประสบการณ์กับมันอย่างไร ท่าทีอะไรที่เจ้าควรนำมาใช้เพื่อแสดงให้เห็นจริงถึงเจตนาของเจ้าที่จะนบนอบ ความอยากที่จะนบนอบ และความเป็นจริงของการนบนอบของเจ้าต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า?  ก่อนอื่น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะรอคอย จากนั้นเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหา แล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบ  “การรอคอย” หมายถึงการรอคอยเวลาของพระเจ้า  การรอผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมไว้ให้เจ้า การรอคอยให้เจตนารมณ์ของพระองค์ค่อยๆ เผยตัวให้เจ้ารู้  “การแสวงหา” หมายถึง การสังเกตและการทำความเข้าใจพระเจตนาอันเปี่ยมด้วยพระดำริของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าโดยผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงวางโครงร่างเอาไว้ การทำความเข้าใจความจริงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น การเข้าใจสิ่งที่พวกมนุษย์ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงและหนทางต่างๆ ที่พวกเขาต้องยึดถือไว้ การทำความเข้าใจในผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงตั้งใจที่จะสัมฤทธิ์ในมนุษย์และความสำเร็จลุล่วงอะไรที่พระองค์ทรงตั้งใจบรรลุในพวกเขา  “การนบนอบ” แน่นอนว่าย่อมอ้างอิงถึงการยอมรับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงจัดวางเรียบเรียงเอาไว้ การยอมรับในอธิปไตยของพระองค์ และโดยผ่านการยอมรับนี้ มารู้ว่าพระผู้สร้างทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมนุษย์อย่างไร พระองค์ทรงจัดหาให้กับมนุษย์ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างไร พระองค์ทรงพระราชกิจความจริงในมนุษย์อย่างไร  ทุกสรรพสิ่งภายใต้การจัดการเตรียมการและอธิปไตยของพระเจ้าเป็นไปโดยสอดคล้องกับกฎธรรมชาติต่างๆ และหากเจ้าตั้งปณิธานว่าจะยอมให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้า เจ้าควรเรียนรู้ที่จะรอคอย เจ้าควรเรียนรู้ที่จะแสวงหา และเจ้าควรเรียนรู้ที่จะนบนอบ  นี่คือท่าทีที่ทุกบุคคลผู้ซึ่งต้องการที่จะนบนอบสิทธิอำนาจของพระเจ้าต้องนำมาใช้ คุณสมบัติพื้นฐานที่ทุกบุคคลผู้ซึ่งต้องการที่จะยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าต้องมี  เพื่อที่จะมีท่าทีเช่นนั้น เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเช่นนั้น เจ้าต้องทำงานหนักขึ้น  นี่คือหนทางเดียวที่เจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงที่แท้จริงได้

การยอมรับพระเจ้าเป็นองค์อธิปัตย์ผู้ทรงเอกลักษณ์ของเจ้าคือก้าวแรกในการได้รับความรอด

ความจริงต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าคือความจริงที่ทุกบุคคลต้องคำนึงถึงอย่างจริงจัง ต้องได้รับประสบการณ์และเข้าใจด้วยหัวใจของพวกเขา เพราะความจริงเหล่านี้มีผลต่อชีวิตของทุกบุคคล ต่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคตของทุกบุคคล  ต่อหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญยิ่งยวดที่ทุกบุคคลต้องผ่านในชีวิต ต่อความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าและท่าทีที่คนเราควรใช้เผชิญกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า และต่อบั้นปลายสุดท้ายของทุกบุคคลเป็นธรรมดา  ดังนั้นจึงต้องใช้พลังงานทั้งชีวิตในการรู้จักและทำความเข้าใจความจริงเหล่านี้  เมื่อเจ้ามองดูสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างตรงๆ เต็มตา เมื่อเจ้ายอมรับอธิปไตยของพระองค์ เจ้าจะค่อยๆ มาตระหนักและเข้าใจความจริงของการดำรงอยู่ของสิทธิอำนาจของพระเจ้า  แต่หากเจ้าไม่เคยระลึกรู้สิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่เคยยอมรับอธิปไตยของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่กี่ปี เจ้าก็จะไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าแม้แต่น้อยเลย  หากเจ้าไม่รู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้วไซร้ เมื่อเจ้าไปถึงสุดปลายถนน ต่อให้เจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายทศวรรษ เจ้าก็จะไม่มีอะไรมาแสดงให้เห็นว่าชีวิตเจ้าสัมฤทธิ์สิ่งใดบ้าง และเจ้าก็จะไม่มีความรู้แม้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์เป็นธรรมดา  นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าเศร้ามากหรอกหรือ?  ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าได้เดินมาไกลเพียงใดแล้วในชีวิต ไม่ว่าตอนนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ไม่ว่าการเดินทางที่เหลือของเจ้าอาจยาวไกลสักเท่าใด ก่อนอื่น เจ้าต้องระลึกรู้สิทธิอำนาจของพระเจ้าและจริงจังกับมัน และยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าคือองค์อธิปัตย์ผู้ทรงเอกลักษณ์ของเจ้า  การบรรลุความรู้ที่ชัดเจนแม่นยำและการเข้าใจความจริงเหล่านี้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์คือบทเรียนภาคบังคับสำหรับทุกคน มันคือกุญแจของการรู้จักชีวิตมนุษย์และการบรรลุความจริง  นี่ยังเป็นชีวิตและบทเรียนพื้นฐานแห่งการทำความรู้จักพระเจ้าที่ทุกคนต้องเผชิญในแต่ละวันอีกด้วย ซึ่งไม่มีใครเลยที่สามารถเลี่ยงหนีได้  หากใครบางคนปรารถนาที่จะใช้ทางลัดในการไปถึงเป้าหมายนี้ เช่นนั้นแล้ว เราบอกเจ้าตอนนี้เลยว่า มันเป็นไปไม่ได้!  หากเจ้าต้องการหลีกหนีอธิปไตยของพระเจ้า นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่!  พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียวของมนุษย์ พระเจ้าคือองค์อธิปัตย์เพียงองค์เดียวของชะตากรรมมนุษย์ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของเขาเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะก้าวออกนอกชะตากรรมนั้น  ไม่ว่าคนเราจะมีความสามารถมากมายขนาดไหน คนเราก็ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อชะตากรรมของผู้อื่น นับประสาอะไรที่จะสามารถจัดวางเรียบเรียง จัดการเตรียมการ ควบคุม หรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมเหล่านั้น  มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงมีเอกลักษณ์พระองค์เอง เท่านั้นที่ครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งเกี่ยวกับมนุษย์  เนื่องจากมีเพียงพระเจ้าผู้ทรงมีเอกลักษณ์พระองค์เองเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์และกุมอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่เป็นองค์อธิปัตย์ผู้ทรงเอกลักษณ์ของมนุษย์  สิทธิอำนาจของพระเจ้าไม่เพียงกุมอธิปไตยเหนือมนุษยชาติที่ทรงสร้างมาเท่านั้น แต่เหนือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้ทรงสร้างซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดสามารถมองเห็นได้ เหนือหมู่ดาว และเหนือห้วงจักรวาลอีกด้วย  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้ ข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่จริง ซึ่งไม่มีบุคคลใดหรือสิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้  หากยังมีพวกเจ้าสักคนหนึ่งไม่พึงพอใจกับสิ่งต่างๆ ตามที่พวกมันเป็นอยู่ โดยเชื่อว่าเจ้ามีทักษะหรือความสามารถพิเศษบางอย่าง และยังคิดไปอีกว่าด้วยจังหวะแห่งโชคดีบางอย่าง เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ในปัจจุบันของเจ้าได้ หรือไม่เช่นนั้นก็หลีกหนีพวกมันได้ หากเจ้าพยายามที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเจ้าเองโดยใช้ความพยายามของมนุษย์ ซึ่งจะส่งผลให้เจ้าโดดเด่นกว่ามิตรสหายของเจ้าและทำให้มีชื่อเสียงและโชควาสนา เช่นนั้นแล้ว เราบอกเจ้าเลยว่า เจ้ากำลังทำสิ่งต่างๆ ให้ยากสำหรับตัวเจ้าเอง เจ้าแค่กำลังหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น เจ้ากำลังขุดหลุมศพให้ตัวเอง!  สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะค้นพบว่าตัวเจ้าได้เลือกทางผิดไป และความพยายามต่างๆ ของเจ้านั้นสูญเปล่า  ความทะเยอทะยานของเจ้า ความอยากที่จะดิ้นรนต่อต้านชะตากรรม และการประพฤติปฏิบัติอันผิดมหันต์ของตัวเจ้าเองจะนำเจ้าล่องไปตามถนนที่ไม่มีทางย้อนคืน และเจ้าจะต้องจ่ายราคาที่สาสมกับการกระทำนี้  แม้ว่าในตอนนี้เจ้ามองไม่เห็นความร้ายแรงของผลสืบเนื่องที่ตามมา แต่เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับความจริงต่อไปและซึ้งคุณค่าของความจริงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า พระเจ้าคือองค์อธิปัตย์ของชะตากรรมมนุษย์ เจ้าจึงจะมาตระหนักอย่างช้าๆ ในสิ่งที่เราพูดถึงในวันนี้และความนัยที่แท้จริงของมัน  การที่เจ้าจะมีหัวใจและจิตวิญญาณอย่างแท้จริงหรือไม่ และการที่เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งรักความจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีต่ออธิปไตยของพระเจ้าและต่อความจริงว่าเป็นท่าทีแบบใด  โดยธรรมชาติแล้ว นี่จึงเป็นสิ่งที่กำหนดว่าเจ้าสามารถที่จะรู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่  หากในชีวิตของเจ้า เจ้าไม่เคยเลยที่จะสำนึกรับรู้ถึงอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และยิ่งไม่เคยระลึกรู้และยอมรับสิทธิอำนาจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไร้คุณค่าอย่างถึงที่สุด และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระเจ้า อันเนื่องมาจากเส้นทางที่เจ้าได้ใช้เดินและทางเลือกที่เจ้าได้เลือกไป  แต่ในพระราชกิจของพระเจ้า บรรดาผู้ที่สามารถยอมรับการทดสอบของพระองค์ ยอมรับอธิปไตยของพระองค์ นบนอบสิทธิอำนาจของพระองค์ และค่อยๆ ได้รับประสบการณ์จริงของพระวจนะของพระองค์ จะได้บรรลุความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า และตระหนักรู้คุณค่าแห่งอธิปไตยของพระองค์อย่างแท้จริง พวกเขาจะยอมสยบให้แก่พระผู้สร้างอย่างแท้จริง  ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง  เพราะพวกเขาได้รู้จักอธิปไตยของพระเจ้าแล้ว เพราะพวกเขาได้ยอมรับมันแล้ว พวกเขามีความซึ้งคุณค่าที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นจริงในการนบนอบต่อข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าคือองค์อธิปัตย์เหนือชะตากรรมของมนุษย์ เมื่อพวกเขาเผชิญความตาย พวกเขาจะมีจิตใจที่ไม่สะทกสะท้านต่อความตายเหมือนกับโยบ และนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการในทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า โดยไม่มีตัวเลือกของปัจเจกบุคคล ไม่มีความอยากของปัจเจกบุคคล  มีเพียงบุคคลเช่นนั้นเท่านั้นที่จะสามารถหวนคืนไปเคียงข้างพระผู้สร้างในฐานะมนุษย์ทรงสร้างที่แท้จริง

17 ธันวาคม ค.ศ. 2013

ก่อนหน้า:  พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

ถัดไป:  พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger