ภาคผนวก: บทที่ 1

สิ่งที่เราขอให้พวกเจ้าทำไม่ใช่ทฤษฎีที่คลุมเครือและว่างเปล่าที่เราพูดถึง อีกทั้งไม่ใช่สิ่งที่สมองของมนุษย์ไม่สามารถจินตนาการได้หรือสิ่งที่เนื้อหนังของมนุษย์ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้  ผู้ใดสามารถจงรักภักดีโดยครบบริบูรณ์ภายในนิเวศของเรา?  และผู้ใดสามารถมอบทั้งหมดที่พวกเขามีภายในราชอาณาจักรของเรา?  หากไม่ใช่เพราะการเผยเจตนารมณ์ของเราแล้วไซร้ พวกเจ้าจะเรียกร้องให้ตัวเองสนองหัวใจของเราอย่างแท้จริงหรือไม่?  ไม่มีผู้ใดเคยเข้าใจหัวใจของเรา และไม่มีผู้ใดเคยล่วงรู้เจตนารมณ์ของเรา  ผู้ใดเคยเห็นใบหน้าของเราหรือได้ยินเสียงของเรา?  เปโตรเคยหรือ?  หรือเปาโล?  หรือยอห์น?  หรือยากอบ?  ผู้ใดเคยถูกเราสวมใส่เสื้อผ้าให้ หรือถูกเราครอง หรือถูกเราใช้?  แม้ว่าครั้งแรกที่เราบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นเกิดขึ้นภายในเทวสภาพ แต่เนื้อหนังที่เราสวมใส่ให้ตัวเราเองก็หาได้รู้จักความทุกข์ของมนุษย์ไม่ เพราะเราไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อยู่ในรูปร่าง และดังนั้นจึงไม่สามารถพูดได้ว่าเนื้อหนังได้ทำตามเจตจำนงของเราทุกประการแล้ว  เฉพาะเมื่อเทวสภาพของเราสามารถทำเช่นที่เราจะทำและพูดเช่นที่เราจะพูดภายในตัวบุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ โดยปราศจากอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางเท่านั้น จึงจะสามารถพูดได้ว่าเนื้อหนังทำตามเจตจำนงของเราแล้ว  เนื่องจากสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราสามารถเป็นโล่กำบังเทวสภาพของเราได้ ด้วยเหตุนั้นจุดมุ่งหมายของเราในการมีความถ่อมใจและลี้ลับจึงสัมฤทธิ์  ในระหว่างช่วงระยะของงานในเนื้อหนังนั้น ถึงแม้ว่าเทวสภาพกระทำการโดยตรง ผู้คนก็มองไม่เห็นการกระทำเช่นนั้นโดยง่าย ซึ่งก็เป็นเพราะชีวิตและการกระทำของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติเท่านั้น  การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ไม่สามารถถืออดอาหารเป็นเวลา 40 วันเหมือนกับการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรก แต่ทำงานและพูดตามปกติ ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลาย แต่พระองค์ก็ทรงปกติมาก หาได้เป็นเช่นที่ผู้คนจินตนาการไม่ นั่นคือ พระสุรเสียงของพระองค์ไม่เหมือนเสียงฟ้าร้อง พระพักตร์ของพระองค์ไม่ได้เปล่งประกายสว่างไสว และฟ้าสวรรค์ก็ไม่ได้สั่นสะเทือนเมื่อพระองค์ทรงดำเนิน  หากเป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ ก็คงไม่มีปัญญาของเราในการนี้เลย และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ซาตานอับอายและพ่ายแพ้

เมื่อเราแสดงเทวสภาพของเราอยู่เบื้องหลังโล่กำบังแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ เราก็ได้รับสง่าราศีอย่างเต็มที่ งานอันยิ่งใหญ่ของเราสำเร็จลุล่วง และไม่มีความลำบากยากเย็นใดๆ  นี่เป็นเพราะจุดมุ่งหมายแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ของเราโดยหลักแล้วก็เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่เชื่อในเราทั้งปวงมองดูกิจการแห่งเทวสภาพของเราในเนื้อหนัง และมองเห็นพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงพระองค์เอง อันเป็นการขจัดพื้นที่ภายในหัวใจของผู้คนที่ถูกพระเจ้าผู้ไม่ปรากฏแก่ตาและไม่สามารถจับต้องได้นั้นยึดครอง  เพราะเรากิน สวมใส่เสื้อผ้า นอนหลับ อยู่อาศัย และกระทำตัวเช่นบุคคลปกติ เพราะเราพูดและหัวเราะเช่นบุคคลปกติ และมีความจำเป็นทั้งหลายของบุคคลปกติ พร้อมทั้งครองแก่นแท้แห่งเทวสภาพอันเต็มเปี่ยมอีกด้วย เราจึงถูกขนานนามว่า “พระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริง”  นี่ไม่ใช่นามธรรม และเป็นการง่ายที่จะเข้าใจ ในการนี้สามารถมองเห็นได้ว่าหัวใจสำคัญของงานของเราตั้งอยู่ในส่วนใด และจุดสนใจของเราอยู่ที่งานระยะใด  จุดมุ่งหมายหลักของการประสูติเป็นมนุษย์ของเราคือการเปิดเผยเทวสภาพของเราผ่านทางสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ  ไม่ใช่การยากลำบากที่จะมองเห็นว่าศูนย์กลางของงานของเราอยู่ในส่วนที่สองของยุคแห่งการพิพากษา

ในเรา ไม่เคยมีชีวิตมนุษย์หรือร่องรอยใดๆ ของมนุษยชาติ  ชีวิตมนุษย์ไม่เคยถือครองพื้นที่ในเรา และไม่เคยได้ข่มปรามการเปิดเผยเทวสภาพของเรา  ด้วยเหตุนั้น ยิ่งมีการเปล่งเสียงสวรรค์ของเราและแสดงเจตนารมณ์แห่งวิญญาณของเรามากเท่าใด ซาตานก็จะยิ่งถูกทำให้อับอายได้มากขึ้นเท่านั้น และดังนั้นการทำตามเจตจำนงของเราในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติก็จะง่ายขึ้นเท่านั้นด้วย  สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้ซาตานพ่ายแพ้ ซาตานได้ถูกทำให้อับอายอย่างถึงที่สุดแล้ว  ถึงแม้ว่าเราจะถูกซ่อนเร้นไว้ แต่การนี้ไม่ได้กีดขวางถ้อยคำและการกระทำแห่งเทวสภาพของเรา—นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเรามีชัยชนะแล้วและได้รับสง่าราศีครบบริบูรณ์แล้ว  เนื่องจากงานของเราในเนื้อหนังปราศจากอุปสรรค และเนื่องจากบัดนี้พระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงมีที่สถิตในหัวใจของผู้คนและได้หยั่งรากลงในหัวใจของพวกเขา จึงเป็นการพิสูจน์อย่างเต็มที่ว่าซาตานได้ถูกเราทำให้พ่ายแพ้ไปแล้ว  และเพราะซาตานไม่สามารถทำสิ่งใดท่ามกลางมนุษย์ได้อีกต่อไป และเพราะเป็นการยากที่จะปลูกฝังขีดความสามารถของซาตานในเนื้อหนังของมนุษย์ เจตจำนงของเราจึงดำเนินต่อไปโดยปราศจากอุปสรรค  เนื้อหาสาระแห่งงานของเราโดยหลักแล้วก็คือเพื่อทำให้ผู้คนทั้งปวงมองดูกิจการอันน่าอัศจรรย์ของเราและมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา กล่าวคือ เราไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม เราไม่ได้อยู่สูงลิบลิ่วในท้องฟ้า และเราไม่ได้ไร้รูปทรงและไร้สัณฐาน  เราไม่ได้ล่องหนเหมือนอากาศ อีกทั้งเราไม่เหมือนเมฆลอยล่องที่ถูกพัดปลิวไปได้อย่างง่ายดาย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แม้เราจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์และผ่านประสบการณ์กับความเปรี้ยว ความหวาน ความขม และความเผ็ดร้อนในหมู่มนุษย์ กระนั้นเนื้อหนังของเราโดยพื้นฐานแล้วกลับแตกต่างจากเนื้อหนังของมนุษย์  ผู้คนส่วนใหญ่มีความลำบากยากเย็นที่จะมีส่วนร่วมกับเรา กระนั้น ส่วนใหญ่ก็โหยหาที่จะมีส่วนร่วมกับเราเช่นกัน  ราวกับว่ามีความล้ำลึกอันมหึมาและมิอาจหยั่งลึกได้ภายในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  เนื่องเพราะการเปิดเผยเทวสภาพโดยตรง และเนื่องเพราะโล่กำบังแห่งรูปลักษณ์ของมนุษย์ ผู้คนจึงรักษาระยะห่างจากเราอย่างยำเกรง โดยเชื่อว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก กระนั้นก็มีความเกรงกลัวต่อบารมีและความโกรธของเราด้วยเช่นกัน  ด้วยเหตุนั้นในหัวใจของพวกเขา พวกเขาจึงปรารถนาที่จะพูดกับเราอย่างจริงจังตั้งใจ ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอย่างที่พวกเขาปรารถนาได้—สิ่งที่หัวใจของพวกเขาพึงปรารถนา เรี่ยวแรงของพวกเขากลับขาดพร่อง  เช่นนั้นคือสภาวะของทุกคนในรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้—ยิ่งผู้คนเป็นเช่นนี้มากเท่าใด บทพิสูจน์ถึงการเปิดเผยแง่มุมต่างๆ แห่งอุปนิสัยของเราก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น และด้วยเหตุนั้นจุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้คนรู้จักพระเจ้าก็ย่อมสัมฤทธิ์ผล  แต่นี่เป็นเรื่องรอง กุญแจคือการทำให้ผู้คนรู้จักกิจการอันน่าอัศจรรย์ของเราจากการกระทำแห่งเนื้อหนังของเรา อันเป็นการทำให้พวกเขารู้จักแก่นแท้ของพระเจ้า เราไม่ได้ผิดปกติและเหนือธรรมชาติเช่นที่ผู้คนจินตนาการกัน  หากแต่เราคือพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงผู้ที่เป็นปกติในทุกสรรพสิ่งเสียมากกว่า  พื้นที่ของเราภายในมโนคติอันหลงผิดของผู้คนถูกทำให้หมดไป และพวกเขาก็มารู้จักเราในความเป็นจริง  เมื่อนั้นเท่านั้นเราจึงเข้าที่สถิตอันแท้จริงของเราในจิตใจของผู้คน

ต่อหน้าผู้คนทั้งปวง เราไม่เพียงไม่เคยทำสิ่งใดที่เหนือธรรมชาติ อันเป็นสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบกันตลอดมาเท่านั้น แต่เรายังธรรมดาและปกติอย่างที่สุดอีกด้วย  เราจงใจไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนมองเห็นสิ่งอันใดที่มีร่องรอยของพระเจ้าในเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ของเรา  แต่ผู้คนถูกพิชิตอย่างถึงที่สุดด้วยวจนะของเรา และพวกเขาก็นบนอบต่อคำพยานของเรา  ด้วยเหตุนั้นเท่านั้นผู้คนจึงมารู้จักเราในเนื้อหนัง โดยปราศจากความแคลงใจและอยู่บนรากฐานของการเชื่ออย่างเต็มที่ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง  ในหนทางนี้ความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับเราก็กลายเป็นจริงยิ่งขึ้น ชัดเจนมากขึ้น และไม่ปนเปื้อนพฤติกรรมอันดีของพวกเขาโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดเป็นผลจากการที่เทวสภาพของเรากระทำการโดยตรง โดยมอบความรู้เกี่ยวกับเทวสภาพของเราให้แก่ผู้คนมากขึ้น เพราะเทวสภาพเท่านั้นที่เป็นใบหน้าที่แท้จริงของพระเจ้าและคุณลักษณะโดยธรรมชาติของพระเจ้า  ผู้คนควรมองเห็นการนี้  สิ่งที่เราต้องการคือคำพูด กิจการ และการกระทำที่อยู่ในเทวสภาพ—เราไม่ใส่ใจคำพูดและการกระทำในสภาวะความเป็นมนุษย์  จุดมุ่งหมายของเราคือการดำรงชีวิตและกระทำการในเทวสภาพ—เราไม่ปรารถนาที่จะหยั่งรากและแตกหน่อในสภาวะความเป็นมนุษย์ และเราไม่ปรารถนาที่จะพักอาศัยอยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์  เจ้าเข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูดหรือไม่?  ถึงแม้ว่าเราจะเป็นอาคันตุกะในสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่เราก็ไม่ต้องการสิ่งนี้ เรากระทำการในเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ และในหนทางนี้เท่านั้นที่ผู้คนสามารถเข้าใจใบหน้าที่แท้จริงของเราได้ดีขึ้น

ก่อนหน้า:  บทที่ 9

ถัดไป:  บทที่ 10

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger