การเชื่อในพระเจ้าต้องเริ่มจากการมองทะลุกระแสนิยมอันชั่วของโลก
แม้คนหนุ่มสาวบางคนจะเชื่อในพระเจ้า แต่ก็ยากมากที่พวกเขาจะขจัดนิสัยที่ไม่ดีของตนที่ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ เกมคอมพิวเตอร์มีแนวโน้มที่จะเกี่ยวพันกับเรื่องแบบใด? ในเกมมีความรุนแรงมากมาย การเล่นเกม—นั่นจึงเป็นอาณาจักรของมาร สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว หลังจากเล่นเกมเหล่านี้เป็นเวลานาน พวกเขาจะไม่สามารถทำงานจริงใดๆ ได้อีกต่อไป พวกเขาจะไม่ต้องการไปโรงเรียน หรือทำงาน หรือนึกถึงอนาคตของพวกเขาอีกต่อไป นับประสาอะไรที่พวกเขาจะให้ความคำนึงถึงชีวิตของพวกเขา หัวใจของคนหนุ่มสาวในสังคมตอนนี้เต็มไปด้วยสิ่งใด? นอกจากการกิน ดื่ม และทำเรื่องสนุกแล้ว หัวใจของพวกเขามีแต่การเล่นเกม ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดและคิดล้วนไร้สาระและไม่มีความเป็นมนุษย์ คนเราไม่สามารถแม้แต่จะใช้คำว่า “สกปรก” หรือ “ชั่ว” ได้อีกต่อไปเพื่อบรรยายสิ่งทั้งหลายที่พวกเขานึกถึง เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ไร้สาระ ไร้ความเป็นมนุษย์ หากเจ้าพูดถึงเรื่องหรือหัวข้อเกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาก็จะทนฟังไม่ได้ พวกเขาทั้งไม่สนใจและไม่เต็มใจฟัง และพวกเขาจะถึงกับรู้สึกไม่ชอบหน้าเจ้า พวกเขาไม่ใช้ภาษาหรือพูดจาหัวข้อเดียวกันกับผู้คนปกติ ทุกหัวข้อที่พวกเขาพูดคุยมีแต่การกิน การดื่ม และการทำเรื่องสนุก หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยกระแสนิยมทางโลก จุดหมายปลายทางในอนาคตของพวกเขาย่อมเป็นเช่นใด? พวกเขามีอนาคตหรือไม่? (ไม่มี ผู้คนเหล่านี้ย่อมจะตายเปล่า) “ตายเปล่า” เป็นคำที่เหมาะมาก นี่หมายความว่ากระไร? พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีส่วนร่วมได้หรือไม่? (ไม่ได้) ผู้คนเหล่านี้ไม่ใส่ความพยายามเข้าไปในการศึกษาของพวกเขา และหากคนเราจำต้องให้พวกเขาทำงานหนักในการงานของพวกเขา พวกเขาจะเต็มใจหรือไม่? (ไม่) พวกเขาจะคิดว่ากระไร? พวกเขาจะคิดว่า “จะมีประโยชน์อันใดในการทำงาน? งานนี้น่าเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน ฉันจะสามารถได้อะไรจากงานนี้? ไม่มีเลย นอกจากเหน็ดเหนื่อยและปวดเมื่อย การเล่นเกมสนุกกว่า ผ่อนคลายกว่า และสุขสำราญกว่ามากนัก! พอฉันอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และใช้ชีวิตในโลกเสมือนจริง ฉันก็มีทุกสิ่ง” หากเจ้าให้พวกเขาทำงานตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น โดยให้ไปทำงานตรงเวลาและมีชั่วโมงทำงานที่ตายตัว พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรเล่าเกี่ยวกับการนั้น? พวกเขาจะเต็มใจที่จะยึดตามตารางเวลานั้นและถูกผูกไว้เช่นนี้หรือไม่? (ไม่) เมื่อผู้คนเล่นเกมและฆ่าเวลาด้วยคอมพิวเตอร์อยู่เนืองนิตย์ ผ่านไปสักพัก เจตจำนงของพวกเขาย่อมหายไป และตัวพวกเขาก็เสื่อมเสีย บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อสนุกกับการทำตามกระแสนิยมทั้งหลายและพวกเขาชอบแฟชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาว พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ทำงานที่ถูกควรของตนหรือเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง พ่อแม่ของพวกเขาไม่สามารถจัดการสอนสั่งพวกเขาได้ ครูของพวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดกับพวกเขาได้ และไม่มีสิ่งใดที่ระบบการศึกษาของประเทศใดสามารถทำได้เกี่ยวกับกระแสนิยมนี้ พวกมารและซาตานทำสิ่งต่างๆ เพื่อที่จะทดลองผู้คนและพาพวกเขาไปสู่ความต่ำทราม พวกที่ดำรงชีวิตในโลกเสมือนจริงไม่มีความสนใจอันใดเลยในสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวกับชีวิตที่เป็นสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาเพียงแค่ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำงานหรือศึกษา พวกเขามีความกังวลสนใจเพียงอย่างเดียวคือเล่นเกม ราวกับว่าพวกเขาถูกบางสิ่งล่อลวง นักวิทยาศาสตร์กล่าวอ้างว่าทันทีที่ผู้คนที่เล่นเกมสวมบทเป็นตัวละครในเกมหนึ่งๆ สมองของพวกเขาก็เริ่มหลั่งบางสิ่งที่ทำให้พวกเขาตื่นเต้นและถึงกับมีอาการหลงผิดอยู่บ้าง และแล้วพวกเขาก็เสพติดการเล่นเกม ครุ่นคิดถึงการเล่นเกมอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเกิดเบื่อหน่ายหรืออยู่ท่ามกลางการทำงานที่ถูกต้องเหมาะสมบางอย่าง พวกเขากลับต้องการเล่นเกมแทน และการเล่นเกมก็กลายเป็นทั้งชีวิตของพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย การเล่นเกมเป็นเหมือนการเสพยาเสพติดประเภทหนึ่ง กล่าวคือ ทันทีที่บางคนกลายเป็นติดสิ่งนั้นแล้ว ก็ยากที่จะเลิกและยากที่จะหนีพ้น—การเล่นเกมทำลายพวกเขาย่อยยับ ไม่ว่าจะเยาว์วัยหรือสูงวัย ทันทีที่ผู้คนรับนิสัยไม่ดีนี้ไว้ พวกเขาก็จะเลิกสิ่งนั้นได้ยากลำบากนัก ลูกๆ บางคนไม่ยอมหลับยอมนอนและเล่นเกมตลอดทั้งคืน คืนแล้วคืนเล่า และบิดามารดาของพวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะควบคุมและเฝ้าดูพวกเขาได้ ดังนั้นแล้วเด็กๆ จึงลงเอยด้วยการเล่นเกมจนตัวเองต้องตายอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พวกเขาตายอย่างไร? หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าสมองของพวกเขาได้รับความเสียหาย—พวกเขาเล่นจนตัวตาย พวกเจ้าคิดว่าการเล่นเกมเป็นสิ่งที่ผู้คนปกติควรทำหรือไม่? หากการเล่นเกมเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของผู้คน—หากนั่นคือเส้นทางที่ถูกต้อง—เช่นนั้นแล้วเหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถเลิกทำสิ่งนั้นได้? พวกเขาสามารถหลงมัวเมาในสิ่งนั้นจนถึงระดับนี้ได้อย่างไร? นี่พิสูจน์ให้เห็นสิ่งหนึ่งคือการเล่นเกมไม่ใช่เส้นทางที่ดี การหลงอยู่ในอินเทอร์เน็ตทั้งวัน ท่องโลกออนไลน์เพื่อสิ่งนี้สิ่งนั้น ดูสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดผลดี และเล่นเกม—การเล่นสิ่งต่างๆ เยี่ยงนั้นทั้งวันรังแต่จะทำให้ผู้คนเสื่อมถอยตามสิ่งที่ไร้ความหมาย มีแต่จะทำร้ายและสร้างความเสียหายให้แก่ผู้คนเท่านั้น เหล่านี้ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง ทุกวันนี้วัยรุ่น คนหนุ่มสาว แม้กระทั่งวัยกลางคนและคนสูงวัยล้วนเล่นวิดีโอเกมกัน มีผู้คนเล่นวิดีโอเกมมากขึ้นทุกที แม้คนส่วนใหญ่จะตระหนักรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่พวกเขาก็อดเล่นไม่ได้ การเล่นเกมนี้กำลังสร้างความเสียหายให้แก่คนรุ่นเยาว์ และสร้างความเสียหายให้แก่ผู้คนไปแล้วมากมาย แล้วเกมทั้งหลายเกิดขึ้นมาอย่างไร? เกิดจากซาตานมิใช่หรือ? มีพวกไร้สาระบางคนกล่าวว่า “วิดีโอเกมคือสัญลักษณ์ของความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่—เป็นความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์” แล้วคำอธิบายเช่นนี้เป็นอย่างไร? มันน่ารังเกียจ! การเล่นเกมไม่ใช่เส้นทางที่ดีงาม และไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง! การเล่นเกมนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการทำตามกระแสนิยมทางสังคมเท่านั้น แม้กระทั่งผู้ไม่มีความเชื่อก็บอกว่าการเล่นเกมทำลายความสำนึกในจุดประสงค์ของเจ้า หากเจ้าเลิกบางสิ่งที่เรียบง่ายเช่นนี้ไม่ได้ หากเจ้าควบคุมตนเองในทางนี้ไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมตกอยู่ในอันตราย ในปัจจุบันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนจะเล่นวิดีโอเกมและเสพยา ไม่ว่าพวกเขาจะอายุน้อยหรืออายุมากก็ตาม แล้วทั้งโลกก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใด หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมบางสิ่งอย่างการเล่นวิดีโอเกมได้ เช่นนั้นแล้วสักวันหนึ่งเมื่อเจ้ารู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าไร้ความหมาย น่าเบื่อ และไม่มีชีวิตชีวา เจ้าจะไม่เริ่มเสพยาและทดลองใช้สารกระตุ้นสารพัดชนิดเหมือนที่ผู้ไม่มีความเชื่อทำกันหรอกหรือ? นี่อันตรายอย่างยิ่ง! เจ้าอาจเชื่อในพระเจ้า แต่เจ้าไม่มีรากฐานและเจ้ายังไม่ได้มาซึ่งความจริง ดังนั้นเจ้าจึงยังคงตกอยู่ในอันตรายอย่างสิ้นเชิงที่จะทรยศพระองค์ เจ้าอาจล้มลงโดยง่ายเมื่อเผชิญสิ่งใดก็ตามที่บังเกิดแก่เจ้า มีการทดลองมากมายเหลือเกินในโลกอันชั่วนี้ และซาตานก็ใช้หนทางทุกรูปแบบที่จะยั่วใจผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้าไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำ อีกทั้งหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็มักจะว่างเปล่า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง โดยมากแล้วหัวใจของพวกเจ้ามักจะว่างเปล่าใช่หรือไม่? ปกติแล้วคนหนุ่มสาวมักจะว่างเปล่ากัน! การปล่อยปัญหานี้ไว้โดยไม่แก้ไขย่อมอันตรายมาก ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ควรอ่านพระวจนะของพระองค์ให้มากขึ้น และเมื่อเจ้าสามารถยอมรับความจริงได้บ้าง นั่นก็จะเป็นจุดเปลี่ยน และเจ้าจะสามารถหนีพ้นช่วงเวลาที่อันตรายนี้และตั้งมั่นอยู่ในคริสตจักรได้
ผู้คนหนุ่มสาวจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเข้าร่วมพระนิเวศของพระเจ้า และมีไม่น้อยที่อยู่ในช่วงวัยยี่สิบปี พวกเขาอยู่ในวัยฉกรรจ์ ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายชีวิตของตน ไม่มีความมุ่งมาดปรารถนา และยังไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร แล้วมีสิ่งใดสำแดงอยู่ในตัวผู้คนเหล่านี้? เรามีคำที่จะกล่าวให้พวกเจ้าฟังสองคำคือ ความหยิ่งยโสของวัยหนุ่มสาวและการไม่รู้จักแยกแยะ เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนั้น? พวกเรามาอภิปรายกันก่อนว่า “ความหยิ่งยโสของวัยหนุ่มสาว” หมายถึงสิ่งใด พวกเจ้าอธิบายได้หรือไม่ว่า “ความหยิ่งยโสของวัยหนุ่มสาว” คืออะไร? เป็นอุปนิสัยชนิดใด? มีการสำแดงเช่นไร? (คือยามที่ผู้คนคิดว่าสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาชอบย่อมดีที่สุด สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาคิดย่อมถูกต้อง และไม่เต็มใจที่จะรับฟังผู้ใด) กล่าวสั้นๆ ก็คือ อุปนิสัยเช่นนี้ “โอหัง” นี่คืออุปนิสัยทั่วไปของผู้คนในช่วงวัยนี้ ไม่ว่าสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตหรือภูมิหลังของพวกเขาจะเป็นเช่นไร หรือพวกเขาจะเกิดจากคนรุ่นใด ทุกคนในช่วงวัยนี้ล้วนมีความหยิ่งยโสของวัยหนุ่มสาว เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? ไม่ใช่ว่าเรามีอคติกับพวกเขาหรือคิดว่าพวกเขาไม่ดี แต่เป็นเพราะผู้คนในช่วงวัยนี้เก็บงำอุปนิสัยเช่นนี้ เป็นอุปนิสัยที่โอหัง เหลาะแหละ และเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงอย่างยิ่ง เนื่องจากพวกเขามีประสบการณ์ทางโลกไม่มากและเข้าใจชีวิตน้อยมาก พอพวกเขาเผชิญบางสิ่งในโลกหรือในชีวิต พวกเขาจึงคิดว่า “ฉันเข้าใจ ฉันคิดออกแล้ว ฉันรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วตอนนี้! ฉันเข้าใจได้ว่าผู้คนที่อายุมากกว่ากำลังพูดอะไร ฉันตามทันสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในสังคม ดูสิว่าทุกวันนี้โทรศัพท์มือถือพัฒนาไปรวดเร็วขนาดไหนและคุณสมบัติการใช้งานทั้งหมดซับซ้อนเพียงใด ฉันรู้ทุกอย่าง ไม่เหมือนคนที่แก่กว่าอย่างพวกคุณที่ไม่เข้าใจอะไรเลย” เมื่อคนที่อายุมากกว่ามาขอให้พวกเขาช่วยเหลือบางสิ่งบางอย่าง พวกเขาก็ถึงกับพูดว่า “พอผู้คนอายุมากขึ้น พวกเขาก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นด้วยซ้ำ พวกเขาจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?” นี่คือสิ่งใด? นี่คือการสำแดงความหยิ่งยโสของวัยหนุ่มสาวออกมา คนหนุ่มสาวมีความจำดีกว่าและยอมรับแนวคิดใหม่ๆ ได้รวดเร็วกว่า แล้วเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขาจะดูแคลนผู้คนที่อายุมากกว่า นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม แล้วอุปนิสัยเช่นนี้ใช่อุปนิสัยของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? จะถือว่านี่เป็นการสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? (ไม่) นั่นคือสาเหตุที่เรียกการนี้ว่าความหยิ่งยโสของวัยหนุ่มสาว แล้วเหตุใดจึงเรียกว่า “ความหยิ่งยโส” ไม่เรียกว่า “ความโอหัง”? เพราะว่านี่คืออุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของคนหนุ่มสาว—พวกเขาเรียนรู้สิ่งเล็กๆ สิ่งหนึ่ง แล้วก็กระหยิ่มยิ้มย่อง พวกเขาไม่รู้ที่ทางของตนในจักรวาล และพวกเขาทำเหมือนสิ่งที่ตนเรียนรู้มานั้นคือต้นทุน ผู้คนต่างเป็นเช่นนี้เมื่อพวกเขายังเยาว์ จนกระทั่งพวกเขาเติบโตขึ้นมาอีกหน่อย เข้าใจมากขึ้นเล็กน้อย และมีประสบการณ์สุขทุกข์ในชีวิตมากขึ้น เมื่อนั้นพวกเขาจึงเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและมั่นคงขึ้น เลือกที่จะประพฤติตนในหนทางที่ถ่อมใจมากขึ้น—เวลาพวกเขาเรียนรู้ที่จะทำบางสิ่ง ก็ไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต และไม่รู้สึกกลัดกลุ้มเมื่อตนทำบางสิ่งไม่ได้ คนหนุ่มสาวทะนงตนอย่างเหลือเชื่อ กล่าวคือ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเรียนรู้ที่จะทำบางสิ่ง พวกเขาต้องโอ้อวดให้เห็นและพวกเขารู้สึกกระหยิ่มใจ บางครั้งเมื่อพวกเขารู้สึกตื่นเต้น พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองล้ำเลิศกว่าผู้อื่น ว่าโลกนี้ไม่ใหญ่โตพอสำหรับพวกเขา และพวกเขาปรารถนาให้ตนเองสามารถใช้ชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นแทน นี่คือความหยิ่งยโส ความหยิ่งยโสของวัยหนุ่มสาวโดยหลักแล้วมีเครื่องบ่งบอกคือการไม่รู้ที่ทางของตนในจักรวาล ไม่รู้ว่าผู้คนต้องการสิ่งใดและพวกเขาควรเดินไปตามทางเส้นใดในชีวิต การใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอันใดเป็นอันตราย และพวกเขาควรทำสิ่งใด นี่เหมือนกับที่ผู้คนมักจะกล่าวว่า “พวกเขาไม่รู้จักแยกแยะ และพวกเขาไม่รู้จักชีวิต” ผู้คนในช่วงวัยนี้มีอุปนิสัยที่หยิ่งยโสเช่นนี้ พวกเขาจึงเผยสิ่งเหล่านี้ออกมา มีคนหนุ่มสาวที่นึกว่าทุกคนต่ำเตี้ยกว่าตน และเมื่อเจ้ากล่าวบางสิ่งที่พวกเขาไม่ชอบ พวกเขาก็จะเอาแต่เมินเจ้าเท่านั้น เป็นเรื่องยากที่พ่อแม่จะรู้ว่าคนหนุ่มสาวคิดอะไรอยู่—พูดผิดคำหนึ่ง พวกเขาก็อาละวาดและฮึดฮัดจากไป เป็นเรื่องยากที่จะสื่อสารกับคนเหล่านี้ เหตุใดทุกวันนี้พ่อแม่จึงพบว่ายากที่จะจัดการและอบรมสั่งสอนลูกๆ ของตน? ไม่ใช่เพราะพ่อแม่มีการศึกษาน้อยและไม่เข้าใจจิตใจของคนหนุ่มสาว แต่เป็นเพราะการคิดอ่านของคนหนุ่มสาวนั้นผิดปกติ คนหนุ่มสาวล้วนรักกระแสนิยมทางโลก และพวกเขาตกเป็นเชลยของสิ่งเหล่านี้ พวกเขาล้วนเป็นเหยื่อบูชาซาตาน พวกเขากลายเป็นคนชั่วช้ารวดเร็วเกินไปและเป็นการยากที่พวกเขาจะตื่นขึ้นมาตระหนักรู้เรื่องนี้ นั่นคือสาเหตุที่การเป็นพ่อแม่นั้นไม่ง่าย—พ่อแม่บางคนถึงกับพยายามอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้จิตวิทยาเด็กเพื่ออบรมสั่งสอนลูกๆ ของตน ทุกวันนี้มีเด็กจำนวนมากกำลังทนทุกข์จากโรคแปลกๆ เช่น ออทิซึมและซึมเศร้า ทำให้ดูแลพวกเขาได้ยาก ผู้คนไม่มีหนทางหรือคำอธิบายที่ชัดเจนให้กับปัญหาเหล่านี้ และปัญญาชนในโรงเรียนและสังคมก็คิดค้นวลีขึ้นมา เช่น “วิธีคิดแบบขบถ” หรือ “ระยะต่อต้าน” เหตุใดคำศัพท์เหล่านี้จึงไม่มีในคนรุ่นก่อนๆ? วิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ก้าวหน้าไปไกลและมีวลีแปลกๆ สารพัดชนิดเกิดขึ้น มนุษย์ทั้งมวลนี้ชั่วช้ายิ่งขึ้นทุกที และสิ่งที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติก็กำลังลดน้อยถอยลง—นี่เกิดจากกระแสนิยมอันชั่วของสังคมมิใช่หรือ? (ใช่) ดังนั้น สาเหตุที่พวกเจ้าคนหนุ่มสาวสามารถนั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้ได้ ด้วยความปรารถนาอันจริงใจที่จะฟังเราพูด ฟังเราสามัคคีธรรมเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะมีพวกเจ้าคนใดดีเลิศและเต็มใจที่จะเลือกเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง—แต่เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า เป็นเพราะพระเจ้าไม่ได้ส่งมอบพวกเจ้าให้แก่โลกหรือซาตาน เจ้ามองเห็นคนหนุ่มสาวในสังคมที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าผู้ใดจะพยายามโน้มน้าวให้พวกเขาเชื่อก็ตาม ต่อให้เราพูดกับพวกเขา ก็ย่อมจะไร้ประโยชน์ นั่นเป็นเพียงเรื่องของความหยิ่งยโสในวัยหนุ่มสาวเท่านั้นหรือ? พวกเขาเป็นคนประเภทใด? หากพวกเขาไม่มีมโนธรรมหรือสำนึก เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นเพียงสัตว์ร้ายและมารเท่านั้น! หากเจ้าพูดกับพวกเขาด้วยคำพูดของมนุษย์ พวกเขาจะเข้าใจได้หรือ? นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ว่าพวกเขาสื่อสารด้วยยากอีกต่อไป แต่อยู่ที่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับฟังโดยสิ้นเชิง ด้วยพระคุณและการทรงคุ้มครองของพระเจ้า พวกเจ้าจึงสามารถยอมรับพระราชกิจของพระองค์ในตอนนี้ เข้าใจพระวจนะของพระองค์ และสนใจเส้นทางของความจริง! ดังนั้น พวกเจ้าต้องทะนุถนอมโอกาสที่จะทำหน้าที่ของตนในครั้งนี้เอาไว้ และเพียรพยายามที่จะวางรากฐานอันมั่นคงให้กับการเชื่อที่พวกเจ้ามีในพระเจ้าในช่วงนี้ และแล้วพวกเจ้าจะปลอดภัย และจะไม่ถูกกระแสนิยมอันชั่วเหล่านี้พัดพาไปโดยง่าย ทันทีที่ผู้คนติดอยู่ในกระแสนิยมอันชั่วเหล่านี้ พวกเขาย่อมถูกสิ่งเหล่านี้พัดพาไปโดยง่าย และเมื่อเจ้าถูกสิ่งเหล่านี้พัดพาไปอีกครั้ง พระเจ้าจะทรงต้องการเจ้าหรือไม่? ไม่ พระองค์จะไม่ทรงต้องการเจ้า! พระองค์ประทานโอกาสแก่เจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง และแน่นอนที่สุดว่าพระเจ้าจะไม่ทรงต้องการเจ้าอีกต่อไป เมื่อพระเจ้าไม่ทรงต้องการเจ้า เจ้าก็จะมีอันตราย และเจ้าย่อมจะทำสิ่งใดลงไปก็ได้
บัดนี้เมื่อพวกเราได้คุยกันถึง “ความหยิ่งยโสของวัยหนุ่มสาว” ไปแล้ว พวกเราก็มาพูดถึง “การไม่รู้จักแยกแยะ” กันเถิด “การไม่รู้จักแยกแยะ” เป็นศัพท์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ จงอธิบายดูสิว่าตามรูปศัพท์แล้วหมายความว่าอย่างไร (หมายถึงเวลาคนคนหนึ่งแยกดีชั่วไม่ได้ และนึกว่าสิ่งที่พวกเขาคิดว่าดีย่อมจะดีเสมอไป และสิ่งที่พวกเขาคิดว่าไม่ดีย่อมจะไม่ดีไปตลอด และไม่ว่าจะอธิบายสิ่งต่างๆ ให้พวกเขาฟังอย่างไร พวกเขาก็ไม่รับฟัง) (หมายถึงเวลาที่คนไม่รู้จักถูกผิด และไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ) นั่นคือความหมายตามรูปคำในระดับหนึ่ง—คือการบอกถูกผิดไม่ได้ อีกทั้งไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นบวกและสิ่งใดเป็นลบ เนื่องจากความหยิ่งยโสในวัยหนุ่มสาวของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนกล่าวจึงสื่อไม่ถึงพวกเขา พวกเขาคิดว่า “สิ่งใดก็ตามที่คนอื่นพูดย่อมผิด และสิ่งที่ฉันพูดย่อมถูก ไม่ว่าใครก็ไม่ควรพยายามมาบอกฉันว่าสิ่งทั้งหลายเป็นเช่นไร ฉันจะไม่ฟังพวกเขา ฉันจะหัวแข็งให้มาก และฉันจะดันทุรังยืนกรานแนวคิดของตัวเอง แม้ในยามที่ฉันผิดก็ตาม” นี่คืออุปนิสัยแบบที่พวกเขามี—พวกเขาไม่รู้จักแยกแยะ ภายนอกแล้วพวกเขาสามารถพ่นคำสอนเป็นฉากๆ พวกเขาพูดถึงคำสอนได้ชัดเจนกว่าและเข้าใจง่ายกว่าใครทั้งหมด แล้วเหตุใดพวกเขาจึงเลอะเลือนและสับสนอยู่เสมอเมื่อถึงเวลาลงมือทำ? พวกเขารู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งใดถูกต้อง แต่พวกเขากลับไม่ยอมฟัง—พวกเขาทำตามใจชอบ และกระทำการตามที่ตนพอใจ นี่คือการทำตามอำเภอใจ ซึ่งไร้สาระ ผู้คนที่ทำตามกระแสนิยมของโลกนั้นไร้สาระมาก พวกเขาชอบการวิ่งปาร์กูร์และการกระโดดบันจี้จัมพ์ และพวกเขาชอบค้นหาความตื่นเต้นในกีฬาผาดโผนทุกชนิด นี่ย่อมไร้สาระไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าทุกคนก็ชอบปาร์กูร์ด้วยหรือไม่? (ข้าพเจ้าเคยชอบ) แล้วเหตุใดเจ้าจึงชอบปาร์กูร์? เจ้าไม่รู้หรือว่าปาร์กูร์นั้นอันตราย? เจ้าไม่รู้หรือว่าเวลาที่เจ้าวิ่งปาร์กูร์ เจ้ากำลังเอาชีวิตของตนไปเสี่ยง? ผู้คนไม่ใช่แมงมุมหรือตุ๊กแก หากพวกเขาไต่กำแพง พวกเขาย่อมตกลงมาเป็นแน่ มนุษย์ไม่มีความสามารถเช่นนั้น นั่นไม่ใช่สิ่งซึ่งผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติมีกัน พวกเจ้าชอบเข้าไปได้อย่างไร? นี่เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้สามารถให้การเร้าทางสายตาและอารมณ์ประเภทหนึ่งแก่ผู้คนได้ นี่คือสาเหตุที่ผู้คนอยากวิ่งปาร์กูร์ สิ่งใดทำให้เกิดการคิดอ่านเช่นนี้? ใช่มาจากเรื่อง “สไปเดอร์แมน” หรือไม่? มีความคิดและความต้องการอยู่ลึกๆ ในตัวมนุษย์ที่อยากจะช่วยโลกให้รอด อยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่ มิใช่หรือ? มีผู้กล้าบินได้ในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายเรื่องที่เหาะและเหินไปตามดาดฟ้าตึก และผู้คนก็เลื่อมใสในตัวพวกเขาเป็นอันมาก นั่นคือวิธีที่สิ่งเหล่านี้ถูกเพาะไว้ในความรู้สึกนึกคิดของคนหนุ่มสาว แล้วพวกเขาถูกวางยาพิษแบบนั้นได้อย่างไร? นี่เกี่ยวข้องกับความชอบส่วนตนและการไล่ตามเสาะหาของผู้คน ทุกคนอยากจะเป็นผู้กล้า อยากจะเป็นยอดมนุษย์ อยากมีพลังพิเศษ พวกเขาจึงบูชาซาตาน จงบอกเราสิว่าผู้คนที่ปกติชอบสิ่งไร้สาระเหล่านี้กันหรือไม่? ผู้คนที่ปกติมีพลังพิเศษเหล่านี้บ้างหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ สิ่งทั้งปวงนี้ถูกผู้คนเสกสรรและจินตนาการขึ้นมามิใช่หรือ? หากสิ่งแปลกๆ เหล่านี้มีอยู่จริง คนที่มีพลังเหล่านี้ไม่ได้ถูกพวกวิญญาณชั่วครอบงำอยู่หรอกหรือ? ในสมัยของอาดัมกับเอวามีการวิ่งปาร์กูร์หรือไม่? มีการเขียนสิ่งใดเกี่ยวกับปาร์กูร์เอาไว้ในพระคัมภีร์หรือไม่? (ไม่มี) ปาร์กูร์คือผลผลิตของสังคมเลวร้ายสมัยใหม่ เป็นหนทางหนึ่งที่ซาตานใช้ชักนำผู้คนให้หลงผิดและทำให้พวกเขาเสื่อมทราม ซาตานใช้ประโยชน์จากการที่คนหนุ่มสาวมักจะชอบสิ่งแปลกประหลาดและสิ่งที่ชวนให้ตื่นเต้น แล้วมันก็ปรุงแต่ง ฝันเฟื่อง และทำให้เกิดเรื่องราวบางอย่าง นี่คือวิธีที่มันใช้ชักพาวัยรุ่นที่ไม่รู้จักแยกแยะเหล่านี้ให้หลงผิด ชักนำให้พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าพลังพิเศษที่ประหลาดและน่าตื่นเต้นของซาตาน มันกำลังวางยาพิษในตัวผู้คนมิใช่หรือ? ทันทีที่สิ่งเหล่านี้เข้าไปในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน มันก็กลายเป็นยาพิษ และหากเจ้าดูไม่ออกว่านี่คือยาพิษ เจ้าก็จะถอนตัวจากมันโดยสมบูรณ์ไม่ได้ เจ้าจะไม่มีวันขจัดอิทธิพล การรบกวน และการควบคุมของมัน พิษนี้ถอนได้ง่ายหรือไม่? (ไม่ง่าย) จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร? บางคนไม่เต็มใจปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ พวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้ดีและไม่ใช่ยาพิษ แล้วพอพวกเขาคิดเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะปล่อยมันไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่จะรักษาตัวเจ้าไม่ให้หลงกลการทดลองของซาตาน เจ้าต้องพยายามอย่างที่สุดที่จะอยู่ให้ห่างจากสิ่งที่สามารถกัดกร่อนหัวใจของเจ้าและวางยาพิษในตัวเจ้าได้ระหว่างที่วุฒิภาวะของเจ้ายังน้อยอยู่ เพราะเจ้าไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ เจ้ายังคงโง่เขลาและเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เจ้ายังไม่ได้เตรียมตนให้มีสิ่งที่เป็นบวกอย่างเพียงพอ และเจ้าก็ไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด กล่าวด้วยภาษาของความเชื่อก็คือเจ้านั้นปราศจากชีวิตและไม่มีวุฒิภาวะ สิ่งที่เจ้ามีเป็นเพียงความพร้อมอันน้อยนิด ซึ่งก็คือความเต็มใจที่จะเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น เจ้าคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นดีงาม เป็นเส้นทางเดินอันถูกต้อง และเป็นหนทางที่จะเป็นคนดี กระนั้นเจ้าก็ครุ่นคิดว่า “ฉันไม่ใช่คนไม่ดีในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ ฉันชอบวิ่งปาร์กูร์ แต่ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันยังคงเป็นคนดีอยู่นะ” นี่ตรงตามความจริงหรือไม่? เจ้าคิดว่าเจ้าไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเพียงเพราะเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดกระนั้นหรือ? เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในกระแสนิยมอันชั่ว นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าหัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยสิ่งที่ชั่ว
จงบอกเราเถิด สภาพแวดล้อมของคนคนหนึ่งมีอิทธิพลต่อพวกเขามากหรือไม่? ตอนนี้เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้าในคริสตจักร นั่นคือสภาพแวดล้อมที่เจ้าอยู่ เจ้าอยู่กับพี่น้องชายหญิงของเจ้าทุกวัน แวดล้อมด้วยผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า และเจ้าก็แน่วแน่ในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าด้วย หากให้เจ้าไปอยู่ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ หากให้เจ้าพักอยู่ท่ามกลางพวกเขา เจ้าจะยังคงมีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้าหรือไม่? หากเจ้าติดต่อพวกเขาหรือใช้ชีวิตในหมู่พวกเขา เจ้าจะไม่ทำตามกระแสนิยมเหมือนที่พวกเขาทำหรอกหรือ? บางคนกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ฉันมีพระเจ้าคอยดูแลฉันและคุ้มครองฉัน ดังนั้นฉันย่อมจะไม่มีวันเดินบนเส้นทางนั้น” เจ้ากล้าปฏิญาณเช่นนั้นหรือไม่? ตราบใดที่เจ้ารักและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ เจ้าย่อมสมัครใจทำตามกระแสนิยมทั้งหลายได้ แม้เจ้าจะรู้อยู่ในหัวใจของเจ้าว่าผิด เจ้าก็จะเอาแต่พูดจาตามสบายอยู่ในใจว่า “โปรดยกโทษให้ข้าพระองค์เถิดพระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้วในเรื่องนี้” นานเข้าเจ้าก็จะเลิกรู้สึกผิดหรือรู้สึกถึงสิ่งอื่นใดไปเลย และเจ้าจะไตร่ตรองว่า “แล้วพระเจ้าสถิตอยู่ที่ใด? ทำไมฉันถึงไม่เคยพบเห็นพระองค์?” เจ้าจะสงสัยพระเจ้าตลอดเวลา และความเชื่อที่เจ้าเคยมีย่อมจะหายไปทีละน้อย พอหัวใจของเจ้าปฏิเสธพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงแล้ว เจ้าก็จะไม่อยากติดตามพระองค์หรือทำสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของเจ้าอีกต่อไป เจ้าจะเสียใจด้วยซ้ำที่เจ้าเลือกปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่แรก เหตุใดผู้คนจึงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเช่นนี้? อันที่จริงไม่ใช่ว่าเจ้าเปลี่ยนไป—แต่เจ้าไม่เคยมีความเป็นจริงความจริงตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก แม้ภายนอกเจ้าจะเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของเจ้า แต่ความคิดอ่าน ทัศนะ วิธีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในทางโลกเยี่ยงซาตาน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายในตัวเจ้าไม่เคยถูกเก็บกวาดออกไป และเจ้าก็ยังเต็มไปด้วยสิ่งทั้งหลายที่เป็นของซาตานอยู่ดี เจ้ายังคงใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านั้น นั่นคือสาเหตุที่วุฒิภาวะของเจ้ายังคงน้อยอยู่ เจ้ายังอยู่ในระยะที่อันตราย เจ้ายังไม่มั่นคงหรือปลอดภัย ตราบใดที่เจ้ามีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เจ้าจะต้านทานและทรยศพระเจ้าต่อไป การที่จะแก้ปัญหานี้ เจ้าต้องเข้าใจเสียก่อนว่าสิ่งใดชั่วและเป็นของซาตาน สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายอย่างไร เหตุใดซาตานจึงทำสิ่งเหล่านี้ เมื่อผู้คนยอมรับสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขาทนทุกข์กับพิษแบบใดบ้าง และผู้คนเหล่านั้นจะกลายเป็นเช่นไร รวมทั้งพระเจ้าทรงขอให้ผู้คนเป็นคนเช่นไร สิ่งใดแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติ สิ่งใดเป็นบวก และสิ่งใดเป็นลบ เจ้าจะมีเส้นทางต่อเมื่อเจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะและสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ในแง่บวก เจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในเชิงรุก พลางมอบถวายความจริงใจและความภักดีอีกด้วย จงอย่าเหลวไหลหรือย่อหย่อน อย่าใช้มุมมองของผู้ไม่มีความเชื่อหรือปรัชญาของซาตานในการทำหน้าที่ของเจ้าหรือสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ เจ้าต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น เสาะแสวงที่จะเข้าใจความจริงในทุกด้าน และเข้าใจนัยสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่อย่างชัดแจ้ง จากนั้นจึงปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความจริงในทุกแง่มุมระหว่างที่ทำหน้าที่ของเจ้า แล้วค่อยมาทำความรู้จักพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์ และพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ในหนทางนี้สภาวะภายในตัวเจ้าจะเปลี่ยนแปลงโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว ภายในตัวเจ้าจะมีสิ่งที่กระฉับกระเฉงและเป็นบวกมากขึ้น มีสิ่งที่นิ่งเฉยและเป็นลบน้อยลง ความสามารถในการแยกแยะสิ่งต่างๆ ของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน เมื่อวุฒิภาวะของเจ้าเติบโตถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจะมีวิจารณญาณเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ทุกประเภท และเจ้าจะสามารถมองทะลุแก่นแท้ของปัญหา หากเจ้าได้ดูภาพยนตร์ที่สร้างโดยผู้ไม่มีความเชื่อ เจ้าก็จะรับรู้ได้ว่าผู้คนอาจทนทุกข์กับพิษอันใดหลังจากดูภาพยนตร์นั้นแล้ว รวมทั้งซาตานตั้งใจจะปลูกฝังและเพาะสิ่งใดในตัวผู้คนผ่านทางวิธีการและกระแสนิยมเหล่านี้ มันตั้งใจจะกัดกร่อนสิ่งใดในตัวผู้คน เจ้าจะค่อยๆ มองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าจะไม่ถูกพิษหลังจากที่ดูหนังเรื่องนั้นแล้ว และเจ้าจะมีวิจารณญาณแยกแยะในหนังเรื่องนั้น—เมื่อนั้นเจ้าจึงจะมีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง
หลังจากที่ดูภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่และภาพยนตร์เพ้อฝันไปบ้างแล้ว หนุ่มสาวบางคนก็ติดเชื้อความอยาก—พวกเขาตั้งความปรารถนาว่าตนจะมีความสามารถเหนือธรรมดาได้เหมือนตัวละครหลักเหล่านั้น เช่นนี้เองพวกเขาจึงได้รับพิษมิใช่หรือ? หากเจ้าไม่ได้ดูหนังเหล่านั้น เจ้าจะถูกพิษนั้นทำอันตรายได้หรือไม่? เจ้าจะถูกพิษนั้นทำอันตรายไม่ได้ ตามที่กล่าวมานี้ เราหมายความว่ากระไร? หมายความว่าเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ชั่ว ดังนั้นเมื่อเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยและไม่มีวิจารณญาณ สิ่งที่เป็นพวกกระแสนิยมอันชั่วก็จะมีอำนาจครอบงำเจ้าได้เพราะเจ้าไปเผชิญกับพวกมันก่อน และเจ้าก็จะทำเหมือนพวกมันคือสิ่งที่เป็นบวก เป็นสิ่งที่ปกติและถูกควร นี่คือหนทางหนึ่งที่ซาตานใช้วางยาพิษในตัวผู้คน จงบอกเราที ซาตานไม่ชั่วหรอกหรือ? ซาตานมีหนทางมากมายนักที่จะทำให้ผู้คนเสื่อมทราม! อาจกล่าวได้ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้ดูภาพยนตร์จำพวกนี้ย่อมมีความอยากแบบนี้ มีเด็กอยู่คนหนึ่งที่ได้ดูหนังเพ้อฝัน แล้วก็จะขี่ไม้กวาดวิ่งไปรอบๆ ลานบ้านของตนเมื่อใดก็ตามที่เขาพอจะมีเวลาว่าง ทีแรกไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร เขาก็เหาะไม่ได้ และแล้ววันหนึ่งเขาก็เริ่มจะเหาะได้จริงๆ เขาไม่ได้เหาะได้เอง เป็นกำลังบังคับจากภายนอกที่ทำให้เขาเหาะได้ หลังจากที่เขาเริ่มเหาะได้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมาเหมือนที่ตัวละครในภาพยนตร์ทำ มีวิญญาณจำพวกหนึ่งเข้าไปสิงอยู่ในตัวเขา การขี่ไม้กวาดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? เจ้าสามารถขี่ม้าหรือลาได้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องขี่ไม้กวาดเหาะออกไป? นี่คือสิ่งที่เป็นไปได้กระนั้นหรือ? เจ้าบอกได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนปกติทำกัน ไม้กวาดบินไม่ได้ ไม้กวาดจะบินได้ต่อเมื่อมีพวกวิญญาณชั่วคอยช่วย ดังนั้นนี่จึงเป็นงานของซาตานและพวกวิญญาณชั่ว ซาตานและพวกวิญญาณชั่วทำสิ่งที่ชวนให้ทึ่ง สิ่งที่แปลกและไร้สาระซึ่งผู้คนปกติไม่ทำกัน พวกเจ้าพอจะมีวิจารณญาณแยกแยะในสิ่งที่ซาตานทำบ้างหรือไม่? พวกเจ้าควรมีท่าทีเช่นใดต่อสิ่งเหล่านั้น? เจ้าควรประกาศไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นมิใช่หรือ? เมื่อมีเวลา พวกเจ้าควรทบทวนตนเอง ตรวจสอบดูว่ามีสิ่งประหลาดอันใดหลงเหลืออยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้าบ้าง เหตุใดพวกเจ้าจึงมีสิ่งแปลกๆ เป็นอันมากอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของตน? เพราะผู้คนในรุ่นของพวกเจ้าถูกวางยาพิษเอาไว้มากมายนัก—พวกเจ้าทุกคนอยากเหาะเหินไปตามดาดฟ้าตึก อยากเป็นสไปเดอร์แมนหรือมนุษย์ค้างคาว และอยากกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ล้ำเลิศ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีหรือควรครอบครอง หากเจ้ายืนกรานที่จะแสวงหาสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นต่อผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และหากเจ้าทุ่มเทอย่างไม่ลดละเพื่อที่จะพยายามมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็อาจดึงดูดเอางานของพวกวิญญาณชั่วมา เวลาที่ผู้คนถูกพวกวิญญาณชั่วครอบงำนั้น พวกเขาย่อมเดือดร้อน ถูกซาตานจับเป็นเชลย แล้วจากนั้นพวกเขาก็ตกอยู่ในอันตราย จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร? ผู้คนควรเรียกหาพระเจ้าเป็นประจำ พวกเขาต้องไม่หลงกลการทดลองหรือถูกซาตานชักพาให้หลงผิด ในยุคชั่วเช่นนี้ที่พวกปีศาจและวิญญาณสกปรกรวมกลุ่มกันออกอาละวาด หากเจ้าสามารถอธิษฐานขอให้พระคุณและการคุ้มครองของพระเจ้าอยู่กับเจ้าตลอดเวลาได้ หากเจ้าสามารถขอให้พระองค์ทรงดูแลเจ้าและคุ้มครองเจ้าเพื่อให้หัวใจของเจ้าไม่หลงไปจากพระองค์ได้ และเจ้าก็สามารถนมัสการพระเจ้าด้วยความซื่อสัตย์และด้วยหัวใจของเจ้า นี่ย่อมเป็นเส้นทางที่ถูกต้องมิใช่หรือ? (ใช่) แล้วพวกเจ้าเต็มใจที่จะเดินไปตามเส้นทางนี้หรือไม่? พวกเจ้าเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลและคุ้มครองของพระเจ้า ภายใต้การบ่มวินัยของพระองค์อยู่เสมอ หรือว่าเจ้าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสรีของเจ้าเอง? หากพระเจ้าทรงบ่มวินัยพวกเจ้า นั่นก็อาจทำให้พวกเจ้าทนทุกข์ทางกายบ้างเป็นครั้งคราว พวกเจ้าเต็มใจที่จะเผชิญทั้งหมดนั้นหรือไม่? (เต็มใจ) ตอนนี้พวกเจ้าบอกว่าเต็มใจ แต่พอพบพานความเป็นจริงของทั้งหมดนั้น พวกเจ้าก็อาจจะเริ่มบ่นพึมพำ การเต็มใจที่จะทนทุกข์จึงไม่เพียงพอ เจ้าต้องมีเจตจำนงที่จะพากเพียรเข้าถึงความจริงด้วย เจ้าจะสามารถตั้งมั่นได้ก็เฉพาะเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงเท่านั้น น่าเป็นห่วงที่คนหนุ่มสาวไม่มั่นคงขนาดนี้ พวกเขาไม่สนใจทำหน้าที่อันถูกควรของตนหรือมีสิ่งที่ถูกควรอยู่ในความรู้สึกนึกคิด และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือพากเพียรไปให้ถึงความจริง—เช่นนี้ย่อมอันตราย ยากที่จะกล่าวว่าจุดจบของพวกเขาจะเป็นชีวิตหรือความตาย ทุกวันนี้มีหนุ่มสาวบางคนที่ฟังคำเทศนามาหลายปี พวกเขาเริ่มมีความสนใจในความจริง และพวกเขาก็เต็มใจที่จะจดบันทึกเวลาฟังคำเทศนา พวกเขารู้สึกถึงความหิวกระหายบางอย่างในความชอบธรรม และพวกเขาก็สามารถเข้าใจความจริง นี่หมายความว่าพวกเขามีรากฐานแล้ว ตราบใดที่ความจริงหยั่งรากลงไปในหัวใจของพวกเขา ตราบนั้นพวกเขาก็จะมั่นคงขึ้นมาก หากพวกเขาพากเพียรเพื่อความจริงต่อไป นี่ก็จะรับประกันว่าพวกเขาย่อมสามารถเข้าใจความจริง เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และสัมฤทธิ์ความรอดได้
พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดคือปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่สุด? ตามวุฒิภาวะของพวกเจ้าในเวลานี้ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าควรมุ่งเน้นสิ่งใดในความเชื่อของตน และสิ่งใดคือปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในแง่ของวิธีที่พวกเจ้าควรใช้ไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติ? บางคนดูภายนอกเหมือนไม่เก่งอะไรนัก พวกเขาเงียบและเก็บตัวตลอดเวลา พวกเขาไม่พูดมาก แต่ในหัวใจของพวกเขามีปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่ผู้อื่นไม่มี ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถมองเห็นการนี้ และต่อให้พวกเขามองเห็นได้ พวกเขาก็จะไม่คิดว่านั่นคือปัญญา พวกเขาจะคิดว่านั่นไม่จำเป็นและไม่มีคุณค่าอันใด พวกเจ้านึกออกหรือไม่ว่าปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขานี้คือสิ่งใด? (การมีหัวใจที่เงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่เสมอ และเข้าใกล้พระองค์ตลอดเวลา) พวกเจ้าพอจะจับคำตอบที่ถูกต้องได้บ้าง สิ่งใดคือจุดประสงค์ของการเข้าใกล้พระเจ้า? (เพื่อแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า) สิ่งใดคือจุดประสงค์ของการแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า? ใช่การพึ่งพาพระองค์หรือไม่? (ใช่) จุดประสงค์คือการพึ่งพาพระเจ้า หากเจ้าพึ่งพาพระเจ้าในทุกสิ่ง พระเจ้าก็จะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า นำเจ้า และชี้แนะเจ้า เจ้าจะไม่ต้องคลำทางของเจ้าอยู่ในความมืดเหมือนคนตาบอด เจ้าเพียงกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นก็ได้แล้ว นั่นย่อมง่ายกว่ามากมิใช่หรือ? เจ้าจะไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวสะเปะสะปะอีกต่อไป เพียงทำไปตามที่พระเจ้าตรัสบอกก็พอ นี่ย่อมง่าย รวดเร็ว และไม่ต้องให้เจ้าเหนื่อยล้ากับการใช้เส้นทางอ้อมไปอ้อมมา พระเจ้าตรัสพระวจนะของพระองค์ไว้ชัดเจนมาก ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการตัดสินใจว่าตัวเจ้าควรกระทำการอย่างไร นี่คือปัญญามิใช่หรือ? บัดนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง? เราบอกพวกเจ้าเลยว่า ปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการหวังพึ่งความช่วยเหลือจากพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ผู้คนธรรมดาไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้ ทุกคนคิดว่าการเข้าร่วมการชุมนุมให้มากขึ้น ฟังคำเทศนาให้มากขึ้น สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของตนให้มากขึ้น ละทิ้งให้มากขึ้น ทนทุกข์มากขึ้น เเละยอมจ่ายราคาให้มากขึ้นจะทำให้พวกเขาได้รับความเห็นชอบและความรอดจากพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการฝึกฝนปฏิบัติในหนทางนี้คือปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่สุด แต่พวกเขาละเลยเรื่องที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือการวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า พวกเขามองว่าความฉลาดเล็กน้อยของมนุษย์คือปัญญา และเพิกเฉยต่อผลสุดท้ายที่การกระทำของพวกเขาควรจะสัมฤทธิ์ นี่คือความผิดพลาด ไม่ว่าคนเราเข้าใจความจริงมากเพียงใด คนเราได้ปฏิบัติหน้าที่ไปแล้วมากเพียงใด คนเราได้รับประสบการณ์ไปมากเพียงใดในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้น วุฒิภาวะของคนเรายิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยเพียงใด หรือคนเราอยู่ในสภาพแวดล้อมจำพวกใด สิ่งที่คนเราจะขาดเสียไม่ได้ก็คือว่าคนเราต้องวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่างที่คนเราทำ นี่คือปัญญาจำพวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เหตุใดเราจึงกล่าวว่านี่คือปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด? ต่อให้คนเรามาเข้าใจความจริงบางอย่าง การนั้นจะใช้ได้หรือหากคนเราไม่พึ่งพาพระเจ้า? ผู้คนบางคนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี และมีประสบการณ์กับบททดสอบมากมาย ผ่านประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาบ้าง เข้าใจความจริงบางส่วน และมีความรู้บางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับความจริง แต่พวกเขาไม่รู้จักพึ่งพาพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าจะวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์อย่างไร ผู้คนเช่นนั้นครองปัญญาหรือไม่? พวกเขาเป็นผู้คนที่โง่เขลามากที่สุด และเป็นจำพวกที่คิดว่าตัวพวกเขาเองหลักแหลม พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่หลบเลี่ยงความชั่ว ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ฉันเข้าใจความจริงหลายอย่างและครองความเป็นจริงความจริง ไม่เป็นไรเลยหากจะแค่ทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่มีหลักการ ฉันจงรักภักดีต่อพระเจ้า และฉันรู้ว่าจะเข้าใกล้ชิดพระองค์อย่างไร การที่ฉันปฏิบัติความจริงในยามที่เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับฉันไม่เพียงพอหรอกหรือ? ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือหวังพึ่งพระเจ้าเลย” การปฏิบัติความจริงย่อมถูกต้อง แต่มีหลายครั้งและหลายสถานการณ์ที่ผู้คนไม่รู้ว่าเกี่ยวพันกับความจริงข้อใดและหลักธรรมความจริงข้อใดบ้าง บรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงรู้จักการนี้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าเผชิญประเด็นปัญหาบางอย่าง เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าประเด็นปัญหานี้เกี่ยวข้องกับความจริงข้อใด หรือควรปฏิบัติความจริงที่เกี่ยวพันกับประเด็นปัญหานี้อย่างไรหรือควรนำมาใช้อย่างไร เจ้าควรทำอย่างไรในเวลาเช่นนี้? ไม่สำคัญว่าประสบการณ์ที่เจ้ามีจะสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากเพียงใด เจ้าไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงในทุกสถานการณ์ได้ ไม่สำคัญว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าใด เจ้าได้รับประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายมามากเท่าใด และเจ้าได้รับประสบการณ์กับการตัดแต่ง หรือการบ่มวินัยมามากเพียงใด ต่อให้เจ้าเข้าใจความจริง เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าคือความจริงหรือ? เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าคือแหล่งกำเนิดของความจริงกระนั้นหรือ? ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ฉันจำถ้อยดำรัสและบทตอนทั้งหมดซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหนังสือ ‘พระวจนะทรงปรากฏในเนื้อหนัง’ ได้ขึ้นใจ ฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้าหรือหวังพึ่งพระองค์ เมื่อถึงเวลา ฉันก็จะทำได้ดีอยู่แล้วโดยการพึ่งพาพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า” พระวจนะที่เจ้าได้จดจำไว้นั้นคงที่ แต่ทว่าสภาพแวดล้อมที่เจ้าเผชิญ—ตลอดจนสภาวะทั้งหลายของเจ้านั้น—เปลี่ยนแปลงเสมอ เจ้าสามารถพ่นคำพูดและคำสอนออกมา แต่ไม่สามารถทำอะไรกับคำสอนเหล่านั้นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า ซึ่งพิสูจน์ว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริง ไม่ว่าเจ้าจะท่องคำพูดและคำสอนได้ดีเพียงใดก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริง และยิ่งไม่ได้หมายความว่าเจ้าสามารถปฏิบัติความจริง ด้วยเหตุนี้ จึงมีบทเรียนที่สำคัญอย่างยิ่งบทหนึ่งให้เรียนรู้ในที่นี้ แล้วบทเรียนนี้คืออะไร? ก็คือว่าผู้คนจำเป็นต้องหวังพึ่งพระเจ้าในทุกสิ่ง และว่าโดยการทำเช่นนั้น พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์การพึ่งพาพระเจ้าได้ โดยการพึ่งพาพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีเส้นทางให้ติดตามและมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มิฉะนั้นแม้เจ้าจะสามารถทำบางสิ่งได้อย่างถูกต้องและไม่มีการละเมิดความจริง แต่หากเจ้าไม่พึ่งพาพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว การกระทำของเจ้าก็เป็นเพียงการทำความดีของมนุษย์ และไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เนื่องจากผู้คนมีการทำความเข้าใจที่ตื้นเขินเกี่ยวกับความจริง พวกเขาจึงมีแนวโน้มที่จะทำตามข้อบังคับและดึงดันที่จะยึดติดอยู่กับคำพูดและคำสอน โดยใช้ความจริงแบบเดียวกันนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่หลากหลาย เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจทำเรื่องมากมายให้เสร็จสิ้นโดยคล้อยตามหลักธรรมความจริงโดยทั่วไป แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นการทรงนำของพระเจ้าได้ในการนี้ อีกทั้งไม่สามารถมองเห็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ ในที่นี้ มีปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือว่า ผู้คนทำสิ่งทั้งหลายมากมายโดยอาศัยประสบการณ์ของพวกเขาและข้อบังคับที่พวกเขาได้เข้าใจ และความคิดฝันบางอย่างแบบมนุษย์ เป็นการยากที่จะสัมฤทธิ์การอธิษฐานที่แท้จริงถึงพระเจ้า และเป็นการยากที่จะหวังพึ่งพระเจ้าและอาศัยพระองค์อย่างแท้จริงในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ต่อให้คนเราเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ก็ยากที่จะสัมฤทธิ์ผลของการทำตามที่พระเจ้าทรงชี้นำและตามหลักธรรมความจริง ด้วยเหตุผลนี้เอง เราจึงกล่าวว่า ปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ในทุกสรรพสิ่ง
ผู้คนสามารถฝึกฝนปฏิบัติการวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าในทุกสิ่งได้อย่างไร? ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันอายุยังน้อย วุฒิภาวะของฉันน้อย และฉันเชื่อในพระเจ้ามาไม่นาน ฉันไม่รู้วิธีฝึกฝนปฏิบัติการวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น” นี่เป็นปัญหาหรือไม่? มีความลำบากยากเย็นมากมายในการเชื่อในพระเจ้า และเจ้าจำเป็นต้องก้าวผ่านความทุกข์เข็ญ บททดสอบ และความเจ็บปวดมากมาย ทั้งหมดนี้ต้องใช้การอาศัยพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าเพื่อก้าวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก หากเจ้าไม่สามารถฝึกฝนปฏิบัติการวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถก้าวผ่านความลำบากยากเย็น และเจ้าจะไม่สามารถติดตามพระเจ้า การวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าไม่ใช่คำสอนที่ไร้แก่นสาร และไม่ใช่มนตร์ที่จะทำให้เชื่อในพระเจ้า แต่คือความจริงที่เป็นกุญแจสำคัญ ความจริงที่เจ้าต้องมีเพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า ผู้คนบางคนพูดว่า “การวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าใช้เฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น เจ้าจำเป็นต้องอาศัยพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าเฉพาะเมื่อเผชิญความทุกข์ลำบาก บททดสอบ การจับกุม และการข่มเหง หรือเมื่อเจ้าเผชิญความลำบากยากเย็นในหน้าที่ของเจ้า หรือเมื่อเจ้าถูกตัดแต่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญในชีวิตส่วนตัว เพราะพระเจ้าไม่ใส่พระทัยในเรื่องเหล่านั้น” ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่? ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน มีความเบี่ยงเบนในที่นี้ การวางใจในพระเจ้าในเรื่องสำคัญนั้นจำเป็น แต่เจ้าสามารถจัดการกับสิ่งที่ไม่สลักสำคัญและเรื่องเล็กๆ ในชีวิตโดยไม่ใช้หลักธรรมได้หรือ? ในเรื่องต่างๆ อาทิ การแต่งกายและการกิน เจ้าสามารถกระทำการโดยไม่ใช้หลักธรรมได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ แล้วในการที่เจ้าจัดการผู้คนและเรื่องทั้งหลายเล่า? แน่นอนว่าไม่ได้ แม้แต่ในชีวิตประจำวันและในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ อย่างน้อยเจ้าต้องมีหลักธรรมเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ ปัญหาที่เกี่ยวพันกับหลักธรรมคือปัญหาที่เกี่ยวพันกับความจริง ผู้คนสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วยตนเองได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ ดังนั้นเจ้าต้องวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า เฉพาะเมื่อเจ้าได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้าและเข้าใจความจริงเท่านั้นจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาที่ไม่สลักสำคัญเหล่านี้ได้ หากเจ้าไม่วางใจในพระเจ้าและไม่พึ่งพาพระเจ้า พวกเจ้าคิดว่าจะสามารถแก้ไขประเด็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับหลักธรรมเหล่านี้ได้หรือ? แน่นอนว่าทำไม่ได้โดยง่าย อาจกล่าวได้ว่าในสรรพสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนและพึงต้องให้ผู้คนแสวงหาความจริง พวกเขาต้องวางใจในพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เพียงใด ปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไขด้วยความจริงพึงต้องมีการวางใจในพระเจ้าและการพึ่งพาพระเจ้า นี่คือความจำเป็นประการหนึ่ง ต่อให้ผู้คนเข้าใจความจริงและสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ความเข้าใจและทางแก้เหล่านี้ย่อมมีจำกัดและผิวเผิน หากผู้คนไม่วางใจในพระเจ้าและไม่พึ่งพาพระเจ้า การเข้าสู่ของพวกเขาจะไม่มีวันลึกซึ้งได้มากนัก ตัวอย่างเช่น หากวันนี้เจ้าป่วย และนี่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็จำเป็นต้องอธิษฐานในเรื่องนี้และพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า วันนี้ข้าพระองค์รู้สึกไม่สบาย ข้าพระองค์กินไม่ได้ และนี่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ต้องตรวจสอบตัวเอง อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของการที่ข้าพระองค์ป่วย? ข้าพระองค์กำลังถูกพระเจ้าบ่มวินัยเพราะไม่ภักดีในหน้าที่อยู่หรือไม่? ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ประทานความรู้แจ้งและชี้นำข้าพระองค์ด้วยเถิด” เจ้าต้องร้องเรียกออกมาเช่นนี้ นี่คือการวางใจในพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าวางใจในพระเจ้า เจ้าไม่สามารถเพียงแค่ทำตามพิธีการและยึดปฏิบัติตามข้อบังคับเท่านั้น หากเจ้าไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา เจ้าก็จะทำให้สิ่งทั้งหลายล่าช้า หลังจากอธิษฐานถึงพระเจ้าและวางใจในพระเจ้าแล้ว เจ้าควรดำเนินชีวิตของเจ้าอย่างที่เจ้าควรจะทำอยู่ดี โดยไม่ทำให้หน้าที่ที่เจ้าจะต้องปฏิบัตินั้นล่าช้า หากเจ้าป่วย เจ้าก็ควรไปพบแพทย์ และนี่ย่อมถูกต้องเหมาะสม ในเวลาเดียวกัน เจ้าต้องอธิษฐาน ทบทวนตนเอง และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา มีเพียงการฝึกฝนปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้นที่เหมาะสมโดยบริบูรณ์ สำหรับบางสิ่ง หากผู้คนรู้วิธีทำอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรทำสิ่งเหล่านั้น ผู้คนควรร่วมมือในลักษณะนี้ อย่างไรก็ตาม การที่จะสามารถสัมฤทธิ์ผลและเป้าหมายที่ต้องการในเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการวางใจในพระเจ้าและการพึ่งพาพระเจ้า ในปัญหาที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและไม่สามารถจัดการได้ดีด้วยตนเอง พวกเขาล้วนต้องวางใจในพระเจ้าและแสวงหาความจริงให้มากยิ่งขึ้นอีกเพื่อแก้ปัญหา ความสามารถในการทำเช่นนี้คือสิ่งที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี มีบทเรียนมากมายให้เรียนรู้ในการวางใจในพระเจ้า ในกระบวนการวางใจในพระเจ้า เจ้าอาจได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเจ้าย่อมจะมีหนทาง หรือหากพระวจนะของพระเจ้ามาถึงตัวเจ้า เจ้าก็จะรู้วิธีร่วมมือ หรือบางทีพระเจ้าอาจจะจัดการเตรียมสถานการณ์บางอย่างให้เจ้าได้เรียนรู้บทเรียนที่มีน้ำพระทัยอันดีงามของพระเจ้าอยู่ในนั้น ในกระบวนการวางใจในพระเจ้า เจ้าจะมองเห็นการทรงนำและความเป็นผู้นำของพระเจ้า และสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าเรียนรู้บทเรียนมากมายและเข้าใจพระเจ้ามากขึ้น นี่คือผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์ด้วยการวางใจในพระเจ้า เพราะฉะนั้น การวางใจในพระเจ้าคือบทเรียนที่ผู้ที่ติดตามพระเจ้าต้องเรียนรู้บ่อยๆ และเป็นบางสิ่งที่พวกเขาจะไม่มีวันเสร็จสิ้นการผ่านประสบการณ์ภายในชั่วชีวิตเดียว มีผู้คนมากมายที่มีประสบการณ์ตื้นเขินเกินไปและไม่สามารถมองเห็นการกระทำของพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่า “มีสิ่งเล็กๆ มากมายที่ฉันทำเองได้และไม่จำเป็นต้องวางใจในพระเจ้า” นี่ไม่ถูกต้อง สิ่งเล็กน้อยบางสิ่งนำไปสู่สิ่งใหญ่ๆ และเจตนารมณ์ของพระเจ้าก็ซ่อนเร้นอยู่ในสิ่งเล็กน้อยบางอย่าง ผู้คนมากมายเพิกเฉยต่อสิ่งเล็กๆ และผลลัพธ์ก็คือพวกเขาพบว่าตนเองมีปัญหาใหญ่โตที่ทำให้เกิดการชะงักงันเพราะเรื่องเล็กๆ ผู้ที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริงทั้งในเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กย่อมจะวางใจในพระเจ้า อธิษฐานถึงพระเจ้า วางใจมอบทุกสิ่งให้พระเจ้า แล้วจากนั้นจึงดูว่าพระเจ้าทรงนำทางและชี้นำพวกเขาอย่างไร เมื่อเจ้ามีประสบการณ์เช่นนี้ เจ้าจะสามารถวางใจในพระเจ้าในทุกสิ่ง และยิ่งเจ้ามีประสบการณ์เช่นนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกมากขึ้นเท่านั้นว่าการวางใจในพระเจ้าในทุกสิ่งนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างมาก เมื่อเจ้าวางใจในพระเจ้าในเรื่องหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าพระเจ้าจะไม่ประทานความรู้สึก ความหมายที่ชัดเจน และยิ่งจะไม่ประทานคำสั่งสอนที่ชัดแจ้งแก่เจ้า แต่พระองค์จะทรงทำให้เจ้าเข้าใจแนวคิดอย่างหนึ่งที่สำคัญต่อเรื่องนี้พอดี และเช่นนี้คือการที่พระเจ้าทรงชี้นำเจ้าโดยใช้วิธีการที่แตกต่างและประทานหนทางแก่เจ้า หากเจ้าสามารถรู้สึกและเข้าใจสิ่งนี้ เจ้าก็จะได้ประโยชน์ เจ้าอาจไม่เข้าใจสิ่งใดในขณะนี้ แต่เจ้าต้องอธิษฐานและวางใจในพระเจ้าต่อไป ไม่มีอะไรผิดในการนี้ และไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะได้รับความรู้แจ้ง การปฏิบัติในหนทางนี้ไม่ได้หมายถึงการยึดปฏิบัติตามข้อบังคับ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเป็นการสนองความต้องการของวิญญาณ และเป็นวิธีที่ผู้คนควรจะปฏิบัติ เจ้าอาจไม่ได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำทุกครั้งที่เจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าและวางใจในพระเจ้า แต่ผู้คนต้องปฏิบัติในหนทางนี้ และหากพวกเขาต้องการเข้าใจความจริง พวกเขาก็จำเป็นต้องปฏิบัติในหนทางนี้ นี่คือสภาวะที่ปกติของชีวิตและวิญญาณ และเฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถธำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าเอาไว้ได้เพื่อให้หัวใจของพวกเขาใกล้ชิดพระเจ้า เพราะฉะนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าการวางใจในพระเจ้าคือปฏิสัมพันธ์ตามปกติกับพระเจ้าในหัวใจของผู้คน ไม่ว่าเจ้าจะสามารถได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้าหรือไม่ เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและวางใจในพระเจ้าในทุกสิ่ง นี่คือเส้นทางที่จำเป็นในการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกด้วย เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า พวกเขาก็ควรมีสภาวะทางจิตใจที่วางใจในพระเจ้าอยู่เสมอ นี่คือสภาวะทางจิตใจที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี บางครั้ง การหวังพึ่งพระเจ้าไม่ได้หมายถึงการใช้ถ้อยคำจำเพาะมาขอให้พระเจ้าทำบางสิ่ง หรือขอให้พระองค์ทรงนำหรือคุ้มครองเป็นการเฉพาะ แต่เป็นการที่ผู้คนสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์อย่างจริงใจเมื่อเผชิญปัญหาบางอย่าง ดังนั้น พระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งใดอยู่ตรงนั้นเมื่อผู้คนเรียกหาพระองค์? เมื่อหัวใจของใครบางคนหวั่นไหว และพวกเขามีความคิดดังนี้ว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่สามารถทำการนี้ด้วยตัวเองได้ ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำการนี้อย่างไร และข้าพระองค์รู้สึกอ่อนแอและคิดลบ…” เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในตัวพวกเขา พระเจ้าไม่ทรงรู้กระนั้นหรือ? เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในตัวผู้คน หัวใจของพวกเขาจริงใจหรือไม่? เมื่อพวกเขาเรียกหาพระเจ้าอย่างจริงใจในหนทางนี้ พระเจ้าทรงยินยอมที่จะช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่? ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงว่าพวกเขาอาจยังไม่ได้พูดสักคำ พวกเขาก็แสดงให้เห็นความจริงใจ และดังนั้น พระเจ้าจึงทรงยินยอมที่จะช่วยเหลือพวกเขา เมื่อใครบางคนเผชิญความลำบากยากเย็นคล้ายขวากหนามเป็นพิเศษ เมื่อพวกเขาไม่มีใครให้หันไปหา และเมื่อพวกเขารู้สึกอับจนหนทางเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาฝากความหวังเดียวของพวกเขาไว้กับพระเจ้า คำอธิษฐานของพวกเขาย่อมเป็นเช่นใด? สภาวะจิตใจของพวกเขาย่อมเป็นอย่างไร? พวกเขาจริงใจหรือไม่? มีสิ่งใดเจือปนอยู่หรือไม่ในเวลาเช่นนั้น? เฉพาะเมื่อเจ้าเชื่อใจพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เจ้ากำไว้แน่น เฉพาะเมื่อเจ้าหวังว่าพระองค์จะทรงช่วยเจ้า หัวใจของเจ้าจึงจะมีความจริงใจ แม้เจ้าจะไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่หัวใจของเจ้าก็หวั่นไหวแล้ว นั่นคือ เจ้ามอบหัวใจที่ซื่อสัตย์ของเจ้าแด่พระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสดับรับฟัง เมื่อพระเจ้าทรงสดับรับฟัง พระองค์ทอดพระเนตรความลำบากยากเย็นของเจ้า และพระองค์จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า นำทางเจ้า และช่วยเจ้า หัวใจของมนุษย์จริงใจที่สุดเมื่อใด? หัวใจของมนุษย์จริงใจที่สุดเมื่อมนุษย์วางใจในพระเจ้ายามที่ไม่มีทางออก สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมีในการวางใจในพระเจ้าคือหัวใจที่จริงใจ เจ้าต้องอยู่ในสภาวะที่จำเป็นต้องมีพระเจ้าอย่างแท้จริง กล่าวคือ อย่างน้อยหัวใจของผู้คนต้องจริงใจ ไม่สุกเอาเผากิน พวกเขาไม่ควรขยับเพียงแค่ปากของตน แต่หัวใจไม่ขยับ หากเจ้าพูดกับพระเจ้าอย่างสักแต่พอเอาหน้ารอด แต่หัวใจของเจ้าไม่รู้สึกอะไร และความหมายของเจ้าคือ “ข้าพระองค์ได้วางแผนการของตัวเองไว้แล้ว และข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เพียงแจ้งแก่พระองค์เท่านั้น ข้าพระองค์จะดำเนินการตามแผนเหล่านี้โดยไม่คำนึงว่าพระองค์ทรงเห็นด้วยหรือไม่ ข้าพระองค์เพียงแจ้งพระองค์ตามที่ต้องทำเท่านั้น” เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมก่อให้เกิดปัญหา เจ้ากำลังหลอกลวงและล้อเล่นกับพระเจ้า และนี่ก็แสดงถึงความไม่เคารพพระเจ้าอีกด้วย พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรหลังจากนี้? พระเจ้าจะทรงเพิกเฉยต่อเจ้าและวางเจ้าเอาไว้ และเจ้าจะรู้สึกอดสูอย่างสิ้นเชิง หากเจ้าไม่แสวงหาพระเจ้าอย่างแข็งขันและไม่ทุ่มเทความพยายามเพื่อความจริง เจ้าก็จะถูกกำจัดออกไป
ผู้คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้านั้นอยู่ในสภาวะนี้ พวกเขามักจะใช้ชีวิตอยู่ในภาวะที่ไม่คิดอ่านและไม่รู้ตัวกันโดยมาก และเมื่อไม่มีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้น เมื่อพวกเขาไม่พบพานความยากลำบากที่ร้ายแรงอันใด พวกเขาก็ไม่รู้จักอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือพึ่งพาพระองค์ พวกเขาไม่แสวงหาความจริงเมื่อเผชิญปัญหาทั่วไป แต่ดำเนินชีวิตไปตามความรู้ คำสอน และเจตจำนงของตนเอง พวกเขาตระหนักรู้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่ถูกต้องและควรทำคือการพึ่งพาพระเจ้า แต่โดยมากแล้วพวกเขาพึ่งพาตนเองและภาวะกับสภาพแวดล้อมทั้งหลายที่เป็นประโยชน์รอบตัวพวกเขา ตลอดจนพึ่งพาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบตัวซึ่งเป็นข้อได้เปรียบต่อตัวพวกเขา นี่คือสิ่งที่ผู้คนทำได้ดีที่สุด สิ่งที่พวกเขาไม่เก่งที่สุดก็คือการพึ่งพาพระเจ้าและการฝากความหวังไว้กับพระองค์ เพราะพวกเขารู้สึกว่าการฝากความหวังไว้กับพระเจ้านั้นยุ่งยากเกินไป พวกเขารู้สึกว่าไม่ว่าจะอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ได้รับความรู้แจ้ง ความกระจ่าง หรือคำตอบในทันทีอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงคิดจะเลี่ยงความยุ่งยากและไปตามหาใครสักคนมาแก้ปัญหา ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงทำได้แย่ที่สุดในบทเรียนแง่มุมนี้ของตน และการเข้าสู่บทเรียนแง่มุมนี้ของพวกเขาก็ตื้นเขินที่สุด หากเจ้าไม่เรียนรู้ที่จะพึ่งพาและฝากความหวังไว้กับพระเจ้า เจ้าจะไม่มีวันเห็นพระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวเจ้า ทรงนำเจ้า หรือให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า หากเจ้าไม่สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นคำถามทั้งหลาย อาทิ “พระเจ้าทรงมีอยู่จริงหรือไม่และพระองค์ทรงนำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของมวลมนุษย์หรือไม่” ก็ย่อมจะจบลงในส่วนลึกที่สุดของหัวใจของเจ้าด้วยเครื่องหมายคำถามแทนที่จะเป็นเครื่องหมายมหัพภาคหรืออัศเจรีย์ “พระเจ้าทรงนำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของมวลมนุษย์หรือไม่?” “พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกของหัวใจของมนุษย์หรือไม่?” หากเจ้าคิดเช่นนั้น เจ้าย่อมตกที่นั่งลำบาก ด้วยเหตุผลใดเจ้าจึงทำให้เหล่านี้เป็นประโยคคำถาม? หากเจ้าไม่พึ่งพาหรือฝากความหวังไว้กับพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าย่อมจะไม่มีความสามารถที่จะก่อให้เกิดความเชื่อจริงแท้ในพระองค์ได้ หากเจ้าไม่สามารถก่อให้เกิดความเชื่อจริงแท้ในพระองค์ เช่นนั้นแล้วสำหรับเจ้า เครื่องหมายคำถามเหล่านั้นจะอยู่ตรงนั้นไปตลอดกาล เคียงข้างกันไปกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำ และจะไม่มีมหัพภาคเลย เวลาที่พวกเจ้าไม่มีงานยุ่ง จงถามตนเองว่า “ประโยคที่ว่า ‘ฉันเชื่อว่าพระเจ้าคือองค์อธิปัตย์เหนือทุกสิ่ง’—นั้นตามด้วยเครื่องหมายคำถาม เครื่องหมายมหัพภาคจบประโยค หรืออัศเจรีย์?” เมื่อเจ้าตรึกตรองเรื่องนี้ เจ้าจะพูดไม่ได้แน่ชัดอยู่ระยะหนึ่งว่าตัวเจ้าอยู่ในสภาวะใด หลังจากที่เจ้าพอจะมีประสบการณ์บ้างแล้ว เจ้าจึงจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนและพูดได้อย่างมั่นใจว่า “พระเจ้าคือองค์อธิปัตย์เหนือสรรพสิ่งอย่างแท้จริง!!!” นี่จะมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ตามหลังสามตัว ซึ่งย่อมจะเป็นเพราะว่าเจ้ามีความรู้ที่แท้จริงเรื่องอธิปไตยของพระเจ้า ไร้ข้อสงสัยใดๆ ในบรรดาสภาวะเหล่านี้พวกเจ้าอยู่ในสภาวะใด? เมื่อมองดูสภาวะและวุฒิภาวะในปัจจุบันของพวกเจ้า ก็ชัดเจนว่ามีเครื่องหมายคำถามเป็นส่วนใหญ่ และเครื่องหมายคำถามนี้ก็มีจำนวนค่อนข้างมาก นี่บ่งชี้ว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจความจริงกันแต่อย่างใด และยังคงมีข้อสงสัยในหัวใจของเจ้า เมื่อผู้คนมีข้อสงสัยเป็นอันมากเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็จวนเจียนจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะล้มลงและทรยศพระเจ้าได้ทุกเมื่อ เหตุใดเราจึงกล่าวว่าผู้คนมีวุฒิภาวะน้อย? ระดับวุฒิภาวะของคนคนหนึ่งดูจากสิ่งใด? ดูจากการที่ว่าเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้ามากเท่าใด และเจ้ามีความรู้ที่แท้จริงมากเท่าใด แล้วพวกเจ้ามีอยู่มากเท่าใด? พวกเจ้าเคยสำรวจสิ่งเหล่านี้มาก่อนหรือไม่? มีคนหนุ่มสาวหลายคนที่มาเชื่อในพระเจ้าตามพ่อแม่ของตน พวกเขาได้เรียนรู้คำสอนบางอย่างเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าจากพ่อแม่ของตน แล้วพวกเขาก็คิดว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นสิ่งที่เป็นบวก แต่พวกเขายังต้องเข้าใจอย่างแท้จริง หรือมีประสบการณ์และพิสูจน์ยืนยันความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าควรที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมีเครื่องหมายคำถามและมโนคติอันหลงผิดมากมายนัก คำพูดส่วนมากที่ออกมาจากปากของพวกเขาไม่ใช่คำยืนยันหรือคำอุทาน กลับเป็นคำถาม นี่เป็นเพราะพวกเขามีข้อบกพร่องมากเกินไป และไม่สามารถมองสิ่งทั้งหลายออก จึงยากที่จะกล่าวว่าพวกเขาจะสามารถตั้งมั่นได้หรือไม่ เป็นเรื่องปกติที่พวกเจ้าจะมีเครื่องหมายคำถามเป็นอันมากในช่วงวัยยี่สิบถึงสามสิบปี แต่หลังจากที่พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนไปสักระยะหนึ่งแล้ว พวกเจ้าจะขจัดเครื่องหมายคำถามเหล่านี้ทิ้งไปได้เท่าใด? พวกเจ้าจะสามารถเปลี่ยนเครื่องหมายคำถามเหล่านี้ให้เป็นเครื่องหมายอัศเจรีย์ได้หรือไม่? นี่ย่อมจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของพวกเจ้า นี่สำคัญหรือไม่? (สำคัญ) นี่สำคัญมาก! เราเพิ่งกล่าวไปว่าสิ่งใดคือปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่สุด? (การอาศัยพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ในทุกเรื่อง) เมื่อพวกเขาได้ฟังดังนี้ บางคนก็กล่าวว่า “คำตอบนั้นง่ายเกินไปและธรรมดาเกินไป เป็นคำกล่าวที่พ้นสมัย และทุกวันนี้ก็ไม่มีใครพูดเช่นนั้นกันแล้ว” การฝากความหวังไว้กับพระเจ้าอาจฟังเหมือนเป็นหนทางปฏิบัติที่ชัดแจ้ง แต่นี่เป็นบทเรียนที่ผู้ติดตามพระเจ้าทุกคนควรศึกษาและเข้าสู่ในชั่วอายุขัยของตน ตอนที่โยบอยู่ในช่วงวัยเจ็ดสิบปี เขาหวังพึ่งความช่วยเหลือจากพระเจ้าหรือไม่? (หวัง) แล้วเขาหวังพึ่งพระเจ้าอย่างไร? การที่เขาหวังพึ่งความช่วยเหลือจากพระเจ้ามีลักษณะอันใดที่สำแดงให้เห็นเป็นการเฉพาะ? เมื่อสิ่งที่เขาครอบครองและลูกๆ ของเขาถูกพรากไปจากเขา เขาหวังพึ่งความช่วยเหลือจากพระเจ้าอย่างไร? เขาอธิษฐานอยู่ในหัวใจของตน และเขาทำบางสิ่งให้เห็นภายนอก มีการเขียนเรื่องนี้ไว้ในพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? (“แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ” (โยบ 1:20)) เขาทรุดลงกับพื้นและนมัสการ นั่นคือสิ่งที่สำแดงถึงการหวังพึ่งความช่วยเหลือจากพระเจ้า! นี่เปี่ยมศรัทธาอย่างยิ่ง นี่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าสามารถทำได้หรือไม่? (พวกเรายังทำไม่ได้) เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าเต็มใจที่จะทำดังนั้นหรือไม่? (เต็มใจ) หากคนเราทำได้ถึงระดับของโยบ ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว กลายเป็นคนที่ไร้ที่ติ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเพียบพร้อม! แต่ในขณะที่พวกเจ้ากำลังทำหน้าที่ของตนอยู่นั้น พวกเจ้าต้องมีเจตจำนงที่จะสู้ทนความทุกข์ยาก เจ้าต้องพากเพียรเข้าสู่ความจริงเรื่อยไป เมื่อเจ้าสามารถเข้าใจความจริงและรับมือสิ่งต่างๆ ได้ตามหลักธรรม เจ้าย่อมจะทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า พวกเจ้าเพียงแต่ต้องจดจำเรื่องนี้เอาไว้
1 มกราคม ค.ศ. 2015