การเปิดโปงมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 281

พระเจ้าและมนุษย์ไม่สามารถถูกกล่าวถึงในลักษณะเท่าเทียมกันได้  แก่นแท้ของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์นั้นยากหยั่งถึงที่สุดและไม่สามารถจับความเข้าใจได้มากที่สุดสำหรับมนุษย์  หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจของพระองค์และตรัสพระวจนะของพระองค์ในโลกของมนุษย์ด้วยพระองค์เองแล้วไซร้ มนุษย์ก็จะไม่มีวันมีความสามารถที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  และดังนั้น แม้แต่ผู้ที่ได้อุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขาให้กับพระเจ้าก็จะไม่มีความสามารถที่จะได้รับการเห็นชอบจากพระองค์  หากพระเจ้าไม่ได้เริ่มทรงพระราชกิจ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่ามนุษย์จะทำได้ดีเพียงใด ทั้งหมดก็จะไร้ประโยชน์ เพราะพระดำริของพระเจ้าจะสูงส่งกว่าความคิดของมนุษย์เสมอและพระปรีชาญาณของพระเจ้าก็อยู่เหนือการจับความเข้าใจของมนุษย์  และดังนั้น เราบอกว่าพวกที่อ้างว่า “เข้าใจถ่องแท้” เกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์นั้น เป็นพวกโง่ทึ่มกลุ่มหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดอวดดีและไม่รู้เท่าทัน  มนุษย์ไม่ควรนิยามพระราชกิจของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ไม่สามารถนิยามพระราชกิจของพระเจ้าได้  ในสายพระเนตรของพระเจ้า มนุษย์ไร้ความสำคัญพอกันกับมดตัวหนึ่ง ดังนั้นมนุษย์จะสามารถหยั่งลึกถึงพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกที่ชอบพูดปาวๆ ว่า “พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจเช่นนี้หรือเช่นนั้น” หรือ “พระเจ้าทรงเป็นอย่างนี้หรืออย่างนั้น”—พวกเขาไม่ได้กำลังพูดด้วยความโอหังหรอกหรือ?  เราทุกคนควรรู้ว่ามนุษย์ซึ่งอยู่ในสภาวะเนื้อหนังได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  ธรรมชาติจริงๆ ของมวลมนุษย์คือการต่อต้านพระเจ้า  มวลมนุษย์ไม่สามารถเทียบเสมอพระเจ้าได้และมวลมนุษย์ยิ่งหวังได้น้อยกว่าที่จะเป็นผู้ให้คำแนะนำในพระราชกิจของพระเจ้า  สำหรับวิธีที่พระเจ้าทรงนำมนุษย์ นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง  เป็นการเหมาะสมแล้วที่มนุษย์ควรนบนอบ โดยปราศจากการเอ่ยอ้างทรรศนะอย่างนี้อย่างนั้น เพราะมนุษย์เป็นเพียงผงคลีดิน  ในเมื่อพวกเรามีเจตนาที่จะแสวงหาพระเจ้า พวกเราจึงไม่ควรวางมโนคติที่หลงผิดของพวกเราทับซ้อนลงบนพระราชกิจของพระองค์เพื่อการพิจารณาของพระเจ้า และพวกเรายิ่งไม่ควรที่จะใช้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราจนถึงที่สุดเพื่อจงใจต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้า  นั่นจะไม่ทำให้พวกเราเป็นศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไรกัน?  เนื่องจากพวกเราเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่งและเนื่องจากพวกเราปรารถนาที่จะทำให้พระองค์สมดังพระทัยและมองเห็นพระองค์ พวกเราก็ควรแสวงหาหนทางแห่งความจริง และควรมองหาหนทางที่จะเข้ากันได้กับพระเจ้า  พวกเราไม่ควรยืนหยัดต่อต้านพระองค์อย่างดื้อดึง  การกระทำเหล่านี้จะสามารถนำมาซึ่งประโยชน์ดีงามอันใดหรือ?

วันนี้พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจใหม่  เจ้าอาจไม่มีความสามารถที่จะยอมรับวจนะเหล่านี้และวจนะเหล่านี้อาจดูแปลกสำหรับเจ้า แต่เราจะแนะนำให้เจ้าไม่ตีแผ่ความเป็นธรรมชาติของเจ้า เพราะมีเพียงผู้คนที่หิวและกระหายอย่างแท้จริงต่อความชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถได้รับความจริง และมีเพียงผู้คนที่มีใจศรัทธาอย่างแท้จริงเท่านั้นที่สามารถได้รับการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระองค์  ผลลัพธ์ทั้งหลายนั้นได้มาจากการแสวงหาความจริงด้วยความสงบเปี่ยมสติสัมปชัญญะ มิใช่ด้วยการวิวาทและการโต้เถียง  เมื่อเราพูดว่า “วันนี้พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจใหม่แล้ว” เรากำลังอ้างอิงถึงเรื่องของการทรงกลับสู่เนื้อหนังของพระเจ้า  บางทีวจนะเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เจ้ารู้สึกอะไร บางทีเจ้าอาจดูหมิ่นวจนะเหล่านี้ หรือแม้แต่บางทีวจนะเหล่านี้เป็นที่สนใจของเจ้าอย่างยิ่ง  ไม่ว่าในกรณีใด เราหวังว่าบรรดาผู้ที่โหยหาอย่างแท้จริงให้พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์จะสามารถเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงนี้และพินิจพิเคราะห์มันอย่างรอบคอบ แทนที่จะด่วนสรุปต่างๆ นานาเกี่ยวกับมัน นั่นคือสิ่งที่บุคคลซึ่งมีปัญญาควรทำ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 282

ในการเชื่อในพระเจ้า คนเราควรทำความรู้จักพระเจ้าอย่างไร?  คนเราควรมารู้จักพระเจ้าตามพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้ โดยปราศจากความเบี่ยงเบนหรือเหตุผลวิบัติ และก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด คนเราควรรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า  นี่เป็นรากฐานของการรู้จักพระเจ้า  เหตุผลวิบัติสารพัดเหล่านั้นทั้งหมดที่ขาดพร่องความเข้าใจอันผุดผ่องในพระวจนะของพระเจ้าคือมโนคติที่หลงผิดทางศาสนา สิ่งเหล่านั้นเป็นการเข้าใจที่เบี่ยงเบนและเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด  ทักษะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าบุคคลสำคัญทางศาสนาก็คือ การนำเอาพระวจนะของพระเจ้าซึ่งเป็นที่เข้าใจในอดีตมาใช้และการวัดพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้กับพระวจนะเหล่านั้นในอดีต  หากว่าในขณะที่กำลังรับใช้พระเจ้าแห่งวันนี้ เจ้าเกาะติดกับสิ่งทั้งหลายที่ถูกเปิดเผยโดยความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในอดีตแล้วไซร้ การปรนนิบัติของเจ้าก็ย่อมจะก่อให้เกิดการหยุดชะงัก และการปฏิบัติของเจ้าก็จะล้าสมัย โดยไม่เป็นอะไรที่มากไปกว่าพิธีการทางศาสนา  หากเจ้าเชื่อว่าคนเหล่านั้นที่รับใช้พระเจ้าต้องดูภายนอกเป็นคนถ่อมใจและอดทน ท่ามกลางคุณสมบัติอื่นๆ และหากเจ้านำความรู้ประเภทนี้ไปปฏิบัติวันนี้แล้วไซร้ ความรู้เช่นนั้นย่อมเป็นมโนคติที่หลงผิดทางศาสนา การปฏิบัติเช่นนั้นก็กลายเป็นการแสดงอันหน้าซื่อใจคดไปเสียแล้ว วลีที่ว่า “มโนคติที่หลงผิดทางศาสนา” หมายถึงสิ่งทั้งหลายที่หมดสมัยและเลิกใช้ไปแล้ว (ซึ่งรวมถึงการเข้าใจพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนหน้านี้และความสว่างที่ถูกเปิดเผยโดยตรงโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์) และหากสิ่งเหล่านั้นถูกนำมาปฏิบัติวันนี้แล้วไซร้ สิ่งเหล่านั้นย่อมทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักและไม่นำประโยชน์อันใดมาสู่มนุษย์เลย  หากผู้คนไม่สามารถที่จะชำระล้างสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาออกจากตัวพวกเขาเองแล้วไซร้ สิ่งเหล่านี้ย่อมจะกลายเป็นสิ่งขัดขวางอันใหญ่หลวงต่อการปรนนิบัติของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า  ผู้คนที่มีมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาไม่มีทางตามทันย่างก้าวแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์—พวกเขาล้าหลังไปหนึ่งก้าว แล้วจากนั้นก็สองก้าว  นี่เป็นเพราะว่ามโนคติที่หลงผิดทางศาสนาเหล่านี้ทำให้มนุษย์กลายเป็นคนที่ถือตัวว่าชอบธรรมเสมอและโอหังอย่างเกินปกติธรรมดา  พระเจ้าไม่ทรงรู้สึกอาลัยอาวรณ์สำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้และได้ทรงทำไปในอดีต หากบางสิ่งบางอย่างคร่ำครึ พระองค์ย่อมทรงกำจัดมันทิ้งไปเสีย  เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของเจ้าได้อย่างแท้จริงกระนั้นหรือ?  หากเจ้าเกาะติดอยู่กับพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ในอดีต นี่พิสูจน์ว่าเจ้ารู้จักพระราชกิจของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  หากวันนี้เจ้าไม่สามารถที่จะยอมรับความสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และกลับเกาะติดอยู่กับความสว่างของอดีตแทน นี่สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าเจ้าติดตามย่างพระบาทของพระเจ้า?  เจ้ายังคงสามารถที่จะปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาได้อยู่หรือ?  หากเป็นกรณีเช่นนั้นแล้วไซร้ เจ้าก็ย่อมจะกลายเป็นใครคนหนึ่งซึ่งต่อต้านพระเจ้า

หากผู้คนสามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาได้ พวกเขาจะไม่ใช้ความรู้สึกนึกคิดของตนมาประเมินวัดพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้ และกลับจะเชื่อฟังโดยตรงแทน  แม้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้สำแดงชัดว่าไม่เหมือนกับพระราชกิจของอดีต เจ้าก็ยังสามารถปล่อยมือจากทรรศนะต่างๆ ในอดีตและเชื่อฟังพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้โดยตรงได้  หากเจ้าสามารถที่จะเข้าใจว่า เจ้าต้องให้ความสำคัญโดดเด่นต่อพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้ ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจอย่างไรในอดีต เช่นนั้นแล้ว เจ้าจึงจะเป็นใครคนหนึ่งผู้ซึ่งได้ปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของตนแล้ว ผู้ซึ่งเชื่อฟังพระเจ้า และผู้ซึ่งสามารถเชื่อฟังพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าและติดตามย่างพระบาทของพระองค์ได้  ในการนี้ เจ้าจะเป็นใครคนหนึ่งซึ่งเชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง  เจ้าไม่วิเคราะห์หรือพินิจพิเคราะห์พระราชกิจของพระเจ้า นั่นก็คือราวกับว่า พระเจ้าได้ทรงลืมพระราชกิจก่อนหน้านี้ของพระองค์ไปแล้วและเจ้าเองก็ได้ลืมสิ่งนั้นไปแล้วเช่นกันนั่นเอง  ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน และอดีตก็คืออดีต และเนื่องจากวันนี้พระเจ้าได้ทรงละวางสิ่งที่พระองค์เคยทำในอดีตไปแล้ว เจ้าก็ไม่ควรจมปลักอยู่กับมัน  มีเพียงบุคคลเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์และได้ปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาของตนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้ที่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้เท่านั้นที่อาจรับใช้พระเจ้าได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 283

เพราะมีพัฒนาการใหม่ๆ อยู่เสมอในพระราชกิจของพระเจ้า จึงมีพระราชกิจที่กลายเป็นล้าสมัยและเก่าในขณะที่พระราชกิจใหม่เกิดขึ้น  พระราชกิจต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่เหล่านี้ไม่ได้ค้านแย้งกัน แต่เสริมกัน แต่ละขั้นตอนเป็นส่วนที่ต่อมาจากขั้นตอนล่าสุด  เพราะมีพระราชกิจใหม่ สิ่งเก่าๆ จึงต้องถูกกำจัดทิ้งไปอย่างแน่นอน  ยกตัวอย่างเช่น การปฏิบัติบางอย่างที่กำหนดให้มีมาช้านานและภาษิตทั้งหลายที่ติดเป็นนิสัยของมนุษย์ ควบคู่ไปกับประสบการณ์และการสอนในหลายปีของมนุษย์ได้ก่อให้เกิดลักษณะและรูปแบบของมโนคติที่หลงผิดทั้งหมดในจิตใจของมนุษย์  หนำซ้ำการที่พระเจ้ายังมิได้ทรงเปิดเผยพระพักตร์ที่แท้จริงและพระอุปนิสัยประจำตัวของพระองค์ต่อมนุษย์อย่างเต็มที่ ร่วมไปกับการแพร่กระจายของทฤษฎีดั้งเดิมจากสมัยโบราณมาตลอดหลายปี ก็ยังเป็นการเอื้ออำนวยมากขึ้นต่อการก่อเกิดมโนคติที่หลงผิดเช่นนั้นของมนุษย์  อาจกล่าวได้ว่า ตลอดครรลองแห่งความเชื่อของมนุษย์ในพระเจ้า อิทธิพลของมโนคติที่หลงผิดอันหลากหลายได้นำไปสู่การก่อรูปและวิวัฒนาการอันต่อเนื่องของความเข้าใจตามมโนคติที่หลงผิดทุกรูปแบบเกี่ยวกับพระเจ้าในผู้คน ซึ่งได้เป็นสาเหตุให้ผู้คนทางศาสนาจำนวนมากที่รับใช้พระเจ้ากลายเป็นศัตรูของพระองค์ไป  ดังนั้นยิ่งมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาของผู้คนรุนแรงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งต่อต้านพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งเป็นศัตรูของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  พระราชกิจของพระเจ้านั้นใหม่เสมอและไม่เคยเก่าเลย สิ่งนั้นไม่เคยก่อรูปเป็นคำสอน แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับกำลังเปลี่ยนแปลงและถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องในขอบเขตที่ไม่มากก็น้อย  การทรงพระราชกิจในหนทางนี้เป็นการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยประจำตัวของพระเจ้าเอง  นั่นยังเป็นหลักการประจำตัวแห่งพระราชกิจของพระเจ้าด้วย และเป็นหนึ่งในวิถีทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อสำเร็จลุล่วงการบริหารจัดการของพระองค์  หากพระเจ้ามิได้ทรงกระทำพระราชกิจในหนทางนี้ มนุษย์ก็คงจะไม่เปลี่ยนแปลงหรือสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าได้ และซาตานก็คงจะไม่มีอันปราชัยลงไป  ดังนั้น ในพระราชกิจของพระองค์ จึงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูเหมือนเอาแน่นอนไม่ได้ แต่อันที่จริงแล้วเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ  อย่างไรก็ตาม วิธีที่มนุษย์เชื่อในพระเจ้าช่างแตกต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว  เขาเกาะติดอยู่กับคำสอนและระบบทั้งหลายที่เก่าแก่และคุ้นเคย และยิ่งสิ่งเหล่านั้นเก่าแก่มากขึ้นเท่าใด สิ่งเหล่านั้นก็ยิ่งโอชะสำหรับเขามากขึ้นเท่านั้น  ความรู้สึกนึกคิดที่โง่เขลาของมนุษย์ ความรู้สึกนึกคิดที่หัวแข็งราวกับหินนั้น จะสามารถยอมรับพระราชกิจและพระวจนะใหม่ๆ ซึ่งแทบมิอาจหยั่งถึงได้เลยของพระเจ้าได้อย่างไร?  มนุษย์ชิงชังพระเจ้าผู้ทรงใหม่อยู่เสมอและไม่เคยเก่าเลย เขาชอบแต่เพียงพระเจ้าองค์ที่เก่าผู้ทรงพระทนต์ยาว พระเกศาขาว และติดอยู่กับที่  ดังนั้น ด้วยความที่พระเจ้าและมนุษย์ต่างก็มีสิ่งที่ตนเองชอบ มนุษย์จึงได้กลายเป็นศัตรูของพระเจ้า  ความค้านแย้งกันเหล่านี้ยังคงมีอยู่มากมายกระทั่งในทุกวันนี้ ในช่วงเวลาที่พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจใหม่มาโดยตลอดเกือบหกพันปีแล้ว  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงเกินเยียวยา  บางทีมันคงจะเป็นเพราะความดื้อรั้นของมนุษย์ หรือความมิอาจล่วงละเมิดได้แห่งกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าโดยมนุษย์คนใดก็ตาม—แต่นักบวชและสตรีเหล่านั้นเกาะติดนิ่งอยู่กับหนังสือและหนังสือพิมพ์เก่าคร่ำขึ้นรา ขณะที่พระเจ้าทรงไปต่อกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการที่ยังไม่เสร็จสิ้นของพระองค์ราวกับว่าพระองค์ไม่ทรงมีผู้ใดอยู่เคียงข้างพระองค์เลย  แม้ว่าความค้านแย้งกันเหล่านี้สร้างความเป็นศัตรูระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และถึงขั้นหาข้อยุติไม่ได้ พระเจ้าก็หาได้ใส่พระทัยสิ่งเหล่านั้นไม่ ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นอยู่ตรงนั้นและไม่ได้อยู่ตรงนั้นในเวลาเดียวกัน  อย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังคงเกาะติดกับความเชื่อและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของตน และไม่เคยปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นเลย  ถึงกระนั้นสิ่งหนึ่งก็ปรากฏชัดในตัวมันเองก็คือ แม้ว่ามนุษย์ไม่เบี่ยงเบนไปจากจุดยืนของตน แต่พระบาทของพระเจ้าก็กำลังเคลื่อนไหวอยู่เสมอ และพระองค์กำลังทรงเปลี่ยนแปลงจุดยืนของพระองค์อยู่เสมอตามสภาพแวดล้อม  ในท้ายที่สุด มนุษย์คือผู้ที่จะปราชัยโดยปราศจากการต่อสู้  ขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปัจจามิตรที่พ่ายแพ้ทั้งหมดของพระองค์ ทั้งยังทรงเป็นผู้ชนะเลิศของมวลมนุษย์ด้วยเช่นกัน ที่พ่ายแพ้และที่มิได้พ่ายแพ้ก็เหมือนกัน  ใครเล่าจะสามารถแข่งขันกับพระเจ้าและมีชัยชนะได้?  มโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของมนุษย์นั้นดูเหมือนมาจากพระเจ้าก็เพราะว่ามโนคติที่หลงผิดเหล่านั้นหลายเรื่องได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นผลตามหลังพระราชกิจของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็ไม่ทรงยกโทษให้มนุษย์เพราะการนี้ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ก็ไม่ทรงเทคำสรรเสริญให้กับมนุษย์สำหรับการผลิตผลงานรุ่นแล้วรุ่นเล่า “เพื่อพระเจ้า” ภายหลังพระราชกิจของพระองค์ที่อยู่นอกเหนือจากพระราชกิจของพระองค์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงรู้สึกขยะแขยงอย่างที่สุดกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์และความเชื่อทั้งหลายที่เก่าแก่ เคร่งครัดศรัทธา และไม่ทรงมีแม้กระทั่งความสนพระทัยที่จะรับรู้วันที่มโนคติที่หลงผิดเหล่านี้ได้อุบัติขึ้นเป็นครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ  พระองค์ไม่ทรงยอมรับเลยว่ามโนคติที่หลงผิดเหล่านี้เป็นเหตุมาจากพระราชกิจของพระองค์ เนื่องจากมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ถูกแพร่กระจายไปโดยมนุษย์ แหล่งที่มาของสิ่งเหล่านั้นคือความคิดทั้งหลายและจิตใจของมนุษย์—ไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นซาตาน  เจตนารมณ์ของพระเจ้าที่มีเสมอมาก็เพื่อที่จะให้พระราชกิจของพระองค์ใหม่และมีชีวิต ไม่ใช่เก่าและตายไปแล้ว และสิ่งที่พระองค์ทรงให้มนุษย์ยึดมั่นไว้นั้นก็แตกต่างกันไปตามยุคและช่วงเวลา และมิใช่คงอยู่ชั่วนิรันดร์กาลและเปลี่ยนแปลงไม่ได้  นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งผู้ทรงทำให้มนุษย์มีชีวิตและเป็นคนใหม่ แทนที่จะเป็นมารผู้ทำให้มนุษย์ตายและเป็นคนเก่า  พวกเจ้ายังไม่เข้าใจการนี้อยู่อีกหรือ?  เจ้ามีมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายเกี่ยวกับพระเจ้าและไม่สามารถที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้เพราะว่าเจ้ามีจิตใจที่ปิดกั้น  ไม่ใช่เพราะมีสำนึกรับรู้น้อยเกินไปภายในพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งไม่ใช่เพราะว่าพระราชกิจของพระเจ้าผิดแผกไปจากความปรารถนาทั้งหลายของมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าทรงหละหลวมอยู่เสมอในหน้าที่ทั้งหลายของพระองค์  เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของเจ้าได้เพราะเจ้าย่อหย่อนเกินไปในความเชื่อฟัง และเพราะเจ้าไม่มีสภาพเสมือนของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเลยสักนิด นั่นก็คือ ไม่ใช่เพราะพระเจ้ากำลังทรงทำให้สิ่งทั้งหลายลำบากยากเย็นสำหรับเจ้า  เจ้าได้เป็นต้นเหตุของทั้งหมดนี้และมันไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเลย นั่นก็คือ ความทุกข์และเคราะห์ร้ายทั้งมวลถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์  พระดำริทั้งหลายของพระเจ้านั้นดีงามเสมอ กล่าวคือ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะเป็นเหตุให้เจ้าผลิตมโนคติที่หลงผิดทั้งหลาย แต่ทรงปรารถนาให้เจ้าเปลี่ยนแปลงและได้รับการเริ่มใหม่เมื่อยุคทั้งหลายเคลื่อนผ่านไป  ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดดีสำหรับเจ้า และพินิจพิเคราะห์หรือไม่ก็วิเคราะห์อยู่เสมอ  มิใช่ว่าพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งทั้งหลายให้ลำบากยากเย็นสำหรับเจ้า แต่เป็นที่ว่าเจ้าไม่มีความเคารพต่อพระเจ้าเลย และความไม่เชื่อฟังของเจ้านั้นใหญ่หลวงเกินไป  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างขนาดเล็กจิ๋ว ซึ่งกล้านำเอาบางส่วนที่ไม่สลักสำคัญของสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้ก่อนหน้านี้ไป แล้วก็หันกลับมาและใช้สิ่งนั้นเพื่อโจมตีพระเจ้า—นี่มิใช่ความไม่เชื่อฟังของมนุษย์หรอกหรือ?  มันยุติธรรมแล้วที่จะกล่าวว่า เหล่ามนุษย์ไม่มีคุณสมบัติอย่างสิ้นเชิงที่จะแสดงทรรศนะทั้งหลายของตนออกมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะมีคุณสมบัติที่จะโอ้อวดภาษาที่สวยหรูแต่เน่าเหม็นไร้ค่าของพวกเขาไปทั่วตามที่พวกเขาปรารถนา—โดยไม่กล่าวถึงมโนคติที่หลงผิดขึ้นราเหล่านั้นเลย  มิใช่ว่าพวกเขายิ่งไร้ค่าขึ้นไปอีกหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้ที่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้เท่านั้นที่อาจรับใช้พระเจ้าได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 284

พระราชกิจของพระเจ้ากำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเสมอ และแม้ว่าเป้าประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง วิธีการซึ่งพระองค์ทรงใช้ในการปฏิบัติพระราชกิจนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่าบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าก็กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน  ยิ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจมากขึ้นเท่าใด ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าก็ยิ่งละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นเท่านั้น  การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายซึ่งสอดคล้องกันก็เกิดขึ้นในอุปนิสัยของมนุษย์โดยเป็นผลตามมาจากพระราชกิจของพระเจ้าเช่นกัน  อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพราะว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และบรรดาผู้คนสิ้นคิดซึ่งไม่รู้จักความจริงกลายเป็นผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า  พระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยสอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์เลย ด้วยเหตุที่พระราชกิจของพระองค์นั้นใหม่เสมอและไม่เคยเก่า และพระองค์ไม่เคยทรงปฏิบัติพระราชกิจเดิมซ้ำเลย แต่กลับทรงทะยานไปข้างหน้าด้วยพระราชกิจใหม่ซึ่งไม่เคยถูกทำมาก่อน  เนื่องจากพระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ และมนุษย์ตัดสินพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้าอยู่เป็นนิจศีลจากพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติไปในอดีต มันได้กลายเป็นยากเหลือเกินสำหรับพระเจ้าที่จะทรงดำเนินการแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของยุคใหม่  มนุษย์มีความลำบากยากเย็นมากมายเกินไป!  เขามีความคิดเชิงอนุรักษ์นิยมมากเกินไป!  ไม่มีใครรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า แต่กระนั้นทุกคนกลับจำกัดเขตพระราชกิจนั้น  เมื่อเขาละทิ้งพระเจ้า มนุษย์สูญเสียชีวิต ความจริง และพระพรของพระเจ้า แต่กระนั้นเขาก็ไม่ยอมรับชีวิตและความจริง นับประสาอะไรที่เขาจะยอมรับพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่าซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่มวลมนุษย์  พวกมนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะได้รับพระเจ้า แต่กระนั้นกลับไม่สามารถยอมผ่อนปรนต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในพระราชกิจของพระเจ้าได้  พวกที่ไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเชื่อว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เชื่อว่ามันจะยังคงหยุดนิ่งตลอดกาล  ในการเชื่อของพวกเขา ทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อที่จะได้รับความรอดชั่วนิรันดร์จากพระเจ้าคือการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ และตราบเท่าที่พวกเขากลับใจและสารภาพบาปของพวกเขา น้ำพระทัยของพระเจ้าจะเป็นที่พึงพอใจเสมอ  พวกเขามีความคิดเห็นว่าพระเจ้าสามารถเป็นได้เพียงพระเจ้าภายใต้ธรรมบัญญัติและพระเจ้าผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขนเพื่อมนุษย์เท่านั้น มันเป็นความคิดเห็นของพวกเขาอีกเช่นกันว่าพระเจ้าไม่ควรทรงและไม่สามารถกระทำเกินกว่าพระคัมภีร์ได้  ความคิดเห็นเหล่านี้นี่เองที่ได้ตีตรวนจองจำพวกเขาอย่างแน่นหนาเข้ากับธรรมบัญญัติยุคเก่า และตอกตรึงพวกเขาเข้ากับกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ตายไปแล้ว  มีผู้คนมากกว่านี้ด้วยซ้ำที่เชื่อว่า ไม่ว่าพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าจะเป็นอะไรก็ตาม มันต้องได้รับการยืนยันโดยการเผยพระวจนะ และเชื่อว่าในแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจดังกล่าว บรรดาทุกคนที่ติดตามพระองค์ด้วยหัวใจ “ที่แท้จริง” ก็จะต้องได้รับการเผยให้เห็นวิวรณ์เช่นกัน หากไม่เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจดังกล่าวก็คงไม่สามารถเป็นพระราชกิจของพระเจ้าไปได้  มันไม่ใช่งานง่ายอยู่แล้วสำหรับมนุษย์ที่จะได้มารู้จักพระเจ้า  เมื่อรวมเข้ากับหัวใจที่ไร้สาระของมนุษย์และธรรมชาติอันเป็นกบฏของเขาในความคิดว่าตนเองสำคัญเหนือผู้อื่นและความทะนงตนแล้ว ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกที่เขาจะยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า  มนุษย์นั้นทั้งไม่พินิจพิเคราะห์พระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วนและทั้งไม่ยอมรับพระราชกิจด้วยความถ่อมใจ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับใช้ท่าทีที่เหยียดหยามขณะที่ตัวเขารอคอยการเปิดเผยและการทรงนำจากพระเจ้า  นี่เป็นพฤติกรรมของพวกที่ต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้ามิใช่หรือ?  ผู้คนดังกล่าวสามารถได้รับการรับรองจากพระเจ้าได้อย่างไร?

พระเยซูได้ตรัสว่าพระราชกิจของพระยาห์เวห์ได้หมดสมัยไปในยุคพระคุณ เหมือนดั่งเราที่พูดวันนี้ ว่าพระราชกิจของพระเยซูก็หมดสมัยไปแล้วเช่นกัน  หากมีเพียงยุคธรรมบัญญัติเท่านั้นและไม่มียุคพระคุณ เช่นนั้นแล้วพระเยซูก็คงจะไม่ได้ทรงถูกตอกตรึงบนกางเขนและคงจะมิได้ทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งมวล  หากมีเพียงยุคธรรมบัญญัติเท่านั้น มวลมนุษย์จะสามารถมาไกลได้ถึงทุกวันนี้หรือ?  ประวัติศาสตร์เคลื่อนไปข้างหน้า และกฎธรรมชาติแห่งพระราชกิจของพระเจ้านั้น หาใช่ประวัติศาสตร์หรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่เป็นการบรรยายภาพของการบริหารจัดการมนุษย์ของพระองค์ทั่วทั้งจักรวาลหรอกหรือ?  ประวัติศาสตร์เคลื่อนไปข้างหน้า และพระราชกิจของพระเจ้าก็เคลื่อนไปข้างหน้าเช่นกัน  น้ำพระทัยของพระเจ้ากำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  พระองค์ไม่อาจทรงคงไว้ที่พระราชกิจเพียงระยะเดียวได้เป็นเวลาถึงหกพันปี ด้วยเหตุดังที่ทุกคนรู้ พระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่เคยทรงเก่าเลย และคงเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจเช่นการถูกตรึงบนกางเขนต่อไป  ถูกตอกตรึงบนกางเขนหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ต่อไปเรื่อยๆ… มันคงจะไร้สาระน่าขันที่จะคิดดังนั้น  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจเดิมต่อไปเรื่อยๆ พระราชกิจของพระองค์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและใหม่เสมอ มากมายเท่ากับที่เรากล่าวถ้อยคำใหม่ๆ กับพวกเจ้าและทำงานใหม่ทุกวัน  นี่คืองานที่เราทำ และกุญแจสำคัญก็คือคำว่า “ใหม่” และ “มหัศจรรย์” “พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง และพระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าเสมอ”: คำกล่าวนี้ เป็นจริงโดยแท้ แก่นแท้ของพระเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเสมอ และพระองค์ไม่มีวันที่จะทรงกลายเป็นซาตานไปได้ แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าพระราชกิจของพระองค์นั้นเกิดขึ้นตลอดเวลาและไม่มีวันปรวนแปรเช่นเดียวกับแก่นแท้ของพระองค์  เจ้าประกาศแถลงว่าพระเจ้าไม่มีวันทรงเปลี่ยนแปลง ว่าแต่ว่าเช่นนั้นแล้ว เจ้าสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่เคยทรงเก่าเลยอย่างไร?  พระราชกิจของพระเจ้าเผยแพร่ไปอย่างต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และน้ำพระทัยของพระองค์จะทรงถูกสำแดงและถูกทำให้เป็นที่รู้จักต่อมนุษย์อย่างต่อเนื่อง  ขณะที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า อุปนิสัยของเขาเปลี่ยนแปลงโดยไม่หยุดหย่อน เช่นเดียวกับความรู้ของเขา  เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นมาจากทางไหนกัน?  มันไม่ได้มาจากพระราชกิจของพระเจ้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหรอกหรือ?  หากอุปนิสัยของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถยอมให้งานของเราและถ้อยคำของเราเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องด้วยเล่า?  เราจะต้องตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทั้งหลายของมนุษย์ด้วยหรือ?  ในการนี้ เจ้าไม่ได้กำลังใช้ข้อโต้แย้งแกมบังคับและตรรกะที่ผิดประหลาดอยู่หรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 285

พวกยิวทุกคนอ่านภาคพันธสัญญาเดิมและรู้เรื่องการเผยพระวจนะของอิสยาห์ว่าทารกเพศชายคนหนึ่งจะถือกำเนิดในรางหญ้า  เช่นนั้นแล้ว ทั้งๆ ที่ตระหนักรู้ถึงการเผยพระวจนะนี้อยู่แก่ใจ เหตุใดพวกเขาจึงยังคงข่มเหงพระเยซู?  ไม่ใช่เพราะธรรมชาติอันเป็นกบฏและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเขาในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ?  ในเวลานั้น พวกฟาริสีเชื่อว่าพระราชกิจของพระเยซูแตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาได้รู้มาเกี่ยวกับทารกเพศชายซึ่งได้ถูกกล่าวคำเผยพระวจนะไว้ และผู้คนในวันนี้ก็ปฏิเสธพระเจ้าเพราะพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์  ธาตุแท้ในความเป็นกบฏของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนกันหรอกหรือ?  เจ้าสามารถยอมรับพระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยที่ปราศจากคำถามได้หรือไม่?  หากเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ย่อมเป็นกระแสที่ถูกต้อง และเจ้าควรยอมรับมันโดยปราศจากความหวาดหวั่นเคลือบแคลงใดๆ เจ้าไม่ควรเลือกเฟ้นว่าจะยอมรับสิ่งใด  หากเจ้าได้รับ “ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก” เกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้น และใช้ความระมัดระวังต่อพระองค์ให้มากขึ้น เช่นนั้นแล้ว การนี้จะไม่มีเหตุผลกระนั้นหรือ?  เจ้าไม่จำเป็นต้องมองหาการพิสูจน์ยืนยันเพิ่มเติมจากพระคัมภีร์ หากนั่นคือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าก็ย่อมต้องยอมรับสิ่งนั้น ด้วยเหตุที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าเพื่อติดตามพระเจ้า และเจ้าไม่ควรเจาะลึกพระองค์  เจ้าไม่ควรแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเราเพื่อพิสูจน์ว่าเราคือพระเจ้าของเจ้า แต่เจ้าควรสามารถหยั่งรู้ได้ว่าเราเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหรือไม่—นี่คือสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุด  ต่อให้เจ้าพบข้อพิสูจน์ซึ่งไม่อาจหักล้างได้อย่างมากภายในพระคัมภีร์ มันก็ไม่สามารถนำพาเจ้ามาอยู่ต่อหน้าเราได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  เจ้าเพียงแค่ใช้ชีวิตภายในขอบเขตของพระคัมภีร์ และไม่ใช่ต่อหน้าเรา พระคัมภีร์ไม่สามารถช่วยให้เจ้ารู้จักเรา ทั้งยังไม่สามารถทำให้ความรักของเจ้าที่มีให้เราลึกซึ้งยิ่งขึ้น  แม้พระคัมภีร์ได้กล่าวคำเผยพระวจนะไว้ว่าทารกเพศชายคนหนึ่งจะถือกำเนิดขึ้น ไม่มีใครสามารถหยั่งลึกได้ว่าคำเผยพระวจนะนั้นจะเกิดขึ้นกับใคร ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่ได้รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่ได้ทำให้พวกฟาริสียืนต้านพระเยซู  บางคนรู้ว่างานของเราเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ แต่กระนั้นพวกเขากลับยังคงเชื่ออยู่ต่อไปว่าพระเยซูและเราเป็นสองสิ่งที่แยกจากกันอย่างสิ้นเชิง เป็นสิ่งดำรงอยู่ซึ่งไม่อาจลงรอยในกันและกัน  ในเวลานั้น พระเยซูเพียงแค่ทรงให้คำเทศนาชุดหนึ่งในยุคพระคุณแก่บรรดาสาวกของพระองค์ในหัวข้อทั้งหลาย อาทิ จะฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร จะชุมนุมกันอย่างไร จะวิงวอนในการอธิษฐานอย่างไร จะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร เป็นต้น  พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการเป็นพระราชกิจของยุคพระคุณ และพระองค์ได้ทรงชี้แจงไว้เพียงแค่ว่า บรรดาสาวกและบรรดาผู้ที่ได้ติดตามพระองค์ควรจะฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร  พระองค์เพียงแค่ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณเท่านั้น และไม่ใช่พระราชกิจใดของยุคสุดท้ายเลย  เมื่อพระยาห์เวห์ได้ทรงกำหนดธรรมบัญญัติของภาคพันธสัญญาเดิมในยุคธรรมบัญญัติ เช่นนั้นแล้วเหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณเล่า?  เหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ทรงทำให้พระราชกิจของยุคพระคุณเป็นที่เข้าใจชัดเจนล่วงหน้าเล่า?  นี่จะไม่ได้ช่วยมนุษย์ให้ยอมรับมันแล้วหรอกหรือ?  พระองค์เพียงแค่ได้ตรัสคำเผยพระวจนะว่าทารกเพศชายคนหนึ่งจะถือกำเนิดและมามีฤทธานุภาพ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงดำเนินพระราชกิจของยุคพระคุณล่วงหน้า  พระราชกิจของพระเจ้าในแต่ละยุคมีเขตคั่นที่ชัดเจน พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคปัจจุบันเท่านั้น และไม่เคยทรงดำเนินช่วงระยะถัดไปของพระราชกิจล่วงหน้า  ด้วยเหตุนี้เท่านั้นพระราชกิจซึ่งเป็นตัวแทนของพระองค์ในแต่ละยุคจึงจะสามารถถูกเน้นให้เห็นชัดได้  พระเยซูได้ตรัสถึงเพียงหมายสำคัญทั้งหลายของยุคสุดท้าย ถึงวิธีที่จะอดทนและวิธีที่จะได้รับการช่วยให้รอด ถึงวิธีที่จะกลับใจและสารภาพ และถึงวิธีที่จะแบกรับกางเขนและสู้ทนความทุกข์เท่านั้น พระองค์ไม่เคยได้ตรัสถึงวิธีที่มนุษย์ในยุคสุดท้ายควรสัมฤทธิ์การเข้าสู่ อีกทั้งไม่เคยได้ตรัสถึงวิธีที่เขาควรพยายามทำเพื่อให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้น มันไม่ไร้สาระน่าขันหรอกหรือที่จะค้นคว้าพระคัมภีร์เพื่อหาพระราชกิจของพระเจ้าของยุคสุดท้าย?  อะไรหรือที่เจ้าสามารถมองเห็นได้โดยแค่เพียงยึดกุมพระคัมภีร์เอาไว้?  ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้อรรถาธิบายพระคัมภีร์หรือนักบวช ใครเล่าที่จะสามารถได้เห็นพระราชกิจของวันนี้ได้ล่วงหน้า?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 286

พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ต้นตอหรือไม่ว่าทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านพระเยซู?  พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ธาตุแท้ของพวกฟาริสีหรือไม่?  พวกเขาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์  ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงชีวิต  และดังนั้น แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงรอคอยพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนทางแห่งชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางแห่งความจริงคืออะไร  พวกเจ้าพูดว่า ผู้คนที่โง่เขลา ดื้อรั้น และไม่รู้เท่าทันเช่นนั้นได้รับพรของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร?  พวกเขาต่อต้านพระเยซูเพราะพวกเขาไม่รู้ทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่รู้หนทางแห่งความจริงที่พระเยซูตรัส และยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระเมสสิยาห์  และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยพบเห็นพระเมสสิยาห์และไม่เคยได้ร่วมเคียงกับพระเมสสิยาห์ พวกเขาทำผิดพลาดที่ยึดติดกับพระนามของพระเมสสิยาห์เท่านั้น ในขณะที่ต่อต้านเนื้อแท้ของพระเมสสิยาห์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้  โดยธาตุแท้แล้ว พวกฟาริสีเหล่านี้ดื้อรั้น โอหัง และไม่เชื่อฟังความจริง  หลักการของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือ ไม่สำคัญว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่ใช่พระคริสต์หากพระองค์ไม่ได้รับการขนานพระนามว่าพระเมสสิยาห์  การเชื่อนี้ไม่ได้โง่เขลาและไร้สาระน่าขันหรอกหรือ?  เราถามพวกเจ้าต่อไปอีกว่า  ด้วยความที่พวกเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเยซูเลยแม้แต่น้อย พวกเจ้าจะไม่ทำผิดพลาดอย่างพวกฟาริสีในช่วงยุคเริ่มแรกได้อย่างง่ายดายสุดขีดหรอกหรือ?  เจ้ามีความสามารถที่จะหยั่งรู้หนทางแห่งความจริงได้หรือไม่?  เจ้ามีความสามารถที่จะรับประกันได้อย่างแท้จริงหรือไม่ว่าเจ้าจะไม่ต่อต้านพระคริสต์?  เจ้ามีความสามารถที่จะติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่รู้ว่าเจ้าจะต่อต้านพระคริสต์หรือไม่ เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่าเจ้าก็กำลังใช้ชีวิตหมิ่นเหม่ใกล้ความตายแล้ว  ผู้ที่ไม่รู้จักพระเมสสิยาห์ต่างสามารถที่จะต่อต้านพระเยซู ปฏิเสธพระเยซู ใส่ร้ายป้ายสีพระองค์  ผู้คนที่ไม่เข้าใจพระเยซูล้วนสามารถที่จะปฏิเสธพระองค์และประณามพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสามารถมองเห็นการทรงกลับมาของพระเยซูว่าเป็นการหลอกลวงของซาตาน และผู้คนเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้นจะพากันกล่าวโทษพระเยซูผู้ที่ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนัง  ทั้งหมดนี้ไม่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกกลัวหรือ?  พวกเจ้าจะเผชิญกับการหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความย่อยยับที่พระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีต่อคริสตจักรทั้งหลาย และการบอกปัดทุกสิ่งที่พระเยซูทรงแสดงออก  เจ้าจะสามารถได้รับสิ่งใดจากพระเยซูหรือ หากพวกเจ้ามึนงงสับสนถึงเพียงนี้?  พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจพระราชกิจของพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงกลับมาสู่เนื้อหนังบนเมฆขาวได้อย่างไร หากพวกเจ้าปฏิเสธอย่างหัวดื้อไม่ยอมที่จะตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกเจ้า?  เราขอบอกพวกเจ้าถึงสิ่งนี้ว่า ผู้คนที่ไม่ได้รับความจริง แต่ยังรอการเสด็จมาถึงของพระเยซูบนเมฆขาวอย่างหูหนวกตาบอด จะหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอน และพวกเขาคือหมวดหมู่ที่จะถูกทำลาย  พวกเจ้าเพียงปรารถนาพระคุณของพระเยซู และเพียงต้องการชื่นชมอาณาจักรอันผาสุกแห่งสวรรค์ ทว่าพวกเจ้าไม่เคยเชื่อฟังพระวจนะที่พระเยซูตรัส และไม่เคยได้รับความจริงที่พระเยซูทรงแสดงเมื่อพระองค์ทรงกลับมาสู่เนื้อหนัง  พวกเจ้าจะยกสิ่งใดขึ้นมาแลกกับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเยซูทรงกลับมาบนเมฆขาว?  สิ่งนั้นก็คือความจริงใจที่พวกเจ้าทำบาปซ้ำๆ แล้วก็พูดคำสารภาพบาปของพวกเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ในนั้นใช่หรือไม่?  พวกเจ้าจะถวายสิ่งใดเพื่อพลีอุทิศให้แก่พระเยซูผู้ทรงกลับมาบนเมฆขาว?  สิ่งนั้นก็คือช่วงเวลางานหลายปีที่พวกเจ้าใช้ยกย่องตัวเองใช่หรือไม่?  พวกเจ้าจะยกสิ่งใดขึ้นมาทำให้พระเยซูผู้ทรงกลับมาไว้เนื้อเชื่อใจพวกเจ้า?  สิ่งนั้นคือธรรมชาติอันโอหังของพวกเจ้าที่ไม่เชื่อฟังความจริงใดเลยใช่หรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 287

ความจงรักภักดีของพวกเจ้าเป็นแค่เพียงคำพูดเท่านั้น ความรู้ของพวกเจ้าเป็นแค่ในเชิงภูมิปัญญาและในทางมโนทัศน์เท่านั้น การลงแรงของพวกเจ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการได้รับพรของสวรรค์ ดังนั้นแล้ว ความเชื่อของพวกเจ้าต้องเป็นแบบใดหรือ?  แม้กระทั่งวันนี้ พวกเจ้ายังคงทำหูหนวกไม่รับทุกๆ พระวจนะแห่งความจริง  พวกเจ้าไม่รู้สิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น พวกเจ้าไม่รู้สิ่งที่พระคริสต์ทรงเป็น พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะเคารพพระยาห์เวห์อย่างไร พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะเข้าสู่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไร และพวกเจ้าไม่รู้ว่าจะแยกความต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองกับการหลอกลวงของมนุษย์อย่างไร  เจ้ารู้เพียงการกล่าวโทษพระวจนะแห่งความจริงใดๆ ก็ตามที่พระเจ้าทรงแสดงซึ่งไม่สอดคล้องกับความคิดของเจ้าเอง  ความถ่อมตัวของเจ้าอยู่ที่ใด?  ความเชื่อฟังของเจ้าอยู่ที่ใด?  ความจงรักภักดีของเจ้าอยู่ที่ใด?  ความอยากที่จะแสวงหาความจริงของเจ้าอยู่ที่ใด?  ความเคารพพระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ใด?  เราบอกพวกเจ้าเลยว่า พวกที่เชื่อในพระเจ้าเนื่องจากหมายสำคัญทั้งหลาย เป็นหมวดหมู่ที่จะถูกทำลายอย่างแน่นอน  พวกที่ไม่สามารถรับพระวจนะของพระเยซูผู้ทรงกลับมาสู่เนื้อหนังได้นั้นคือผู้สืบสันดานของนรก คือพงศ์พันธุ์ของหัวหน้าทูตสวรรค์ คือหมวดหมู่ที่จะต้องอยู่ภายใต้การทำลายล้างชั่วนิรันดร์กาลอย่างแน่นอน  ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่านักบุญผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม  บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน  นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว  เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย  ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น  บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง  มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า “พระเยซูผู้ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวทรงเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ” เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต  และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย  พวกเขาดื้อรั้นเกินไป มั่นใจในตัวเองเกินไป โอหังเกินไป  พวกคนเสื่อมเช่นนั้นจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากพระเยซูได้อย่างไร?  การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้แล้ว นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ  พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง  เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นคนที่เชื่อฟังการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และถวิลหาและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น  เราแนะนำให้พวกเจ้าก้าวย่างบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าด้วยความรอบคอบระมัดระวัง  จงอย่าด่วนสรุป ยิ่งไปกว่านั้น อย่าทำตัวตามสบายและไร้ความคิดในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า  พวกเจ้าควรรู้ว่าอย่างน้อยที่สุด บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรถ่อมใจและมีความเคารพ  พวกที่เคยได้ยินความจริงทว่ากลับเชิดใส่ความจริงนั้นเป็นผู้ที่โง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน  พวกที่เคยได้ยินความจริงทว่ายังด่วนสรุปหรือกล่าวโทษความจริงนั้นโดยประมาทเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความโอหัง  ไม่มีผู้ใดเลยที่เชื่อในพระเยซูจะมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะสาปแช่งหรือกล่าวโทษผู้อื่นได้  พวกเจ้าทั้งหมดควรเป็นคนที่มีสำนึกรับรู้และผู้ที่ยอมรับความจริง  บางที เมื่อได้ยินหนทางแห่งความจริงและได้อ่านพระวจนะแห่งชีวิตแล้ว เจ้าเชื่อว่ามีเพียงหนึ่งใน 10,000 ของพระวจนะที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ และความคิดเห็นของเจ้า และดังนั้นเจ้าจึงควรแสวงหาในพระวจนะลำดับที่ 10,000 ของพระวจนะเหล่านี้ต่อไป  เรายังคงแนะนำให้เจ้าถ่อมใจ อย่ามั่นใจเกินไป และอย่ายกย่องตัวเองให้สูงส่งจนเกินไป  ด้วยหัวใจของเจ้าซึ่งขาดแคลนความเคารพแด่พระเจ้าเช่นนั้น เจ้าจะได้รับความสว่างที่ยิ่งใหญ่กว่า  หากเจ้าตรวจดูอย่างถี่ถ้วนและไตร่ตรองพระวจนะเหล่านี้ซ้ำๆ เจ้าจะเข้าใจว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ และพระวจนะเหล่านี้คือชีวิตหรือไม่  บางทีหลังจากที่ได้อ่านเพียงไม่กี่ประโยค คนบางคนจะกล่าวโทษพระวจนะเหล่านี้อย่างหูหนวกตาบอด และพูดว่า “นี่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความรู้แจ้งบางส่วนของพระวิญญาณบริสุทธิ์” หรือ “นี่คือพระคริสต์เทียมเท็จที่มาเพื่อหลอกลวงผู้คน”  พวกที่พูดอะไรเช่นนั้นเป็นผู้ที่ตาบอดด้วยความไม่รู้เท่าทัน!  เจ้าเข้าใจพระราชกิจและพระปรีชาญาณของพระเจ้าน้อยเกินไป และเราแนะนำให้เจ้าเริ่มใหม่อีกครั้งตั้งแต่ต้นเลย!  พวกเจ้าต้องไม่หูหนวกตาบอดกล่าวโทษพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงเพราะการทรงปรากฏของพระคริสต์เทียมเท็จในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และพวกเจ้าต้องไม่เป็นคนที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะพวกเจ้ากลัวการหลอกลวง  นั่นจะไม่เป็นความน่าเวทนาอย่างยิ่งหรอกหรือ?  หลังจากการตรวจดูมากมาย หากเจ้ายังคงเชื่อว่าพระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่หนทาง และไม่ใช่การแสดงออกของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้รับการลงโทษในท้ายที่สุด และเจ้าจะปราศจากพร หากเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงที่ถูกกล่าวอย่างราบเรียบยิ่งนักและชัดเจนยิ่งนักดังกล่าวได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่ใช่ไม่เหมาะสมสำหรับความรอดของพระเจ้าหรอกหรือ?  เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ไม่ได้รับพรเพียงพอที่จะกลับคืนสู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้าหรือ?  จงตรองดูเถิด!  อย่าหุนหันพลันแล่นและใจเร็ว และอย่าทำเหมือนว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเกม  จงขบคิดเพื่อประโยชน์แห่งบั้นปลายของเจ้า เพื่อประโยชน์ของความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้า เพื่อประโยชน์ของชีวิตของเจ้า และอย่าเล่นกับตัวเจ้าเอง  เจ้าสามารถยอมรับพระวจนะเหล่านี้ได้หรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 288

ณ เวลานั้นพระราชกิจส่วนหนึ่งของพระเยซูสอดคล้องกับพันธสัญญาเดิม และยังสอดคล้องกับกฎบัญญัติของโมเสสและพระวจนะของพระยาห์เวห์ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติด้วย  สิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้พระเยซูเคยทำในพระราชกิจส่วนหนึ่งของพระองค์  พระองค์ทรงประกาศแก่ผู้คนและสอนพวกเขาในธรรมศาลา และพระองค์ทรงใช้คำพยากรณ์ ของบรรดาผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมมาว่ากล่าวพวกฟาริสีที่เป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ และทรงใช้ถ้อยคำต่างๆ จากองค์พระคัมภีร์เพื่อเปิดเผยการไม่เชื่อฟังของพวกเขาและด้วยเหตุนั้นจึงกล่าวโทษพวกเขา  เนื่องจากพวกเขาดูหมิ่นสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกิจส่วนมากของพระเยซูมิได้ดำเนินตามธรรมบัญญัติต่างๆ ในองค์พระคัมภีร์ และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นสูงกว่าถ้อยคำของพวกเขาเอง สูงยิ่งกว่าสิ่งที่บรรดาผู้เผยพระวจนะได้พยากรณ์ไว้ในองค์พระคัมภีร์เสียอีก  พระราชกิจของพระเยซูเป็นไปเพื่อการไถ่มนุษย์และเพื่อการตรึงกางเขนเท่านั้น และดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่พระองค์จะต้องตรัสพระวจนะให้มากขึ้นเพื่อที่จะพิชิตมนุษย์คนใด  สิ่งที่พระองค์ทรงสอนมนุษย์มีมากมายที่ดึงมาจากถ้อยคำในองค์พระคัมภีร์ และถึงแม้ว่าพระราชกิจของพระองค์มิได้มากเกินกว่าองค์พระคัมภีร์ แต่พระองค์ก็สามารถสำเร็จลุล่วงพระราชกิจแห่งการตรึงกางเขน  พระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่พระราชกิจแห่งวจนะ อีกทั้งไม่ใช่พระราชกิจที่ทำไปเพื่อการพิชิตมวลมนุษย์ แต่เป็นพระราชกิจที่ทำไปเพื่อไถ่มวลมนุษย์  พระองค์เพียงแต่ทรงทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้แก่มวลมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้ทรงทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดวจนะสำหรับมวลมนุษย์  พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจเพื่อชนต่างชาติ ซึ่งเป็นพระราชกิจแห่งการพิชิตมนุษย์ แต่เป็นพระราชกิจแห่งการตรึงกางเขน พระราชกิจที่ทำท่ามกลางบรรดาผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้า  ถึงแม้ว่าพระราชกิจของพระองค์ดำเนินไปบนรากฐานขององค์พระคัมภีร์ และถึงแม้ว่าพระองค์ทรงใช้สิ่งที่ผู้เผยพระวจนะในอดีตได้เคยพยากรณ์เอาไว้มากล่าวโทษพวกฟาริสีก็ตาม แต่นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนเสร็จสมบูรณ์  หากพระราชกิจของวันนี้ยังคงดำเนินไปบนรากฐานของคำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะคนเก่าๆ ในองค์พระคัมภีร์ เช่นนั้นแล้วก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพิชิตพวกเจ้า เพราะพันธสัญญาเดิมไม่ได้บันทึกความไม่เชื่อฟังและบาปของพวกเจ้าผู้คนชาวจีนเอาไว้ และไม่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับบาปของพวกเจ้า  ดังนั้นหากยังมีพระราชกิจนี้หลงเหลืออยู่ในพระคัมภีร์ พวกเจ้าก็คงจะไม่มีวันยอมจำนน  พระคัมภีร์เพียงบันทึกประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอลไว้อย่างจำกัดเท่านั้น ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถกำหนดได้ว่าพวกเจ้าเป็นคนชั่วหรือคนดี หรือพิพากษาพวกเจ้าได้  จงจินตนาการดูว่าหากเราต้องพิพากษาพวกเจ้าไปตามประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอล—พวกเจ้าจะยังคงติดตามเราเช่นที่พวกเจ้าทำในวันนี้หรือไม่?  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้านั้นยากเพียงใด?  หากไม่มีการกล่าววจนะใดๆ ในระหว่างช่วงระยะนี้ เช่นนั้นแล้วก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจะเสร็จสมบูรณ์  เนื่องจากเราไม่ได้มาเพื่อที่จะถูกตอกตรึงกับกางเขน เราจึงต้องกล่าววจนะที่แยกต่างหากจากพระคัมภีร์ เพื่อที่พวกเจ้าอาจได้รับการพิชิต  พระราชกิจที่พระเยซูทำไปนั้นเป็นเพียงช่วงระยะหนึ่งที่สูงกว่าพันธสัญญาเดิม และใช้เริ่มต้นยุคหนึ่ง และเพื่อนำยุคนั้น  เหตุใดพระองค์จึงตรัสว่า “เราไม่ได้มาล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่มาทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ทุกประการ”?  กระนั้น ในพระราชกิจของพระองค์ก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างไปจากธรรมบัญญัติและพระบัญญัติที่ชาวอิสราเอลแห่งพันธสัญญาเดิมปฏิบัติและติดตามอยู่ เพราะพระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อเชื่อฟังธรรมบัญญัติ แต่มาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติเป็นจริง  กระบวนการในการทำให้ธรรมบัญญัติเป็นจริงนั้นประกอบด้วยสิ่งต่างๆ มากมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง กล่าวคือ พระราชกิจของพระองค์สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริงมากขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังมีชีวิตชีวามากขึ้น และไม่ใช่การหลับหูหลับตาทำตามกฎต่างๆ  ชาวอิสราเอลไม่ได้รักษาวันสะบาโตหรอกหรือ?  เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ไม่ได้ทรงรักษาวันสะบาโต เพราะพระองค์ตรัสว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือวันสะบาโตเสด็จมาถึง พระองค์ย่อมจะทรงทำตามที่พระองค์ทรงปรารถนา  พระองค์เสด็จมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมสมบูรณ์และเพื่อเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติ  ทั้งหมดที่ทำในวันนี้ล้วนขึ้นอยู่กับปัจจุบัน กระนั้นก็ยังคงตั้งอยู่บนรากฐานแห่งพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในยุคธรรมบัญญัติ และไม่ละเมิดวงเขตนี้  ตัวอย่างเช่น การระวังลิ้นของเจ้า และไม่ล่วงประเวณี—สิ่งเหล่านี้มิใช่ธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ?  วันนี้สิ่งที่พึงประสงค์จากพวกเจ้ามิได้จำกัดอยู่แต่เพียงพระบัญญัติสิบประการเท่านั้น แต่ประกอบด้วยพระบัญญัติและธรรมบัญญัติในระดับที่สูงกว่าพระบัญญัติและธรรมบัญญัติที่เคยมีมาก่อน  กระนั้นการนี้ก็มิได้หมายความว่าสิ่งที่เคยมีมาก่อนได้ถูกลบล้างไปแล้ว เพราะพระราชกิจแต่ละช่วงระยะของพระเจ้าดำเนินไปบนรากฐานของช่วงระยะที่เคยมีมาก่อน  ส่วนพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทำในตอนนั้นในอิสราเอล เช่น การพึงประสงค์ให้ผู้คนมอบถวายเครื่องบูชา ให้เกียรติบิดามารดาของพวกเขา ไม่นมัสการรูปเคารพ ไม่ทำร้ายหรือสาปแช่งผู้อื่น ไม่ล่วงประเวณี ไม่สูบยาหรือดื่มสุรา และไม่กินซากที่ตายแล้วหรือดื่มเลือด—นี่ไม่ได้เป็นรากฐานสำหรับการปฏิบัติของพวกเจ้าจนกระทั่งถึงวันนี้หรอกหรือ?  บนรากฐานของอดีตนี่เองที่พระราชกิจได้ดำเนินมาจนกระทั่งทุกวันนี้  แม้ว่าธรรมบัญญัติในอดีตจะไม่ถูกกล่าวถึงอีกต่อไปแล้ว และมีข้อพึงประสงค์ใหม่ๆ ให้เจ้าทำ แต่ธรรมบัญญัติเหล่านี้หาได้ถูกลบล้างไปไม่ กลับถูกยกให้สูงขึ้นแทน  การกล่าวว่าธรรมบัญญัติเหล่านี้ถูกลบล้างไปแล้วย่อมหมายความว่ายุคก่อนหน้านี้ล้าสมัย ในทางตรงข้ามกลับมีพระบัญญัติบางประการที่เจ้าต้องปฏิบัติตามให้ได้ไปชั่วกัลปาวสาน  พระบัญญัติในอดีตได้รับการปฏิบัติตามแล้ว กลายเป็นความเป็นอยู่ของมนุษย์ไปแล้ว และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่พระบัญญัติต่างๆ เช่น “จงอย่าสูบยา” และ “จงอย่าดื่มสุรา” และอื่นๆ  ทว่าบนรากฐานนี้ พระบัญญัติใหม่ๆ ก็ถูกกำหนดขึ้นตามความจำเป็นของพวกเจ้าในวันนี้ ตามวุฒิภาวะของพวกเจ้า และตามพระราชกิจของวันนี้  การประกาศพระบัญญัติสำหรับยุคใหม่ไม่ได้หมายถึงการลบล้างพระบัญญัติของยุคเก่า แต่เป็นการยกพระบัญญัติเหล่านั้นให้สูงขึ้นบนรากฐานนี้ เพื่อทำให้การกระทำของมนุษย์ครบบริบูรณ์ยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับความเป็นจริงยิ่งขึ้น  หากวันนี้พวกเจ้าพึงต้องติดตามพระบัญญัติและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมในลักษณะเดียวกับชาวอิสราเอลเท่านั้น และหากพวกเจ้าถึงกับต้องท่องจำธรรมบัญญัติที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกำหนดขึ้น ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลง  หากพวกเจ้าต้องปฏิบัติตามพระบัญญัติที่มีอยู่จำกัดเพียงไม่กี่ข้อเหล่านั้นหรือท่องจำธรรมบัญญัติจำนวนนับไม่ถ้วนเท่านั้น อุปนิสัยเก่าๆ ของพวกเจ้าก็คงจะยังฝังลึก และคงจะไม่มีทางที่จะถอนทิ้งไปได้  ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าย่อมจะกลายเป็นต่ำทรามยิ่งขึ้น และไม่มีพวกเจ้าสักคนที่จะมาเชื่อฟัง  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระบัญญัติง่ายๆ ไม่กี่ประการหรือธรรมบัญญัติจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไม่สามารถช่วยให้พวกเจ้ารู้จักกิจการของพระยาห์เวห์ได้  พวกเจ้าไม่เหมือนกับชาวอิสราเอล กล่าวคือ พวกเขาสามารถเป็นประจักษ์พยานถึงกิจการของพระยาห์เวห์และถวายการเฝ้าเดี่ยวแด่พระองค์เพียงองค์เดียวได้โดยการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติและท่องจำพระบัญญัติ  แต่พวกเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ และพระบัญญัติไม่กี่ประการของยุคพันธสัญญาเดิมก็ไม่เพียงไม่สามารถคุ้มครองปกป้องพวกเจ้าหรือทำให้พวกเจ้ายอมมอบหัวใจของพวกเจ้าได้เท่านั้น แต่กลับจะทำให้พวกเจ้าหละหลวมและจะทำให้พวกเจ้าร่วงหล่นลงสู่แดนคนตายแทน  เนื่องจากงานของเราคืองานแห่งการพิชิตชัย ซึ่งมุ่งหมายไปที่ความไม่เชื่อฟังของพวกเจ้าและอุปนิสัยเก่าๆ ของพวกเจ้า  พระวจนะที่มีเมตตาของพระยาห์เวห์และพระเยซูจึงห่างไกลจากพระวจนะที่รุนแรงแห่งการพิพากษาของวันนี้อยู่มากนัก  หากไม่มีพระวจนะที่รุนแรงเช่นนี้ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพิชิตพวกเจ้า “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่ไม่เชื่อฟังมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว  ธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมไร้อำนาจกับพวกเจ้ามานานแล้ว และการพิพากษาของวันนี้ก็น่าเกรงขามกว่าธรรมบัญญัติเก่าๆ มากนัก  สิ่งที่เหมาะสมกับพวกเจ้าที่สุดก็คือการพิพากษา และไม่ใช่กฎระเบียบปลีกย่อยของธรรมบัญญัติ เพราะพวกเจ้าไม่ใช่มวลมนุษย์ของเมื่อสมัยปฐมกาล แต่เป็นมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมาเป็นเวลาหลายพันปี  สิ่งที่มนุษย์ต้องสัมฤทธิ์ในตอนนี้สอดคล้องกับสภาวะจริงของมนุษย์ในวันนี้ เป็นไปตามขีดความสามารถและวุฒิภาวะจริงของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน และไม่กำหนดให้เจ้าต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลาย  การนี้เป็นไปเพื่อที่ว่าอาจมีการสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเก่าๆ ของเจ้าได้ และเพื่อที่เจ้าอาจละทิ้งมโนคติอันหลงผิดของเจ้าไปเสีย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (1)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 289

ประวัติศาสตร์เคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ และพระราชกิจของพระเจ้าก็เคลื่อนไปข้างหน้าเสมอ  แผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ต้องก้าวหน้าต่อไปในทิศทางข้างหน้าเพื่อให้บรรลุถึงปลายทาง  แต่ละวันพระองค์ต้องทรงพระราชกิจใหม่ แต่ละปีพระองค์ต้องทรงพระราชกิจใหม่ พระองค์ต้องทรงเปิดตัวเส้นทางใหม่ เปิดตัวยุคใหม่ เริ่มต้นพระราชกิจใหม่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และนำพระนามใหม่และพระราชกิจใหม่มาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้  พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจใหม่อยู่ทุกชั่วขณะ ไม่เคยทรงยึดติดอยู่กับแนวทางเดิมหรือกฎเกณฑ์เดิม  และพระราชกิจของพระองค์ไม่เคยหยุด แต่กำลังผ่านพ้นไปพร้อมกับแต่ละชั่วขณะที่กำลังล่วงเลยไป  หากเจ้าพูดว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระยาห์เวห์จึงทรงขอให้ปุโรหิตทั้งหลายรับใช้พระองค์ในพระวิหาร แต่พระเยซูกลับมิได้ทรงเข้าสู่พระวิหารแม้ว่าตามจริงแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จมา ผู้คนยังพูดด้วยว่าพระองค์ทรงเป็นปุโรหิตชั้นสูง และว่าพระองค์ทรงเป็นวงศ์วานของดาวิด และยังทรงเป็นปุโรหิตชั้นสูงและองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน?  แล้วเหตุใดพระองค์จึงมิได้มอบถวายเครื่องบูชาทั้งหลาย?  การเข้าสู่พระวิหารหรือไม่เข้าสู่พระวิหารนี้—มิใช่พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองทั้งหมดหรอกหรือ?  หากเป็นดังเช่นที่มนุษย์จินตนาการว่าพระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้ง และยังคงมีพระนามว่าเยซูในยุคสุดท้าย และยังคงเสด็จมาบนเมฆขาว เสด็จเคลื่อนลงมาท่ามกลางมนุษย์ในพระฉายาของพระเยซู เช่นนั้นแล้ว นั่นจะไม่ใช่การทำซ้ำพระราชกิจของพระองค์หรอกหรือ?  พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถเกาะติดอยู่กับความเก่าได้หรือ?  ทั้งหมดที่มนุษย์เชื่อล้วนเป็นมโนคติอันหลงผิด และทั้งหมดที่มนุษย์เข้าใจล้วนเป็นไปตามความหมายตามตัวอักษร และตามจินตนาการของเขาอีกด้วย ทั้งหมดนั้นไม่ลงรอยกับหลักธรรมทั้งหลายในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจในหนทางนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงเขลาและเบาปัญญาถึงเพียงนั้น และพระราชกิจของพระองค์ก็มิได้ง่ายเหลือเกินดังที่เจ้าจินตนาการ  บนพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์จินตนาการนั้น พระเยซูจะเสด็จมาบนเมฆและเคลื่อนลงมาท่ามกลางพวกเจ้า  พวกเจ้าจะมองเห็นพระองค์ผู้เสด็จมาบนเมฆ ซึ่งจะตรัสบอกพวกเจ้าว่าพระองค์คือพระเยซู พวกเจ้ายังจะมองเห็นรอยตะปูบนพระหัตถ์ของพระองค์อีกด้วย และจะรู้ว่าพระองค์คือพระเยซู  และพระองค์จะทรงช่วยพวกเจ้าให้รอดอีกครั้ง และจะเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ของพวกเจ้า  พระองค์จะทรงช่วยพวกเจ้าให้รอด ประทานชื่อใหม่แก่พวกเจ้า และจะทรงมอบหินสีขาวก้อนหนึ่งให้พวกเจ้าแต่ละคน หลังจากนั้นพวกเจ้าจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์และถูกรับเข้าสู่สวรรค์ ความเชื่อเช่นนี้มิใช่มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรอกหรือ?  พระเจ้าทรงพระราชกิจไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ หรือว่าพระองค์ทรงพระราชกิจที่สวนทางกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์กันแน่?  มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์มิได้มาจากซาตานหรอกหรือ?  มนุษย์ทุกคนมิได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วหรอกหรือ?  หากพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว พระองค์จะไม่ทรงกลายเป็นซาตานหรือ?  พระองค์จะไม่ทรงกลายเป็นประเภทเดียวกันกับสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระองค์เองหรือ?  ในเมื่อบัดนี้สิ่งทรงสร้างของพระองค์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามจนถึงขั้นที่มนุษย์ได้กลายเป็นรูปจำแลงของซาตานไปแล้ว หากพระเจ้าจะต้องทรงพระราชกิจให้สอดคล้องกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นของซาตาน เช่นนั้นแล้ว พระองค์จะไม่ทรงร่วมขบวนการกับซาตานหรอกหรือ?  มนุษย์จะสามารถหยั่งถึงพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร?  ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่มีวันที่จะทรงพระราชกิจตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  และไม่มีวันที่จะทรงพระราชกิจไปในหนทางทั้งหลายที่เจ้าจินตนาการ มีบรรดาผู้ที่กล่าวว่าพระเจ้าพระองค์เองได้ตรัสไว้ว่าพระองค์จะทรงเมฆมา  จริงอยู่ว่าพระเจ้าได้ตรัสไว้เช่นนั้นด้วยพระองค์เอง แต่เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าไม่มีมนุษย์คนใดสามารถหยั่งถึงความล้ำลึกของพระเจ้าได้?  เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าไม่มีมนุษย์คนใดสามารถอธิบายพระวจนะของพระเจ้าได้?  เจ้าแน่ใจโดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยเลยได้หรือว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ประทานความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่เจ้าแล้ว?  แน่นอนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะไม่ทรงแสดงให้เจ้าเห็นในลักษณะตรงๆ เช่นนั้นมิใช่หรือ?  เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ตรัสบอกเจ้า หรือว่ามโนคติอันหลงผิดของเจ้าเองพาให้เจ้าคิดเช่นนั้นกันแน่?  เจ้าบอกว่า “พระเจ้าได้ตรัสเรื่องนี้เอาไว้ด้วยพระองค์เอง”  แต่พวกเราไม่สามารถใช้มโนคติอันหลงผิดและความรู้สึกนึกคิดของพวกเราเองมาประเมินวัดพระวจนะของพระเจ้าได้  สำหรับคำกล่าวที่อิสยาห์พูดไว้นั้น เจ้าสามารถอธิบายถ้อยคำของเขาได้ด้วยความแน่ใจเต็มที่กระนั้นหรือ?  เจ้ากล้าที่จะอธิบายถ้อยคำของเขาหรือ?  ในเมื่อเจ้าไม่กล้าที่จะอธิบายถ้อยคำของอิสยาห์ แล้วเหตุใดเจ้าจึงกล้าที่จะอธิบายพระวจนะของพระเยซู?  ผู้ใดเป็นที่ยกย่องมากกว่ากัน พระเยซูหรืออิสยาห์?  ในเมื่อคำตอบคือพระเยซู เหตุใดเจ้าจึงอธิบายพระวจนะที่พระเยซูตรัสเอาไว้?  พระเจ้าจะตรัสบอกเจ้าล่วงหน้าถึงพระราชกิจของพระองค์กระนั้นหรือ?  ไม่มีสิ่งทรงสร้างแม้แต่สิ่งเดียวที่รู้ได้ ไม่แม้แต่บรรดาผู้สื่อสารในสวรรค์ หรือบุตรมนุษย์ ดังนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไร?  มนุษย์ขาดพร่องมากเกินไป  สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดสำหรับพวกเจ้าในตอนนี้คือการรู้จักพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ  จากพระราชกิจของพระยาห์เวห์จนถึงพระราชกิจของพระเยซู และจากพระราชกิจของพระเยซูมาจนถึงพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบัน สามช่วงระยะนี้ครอบคลุมแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของพระเจ้าให้เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องราวเดียวกัน และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียว  นับตั้งแต่การสร้างโลก พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์อยู่ตลอดเวลา  พระองค์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย พระองค์ทรงเป็นปฐมและอวสาน และพระองค์คือองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงเริ่มต้นยุคหนึ่งและองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงสิ้นสุดยุคนั้น  พระราชกิจสามช่วงระยะในยุคที่แตกต่างกันและในสถานที่ที่แตกต่างกันนั้น คือพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียวอย่างไม่มีทางเป็นอื่นไปได้  พวกที่แยกช่วงระยะทั้งสามนี้ออกจากกันล้วนยืนต่อต้านพระเจ้า  บัดนี้จำเป็นที่เจ้าจะต้องเข้าใจว่าพระราชกิจทั้งหมดจากช่วงระยะแรกจนถึงทุกวันนี้คือพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว พระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียว  ไม่อาจมีข้อสงสัยในการนี้ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 290

เนื่องจากมนุษย์เชื่อในพระเจ้า เขาจึงต้องติดตามย่างพระบาทของพระเจ้าอย่างใกล้ชิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เขาควร “ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใดก็ตาม”  มีเพียงผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นผู้แสวงหาหนทางที่แท้จริง มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้พระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้คนที่ติดตามความหมายตามตัวอักษรและหลักข้อเชื่อราวกับทาสคือพวกที่เคยถูกพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ขับออกไป  ในแต่ละยุค พระเจ้าจะทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ และในแต่ละยุคจะมีการเริ่มต้นใหม่ท่ามกลางมนุษย์  หากมนุษย์เพียงยึดถือความจริงที่ว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า” และ “พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์” ซึ่งก็คือความจริงที่ใช้เฉพาะกับยุคนั้นๆ ของพวกเขาเท่านั้น เช่นนั้นแล้วมนุษย์ย่อมจะไม่มีวันตามทันพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจะไม่สามารถได้รับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ตลอดไปได้  ไม่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร มนุษย์ก็ติดตามโดยปราศจากความสงสัยแม้แต่น้อย และเขาย่อมติดตามอย่างใกล้ชิด  ในหนทางนี้ มนุษย์จะถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงขับออกไปได้อย่างไร?  ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตาม ตราบเท่าที่มนุษย์มั่นใจว่านั่นคือพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และให้ความร่วมมือในพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยไม่มีความขุ่นข้องใจใดๆ และพยายามทำให้ถึงข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเขาจะถูกลงโทษได้อย่างไร?  พระราชกิจของพระเจ้าไม่มีวันยุติ ย่างพระบาทของพระองค์ไม่มีวันหยุดยั้ง และก่อนที่พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์จะครบบริบูรณ์ พระองค์ได้ทรงยุ่งอยู่เสมอและไม่เคยทรงหยุด  แต่มนุษย์นั้นแตกต่างออกไป กล่าวคือ หลังจากที่ได้รับเพียงส่วนเล็กน้อยของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาก็ปฏิบัติต่อพระราชกิจเสมือนว่าพระราชกิจจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  หลังจากที่ได้รับความรู้เล็กน้อย เขาก็ไม่ได้เดินหน้าเพื่อติดตามรอยพระบาทของพระราชกิจที่ใหม่กว่าของพระเจ้า  หลังจากที่ได้มองเห็นพระราชกิจของพระเจ้าเพียงเล็กน้อย เขาก็กำหนดทันทีว่าพระเจ้าทรงเป็นหุ่นไม้จำเพาะตัวหนึ่ง และเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงอยู่ในรูปร่างนี้ที่เขาเห็นตรงหน้าเขาเสมอ เขาเชื่อว่าในอดีตมันเป็นแบบนี้และจะเป็นดังนี้เสมอในอนาคต  หลังจากที่ได้รับความรู้เพียงผิวเผินแล้ว มนุษย์ก็ช่างภูมิอกภูมิใจจนเขาลืมตัวเอง และเริ่มประกาศอย่างมัวเมาถึงพระอุปนิสัยและสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นซึ่งก็ไม่ได้มีอยู่เลย  และหลังจากที่ได้กลายเป็นมั่นใจเกี่ยวกับช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าบุคคลที่ประกาศพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าจะเป็นบุคคลประเภทใดก็ตาม มนุษย์ก็ไม่ยอมรับพระราชกิจนั้น  เหล่านี้คือผู้คนที่ไม่สามารถยอมรับพระราชกิจใหม่แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาหัวโบราณเกินไปและไม่สามารถยอมรับสิ่งใหม่ๆ ได้  ผู้คนเช่นนั้นคือพวกที่เชื่อในพระเจ้า แต่ก็ปฏิเสธพระเจ้าเช่นกัน  มนุษย์เชื่อว่าคนอิสราเอลผิดที่ “เชื่อแต่ในพระยาห์เวห์และไม่เชื่อในพระเยซู” ถึงกระนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ก็แสดงบทบาทที่พวกเขา “เชื่อแต่ในพระยาห์เวห์และปฏิเสธพระเยซู” และ “ถวิลหาการทรงกลับมาของพระเมสสิยาห์ แต่ต่อต้านพระเมสสิยาห์ที่ทรงได้รับเรียกว่าพระเยซู”  เช่นนั้นแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานหลังจากที่ยอมรับช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และยังคงไม่ได้รับพระพรของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่ผลของการเป็นกบฏของมนุษย์หรอกหรือ?  ชนคริสเตียนทั่วโลกที่ตามไม่ทันพระราชกิจใหม่ของวันนี้ ทั้งหมดเกาะติดกับความหวังที่ว่าพวกเขาจะโชคดี ทึกทักว่าพระเจ้าจะทรงทำให้ความปรารถนาแต่ละอย่างของพวกเขาลุล่วง  ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถพูดได้อย่างแน่นอนว่าเหตุใดพระเจ้าจะทรงรับพวกเขาขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นที่สาม อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มั่นใจว่าพระเยซูจะเสด็จมาทรงรับพวกเขาขึ้นไปบนเมฆขาวอย่างไร นับประสาอะไรที่พวกเขาจะพูดได้ด้วยความมั่นใจอย่างที่สุดว่าพระเยซูจะเสด็จมาบนเมฆขาวในวันที่พวกเขาจินตนาการ  พวกเขาทั้งหมดกระวนกระวายและทำอะไรไม่ถูก ตัวพวกเขาเองไม่รู้แม้กระทั่งว่าพระเจ้าจะทรงรับพวกเขาแต่ละคนซึ่งเป็นกลุ่มคนที่หลากหลายไม่กี่หยิบมือ ผู้มาจากทุกๆ นิกายหรือไม่  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตอนนี้ ในยุคปัจจุบัน น้ำพระทัยของพระเจ้า—พวกเขาไม่จับความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งใดๆ เหล่านี้ และพวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดนอกเหนือจากนับวันถอยหลังด้วยนิ้วมือของพวกเขา  มีเพียงบรรดาผู้ที่ติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกจนถึงบทอวสานเท่านั้นที่สามารถได้รับพระพรสุดท้าย ในทางตรงกันข้าม พวก “ผู้คนที่ฉลาด” ผู้ไร้ความสามารถที่จะติดตามไปจนถึงบทอวสาน แต่กลับเชื่อว่าพวกเขาได้รับทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถเป็นพยานต่อการทรงปรากฏของพระเจ้า  พวกเขาแต่ละคนเชื่อว่าพวกเขาคือบุคคลที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดบนแผ่นดินโลก และพวกเขาตัดทอนการพัฒนาที่ต่อเนื่องของพระราชกิจของพระเจ้าโดยไม่มีเหตุผลแต่อย่างใด และดูจะเชื่อด้วยความมั่นใจอย่างที่สุดว่าพระเจ้าจะทรงพาพวกเขาขึ้นสวรรค์ พวกเขาซึ่งเป็นผู้ที่ “มีความจงรักภักดีอย่างถึงที่สุดต่อพระเจ้า ติดตามพระเจ้า และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า”  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมี “ความจงรักภักดีอย่างถึงที่สุด” ต่อพระวจนะที่พระเจ้าตรัส แต่คำพูดและการกระทำของพวกเขายังคงน่าขยะแขยงเหลือเกิน เพราะพวกเขาต่อต้านพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และกระทำการหลอกลวงและความชั่ว  พวกที่ไม่ติดตามไปจนถึงบทอวสาน พวกที่ตามไม่ทันพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกที่ยึดติดในพระราชกิจเก่าๆ เท่านั้น ย่อมไม่เพียงได้ล้มเหลวในการสัมฤทธิ์ความจงรักภักดีต่อพระเจ้าเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาย่อมได้กลายเป็นพวกที่ต่อต้านพระเจ้า ได้กลายเป็นพวกที่ถูกยุคใหม่ปฏิเสธ และพวกที่จะถูกลงโทษ  มีสิ่งใดที่น่าเวทนากว่าพวกเขาเล่า?  ผู้คนมากมายยังเชื่อกระทั่งว่าผู้คนทั้งหมดที่ปฏิเสธธรรมบัญญัติเก่าและยอมรับพระราชกิจใหม่นั้น ปราศจากมโนธรรม  ในท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของผู้คนเหล่านี้ที่พูดถึงเพียง “มโนธรรม” และไม่รู้จักพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะถูกตัดทอนลงด้วยมโนธรรมของพวกเขาเอง  พระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้ยึดตามหลักข้อเชื่อ และถึงแม้ว่านั่นอาจเป็นพระราชกิจของพระองค์เอง แต่พระเจ้าไม่ทรงยึดติดในพระราชกิจนั้น  สิ่งที่ควรถูกปฏิเสธย่อมถูกปฏิเสธ สิ่งที่ควรถูกขับออกไปย่อมถูกขับออกไป  ถึงกระนั้น มนุษย์ก็วางตัวเขาเองเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าโดยการยึดมั่นเพียงส่วนเล็กน้อยส่วนเดียวของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่ความไร้สาระของมนุษย์หรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ความไม่รู้เท่าทันของมนุษย์หรอกหรือ?  ยิ่งผู้คนขลาดกลัวและระมัดระวังเกินไปเพราะพวกเขากลัวที่จะไม่ได้รับพระพรของพระเจ้ามากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งไม่สามารถได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไป และยิ่งไม่สามารถได้รับพระพรสุดท้ายมากขึ้นเท่านั้น  ผู้คนทั้งหมดที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติราวกับทาสต่างแสดงความจงรักภักดีอย่างถึงที่สุดต่อธรรมบัญญัติ และยิ่งพวกเขาแสดงความจงรักภักดีเช่นนั้นต่อธรรมบัญญัติมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งเป็นกบฏที่ต่อต้านพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  เพราะขณะนี้คือยุคแห่งราชอาณาจักรและไม่ใช่ยุคธรรมบัญญัติ และพระราชกิจของวันนี้กับพระราชกิจของอดีตก็ไม่สามารถกล่าวถึงพร้อมกันได้ อีกทั้งพระราชกิจของอดีตย่อมไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับพระราชกิจของวันนี้  พระราชกิจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และการปฏิบัติของมนุษย์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน มันไม่ใช่การยึดมั่นในธรรมบัญญัติหรือการแบกกางเขน ดังนั้น ความจงรักภักดีของผู้คนต่อธรรมบัญญัติและกางเขนจึงจะไม่ได้รับความเห็นชอบของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 291

วัตถุประสงค์ของการพิชิตเจ้าในวันนี้คือเพื่อให้เจ้ายอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า และทรงยังเป็นพระเจ้าของผู้อื่นด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของทุกคนที่รักพระองค์ และพระเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลและพระเจ้าของคนอียิปต์  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของคนอังกฤษและพระเจ้าของคนอเมริกัน  พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นแค่พระเจ้าของอาดัมและเอวา แต่ทรงเป็นพระเจ้าของพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของพวกเขาด้วย  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และทุกสิ่งบนแผ่นดินโลก  ทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลหรือคนต่างชาติ ทั้งหมดต่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าหนึ่งองค์  พระองค์ไม่เพียงแค่ทรงปฏิบัติพระราชกิจในอิสราเอลเป็นเวลาหลายพันปีและประสูติในยูเดียเท่านั้น แต่วันนี้พระองค์เสด็จลงมาในประเทศจีน ซึ่งเป็นสถานที่ที่พญานาคใหญ่สีแดงนอนขมวดม้วนอยู่  หากการประสูติในยูเดียทำให้พระองค์ทรงกลายเป็นกษัตริย์ของพวกยิว เช่นนั้นแล้วการเสด็จลงมาท่ามกลางพวกเจ้าทุกคนในวันนี้ไม่ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าทุกคนหรือ?  พระองค์ทรงนำคนอิสราเอลและประสูติในยูเดีย และพระองค์ยังประสูติในดินแดนคนต่างชาติด้วยเช่นกัน  พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ไม่ได้กระทำเพื่อทั้งมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นหรอกหรือ?  พระองค์ทรงรักคนอิสราเอลร้อยเท่า และเกลียดคนต่างชาติพันเท่าหรือ?  นั่นไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดของเจ้าหรือ?  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่เคยทรงเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า แต่เพียงแค่ว่าพวกเจ้าไม่ยอมรับพระองค์  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่เต็มพระทัยที่จะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า แต่เพียงแค่ว่าพวกเจ้าปฏิเสธพระองค์  มีใครท่ามกลางสิ่งทรงสร้างที่ไม่ได้อยู่ในพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บ้าง?  เป้าหมายในการพิชิตพวกเจ้าในวันนี้ไม่ใช่การทำให้พวกเจ้ายอมรับว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระเจ้าของพวกเจ้าหรือ?  หากพวกเจ้ายังคงยึดมั่นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และยังคงยึดมั่นว่าวงศ์วานของดาวิดในอิสราเอลคือที่มาของการประสูติของพระเจ้า และไม่มีชนชาติอื่นใดนอกเหนือจากอิสราเอลที่มีคุณสมบัติที่จะ “สร้าง” พระเจ้า และยิ่งไม่มีครอบครัวคนต่างชาติใดๆ ที่มีความสามารถที่จะได้รับพระราชกิจของพระยาห์เวห์ด้วยตัวเอง—หากเจ้ายังคงคิดเช่นนั้น นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าเป็นผู้ต่อต้านที่หัวแข็งหรือ?  จงอย่ายึดติดกับอิสราเอลเสมอไป  พระเจ้าประทับอยู่ที่นี่ ท่ามกลางพวกเจ้าในวันนี้  อีกทั้งเจ้าไม่ควรคอยมองขึ้นไปบนสวรรค์  จงหยุดร่ำร้องหาพระเจ้าของเจ้าในสวรรค์!  พระเจ้าได้เสด็จมาท่ามกลางพวกเจ้าแล้ว แล้วพระองค์จะประทับอยู่ในสวรรค์ไปได้อย่างไร?  เจ้ายังไม่ได้เชื่อในพระเจ้ามานานมากนัก แต่เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดมากมายเกี่ยวกับพระองค์ จนถึงจุดที่เจ้ากล้าที่จะไม่หยุดคิดสักเสี้ยววินาทีว่าพระเจ้าของคนอิสราเอลจะทรงยอมลดเกียรติมาเพื่อประทานพระคุณให้กับพวกเจ้าด้วยการสถิตของพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้ายิ่งไม่กล้าที่จะคิดว่าพวกเจ้าจะสามารถมองเห็นพระเจ้าทรงปรากฏพระองค์เองไปได้อย่างไรเนื่องจากพวกเจ้าช่างสกปรกโสมมเกินทน  พวกเจ้าไม่เคยคิดว่าพระเจ้าจะสามารถเสด็จลงมาในแผ่นดินของคนต่างชาติด้วยพระองค์เองไปได้อย่างไร  พระองค์ควรเสด็จลงมาบนภูเขาซีนายหรือภูเขามะกอกเทศ และปรากฏต่อคนอิสราเอล  คนต่างชาติทั้งหมด  (นั่นคือ ผู้คนนอกอิสราเอล)  ไม่ใช่วัตถุที่พระองค์ทรงเกลียดหรือ?  พระองค์จะสามารถปฏิบัติพระราชกิจท่ามกลางพวกเขาด้วยพระองค์เองไปได้อย่างไร?  ทั้งหมดนี้คือมโนคติอันหลงผิดที่หยั่งรากลึกซึ่งพวกเจ้าได้พัฒนาให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายปี  จุดประสงค์ของการพิชิตพวกเจ้าในวันนี้คือเพื่อทลายมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ของพวกเจ้าให้หมดไป  ดังนั้น พวกเจ้าจงแลดูการทรงปรากฏพระองค์เองของพระเจ้าท่ามกลางพวกเจ้า ไม่ใช่บนภูเขาซีนายหรือภูเขามะกอกเทศ แต่ท่ามกลางผู้คนที่พระองค์ไม่เคยทรงนำทางมาก่อน  หลังจากที่พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจสองช่วงระยะในอิสราเอลแล้ว คนอิสราเอลและคนต่างชาติทั้งหมดเฉกเช่นเดียวกันต่างมาเก็บงำมโนคติอันหลงผิดว่าแม้ว่าจะเป็นจริงที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง แต่พระองค์เต็มพระทัยที่จะเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น ไม่ใช่พระเจ้าของคนต่างชาติ  คนอิสราเอลมีความเชื่อดังนี้ว่า  พระเจ้าทรงเป็นเพียงพระเจ้าของพวกเราเท่านั้น ไม่ใช่พระเจ้าของพวกเจ้าคนต่างชาติ และเพราะพวกเจ้าไม่เคารพพระยาห์เวห์ ดังนั้นพระยาห์เวห์—พระเจ้าของพวกเรา—จึงทรงเกลียดพวกเจ้า  ผู้คนชาวยิวเหล่านั้นยังมีความเชื่อดังนี้ว่า  องค์พระเยซูเจ้าทรงรับภาพของพวกเรา ผู้คนชาวยิว และทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงถือเครื่องหมายของผู้คนชาวยิว  พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจท่ามกลางพวกเรา  พระฉายาของพระเจ้าและภาพของพวกเราคล้ายกัน ภาพของพวกเราใกล้เคียงกับพระฉายาของพระเจ้า  องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเราชาวยิว คนต่างชาติไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น  องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อพวกเราชาวยิว  คนอิสราเอลและผู้คนชาวยิวเกิดมโนคติอันหลงผิดทั้งหมดเหล่านี้โดยมีพื้นฐานมาจากพระราชกิจสองช่วงระยะเหล่านั้นเท่านั้น  พวกเขากล่าวอ้างอย่างใช้อำนาจว่าพระเจ้าทรงเป็นของพวกเขาเอง ไม่ยอมให้พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนต่างชาติเช่นกัน  ดังนี้แล้ว พระเจ้าจึงทรงกลายเป็นช่องว่างในหัวใจของคนต่างชาติ  นี่เป็นเพราะว่าทุกคนได้มาเชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเป็นพระเจ้าของคนต่างชาติ และพระองค์พอพระทัยเพียงคนอิสราเอล—ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร—และผู้คนชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวกที่ติดตามพระองค์เท่านั้น  เจ้าไม่รู้หรือว่าพระราชกิจที่พระยาห์เวห์และพระเยซูทรงปฏิบัติเป็นไปเพื่อการมีชีวิตรอดของมวลมนุษย์ทั้งปวง?  ขณะนี้เจ้ายอมรับหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าทั้งหมดที่เกิดนอกอิสราเอล?  พระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ท่ามกลางพวกเจ้าในวันนี้หรือ?  นี่ไม่สามารถเป็นความฝันไปได้ ใช่หรือไม่?  พวกเจ้าไม่ยอมรับความเป็นจริงนี้หรือ?  พวกเจ้ากล้าที่จะไม่เชื่อหรือคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้  ไม่ว่าพวกเจ้าจะมองเห็นอะไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ท่ามกลางพวกเจ้าหรือ?  พวกเจ้ายังคงกลัวที่จะเชื่อคำพูดเหล่านี้อยู่อีกหรือ?  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้คนที่ถูกพิชิตทั้งหมดและผู้ที่ปรารถนาจะเป็นผู้ติดตามของพระเจ้าทั้งหมดไม่ได้เป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือ?  พวกเจ้าทุกคนที่เป็นผู้ติดตามในวันนี้ไม่ใช่ประชากรที่ได้รับเลือกนอกอิสราเอลหรือ?  สถานะของพวกเจ้าไม่เหมือนกับคนอิสราเอลหรือ?  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรตระหนักหรือ?  นี่ไม่ใช่เป้าหมายของพระราชกิจการพิชิตพวกเจ้าหรือ?  เนื่องจากพวกเจ้าสามารถมองเห็นพระเจ้า พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าตลอดไป ตั้งแต่เริ่มต้นและต่อไปในอนาคต  พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งพวกเจ้า ตราบเท่าที่พวกเจ้าทุกคนเต็มใจที่จะติดตามพระองค์ และเป็นสิ่งทรงสร้างที่จงรักภักดีและเชื่อฟังของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (3)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 292

เฉพาะเมื่อเจ้าวางมโนคติอันหลงผิดเก่าๆ ของเจ้าลงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถได้รับความรู้ใหม่ กระนั้นความรู้เก่าก็ไม่จำเป็นต้องเทียบเท่ามโนคติอันหลงผิดเก่าๆ  “มโนคติอันหลงผิด” หมายถึงสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์จินตนาการขึ้นมาซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริง  หากความรู้เก่าล้าสมัยไปแล้วในยุคเก่า และยับยั้งมนุษย์จากการเข้าสู่พระราชกิจใหม่ เช่นนั้นแล้วความรู้ดังกล่าวก็เป็นมโนคติอันหลงผิดเช่นกัน  หากมนุษย์มีความสามารถที่จะใช้วิธีเข้าหาที่ถูกต้องกับความรู้เช่นนี้ และสามารถมารู้จักพระเจ้าจากแง่มุมต่างๆ มากมาย โดยนำสิ่งเก่าและใหม่มารวมกัน เช่นนั้นแล้วความรู้เก่าก็จะกลายเป็นความช่วยเหลือแก่มนุษย์ และกลายเป็นพื้นฐานที่มนุษย์ใช้เพื่อเข้าสู่ยุคใหม่  บทเรียนแห่งการรู้จักพระเจ้าพึงประสงค์ให้เจ้าเชี่ยวชาญหลักการมากมาย กล่าวคือ วิธีเข้าสู่เส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า ความจริงข้อใดบ้างที่เจ้าต้องเข้าใจเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า และวิธีกำจัดมโนคติที่หลงผิดและอุปนิสัยเก่าของเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้นบนอบต่อการจัดการเตรียมการต่างๆ ทั้งหมดของพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า  หากเจ้าใช้หลักการเหล่านี้เป็นรากฐานสำหรับการเข้าสู่บทเรียนแห่งการรู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าก็จะกลายเป็นลึกขึ้นและลึกขึ้น  หากเจ้ามีความรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ—กล่าวคือเกี่ยวกับแผนการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้า—และหากเจ้าสามารถเชื่อมโยงพระราชกิจสองช่วงระยะก่อนหน้าของพระเจ้ากับช่วงระยะปัจจุบันได้อย่างเต็มที่ และเห็นว่าเป็นพระราชกิจที่พระเจ้าองค์เดียวทรงกระทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีรากฐานที่แข็งแกร่งหาใดเสมอเหมือน  พระเจ้าองค์เดียวทรงพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ นี่เป็นนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และนี่เป็นเส้นทางเดียวสู่การรู้จักพระเจ้า  มีแต่พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่สามารถกระทำพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนั้นได้ และไม่มีมนุษย์ผู้ใดจะสามารถทำงานเช่นนี้ในพระนามของพระองค์ได้—กล่าวคือมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่สามารถกระทำพระราชกิจของพระองค์เองได้ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวันนี้  แม้ว่าพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าได้ดำเนินการในยุคและสถานที่ที่แตกต่างกัน และแม้ว่าพระราชกิจของแต่ละช่วงระยะจะแตกต่างกัน แต่ก็เป็นพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าองค์เดียวได้ทรงกระทำ  ในบรรดานิมิตทั้งหมด นี่เป็นนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ควรรู้จัก และหากมนุษย์สามารถเข้าใจได้อย่างครบบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะมีความสามารถที่จะตั้งมั่นได้  วันนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ศาสนาและนิกายต่างๆ กำลังเผชิญหน้าอยู่คือพวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไร้ความสามารถที่จะแยกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และงานที่ไม่ได้เป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้—เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าพระราชกิจช่วงระยะนี้ทรงกระทำโดยพระยาห์เวห์เช่นเดียวกันกับพระราชกิจสองช่วงระยะท้ายสุดหรือไม่  แม้ว่าผู้คนติดตามพระเจ้า แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่  มนุษย์กังวลว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่พระเจ้าพระองค์เองทรงนำทางเป็นการส่วนพระองค์หรือไม่ และการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้านั้นเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ และผู้คนส่วนใหญ่ยังคงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิธีแยกแยะสิ่งต่างๆ เช่นนี้  พวกที่ติดตามพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะกำหนดวิธีได้ และดังนั้นข่าวสารที่ถูกพูดจะมีผลบางส่วนท่ามกลางผู้คนเหล่านี้เท่านั้น และไม่สามารถที่จะมีประสิทธิผลอย่างเต็มที่ และดังนั้นนี่จึงส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้คนเช่นนี้  หากมนุษย์สามารถมองเห็นในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงดำเนินการ ณ เวลาที่ต่างกัน ในสถานที่ที่ต่างกัน และในผู้คนที่ต่างกัน หากมนุษย์สามารถเห็นว่าถึงแม้ว่าพระราชกิจจะแตกต่าง แต่ทั้งหมดก็ทรงกระทำโดยพระเจ้าองค์เดียว และว่าในเมื่อเป็นพระราชกิจที่ทรงกระทำโดยพระเจ้าองค์เดียว เช่นนั้นแล้วก็จะต้องถูกต้องและไร้ข้อผิดพลาด และแม้ว่าจะขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ ก็ไม่มีทางปฏิเสธว่าไม่ใช่พระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว—หากมนุษย์สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว เช่นนั้นแล้วมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ก็จะลดลงเป็นเพียงเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อย ไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึง  เพราะนิมิตต่างๆ ของมนุษย์ไม่ชัดเจน และเพราะมนุษย์เพียงรู้จักพระยาห์เวห์ในฐานะพระเจ้า และพระเยซูในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า และสองจิตสองใจเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในวันนี้ ผู้คนมากมายยังคงอุทิศตนเพื่อพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู และถูกมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระราชกิจในวันนี้รุมเร้า ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคลางแคลงใจเสมอ และไม่ถือจริงจังกับพระราชกิจในวันนี้  มนุษย์ไม่มีมโนคติที่หลงผิดต่อพระราชกิจสองช่วงระยะท้ายสุด ซึ่งไม่ปรากฏแก่ตา  นั่นเป็นเพราะมนุษย์ไม่เข้าใจความเป็นจริงของพระราชกิจสองช่วงระยะท้ายสุด และไม่ได้รู้เห็นสองช่วงระยะนั้นด้วยตัวเอง  เป็นเพราะช่วงระยะเหล่านี้ของพระราชกิจไม่สามารถมองเห็นได้ มนุษย์จึงจินตนาการตามที่เขาชอบ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เขาคิดขึ้น ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์จินตนาการเช่นนี้ และไม่มีใครที่จะทำการแก้ไข  มนุษย์ปล่อยให้อารมณ์ของเขาเป็นอิสระจากการควบคุม โยนความระมัดระวังทิ้งไปในสายลม และปล่อยให้จินตนาการโลดแล่นโดยอิสระ เพราะไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะยืนยันความเป็นจริงของจินตนาการต่างๆ ของเขา และดังนั้นจินตนาการต่างๆ ของมนุษย์จึงกลายเป็น “ข้อเท็จจริง” โดยไม่คำนึงถึงว่ามีข้อพิสูจน์ใดหรือไม่  ดังนั้นมนุษย์จึงเชื่อในพระเจ้าที่เขาจินตนาการขึ้นมาเองในจิตใจของเขา และไม่แสวงหาพระเจ้าแห่งความเป็นจริง  หากบุคคลผู้หนึ่งมีการเชื่อหนึ่งอย่าง เช่นนั้นแล้วท่ามกลางผู้คนหนึ่งร้อยคนก็จะมีการเชื่อหนึ่งร้อยอย่าง  มนุษย์ถูกครอบงำโดยการเชื่อเช่นนี้เพราะเขาไม่ได้เห็นความเป็นจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้า เพราะเขาเพียงได้ยินด้วยหูของเขา และไม่ได้มองดูด้วยตาของเขา  มนุษย์ได้ยินตำนานและเรื่องเล่า—แต่ไม่บ่อยนักที่เขาได้ยินความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  ดังนั้นจึงเป็นว่าผู้คนที่ได้เป็นผู้เชื่อเพียงหนึ่งปีมาเชื่อในพระเจ้าโดยผ่านทางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง  การนี้ก็เป็นจริงเช่นกันสำหรับพวกที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาตลอดชีวิตของพวกเขา  พวกที่ไม่สามารถเห็นข้อเท็จจริงจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะหลบหนีจากความเชื่อหนึ่งซึ่งในนั้นพวกเขามีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  มนุษย์เชื่อว่าเขาได้ปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการของมโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของเขา และได้เข้าสู่ดินแดนใหม่แล้ว  มนุษย์ไม่รู้หรอกหรือว่าความรู้ของพวกที่ไม่สามารถมองเห็นพระพักตร์แท้จริงของพระเจ้าได้นั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากมโนคติที่หลงผิดและคำเล่าขาน?  มนุษย์คิดว่ามโนคติที่หลงผิดของเขาถูกต้อง และไร้ข้อผิดพลาด และเขาคิดว่ามโนคติที่หลงผิดเหล่านี้มาจากพระเจ้า  วันนี้เมื่อมนุษย์รู้เห็นพระราชกิจของพระเจ้า เขาก็ปล่อยให้มโนคติที่หลงผิดซึ่งได้พอกพูนขึ้นมานานหลายปีออกมาเพ่นพ่าน  จินตนาการและแนวคิดต่างๆ แห่งอดีตได้กลายเป็นการขัดขวางต่อพระราชกิจของช่วงระยะนี้ และมันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ที่จะปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดเช่นนี้ และหักล้างแนวคิดเช่นนี้  มโนคติที่หลงผิดต่อพระราชกิจทีละขั้นตอนนี้ของพวกที่ได้ติดตามพระเจ้าจนถึงวันนี้มากมายหลายคนได้กลายเป็นน่าสลดใจมากขึ้น และผู้คนเหล่านี้ได้ค่อยๆ กลายเป็นศัตรูที่ดื้อรั้นของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์  แหล่งที่มาของความเกลียดชังนี้ตั้งอยู่ในมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์  มโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์ได้กลายเป็นศัตรูของพระราชกิจของวันนี้ พระราชกิจที่ขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  นี่ได้เกิดขึ้นเพราะข้อเท็จจริงไม่เปิดโอกาสให้มนุษย์ปลดปล่อยจินตนาการของเขาให้เป็นอิสระ และยิ่งกว่านั้นไม่สามารถถูกมนุษย์หักล้างได้อย่างง่ายดาย และมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์ไม่ได้ยอมให้มีการดำรงอยู่ของข้อเท็จจริง และยิ่งไปกว่านั้น เพราะมนุษย์ไม่ได้นึกถึงความถูกต้องและความสัตย์จริงของข้อเท็จจริง และเพียงแค่ปลดปล่อยให้มโนคติที่หลงผิดของเขาให้เป็นอิสระและใช้จินตนาการของเขาเองด้วยใจเด็ดเดี่ยว  นี่สามารถกล่าวได้เพียงว่าเป็นความผิดของมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นความผิดของพระราชกิจของพระเจ้า  มนุษย์อาจจินตนาการสิ่งใดก็ตามที่เขาปรารถนา แต่เขาไม่อาจโต้แย้งช่วงระยะใดในพระราชกิจของพระเจ้า หรือส่วนเล็กน้อยส่วนใดได้โดยอิสระ ข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้านั้นไม่อาจรุกล้ำได้โดยมนุษย์  เจ้าอาจปล่อยให้จินตนาการของเจ้าเป็นอิสระไร้การควบคุม และอาจถึงกับรวบรวมเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู แต่เจ้าไม่อาจหักล้างข้อเท็จจริงแห่งแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู นี่เป็นหลักการหนึ่ง และก็เป็นประกาศกฤษฎีกาบริหารอีกด้วย และพวกเจ้าควรเข้าใจความสำคัญของประเด็นเหล่านี้  มนุษย์เชื่อว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเข้ากันไม่ได้กับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และเชื่อว่านี่ไม่ใช่กรณีของพระราชกิจสองช่วงระยะก่อนหน้า  ในจินตนาการของเขา มนุษย์เชื่อว่าพระราชกิจของสองช่วงระยะก่อนหน้าไม่เหมือนกับพระราชกิจของวันนี้อย่างแน่นอน—แต่เจ้าเคยได้พิจารณาหรือไม่ว่าหลักการของพระราชกิจของพระเจ้านั้นเหมือนกันทั้งหมด ว่าพระราชกิจของพระองค์สัมพันธ์กับชีวิตจริงเสมอ และว่าโดยไม่คำนึงถึงยุค จะมีผู้คนจำนวนล้นหลามที่ต้านทานและต่อต้านข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระองค์?  พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ต้านทานและต่อต้านพระราชกิจช่วงระยะนี้ในวันนี้ ได้ต่อต้านพระเจ้ามาแล้วในอดีตกาลอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผู้คนเช่นนี้จะเป็นศัตรูของพระเจ้าเสมอ  ผู้คนที่รู้ข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้าจะเห็นว่าพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะเป็นพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว และจะปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา  เหล่านี้คือผู้คนที่รู้จักพระเจ้า และผู้คนเช่นนี้คือบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง  เมื่อการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้ากำลังเข้าใกล้บทอวสาน พระเจ้าจะทรงจำแนกทุกสรรพสิ่งโดยสอดคล้องกับประเภท  มนุษย์ได้รับการทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และในท้ายที่สุด พระองค์ต้องทรงคืนมนุษย์กลับสู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ นี่คือบทสรุปปิดตัวของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ  ช่วงระยะของพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย และสองช่วงระยะก่อนหน้าในอิสราเอลและยูเดียนั้นเป็นแผนการแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าในจักรวาลทั้งหมดทั้งมวล  ไม่มีใครสามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้ และนี่คือข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  แม้ว่าผู้คนไม่ได้มีประสบการณ์หรือรู้เห็นพระราชกิจนี้มากนัก แต่ข้อเท็จจริงก็ยังคงเป็นข้อเท็จจริง และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถปฏิเสธได้  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าในทุกแผ่นดินแห่งจักรวาลทั้งหมดจะยอมรับพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ  หากเจ้ารู้จักเพียงช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจเป็นพิเศษ และไม่เข้าใจพระราชกิจอีกสองช่วงระยะ ไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าในอดีตกาล เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไร้ความสามารถที่จะพูดความจริงทั้งมวลของแผนการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าได้ และความรู้เรื่องพระเจ้าของเจ้านั้นลำเอียง เพราะในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าไม่รู้จักหรือเข้าใจพระองค์ และดังนั้นเจ้าจึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  โดยไม่คำนึงถึงว่าความรู้ปัจจุบันของเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ลึกซึ้งหรือผิวเผิน ในท้ายที่สุดพวกเจ้าต้องมีความรู้ และต้องเชื่ออย่างสิ้นเชิง และผู้คนทั้งหมดจะเห็นความครบถ้วนบริบูรณ์แห่งพระราชกิจของพระเจ้าและนบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า  เมื่อพระราชกิจนี้สิ้นสุดลง ทุกศาสนาจะกลายเป็นหนึ่ง สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดจะกลับสู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดจะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และศาสนาที่ชั่วร้ายทั้งหมดจะสูญสลายไป ไม่มีวันปรากฏอีกครั้ง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 293

เพื่อจับความเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ผลที่พระราชกิจของพระองค์สัมฤทธิ์ในมนุษย์ และสิ่งซึ่งเป็นน้ำพระทัยอันแท้จริงของพระองค์ที่ทรงมีให้สำหรับมนุษย์ กล่าวคือ นี่คือสิ่งที่ทุกคนซึ่งติดตามพระเจ้าควรบรรลุไปให้ถึง  ทุกวันนี้ความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าเป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนทั้งมวลกำลังขาด  กิจการทั้งหลายที่พระเจ้าทรงพระราชกิจต่อผู้คน พระราชกิจทั้งสิ้นทั้งมวลของพระเจ้า และน้ำพระทัยอันแท้จริงซึ่งพระองค์ทรงมีให้กับมนุษย์นับตั้งแต่การสร้างโลกถึงกาลปัจจุบัน—เหล่านี้คือสิ่งที่มนุษย์ทั้งไม่รู้และไม่ได้จับใจความ  ความไม่เพียงพอนี้ไม่เพียงแต่จะพบได้ทั่วไปทั้งโลกศาสนา แต่ยังพบได้ในบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อในพระเจ้าเช่นกัน  เมื่อถึงวันนั้นที่เจ้ามองเห็นพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อเจ้าซึ้งคุณค่าในพระปรีชาญาณของพระองค์จริงๆ เมื่อเจ้ามองเห็นกิจการทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจไปแล้ว เมื่อเจ้าระลึกได้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นและทรงมี—เมื่อเจ้าได้มองเห็นพระทัยกว้างขวาง พระปรีชาญาณ การอัศจรรย์ และทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงพระราชกิจต่อผู้คน—ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จในความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า  เมื่อมีการกล่าวว่าพระเจ้าทรงโอบอ้อมทั้งมวลและทรงพระทัยกว้างทั้งมวล ในหนทางไหนกันแน่หรือที่พระองค์ทรงโอบอ้อมทั้งมวล และในหนทางไหนกันแน่หรือที่พระองค์ทรงพระทัยกว้างทั้งมวล?  หากเจ้าไม่เข้าใจการนี้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถถือได้ว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกที่อยู่ในโลกศาสนาไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้า แต่เป็นผู้ที่ทำความชั่วประเภทเดียวกับมาร?  เมื่อเรากล่าวว่าพวกเขาเป็นผู้ที่ทำความชั่ว นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและไม่สามารถมองเห็นพระปรีชาญาณของพระองค์  พระเจ้าไม่เคยทรงเปิดเผยพระราชกิจของพระองค์ต่อพวกเขา  พวกเขาตาบอด พวกเขาไม่สามารถมองเห็นกิจการทั้งหลายของพระเจ้า พวกเขาได้ถูกพระเจ้าทอดทิ้งแล้ว และพวกเขาขาดการเอาพระทัยใส่และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกที่ปราศจากพระราชกิจของพระเจ้าต่างเป็นผู้ที่ทำความชั่วและเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าทั้งสิ้น  ผู้ต่อต้านพระเจ้าที่เรากล่าวถึงนั้นอ้างถึงพวกที่ไม่รู้จักพระเจ้า พวกที่ยอมรับพระเจ้าแค่ลมปากแต่ไม่ได้รู้จักพระองค์ พวกที่ติดตามพระเจ้าแต่ไม่เชื่อฟังพระองค์ และพวกที่เสเพลเฮฮาในพระคุณของพระเจ้าแต่ไม่สามารถยืนหยัดเป็นพยานต่อพระองค์ได้  ครั้นปราศจากความเข้าใจเกี่ยวกับจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า หรือความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในมนุษย์ เขาก็ไม่สามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องไปกับน้ำพระทัยของพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่สามารถยืนหยัดเป็นพยานต่อพระองค์ได้  เหตุผลที่มนุษย์ต่อต้านพระเจ้านั้น ในแง่หนึ่งมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา และในอีกแง่หนึ่งมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เกี่ยวกับพระเจ้าและความขาดพร่องความเข้าใจหลักการที่พระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจและน้ำพระทัยของพระองค์ที่ทรงมีให้กับมนุษย์  สองแง่มุมนี้เมื่อรวมกันแล้ว ก่อเกิดเป็นประวัติการต่อต้านพระเจ้าของมนุษย์  บรรดาผู้เชื่อซึ่งมาใหม่ต่อต้านพระเจ้าก็เพราะการต่อต้านเช่นนั้นมีอยู่ภายในธรรมชาติของพวกเขา ในขณะที่การต่อต้านพระเจ้าของบรรดาผู้ที่อยู่ในความเชื่อมาหลายปีเป็นผลลัพธ์มาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เกี่ยวกับพระองค์ บวกกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  ในกาลก่อนที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ การวัดว่ามนุษย์ต่อต้านพระเจ้าหรือไม่นั้นมีพื้นฐานจากการที่เขารักษากฤษฎีกาที่พระเจ้าในสวรรค์ทรงกำหนดไว้หรือไม่ ตัวอย่างเช่น ในยุคธรรมบัญญัติ ผู้ใดก็ตามที่ไม่รักษาธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ถือว่าเป็นผู้ที่ต่อต้านพระเจ้า ผู้ใดก็ตามที่ขโมยของถวายต่อพระยาเวห์ หรือผู้ใดก็ตามที่คัดค้านผู้ซึ่งพระยาเวห์ทรงโปรดปราน ถือว่าเป็นผู้ที่ต่อต้านพระเจ้า และจะถูกหินขว้างจนตาย ผู้ใดก็ตามไม่เคารพบิดาและมารดาของเขา และผู้ใดก็ตามที่โจมตีหรือสาปแช่งผู้อื่น ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่รักษาธรรมบัญญัติ และทุกคนที่ไม่รักษาธรรมบัญญัติของพระยาเวห์ถือว่าต่อต้านพระองค์  ในยุคพระคุณนั้นหาได้เป็นเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว เมื่อนั้นผู้ใดก็ตามที่ต่อต้านพระเยซูถือเป็นผู้ที่ต่อต้านพระเจ้า และผู้ใดก็ตามที่ไม่เชื่อฟังพระวจนะที่พระเยซูทรงเปล่งถือว่าเป็นผู้ที่ต่อต้านพระเจ้า  ในเวลานี้ การต่อต้านพระเจ้ากลายเป็นได้รับคำนิยามไปในวิถีทางที่ทั้งเที่ยงตรงมากขึ้นและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น  ในกาลที่พระเจ้ายังไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ การวัดว่ามนุษย์ต่อต้านพระเจ้าหรือไม่นั้นมีพื้นฐานจากการที่มนุษย์นมัสการและชื่นชมบูชาพระเจ้าผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตาบนสวรรค์หรือไม่  การต่อต้านพระเจ้าซึ่งมีการให้คำนิยามในเวลานั้น ไม่เป็นไปในวิถีทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากนัก เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่รู้ว่าพระฉายาของพระเจ้าเป็นอย่างไร หรือพระองค์ทรงพระราชกิจและตรัสอย่างไร  มนุษย์ไม่มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเลยไม่ว่าอะไรก็ตาม และเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างคลุมเครือเพราะพระเจ้ายังไม่เคยปรากฏต่อมนุษย์  ดังนั้น ไม่สำคัญว่ามนุษย์ได้เชื่อในพระเจ้าในจินตนาการของเขาอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็มิได้ทรงกล่าวโทษมนุษย์หรือทรงเรียกร้องจากเขามากเกินไปนัก เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง  ครั้นพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ ทุกคนมองเห็นพระองค์และได้สดับตรับฟังพระวจนะของพระองค์ และทั้งหมดมองเห็นกิจการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจจากภายในกายมนุษย์ของพระองค์  ณ ขณะนั้นเอง มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ทุกคนจึงปลาสนาการไป  สำหรับผู้ที่เคยเห็นพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์แล้วนั้น พวกเขาจะไม่ถูกกล่าวโทษหากพวกเขาเต็มใจเชื่อฟังพระองค์ ในขณะที่พวกซึ่งยืนต้านพระองค์อย่างมีจุดประสงค์จะถูกถือว่าเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า  ผู้คนดังกล่าวคือศัตรูของพระคริสต์ เป็นศัตรูที่ตั้งใจยืนต้านพระเจ้า  พวกที่เก็บงำมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ แต่ยังคงพร้อมและเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระองค์จะไม่ถูกกล่าวโทษ  พระเจ้าทรงกล่าวโทษมนุษย์ตามพื้นฐานของเจตนาและการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่เพราะความคิดและแนวคิดของเขา  หากพระองค์ทรงกล่าวโทษมนุษย์ตามพื้นฐานของความคิดและแนวคิดของเขา เช่นนั้นแล้วจะไม่มีสักคนที่สามารถหนีพ้นจากพระหัตถ์อันพิโรธของพระองค์ไปได้  พวกที่ตั้งใจยืนต้านพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะถูกลงโทษสำหรับความไม่เชื่อฟังของพวกเขา  จากการพิจารณาผู้คนเหล่านี้ที่ตั้งใจยืนต้านพระเจ้า การต่อต้านของพวกเขามีต้นกำเนิดมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเก็บงำมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ ซึ่งนำพวกเขาไปสู่การกระทำทั้งหลายอันขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้เจตนาต้านทานและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาไม่เพียงมีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า แต่พวกเขายังทำกิจกรรมทั้งหลายอันขัดขวางพระราชกิจของพระองค์อีกเช่นกัน และด้วยเหตุผลนี้ผู้คนประเภทนี้จะถูกกล่าวโทษ  บรรดาผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้าจะไม่ถูกกล่าวโทษว่าเป็นเหล่าคนบาป เพราะพวกเขาสามารถเชื่อฟังได้อย่างเต็มใจและไม่ทำกิจกรรมทั้งหลายที่เป็นสาเหตุของการขัดขวางและการรบกวน  ผู้คนเช่นนี้จะไม่ถูกกล่าวโทษ  อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเป็นเวลาหลายปี หากพวกเขายังคงมีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าต่อไป และยังคงไร้ความสามารถที่จะรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และหากไม่ว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์สักกี่ปี พวกเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าต่อไป และยังคงไร้ความสามารถที่จะมารู้จักพระองค์ได้ เช่นนั้นแล้วต่อให้เขาไม่ทำกิจกรรมทั้งหลายอันเป็นการขัดขวาง แต่หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยมโนคติที่หลงผิดมากมายเกี่ยวกับพระเจ้า และต่อให้มโนคติที่หลงผิดเหล่านี้ไม่ได้กลับกลายเป็นเห็นชัดขึ้นมาก็ตาม ผู้คนเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลยต่อพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาไร้ความสามารถที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อพระเจ้า หรือยืนหยัดเป็นพยานต่อพระองค์  ผู้คนเช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์อะไรและเป็นพวกโง่เง่าเบาปัญญา เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไร้ความสามารถทั้งสิ้นทั้งปวงในการละทิ้งมโนคติที่หลงผิดซึ่งพวกเขามีเกี่ยวกับพระองค์ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงถูกกล่าวโทษ  สามารถกล่าวได้ดังนี้ว่า เป็นปกติที่ผู้เชื่อซึ่งมาใหม่จะยึดถือมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่รู้สิ่งใดเลยเกี่ยวกับพระองค์ แต่สำหรับผู้ซึ่งเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์มามากมายแล้ว คงจะไม่เป็นการปกติที่บุคคลเช่นนั้นยังคงยึดถือมโนคติที่หลงผิดอยู่ต่อไป และคงจะยิ่งไม่ปกติหากบุคคลเช่นนี้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย  เนื่องเพราะนี่ไม่ใช่สภาวะปกติ พวกเขาจึงถูกกล่าวโทษ  ผู้คนที่ผิดปกติเหล่านี้ล้วนเป็นขยะทั้งหมด พวกเขาคือพวกที่ต่อต้านพระเจ้ามากที่สุด และเป็นผู้ที่ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย  ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดจะถูกขับออกไปในท้ายที่สุด!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 294

ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าคือผู้ที่ต่อต้านพระองค์ และใครก็ตามที่ได้มาเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว แต่ยังไม่พยายามทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยก็ยิ่งถือว่าเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าขึ้นไปอีก  มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า  พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์  พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์  ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า  พวกเขาอาจดูมี “องค์ประกอบอันเพียบพร้อม” แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า?  ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?  พวกที่ยกย่องตนเองสูงส่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าคือผู้ต่ำศักดิ์ที่สุดในหมู่มนุษย์  ส่วนผู้ที่คิดว่าตนต้อยต่ำคือผู้ที่ได้รับเกียรติที่สุด  และพวกที่คิดว่าตนรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น สามารถกล่าวประกาศพระราชกิจของพระเจ้าต่อผู้อื่นอย่างเอิกเกริกเกรียวกราวแม้ในขณะที่พวกเขามองตรงมายังพระองค์—พวกนี้คือผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่สุดในหมู่มนุษย์  ผู้คนเช่นนั้นปราศจากคำพยานของพระเจ้า โอหัง และเต็มไปด้วยความทะนงตน  บรรดาผู้ที่เชื่อว่าพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าน้อยเกินไป ทั้งที่มีประสบการณ์จริงและมีความรู้ที่สัมพันธ์กับสถานการณ์จริงเกี่ยวกับพระองค์นั้น คือผู้ที่พระองค์ทรงรักอย่างที่สุด  มีเพียงผู้คนเช่นนั้นเท่านั้นที่มีคำพยานอย่างแท้จริง และสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ได้อย่างแท้จริง  พวกที่ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าคือผู้ต่อต้านพระเจ้า พวกที่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแต่ยังไม่ปฏิบัติไปตามความจริงคือผู้ต่อต้านพระเจ้า พวกที่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าแต่ยังคัดค้านแก่นสารในพระวจนะของพระเจ้าคือผู้ต่อต้านพระเจ้า พวกที่มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้น มีจิตใจที่จะทำการกบฏคือผู้ต่อต้านพระเจ้า พวกที่ตัดสินพระเจ้าคือผู้ต่อต้านพระเจ้า และใครก็ตามที่ไร้ความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าหรือเป็นพยานต่อพระองค์คือผู้ต่อต้านพระเจ้า  ดังนั้นเรารบเร้าพวกเจ้า นั่นคือ หากพวกเจ้ามีความเชื่อจริงๆ ว่าเจ้าสามารถเดินบนเส้นทางนี้ได้ เช่นนั้นแล้วจงเดินตามเส้นทางนี้ต่อไป  แต่หากพวกเจ้าไร้ความสามารถที่จะละเว้นจากการต่อต้านพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าควรเดินออกห่างก่อนที่จะสายเกินไปย่อมเป็นการดีที่สุด  มิฉะนั้นแล้ว โอกาสที่สิ่งทั้งหลายจะออกมาเลวร้ายสำหรับเจ้านั้นพุ่งสูงสุดขั้ว เพราะธรรมชาติของพวกเจ้านั้นก็แค่เสื่อมทรามเกินไป  เจ้าไม่มีสักเสี้ยวกระผีกของความจงรักภักดีหรือการเชื่อฟัง หรือหัวใจสักดวงที่กระหายความชอบธรรมและความจริง หรือความรักเพื่อพระเจ้า  อาจกล่าวได้ว่าสภาพการณ์ของพวกเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าคือความยุ่งเหยิงเต็มที  เจ้าไม่สามารถทำตามสิ่งที่เจ้าควรทำตาม และไร้ความสามารถที่จะพูดสิ่งที่ควรพูด  สิ่งที่เจ้าควรนำมาปฏิบัติ เจ้าก็ล้มเหลวที่จะนำมาปฏิบัติ และหน้าที่การงานที่เจ้าควรทำให้ลุล่วง เจ้าก็ไร้ความสามารถที่จะทำจนลุล่วงได้  เจ้าไม่มีความจงรักภักดี มโนธรรม การเชื่อฟัง หรือปณิธานที่เจ้าควรมี  เจ้าไม่ได้สู้ทนความทุกข์ที่เจ้าสมควรต้องสู้ทน และเจ้าไม่มีความเชื่อที่เจ้าควรมี  ง่ายเลยทีเดียวก็คือ พวกเจ้าไร้ซึ่งคุณธรรมอันใดโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ พวกเจ้าไม่อับอายหรอกหรือในการที่จะใช้ชีวิตต่อไป?  ให้เราชักชวนพวกเจ้าว่าเจ้าควรปิดตาของเจ้าอยู่ในการพักผ่อนชั่วนิรันดร์จะดีเสียกว่า ด้วยผลจากการนั้นพระเจ้าจะได้ไม่ทรงกังวลในเรื่องของพวกเจ้าและไม่ทรงทุกข์เพื่อประโยชน์ของพวกเจ้า  พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้า และก็ยังไม่รู้น้ำพระทัยของพระองค์ เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และก็ยังไร้ความสามารถที่จะคงเส้นคงวาไปตามที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากมนุษย์ได้  เจ้าเชื่อในพระเจ้า และก็ยังไม่รู้จักพระองค์ และเจ้ามีชีวิตอยู่โดยปราศจากเป้าหมายที่จะเพียรพยายามดั้นด้นไป ปราศจากคุณค่าใดๆ ปราศจากความหมายใดๆ  เจ้าใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และยังไม่มีมโนธรรม ความสัตย์สุจริต หรือความน่าเชื่อถือเลยแม้ในระดับเบาบางที่สุด—พวกเจ้ายังสามารถเรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้อยู่หรือ?  เจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่หลอกลวงพระองค์ ที่มากไปกว่านั้น เจ้าเอาเงินของพระเจ้าไปและกินของถวายที่มีผู้ทำให้พระองค์  กระนั้นในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็ยังคงล้มเหลวที่จะแสดงความคำนึงแม้เพียงแผ่วบางที่สุดต่อความรู้สึกของพระเจ้าหรือมโนธรรมที่เลือนรางที่สุดต่อพระองค์  เจ้าไม่สามารถทำสำเร็จได้แม้แต่ข้อเรียกร้องอันสัพเพเหระที่สุดของพระเจ้า  พวกเจ้ายังคงสามารถเรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้อยู่หรือ?  การกินอาหารที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เจ้า และหายใจรับออกซิเจนที่พระองค์ประทานให้เจ้า และชื่นชมพระคุณของพระองค์ กระนั้นในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็ยังไม่มีความรู้แม้เพียงแผ่วเผินที่สุดเกี่ยวกับพระเจ้าเลย  ในทางกลับกัน เจ้าได้กลายเป็นผู้ไม่มีประโยชน์อันใดซึ่งต่อต้านพระเจ้า  นั่นไม่ทำให้เจ้าเป็นสัตว์ร้ายที่ต่ำยิ่งกว่าสุนัขหรอกหรือ?  ท่ามกลางบรรดาสัตว์ มีสัตว์ใดบ้างที่มุ่งร้ายไปกว่าพวกเจ้า?

ศิษยาภิบาลและผู้สูงอายุซึ่งยืนบนแท่นเทศน์สูงสอนผู้อื่นคือผู้ต่อต้านพระเจ้าและเป็นพันธมิตรของซาตาน พวกเจ้าที่ไม่ยืนอยู่บนแท่นเทศน์สูงสอนผู้อื่นจะไม่เป็นผู้ต่อต้านพระเจ้ายิ่งกว่าหรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่ได้รวมหัวกันกับซาตานเสียยิ่งกว่าพวกเขาหรอกหรือ?  บรรดาพวกที่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ย่อมไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรให้สอดคล้องไปกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แน่นอนว่า เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ซึ่งเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์จะไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตนให้สอดคล้องไปกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างไร พระราชกิจของพระองค์ไม่มีทางผิดพลาด แต่การไล่ตามเสาะหาของมนุษย์ต่างหากที่มีข้อติ  บรรดาคนเสื่อมที่ตั้งใจต่อต้านพระเจ้าเหล่านั้น ไม่ยิ่งส่อลางร้ายและมุ่งร้ายกว่าศิษยาภิบาลและผู้สูงอายุเหล่านั้นหรอกหรือ?  ผู้คนมากมายเป็นพวกที่ต่อต้านพระเจ้า แต่ในหมู่พวกเขาก็ยังมีวิธีการแตกต่างมากมายที่พวกเขาใช้ต่อต้านพระเจ้าอีกเช่นกัน ดังที่มีผู้เชื่ออยู่ในทุกลักษณะ ดังนั้นผู้ที่ต่อต้านพระเจ้าก็มีอยู่ในทุกลักษณะด้วยเช่นกัน และแต่ละลักษณะไม่มีความเหมือนกัน  ในบรรดาคนเหล่านั้นซึ่งล้มเหลวในการที่จะระลึกได้อย่างชัดเจนถึงจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนที่สามารถรับการช่วยให้รอดได้  ไม่ว่ามนุษย์อาจเคยต่อต้านพระเจ้าอย่างไรไปแล้วในอดีต เมื่อมนุษย์มาเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และทุ่มเทอุทิศความพยายามของเขาเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย พระเจ้าจะทรงลบล้างบาปก่อนหน้านี้ทั้งหมดของเขาจนสะอาด  ตราบเท่าที่มนุษย์แสวงหาความจริงและปฏิบัติไปตามความจริง พระเจ้าจะไม่ทรงจดจำสิ่งที่เขาได้เคยทำ  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงตัดสินมนุษย์ตามพื้นฐานของการปฏิบัติไปตามความจริงของเขา  นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า  ก่อนมนุษย์ได้เห็นพระเจ้าหรือได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ ไม่ว่ามนุษย์ปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ทรงจดจำ  อย่างไรก็ดี ทันทีที่มนุษย์ได้เห็นพระเจ้าและได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์แล้ว พระเจ้าจะทรงบันทึกความประพฤติและการกระทำทั้งหมดของมนุษย์ลงใน “บันทึกรายปี” เนื่องเพราะมนุษย์ได้เคยเห็นพระเจ้าและเคยใช้ชีวิตท่ามกลางพระราชกิจของพระองค์แล้ว

ครั้นมนุษย์ได้มองเห็นอย่างแท้จริงในสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ครั้นเขาได้มองเห็นอำนาจสูงสุดของพระองค์ และครั้นเขาได้มารู้พระราชกิจของพระองค์อย่างแท้จริง และยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออุปนิสัยเดิมของมนุษย์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป เมื่อนั้นมนุษย์จะละทิ้งอุปนิสัยกบฏที่ต่อต้านพระเจ้าของตนไปแล้วอย่างสมบูรณ์  สามารถกล่าวได้ว่าทุกคนเคยต่อต้านพระเจ้าในบางเวลา และทุกคนเคยกบฏต่อพระเจ้าในบางเวลา อย่างไรก็ดี หากเจ้าเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และจากจุดนี้ทำให้สมดังพระทัยของพระเจ้าด้วยความจงรักภักดีของเจ้า ปฏิบัติไปตามความจริงที่เจ้าควรทำ ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเช่นที่เจ้าควรทำ และรักษากฎข้อบังคับทั้งหลายที่เจ้าควรทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าคือผู้ที่เต็มใจละทิ้งความกบฏของเจ้าเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และเป็นผู้ที่สามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า  หากเจ้าปฏิเสธอย่างดื้อรั้นที่จะมองเห็นความผิดพลาดของเจ้าและไม่มีเจตนาที่จะกลับใจด้วยตัวเจ้าเอง  หากเจ้ายืนกรานในการกระทำอันกบฏของเจ้าและปราศจากเจตนาแม้เพียงน้อยที่สุดที่จะร่วมมือกับพระเจ้าและกระทำให้พระองค์พึงพอพระทัย เช่นนั้นแล้วคนที่กระด้างและเกินเยียวยาแก้ไขเช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน และจะไม่มีวันเป็นผู้ที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าอย่างแน่นอน  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็คือศัตรูของพระเจ้าในวันนี้ และพรุ่งนี้เจ้าจะเป็นศัตรูของพระเจ้าเช่นกัน และดังนั้น เจ้าจะยังคงเป็นศัตรูของพระเจ้าในวันถัดไปอีกด้วย เจ้าจะเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าและศัตรูของพระเจ้าไปตลอดกาล ในกรณีเช่นนั้นแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าจะประทานอภัยโทษให้เจ้า?  การต่อต้านพระเจ้านั้นอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ แต่มนุษย์ต้องไม่จงใจแสวงหา “ความลับ” ของการต่อต้านพระเจ้าเพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของเขานั้นเป็นงานชิ้นที่ยากเกินกว่าจะทำสำเร็จได้  หากเป็นกรณีนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าควรเดินจากไปก่อนที่จะสายเสียดีกว่า เพื่อให้การตีสอนของเจ้าในอนาคตจะไม่กลายเป็นรุนแรงมากไปกว่านี้ และเพื่อว่าธรรมชาติอันใจโหดของเจ้าจะไม่ปะทุออกมาและกลายเป็นไม่สามารถควบคุมได้ จนกว่าร่างกายทางเนื้อหนังของเจ้าจะถูกพระเจ้าสะบั้นลงในที่สุด  เจ้าเชื่อในพระเจ้าเพื่อจะรับพร แต่หากในที่สุดมีเพียงโชคร้ายเกิดขึ้นกับเจ้า นั่นจะไม่ใช่ความอัปยศหรอกหรือ?  เรารบเร้าพวกเจ้า เจ้าควรวางแผนอื่นอีกสักอย่างจะดีกว่า  สิ่งใดที่เจ้าสามารถทำได้ก็คงจะดีกว่าการเชื่อในพระเจ้า แน่นอนว่ามันคงมิได้มีเพียงเส้นทางนี้เส้นทางเดียว  เจ้าจะไม่มีชีวิตรอดต่อไปหรอกหรือหากเจ้าไม่แสวงหาความจริง?  เหตุใดเจ้าจึงต้องหมางใจกับพระเจ้าในลักษณะเช่นนี้เล่า?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 295

เราได้ทำงานไปมากมายท่ามกลางมนุษย์ ซึ่งระหว่างนั้นเราก็ได้แสดงวจนะไปมากมายด้วย  วจนะเหล่านี้ล้วนเป็นไปเพื่อความรอดของมนุษย์และแสดงไว้เพื่อที่มนุษย์อาจเข้ากับเราได้  อย่างไรก็ตาม เราได้รับผู้คนมาเพียงไม่กี่คนบนแผ่นดินโลกที่เข้ากันได้กับเรา และดังนั้นเราจึงกล่าวเลยว่ามนุษย์ไม่ได้มองเห็นคุณค่าแห่งวจนะของเรา—มันเป็นเพราะมนุษย์ไม่สามารถเข้ากันได้กับเรา  ในหนทางนี้ งานที่เราทำจึงไม่ได้เป็นเพียงเพื่อให้มนุษย์สามารถนมัสการเราได้ ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นไปเพื่อให้มนุษย์สามารถเข้ากันได้กับเรา  มนุษย์ได้ถูกทำให้เสื่อมทรามและมีชีวิตในกับดักของซาตาน  ผู้คนทั้งหมดมีชีวิตในเนื้อหนัง มีชีวิตในความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวและไม่มีใครแม้แต่คนเดียวในหมู่พวกเขาที่เข้ากันได้กับเรา  มีพวกที่บอกว่าพวกเขาเข้ากันได้กับเรา แต่ผู้คนเช่นนี้ทั้งหมดนมัสการรูปเคารพที่คลุมเครือ  แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับว่านามของเราบริสุทธิ์ แต่พวกเขาก็ย่ำไปในเส้นทางที่ไปตรงกันข้ามกับเรา และคำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยความโอหังและความมั่นใจในตนเอง  นี่เป็นเพราะว่าโดยรากลึกแล้ว พวกเขาทั้งหมดต่อต้านเราและเข้ากันไม่ได้กับเรา  ทุกวันพวกเขาแสวงหาร่องรอยต่างๆ ของเราในพระคัมภีร์และใช้การสุ่มค้นหาบทตอนที่ “เหมาะสม” ซึ่งพวกเขาอ่านอย่างไม่รู้จบและท่องจำเหมือนคัมภีร์ทั้งหลาย พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะเข้ากันได้กับเราหรืออะไรคือความหมายของการต่อต้านเรา  พวกเขาแค่อ่านคัมภีร์ทั้งหลายไปอย่างมืดบอด  ภายในพระคัมภีร์นั้น พวกเขากักขังพระเจ้าผู้คลุมเครือซึ่งพวกเขาไม่เคยเห็นและไม่สามารถมองเห็นได้ และนำออกมาชมดูในเวลาว่างของพวกเขา  พวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของเราภายในขอบเขตของพระคัมภีร์เท่านั้นและพวกเขาถือว่าเราเทียบเท่าพระคัมภีร์ กล่าวคือไม่มีพระคัมภีร์ไม่มีเราและไม่มีเราไม่มีพระคัมภีร์  พวกเขาไม่ใส่ใจต่อการดำรงอยู่หรือการกระทำของเรา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับอุทิศการให้ความสนใจอย่างที่สุดและเป็นพิเศษให้กับทุกๆ คำในพระคัมภีร์  ผู้คนอีกมากมายกว่านั้นถึงกับเชื่อว่าเราไม่ควรทำสิ่งใดก็ตามที่เราปรารถนาจะทำเว้นแต่จะถูกบอกไว้ล่วงหน้าโดยพระคัมภีร์  พวกเขาให้ความสำคัญกับพระคัมภีร์มากเกินไป  อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเห็นความสำคัญของวจนะและการแสดงออกต่างๆ มากเกินไปจนถึงขอบข่ายที่พวกเขาจะใช้ข้อพระคัมภีร์จากพระคัมภีร์มาวัดทุกคำที่เราพูดและเพื่อกล่าวโทษเรา  สิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่หนทางแห่งการเข้ากันได้กับเราหรือหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริง แต่เป็นหนทางแห่งการเข้ากันได้กับวจนะของพระคัมภีร์และพวกเขาเชื่อว่าสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ไม่ใช่งานของเราโดยไม่มีข้อยกเว้น  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พงศ์พันธุ์ผู้เคร่งครัดต่อหน้าที่ของพวกฟาริสีหรอกหรือ?  พวกฟาริสีชาวยิวใช้ธรรมบัญญัติของโมเสสกล่าวโทษพระเยซู  พวกเขาไม่ได้แสวงหาความเข้ากันได้กับพระเยซูในเวลานั้น แต่ทำตามธรรมบัญญัติอย่างขยันขันแข็งตามตัวอักษร จนถึงขอบข่ายที่—หลังจากที่ได้ตั้งข้อหาแก่พระองค์ว่าไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมและไม่ใช่พระเมสสิยาห์แล้ว—พวกเขาได้ตอกตรึงพระเยซูผู้ไร้ความผิดเข้ากับกางเขนในท้ายที่สุด  อะไรคือแก่นแท้ของพวกเขา?  มิใช่การที่พวกเขาไม่ได้แสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริงหรอกหรือ?  พวกเขาหมกมุ่นกับทุกๆ คำในพระคัมภีร์ในขณะที่ไม่ใส่ใจทั้งต่อเจตจำนงของเราและต่อขั้นตอนและวิธีการทำงานของเรา  พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่แสวงหาความจริง แต่เป็นผู้คนที่เกาะติดอย่างตายตัวอยู่กับวจนะ พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า แต่เป็นผู้คนที่เชื่อในพระคัมภีร์  โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือสุนัขเฝ้าพระคัมภีร์ เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์นานาของพระคัมภีร์ เพื่อค้ำจุนความทรงเกียรติของพระคัมภีร์และเพื่อปกป้องเกียรติภูมิของพระคัมภีร์ พวกเขาถึงกับตอกตรึงพระเยซูผู้ทรงเปี่ยมปรานีไว้กับกางเขน  พวกเขาทำสิ่งนี้ก็แค่เพื่อปกป้องพระคัมภีร์เท่านั้นและเพื่อธำรงสถานะของทุกๆ คำในพระคัมภีร์ไว้ในหัวใจของผู้คน  ดังนั้นพวกเขาจึงพอใจที่จะเลือกละทิ้งอนาคตของพวกเขาและเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อกล่าวโทษพระเยซูผู้ไม่ทรงปฏิบัติตามคำสอนของพระคัมภีร์จนสิ้นพระชนม์  พวกเขาทั้งหมดก็คือข้ารับใช้ของทุกๆ คำในพระคัมภีร์มิใช่หรือ?

แล้วผู้คนในทุกวันนี้เล่า?  พระคริสต์ได้เสด็จมาเพื่อปลดปล่อยความจริง แต่พวกเขากลับเลือกขับไล่พระองค์ออกไปจากพิภพนี้ เพื่อที่พวกเขาอาจได้รับการเข้าสู่สวรรค์และได้รับพระคุณ  พวกเขากลับเลือกปฏิเสธการมาของความจริงอย่างสิ้นเชิงเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของพระคัมภีร์ และพวกเขากลับเลือกตอกตรึงพระคริสต์ผู้ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังไว้กับกางเขนอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจในการดำรงอยู่นิรันดร์กาลของพระคัมภีร์  มนุษย์สามารถได้รับความรอดของเราได้อย่างไรในเมื่อหัวใจของเขาช่างมุ่งร้ายและธรรมชาติของเขาเป็นปรปักษ์ต่อเรายิ่งนัก  เรามีชีวิตท่ามกลางมนุษย์ แต่มนุษย์ก็ไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของเรา  ครั้นเราฉายความสว่างของเราไปบนตัวมนุษย์ เขาก็ยังคงไม่รู้เท่าทันเลยแม้แต่น้อยถึงการดำรงอยู่ของเรา ครั้นเราปลดปล่อยความโกรธเคืองของเราใส่มนุษย์ เขาก็ปฏิเสธการดำรงอยู่ของเราด้วยความกร้าวแกร่งที่มากขึ้นไปอีก  มนุษย์ค้นคว้าความเข้ากันได้กับวจนะและความเข้ากันได้กับพระคัมภีร์ แต่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวมาอยู่เบื้องหน้าเราเพื่อแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริง  มนุษย์มองขึ้นมาหาเราในสวรรค์และอุทิศความกังวลสนใจเป็นพิเศษให้กับการดำรงอยู่ของเราในสวรรค์ แต่ไม่มีใครเลยที่เป็นห่วงเราในเนื้อหนัง เพราะเราที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์นั้นมีนัยสำคัญน้อยเกินไปแค่นั้นเอง  พวกที่แสวงหาความเข้ากันได้กับวจนะในพระคัมภีร์เท่านั้นและผู้ที่แสวงหาความเข้ากันได้กับพระเจ้าที่คลุมเครือเท่านั้นล้วนเป็นภาพที่น่าสังเวชแก่สายตาของเรานัก  นั่นเป็นเพราะว่าสิ่งที่พวกเขานมัสการคือวจนะที่ตายแล้วกับพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งสามารถมอบสมบัติล้ำค่าเกินบรรยายให้พวกเขาได้ สิ่งที่พวกเขานมัสการคือพระเจ้าองค์หนึ่งที่จะวางพระองค์เองไว้ในการควบคุมของมนุษย์—พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งไม่มีตัวตน  เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเช่นนี้จะสามารถได้รับอะไรจากเราเล่า?  มนุษย์นั้นต้อยต่ำเกินไปจริงๆ สำหรับวจนะ  พวกที่ต่อต้านเรา ผู้ที่เรียกร้องอย่างไร้ขีดจำกัดจากเรา ผู้ที่ไม่มีความรักในความจริง ผู้ที่กบฏต่อเรา—พวกเขาจะสามารถเข้ากันได้กับเราได้อย่างไรกัน?

พวกที่ต่อต้านเราคือพวกที่เข้ากันไม่ได้กับเรา  นี่ก็เป็นกรณีเดียวกันกับในหมู่พวกที่ไม่รักความจริง  พวกที่กบฏต่อเรานั้นยิ่งต่อต้านเราและเข้ากันไม่ได้กับเราเสียยิ่งกว่า  เราส่งพวกที่เข้ากันไม่ได้กับเราทั้งหมดไปสู่มือของมารร้ายและเรายกพวกเขาให้กับความเสื่อมทรามของมารร้าย ให้พวกเขามีอิสระเต็มที่ในการเปิดเผยความมุ่งร้ายของพวกเขาและท้ายที่สุด ก็ส่งมอบพวกเขาให้มารร้ายได้สวาปาม  เราไม่ใส่ใจว่ามีคนมากเท่าใดนมัสการเรา ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเราไม่ใส่ใจว่ามีคนมากเท่าใดที่เชื่อในเรา  ทั้งหมดที่น่าเป็นห่วงสำหรับเราคือมีคนมากเท่าใดที่เข้ากันได้กับเรา  นั่นเป็นเพราะทุกคนที่เข้ากันไม่ได้กับเราเป็นพวกมารร้ายที่ทรยศเรา พวกเขาเป็นศัตรูของเราและเราจะไม่วางบรรดาศัตรูของเรา “ขึ้นแท่น” ในบ้านของเรา  บรรดาผู้ที่เข้ากันได้กับเราจะรับใช้เราไปตลอดกาลในบ้านของเราและพวกที่ต่อต้านเราจะต้องทนทุกข์ไปตลอดกาลกับการลงโทษของเรา  พวกที่ใส่ใจเพียงถ้อยคำในพระคัมภีร์เท่านั้นและไม่กังวลต่อทั้งความจริงและการแสวงหารอยเท้าของเรา—พวกเขาต่อต้านเราเพราะพวกเขาจำกัดเราตามพระคัมภีร์ กักขังเราไว้ภายในพระคัมภีร์และดังนั้นจึงเป็นการหมิ่นประมาทเราจนถึงขีดสุด ผู้คนเช่นนี้จะสามารถมาอยู่เบื้องหน้าเราได้อย่างไร?  พวกเขาไม่ใส่ใจกิจการของเรา หรือเจตจำนงของเรา หรือความจริง แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับถ้อยคำทั้งหลายแทน—ถ้อยคำที่ทำให้ตาย  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถเข้ากันกับเราได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับพระคริสต์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 296

หลังจากที่เกิดมีความจริงขึ้นมาเกี่ยวกับการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซู มนุษย์เชื่อว่าในสวรรค์มิใช่มีเพียงพระบิดา แต่ยังมีพระบุตรด้วย และมีแม้กระทั่งพระวิญญาณ  นี่คือมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมที่มนุษย์ยึดถือ ว่ามีพระเจ้าดังเช่นที่กล่าวนี้อยู่ในสวรรค์ กล่าวคือ พระเจ้าตรีเอกภาพผู้ซึ่งทรงเป็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  มวลมนุษย์ทั้งปวงมีมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ นั่นคือพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าพระองค์หนึ่ง แต่ทรงประกอบด้วยสามพระภาค สิ่งที่พวกเหล่านั้นทั้งหมดฝังจิตฝังใจกันหนักหนาในมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมทั้งหลาย ดูเหมือนจะเป็นพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์  เพียงบรรดาพระภาคทั้งสามที่รวมเป็นเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นทั้งหมดของพระเจ้า  หากปราศจากพระบิดาผู้บริสุทธิ์แล้วพระเจ้าก็คงจะไม่ทรงครบองค์รวม  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงครบองค์รวมด้วยเช่นกัน หากปราศจากพระบุตรหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าทั้งพระบิดาเพียงลำพัง หรือพระบุตรแต่เพียงลำพังนั้นไม่สามารถถือได้ว่าเป็นพระเจ้า  มีเพียงพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ด้วยกันเท่านั้นที่สามารถถือว่าเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  บัดนี้ผู้เชื่อทางศาสนาทั้งหมดและแม้กระทั่งผู้ติดตามแต่ละคนท่ามกลางพวกเจ้าก็ยึดถือความเชื่อนี้  ทว่าสำหรับเรื่องที่ว่า การเชื่อนี้จะถูกต้องหรือไม่นั้น ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ เพราะพวกเจ้าอยู่ในหมอกแห่งความสับสนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายของพระเจ้าพระองค์เองเสมอ  ถึงแม้ว่าเหล่านี้จะเป็นมโนคติอันหลงผิด แต่พวกเจ้าก็ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด เพราะพวกเจ้าได้กลายเป็นติดเชื้ออย่างสาหัสเกินไปด้วยมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา  พวกเจ้าได้ยอมรับมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมทางศาสนาเหล่านี้อย่างดิ่งลึกเกินไป และพิษนี้ได้ซึมลึกเกินไปภายในตัวพวกเจ้า  เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน พวกเจ้าได้ยอมจำนนกับอิทธิพลที่เป็นอันตรายร้ายแรงนี้ เพราะพระเจ้าตรีเอกภาพนั้นเพียงแค่ไม่มีอยู่จริง  นั่นคือ ตรีเอกานุภาพแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็แค่ไม่มีอยู่จริง  เหล่านี้ล้วนเป็นมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมของมนุษย์ และเป็นการเชื่อแบบเหตุผลวิบัติของมนุษย์  ตลอดหลายศตวรรษมานี้มนุษย์เชื่อในตรีเอกานุภาพนี้ซึ่งก่อเกิดขึ้นโดยมโนคติอันหลงผิดในใจของมนุษย์ มนุษย์กุเรื่องขึ้นมา และมนุษย์ก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย  ตลอดหลายปีเหล่านี้ ได้มีผู้อธิบายความมากมายที่ได้อธิบาย “ความหมายที่แท้จริง” ของตรีเอกานุภาพ แต่คำอธิบายเช่นนั้นเกี่ยวกับพระเจ้าตรีเอกภาพ ว่าเป็นสามพระองค์ในร่างเดียวที่ต่างกันชัดเจนนั้น เป็นคำอธิบายที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน และผู้คนล้วนฉงนสนเท่ห์กับ “โครงสร้าง” ของพระเจ้า  ไม่มีมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่คนใดเคยมีความสามารถในการให้คำอธิบายที่ละเอียดครบถ้วนเลย คำอธิบายส่วนใหญ่ผ่านการรวบรวมในแง่ของการให้เหตุผลและเป็นเชิงทฤษฎี แต่ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่มีความเข้าใจที่ชัดเจนอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับความหมายของมัน  นี่เป็นเพราะตรีเอกานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในหัวใจนั้นเพียงแค่ไม่มีอยู่จริง  เพราะไม่มีผู้ใดเคยเห็นโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้าเลย อีกทั้งไม่เคยมีผู้ใดวาสนาดีพอที่จะได้ขึ้นไปเยี่ยมเยือนยังที่พำนักของพระเจ้าเพื่อที่จะได้ตรวจสอบดูว่ามีสิ่งของใดบ้างปรากฏอยู่ในสถานที่ที่พระเจ้าประทับอยู่ เพื่อกำหนดพิจารณาว่า แท้ที่จริงแล้วมีชนกี่หมื่นหรือกี่ร้อยล้านรุ่นอยู่ใน “พระนิเวศของพระเจ้า” หรือเพื่อเจาะลึกว่ามีกี่พระภาคที่ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างเนื้อในของพระเจ้า  สิ่งที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจดูเป็นหลักก็คือการนี้ นั่นก็คือยุคของพระบิดากับพระบุตร ตลอดจนพระวิญญาณบริสุทธิ์ การทรงปรากฏตามลำดับของแต่ละพระองค์ การที่พวกพระองค์ทรงแยกจากกันนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ และการที่พวกพระองค์ทรงรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นอย่างไร  น่าเสียดายที่ในทั้งหมดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่สามารถกำหนดพิจารณาความจริงของเรื่องเหล่านี้ได้  พวกเขาทั้งหมดเพียงแค่คาดเดาเพราะไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่ได้เคยขึ้นไปเยี่ยมเยือนยังสวรรค์ และกลับมาพร้อมกับ “รายงานเชิงสืบค้น” สำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวงเพื่อรายงานเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนี้แก่บรรดาผู้เชื่อทางศาสนาทั้งหมดที่เปี่ยมศรัทธาและไฟแรงที่กังวลเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพ  แน่นอนว่าไม่สามารถติเตียนมนุษย์ได้สำหรับการก่อเกิดมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายเช่นนี้ เพราะเหตุใดเล่าพระยาห์เวห์พระบิดาจึงมิได้ทรงให้พระเยซูพระบุตรทรงอยู่ร่วมกับพระองค์ด้วยเมื่อครั้งที่พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา?  หากในปฐมกาลนั้น ทั้งหมดได้ดำเนินไปโดยพระนามของพระยาห์เวห์ ก็คงจะเป็นการดีกว่านี้  หากต้องมีการติเตียน ก็ขอให้ติเตียนไปที่การพลาดพลั้งชั่วขณะของพระยาห์เวห์พระเจ้า ผู้ซึ่งมิได้ทรงเรียกพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ในเวลาแห่งการทรงสร้าง แต่กลับทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์แต่เพียงพระองค์เดียวมากกว่า  หากพวกพระองค์ได้ทรงพระราชกิจโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด เช่นนั้นแล้ว พวกพระองค์จะไม่ทรงกลายเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้วหรอกหรือ?  หากตั้งแต่การเริ่มต้นจนถึงปลายทาง จะมีเพียงพระนามของพระยาห์เวห์เท่านั้น และไม่มีพระนามของพระเยซูจากยุคพระคุณ หรือหากในขณะนั้นพระองค์ยังคงได้รับการเรียกขานว่าพระยาห์เวห์ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงได้รับการละเว้นจากความทุกข์ของการแบ่งแยกนี้โดยมวลมนุษย์หรอกหรือ?  แน่นอนว่า ไม่สามารถติเตียนพระยาห์เวห์สำหรับทั้งหมดนี้ได้ หากต้องมีการติเตียน ก็ขอให้ติเตียนไปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งได้ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายพันปีโดยพระนามของพระยาห์เวห์ ของพระเยซู และแม้กระทั่งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยสร้างความมึนงงสับสนให้แก่มนุษย์จนถึงขั้นที่มนุษย์ไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าพระเจ้าคือพระองค์ใด  หากพระวิญญาณบริสุทธิ์พระองค์เองได้ทรงพระราชกิจโดยปราศจากรูปสัณฐานหรือพระฉายา และยิ่งไปกว่านั้น โดยปราศจากพระนามดังเช่นพระเยซู และมนุษย์ไม่สามารถทั้งสัมผัสหรือมองเห็นพระองค์ได้ มีเพียงการได้ยินเสียงทั้งหลายของฟ้าร้องเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจประเภทนี้จะไม่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์มากกว่าหรอกหรือ?  ดังนั้น ตอนนี้จะสามารถทำอะไรได้เล่า?  มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ได้สุมรวมกันจนสูงดังภูเขาและกว้างดังทะเล ถึงขนาดที่พระเจ้าในยุคปัจจุบันก็ไม่ทรงสามารถสู้ทนมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นได้อีกต่อไปและอับจนหนทางโดยสิ้นเชิง  ในอดีตเมื่อครั้งที่มีเพียงพระยาห์เวห์ พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ระหว่างพวกพระองค์เท่านั้น มนุษย์ก็อับจนหนทางที่จะรับมือได้อยู่แล้ว และบัดนี้มีการเพิ่มเข้ามาขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ซึ่งกล่าวกันไปอีกว่าทรงเป็นพระภาคหนึ่งของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าพระองค์คือใคร และเป็นพระบุคคลใดจากตรีเอกานุภาพที่พระองค์ได้ทรงผสมรวมอยู่ด้วยหรือซ่อนเร้นอยู่ภายในมาเป็นเวลากี่ปีแล้วก็ตาม?  มนุษย์สามารถแบกรับการนี้ได้หรือไม่?  พระเจ้าตรีเอกภาพแต่เพียงพระองค์เดียวก็มากพอที่จะทำให้มนุษย์ต้องใช้เวลาชั่วชีวิตเพื่ออธิบายแล้ว แต่บัดนี้มี “พระเจ้าหนึ่งเดียวในสี่พระองค์”  การนี้จะสามารถอธิบายได้อย่างไรหรือ?  เจ้าสามารถอธิบายการนี้ได้หรือไม่?  พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย!  อย่างไรพวกเจ้าจึงได้เชื่อในพระเจ้าเช่นนี้มาจนกระทั่งถึงวันนี้?  เราขอเปิดหมวกคำนับพวกเจ้าเลยจริงๆ  พระเจ้าตรีเอกภาพก็หนักพออยู่แล้ว พวกเจ้าสามารถมีความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนเช่นนั้นต่อไปได้อย่างไรในพระเจ้าหนึ่งเดียวในสี่พระองค์นี้?  พวกเจ้าได้รับการเร่งเร้าให้ออกไป แต่พวกเจ้าก็ยังปฏิเสธ  ช่างเหลือเชื่อนัก!  พวกเจ้าช่างน่าทึ่งจริงๆ!  บุคคลหนึ่งสามารถไปไกลถึงขนาดที่เชื่อในพระเจ้าสี่พระภาคได้อย่างเป็นจริงเป็นจังและก็ไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเจ้าไม่คิดว่านี่เป็นปาฏิหาริย์หรอกหรือ?  เมื่อมองดูพวกเจ้า ไม่มีใครจะรู้เลยนะว่าพวกเจ้าสามารถทำงานที่เป็นปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้!  เราขอบอกพวกเจ้าเลยว่า ในความจริงนั้น พระเจ้าตรีเอกภาพไม่มีอยู่จริงไม่ว่าที่ใดในจักรวาลนี้  พระเจ้าไม่ทรงมีพระบิดาและไม่ทรงมีพระบุตร และนับประสาอะไรที่จะมีมโนทัศน์ว่าพระบิดาและพระบุตรทรงร่วมกันใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเครื่องมือ  ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลวิบัติอันใหญ่หลวงที่สุดในโลกนี้และก็แค่ไม่มีอยู่จริงเอาเสียเลย!  แต่ทว่าแม้กระทั่งเหตุผลวิบัติเช่นนั้นก็มีจุดกำเนิดของมันและไม่ใช่ว่าปราศจากพื้นฐานโดยสิ้นเชิง เพราะจิตใจของพวกเจ้าไม่เรียบง่ายเพียงนั้น และความคิดของพวกเจ้าก็มิใช่ว่าปราศจากเหตุผล  ในทางตรงกันข้าม ทั้งความคิดและจิตใจของพวกเจ้านั้นพอเหมาะพอควรและชาญฉลาดมากทีเดียว มากจนถึงขั้นที่ไม่อาจมีสิ่งใดสามารถผ่านเข้าไปในพวกมันได้แม้แต่ซาตานตนใด  ความน่าเสียดายก็คือว่า ความคิดเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลวิบัติและแค่ไม่มีอยู่จริงเอาเสียเลย!  พวกเจ้าไม่ได้มองเห็นความจริงที่แท้จริงเลย พวกเจ้าเพียงกำลังทำการคาดเดาและจินตนาการเท่านั้น จากนั้นก็สร้างมันทั้งหมดขึ้นมาเป็นเรื่องราวหนึ่งเพื่อให้ได้รับความเชื่อใจของคนอื่นอย่างเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และเพื่อให้ได้รับอำนาจครอบงำเหนือบรรดาผู้คนที่โง่เขลาที่สุดเหล่านั้นซึ่งไม่มีเชาวน์ปัญญาและเหตุผล เพื่อที่พวกเขาจะเชื่อใน “คำสอนที่เชี่ยวชาญ” อันยิ่งใหญ่และเป็นที่เลื่องลือของพวกเจ้า  การนี้เป็นความจริงหรือไม่?  นี่คือหนทางแห่งชีวิตที่มนุษย์ควรได้รับหรือไม่?  ทั้งหมดนั้นช่างไร้สาระ!  ไม่มีคำพูดที่เหมาะสมเลยสักคำ!  ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ พระเจ้าได้ทรงถูกพวกเจ้าแบ่งให้แยกออกมาในลักษณะนี้ โดยถูกแบ่งแยกให้บางลงเรื่อยๆ ในแต่ละชั่วคน จนถึงขนาดที่พระเจ้าหนึ่งเดียวได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นพระเจ้าสามพระภาคอย่างเปิดเผย  และบัดนี้มันก็แค่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ที่จะรวมพระเจ้าให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง เพราะพวกเจ้าได้แบ่งพระองค์ออกอย่างละเอียดเกินไปแล้ว!  หากไม่ใช่เพราะงานแบบทันควันของเราก่อนที่มันจะสายเกินไป ก็คงพูดยากว่าพวกเจ้าจะยังคงดำเนินในหนทางนี้อย่างโจ่งแจ้งต่อไปอีกนานเพียงใด!  ในการแบ่งพระเจ้าให้แยกออกในลักษณะนี้ต่อไปนั้น พระองค์จะยังคงสามารถเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าได้อย่างไร?  พวกเจ้าจะยังคงจำพระเจ้าได้อยู่หรือ?  พวกเจ้าจะยังคงค้นหาจุดกำเนิดของพวกเจ้าอยู่หรือไม่?  หากเรามาถึงล่าช้ากว่านี้สักนิด ก็มีแววว่าพวกเจ้าคงจะได้ส่ง “พระบิดาและพระบุตร” คือพระยาห์เวห์และพระเยซู กลับไปยังอิสราเอล และอ้างไปแล้วว่าตัวพวกเจ้าเองก็เป็นพระภาคหนึ่งของพระเจ้า  โชคดีที่บัดนี้เป็นยุคสุดท้าย  ในที่สุดวันนี้ที่เรารอคอยมานานได้มาถึงแล้ว และมีเพียงหลังจากเราได้ดำเนินงานช่วงระยะนี้ด้วยมือของเราเองเท่านั้น การแบ่งพระเจ้าพระองค์เองของพวกเจ้าจึงจะได้ยุติลง  หากไม่ใช่เพราะการนี้ พวกเจ้าก็คงจะได้บานปลายออกไป กระทั่งวางซาตานทั้งหมดในหมู่พวกเจ้าไว้บนโต๊ะของพวกเจ้าเพื่อนมัสการไปแล้ว  นี่คือชั้นเชิงของพวกเจ้า!  นี่คือวิถีทางของพวกเจ้าในการแบ่งพระเจ้าให้แยกออก!  บัดนี้พวกเจ้าจะทำเช่นนี้ต่อไปหรือไม่?  เราขอถามพวกเจ้าว่า  มีพระเจ้ากี่องค์?  พระเจ้าองค์ใดที่จะนำความรอดมาให้พวกเจ้า?  ที่พวกเจ้าอธิษฐานอยู่เสมอนั้นคืออธิษฐานต่อพระเจ้าองค์ที่หนึ่ง องค์ที่สอง หรือองค์ที่สาม?  องค์ใดที่พวกเจ้าเชื่ออยู่เสมอ?  คือพระบิดาใช่หรือไม่?  หรือว่าพระบุตร?  หรือว่าคือพระวิญญาณ?  จงบอกเรามาว่าเจ้าเชื่อในองค์ใด  ถึงแม้ว่าด้วยทุกคำพูดเจ้าจะบอกว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่พวกเจ้าเชื่ออย่างแท้จริงนั้นก็คือสมองของพวกเจ้าเอง!  พวกเจ้าเพียงแค่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเจ้า!  และถึงกระนั้นในจิตใจของพวกเจ้าคือตรีเอกานุภาพเช่นนั้นจำนวนหนึ่ง!  พวกเจ้าไม่ยอมรับหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 297

หากพระราชกิจสามช่วงระยะเหล่านี้ถูกประเมินโดยสอดคล้องกับมโนทัศน์ของตรีเอกานุภาพ เช่นนั้นแล้ว ก็ต้องมีพระเจ้าสามพระภาคเนื่องจากพระราชกิจที่แต่ละพระองค์ทรงดำเนินการไม่เป็นแบบเดียวกัน  หากคนใดท่ามกลางพวกเจ้ากล่าวว่าตรีเอกานุภาพมีอยู่จริง เช่นนั้นแล้วก็จงอธิบายทีเถิดว่า แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าหนึ่งเดียวในสามพระบุคคลนี้คือสิ่งใดกันแน่  พระบิดาผู้บริสุทธิ์คือสิ่งใด?  พระบุตรคือสิ่งใด?  พระวิญญาณบริสุทธิ์คือสิ่งใด?  พระยาห์เวห์คือพระบิดาผู้บริสุทธิ์กระนั้นหรือ?  พระเยซูคือพระบุตรกระนั้นหรือ?  เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์คือสิ่งใดเล่า?  พระบิดาไม่ใช่พระวิญญาณหรอกหรือ?  แก่นแท้ของพระบุตรมิใช่พระวิญญาณด้วยหรอกหรือ?  พระราชกิจของพระเยซูมิใช่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ?  พระราชกิจของพระยาห์เวห์ ณ เวลาที่ดำเนินการโดยพระวิญญาณมิใช่แบบเดียวกันกับของพระเยซูหรอกหรือ?  พระเจ้าสามารถมีพระวิญญาณได้กี่ดวง?  ตามคำอธิบายของเจ้านั้น ทั้งสามพระองค์ที่มีพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์คือหนึ่งเดียว หากนี่เป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณก็มีสามดวงสินะ แต่การมีพระวิญญาณสามดวงย่อมหมายความว่าพระเจ้ามีสามพระองค์  การนี้หมายความว่าไม่มีพระเจ้าที่แท้จริงหนึ่งเดียวอยู่เลย พระเจ้าประเภทนี้จะยังคงทรงมีแก่นแท้ที่เป็นเนื้อในของพระเจ้าได้อย่างไร?  หากเจ้ายอมรับว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พระองค์จะสามารถเป็นบิดาและมีบุตรได้อย่างไร?  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นเพียงมโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้าหรอกหรือ?  มีพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น พระองค์เดียวเท่านั้นในพระเจ้าพระองค์นี้ และมีพระวิญญาณของพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น ดังที่มีการเขียนลงในพระคัมภีร์ว่า “มีพระวิญญาณบริสุทธิ์หนึ่งเดียวเท่านั้น และพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น”  ไม่ว่าพระบิดาและพระบุตรที่เจ้าพูดถึงนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมีเพียงพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้นและแก่นแท้ของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พวกเจ้าเชื่อนั้นคือแก่นแท้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ แต่พระองค์ทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์ได้ รวมถึงทรงอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง  พระวิญญาณของพระองค์ทรงครอบคลุมทั้งหมดและปรากฏพร้อมทุกแห่งหนแห่ง  พระองค์สามารถสถิตในเนื้อหนังและในจักรวาลและเหนือจักรวาลได้ในเวลาเดียวกัน  ในเมื่อผู้คนทั้งหมดกล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็มีพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแบ่งแยกพระองค์ได้ตามใจชอบ!  พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวเท่านั้น และพระองค์หนึ่งเดียวเท่านั้น และนั่นคือพระวิญญาณของพระเจ้า  หากการเป็นดังเช่นที่เจ้ากล่าว เช่นนั้นแล้ว พวกพระองค์ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าสามพระองค์หรอกหรือ?  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นสิ่งหนึ่ง พระบุตรเป็นอีกสิ่งหนึ่ง และพระบิดาก็ยังทรงเป็นอีกสิ่งหนึ่ง  องค์บุคคลทั้งหลายของพวกพระองค์แตกต่างกันและแก่นแท้ของพวกพระองค์ก็แตกต่างกัน เช่นนั้นแล้ว แต่ละพระองค์จะสามารถเป็นพระภาคของพระเจ้าพระองค์เดียวได้อย่างไร?  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระวิญญาณ นี่เข้าใจง่ายสำหรับมนุษย์  หากนี่เป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้ว พระบิดาก็ยิ่งต้องทรงเป็นพระวิญญาณ  พระองค์ไม่เคยได้เสด็จลงมายังแผ่นดินโลกและไม่เคยได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าในหัวใจของมนุษย์ และพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณด้วยอย่างแน่นอน  เช่นนั้นแล้ว สัมพันธภาพระหว่างพระองค์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นอย่างไรเล่า?  มันคือสัมพันธภาพระหว่างพระบิดากับพระบุตรใช่หรือไม่?  หรือมันคือสัมพันธภาพระหว่างพระวิญญาณบริสุทธิ์กับพระวิญญาณของพระบิดา?  แก่นแท้ของพระวิญญาณแต่ละดวงเหมือนกันหรือไม่?  หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นเครื่องมือหนึ่งของพระบิดา?  การนี้จะสามารถอธิบายได้อย่างไร?  และเช่นนั้นแล้ว สัมพันธภาพระหว่างพระบุตรกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นอย่างไร?  มันคือสัมพันธภาพระหว่างพระวิญญาณทั้งสองหรือสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระวิญญาณ?  เหล่านี้ทั้งหมดคือเรื่องที่ไม่สามารถมีคำอธิบายได้!  หากพวกพระองค์ล้วนเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียว เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถมีการพูดถึงสามพระองค์ได้ เพราะพวกพระองค์ทรงมีพระวิญญาณดวงเดียว  หากพวกพระองค์ทรงเป็นองค์บุคคลที่แตกต่างเด่นชัด เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณของพวกพระองค์ก็คงจะมีพระพละกำลังที่ผันแปร และพวกพระองค์ก็คงไม่อาจเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวดวงเดียวได้โดยสิ้นเชิง  มโนทัศน์เกี่ยวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้เหลวไหลไร้สาระที่สุด!  การนี้แบ่งพระเจ้าออกเป็นส่วนๆ และแยกพระองค์ออกเป็นสามพระองค์ แต่ละพระองค์มีหนึ่งสถานะและมีพระวิญญาณ เช่นนั้นแล้วพระองค์จะยังคงสามารถเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวและพระเจ้าหนึ่งเดียวได้อย่างไร?  จงบอกเราที ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งนั้นถูกสร้างโดยพระบิดา พระบุตร หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์กันแน่?  บางคนกล่าวว่าพวกพระองค์ได้ทรงสร้างมันทั้งหมดมาด้วยกัน  เช่นนั้นแล้ว พระองค์ใดเล่าที่ได้ทรงไถ่มวลมนุษย์?  เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบุตร หรือพระบิดากันแน่?  บางคนกล่าวว่าพระบุตรนั่นเองคือผู้ที่ได้ทรงไถ่มวลมนุษย์  เช่นนั้น ในแก่นแท้แล้ว พระบุตรคือผู้ใด?  พระองค์มิใช่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระวิญญาณของพระเจ้าหรอกหรือ?  การทรงปรากฏในรูปมนุษย์เรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดาจากมุมมองของมนุษย์ผู้ถูกสร้าง  เจ้าไม่ตระหนักหรือว่าพระเยซูประสูติโดยผ่านทางการปฏิสนธิของพระวิญญาณบริสุทธิ์?  ภายในพระองค์คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ว่าเจ้าจะกล่าวอย่างไรก็ตาม พระองค์ยังคงทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าในสวรรค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระวิญญาณของพระเจ้า  แนวคิดเกี่ยวกับพระบุตรนี้ไม่จริงเลย  พระวิญญาณหนึ่งเดียวนั่นเองที่เป็นผู้ซึ่งดำเนินการพระราชกิจทั้งหมด พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้น นั่นคือพระวิญญาณของพระเจ้าทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ใดคือพระวิญญาณของพระเจ้า?  มิใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ?  มิใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือที่ทรงพระราชกิจในพระเยซู?  หากพระราชกิจนั้นมิได้รับการดำเนินการโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (นั่นคือ พระวิญญาณของพระเจ้า) เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระองค์จะสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เองแล้วได้หรือ?  เมื่อพระเยซูทรงเรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดาในขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐาน การนี้ทำจากมุมมองของมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสวมใส่เนื้อหนังที่ปกติและธรรมดาสามัญ และทรงมีเครื่องห่อหุ้มภายนอกเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเท่านั้น  ถึงแม้ว่าภายในพระองค์จะทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า แต่การปรากฏภายนอกของพระองค์ยังคงเป็นการปรากฏของมนุษย์ปกติ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็น “บุตรมนุษย์” ที่มนุษย์ทั้งหมดได้กล่าวถึง รวมถึงพระเยซูพระองค์เองได้ตรัสถึง  เมื่อคำนึงถึงว่าพระองค์ได้รับการเรียกขานว่าบุตรมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นบุคคลหนึ่ง (ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง คนเราจะมีเปลือกนอกเป็นมนุษย์ในทุกกรณี) ที่ถือกำเนิดมาในครอบครัวปกติครอบครัวหนึ่งของผู้คนธรรมดา  เพราะฉะนั้น การที่พระเยซูทรงเรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดาก็เป็นแบบเดียวกับวิธีที่พวกเจ้าเรียกพระองค์ว่าพระบิดาในตอนแรก พระองค์ทรงทำเช่นนั้นจากมุมมองของมนุษย์ที่ถูกสร้าง  พวกเจ้ายังจำคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่พระเยซูได้ทรงสอนให้พวกเจ้าท่องจำได้หรือไม่?  “พระบิดาของพวกเราในสวรรค์…” พระองค์ได้ทรงขอให้มนุษย์ทุกคนเรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดา  และในเมื่อพระองค์ได้ทรงเรียกพระองค์ว่าพระบิดาเช่นกัน พระองค์ทรงทำเช่นนั้นจากมุมมองของคนผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ในฐานรากที่เท่าเทียมกับพวกเจ้าทั้งหมด  ในเมื่อพวกเจ้าได้เรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดา พระเยซูทรงมองพระองค์เองว่าอยู่บนรากฐานที่เท่าเทียมกับพวกเจ้า และในฐานะมนุษย์คนหนึ่งบนแผ่นดินโลกที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร (นั่นคือ พระบุตรของพระเจ้า)  หากพวกเจ้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา นี่ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งหรอกหรือ?  ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระเยซูบนแผ่นดินโลกจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก่อนหน้าการตรึงกางเขนนั้น พระองค์ทรงเป็นเพียงบุตรมนุษย์ ที่ถูกปกครองดูแลโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (นั่นคือ พระเจ้า) และเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายของแผ่นดินโลก เพราะพระองค์ยังมิได้ทรงทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์  เพราะฉะนั้น การที่พระองค์ทรงเรียกพระเจ้าในฟ้าสวรรค์ว่าพระบิดาจึงเป็นเพียงความถ่อมพระทัยและการเชื่อฟังของพระองค์เท่านั้น  อย่างไรก็ตามการที่พระองค์ตรัสกับพระเจ้า (นั่นคือ พระวิญญาณในสวรรค์) ในลักษณะเช่นนั้น ไม่เป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระวิญญาณของพระเจ้าในสวรรค์  ในทางตรงกันข้าม มันเป็นเพียงว่ามุมมองของพระองค์นั้นแตกต่างไป ไม่ใช่ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บุคคลที่แตกต่างกัน  การมีอยู่ขององค์บุคคลทั้งหลายที่แตกต่างกันชัดเจนนั้นเป็นการเข้าใจผิด!  ก่อนหน้าการตรึงกางเขนของพระองค์นั้น พระเยซูทรงเป็นบุตรมนุษย์ที่ถูกพันธนาการโดยข้อจำกัดต่างทั้งหลายของเนื้อหนัง และพระองค์มิได้ทรงมีสิทธิอำนาจของพระวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยม  นั่นคือเหตุผลที่พระองค์สามารถเพียงแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเท่านั้น  นั่นเป็นดังที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานสามครั้งในเกทเสมนีว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”  ก่อนที่พระองค์จะถูกขึงบนกางเขน พระองค์ทรงเป็นแต่เพียงองค์กษัตริย์ของชาวยิว พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ บุตรมนุษย์ และไม่ใช่พระวรกายที่มีพระสิริ  นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ได้ทรงเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาจากจุดยืนของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง  บัดนี้ เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่า ทุกคนที่เรียกพระเจ้าว่าพระบิดานั้นเป็นพระบุตร  หากการนี้เป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ พวกเจ้าจะไม่ได้กลายเป็นพระบุตรกันทั้งหมด ในทันทีที่พระเยซูได้ทรงสอนคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้แก่พวกเจ้าหรอกหรือ?  หากพวกเจ้ายังคงไม่เชื่อ เช่นนั้นแล้วจงบอกเรามา พระองค์ใดคือผู้ที่พวกเจ้าเรียกว่าพระบิดา?  หากเจ้ากำลังอ้างอิงถึงพระเยซู เช่นนั้นแล้ว สำหรับพวกเจ้าแล้ว พระองค์ใดเล่าคือพระบิดาของพระเยซู?  หลังจากที่พระเยซูเสด็จจากไปแล้ว แนวคิดเกี่ยวกับพระบิดาและพระบุตรนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว  แนวคิดนี้เหมาะสมเฉพาะกับช่วงเวลาหลายปีที่พระเยซูทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมอื่นๆ ทั้งหมดนั้น เมื่อเจ้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา สัมพันธภาพนั้นย่อมเป็นสัมพันธภาพระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  แนวคิดเรื่องตรีเอกานุภาพแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ฟังไม่ขึ้นไม่ว่าเมื่อใด เป็นเหตุผลวิบัติที่แทบไม่เคยพบเห็นในยุคทั้งหลาย และไม่มีอยู่จริง!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 298

นี่อาจทำให้ผู้คนส่วนใหญ่นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าจากหนังสือปฐมกาลความว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามอย่างของเรา” (ปฐมกาล 1:26)  เมื่อคำนึงถึงว่าพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา” เช่นนั้นแล้ว “เรา” บ่งบอกถึงสองขึ้นไปเนื่องจากพระองค์ได้ทรงระบุว่า “เรา” เช่นนั้นแล้วก็ไม่ใช่มีพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวในหนทางนี้มนุษย์ได้เริ่มคิดในความเป็นนามธรรมขององค์ที่แตกต่างกันชัดเจนและจากพระวจนะเหล่านี้ก็ได้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นมา เช่นนั้นแล้วพระบิดาทรงเป็นเหมือนสิ่งใดหรือ?  พระบุตรทรงเป็นเหมือนสิ่งใดหรือ?  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นเหมือนสิ่งใดหรือ?  มันอาจสามารถเป็นไปได้หรือไม่ที่มวลมนุษย์ของวันนี้จะถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาขององค์หนึ่งเดียวที่เกิดจากการรวมกันของสามองค์?  เช่นนั้นแล้วฉายาของมนุษย์จะเป็นเหมือนพระฉายาของพระบิดา พระบุตร หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์กันเล่า?  มนุษย์ถูกสร้างตามพระฉายาของพระองค์ใดของพระเจ้ากันเล่า?  แนวคิดนี้ของมนุษย์ก็แค่ไม่ถูกต้องและไร้สาระสิ้นดี!  มันทำได้เพียงแค่แบ่งพระเจ้าหนึ่งเดียวออกเป็นพระเจ้าหลายพระองค์เท่านั้น  ณ เวลาที่โมเสสได้เขียนหนังสือปฐมกาล เป็นเวลาหลังจากที่มวลมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นภายหลังการทรงสร้างโลก  ในแรกเริ่มนั้นเมื่อโลกได้เริ่มต้นขึ้น โมเสสไม่ได้ดำรงอยู่  และโมเสสได้เขียนพระคัมภีร์ขึ้นก็เมื่อหลังจากนั้นนานมากแล้ว ดังนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่เขาอาจสามารถรู้ว่าพระเจ้าในสวรรค์ได้ตรัสสิ่งใด?  เขาไม่ได้ระแคะระคายเลย ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้  ในพันธสัญญาเดิมของพระคัมภีร์ ไม่มีการกล่าวถึงพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีก็เพียงการกล่าวถึงพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวเท่านั้น คือพระยาห์เวห์ที่ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในอิสราเอล  พระองค์ได้รับการเรียกขานโดยพระนามที่แตกต่างกันไปตามการเปลี่ยนแปลงของยุค แต่นี่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า แต่ละพระนามอ้างอิงถึงองค์ที่แตกต่างกัน  หากการนี้เป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้ว จะไม่มีองค์ทั้งหลายแบบนับไม่ถ้วนอยู่ในพระเจ้าหรอกหรือ?  สิ่งที่เขียนไว้ในพันธสัญญาเดิมก็คือ พระราชกิจของพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นพระราชกิจช่วงระยะของพระเจ้าพระองค์เองสำหรับการเริ่มต้นในยุคธรรมบัญญัติ  นั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งอยู่ ณ แห่งหนตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ และได้ยืนหยัดตามที่พระองค์ได้ทรงบัญชา  ไม่มีสักครั้งที่พระยาห์เวห์ตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาที่เสด็จมาเพื่อดำเนินพระราชกิจ และพระองค์ก็ไม่เคยเผยพระวจนะถึงการที่พระบุตรเสด็จมาเพื่อไถ่มวลมนุษย์  เมื่อมาถึงกาลสมัยของพระเยซู ก็ถูกกล่าวไว้เพียงว่าพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้น มิใช่กล่าวว่าเป็นพระบุตรผู้ซึ่งได้เสด็จมา  เพราะยุคทั้งหลายนั้นไม่เหมือนกันและพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงกระทำนั้นก็แตกต่างกันไปด้วย พระองค์จึงทรงจำเป็นต้องดำเนินพระราชกิจของพระองค์ภายในอาณาจักรที่แตกต่างกัน  ในหนทางนี้ อัตลักษณ์ที่พระองค์ทรงเป็นตัวแทนก็แตกต่างกันด้วยเช่นกัน  มนุษย์เชื่อว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระบิดาของพระเยซู แต่การนี้มิได้เป็นที่ยอมรับโดยแท้จริงจากพระเยซูผู้ซึ่งได้ตรัสว่า “พวกเราไม่เคยถูกแยกความต่างออกเป็นพระบิดาและพระบุตร เราและพระบิดาในสวรรค์เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระบิดาทรงอยู่ในเราและเราอยู่ในพระบิดา ยามที่มนุษย์มองเห็นพระบุตร พวกเขากำลังมองเห็นพระบิดาแห่งสวรรค์”  เมื่อมีการกล่าวถึงทั้งหมดนั้นไม่ว่าจะเป็นพระบิดาหรือพระบุตรพวกพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวมิได้ถูกแบ่งออกเป็นองค์ทั้งหลายที่แยกจากกัน  ครั้นมนุษย์พยายามที่จะอธิบาย เรื่องทั้งหลายก็สลับซับซ้อนไปด้วยแนวคิดเกี่ยวกับองค์ทั้งหลายที่ต่างกันเด่นชัด รวมถึงสัมพันธภาพระหว่างพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ  เมื่อมนุษย์กล่าวถึงองค์ทั้งหลายที่แยกจากกัน นี่มิใช่การทำให้พระเจ้าทรงมีรูปทรงขึ้นมาหรอกหรือ?  มนุษย์ถึงขั้นจัดอันดับองค์ทั้งหลายให้เป็นองค์ที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม  ทั้งหมดเหล่านี้เป็นแต่เพียงการจินตนาการของมนุษย์เท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การอ้างอิงและไม่อยู่กับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง!  หากเจ้าถามเขาว่า “พระเจ้ามีกี่องค์?”  เขาก็คงจะกล่าวว่า พระเจ้าคือตรีเอกานุภาพแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  นั่นคือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว  หากเจ้าถามต่อไปว่า “พระบิดาคือใคร?”  เขาก็คงจะกล่าวว่า “พระบิดาคือพระวิญญาณของพระเจ้าในสวรรค์ พระองค์ทรงควบคุมทุกสิ่ง และทรงเป็นองค์เจ้านายแห่งสวรรค์”  “เช่นนั้นแล้วพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระวิญญาณกระนั้นหรือ?”  เขาก็คงจะกล่าวว่า “ใช่!”  หากเจ้าถามเขาต่อจากนั้นว่า “พระองค์ใดคือพระบุตร?”  เขาก็คงจะกล่าวว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรอย่างแน่นอน “เช่นนั้นแล้วเรื่องราวของพระเยซูคืออะไร?  พระองค์เสด็จมาจากที่ไหน?”  เขาก็คงจะกล่าวว่า “พระเยซูประสูติจากนางมารีย์โดยผ่านทางการปฏิสนธิของพระวิญญาณบริสุทธิ์”  เช่นนั้นแล้วแก่นแท้ของพระองค์มิใช่พระวิญญาณด้วยหรอกหรือ?  พระราชกิจของพระองค์มิใช่ตัวแทนของพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกันหรอกหรือ?  พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระวิญญาณและแก่นแท้ของพระเยซูก็เป็นดังนั้นด้วยเช่นกัน  บัดนี้ในยุคสุดท้าย มีจำเป็นน้อยลงที่จะต้องกล่าวว่า นั่นยังคงเป็นพระวิญญาณ พวกพระองค์จะสามารถเป็นองค์ทั้งหลายที่แตกต่างกันได้อย่างไร?  มันมิใช่แค่เพียงพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงดำเนินพระราชกิจของพระวิญญาณจากมุมมองที่แตกต่างกันไปเท่านั้นหรอกหรือ?  เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีความแตกต่างระหว่างองค์ทั้งหลาย  พระเยซูได้รับการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระราชกิจของพระองค์คือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอน  ในช่วงระยะแรกของพระราชกิจที่ดำเนินการโดยพระยาห์เวห์นั้น พระองค์มิได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ อีกทั้งมิได้ทรงปรากฏต่อมนุษย์  ดังนั้นมนุษย์จึงไม่เคยมองเห็นการทรงปรากฏของพระองค์  ไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงยิ่งใหญ่เพียงใดและสูงเพียงใดพระองค์ยังคงทรงเป็นพระวิญญาณพระเจ้าพระองค์เองที่ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นในปฐมกาล  นั่นคือพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า  พระองค์ได้ตรัสกับมนุษย์จากท่ามกลางหมู่เมฆ ทรงเป็นเพียงพระวิญญาณและไม่มีผู้ใดได้เป็นพยานการทรงปรากฏของพระองค์  มีเพียงในยุคพระคุณเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และได้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในแคว้นยูเดียเท่านั้น มนุษย์จึงได้มองเห็นพระฉายาแห่งการปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งแรกในฐานะชาวยิวคนหนึ่ง  ไม่มีสิ่งใดจากพระยาห์เวห์มาเกี่ยวกับพระองค์เลย  อย่างไรก็ตามพระองค์ได้รับการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นคือได้รับการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณของพระยาห์เวห์พระองค์เอง และพระเยซูยังคงได้ประสูติมาเป็นรูปจำแลงของพระวิญญาณของพระเจ้า  สิ่งที่มนุษย์ได้มองเห็นครั้งแรกคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เสด็จลงมายังพระเยซูเสมือนนกพิราบ นั่นมิใช่พระวิญญาณของพระเยซูแต่เพียงพระองค์เดียว แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่างหาก  เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณของพระเยซูสามารถแยกออกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กระนั้นหรือ?  หากพระเยซูทรงเป็นพระเยซู พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นนั้นแล้วพวกพระองค์จะสามารถเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร?  พระราชกิจคงมิอาจได้รับการดำเนินการได้หากเป็นเช่นดังนั้น  พระวิญญาณภายในพระเยซู พระวิญญาณในสวรรค์และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ล้วนเป็นหนึ่งเดียว  พระวิญญาณนั้นเรียกกันว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณของพระเจ้า พระวิญญาณซึ่งมีความแก่กล้าเป็นเจ็ดเท่า และพระวิญญาณผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด  พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถดำเนินพระราชกิจได้มากมาย  พระองค์สามารถสร้างโลกและทำลายมันโดยการให้น้ำท่วมแผ่นดินโลก พระองค์สามารถไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงและยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงสามารถพิชิตและทำลายมวลมนุษย์ทั้งปวงได้  พระราชกิจนี้ล้วนได้รับการดำเนินการโดยพระเจ้าพระองค์เองและไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้โดยสภาวะความเป็นบุคคลอื่นใดของพระเจ้า  พระวิญญาณของพระองค์สามารถได้รับการเรียกขานโดยพระนามของพระยาห์เวห์และพระเยซู รวมถึงองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์  พระองค์สามารถกลายเป็นบุตรมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน  พระองค์สถิตในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลกด้วยเช่นกัน  พระองค์สถิตอยู่สูงเหนือจักรวาลทั้งหลายและท่ามกลางฝูงชน  พระองค์ทรงเป็นองค์เจ้านายองค์เดียวแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก!  นับตั้งแต่กาลสมัยแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งถึงบัดนี้ พระราชกิจนี้ได้รับการดำเนินการโดยพระวิญญาณของพระเจ้าพระองค์เอง  ไม่ว่าจะเป็นพระราชกิจในฟ้าสวรรค์หรือในเนื้อหนัง ทั้งหมดล้วนดำเนินการโดยพระวิญญาณของพระองค์เอง  สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง ไม่ว่าในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก ล้วนอยู่ในฝ่าพระหัตถ์อันทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ ทั้งหมดนี้คือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองและไม่มีผู้ใดสามารถดำเนินการแทนพระองค์ได้  ในฟ้าสวรรค์นั้น พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณ แต่ก็ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองด้วยเช่นกัน  ท่ามกลางพวกมนุษย์นั้น พระองค์ทรงเป็นเนื้อหนัง แต่ก็ยังคงทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองอยู่  ถึงแม้ว่าพระองค์อาจได้รับการเรียกขานโดยหลายแสนพระนาม แต่พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นพระองค์เอง เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระวิญญาณของพระองค์  การไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงโดยผ่านทางการตรึงกางเขนของพระองค์นั้น เป็นพระราชกิจโดยตรงของพระวิญญาณของพระองค์ และดังนั้นจึงเป็นการกล่าวประกาศต่อชนชาติทั้งมวลและแผ่นดินทั้งมวลในยุคสุดท้ายด้วยเช่นกัน  ตลอดเวลานั้นพระเจ้าสามารถได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด  องค์ทั้งหลายที่แตกต่างกันนั้นไม่มีอยู่จริง และแนวคิดเรื่องพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ก็ยิ่งไม่มีอยู่จริง  ในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก มีพระเจ้าอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 299

แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ากินระยะเวลานานหกพันปีและถูกแบ่งออกเป็นสามยุคตามความแตกต่างในพระราชกิจของพระองค์ กล่าวคือ ยุคแรกคือยุคธรรมบัญญัติแห่งพันธสัญญาเดิม ยุคที่สองคือยุคพระคุณ และยุคที่สามคือยุคสุดท้าย—ยุคแห่งราชอาณาจักร  ในแต่ละยุคนั้นเป็นตัวแทนของพระอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน  นี่ก็เป็นเพราะความแตกต่างในพระราชกิจเท่านั้น  นั่นก็คือ ข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระราชกิจช่วงระยะแรกของพระราชกิจในระหว่างยุคธรรมบัญญัตินั้นได้รับการดำเนินการในอิสราเอล และช่วงระยะที่สองซึ่งเป็นการสรุปปิดตัวพระราชกิจแห่งการไถ่นั้นได้รับการดำเนินการในแคว้นยูเดีย  สำหรับพระราชกิจแห่งการไถ่นั้น พระเยซูได้ประสูติผ่านทางการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทรงเป็นพระบุตรพระองค์เดียว  ทั้งหมดนั้นก็เนื่องมาจากข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระราชกิจนี้  ในยุคสุดท้ายนั้น พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะขยายพระราชกิจของพระองค์เข้าไปในชนต่างชาติทั้งหลายและพิชิตผู้คนที่นั่น เพื่อที่พระนามของพระองค์อาจยิ่งใหญ่ในหมู่พวกเขา  พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทรงนำมนุษย์ในการทำความเข้าใจและการเข้าสู่ความจริงทั้งปวง  พระราชกิจทั้งหมดนี้ดำเนินการโดยพระวิญญาณหนึ่งเดียว  ถึงแม้ว่าพระองค์อาจทรงทำเช่นนั้นจากจุดยืนที่แตกต่างกัน แต่ธรรมชาติและหลักธรรมของพระราชกิจก็ยังคงเป็นอย่างเดียวกันอยู่  ทันทีที่เจ้าเฝ้าสังเกตหลักธรรมทั้งหลายและธรรมชาติของพระราชกิจที่ทุกพระองค์ได้ทรงดำเนินการ เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าทั้งหมดนั้นดำเนินการโดยพระวิญญาณหนึ่งเดียว  ถึงกระนั้นบางคนอาจยังคงกล่าวอยู่ดีว่า “พระบิดาทรงเป็นพระบิดา พระบุตรทรงเป็นพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ และในที่สุด พวกพระองค์จะทรงประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเดียว”  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำให้พวกพระองค์เป็นหนึ่งเดียวอย่างไร?  พระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสามารถประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร?  หากโดยแก่นแท้ภายในแล้วพวกพระองค์ทรงเป็นสอง เช่นนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกพระองค์จะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างไร พวกพระองค์จะไม่ทรงยังคงเป็นสองพระภาคอยู่หรอกหรือ?  เมื่อเจ้าพูดถึงการทำให้พวกพระองค์เป็นหนึ่ง นั่นมิใช่เป็นเพียงการเชื่อมต่อสองพระภาคที่แยกกันอยู่เพื่อทำให้เป็นองค์รวมหนึ่งเดียวหรอกหรือ?  แต่พวกพระองค์ทรงเป็นสองพระภาคก่อนที่จะถูกทำให้รวมเป็นหนึ่งมิใช่หรือ?  แต่ละวิญญาณทรงมีแก่นแท้ที่แตกต่างเด่นชัด และสองวิญญาณไม่สามารถประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเดียวได้  วิญญาณมิใช่วัตถุที่เป็นรูปธรรม และไม่เป็นเหมือนสิ่งอื่นใดในโลกทางวัตถุ  ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น พระบิดาทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่ง พระบุตรอีกหนึ่ง และยังเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณทั้งสามก็ผสมกันเหมือนกับน้ำสามแก้วมารวมอยู่ในแก้วเดียว  เช่นนั้นแล้ว นั่นมิใช่สามรวมเป็นเป็นหนึ่งหรอกหรือ?  นี่เป็นคำอธิบายที่ผิดพลาดและไร้เหตุผลล้วนๆ!  นี่มิใช่การแยกพระเจ้าออกจากกันหรอกหรือ?  พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งหมดนั้นจะทรงประกอบขึ้นเป็นหนึ่งได้อย่างไร?  ก็พวกพระองค์ทรงเป็นสามพระภาคที่แต่ละพระภาคทรงมีธรรมชาติที่แตกต่างกันมิใช่หรือ?  มีผู้อื่นที่กล่าวว่า “พระเจ้าได้ทรงกล่าวระบุไว้อย่างเปิดเผยว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์มิใช่หรือ?”  พระเยซูทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานยิ่ง—การนี้ได้ถูกตรัสไว้โดยพระเจ้าพระองค์เองอย่างแน่นอน  นั่นคือการที่พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อพระองค์เอง เพียงแต่ว่าจากมุมมองที่แตกต่างกัน นั่นเป็นมุมมองของพระวิญญาณในสวรรค์ที่ทรงเป็นพยานต่อการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์เอง  พระเยซูทรงเป็นการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์ มิใช่พระบุตรของพระองค์ในสวรรค์  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  พระวจนะของพระเยซูที่ว่า “เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา” บ่งบอกว่าพวกพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวมิใช่หรือ?  และนั่นมิใช่เป็นเพราะการปรากฏในรูปมนุษย์หรอกหรือที่พวกพระองค์ได้ถูกแยกห่างระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลก?  ในความเป็นจริงแล้ว พวกพระองค์ยังคงทรงเป็นหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงการที่พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อพระองค์เอง  เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของยุคทั้งหลาย ข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระราชกิจ และช่วงระยะที่แตกต่างกันของแผนการบริหารจัดการของพระองค์ พระนามที่มนุษย์ใช้เรียกพระองค์จึงแตกต่างกันไปด้วย  เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมาดำเนินพระราชกิจช่วงระยะแรกนั้น พระองค์สามารถได้รับการเรียกขานว่าพระยาห์เวห์ ผู้ที่ทรงเป็นผู้เลี้ยงของชาวอิสราเอลเท่านั้น  ในช่วงระยะที่สอง พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์สามารถได้รับการเรียกขานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์เท่านั้น  แต่ ณ เวลานั้น พระวิญญาณในสวรรค์ทรงตรัสระบุแต่เพียงว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้าเท่านั้น และมิได้ทรงกล่าวถึงการที่พระองค์ทรงเป็นพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระผู้เป็นเจ้าแต่อย่างใด  การนี้แค่ไม่เคยเกิดขึ้น  พระเจ้าจะทรงมีบุตรเพียงพระองค์เดียวได้อย่างไร?  เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะมิได้ทรงกลายมาเป็นมนุษย์แล้วหรอกหรือ?  เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นการปรากฏในรูปมนุษย์ พระองค์ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระบุตรผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า และจากการนี้เองจึงเป็นที่มาของสัมพันธภาพระหว่างพระบิดาและพระบุตร  นั่นก็เป็นเพียงเพราะการแยกห่างกันระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลก  พระเยซูได้ทรงอธิษฐานจากมุมมองของมนุษย์  ในเมื่อพระองค์ได้ทรงสวมใส่เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติเช่นนั้น พระองค์จึงได้ตรัสจากมุมมองของเนื้อหนังว่า “เปลือกนอกของเราเป็นเปลือกนอกของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง เนื่องจากเราได้สวมเนื้อหนังในการมายังแผ่นดินโลกนี้ บัดนี้เราอยู่ห่างไกลแสนไกลจากฟ้าสวรรค์”  ด้วยเหตุผลนี้เอง พระองค์จึงสามารถเพียงแค่อธิษฐานต่อพระเจ้าพระบิดาจากมุมมองของมนุษย์เท่านั้น  นี่คือหน้าที่ของพระองค์ และนั่นคือหน้าที่ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งทรงมาปรากฏในรูปมนุษย์ควรประดับมากับพระองค์  มิอาจกล่าวได้ ว่าพระองค์มิได้ทรงเป็นพระเจ้าเพียงเพราะพระองค์ได้ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาจากมุมมองของมนุษย์  ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงได้รับการเรียกขานว่าพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า แต่พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองอยู่ เพราะพระองค์ทรงเป็นแต่เพียงการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระวิญญาณ และแก่นแท้ของพระองค์ยังคงทรงเป็นพระวิญญาณอยู่  ผู้คนฉงนฉงายว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงอธิษฐาน หากพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  การนี้เป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระเจ้าซึ่งดำรงพระชนม์ชีพภายในเนื้อหนัง และมิใช่พระวิญญาณในสวรรค์  ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ล้วนทรงเป็นพระเจ้า  มีเพียงการที่ทั้งสามภาคนี้ประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเท่านั้นจึงจะสามารถถือว่าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวได้ และในหนทางนี้ ฤทธานุภาพของพระองค์จึงยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ  มีบรรดาผู้ซึ่งกล่าวว่า ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณที่แก่กล้าเป็นเจ็ดเท่า  เมื่อพระบุตรได้ทรงอธิษฐานหลังจากการเสด็จมาถึงของพระองค์นั้น พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระวิญญาณนั้นนั่นเอง  ในความเป็นจริง พระองค์กำลังทรงอธิษฐานจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง  เนื่องจากเนื้อหนังไม่ใช่องค์รวม พระองค์จึงมิได้ทรงเป็นองค์รวม และทรงมีจุดอ่อนมากมายเมื่อครั้งที่พระองค์ได้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงประสบความเดือดร้อนมากมายขณะที่พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนัง  นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าพระบิดาสามครั้งก่อนการตรึงกางเขนของพระองค์ รวมถึงหลายครั้งก่อนหน้านั้นอีกด้วย  พระองค์ได้ทรงอธิษฐานท่ามกลางบรรดาสาวกของพระองค์ พระองค์ได้ทรงอธิษฐานตามลำพังบนภูเขา พระองค์ได้ทรงอธิษฐานขณะอยู่บนเรือประมง พระองค์ได้ทรงอธิษฐานท่ามกลางมวลชนมากมาย พระองค์ได้ทรงอธิษฐานขณะกำลังทรงหักขนมปัง และพระองค์ได้ทรงอธิษฐานขณะกำลังทรงอวยพรแก่ผู้อื่น  เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงทำเช่นนั้น?  พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระวิญญาณนั่นเอง พระองค์กำลังทรงอธิษฐานต่อพระวิญญาณ ต่อพระเจ้าในสวรรค์ จากมุมมองของมนุษย์  เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงได้ทรงกลายเป็นพระบุตรในพระราชกิจช่วงระยะนั้นจากจุดยืนของมนุษย์  อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะนี้ พระองค์ก็มิได้ทรงอธิษฐาน  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า?  การนี้เป็นเพราะสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้เกิดผลก็คือพระราชกิจแห่งพระวจนะ และการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะ พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต่อคำอธิษฐาน และพันธกิจของพระองค์คือการตรัส  พระองค์ไม่ทรงถูกนำขึ้นไปบนกางเขน และพระองค์ไม่ทรงถูกมนุษย์ทำให้หันกลับไปหาบรรดาผู้ที่อยู่ในอำนาจ พระองค์เพียงทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์  ในเวลาที่พระเยซูได้ทรงอธิษฐานนั้น พระองค์ได้กำลังทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าพระบิดาเพื่อการเคลื่อนลงสถิตของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพื่อให้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระบิดา และเพื่อให้พระราชกิจนั้นมาถึง  ในช่วงระยะนี้ ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้เคลื่อนลงสถิตแล้ว ดังนั้น พระองค์ยังคงทรงจำเป็นต้องอธิษฐานอยู่หรือ?  พระราชกิจของพระองค์คือการนำพายุคนี้ไปสู่ปลายทาง และจะไม่มียุคใหม่อันใดอีกแล้ว ดังนั้น มีความจำเป็นหรือที่จะต้องอธิษฐานเพื่อช่วงระยะต่อไป?  เราเกรงว่าจะไม่มี!

มีความย้อนแย้งอยู่มากมายในคำอธิบายของมนุษย์  แท้จริงแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้คือมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ หากไม่มีการพินิจพิเคราะห์เพิ่มเติม พวกเจ้าทั้งหมดก็คงจะเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นถูกต้อง  เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าแนวคิดเอย่างเช่นพระเจ้าตรีเอกานุภาพนี้เป็นแต่เพียงมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์?  ไม่มีความรู้ใดของมนุษย์ที่ครบและถี่ถ้วน  มีความไม่ผุดผ่องอยู่เสมอ และมนุษย์ก็มีแนวคิดมากมายเกินไปด้วยเช่นกัน นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งก็แค่ไม่สามารถอธิบายพระราชกิจของพระเจ้าได้  มีหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไปในจิตใจของมนุษย์ ทั้งหมดล้วนมาจากตรรกะและความคิดที่ขัดแย้งกับความจริง  ตรรกะของเจ้าสามารถชำแหละพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างถ้วนทั่ว หรือไม่?  เจ้าสามารถได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในพระราชกิจทั้งหมดของพระยาห์เวห์หรือไม่?  เจ้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งคือผู้ที่สามารถมองทะลุมันทั้งหมดนั้นได้ หรือว่าพระเจ้าพระองค์เองที่สามารถมองเห็นตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาลกันเล่า?  เจ้านั่นหรือคือผู้ที่สามารถมองเห็นตั้งแต่นิรันดร์กาลนานมาแล้วถึงนิรันดร์กาลที่จะมา หรือว่า เป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงสามารถทำเช่นนั้นได้?  เจ้าจะว่าอย่างไรหรือ?  เจ้าคู่ควรเพียงใดที่จะอธิบายเกี่ยวกับพระเจ้า?  คำอธิบายของเจ้าอยู่บนพื้นฐานของสิ่งใด?  เจ้าคือพระเจ้ากระนั้นหรือ?  ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าพระองค์เอง  เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ได้ทำการนี้ ดังนั้น เหตุใดเจ้าจึงกำลังให้คำอธิบายทั้งหลายที่ไม่ถูกต้องเล่า?  บัดนี้ เจ้ายังเชื่อในพระเจ้าตรีเอกภาพต่อไปกระนั้นหรือ?  เจ้าไม่คิดว่าหนทางนี้เป็นภาระหนักเกินไปหรอกหรือ?  มันจะเป็นการดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว ไม่ใช่สาม  การมีน้ำหนักเบานั้นเป็นการดีที่สุด เพราะพระภาระขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเบา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?

ก่อนหน้า:  ความล้ำลึกเกี่ยวกับพระคัมภีร์

ถัดไป:  การเปิดโปงความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger