การเปิดโปงความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 336

เจ้าพูดว่าเจ้ายอมรับพระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์ และว่าเจ้ายอมรับการทรงปรากฏเป็นมนุษย์ของพระวจนะ แต่เจ้ายังทำบางสิ่งบางอย่างลับหลังพระองค์ สิ่งที่ขัดต่อสิ่งที่พระองค์ทรงขอ และเจ้าไม่มีความยำเกรงพระองค์ในหัวใจของเจ้า  นี่คือการยอมรับพระเจ้าหรือ?  เจ้ายอมรับสิ่งที่พระองค์ตรัส แต่เจ้าไม่ปฏิบัติสิ่งที่เจ้ามีความสามารถทำได้ อีกทั้งยังไม่ปฏิบัติตามพระมรรคาของพระองค์  นี่คือการยอมรับพระเจ้าหรือ?  และแม้ว่าเจ้าจะยอมรับพระองค์ กรอบความคิดของเจ้าเป็นเพียงกรอบความคิดที่มีความระแวดระวังต่อพระองค์เท่านั้นและไม่มีความเคารพใดเลย  หากเจ้าเคยเห็นและยอมรับพระราชกิจของพระองค์และรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่เจ้ายังคงเฉื่อยชาและไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เป็นบุคคลจำพวกที่ยังคงไม่ถูกพิชิต  บรรดาผู้ที่ถูกพิชิตต้องทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ และแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถที่จะเข้าสู่ความจริงที่สูงขึ้นและความจริงเหล่านี้อาจอยู่เหนือพวกเขา แต่ผู้คนเหล่านั้นมีความเต็มใจในหัวใจที่จะบรรลุสิ่งนี้  สิ่งที่พวกเขามีความสามารถที่จะปฏิบัติได้มีเขตแดนและข้อจำกัดเพราะว่ามีข้อจำกัดในสิ่งที่พวกเขาสามารถยอมรับได้  อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ และหากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลในสิ่งนั้นแล้ว นี่ก็คือผลที่ได้สัมฤทธิ์เนื่องจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  สมมุติเจ้าพูดว่า “เพราะพระเจ้าสามารถตรัสพระวจนะมากมายที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ หากพระองค์ไม่ทรงใช่พระเจ้าแล้ว ใครเล่าจะเป็นพระเจ้า?” การคิดเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าเจ้ายอมรับพระเจ้า  หากเจ้ายอมรับพระเจ้า เจ้าต้องแสดงให้เห็นผ่านการกระทำจริงๆ ของเจ้า  หากเจ้าเป็นผู้นำคริสตจักร แต่เจ้าไม่ปฏิบัติตามความชอบธรรม หากเจ้ากระหายเงินและความมั่งมี และยักยอกเงินทุนของคริสตจักรเข้ากระเป๋าของเจ้าเอง นี่คือการยอมรับว่ามีพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพระองค์ทรงคู่ควรแก่ความเคารพ  เจ้าจะไม่มีความกลัวได้อย่างไรหากเจ้ายอมรับอย่างแท้จริงว่ามีพระเจ้า?  หากเจ้าสามารถกระทำสิ่งที่เลวทรามเช่นนั้นได้ เจ้ายอมรับพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  พระเจ้าทรงเป็นสิ่งที่เจ้าเชื่อหรือ?  สิ่งที่เจ้าเชื่อคือพระเจ้าที่คลุมเครือ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าจึงไม่มีความกลัว!  บรรดาผู้ที่ยอมรับและรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงทั้งหมดต่างยำเกรงพระองค์ และกลัวที่จะทำสิ่งใดก็ตามที่ต่อต้านพระองค์หรือสิ่งที่ขัดต่อมโนธรรมของพวกเขา  พวกเขารู้สึกกลัวอย่างยิ่งที่จะทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขารู้ว่าขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า  สิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้า  เจ้าควรทำสิ่งใดเมื่อบิดามารดาของเจ้าพยายามที่จะหยุดไม่ให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า?  เจ้าควรรักพระเจ้าอย่างไรเมื่อสามีผู้ไม่เชื่อของเจ้าทำดีต่อเจ้า?  และเจ้าควรรักพระเจ้าอย่างไรเมื่อพี่น้องชายหญิงเกลียดเจ้า?  หากเจ้ายอมรับพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะปฏิบัติอย่างเหมาะสมและใช้ชีวิตตามความเป็นจริงในเรื่องเหล่านี้  หากเจ้าล้มเหลวที่จะลงมือกระทำสิ่งที่จับต้องได้ แต่พูดเพียงว่าเจ้ายอมรับในการดำรงอยู่ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นเพียงคนที่ดีแต่พูด!  เจ้าพูดว่าเจ้าเชื่อในพระองค์ และยอมรับพระองค์ แต่เจ้ายอมรับพระองค์ในลักษณะเช่นใด?  เจ้าเชื่อพระองค์ในลักษณะเช่นใด?  เจ้ายำเกรงพระองค์หรือไม่?  เจ้าเคารพพระองค์หรือไม่?  เจ้ารักพระองค์ลึกซึ้งลงไปข้างในหรือไม่?  เมื่อเจ้าเศร้าหมองและไม่มีใครให้พึ่งพิง เจ้ามีสำนึกรับรู้ถึงความน่าชื่นชมของพระเจ้า แต่หลังจากนั้นเจ้าก็ลืมทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องนั้น  นี่ไม่ใช่การรักพระเจ้า อีกทั้งไม่ใช่การเชื่อในพระเจ้า!  ในท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าทรงปรารถนาให้มนุษย์สัมฤทธิ์ผลในสิ่งใด?  ทุกสภาวะทั้งหมดที่เราได้กล่าว เช่น การรู้สึกประทับใจในความสำคัญของตัวเจ้าเองเป็นอย่างมาก การรู้สึกว่าเจ้าเรียนรู้และเข้าใจสิ่งใดๆ ได้รวดเร็ว การควบคุมผู้อื่น การดูถูกผู้อื่น และการตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ของพวกเขา การรังแกผู้คนที่ไร้เล่ห์มารยา การอยากได้เงินของคริสตจักร และอื่นๆ อีกมากมาย—การพิชิตชัยของเจ้าจะได้รับการทำให้สำแดงขึ้นก็ต่อเมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานทั้งหมดเหล่านี้ถูกลบออกจากเจ้าไปบางส่วนแล้วเท่านั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (4)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 337

เราได้ทำงานและพูดในหนทางนี้ท่ามกลางพวกเจ้า เราได้สละกำลังและความพยายามไปมากมายยิ่ง กระนั้นเมื่อใดเล่าที่พวกเจ้าได้ฟังสิ่งที่เราบอกพวกเจ้าอย่างชัดเจน?  ที่ใดเล่าที่พวกเจ้าได้กราบไหว้เรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?  เหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิบัติต่อเราเยี่ยงนี้?  เหตุใดทุกสิ่งที่พวกเจ้าพูดและทำจึงยั่วยุความโกรธของเรา?  เหตุใดหัวใจของพวกเจ้าจึงกระด้างนัก?  เราได้เคยคร่าชีวิตพวกเจ้าบ้างหรือไม่?  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากทำให้เราโศกเศร้าและกระวนกระวายใจ?  พวกเจ้ากำลังรอให้วันแห่งความโกรธของเรา พระยาห์เวห์ เกิดขึ้นกับพวกเจ้าอยู่ใช่หรือไม่?  พวกเจ้ากำลังรอให้เราส่งความโกรธที่ถูกยั่วยุด้วยการไม่เชื่อฟังของพวกเจ้าอยู่ใช่หรือไม่?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำไม่ใช่เพื่อพวกเจ้าหรอกหรือ?  กระนั้นพวกเจ้าก็ยังได้ปฏิบัติต่อเรา พระยาห์เวห์ ในหนทางนี้อยู่เสมอ นั่นคือ ขโมยเครื่องสักการะของเรา นำเครื่องบูชาที่แท่นบูชาของเรากลับไปยังถ้ำหมาป่าเพื่อเลี้ยงพวกลูกหมาป่าและลูกๆ ของพวกลูกหมาป่า ผู้คนต่างต่อสู้กันเอง เผชิญหน้ากันและกันด้วยการจ้องมองที่โกรธเกรี้ยว และด้วยดาบและหอก โยนถ้อยคำของเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ลงไปในส้วมให้กลายเป็นสกปรกเหมือนสิ่งปฏิกูล  ความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเจ้าอยู่ที่ใดเล่า?  สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าได้กลายเป็นความเหมือนสัตว์เดรัจฉาน!  หัวใจของพวกเจ้าได้กลายเป็นหินมานานแล้ว  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าเวลาที่วันแห่งความโกรธของเรามาถึงจะเป็นเวลาที่เราพิพากษาความชั่วที่พวกเจ้ากระทำต่อเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ในวันนี้?  พวกเจ้าคิดหรือว่าโดยการหลอกเราในหนทางนี้ โดยการโยนถ้อยคำของเราลงไปในโคลนตมและไม่ฟังถ้อยคำของเรา—พวกเจ้าคิดว่าโดยการปฏิบัติตัวเช่นนี้ลับหลังเรา พวกเจ้าจะสามารถหลีกหนีการจ้องมองที่โกรธเกรี้ยวของเราได้หรือ?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าตาของเรา พระยาห์เวห์ ได้มองเห็นพวกเจ้าแล้วคราที่พวกเจ้าขโมยเครื่องสักการะของเรา และละโมบในสิ่งครอบครองของเรา?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าเมื่อพวกเจ้าได้ขโมยเครื่องสักการะของเราไป พวกเจ้าได้ทำเช่นนั้นเบื้องหน้าแท่นบูชาที่เครื่องสักการะถูกถวาย?  พวกเจ้าสามารถเชื่อตัวเองว่าฉลาดพอที่จะหลอกลวงเราในหนทางนี้ได้อย่างไร?  ความโกรธของเราจะสามารถออกห่างจากบาปอันชั่วร้ายของพวกเจ้าได้อย่างไร?  ความเดือดดาลรุนแรงของเราจะสามารถเมินเฉยต่อการทำชั่วของพวกเจ้าได้อย่างไร?  ความชั่วที่พวกเจ้ากระทำในวันนี้ไม่ได้เปิดทางออกให้กับพวกเจ้า แต่กักเก็บการตีสอนไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ของพวกเจ้า มันยั่วยุการตีสอนของเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อพวกเจ้า  การทำชั่วและคำพูดชั่วของพวกเจ้าจะสามารถหนีพ้นจากการตีสอนของเราได้อย่างไร?  คำอธิษฐานของพวกเจ้าจะสามารถมาถึงหูของเราได้อย่างไร?  เราจะสามารถเปิดทางออกให้กับความไม่ชอบธรรมของพวกเจ้าได้อย่างไร?  เราจะสามารถปล่อยการทำชั่วของพวกเจ้าในการท้าทายเราไปเฉยๆ ได้อย่างไร?  เราจะสามารถไม่ตัดลิ้นของพวกเจ้าที่มีพิษเหมือนลิ้นของงูได้อย่างไร?  พวกเจ้าไม่มาหาเราเพื่อประโยชน์แห่งความชอบธรรมของพวกเจ้า แต่กลับกักเก็บความโกรธของเราอันเป็นผลจากความไม่ชอบธรรมของพวกเจ้าไว้แทน  เราจะสามารถให้อภัยพวกเจ้าได้อย่างไร?  ในสายตาของเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คำพูดและการกระทำของพวกเจ้าล้วนสกปรก  สายตาของเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เห็นความไม่ชอบธรรมของพวกเจ้าเป็นเหมือนการตีสอนที่ไม่หยุดหย่อน  การตีสอนและการพิพากษาอันชอบธรรมของเราจะสามารถออกห่างจากพวกเจ้าได้อย่างไร?  เพราะพวกเจ้าทำสิ่งนี้กับเรา ทำให้เราโศกเศร้าและโกรธเกรี้ยว เราจะสามารถปล่อยให้พวกเจ้าหนีพ้นจากมือของเรา และออกห่างจากวันที่เรา พระยาห์เวห์ ตีสอนและสาปแช่งพวกเจ้าได้อย่างไร?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าคำพูดและถ้อยคำชั่วทั้งหมดของพวกเจ้าได้มาถึงหูของเราแล้ว?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าความไม่ชอบธรรมของพวกเจ้าได้ทำให้เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์แห่งความชอบธรรมของเราแปดเปื้อนแล้ว?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าการไม่เชื่อฟังของพวกเจ้าได้ยั่วยุความโกรธเกรี้ยวของเราแล้ว?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าพวกเจ้าได้ปล่อยให้เราเดือดพล่านมานานแล้ว และได้ทดสอบความอดทนของเรามานานแล้ว?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าพวกเจ้าได้ทำให้เนื้อหนังของเราเสียหาย กลายเป็นผ้าขี้ริ้วไปแล้ว?  เราได้สู้ทนมาจนถึงบัดนี้ กระทั่งเราปลดปล่อยความโกรธของเรา ไม่ยอมผ่อนปรนต่อพวกเจ้าอีกต่อไป  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าการทำชั่วของพวกเจ้าได้มาถึงสายตาของเราแล้ว และเสียงร้องของเราก็ได้ไปถึงพระกรรณของพระบิดาของเราแล้ว?  พระองค์จะสามารถยอมให้พวกเจ้าปฏิบัติต่อเราเยี่ยงนี้ได้อย่างไร?  มีงานใดบ้างที่เราทำในตัวพวกเจ้าที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพวกเจ้า?  กระนั้นใครบ้างท่ามกลางพวกเจ้าได้กลายเป็นมีความรักมากขึ้นต่องานของเรา  พระยาห์เวห์?  เราจะสามารถไม่สัตย์ซื่อต่อน้ำพระทัยของพระบิดาของเราเพราะเราอ่อนแอ และเพราะความระทมที่เราทนทุกข์ได้หรือ?  พวกเจ้าไม่เข้าใจหัวใจของเราหรอกหรือ?  เราพูดกับพวกเจ้าเหมือนที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับพวกเจ้า เราไม่ได้อุทิศทุ่มเทไปมากมายเหลือเกินเพื่อพวกเจ้าหรอกหรือ?  แม้ว่าเราเต็มใจที่จะแบกรับความทุกข์ทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์แห่งพระราชกิจของพระบิดาของเรา แต่พวกเจ้าจะเป็นอิสระจากการตีสอนที่เรานำมาสู่พวกเจ้า อันเป็นผลจากความทุกข์ของเราได้อย่างไร?  พวกเจ้าไม่ได้ชื่นชมอย่างมากมายยิ่งนักจากเราหรอกหรือ?  วันนี้พระบิดาของเราได้ประทานเรามาให้แก่พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าพวกเจ้าชื่นชมมากยิ่งกว่าถ้อยคำอันโอบเอื้อของเรา?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าชีวิตของเราได้ถูกแลกเปลี่ยนกับชีวิตของพวกเจ้าและสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าชื่นชม?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าพระบิดาของเราทรงใช้ชีวิตของเราเพื่อทำการสู้รบกับซาตาน และพระองค์ยังประทานชีวิตของเราให้แก่พวกเจ้า ทำให้พวกเจ้าได้รับเป็นร้อยเท่า และปล่อยให้พวกเจ้าหลีกเลี่ยงการทดลองมากมายยิ่งนักอีกด้วย?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าเป็นเพราะงานของเราเท่านั้นพวกเจ้าจึงได้รับการยกเว้นจากการทดลองมากมาย และจากการตีสอนรุนแรงมากมาย?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าเป็นเพราะเราเท่านั้นพระบิดาของเราจึงทรงยินยอมให้พวกเจ้าชื่นชมตราบจนบัดนี้?  ในวันนี้พวกเจ้าจะยังคงกระด้างและไม่ยอมอ่อนข้อ จนเหมือนกับว่ามีติ่งเนื้อแข็งเติบโตขึ้นในหัวใจของพวกเจ้าได้อย่างไร?  ความชั่วที่พวกเจ้ากระทำในวันนี้จะสามารถหลีกหนีวันแห่งความโกรธที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากที่เราไปจากแผ่นดินโลกได้อย่างไร?  เราจะสามารถยินยอมให้พวกที่กระด้างและไม่ยอมอ่อนข้อยิ่งนักเหล่านี้หลีกหนีความโกรธของพระยาห์เวห์ไปได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ไม่มีใครที่มีเนื้อหนังสามารถหลีกหนีวันแห่งพระพิโรธได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 338

จงนึกย้อนกลับไปในอดีตว่า เมื่อใดกันที่สายตาจับจ้องของเราโกรธเกรี้ยว และเสียงของเราเข้มขรึมต่อพวกเจ้า?  เมื่อใดกันที่เราคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเจ้า?  เมื่อใดกันที่เราได้ตำหนิพวกเจ้าอย่างไร้เหตุผล?  เมื่อใดกันที่เราได้ตำหนิพวกเจ้าต่อหน้าพวกเจ้า?  ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งงานของเราหรอกหรือที่เราไปหาพระบิดาของเราเพื่อปกป้องพวกเจ้าจากการทดลองทุกครั้ง?  เหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิบัติต่อเราเช่นนี้?  เราได้เคยใช้สิทธิอำนาจของเราเพื่อทำร้ายเนื้อหนังของพวกเจ้าหรือไม่?  เหตุใดพวกเจ้าจึงตอบแทนเราเช่นนี้?  หลังจากการเปลี่ยนท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่เรา เจ้าก็ไม่ใช่ทั้งดีหรือร้าย และแล้วเจ้าก็พยายามที่จะป้อยอเราและซ่อนเร้นสิ่งทั้งหลายจากเรา และปากของเจ้าก็เต็มไปด้วยน้ำลายที่พวกคนไม่ชอบธรรมถ่มออกมา  พวกเจ้าคิดหรือว่าลิ้นของพวกเจ้าสามารถโกงวิญญาณของเราได้?  พวกเจ้าคิดหรือว่าลิ้นของพวกเจ้าสามารถหลีกหนีความโกรธของเราได้?  พวกเจ้าคิดหรือว่าลิ้นของพวกเจ้าอาจตัดสินกิจการของเรา พระยาห์เวห์ ในแบบใดก็ตามที่พวกเจ้าปรารถนาได้?  เราคือพระเจ้าที่มนุษย์ตัดสินกระนั้นหรือ?  เราจะสามารถยอมให้หนอนแมลงเล็กๆ ตัวหนึ่งหมิ่นประมาทเราเช่นนี้ได้หรือ?  เราจะสามารถวางลูกหลานที่ไม่เชื่อฟังเช่นนี้ไว้ท่ามกลางพรนิรันดร์ของเราได้อย่างไร?  คำพูดและการกระทำของพวกเจ้านั้นได้เปิดโปงและประณามพวกเจ้ามานานแล้ว  เมื่อเราได้ขยายฟ้าสวรรค์ออกไปและสร้างทุกสรรพสิ่ง เราไม่ได้อนุญาตให้สิ่งสร้างใดเข้าร่วมตามที่พวกเขาพึงพอใจ และนับประสาอะไรที่เราจะยินยอมให้สิ่งใดขัดขวางงานของเราและการบริหารจัดการของเรา ในแบบใดก็ตามที่มันปรารถนา  เราไม่ยอมผ่อนปรนต่อมนุษย์หรือวัตถุใด เราจะสามารถละเว้นพวกที่โหดร้ายและไร้เมตตาปรานีต่อเราได้อย่างไร?  เราจะสามารถให้อภัยพวกที่กบฏต่อถ้อยคำของเราได้อย่างไร?  เราจะสามารถละเว้นพวกที่ไม่เชื่อฟังเราได้อย่างไร?  ลิขิตชีวิตของมนุษย์ไม่ได้อยู่ในมือของเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หรอกหรือ?  เราจะสามารถพิจารณาว่าความไม่ชอบธรรมและการไม่เชื่อฟังของเจ้านั้นบริสุทธิ์ได้อย่างไร?  บาปทั้งหลายของเจ้าจะสามารถทำให้ความบริสุทธิ์ของเรามัวหมองได้อย่างไร?  เราไม่ได้ถูกทำให้มัวหมองโดยความไม่บริสุทธิ์ของพวกคนอธรรม อีกทั้งเราก็ไม่ได้ชื่นชมเครื่องบูชาของพวกคนอธรรม  หากเจ้าจงรักภักดีต่อเรา พระยาห์เวห์ เจ้าจะสามารถนำเอาเครื่องสักการะที่แท่นบูชาของเราไปเป็นของตนเองได้หรือ?  เจ้าจะสามารถใช้ลิ้นพิษของเจ้าหมิ่นประมาทนามอันศักดิ์สิทธิ์ของเราได้หรือ?  เจ้าจะสามารถกบฏต่อถ้อยคำของเราในหนทางนี้ได้หรือ?  เจ้าจะสามารถปฏิบัติต่อสง่าราศีและนามศักดิ์สิทธิ์ของเราดังเครื่องมือที่ใช้ในการรับใช้ซาตานมารร้ายได้หรือ?  ชีวิตของเราถูกจัดเตรียมมาเพื่อความชื่นชมยินดีของบรรดาผู้ที่บริสุทธิ์  เราจะสามารถยินยอมให้เจ้าเล่นกับชีวิตของเราในแบบใดก็ได้ตามที่เจ้าปรารถนา และใช้เป็นเครื่องมือเพื่อความขัดแย้งท่ามกลางพวกเจ้าเองได้อย่างไร?  พวกเจ้าจะสามารถไร้หัวใจ และขาดแคลนหนทางแห่งความดี ในวิธีที่เจ้าเป็นกับเราได้อย่างไร?  เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าเราได้เขียนการทำชั่วของพวกเจ้าในถ้อยคำแห่งชีวิตเหล่านี้ไว้แล้ว?  พวกเจ้าจะสามารถหลีกหนีวันแห่งความโกรธเมื่อเราตีสอนประเทศอียิปต์ได้อย่างไร?  เราจะสามารถยินยอมให้พวกเจ้าต่อต้านและเยาะเย้ยท้าทายเราในหนทางนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร?  เราขอบอกพวกเจ้าอย่างชัดเจนว่า เมื่อวันนั้นมาถึง การตีสอนพวกเจ้าจะเป็นอย่างที่ไม่อาจทนได้ยิ่งกว่าของประเทศอียิปต์เสียอีก!  พวกเจ้าจะสามารถหลีกหนีวันแห่งความโกรธของเราได้อย่างไร?  เราขอบอกพวกเจ้าอย่างแท้จริงว่า ความอดกลั้นของเราได้ถูกตระเตรียมไว้สำหรับการทำชั่วทั้งหลายของพวกเจ้า และมีไว้เพื่อการตีสอนพวกเจ้าในวันนั้น  พวกเจ้าไม่ใช่พวกที่จะต้องทนทุกข์กับการพิพากษาอันโกรธเกรี้ยว ทันทีที่เราได้ไปถึงจุดสิ้นสุดของความอดกลั้นของเราแล้วหรอกหรือ?  ทุกสรรพสิ่งไม่ได้อยู่ในมือของเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หรอกหรือ?  เราจะสามารถยินยอมให้พวกเจ้าไม่เชื่อฟังเราเช่นนี้ ภายใต้ฟ้าสวรรค์ได้อย่างไร?  ชีวิตของพวกเจ้าจะยากมากเพราะพวกเจ้าได้พบกับพระเมสสิยาห์แล้ว ซึ่งได้มีการกล่าวไว้ว่าพระองค์จะเสด็จมา แต่ก็ยังไม่เคยเสด็จมา  พวกเจ้าไม่ใช่ศัตรูของพระองค์หรอกหรือ?  พระเยซูได้ทรงเป็นเพื่อนกับพวกเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าก็เป็นศัตรูของพระเมสสิยาห์  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า ถึงแม้พวกเจ้าจะเป็นเพื่อนกับพระเยซู แต่การทำชั่วของพวกเจ้าก็ได้เติมเต็มภาชนะของพวกที่น่ารังเกียจเหล่านั้นแล้ว?  แม้ว่าพวกเจ้าใกล้ชิดกับพระยาห์เวห์มาก แต่พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า คำพูดชั่วของพวกเจ้าได้ไปถึงพระกรรณของพระยาห์เวห์และยั่วยุพระพิโรธของพระองค์แล้ว?  พระองค์จะสามารถใกล้ชิดเจ้าได้อย่างไร และพระองค์จะไม่สามารถเผาภาชนะเหล่านั้นของเจ้า ซึ่งถูกเติมเต็มด้วยการทำชั่ว ได้อย่างไร?  พระองค์จะไม่สามารถเป็นศัตรูของเจ้าได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ไม่มีใครที่มีเนื้อหนังสามารถหลีกหนีวันแห่งพระพิโรธได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 339

ตอนนี้เรากำลังมองดูเนื้อหนังอันหลงระเริงของเจ้าที่คอยป้อยอเรา และเรามีเพียงคำเตือนเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเจ้าเท่านั้น แต่เราจะไม่ “รับใช้” เจ้าด้วยการตีสอน เจ้าควรจะรู้ว่าเจ้ามีบทบาทใดในงานของเรา และเมื่อนั้นเราจึงจะพึงพอใจ  ในเรื่องทั้งหลายนอกเหนือจากการนี้ หากเจ้าต้านทานเราหรือใช้เงินของเรา หรือกินของพลีอุทิศของเราพระยาห์เวห์ หรือหากหนอนแมลงเช่นพวกเจ้ากัดกันเอง หรือหากสรรพสิ่งสร้างที่ดูเหมือนสุนัขเช่นพวกเจ้าขัดแย้งหรือประทุษร้ายกันเอง—เราย่อมไม่กังวลสนใจในการนั้น  พวกเจ้าจำเป็นต้องรู้เพียงว่าเจ้าคือสิ่งจำพวกใดเท่านั้น และเราก็จะพึงพอใจ  นอกเหนือจากทั้งหมดนี้แล้ว หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะหยิบอาวุธสู้กันหรือสู้รบกันด้วยวาจา นั่นก็ไม่เป็นไร เราไม่มีความประสงค์ที่จะก้าวก่ายในสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น และย่อมไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์แม้แต่น้อย  ไม่ใช่ว่าเราไม่ใส่ใจเกี่ยวกับความขัดแย้งทั้งหลายในหมู่พวกเจ้า แต่เป็นเพราะเราไม่ใช่หนึ่งในหมู่พวกเจ้า และดังนั้นจึงไม่มีส่วนร่วมในเรื่องทั้งหลายระหว่างพวกเจ้า  ตัวเราเองไม่ใช่สิ่งสร้างที่มีชีวิตและไม่ได้เป็นของโลกนี้ ดังนั้นเราจึงเกลียดชีวิตอันวุ่นวายของผู้คนและสัมพันธภาพอันยุ่งเหยิงและไม่ถูกต้องเหมาะสมระหว่างพวกเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเกลียดฝูงชนที่อึกทึกครึกโครม อย่างไรก็ตาม เรามีความรู้อันลุ่มลึกเกี่ยวกับความไม่บริสุทธิ์ทั้งหลายในหัวใจของสิ่งสร้างที่มีชีวิตแต่ละสิ่ง และก่อนที่เราจะสร้างพวกเจ้านั้น เรารู้อยู่แล้วถึงความไม่ชอบธรรมที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจของมนุษย์ และเรารู้ถึงการหลอกลวงและความคดโกงทั้งหมดในหัวใจของมนุษย์  ดังนั้น ต่อให้ไม่มีร่องรอยว่ามนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม เราก็ยังคงรู้ว่าความไม่ชอบธรรมที่เก็บงำไว้ภายในหัวใจของพวกเจ้านั้นเหนือกว่าความอุดมของสรรพสิ่งที่เราสร้างขึ้น  พวกเจ้าทุกคนขึ้นสู่จุดสูงสุดของมวลชนแล้ว พวกเจ้าขึ้นเป็นบรรพบุรุษของผองชนแล้ว  พวกเจ้าเอาแต่ใจยิ่งนัก และพวกเจ้าก็อาละวาดท่ามกลางหนอนแมลงทั้งปวง แสวงหาสถานที่ที่สะดวกสบายและพยายามกลืนกินหนอนแมลงที่เล็กกว่าเจ้า พวกเจ้าปองร้ายและร้ายกาจอยู่ในหัวใจของพวกเจ้า แซงหน้าแม้กระทั่งพวกผีที่จมอยู่ที่ก้นทะเล  พวกเจ้าอาศัยอยู่ที่ก้นบึ้งของมูลสัตว์ คอยก่อกวนหนอนแมลงตั้งแต่ด้านบนสุดจนถึงด้านล่างสุดจนพวกมันไม่มีสันติสุข พวกเจ้าต่อสู้กันเองชั่วระยะหนึ่ง ครั้นแล้วจึงสงบลง  พวกเจ้าไม่รู้จักตำแหน่งแห่งที่ของพวกเจ้า กระนั้นพวกเจ้าก็ยังคงสู้รบกันอยู่ในมูลสัตว์  พวกเจ้าจะได้สิ่งใดขึ้นมาจากการต่อสู้ดิ้นรนเช่นนี้?  หากพวกเจ้ามีความเคารพเราในหัวใจของพวกเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจะสู้กันลับหลังเราได้อย่างไร?  ไม่ว่าสถานะของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด เจ้าก็ยังคงเป็นหนอนตัวเล็กที่ส่งกลิ่นเหม็นอยู่ในมูลสัตว์มิใช่หรือ?  เจ้าจะสามารถงอกปีกและกลายเป็นนกพิราบในท้องฟ้าได้หรือ?  หนอนตัวเล็กๆ ที่ส่งกลิ่นเหม็นเช่นพวกเจ้าลักขโมยเครื่องบูชาไปจากแท่นบูชาของเราพระยาห์เวห์ ในการทำเช่นนั้น เจ้าจะสามารถกู้ชื่อเสียงที่ย่อยยับและสูญสิ้นของเจ้าและกลายเป็นประชากรที่ได้รับการเลือกสรรแห่งอิสราเอลได้หรือ?  พวกเจ้าคือวายร้ายที่ไร้ยางอาย!  ผู้คนมอบของพลีอุทิศเหล่านั้นบนแท่นบูชาให้แก่เรา เพื่อแสดงความรู้สึกอาทรของบรรดาผู้ที่เคารพเรา  ของเหล่านั้นมีไว้ให้เราควบคุมและให้เราใช้ ดังนั้นเจ้าจะสามารถปล้นเอานกเขาตัวน้อยๆ ที่ผู้คนมอบให้แก่เราไปจากเราได้อย่างไร?  เจ้าไม่กลัวว่าจะกลายเป็นยูดาสหรอกหรือ?  เจ้าไม่เกรงกลัวว่าแผ่นดินของเจ้าอาจกลายเป็นทุ่งนองเลือดหรอกหรือ?  เจ้าช่างไร้ยางอาย!  เจ้าคิดว่าบรรดานกเขาที่ผู้คนให้มานั้นมีไว้เลี้ยงท้องของหนอนแมลงเช่นเจ้ากระนั้นหรือ?  สิ่งที่เราให้เจ้าไปคือสิ่งที่เราพอใจและเต็มใจที่จะให้เจ้า สิ่งที่เราไม่ได้ให้เจ้าย่อมเป็นของให้เราใช้  เจ้าไม่อาจขโมยเครื่องบูชาของเราไปง่ายๆ  องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงพระราชกิจก็คือเราพระยาห์เวห์—องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งสร้าง—และผู้คนมอบของพลีอุทิศก็เพราะเรา  เจ้าคิดว่านี่เป็นการชดเชยให้กับการวิ่งวุ่นดำเนินงานที่เจ้าทำกระนั้นหรือ?  เจ้าไร้ยางอายจริงๆ!  เจ้าวิ่งวุ่นดำเนินงานเพื่อใคร?  ไม่ใช่เพื่อตัวเจ้าเองหรอกหรือ?  เหตุใดเจ้าจึงขโมยของพลีอุทิศของเรา?  เหตุใดเจ้าจึงขโมยเงินไปจากถุงเงินของเรา?  เจ้าไม่ใช่บุตรของยูดาส อิสคาริโอท หรอกหรือ?  ของที่พลีอุทิศให้แก่เราพระยาห์เวห์ เป็นของให้ปุโรหิตได้กินได้ใช้  เจ้าเป็นปุโรหิตหรือ?  เจ้ากล้ากินของพลีอุทิศของเราอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง และถึงขนาดเอาของพลีอุทิศเหล่านั้นไปวางเรียงไว้บนโต๊ะ เจ้าไม่มีค่าคู่ควร!  เจ้ามันวายร้ายที่ไร้ค่า!  ไฟของเรา ไฟแห่งพระยาห์เวห์ จะเผาผลาญเจ้า!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เมื่อใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับคืนสู่รากของพวกมัน เจ้าจะเสียใจกับความชั่วทั้งหมดที่เจ้าทำลงไป

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 340

ศรัทธาของพวกเจ้านั้นสวยงามมาก เจ้าพูดว่าเจ้าเต็มใจที่จะสละเวลาทั้งชีวิตของเจ้าในนามแห่งงานของเรา และพูดว่าเจ้าเต็มใจที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเจ้าเพื่องานนั้น แต่อุปนิสัยของพวกเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก  เจ้าเพียงพูดจาด้วยความโอหัง แม้ว่าในข้อเท็จจริงแล้ว พฤติกรรมที่เป็นจริงของเจ้าต่ำช้ามาก  เป็นราวกับว่าลิ้นและริมฝีปากของผู้คนอยู่ในสวรรค์ แต่ขาของพวกเขาอยู่ต่ำลงไปไกลบนแผ่นดินโลก และผลลัพธ์ก็คือ คำพูดและความประพฤติของพวกเขาและความมีหน้ามีตาของพวกเขายังคงอยู่ในสภาพกะรุ่งกะริ่งและย่อยยับ  ความมีหน้ามีตาของพวกเจ้าได้ถูกทำลายไปแล้ว กิริยามารยาทของพวกเจ้าต่ำทราม วิธีพูดของเจ้าต่ำช้า และชีวิตของพวกเจ้าน่าดูหมิ่น แม้แต่สภาวะความเป็นมนุษย์ทั้งหมดทั้งสิ้นของพวกเจ้าก็ได้จมลงสู่ความต่ำช้าจนถึงก้นบึ้ง  เจ้าใจแคบต่อผู้อื่น และเจ้าต่อรองราคาในทุกสิ่งเล็กๆ น้อยๆ  เจ้าทะเลาะกันในเรื่องความมีหน้ามีตาและสถานะของเจ้าเอง จนถึงจุดที่เจ้าถึงกับเต็มใจที่จะลงไปสู่นรกและลงไปในบึงไฟ  คำพูดและความประพฤติปัจจุบันของพวกเจ้าเพียงพอแล้วที่จะให้เราตัดสินว่าพวกเจ้ามีบาป  ท่าทีของเจ้าที่มีต่องานของเราเพียงพอแล้วที่จะให้เรากำหนดพิจารณาว่าพวกเจ้าเป็นคนไม่ชอบธรรม และอุปนิสัยทั้งหมดของพวกเจ้าเพียงพอแล้วที่จะชี้ให้เห็นว่าพวกเจ้าเป็นดวงจิตโสมมที่เต็มไปด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียน  การสำแดงทั้งหลายของพวกเจ้า และสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยเพียงพอแล้วที่จะพูดว่าพวกเจ้าคือผู้คนที่ได้ดื่มโลหิตจากวิญญาณที่ไม่สะอาดจนเต็มอิ่ม  เมื่อพาดพิงถึงการเข้าสู่ราชอาณาจักร พวกเจ้าไม่เปิดเผยความรู้สึกของพวกเจ้า  พวกเจ้าเชื่อหรือว่า หนทางที่เจ้าเป็นอยู่ในตอนนี้เพียงพอแล้วที่จะให้เจ้าเดินผ่านประตูสู่อาณาจักรสวรรค์ของเรา?  พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพวกเจ้าสามารถได้รับการเข้าสู่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์แห่งงานและวจนะของเราได้โดยที่คำพูดและความประพฤติของพวกเจ้าเองไม่ถูกเราทดสอบเสียก่อน?  ใครเล่าจะสามารถตบตาเราได้?  พฤติกรรมและบทสนทนาที่น่ารังเกียจและต่ำช้าของพวกเจ้าจะหนีรอดจากสายตาของเราไปได้อย่างไร?  ชีวิตของพวกเจ้าได้ถูกเรากำหนดพิจารณาไว้แล้วให้เป็นชีวิตแห่งการดื่มโลหิตและกินเนื้อหนังของวิญญาณไม่สะอาดเหล่านั้น เพราะพวกเจ้าเลียนแบบพวกเขาต่อหน้าเราทุกวัน  พฤติกรรมของเจ้านั้นเลวเป็นพิเศษเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา แล้วเราจะไม่สามารถพบว่าเจ้าน่าขยะแขยงได้อย่างไร?  คำพูดของเจ้าประกอบด้วยราคีทั้งหลายของวิญญาณไม่สะอาด กล่าวคือ เจ้าสอพลอ ปกปิด และยกยอป้อปั้นเฉกเช่นพวกที่ทำการใช้เวทมนตร์ และเฉกเช่นพวกที่หน้าซื่อใจคดและดื่มโลหิตของคนชอบธรรม  การแสดงออกทั้งหมดของมนุษย์ไม่ชอบธรรมอย่างสุดขีด ดังนั้นผู้คนทั้งหมดจะสามารถได้รับการจัดวางในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคนชอบธรรมอยู่กันได้อย่างไร?  เจ้าคิดหรือว่าพฤติกรรมที่น่าดูหมิ่นของเจ้าสามารถทำให้เจ้าแตกต่างโดดเด่นเป็นผู้มีความบริสุทธิ์เมื่อเทียบกับคนไม่ชอบธรรมเหล่านั้น?  ในที่สุดแล้ว ลิ้นเหมือนงูของเจ้าก็จะทำลายเนื้อหนังนี้ของเจ้าที่นำเคราะห์แห่งการทำลายล้างมาให้และดำเนินการในสิ่งน่าสะอิดสะเอียน และมือเหล่านั้นของเจ้าที่ถูกปกคลุมด้วยโลหิตของวิญญาณไม่สะอาดก็จะดึงดวงจิตของเจ้าลงสู่นรกในที่สุดเช่นกัน  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเล่า เจ้าจึงไม่กระโจนใส่โอกาสนี้เพื่อชำระล้างมือของเจ้าที่ปกคลุมด้วยสิ่งไม่สะอาดให้สะอาดเสีย?  และเหตุใดเจ้าจึงไม่ฉวยประโยชน์จากโอกาสเหมาะนี้เพื่อตัดลิ้นของเจ้าที่กล่าววาจาอันไม่ชอบธรรมไปเสีย?  อาจเป็นได้ไหมว่าเจ้าเต็มใจทนทุกข์ในเปลวเพลิงแห่งนรกเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของมือ ลิ้น และริมฝีปากของเจ้า?  เราเฝ้าดูหัวใจของทุกคนด้วยตาทั้งสองข้างตลอดมา เพราะเป็นเวลานานก่อนที่เราได้สร้างมวลมนุษย์ เราได้กุมหัวใจพวกเขาไว้ภายในมือของเรา  นานมาแล้วเราได้มองทะลุหัวใจของผู้คน ดังนั้นความคิดของพวกเขาจะสามารถรอดพ้นจากสายตาของเราได้อย่างไร?  มันจะไม่อาจสายเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะรอดพ้นจากการถูกเผาโดยวิญญาณของเราได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าทั้งหมดมีบุคลิกลักษณะต่ำช้าเหลือเกิน!

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 341

ริมฝีปากของเจ้าอ่อนโยนกว่านกพิราบ แต่หัวใจของเจ้าน่ากลัวยิ่งกว่างูแห่งกาลเก่า  ริมฝีปากของเจ้าสวยเทียบเท่าสาวชาวเลบานอนด้วยซ้ำ ทว่าหัวใจของเจ้าไม่อ่อนโยนกว่าหัวใจของพวกนาง และแน่นอนว่าไม่สามารถเปรียบเทียบกับความงามของชาวคานาอันได้เลย  หัวใจของเจ้าช่างคิดคดทรยศนัก!  สิ่งทั้งหลายที่เราเกลียดก็คือริมฝีปากของผู้ไม่ชอบธรรมและหัวใจของพวกเขาเท่านั้นเอง และข้อพึงประสงค์ของเราต่อผู้คนก็มิใช่ว่าสูงกว่าสิ่งที่เราคาดหวังจากเหล่าธรรมิกชนเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าเรารู้สึกถึงความเดียดฉันท์อย่างมากต่อความประพฤติชั่วของผู้ไม่ชอบธรรม และเราหวังว่าพวกเขาอาจจะสามารถปลดทิ้งความโสมมของพวกเขา และหนีพ้นจากสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกปัจจุบันของพวกเขาได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถโดดเด่นออกจากผู้ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น และใช้ชีวิตและมีความบริสุทธิ์ร่วมกับพวกที่ชอบธรรมได้  พวกเจ้าอยู่ในรูปการณ์แวดล้อมเดียวกันกับเรา กระนั้นพวกเจ้าก็ถูกปกคลุมด้วยความโสมม เจ้าไม่มีแม้แต่เสี้ยวเล็กสุดของสภาพเสมือนดั้งเดิมของเหล่ามนุษย์ที่ทรงสร้างในปฐมกาลบรรจุอยู่เลย  ยิ่งไปกว่านั้น เพราะทุกวันพวกเจ้าเลียนแบบสภาพเสมือนของจิตวิญญาณไม่สะอาดเหล่านั้น ทำสิ่งที่พวกเขาทำ และพูดสิ่งที่พวกเขาพูด ทุกส่วนของพวกเจ้า—แม้แต่ลิ้นและริมฝีปากของพวกเจ้า—จึงเปียกชุ่มด้วยน้ำเน่าของพวกเขา จนถึงจุดที่พวกเจ้าถูกปกคลุมด้วยคราบเช่นนี้จนทั่วไปหมด และไม่มีส่วนใดของเจ้าเลยที่สามารถนำมาใช้กับงานของเราได้  มันช่างเจ็บปวดหัวใจนัก!  พวกเจ้าอาศัยอยู่ในโลกแห่งอาชาและฝูงปศุสัตว์เช่นนี้ กระนั้นตามที่เป็นจริงแล้ว พวกเจ้าไม่รู้สึกเดือดร้อนใจเลย เจ้าเต็มไปด้วยความชื่นบานและใช้ชีวิตอย่างอิสระและง่ายดาย  เจ้ากำลังว่ายวนไปมาในน้ำเน่านั่น กระนั้นเจ้าไม่ได้ตระหนักอย่างจริงแท้ว่าเจ้าได้ตกสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนั้นแล้ว  ทุกวันเจ้าคบหาสมาคมกับพวกวิญญาณไม่สะอาด และมีปฏิสัมพันธ์กับ “สิ่งปฏิกูล”  ชีวิตของพวกเจ้าค่อนข้างหยาบช้าเลยทีเดียว หนำซ้ำพวกเจ้าก็ไม่ได้ตระหนักรู้อย่างจริงแท้ว่า เจ้าไม่ดำรงอยู่ในโลกมนุษย์โดยสิ้นเชิง และว่าเจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าชีวิตของเจ้าได้ถูกเหยียบย่ำโดยพวกวิญญาณไม่สะอาดเหล่านั้นมานานแล้ว หรือว่าบุคลิกลักษณะของเจ้าถูกน้ำเน่าทำให้มัวหมองมานานแล้ว?  เจ้าคิดหรือว่าเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในสวรรค์บนดิน และว่าเจ้าอยู่ท่ามกลางความสุข?  เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าเจ้าได้ใช้ชีวิตเคียงข้างวิญญาณไม่สะอาด และว่าเจ้าได้อยู่ร่วมกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้ตระเตรียมไว้ให้เจ้า?  วิธีที่เจ้าใช้ชีวิตจะสามารถมีความหมายอันใดได้อย่างไร?  ชีวิตของเจ้าจะสามารถมีคุณค่าอันใดได้อย่างไร?  เจ้าได้วิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อบิดามารดาของเจ้า บิดามารดาที่มีวิญญาณไม่สะอาด ทว่าที่เป็นจริงก็คือ เจ้าคิดไม่ถึงหรอกว่า พวกที่ทำให้เจ้าติดกับก็คือบิดามารดาซึ่งมีวิญญาณไม่สะอาด ผู้ที่ได้ให้กำเนิดเจ้าและได้เลี้ยงดูเจ้ามา  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่ตระหนักรู้ว่า ตามที่เป็นจริงนั้น ความโสมมของเจ้าล้วนเป็นพวกเขาที่ให้เจ้ามา ทั้งหมดที่เจ้ารู้ก็คือ พวกเขาสามารถนำพา “ความชื่นชมยินดี” มาให้เจ้า พวกเขาไม่ตีสอนเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่พิพากษาเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไม่สาปแช่งเจ้า  พวกเขาไม่เคยระเบิดความโกรธใส่เจ้า แต่ปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความรักใคร่เอ็นดูและความใจดีมีเมตตา  คำพูดของพวกเขาบำรุงเลี้ยงหัวใจเจ้า และทำให้เจ้าหลงใหลเพื่อที่เจ้าจะได้กลายเป็นเสียศูนย์ และเจ้าจะถูกดูดกลืนเข้าไปและเต็มใจที่จะรับใช้พวกเขา กลายเป็นหน้าร้านและข้ารับใช้ของพวกเขาโดยไม่ตระหนักถึงการนี้เลย  เจ้าไม่มีเรื่องร้องทุกข์อันใดเลย แต่กลับเต็มใจทำงานเพื่อพวกเขาดั่งสุนัข ดั่งอาชา เจ้าถูกพวกเขาหลอกลวง  ด้วยเหตุผลนี้เจ้าจึงไม่มีปฏิกิริยาอย่างสิ้นเชิงต่องานที่เราทำ  ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าต้องการแอบเล็ดลอดผ่านนิ้วมือของเราไปเสมอ และไม่น่าแปลกใจที่เจ้าต้องการใช้คำหวานเพื่อหลอกล่อรับเอาความโปรดปรานจากเราเสมอ  เพราะสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นว่า เจ้าได้มีแผนอื่น มีการจัดการเตรียมการอื่นอยู่เรียบร้อยแล้ว  เจ้าสามารถเห็นการกระทำของเรานิดหน่อยในฐานะขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่เจ้าไม่มีความรู้แม้แต่น้อยเกี่ยวกับการพิพากษาและการตีสอนของเรา  เจ้าไม่รู้เลยว่าการตีสอนของเราได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อใด เจ้าเพียงแต่รู้วิธีโกงเรา—กระนั้นเจ้าไม่รู้ว่าเราจะไม่ยอมทนต่อการล่วงละเมิดอันใดจากมนุษย์  ในเมื่อเจ้าได้สร้างปณิธานไว้แล้วว่าจะรับใช้เรา เราก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป  เราเป็นพระเจ้าผู้หวงแหน และเราเป็นพระเจ้าที่หวงแหนมนุษยชาติ  ในเมื่อเจ้าได้วางคำพูดของเจ้าไว้บนแท่นบูชาแล้ว เราก็จะไม่ยอมทนให้กับการที่เจ้าวิ่งจากไปต่อหน้าต่อตาเรา อีกทั้งเราจะไม่ยอมทนให้กับการที่เจ้ารับใช้เจ้านายสองคน  เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถมีความรักครั้งที่สองได้หลังจากได้วางคำพูดของเจ้าไว้บนแท่นบูชาของเราและต่อหน้าต่อตาเราแล้ว?  เราจะสามารถอนุญาตให้ผู้คนทำให้เราเป็นเหมือนคนโง่ด้วยวิธีเช่นนี้ได้อย่างไร?  เจ้าคิดหรือว่าเจ้าอาจสามารถสร้างคำปฏิญญาและคำปฏิญาณอย่างไม่มีพิธีรีตรองกับเราได้ด้วยลิ้นของเจ้า?  เจ้าจะสามารถกล่าวสาบานคำปฏิญาณข้างบัลลังก์ของเราได้อย่างไร บัลลังก์ของเราผู้เป็นองค์ที่อยู่สูงที่สุด?  เจ้าคิดหรือว่าคำปฏิญาณของเจ้าได้ล่วงลับไปแล้ว?  เราขอบอกพวกเจ้าว่า แม้ว่าเนื้อหนังของพวกเจ้าอาจล่วงลับไป แต่คำปฏิญาณของพวกเจ้าไม่สามารถล่วงลับไปได้  ในท้ายที่สุดแล้ว เราจะกล่าวโทษพวกเจ้าบนพื้นฐานของคำปฏิญาณของพวกเจ้า  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าเชื่อว่าจะสามารถรับมือกับเราได้โดยการวางคำพูดของพวกเจ้าไว้เบื้องหน้าเรา และเชื่อว่าหัวใจของพวกเจ้าสามารถรับใช้วิญญาณที่ไม่สะอาดและวิญญาณชั่วได้  ความโกรธของเราจะสามารถยอมทนให้กับผู้คนที่คล้ายสุนัข คล้ายสุกรเหล่านี้ที่โกงเราได้อย่างไร?  เราต้องดำเนินการตามประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา และกระชากชิงพวกที่ “เคร่งศาสนา” หัวโบราณเหล่านั้นทั้งหมดที่มีความเชื่อในเรากลับจากมือของวิญญาณไม่สะอาด เพื่อที่พวกเขาอาจจะ “คอยรับใช้” เราในรูปแบบที่มีวินัย เป็นโคของเรา เป็นอาชาของเรา และอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงแห่งการสังหารหมู่ของเรา  เราจะให้เจ้าเก็บความมุ่งมั่นก่อนหน้านี้ของเจ้าขึ้นมา และรับใช้เราอีกครั้ง  เราจะไม่ยอมทนให้กับสิ่งสร้างใดที่โกงเรา  เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถเพียงแค่ทำการเรียกร้องและโกหกต่อหน้าเราอย่างมัวเมาได้?  เจ้าคิดหรือว่าเราไม่ได้ยินหรือได้เห็นคำพูดและความประพฤติทั้งหลายของเจ้า?  คำพูดและความประพฤติทั้งหลายของเจ้าจะสามารถไม่อยู่ในสายตาของเราได้อย่างไร?  เราจะมีวันให้ผู้คนหลอกลวงเราเช่นนั้นได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าทั้งหมดมีบุคลิกลักษณะต่ำช้าเหลือเกิน!

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 342

เราได้อยู่ท่ามกลางพวกเจ้า คบหาสมาคมกับพวกเจ้ามาหลายฤดูใบไม้ผลิและหลายฤดูใบไม้ร่วง เราได้ดำรงชีวิตท่ามกลางพวกเจ้ามานานแล้ว และได้ใช้ชีวิตกับพวกเจ้า  พฤติกรรมที่น่าดูหมิ่นของพวกเจ้ามากน้อยเพียงใดที่ได้หลุดรอดไปต่อหน้าต่อตาเรา?  คำพูดที่จริงใจเหล่านั้นของพวกเจ้ากำลังสะท้อนอยู่ในหูของเราตลอดเวลา ความทะเยอทะยานนับหลายล้านอย่างของเจ้าถูกวางบนแท่นบูชาของเรา—มากจนเกินกว่าจะนับได้  อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องการทุ่มเทอุทิศของพวกเจ้าและสิ่งที่พวกเจ้ายอมสละ พวกเจ้าไม่ให้แม้เพียงกระผีกริ้น  พวกเจ้าไม่วางความจริงใจแม้เพียงหยดเล็กจิ๋วบนแท่นบูชาของเรา  ดอกผลแห่งของการเชื่อของพวกเจ้าในเราอยู่ที่ใด?  พวกเจ้าได้รับพระคุณที่ไม่มีที่สิ้นสุดจากเรา และพวกเจ้าได้เห็นความล้ำลึกทั้งหลายที่ไม่รู้จบจากสวรรค์ เราถึงกับได้แสดงให้พวกเจ้าเห็นเปลวเพลิงแห่งสวรรค์ แต่เราไม่ได้มีใจที่จะเผาพวกเจ้า  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าได้ให้เรามากเพียงใดเล่าเพื่อเป็นการตอบแทน?  พวกเจ้าเต็มใจให้เรามากเพียงใด?  ด้วยอาหารที่เราได้ให้เจ้าในมือ เจ้าก็หันกลับและถวายอาหารนั้นให้เรา และไปไกลถึงกับพูดว่ามันเป็นบางสิ่งที่เจ้าได้รับเพื่อตอบแทนหยาดเหงื่อแห่งการทำงานหนักของเจ้าเอง และว่าเจ้ากำลังถวายทุกสิ่งที่เจ้าเป็นเจ้าของให้กับเรา  เจ้าจะไม่สามารถรู้ได้อย่างไรว่า “สิ่งบริจาคสมทบ” ของเจ้าที่ให้เรานั้นเป็นเพียงสิ่งทั้งหลายที่ได้ถูกขโมยไปจากแท่นบูชาของเรา?  ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้เจ้ากำลังถวายสิ่งเหล่านั้นให้เรา เจ้าไม่ได้กำลังโกงเราอยู่หรอกหรือ?  เจ้าจะสามารถที่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราชื่นชมในวันนี้คือของถวายทั้งหมดบนแท่นบูชาของเรา และไม่ใช่สิ่งที่เจ้าได้หามาจากการทำงานหนักของเจ้าและจากนั้นก็มอบถวายให้เรา?  ตามที่เป็นจริงนั้น พวกเจ้ากล้าดีที่จะโกงเราด้วยวิธีนี้ ดังนั้นเราจะสามารถให้อภัยพวกเจ้าได้อย่างไร?  พวกเจ้าสามารถคาดหวังให้เราสู้ทนการนี้ต่อไปอีกได้อย่างไร?  เราได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเจ้าแล้ว  เราได้เปิดกว้างทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเจ้า จัดเตรียมสิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องมี และเปิดตาของพวกเจ้า กระนั้นพวกเจ้าก็โกงเราเช่นนี้ โดยเพิกเฉยต่อมโนธรรมของเจ้า  เราได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพวกเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เพื่อที่แม้ว่าพวกเจ้าจะทนทุกข์ แต่พวกเจ้าก็ยังคงได้รับทุกสิ่งทุกอย่างจากเราตามที่เราได้นำมาจากสวรรค์  แม้กระนั้นก็ตาม พวกเจ้าก็ไม่มีความทุ่มเทอุทิศเลย และต่อให้เจ้าได้มีส่วนร่วมสมทบน้อยนิด เจ้าก็พยายามที่จะ “ชำระบัญชี” กับเราหลังจากนั้น  การมีส่วนร่วมสมทบของเจ้าจะไม่นับว่าไม่ใช่สิ่งใดเลยหรอกหรือ?  สิ่งที่เจ้าได้มอบให้เราเป็นเพียงทรายหนึ่งเม็ด ทว่าสิ่งที่เจ้าได้ขอจากเราคือทองคำหนึ่งตัน  เจ้าไม่ได้แค่กำลังไร้เหตุผลหรอกหรือ?  เราทำงานท่ามกลางพวกเจ้า  ไม่มีร่องรอยโดยสิ้นเชิงของร้อยละสิบที่เราควรได้รับมา นับประสาอะไรกับเครื่องบูชาเพิ่มเติมอันใด  ยิ่งไปกว่านั้น ร้อยละสิบที่ได้รับส่วนร่วมสมทบจากบรรดาผู้ที่มีใจศรัทธานั้นได้ถูกพวกคนเลวยึดไป  พวกเจ้าทั้งหมดไม่ได้หักเหไปจากเราหรอกหรือ?  พวกเจ้าทั้งหมดไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับเราหรอกหรือ?  พวกเจ้าทั้งหมดไม่ได้กำลังพังแท่นบูชาของเราหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถูกมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาของเราได้อย่างไร?  พวกเขาไม่ใช่สุกรและสุนัขที่เราเกลียดหรอกหรือ?  เราจะสามารถอ้างอิงว่าการทำชั่วของเจ้าเป็นสมบัติล้ำค่าได้อย่างไร?  ตามที่เป็นจริงแล้ว งานของเราทำเพื่อใครกัน?  จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า จุดประสงค์ของงานของเราคือเพื่อซัดกระหน่ำพวกเจ้าทั้งหมดจนคว่ำลงไปเพื่อเปิดเผยสิทธิอำนาจของเรา?  ชีวิตของพวกเจ้าทั้งหมดไม่ได้แขวนอยู่กับวจนะคำเดียวจากเราหรอกหรือ?  เหตุใดเราจึงกำลังใช้เพียงวจนะทั้งหลายอบรมพวกเจ้า และไม่ได้เปลี่ยนวจนะให้เป็นข้อเท็จจริงเพื่อซัดกระหน่ำพวกเจ้าทันทีที่เราสามารถทำได้?  จุดประสงค์ของวจนะและงานของเราเป็นเพียงเพื่อซัดกระหน่ำมวลมนุษย์จนคว่ำลงไปหรือไร?  เราเป็นพระเจ้าที่ฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างไม่เลือกหน้าหรือไร?  บัดนี้มีพวกเจ้ากี่คนเล่าที่มาอยู่เบื้องหน้าเราพร้อมกับความเป็นอยู่ทั้งปวงของเจ้าเพื่อที่จะแสวงหาเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์?  เป็นเพียงร่างกายของพวกเจ้าที่อยู่เบื้องหน้าเรา แต่หัวใจของเจ้ายังคงเป็นอิสระ และอยู่ห่างไกลจากเรามาก  เพราะพวกเจ้าไม่รู้ว่า ตามที่เป็นจริงนั้น งานของเราคืออะไร จึงมีพวกเจ้าจำนวนหนึ่งที่ปรารถนาจะออกห่างจากเรา และเว้นระยะให้ตัวพวกเจ้าอยู่ห่างจากเรา โดยหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตในเมืองบรมสุขเกษมซึ่งไม่มีการตีสอนหรือการพิพากษาแทน  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนปรารถนาในหัวใจของพวกเขาหรอกหรือ?  แน่นอนว่าเราไม่ได้กำลังพยายามบีบเจ้าให้ยอม  เส้นทางใดก็ตามที่เจ้าใช้คือตัวเลือกของเจ้าเอง  เส้นทางของวันนี้เป็นเส้นทางที่มีการพิพากษาและการสาปแช่งร่วมทางไปด้วย แต่พวกเจ้าทุกคนควรรู้ว่า ทั้งหมดที่เราได้ประทานแก่พวกเจ้า—ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาหรือการตีสอน—เป็นของประทานที่ดีที่สุดที่เราสามารถมอบให้พวกเจ้าได้ และเหล่านั้นคือทุกสรรพสิ่งที่พวกเจ้าต้องการอย่างเร่งด่วน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าทั้งหมดมีบุคลิกลักษณะต่ำช้าเหลือเกิน!

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 343

เราได้ดำเนินงานจำนวนมากมายมหาศาลบนแผ่นดินโลก และเราเดินอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์มาหลายปีเหลือเกินแล้ว กระนั้นผู้คนก็ไม่ค่อยรู้จักรูปลักษณ์ของเราและอุปนิสัยของเรา และมีผู้คนไม่กี่คนที่สามารถอธิบายงานที่เราทำได้อย่างละเอียดทั่วถึง  มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่ผู้คนขาด พวกเขามักจะขาดความเข้าใจเสมอเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ และหัวใจของพวกเขามักจะเฝ้าระวังอยู่เสมอ ราวกับว่าพวกเขากลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะเอาพวกเขาไปไว้ในสถานการณ์อื่น และจากนั้นก็ไม่ให้ความใส่ใจต่อพวกเขาอีกเลย  ด้วยเหตุนี้ท่าทีของผู้คนที่มีต่อเราจึงแบ่งรับแบ่งสู้ ร่วมด้วยความระมัดระวังขนานใหญ่เสมอ  นี่เป็นเพราะผู้คนได้มาถึงปัจจุบันโดยปราศจากความเข้าใจงานที่เราทำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขางงงันกับวจนะที่เราพูดกับพวกเขา  พวกเขาถือวจนะของเราไว้ในมือของพวกเขา โดยไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะผูกพันตัวเองกับการเชื่ออันไม่หันเหในวจนะของเราหรือไม่ หรือพวกเขาควรจะเลือกเอาความลังเลไม่อาจตัดสินใจและลืมวจนะของเราไปเสียหรือไม่  พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะนำวจนะของเราไปปฏิบัติหรือไม่ หรือรอดูไปก่อน ไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะโยนทุกอย่างทิ้งไปและติดตามอย่างกล้าหาญ หรือยังหยิบยื่นมิตรภาพให้แก่โลกเหมือนเมื่อก่อนต่อไปหรือไม่  โลกภายในท้้งหลายของผู้คนช่างซับซ้อนเหลือเกิน และพวกเขาก็ช่างฉลาดแกมโกงเหลือเกิน  เพราะผู้คนไม่สามารถมองเห็นวจนะของเราได้อย่างชัดเจนหรืออย่างเต็มที่ พวกเขาหลายคนจึงมีเวลาที่ยากลำบากในการปฏิบัติตามวจนะของเราและมีความลำบากยากเย็นในการวางหัวใจของพวกเขาไว้เบื้องหน้าเรา  เราเข้าใจความลำบากยากเย็นท้้งหลายของพวกเจ้าอย่างลึกซึ้ง  จุดอ่อนมากมายไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง และปัจจัยเชิงวัตถุประสงค์มากมายสร้างความลำบากยากเย็นให้กับพวกเจ้า  พวกเจ้าเลี้ยงดูครอบครัวของพวกเจ้า ใช้วันเวลาของพวกเจ้าเพื่อทำงานอย่างหนัก และเดือนปีก็ผ่านไปในความยากลำบาก  มีความลำบากยากเย็นมากมายในการมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง—เราไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ และแน่นอนว่าข้อพึงประสงค์ของเราที่มีต่อพวกเจ้าถูกกำหนดขึ้นให้สอดคล้องกับความลำบากยากเย็นของพวกเจ้า  ข้อพึงประสงค์ทั้งหลายในงานที่เราทำนั้น ล้วนอยู่บนพื้นฐานของวุฒิภาวะจริงของพวกเจ้า  บางทีในอดีต ข้อพึงประสงค์ที่ผู้คนได้ทำไว้กับพวกเจ้าในงานของพวกเขาได้ถูกผสมเข้ากับองค์ประกอบแห่งความมากเกินไป แต่พวกเจ้าควรจะรู้ไว้ว่าเราไม่เคยได้มีข้อพึงประสงค์ที่มากเกินไปต่อพวกเจ้าในสิ่งที่เราพูดและทำ  ข้อพึงประสงค์ทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานแห่งธรรมชาติ เนื้อหนังของผู้คน และสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมี  พวกเจ้าควรจะรู้ และเราก็สามารถบอกพวกเจ้าได้อย่างชัดเจนว่า เราไม่ต่อต้านวิธีคิดอันสมเหตุสมผลบางอย่างที่ผู้คนมี และเราไม่ต่อต้านธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิดของมวลมนุษย์  เป็นเพียงเพราะผู้คนไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้ว มาตรฐานที่เราได้กำหนดไว้ให้พวกเขานั้นคือสิ่งใด อีกทั้งพวกเขาไม่เข้าใจความหมายดั้งเดิมของวจนะของเรา จนถึงขั้นที่ผู้คนได้แคลงใจในวจนะของเรามาจนบัดนี้ และผู้คนน้อยกว่าครึ่งด้วยซ้ำที่เชื่อวจนะของเรา  ส่วนที่เหลือเป็นพวกผู้ปราศจากความเชื่อ และยังมีมากกว่านั้นอีกที่เป็นพวกที่ชอบฟังเรา “เล่านิทาน”  ที่มากกว่านั้นก็คือ มีมากมายหลายคนที่ชื่นชมภาพอันตื่นตาตื่นใจ  เราขอให้พวกเจ้าจงระวังว่า วจนะของเรามากมายได้ถูกเปิดกว้างแล้วต่อบรรดาผู้ที่เชื่อในเรา และบรรดาผู้ที่ชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามของราชอาณาจักร แต่ถูกกักไว้ตรงด้านนอกของประตูแห่งราชอาณาจักรก็ได้ถูกเราขับออกไปแล้ว  พวกเจ้าไม่ใช่แค่ข้าวละมานที่เรารังเกียจและปฏิเสธหรอกหรือ?  พวกเจ้าจะสามารถเฝ้าดูเราจากไปและจากนั้นก็ต้อนรับการกลับมาของเราอย่างเต็มไปด้วยความชื่นบานได้อย่างไรเล่า?  เราบอกพวกเจ้าเลยว่า หลังจากประชาชนชาวนีนะเวห์ได้ยินพระวจนะอันโกรธกริ้วของพระยาห์เวห์ พวกเขาก็กลับใจในผ้ากระสอบและขี้เถ้าโดยทันที  เป็นเพราะพวกเขาได้เชื่อในพระวจนะของพระองค์ พวกเขาจึงได้เต็มไปด้วยความยำเกรงและความหวาดกลัว และดังนั้นจึงกลับใจในผ้ากระสอบและขี้เถ้า  สำหรับผู้คนของวันนี้ แม้เจ้าก็เชื่อวจนะของเราเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นอีก ยังเชื่อว่าพระยาห์เวห์ได้เสด็จมาท่ามกลางพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ แต่ท่าทีของพวกเจ้าก็ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากความไม่เคารพยำเกรง ราวกับว่าพวกเจ้าได้เพียงแค่กำลังสังเกตการณ์พระเยซูผู้ซึ่งได้ประสูติในแคว้นยูเดียเมื่อหลายพันปีก่อน และตอนนี้ได้เสด็จลงมาสถิตท่ามกลางพวกเจ้า  เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงที่ดำรงอยู่ภายในหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าส่วนใหญ่ติดตามเราเพราะความอยากรู้อยากเห็นและได้มาเพื่อที่จะแสวงหาเราให้พบจากความว่างเปล่า  เมื่อความปรารถนาที่สามของพวกเจ้าพังทลายลง—ความปรารถนาของพวกเจ้าเพื่อชีวิตที่สงบและมีความสุข—เช่นนั้นแล้วความอยากรู้อยากเห็นของพวกเจ้าจึงสลายไปเช่นกัน  ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงที่ดำรงอยู่ในหัวใจของพวกเจ้าแต่ละดวงถูกเปิดโปงโดยผ่านทางคำพูดและความประพฤติของพวกเจ้า  พูดแบบจริงใจก็คือ พวกเจ้าเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรา แต่ไม่กลัวเรา พวกเจ้าไม่ระวังปากของพวกเจ้า และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเจ้าจะใช้ความยับยั้งชั่งใจในพฤติกรรมของพวกเจ้า  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้ามีความเชื่อประเภทใดกันแน่?  เป็นของแท้หรือไม่?  พวกเจ้าเพียงแค่ใช้วจนะของเราเพื่อปัดเป่าความกังวลทั้งหลายของพวกเจ้า และบรรเทาความเบื่อหน่ายของพวกเจ้า เพื่อเติมเต็มพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ในชีวิตของพวกเจ้า  ใครเล่าท่ามกลางพวกเจ้าที่ได้นำวจนะของเราไปปฏิบัติ?  ผู้ใดเล่าที่มีความเชื่ออันจริงแท้?  พวกเจ้าโห่ร้องไม่หยุดหย่อนว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงมองเห็นลึกเข้าไปในหัวใจของผู้คน แต่พระเจ้าที่พวกเจ้าโห่ร้องหาในหัวใจของพวกเจ้าเข้ากันได้กับเราอย่างไรหรือ?  ในเมื่อพวกเจ้ากำลังโห่ร้องเยี่ยงนี้ เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเล่าพวกเจ้าจึงปฏิบัติตนในหนทางนั้น?  เป็นไปได้ไหมว่านี่คือความรักที่พวกเจ้าต้องการชดใช้คืนแก่เรา?  ไม่มีการมอบอุทิศจำนวนเล็กน้อยอยู่บนริมฝีปากของพวกเจ้าเลย ว่าแต่ว่า การพลีอุทิศของพวกเจ้า และความประพฤติดีของพวกเจ้าอยู่ที่ใดเล่า?  หากไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของพวกเจ้ามาถึงหูของเรา เราจะสามารถเกลียดชังพวกเจ้ามากเหลือเกินได้อย่างไร?  หากพวกเจ้าได้เชื่อในเราอย่างแท้จริง พวกเจ้าจะสามารถตกอยู่ในสภาวะเศร้าหมองเช่นนี้ได้อย่างไร?  พวกเจ้ามีแววซึมเศร้าบนใบหน้าของพวกเจ้าราวกับว่าพวกเจ้าได้กำลังถูกพิจารณาคดีอยู่ในแดนคนตาย  พวกเจ้าไม่มีความมีชีวิตชีวาเพียงกระผีกริ้น และเจ้าพูดกับตัวเองอยู่ในหัวอย่างอ่อนระโหย เจ้าถึงกับเต็มไปด้วยคำร้องทุกข์คร่ำครวญและคำสาปแช่ง  นานมาแล้วพวกเจ้าได้สูญเสียความเชื่อในสิ่งที่เราทำ และแม้แต่ความเชื่อดั้งเดิมของพวกเจ้าก็ได้ปลาสนาการไป ดังนั้นเจ้าจะสามารถติดตามไปจนถึงปลายทางได้อย่างไร?  ในเมื่อเป็นดั่งนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะสำหรับผู้เยาว์และผู้สูงวัย

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 344

แม้ว่างานของเราช่วยได้อย่างมากสำหรับพวกเจ้า กระนั้นวจนะของเรามักจะไปไม่ถึงพวกเจ้าเสมอ และไม่มีผลใดเลยในตัวพวกเจ้า  มันลำบากยากเย็นที่จะพบเจอเป้าหมายให้เราทำให้เพียบพร้อม และวันนี้เราแทบจะได้หมดหวังในตัวพวกเจ้าแล้ว  เราได้สำรวจค้นท่ามกลางพวกเจ้าเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ก็ยากลำบากที่จะพบเจอใครสักคนที่สามารถเป็นคนรู้ใจของเราได้  เรารู้สึกราวกับว่าเราไม่มีความมั่นใจที่จะทำงานในตัวพวกเจ้าต่อไป และไม่มีความรักที่จะใช้เพื่อรักพวกเจ้าต่อไป  นี่เป็นเพราะนานมาแล้วที่เราได้กลายเป็นขยะแขยง “ความสำเร็จลุล่วง” ของพวกเจ้า ซึ่งเล็กจิ๋วและน่าเวทนาดั่งที่เป็นอยู่ ดูราวกับว่าเราไม่เคยได้พูดท่ามกลางพวกเจ้าและไม่เคยได้ทำงานในตัวพวกเจ้าเลย  การสัมฤทธิ์ผลของพวกเจ้าน่าคลื่นเหียนเหลือเกิน  พวกเจ้ามักจะนำความล่มสลายและความน่าละอายมาสู่ตัวเองเสมอ และพวกเจ้าก็แทบจะไม่มีคุณค่าใดเลย  เราแทบจะไม่สามารถพบเจอสภาพเสมือนของมนุษย์ในพวกเจ้า อีกทั้งแทบไม่ได้กลิ่นร่องรอยของมนุษย์  กลิ่นสดใหม่ของพวกเจ้าอยู่ที่ใดหนอ?  ราคาที่พวกเจ้าได้จ่ายไปตลอดหลายปีมานี้อยู่ตรงไหน และผลลัพธ์ทั้งหลายอยู่ที่ใด?  พวกเจ้าไม่เคยได้พบบ้างเลยหรือ?  บัดนี้งานของเรามีการเริ่มต้นใหม่ การเปิดตัวครั้งใหม่  เรากำลังจะดำเนินการตามแผนการอันอลังการ และเราต้องการสำเร็จลุล่วงงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ กระนั้นพวกเจ้ายังกำลังเกลือกกลิ้งอยู่ในโคลนตมเหมือนแต่ก่อนอยู่ดี โดยดำรงชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำโสโครกของอดีต และได้ล้มเหลวไปแล้วจริงๆ ในการที่จะปลดปล่อยตัวเองจากที่นั่งลำบากดั้งเดิมของพวกเจ้า  เพราะฉะนั้นพวกเจ้ายังคงไม่ได้รับสิ่งใดจากวจนะของเรา  พวกเจ้ายังคงไม่ได้ปลดปล่อยตัวเองจากสถานที่ดั้งเดิมแห่งโคลนตมและน้ำโสโครกของพวกเจ้า และพวกเจ้าแค่รู้จักวจนะของเราเท่านั้น แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว พวกเจ้าไม่ได้เข้าสู่อาณาจักรแห่งอิสรภาพของวจนะของเรา ดังนั้นวจนะของเราจึงไม่เคยได้ถูกเปิดกว้างต่อพวกเจ้า วจนะของเราเป็นเหมือนหนังสือแห่งคำเผยพระวจนะที่ได้ถูกปิดผนึกมานานหลายพันปี  เราปรากฏต่อพวกเจ้าในชีวิตของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ไม่ตระหนักรู้เสมอ  พวกเจ้าไม่แม้แต่จะจำเราได้  เกือบครึ่งหนึ่งของวจนะที่เราพูดก็เพื่อการพิพากษาพวกเจ้า และสัมฤทธิ์ผลเพียงครึ่งหนึ่งของผลที่ควรจะสัมฤทธิ์ ซึ่งก็คือการปลูกฝังความกลัวลึกๆ ในพวกเจ้า  ครึ่งที่เหลือนั้นประกอบด้วยวจนะที่จะสอนพวกเจ้าเกี่ยวกับชีวิตและวิธีประพฤติปฏิบัติตนของพวกเจ้าเอง  อย่างไรก็ตามคงจะดูเหมือนว่าในความเห็นของพวกเจ้า วจนะเหล่านี้ไม่แม้แต่จะมีอยู่จริง หรือราวกับว่าพวกเจ้ากำลังฟังคำพูดของเด็กๆ คำพูดที่พวกเจ้าแอบยิ้มให้เสมอ แต่ไม่มีวันลงมือทำตามนั้น  พวกเจ้าไม่เคยเป็นกังวลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย โดยเบื้องต้นแล้วมักเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นเสมอที่ทำให้พวกเจ้าได้สังเกตการณ์การกระทำของเรา และผลลัพธ์ก็คือ บัดนี้พวกเจ้าได้หล่นลงสู่ความมืดและไม่สามารถมองเห็นความสว่างได้ และดังนั้นพวกเจ้าจึงร้องไห้อย่างน่าสังเวชอยู่ในความมืด  สิ่งที่เราต้องการคือการเชื่อฟังของพวกเจ้า การเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้ของพวกเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น เราพึงประสงค์ให้พวกเจ้าแน่ใจอย่างแท้จริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูด  พวกเจ้าไม่ควรจะนำท่าทีเมินเฉยมาใช้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเจ้าไม่ควรทำการคัดเลือกที่จะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายที่เราพูด อีกทั้งไม่แยแสต่อวจนะของเราและงานของเรา อันเป็นนิสัยที่เคยชินของพวกเจ้า  งานของเราถูกทำท่ามกลางพวกเจ้า และเราได้มอบวจนะของเรามากมายมหาศาลให้กับพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้าปฏิบัติต่อเราในหนทางนี้ เราก็ทำได้เพียงนำสิ่งที่พวกเจ้าทั้งไม่ได้รับและไม่ได้นำไปปฏิบัติ ไปมอบให้แก่ครอบครัวคนต่างชาติทั้งหลายเท่านั้นเอง  ใครเล่าท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ไม่ได้ถูกเรากุมไว้ในมือของเรา?  คนส่วนใหญ่ท่ามกลางพวกเจ้าเป็น “ผู้สูงวัยที่สุกงอม” และพวกเจ้าไม่มีพลังงานที่จะยอมรับงานประเภทนี้ที่เรามี  พวกเจ้าเป็นเหมือนนกหานฮ่าว[ก] ซึ่งก็แค่อยู่ไปวันๆ และพวกเจ้าไม่เคยได้ปฏิบัติต่อวจนะของเราอย่างจริงจัง  ผู้คนหนุ่มสาวก็ไร้สาระและหลงระเริงอย่างสุดขั้ว และยิ่งคำนึงถึงงานของเราน้อยเข้าไปใหญ่  พวกเขาไม่มีความสนใจการจัดงานกินเลี้ยงอาหารอันโอชะทั้งหลายของเรา พวกเขาเป็นเหมือนนกน้อยตัวหนึ่งที่ได้บินออกจากกรงของมันไปเพื่อผจญภัยในที่ห่างไกล  ผู้คนหนุ่มสาวและสูงวัยประเภทเหล่านี้สามารถมีประโยชน์กับเราได้อย่างไรหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะสำหรับผู้เยาว์และผู้สูงวัย

เชิงอรรถ:

ก. เรื่องของนกหานฮ่าวนั้นคล้ายคลึงอย่างมากกับนิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตน  นกหานฮ่าวเลือกชอบที่จะนอนแทนที่จะสร้างรังในยามที่อากาศอบอุ่น ทั้งที่นกกางเขน เพื่อนบ้านของเขาจะคอยเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ครั้นฤดูหนาวมาถึง เจ้านกตัวนี้ก็หนาวจัดจนถึงแก่ความตาย


พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 345

แม้ว่าพวกเจ้าผู้คนหนุ่มสาวทั้งหมดเป็นเหมือนสิงโตอ่อนเยาว์ แต่พวกเจ้าแทบไม่มีหนทางที่แท้จริงในหัวใจของพวกเจ้า  ความอ่อนเยาว์ของพวกเจ้าไม่ทำให้พวกเจ้ามีสิทธิ์ที่จะทำงานของเรามากขึ้น ในทางตรงกันข้าม เจ้ามักจะยั่วยุความขยะแขยงของเราที่มีต่อพวกเจ้าเสมอ  แม้ว่าพวกเจ้ายังอ่อนเยาว์ แต่พวกเจ้าก็ขาดความมีชีวิตชีวาหรือความมักใหญ่ใฝ่สูง และตลอดเวลา พวกเจ้าก็ไม่ยอมผูกมัดตัวเองเกี่ยวกับอนาคตของพวกเจ้า ราวกับว่าพวกเจ้าไม่แยแสและวิตกจริต  อาจกล่าวได้ว่าความมีชีวิตชีวา อุดมคติทั้งหลาย และจุดยืนที่ใช้ซึ่งควรพบเจอในผู้คนหนุ่มสาวกลับไม่สามารถพบเจอได้ในตัวพวกเจ้าโดยสิ้นเชิง บุคคลอ่อนเยาว์ประเภทนี้อย่างเจ้าไม่มีจุดยืนและไม่มีความสามารถที่จะจำแนกความต่างระหว่างถูกและผิด ความดีและความชั่ว ความงามและความอัปลักษณ์ได้  เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบเจอองค์ประกอบอันใดของพวกเจ้าที่สดใหม่  พวกเจ้าแทบจะล้าสมัยไปทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว และบุคคลอ่อนเยาว์ประเภทนี้อย่างเจ้าก็ได้เรียนรู้ที่จะติดตามฝูงชน เป็นพวกไม่สมเหตุสมผลด้วยเช่นกัน  พวกเจ้าไม่มีวันสามารถจำแนกถูกออกจากผิดได้อย่างชัดเจน ไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างจริงและเท็จ ไม่เคยเพียรพยายามเพื่อความเป็นเลิศ อีกทั้งพวกเจ้าก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรถูกและอะไรผิด อะไรคือความจริงและอะไรคือความหน้าซื่อใจคด  มีกลิ่นเหม็นของศาสนาที่หนักกว่าและรุนแรงกว่าอยู่รอบตัวพวกเจ้ามากกว่าที่มีอยู่รอบตัวผู้สูงอายุ  พวกเจ้าถึงกับโอหังและไร้เหตุผล เจ้าประชันขันแข่ง และความรักใคร่ของเจ้าที่มีต่อความก้าวร้าวนั้นก็รุนแรงมาก—บุคคลอ่อนเยาว์ประเภทนี้จะสามารถครองความจริงได้อย่างไรหรือ?  ใครบางคนที่ไม่สามารถมีจุดยืนได้จะสามารถยืนหยัดเป็นพยานได้อย่างไร?  ใครบางคนที่ไม่มีความสามารถที่จะบอกความแตกต่างระหว่างถูกและผิดจะสามารถถูกเรียกว่าบุคคลอ่อนเยาว์ได้อย่างไร?  ใครบางคนที่ไม่มีความมีชีวิตชีวา กำลงวังชา ความสดใหม่ ความสงบใจเย็นและความมั่นคงหนักแน่นของบุคคลอ่อนเยาว์ จะสามารถถูกเรียกว่าผู้ติดตามของเราได้อย่างไร?  ใครบางคนที่ไม่มีความจริง ไม่มีสำนึกของความยุติธรรม แต่เป็นผู้ที่รักการเล่นและการต่อสู้ จะสามารถมีค่าคู่ควรต่อการเป็นพยานของเราได้อย่างไร?  ดวงตาที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและอคติต่อผู้อื่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนหนุ่มสาวควรมี และผู้คนหนุ่มสาวไม่ควรดำเนินการกระทำในเชิงทำลายล้างน่าสะอิดสะเอียน  พวกเขาไม่ควรปราศจากอุดมคติ ความทะเยอทะยานและความอยากแบบมีใจกระตือรือร้นที่จะทำให้ตนเองดีขึ้น พวกเขาไม่ควรท้อแท้เกี่ยวกับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ และพวกเขาไม่ควรสูญเสียความหวังในชีวิตหรือความมั่นใจในอนาคต พวกเขาควรมีความเพียรพยายามที่จะดำเนินต่อไปตามหนทางแห่งความจริงที่บัดนี้พวกเขาได้เลือกแล้ว—เพื่อตระหนักถึงความปรารถนาของพวกเขาที่จะสละทั้งชีวิตของพวกเขาเพื่อเรา  พวกเขาไม่ควรอยู่โดยปราศจากความจริง อีกทั้งพวกเขาไม่ควรเก็บงำความหน้าซื่อใจคดและความไม่ชอบธรรม—พวกเขาควรตั้งมั่นในจุดยืนที่เหมาะสม  พวกเขาไม่ควรล่องลอยตามไปเฉยๆ แต่ควรมีจิตวิญญาณที่กล้าที่จะทำการพลีอุทิศและดิ้นรนต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริง  ผู้คนหนุ่มสาวควรมีความกล้าหาญที่จะไม่ยอมจำนนต่อการบีบคั้นโดยกำลังบังคับแห่งความมืดและที่จะแปลงสภาพนัยสำคัญแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา  ผู้คนอ่อนเยาว์ไม่ควรยอมรับความทุกข์ยากด้วยความไม่เต็มใจ แต่ควรเปิดกว้างและเปิดเผยจริงใจ ด้วยจิตวิญญาณแห่งการให้อภัยสำหรับพี่น้องชายหญิงของพวกเขา  แน่นอนว่าเหล่านี้คือข้อพึงประสงค์ของเราที่มีต่อทุกคน และคำแนะนำของเราแก่ทุกคน  แต่ยิ่งไปกว่านั้น เหล่านี้เป็นวจนะปลอบขวัญของเราสำหรับผู้คนหนุ่มสาวทั้งหมด  พวกเจ้าควรปฏิบัติโดยสอดคล้องกับวจนะของเรา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนหนุ่มสาวไม่ควรปราศจากความแน่วแน่ที่จะนำวิจารณญาณมาใช้ในประเด็นปัญหาทั้งหลาย และที่จะแสวงหาความยุติธรรมและความจริง  พวกเจ้าควรไล่ตามเสาะหาทุกสรรพสิ่งที่งดงามและดีงาม และพวกเจ้าควรได้รับความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวกทั้งหมด  เจ้าควรมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของเจ้า และเจ้าต้องไม่ใช้ชีวิตอย่างไม่เอาใจใส่  ผู้คนมายังแผ่นดินโลกและแทบไม่ได้เผชิญหน้ากับเรา และก็แทบไม่ค่อยมีโอกาสแสวงหาและได้รับความจริงด้วยเช่นกัน  เหตุใดพวกเจ้าจึงจะไม่ให้รางวัลแก่เวลาอันงดงามนี้ ในฐานะเส้นทางที่ถูกซึ่งต้องไล่ตามเสาะหาในชีวิตนี้เล่า?  และเหตุใดเล่าเจ้าจึงเมินเฉยเหลือเกินต่อความจริงและความยุติธรรมเสมอ?  เหตุใดพวกเจ้าจึงกำลังเหยียบย่ำและทำให้ตัวเองล่มสลายอยู่เสมอ เพื่อความไม่ชอบธรรมและความโสมมที่ใช้ผู้คนเป็นของเล่น?  และเหตุใดพวกเจ้าจึงทำตัวเหมือนผู้คนสูงวัยเหล่านั้นที่มีส่วนร่วมในสิ่งที่พวกที่ไม่ชอบธรรมนั้นทำกัน?  เหตุใดเล่าเจ้าจึงเลียนแบบหนทางเก่าๆ ของสิ่งเก่าๆ?  ชีวิตของพวกเจ้าควรจะเต็มไปด้วยความยุติธรรม ความจริงและความบริสุทธิ์ ชีวิตของพวกเจ้าไม่ควรต่ำทรามยิ่งนักในวัยหนุ่มสาวเช่นนี้ อันจะนำทางพวกเจ้าให้ร่วงลงสู่แดนคนตาย  พวกเจ้าไม่รู้สึกว่านี่คงจะเป็นโชคร้ายที่เลวร้ายหรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่รู้สึกว่านี่คงจะไม่ยุติธรรมอย่างเลวร้ายหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะสำหรับผู้เยาว์และผู้สูงวัย

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 346

หากพระราชกิจมากมายและพระวจนะมากมายไม่มีผลต่อเจ้าเลย เช่นนั้นแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผยแผ่พระราชกิจของพระเจ้า เจ้าก็ย่อมจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ และจะอับอาย และถูกเหยียดหยาม  ณ เวลานั้น เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าติดค้างพระเจ้ามากมายเหลือเกิน รู้สึกว่าความรู้ของเจ้าในเรื่องของพระเจ้านั้นช่างผิวเผินเหลือเกิน  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้ในเรื่องของพระเจ้าในวันนี้ ในขณะที่พระองค์กำลังทรงพระราชกิจอยู่แล้วไซร้ ต่อไปภายหลังมันย่อมจะสายเกินไป  ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าจะไม่มีความรู้ใดให้พูดถึงเลย—เจ้าจะถูกทิ้งให้ว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรเลย  เจ้าจะใช้อะไรอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า?  เจ้ากล้าดีที่จะพิจารณาตัดสินพระเจ้าหรือ?  เจ้าควรทุ่มเททำงานในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเสียแต่บัดนี้ เพื่อที่ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะรู้เหมือนกับเปโตร ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้านั้นมีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างไรกันแน่ และรู้ว่าโดยปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์แล้ว มนุษย์ย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ และทำได้เพียงจมลงสู่ดินแดนอันโสมมนี้ลึกลงไปทุกที ลงสู่ตะกอนตมลึกลงไปทุกทีเท่านั้น  ผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ใช้เล่ห์กลใส่กัน และปฏิบัติต่อกันอย่างไม่คำนึงถึงความรู้สึก เลิกยำเกรงพระเจ้า  การไม่เชื่อฟังของพวกเขานั้นใหญ่หลวงเกินไป มโนคติที่หลงผิดของพวกเขานั้นมากเกินไป และทั้งหมดล้วนเป็นของซาตาน  อุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์นั้นจะไม่สามารถได้รับการชำระให้สะอาดได้ และเขาจะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ โดยปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า  สิ่งที่พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงแสดงออกในเนื้อหนังนั้นก็คือสิ่งซึ่งแสดงออกโดยพระวิญญาณนั่นเอง และพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำนั้นก็ดำเนินไปโดยสอดคล้องกับสิ่งที่พระวิญญาณทรงกระทำ  วันนี้ หากเจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องของพระราชกิจนี้แล้วไซร้ เจ้าย่อมโง่เขลายิ่งนัก และได้สูญเสียไปอย่างมากมายเหลือเกิน!  หากเจ้ายังไม่ได้รับความรอดของพระเจ้าแล้วไซร้ ความเชื่อของเจ้าย่อมเป็นความเชื่อทางศาสนา และเจ้าก็คือคริสตชนผู้เป็นคนของศาสนา  เพราะเจ้ายึดติดกับคำสอนที่ตายไปแล้ว เจ้าจึงได้สูญเสียพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป ผู้อื่นซึ่งไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้านั้นสามารถได้มาซึ่งความจริงและชีวิต ในขณะที่ความเชื่อของเจ้านั้นไม่สามารถที่จะได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับได้กลายเป็นคนทำชั่ว เป็นใครบางคนที่กระทำการอันสร้างความย่อยยับและความจงเกลียดจงชัง กล่าวคือ เจ้าได้กลายเป็นตัวตลกในมุกตลกของซาตานและเป็นเชลยของซาตานไปเสียแล้ว  พระเจ้ามิได้มีไว้เพื่อให้มนุษย์เชื่อ แต่มีไว้ให้เขารัก และให้เขาไล่ตามเสาะหาและนมัสการ  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาในวันนี้แล้วไซร้ สักวันเจ้าจะต้องพูดว่า “ย้อนกลับไปในตอนนั้น เหตุใดฉันจึงไม่ได้ติดตามพระเจ้าอย่างเหมาะสม ไม่ได้ทำให้พระองค์พึงพอพระทัยอย่างเหมาะสม ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของชีวิตฉัน?  ฉันเสียใจเหลือเกินที่ไม่สามารถนบนอบต่อพระเจ้าในเวลานั้น และไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า  ย้อนกลับไปในตอนนั้น  พระเจ้าได้ตรัสไว้มากมายนัก ฉันสามารถไม่เคยไล่ตามเสาะหาไปได้อย่างไรกัน?  ฉันช่างโง่เง่านัก!”  เจ้าจะเกลียดชังตัวเจ้าเองในระดับหนึ่งทีเดียว  วันนี้ เจ้าไม่เชื่อวจนะที่เรากล่าว และเจ้าไม่ใส่ใจกับมันเลย เมื่อถึงวันที่พระราชกิจนี้เผยแผ่ออกไป และเจ้ามองเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน เจ้าจะเสียใจ และ ณ เวลานั้น เจ้าจะอึ้งและงงงัน  พรทั้งหลายนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าจะชื่นชมพวกมันอย่างไร และความจริงนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหามัน  นี่เจ้าไม่ได้ทำให้ตัวเองน่าเหยียดหยามหรอกหรือ?  วันนี้ ถึงแม้ว่าขั้นตอนถัดไปแห่งพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ก็ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่ขอจากเจ้าและเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ใช้ดำเนินชีวิต  มีพระราชกิจมากมายเหลือเกินและความจริงมากมายเหลือเกิน พวกมันไม่มีค่าคู่ควรที่เจ้าจะรู้หรอกหรือ?  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะปลุกจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาหรือ?  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะทำให้เจ้าเกลียดชังตัวเจ้าเองหรือ?  เจ้าพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานพร้อมกับสันติสุขและความชื่นบาน และสิ่งชูใจเล็กน้อยทางเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ?  เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดหรอกหรือ?  ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน กล่าวคือ เหล่านี้เป็นผู้คนที่มูมมามไปกับเนื้อหนังจนเกินขนาดและสุขสำราญไปกับซาตาน  เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย  เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง  เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก!  เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข?  พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ?  วจนะมากมายเพียงใดแล้วที่ได้กล่าวไปท่ามกลางพวกเจ้า?  งานที่ได้ถูกกระทำไปท่ามกลางพวกเจ้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างนั้นหรือ?  เราได้จัดเตรียมไปมากเพียงใดแล้วท่ามกลางพวกเจ้า?  แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ได้รับมัน?  เจ้ามีอะไรให้ต้องร้องทุกข์หรือ?  นี่ไม่ใช่กรณีที่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยเพราะเจ้าหลงรักเนื้อหนังมากเกินไปหรอกหรือ?  และนี่ไม่ใช่เพราะความคิดของเจ้านั้นฟุ้งซ่านเกินไปหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เง่าเกินไปหรอกหรือ?  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะได้รับพรเหล่านี้ เจ้าสามารถติเตียนพระเจ้าเพราะการที่ไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดได้อย่างนั้นหรือ?  สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา  การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย  คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่?  เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ?  เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ?  พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร  ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป  เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า  เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่?  อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่?  ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ?  เจ้ากล้าดีที่จะมองพระเจ้าหรือ?  หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ?  หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 347

เนื้อหนังของพวกเจ้า ความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้า ความโลภของพวกเจ้า และตัณหาของพวกเจ้านั้นหยั่งรากลึกในตัวพวกเจ้า  สิ่งเหล่านี้กำลังควบคุมหัวใจของพวกเจ้าอยู่เป็นนิตย์จนพวกเจ้าไม่มีกำลังที่จะปลดแอกแห่งความคิดเชิงศักดินาที่เสื่อมเหล่านั้นทิ้งไป  พวกเจ้าทั้งไม่โหยหาที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเจ้าและไม่โหยหาที่จะหนีรอดจากอิทธิพลแห่งความมืด  พวกเจ้าก็แค่ถูกสิ่งเหล่านั้นพันธนาการไว้  แม้ว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะรู้ว่าชีวิตนี้เจ็บปวดเหลือเกินและโลกของมนุษย์นี้มืดมนเหลือเกิน กระนั้นก็ไม่มีพวกเจ้าสักคนเดียวที่มีความกล้าเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเจ้า  พวกเจ้าเพียงแค่ถวิลหาที่จะหนีรอดจากความเป็นจริงต่างๆ ของชีวิตนี้ สัมฤทธิ์สภาวะเหนือธรรมชาติของวิญญาณ และมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบ มีความสุข และเป็นดั่งฟ้าสวรรค์  พวกเจ้าไม่เต็มใจที่จะทนฝ่าความยากลำบากเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตปัจจุบันของพวกเจ้า และพวกเจ้าไม่เต็มใจที่จะค้นหาชีวิตที่พวกเจ้าควรจะเข้าสู่ภายในการพิพากษาและการตีสอนนี้  ตรงกันข้าม พวกเจ้ากลับมีความฝันที่ไม่สมจริงอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับโลกที่สวยงามพ้นวิสัยเนื้อหนังนั่น  ชีวิตที่พวกเจ้าถวิลหาคือชีวิตที่พวกเจ้าสามารถได้มาอย่างไม่เปลืองแรงโดยไม่ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดใดๆ  นั่นไม่สมจริงโดยสิ้นเชิง!  เพราะสิ่งที่พวกเจ้าหวังไม่ใช่การใช้เวลาทั้งชีวิตอย่างมีความหมายในเนื้อหนังและได้รับความจริงในครรลองของชั่วชีวิตหนึ่งๆ นั่นคือการมีชีวิตเพื่อความจริงและการยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะพิจารณาว่าเป็นชีวิตที่ช่วงโชติ แวววาว  พวกเจ้ารู้สึกว่านี่คงจะไม่ใช่ชีวิตที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจหรือมีความหมาย  ในสายตาของพวกเจ้า การมีชีวิตเช่นนี้คงจะรู้สึกเหมือนความอยุติธรรมอย่างหนึ่ง!  แม้ว่าพวกเจ้าจะยอมรับการตีสอนนี้ในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาไม่ใช่การได้รับความจริงหรือการดำเนินชีวิตตามความจริงในปัจจุบัน แต่เป็นการสามารถเข้าสู่ชีวิตที่มีความสุขเหนือวิสัยเนื้อหนังในภายหลังมากกว่า  พวกเจ้าไม่ได้กำลังแสวงหาความจริง และพวกเจ้าไม่ได้กำลังยืนหยัดเพื่อความจริง และแน่นอนว่าพวกเจ้าไม่ได้กำลังดำรงอยู่เพื่อความจริง  พวกเจ้าไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ในวันนี้ แต่ความคิดของพวกเจ้ากลับถูกยึดครองโดยอนาคตและโดยสิ่งที่สักวันหนึ่งอาจจะเกิดขึ้นแทน นั่นคือ พวกเจ้าจับจ้องท้องฟ้าสีคราม หลั่งน้ำตาอันขมขื่น และคาดหวังว่าจะถูกพาไปยังฟ้าสวรรค์สักวันหนึ่ง  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าวิธีคิดของพวกเจ้านั้นหลุดจากความเป็นจริงไปแล้ว?  พวกเจ้าเอาแต่คิดว่าพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงความเมตตาและความสงสารอันไม่สิ้นสุดจะเสด็จมาสักวันหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเพื่อพาเจ้าไปกับพระองค์ เจ้าผู้ซึ่งได้ทนฝ่าความยากลำบากและความทุกข์ในโลกนี้ และคิดว่าพระองค์จะทรงเยียวยาความคับข้องหมองใจของเจ้าและชำระแค้นให้เจ้าที่ตกเป็นเหยื่อและถูกกดขี่  เจ้าไม่ได้เต็มไปด้วยบาปหรอกหรือ?  เจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้ทนทุกข์ในโลกนี้กระนั้นหรือ?  เจ้าได้ตกสู่แดนครอบครองของซาตานด้วยตัวเจ้าเองและได้ทนทุกข์—พระเจ้ายังจำเป็นต้องทรงเยียวยาความคับข้องหมองใจให้เจ้าจริงหรือ?  พวกที่ไม่สามารถสนองข้อเรียกร้องของพระเจ้า—พวกเขาทุกคนไม่ใช่ศัตรูของพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์—พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ?  ความประพฤติดีของเจ้ามีค่าอะไร?  ความประพฤติดีเหล่านั้นสามารถแทนที่หัวใจที่นมัสการพระเจ้าได้หรือ?  เจ้าไม่สามารถรับพรจากพระเจ้าได้โดยเพียงแค่ทำความประพฤติดีบางอย่าง และพระเจ้าจะไม่ทรงเยียวยาความคับข้องหมองใจของเจ้าและชำระแค้นให้กับสิ่งร้ายๆ ที่เจ้าถูกกระทำเพียงเพราะเจ้าถูกทำให้เป็นเหยื่อและถูกกดขี่  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า แต่ไม่รู้จักพระเจ้า แต่ทำความประพฤติดี—พวกเขาทั้งหมดไม่ถูกตีสอนด้วยหรอกหรือ?  เจ้าเพียงแค่เชื่อในพระเจ้า เพียงแค่ต้องการให้พระเจ้าทรงแก้ไขและชำระแค้นให้กับสิ่งร้ายๆ ที่เจ้าถูกกระทำ และเจ้าต้องการให้พระเจ้าประทานวันของเจ้าแก่เจ้า วันที่เจ้าสามารถยืนยืดอกได้ในที่สุด  แต่เจ้าปฏิเสธที่จะให้ความสนใจกับความจริง และเจ้าไม่กระหายที่จะดำเนินชีวิตตามความจริง  นับประสาอะไรที่เจ้าจะสามารถหนีรอดจากชีวิตที่ยากลำบากและว่างเปล่านี้ได้  ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนังและใช้ชีวิตแห่งบาปของเจ้า เจ้ากลับมองด้วยความคาดหวังไปที่พระเจ้าเพื่อให้พระองค์ทรงแก้ไขความคับข้องใจของเจ้าและทำให้หมอกมัวแห่งการดำรงอยู่ของเจ้าแยกออกแทน  แต่นี่เป็นไปได้หรือ?  หากเจ้าครอบครองความจริง เจ้าก็จะสามารถติดตามพระเจ้าได้  หากเจ้ามีการดำเนินชีวิต เจ้าก็สามารถเป็นการสำแดงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้  หากเจ้ามีชีวิต เจ้าก็จะสามารถชื่นชมพรจากพระเจ้าได้  บรรดาผู้ที่ครอบครองความจริงสามารถชื่นชมพรจากพระเจ้า  พระเจ้าทรงยืนยันการแก้ไขสำหรับบรรดาผู้ที่รักพระองค์อย่างสุดหัวใจและผู้ที่ทนฝ่าความยากลำบากและความทุกข์ แต่ไม่ใช่สำหรับพวกที่รักแต่ตนเองเท่านั้นและพวกที่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงของซาตาน  จะสามารถมีความดีในพวกที่ไม่รักความจริงได้อย่างไร?  จะสามารถมีความชอบธรรมในพวกที่รักแต่เนื้อหนังได้อย่างไร?  ทั้งความชอบธรรมและความดีไม่ได้ถูกพูดถึงเพียงแค่ในการอ้างอิงถึงความจริงหรอกหรือ?  ทั้งสองสิ่งนั้นไม่ได้ถูกสงวนไว้สำหรับบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าอย่างสุดหัวใจหรอกหรือ?  พวกที่ไม่รักความจริงและพวกที่เป็นเพียงซากศพเน่าเหม็น—ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดไม่ได้เก็บงำความชั่วไว้หรอกหรือ?  พวกที่ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามความจริง—พวกเขาทั้งหมดไม่ใช่ศัตรูของความจริงหรอกหรือ?  แล้วพวกเจ้าเล่า?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตอันเปี่ยมความหมายได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 348

เป็นหน้าที่ของเราที่จะจัดการมนุษย์มาตลอด  ยิ่งไปกว่านั้น การพิชิตชัยมนุษย์คือสิ่งที่เราได้กำหนดไว้เมื่อเราได้สร้างโลก  ผู้คนอาจไม่รู้ว่าเราจะพิชิตมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ในยุคสุดท้าย หรือไม่รู้ว่าการพิชิตชัยบรรดาผู้ที่เป็นกบฏท่ามกลางมวลมนุษย์นั้นเป็นหลักฐานของการเอาชนะซาตานของเรา  แต่เมื่อศัตรูของเราได้เข้าร่วมสู้รบกับเรา เราก็ได้บอกมันแล้วว่าเราจะพิชิตพวกที่ซาตานได้จับเป็นเชลยและได้ทำให้เป็นลูกหลานของมัน ให้เป็นผู้รับใช้ที่จงรักภักดีซึ่งได้เฝ้าบ้านของมัน  ความหมายดั้งเดิมของการพิชิตคือการทำให้พ่ายแพ้ การทำให้ได้รับความอัปยศอดสู ในภาษาของคนอิสราเอล มันหมายถึงการทำให้พ่ายแพ้ การทำลาย และการทำให้ไม่สามารถต้านทานเราต่อไปอย่างที่สุด  แต่ในวันนี้ เมื่อถูกนำมาใช้ในหมู่พวกเจ้า ความหมายของมันคือการพิชิต  พวกเจ้าควรรู้ว่าเจตนารมณ์ของเราตลอดมานั้นคือการทำลายและทำให้พวกคนชั่วในหมู่มวลมนุษย์พ่ายแพ้อย่างราบคาบ เพื่อให้พวกเขาไม่สามารถกบฏต่อเราได้อีก และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีลมหายใจที่จะขัดจังหวะหรือรบกวนงานของเรา  ด้วยเหตุนี้ ในแง่ของมนุษย์ ถ้อยคำนี้จึงได้มามีความหมายว่าการพิชิตชัย  ไม่ว่าความหมายโดยนัยต่างๆ ของคำศัพท์คำนี้จะเป็นอย่างไร งานของเราก็คือการทำให้มนุษย์พ่ายแพ้  เพราะในขณะที่มันเป็นจริงที่มวลมนุษย์นั้นเป็นสิ่งเพิ่มเติมต่อการบริหารจัดการของเรา หากจะพูดให้แม่นยำยิ่งขึ้นก็คือ มนุษย์ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากศัตรูของเรา  มนุษย์คือพวกคนทำชั่วที่ต่อต้านและไม่เชื่อฟังเรา  มนุษย์ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากลูกหลานของมารร้ายที่ถูกเราสาปแช่ง  มนุษย์เป็นเพียงพงศ์พันธุ์ของหัวหน้าทูตสวรรค์ที่ทรยศเรา  มนุษย์เป็นเพียงสิ่งที่มารทิ้งเอาไว้ มารที่ถูกเราผลักไสเมื่อนานมาแล้วและเป็นศัตรูที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ของเรานับแต่นั้นมา  เพราะท้องฟ้าเหนือมวลมนุษย์ทั้งมวลนั้นขุ่นมัวและมืด ปราศจากร่องรอยของความชัดเจนแม้แต่เพียงเล็กน้อย และโลกมนุษย์ก็ถลำเข้าสู่ความมืดมิด จนผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นั้นไม่สามารถเห็นแม้กระทั่งมือของเขาที่ยืดจนสุดต่อหน้าของเขาหรือเห็นดวงอาทิตย์เมื่อเขาผงกหัวขึ้น  ถนนใต้ฝ่าเท้าของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยโคลนและมีหลุมอยู่ทุกที่ คดเคี้ยวไปมา ทั้งแผ่นดินเกลื่อนไปด้วยซากศพ  มุมมืดทั้งหลายเต็มไปด้วยซากคนตาย และในมุมที่เยือกเย็นและอยู่ใต้เงาทั้งหลาย ปีศาจหลายฝูงได้เข้าไปอยู่อาศัยแล้ว  และทุกแห่งในโลกของพวกมนุษย์บรรดาปีศาจมาแล้วก็ไปเป็นโขยง  ลูกหลานของเหล่าสัตว์เดียรัจฉานทุกรูปแบบ ซึ่งปกคลุมไปด้วยความโสโครก ติดพันอยู่ในการสู้รบที่ดุเดือด ซึ่งเสียงของมันนั้นก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อหัวใจ  ในช่วงเวลาเช่นนั้น ในโลกเช่นนั้น “สวรรค์ของโลกมนุษย์” เช่นนั้น คนเราไปที่ไหนเพื่อค้นหาความสุขทั้งหลายของชีวิต?  คนเราสามารถไปที่ไหนได้เพื่อค้นหาบั้นปลายของชีวิตของเขา?  มวลมนุษย์ ซึ่งนานมาแล้วได้ถูกเหยียบย่ำภายใต้ฝ่าเท้าของซาตาน ตั้งแต่แรกได้เป็นผู้แสดงที่สวมใส่รูปลักษณ์ของซาตาน—ยิ่งไปกว่านั้น มวลมนุษย์คือร่างทรงของซาตาน และทำหน้าที่เป็นหลักฐานซึ่งเป็นพยานให้แก่ซาตานอย่างกึกก้องและชัดเจน  เผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นนั้น กลุ่มคนชั้นต่ำเสื่อมโทรมเช่นนั้น เชื้อสายเช่นนั้นของตระกูลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้ สามารถเป็นพยานต่อพระเจ้าได้อย่างไร?  สง่าราศีของเรามาจากที่ใดเล่า?  คนเราสามารถเริ่มพูดถึงคำพยานของเราได้ที่ใดเล่า?  เพราะศัตรูซึ่งต่อต้านเราหลังจากได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามแล้ว ได้ครอบครองมวลมนุษย์แล้ว—มวลมนุษย์ซึ่งเราได้สร้างขึ้นนานมาแล้วและซึ่งถูกเติมด้วยสง่าราศีของเราและการใช้ชีวิตของเรา—และได้ทำให้พวกเขาแปดเปื้อน  มันได้ฉกฉวยสง่าราศีของเราไป และทั้งหมดที่มันได้รดใส่มนุษย์ก็คือพิษที่เจือปนอย่างมากมายด้วยความน่าเกลียดของซาตาน และน้ำผลไม้จากผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว  ในปฐมกาล เราได้สร้างมวลมนุษย์ นั่นคือ เราได้สร้างบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ คืออาดัม  เขาได้รับมอบทั้งรูปสัณฐานและรูปลักษณ์ ปริ่มด้วยเรี่ยวแรง ปริ่มด้วยพลังชีวิต และยิ่งไปกว่านั้น ได้อยู่ด้วยกันกับสง่าราศีของเรา  นั่นเป็นวันอันรุ่งโรจน์เมื่อเราได้สร้างมนุษย์  หลังจากนั้น เอวาก็ได้ถูกสร้างขึ้นจากร่างกายของอาดัม และเธอก็เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เช่นกัน และดังนั้นผู้คนที่เราได้สร้างขึ้นจึงถูกเติมด้วยลมหายใจของเราและปริ่มด้วยสง่าราศีของเรา  แต่เดิมนั้น อาดัมถือกำเนิดมาจากมือของเราและเป็นตัวแทนของฉายาของเรา  ด้วยเหตุนี้ ความหมายดั้งเดิมของ “อาดัม” ก็คือสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งที่เราสร้าง ชุ่มฉ่ำไปด้วยพลังชีวิตของเรา ชุ่มฉ่ำไปด้วยสง่าราศีของเรา มีรูปสัณฐานและภาพลักษณ์ มีวิญญาณและลมหายใจ  เขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างขึ้นเพียงสิ่งเดียว ซึ่งมีจิตวิญญาณ ที่มีความสามารถในการเป็นตัวแทนเรา ในการแบกรับฉายาของเรา และได้รับลมหายใจของเรา  ในปฐมกาล เอวาเป็นมนุษย์คนที่สองที่ได้รับมอบลมหายใจผู้ซึ่งเราได้กำหนดการสร้างไว้ ดังนั้นความหมายดั้งเดิมของ “เอวา” ก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้ที่จะดำเนินสง่าราศีของเราต่อไป ถูกเติมด้วยพลังชีวิตของเราและยิ่งไปกว่านั้นคือได้รับมอบสง่าราศีของเรา เอวามาจากอาดัม ดังนั้นเธอจึงมีฉายาของเราด้วยเช่นกัน เพราะเธอเป็นมนุษย์คนที่สองที่ถูกสร้างขึ้นในฉายาของเรา  ความหมายดั้งเดิมของ “เอวา” ก็คือมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ มีจิตวิญญาณ เนื้อหนัง และกระดูก คำพยานที่สองของเรา รวมทั้งฉายาที่สองของเราท่ามกลางมวลมนุษย์  พวกเขาคือบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ เป็นสมบัติอันบริสุทธิ์และล้ำค่าของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตที่ได้รับมอบจิตวิญญาณตั้งแต่แรก อย่างไรก็ดี มารร้ายได้เหยียบย่ำและได้จับลูกหลานของบรรพบุรุษของมวลมนุษย์เป็นเชลย ผลักโลกมนุษย์จมดิ่งสู่ความมืดมิด และทำให้มันเป็นไปเพื่อที่ว่าลูกหลานจะไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของเราอีกต่อไป  ที่น่าสะอิดสะเอียนมากยิ่งกว่าก็คือว่า แม้ในขณะที่มารร้ายทำให้ผู้คนเสื่อมทรามและเหยียบย่ำพวกเขา มันกำลังกระชากสง่าราศีของเรา คำพยานของเรา พลังชีวิตที่เราได้มอบให้พวกเขา ลมหายใจและชีวิตที่เราได้เป่าเข้าไปในพวกเขา สง่าราศีทั้งหมดของเราในโลกมนุษย์ และโลหิตของหัวใจทั้งหมดที่เราได้ใช้กับมวลมนุษย์อย่างโหดร้าย  มนุษยชาติไม่ได้อยู่ในความสว่างอีกต่อไป ผู้คนได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มอบให้พวกเขา และพวกเขาได้ละทิ้งสง่าราศีที่เราได้ให้ไว้  พวกเขาสามารถรับรู้ว่าเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างทั้งมวลได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถเชื่อต่อไปในการดำรงอยู่ของเราในสวรรค์ได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถค้นพบการสำแดงต่างๆ ของสง่าราศีของเราบนแผ่นดินโลกได้อย่างไร?  บรรดาหลานชายและหลานสาวเหล่านี้สามารถรับพระเจ้าซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขาเอง ได้เคารพยำเกรงในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้สร้างพวกเขาได้อย่างไร?  บรรดาหลานชายและหลานสาวที่น่าสงสารเหล่านี้ได้ “มอบ” สง่าราศี ฉายา และคำพยานซึ่งเราได้ให้แก่อาดัมและเอวา รวมทั้งชีวิตซึ่งเราได้ให้แก่มวลมนุษย์และซึ่งพวกเขาพึ่งพาเพื่อที่จะดำรงอยู่ ให้กับมารร้ายอย่างมีน้ำใจ และพวกเขาไม่ใส่ใจในการปรากฏของมารร้ายอย่างที่สุด และมอบสง่าราศีของเราทั้งหมดให้กับมัน  นี่ไม่ใช่แหล่งที่มาที่แท้จริงของชื่อ “คนชั้นต่ำ” หรอกหรือ?  มวลมนุษย์เช่นนั้น บรรดาปีศาจชั่วร้ายเช่นนั้น บรรดาซากศพเดินได้เช่นนั้น บรรดาร่างจำแลงของซาตานเช่นนั้น เหล่าศัตรูเช่นนั้นของเราจะสามารถครอบครองสง่าราศีของเราได้อย่างไร?  เราจะกลับเข้าครอบครองสง่าราศีของเรา กลับเข้าครอบครองคำพยานของเราซึ่งมีอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์ และทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเราและซึ่งเราได้มอบให้มวลมนุษย์นานมาแล้ว—เราจะพิชิตมวลมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์  อย่างไรก็ดี เจ้าควรรู้ว่าพวกมนุษย์ที่เราได้สร้างนั้นเป็นพวกคนบริสุทธิ์ซึ่งได้รับฉายาของเราและสง่าราศีของเรา  พวกเขาไม่ได้เป็นของซาตาน และพวกเขาไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การเหยียบย่ำของมัน แต่เป็นเพียงการสำแดงอย่างหนึ่งของเรา ซึ่งปราศจากร่องรอยของพิษของซาตานแม้แต่เพียงเล็กน้อย  และดังนั้น เราแจ้งต่อมนุษยชาติว่าเราต้องการเพียงสิ่งซึ่งถูกสร้างด้วยมือของเรา บรรดาคนบริสุทธิ์ที่เรารักและซึ่งไม่ได้เป็นของแก่นแท้อื่นใด  ยิ่งไปกว่านั้น เราจะมีความพอใจในตัวพวกเขาและพิจารณาพวกเขาว่าเป็นสง่าราศีของเรา  อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่มวลมนุษย์ซึ่งได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว ซึ่งเป็นของซาตานในวันนี้ และซึ่งไม่ใช่สรรพสิ่งดั้งเดิมที่เราสร้างอีกต่อไป  เพราะเราเจตนาที่จะกลับเข้าครอบครองสง่าราศีของเราซึ่งมีอยู่ในโลกมนุษย์ เราจะพิชิตบรรดาผู้รอดชีวิตท่ามกลางมวลมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงสง่าราศีของเราในการทำให้ซาตานพ่ายแพ้  เราถือว่าคำพยานของเราเท่านั้นเป็นการตกผลึกของตัวเราเอง เป็นวัตถุแห่งความชื่นชมยินดีของเรา  นี่คือเจตจำนงของเรา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเป็นมนุษย์ที่แท้จริงหมายถึงอะไร

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 349

ต้องใช้เวลาหลายหมื่นปีของประวัติศาสตร์เพื่อให้มวลมนุษย์ไปถึงที่ที่ดำรงอยู่ในวันนี้ กระนั้นมวลมนุษย์ที่เราได้สร้างขึ้นในปฐมกาลก็ได้จมดิ่งสู่ความเสื่อมโทรมมานานตั้งแต่นั้น  สภาวะความเป็นมนุษย์ไม่ใช่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่เราอยากได้อีกต่อไป และด้วยเหตุนี้ ในสายตาของเรา ผู้คนไม่คู่ควรกับชื่อของมนุษยชาติอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเป็นคนชั้นต่ำของมนุษยชาติซึ่งซาตานได้จับเป็นเชลย เป็นซากศพเดินได้ที่เน่าเปื่อยซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของซาตาน และเป็นสิ่งที่ซาตานสวมใส่ให้กับตัวมัน  ผู้คนไม่มีความไว้วางใจในการดำรงอยู่ของเราอีกต่อไป อีกทั้งพวกเขาไม่ต้อนรับการมาของเรา  มวลมนุษย์เพียงแค่ตอบสนองต่อคำร้องขอต่างๆ ของเราอย่างไม่เต็มใจ ยอมตามคำขอเหล่านั้นอย่างเป็นการชั่วคราว และไม่แบ่งปันความชื่นบานยินดีและความโศกเศร้าต่างๆ ของชีวิตกับเราอย่างจริงใจ  เนื่องจากผู้คนเห็นว่าเรานั้นไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ พวกเขาจึงมอบรอยยิ้มที่ไม่เต็มใจให้เรา ท่าทีของพวกเขาเป็นแบบที่พยายามเริ่มมีสัมพันธภาพกับผู้ที่มีอำนาจ เพราะผู้คนไม่มีความรู้เรื่องงานของเรา และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจตจำนงของเรา ณ ปัจจุบัน  เราจะซื่อสัตย์กับพวกเจ้า กล่าวคือ เมื่อวันนั้นมาถึง ความทุกข์ของใครก็ตามที่นมัสการเราจะแบกรับง่ายกว่าของพวกเจ้า  อันที่จริงแล้ว ระดับของความเชื่อในเราของเจ้าไม่เกินระดับของความเชื่อของโยบ—แม้แต่ความเชื่อของพวกฟาริสีชาวยิวยังเหนือกว่าความเชื่อของพวกเจ้า—และดังนั้น หากวันแห่งไฟลงมา ความทุกข์ของพวกเจ้าจะรุนแรงกว่าความทุกข์ของพวกฟาริสีเมื่อถูกพระเยซูทรงว่ากล่าว รุนแรงกว่าความทุกข์ของผู้นำ 250 คนที่ได้ต่อต้านโมเสส และรุนแรงกว่าความทุกข์ของโสโดมภายใต้เปลวไฟที่แผดเผาของการทำลายล้างของมัน  เมื่อโมเสสทุบก้อนหิน และน้ำที่พระยาห์เวห์ประทานได้ผุดออกมา มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา  เมื่อดาวิดได้เล่นพิณตั้งเพื่อสรรเสริญเรา พระยาห์เวห์—ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความชื่นบานยินดีของเขา—มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา  เมื่อโยบสูญเสียปศุสัตว์ของเขาซึ่งเต็มภูเขาทั้งหลายและความมั่งคั่งมากมายเกินบรรยาย และร่างกายของเขาได้กลายเป็นถูกปกคลุมไปด้วยฝีที่เจ็บปวด มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา  เมื่อเขาสามารถได้ยินเสียงของเรา พระยาห์เวห์ และเห็นสง่าราศีของเรา พระยาห์เวห์ มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา  การที่เปโตรสามารถติดตามพระเยซูคริสต์ได้ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขา  การที่เขาสามารถถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อเห็นแก่เราและมอบคำพยานอันรุ่งโรจน์ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขาเช่นกัน  เมื่อยอห์นได้เห็นฉายาอันรุ่งโรจน์ของบุตรมนุษย์ มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา  เมื่อเขาได้เห็นนิมิตแห่งยุคสุดท้าย มันเป็นเพราะความเชื่อของเขามากขึ้นไปอีก  สาเหตุที่ชนต่างชาติทั้งหลายดังที่เรียกขานกันนั้นได้รับวิวรณ์ของเรา และได้มารู้ว่าเราได้กลับมาในเนื้อหนังแล้วเพื่อทำงานของเราท่ามกลางมนุษย์ ก็เป็นเพราะความเชื่อของพวกเขาเช่นกัน  ทุกคนที่ถูกทำร้ายโดยถ้อยคำเกรี้ยวกราดของเราและกระนั้นกลับได้รับการปลอบใจจากถ้อยคำเหล่านั้น และได้รับการช่วยให้รอด—พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะความเชื่อของพวกเขาหรอกหรือ?  พวกที่เชื่อในเราแต่ที่ยังไม่ได้ทนทุกข์กับความยากลำบาก พวกเขาไม่ได้ถูกปฏิเสธจากโลกด้วยเช่นกันหรอกหรือ?  พวกที่ใช้ชีวิตนอกวจนะของเรา หลบหนีความทุกข์แห่งการทดสอบ พวกเขาทั้งหมดไม่ใช่กำลังล่องลอยผ่านโลกหรอกหรือ?  พวกเขาเป็นเหมือนกับใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงที่ปลิวสะบัดตรงนั้นตรงนี้ โดยไม่มีที่ให้หยุดพัก และยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้อยคำปลอบประโลมของเรา  แม้ว่าการตีสอนและกระบวนการถลุงของเราจะไม่ติดตามพวกเขาไป พวกเขาไม่ใช่บรรดาขอทานที่เร่ร่อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เตร็ดเตร่บนท้องถนนนอกราชอาณาจักรแห่งสวรรค์หรอกหรือ?  โลกคือที่หยุดพักของเจ้าจริงๆ หรือ?  โดยการหลีกเลี่ยงการตีสอนของเรา เจ้าสามารถบรรลุรอยยิ้มบางที่สุด ซึ่งแสดงความปลาบปลื้มจากโลกได้จริงๆ หรือ?  เจ้าสามารถใช้ความชื่นชมยินดีชั่วขณะเดียวของเจ้าเพื่อปกปิดความว่างเปล่าในหัวใจของเจ้า ความว่างเปล่าซึ่งไม่สามารถปกปิดได้ ได้จริงๆ หรือ?  เจ้าอาจมีความสามารถหลอกทุกคนในครอบครัวของเจ้าได้ แต่เจ้าไม่มีวันสามารถหลอกเราได้  เพราะความเชื่อของเจ้านั้นมีน้อยเกินไป จนถึงทุกวันนี้ เจ้าจึงยังคงไร้พลังอำนาจที่จะค้นพบความปีติยินดีใดๆ ที่ชีวิตมีให้  เราเร่งเร้าเจ้า กล่าวคือ การใช้ครึ่งชีวิตของเจ้าอย่างจริงใจเพื่อเห็นแก่เราดีกว่าการใช้ทั้งชีวิตของเจ้าในเรื่องธรรมดาสามัญและงานที่ทำให้ยุ่งและไม่มีประโยชน์สำหรับเนื้อหนัง สู้ทนความทุกข์ทั้งมวลที่มนุษย์คนหนึ่งแทบจะไม่สามารถทนได้  การหวงแหนความล้ำค่าของตัวเจ้าเองมากมายยิ่งนักและหลบหนีจากการตีสอนของเราเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ใดเล่า?  การซ่อนตัวเจ้าเองจากการตีสอนชั่วขณะของเราเพียงเพื่อเก็บเกี่ยวความน่าตะขิดตะขวงใจชั่วนิรันดร์ การตีสอนชั่วนิรันดร์ เป็นไปเพื่อจุดประสงค์ใดเล่า?  โดยข้อเท็จจริงแล้ว เราไม่บิดงอผู้ใดต่อเจตจำนงของเรา  หากใครบางคนเต็มใจที่จะนบนอบต่อแผนการของเราทั้งหมดอย่างแท้จริง เราก็จะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างอ่อนด้อย  แต่เราพึงประสงค์ให้ผู้คนทั้งหมดเชื่อในเรา ดั่งเช่นที่โยบได้เชื่อในเรา พระยาห์เวห์  หากความเชื่อของพวกเจ้าเกินกว่าความเชื่อของโธมัส เช่นนั้นแล้วความเชื่อของพวกเจ้าก็จะบรรลุคำชมเชยจากเรา ในความจงรักภักดีของพวกเจ้านั้นเจ้าจะพบความสุขอันล้นพ้นของเรา และเจ้าจะพบสง่าราศีของเราในวันต่างๆ ของพวกเจ้าอย่างแน่นอน  อย่างไรก็ดี ผู้คนที่เชื่อในโลกและเชื่อในมารได้ทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง ดั่งเช่นมวลชนแห่งเมืองโสโดม โดยมีเม็ดทรายที่ลมพัดพาในดวงตาของพวกเขาและเครื่องบูชาจากมารในปากของพวกเขา ผู้ซึ่งจิตใจที่ยุ่งเหยิงนานมาแล้วได้ถูกครอบครองโดยมารร้ายซึ่งได้ช่วงชิงโลกไปแล้ว  ความคิดต่างๆ ของพวกเขาเกือบจะตกเป็นเชลยของมารแห่งยุคโบราณทั้งหมดทั้งสิ้น  และดังนั้น ความเชื่อของมวลมนุษย์จึงได้ลอยไปกับสายลม และพวกเขาไร้ความสามารถแม้แต่ที่จะสังเกตเห็นงานของเรา  ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือพยายามอย่างเสาะแสะที่จะปฏิบัติต่องานของเราอย่างพอเป็นพิธี หรือวิเคราะห์งานของเราอย่างลวกๆ เพราะพวกเขาได้ถูกครอบครองโดยพิษของซาตานนานมาแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเป็นมนุษย์ที่แท้จริงหมายถึงอะไร

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 350

เราจะพิชิตมวลมนุษย์เพราะผู้คนถูกเราสร้าง และยิ่งไปกว่านั้น ได้ชื่นชมวัตถุอันอุดมสมบูรณ์ทั้งหมดที่เป็นสรรพสิ่งทรงสร้างของเรา  แต่ผู้คนยังได้ปฏิเสธเราเช่นกัน เราหายไปจากหัวใจของพวกเขา และพวกเขามองเราว่าเป็นภาระบนการดำรงอยู่ของพวกเขา จนถึงจุดที่ เมื่อได้เห็นเราอย่างแท้จริงแล้ว พวกเขายังคงปฏิเสธเรา และเค้นสมองของพวกเขาในการคิดหาทางที่เป็นไปได้ทุกทางที่จะทำให้เราพ่ายแพ้  ผู้คนไม่ยอมให้เราปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างจริงจังหรือทำการเรียกร้องที่เข้มงวดกับพวกเขา อีกทั้งพวกเขาไม่อนุญาตให้เราพิพากษาหรือตีสอนความไม่ชอบธรรมของพวกเขา  แทนที่จะพบว่าเรื่องนี้น่าสนใจ พวกเขากลับพบว่ามันน่ารำคาญ  และดังนั้นงานของเราก็คือการรับมวลมนุษย์ซึ่งกิน ดื่ม และสนุกสนานมากกับเรา แต่ไม่รู้จักเรา และทำให้พวกเขาพ่ายแพ้  เราจะปลดอาวุธมนุษยชาติ และจากนั้น เราจะกลับไปยังสถานที่พักอาศัยของเรา โดยนำเหล่าทูตสวรรค์ของเรา โดยนำสง่าราศีของเราไปด้วย  เพราะการกระทำต่างๆ ของผู้คนได้ทำให้หัวใจเราแตกสลายและทำให้งานของเราแตกเป็นชิ้นๆ มานานแล้ว เราจึงเจตนาที่จะกลับเข้าครอบครองสง่าราศีซึ่งมารร้ายได้ฉวยเอาไปก่อนที่เราจะเดินจากไปอย่างมีความสุข ยอมให้มวลมนุษย์ใช้ชีวิตของพวกเขาต่อไป “ดำเนินชีวิตและทำงานด้วยความสงบสุขและความพอใจ” ต่อไป “ดำเนินการเพาะปลูกบนไร่นาของพวกเขาเอง” ต่อไป และเราจะไม่แทรกแซงชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป  แต่บัดนี้เราตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะกลับเข้าครอบครองสง่าราศีจากมือของมารร้าย นำสง่าราศีทั้งหมดทั้งมวลซึ่งเราได้ก่อขึ้นในตัวมนุษย์ ณ เวลาที่สร้างโลกกลับคืนมา  เราจะไม่มีวันมอบสง่าราศีของเราให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์บนแผ่นดินโลกอีกเลย  เพราะผู้คนไม่ได้เพียงแค่ล้มเหลวในการสงวนรักษาสง่าราศีของเราเท่านั้น แต่พวกเขายังได้แลกเปลี่ยนให้เป็นรูปลักษณ์ของซาตานอีกด้วย  ผู้คนไม่หวงแหนความล้ำค่าของการมาของเรา อีกทั้งพวกเขาไม่ได้นิยมวันแห่งสง่าราศีของเรา  พวกเขาไม่ยินดีที่จะได้รับการตีสอนของเรา นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเต็มใจคืนสง่าราศีของเรามาให้เรา อีกทั้งพวกเขาไม่เต็มใจที่จะละทิ้งพิษของมารร้าย  มนุษยชาติยังคงหลอกลวงเราด้วยวิธีเดิมๆ ต่อไป ผู้คนยังคงมีรอยยิ้มที่สดใสและใบหน้าอันมีความสุขด้วยวิธีเดิมๆ  พวกเขาไม่ตระหนักรู้ถึงความลึกของความมืดมัวซึ่งจะเคลื่อนลงมาสู่มวลมนุษย์หลังจากที่สง่าราศีของเราจากพวกเขาไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ตระหนักรู้ว่าเมื่อวันของเรามาที่มวลมนุษย์ทั้งปวง มันจะยิ่งยากกับพวกเขามากกว่ากับผู้คนในยุคของโนอาห์ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าอิสราเอลได้กลายเป็นมืดมนเพียงใดเมื่อสง่าราศีของเราได้จากไป เพราะมนุษย์ลืมเมื่อถึงยามรุ่งอรุณว่าการผ่านค่ำคืนที่มืดสนิทไปให้ได้นั้นยากเย็นเพียงใด  เมื่อดวงอาทิตย์กลับไปซ่อนตัวอีกครั้งและความมืดลงมาสู่มนุษย์ เขาจะคร่ำครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของเขาในความมืดอีกครั้ง  พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่ามันลำบากยากเย็นเพียงใดที่ชาวอิสราเอลได้สู้ทนวันแห่งความทุกข์เหล่านั้น เมื่อสง่าราศีของเราได้ไปจากประเทศอิสราเอล?  บัดนี้เป็นเวลาที่พวกเจ้าจะได้เห็นสง่าราศีของเรา และยังเป็นเวลาที่พวกเจ้าจะได้แบ่งปันวันแห่งสง่าราศีของเราร่วมกันอีกด้วย  มนุษย์จะคร่ำครวญท่ามกลางความมืดเมื่อสง่าราศีของเราไปจากแผ่นดินที่โสมม  บัดนี้เป็นวันแห่งสง่าราศีเมื่อเราทำงานของเรา และเป็นวันที่เราละเว้นมวลมนุษย์จากความทุกข์ เพราะเราจะไม่แบ่งปันช่วงเวลาของความทรมานและความทุกข์ลำบากร่วมกับพวกเขา  เราต้องประสงค์เพียงพิชิตมวลมนุษย์โดยบริบูรณ์ และทำให้พวกคนทำชั่วในหมู่มวลมนุษย์พ่ายแพ้อย่างราบคาบเท่านั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเป็นมนุษย์ที่แท้จริงหมายถึงอะไร

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 351

เราได้แสวงหาผู้คนมากมายบนโลกนี้เพื่อให้มาเป็นผู้ติดตามของเรา  ในหมู่ผู้ติดตามทั้งหมดเหล่านี้ มีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นนักบวช ผู้ที่เป็นผู้นำ ผู้ที่เป็นบุตรของพระเจ้า ผู้ที่เป็นประชากรของพระเจ้า และผู้ที่ทำงานปรนนิบัติ  เราแบ่งพวกเขาออกบนพื้นฐานของความจงรักภักดีที่พวกเขาแสดงต่อเรา  เมื่อทั้งหมดถูกจำแนกออกตามประเภทแล้ว นั่นก็คือ เมื่อลักษณะของบุคคลแต่ละประเภทมีความชัดเจนขึ้น เราจะกำหนดลำดับให้พวกเขาแต่ละคนในหมวดหมู่ที่ชอบธรรมของพวกเขา และจัดแต่ละประเภทให้อยู่ในที่ทางที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา เพื่อให้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายการช่วยมนุษย์ให้รอดของเรา  เราเรียกผู้ที่เราปรารถนาที่จะช่วยให้มาที่บ้านของเราเป็นหมู่เหล่า และจากนั้นก็ทำให้พวกเขาทุกคนยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของเรา  ในเวลาเดียวกัน เราจำแนกพวกเขาตามประเภท จากนั้นจึงให้บำเหน็จรางวัลหรือลงโทษพวกเขาแต่ละคนบนพื้นฐานแห่งการกระทำของพวกเขา  เช่นนั้นคือขั้นตอนที่ประกอบกันเป็นงานของเรา

วันนี้ เราอาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก และเราใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ผู้คนมีประสบการณ์กับงานของเรา และคอยเฝ้ามองถ้อยคำของเรา และควบคู่ไปกับสิ่งนี้ เราได้มอบความจริงทั้งหมดให้แก่ผู้ติดตามแต่ละคนของเรา ว่าพวกเขาอาจได้รับชีวิตจากเรา และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะได้มาซึ่งเส้นทางที่พวกเขาสามารถก้าวเดินไป  เพราะเราคือพระเจ้า ผู้มอบชีวิต  ในระหว่างช่วงเวลาหลายปีในการทำงานของเรา ผู้คนได้รับสิ่งต่างๆ มากมาย และละทิ้งสิ่งต่างๆ ไปมากมาย กระนั้นเรายังคงกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อในเราอย่างแท้จริง  เพราะผู้คนเพียงรับรู้ว่าเราคือพระเจ้าด้วยปากของพวกเขา แต่พวกเขาไม่เห็นด้วยกับความจริงที่เรากล่าว และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้ปฏิบัติตามความจริงที่เราขอจากพวกเขา  ซึ่งกล่าวได้ว่าผู้คนรับรู้เพียงการดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่ไม่ใช่การดำรงอยู่ของความจริง ผู้คนรับรู้เพียงการดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่ไม่ใช่การดำรงอยู่ของชีวิต ผู้คนรับรู้เพียงพระนามของพระเจ้า แต่ไม่ใช่เนื้อแท้ของพระองค์  เราดูหมิ่นพวกเขาตรงความกระตือรือร้นของพวกเขา ตรงที่พวกเขาใช้เพียงคำที่ฟังดูดีเพื่อหลอกลวงเรา ไม่มีพวกเขาคนใดที่นมัสการเราอย่างแท้จริง  คำพูดของพวกเจ้าประกอบไปด้วยการทดลองของอสรพิษ นอกจากนี้ คำพูดของพวกเจ้ายังทะนงตนเป็นที่สุด ช่างเป็นคำประกาศจากอัครทูตสวรรค์โดยแท้  ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ความประพฤติของพวกเจ้ายังรุ่งริ่งและฉีกขาดจนถึงขั้นเสื่อมเสีย ความอยากได้อยากมีเกินขอบเขตและเจตนาอันละโมบของพวกเจ้าช่างเป็นสิ่งแสลงหูนัก  พวกเจ้าทั้งหมดได้กลายเป็นตัวมอดในบ้านของเรา วัตถุที่จะถูกละทิ้งด้วยความเกลียด  ด้วยความที่ไม่มีพวกเจ้าคนใดรักความจริง แต่เจ้ากลับอยากได้รับพร อยากขึ้นสู่สวรรค์ อยากมองเห็นนิมิตอันงดงามของพระคริสต์ที่กำลังทรงใช้ฤทธานุภาพของพระองค์บนแผ่นดินโลก  แต่พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า คนเช่นพวกเจ้า คนที่ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างถลำลึกและไม่รู้เอาเสียเลยว่าพระเจ้าคืออะไรนั้น คู่ควรแก่การติดตามพระเจ้าได้อย่างไร?  เจ้าจะขึ้นสู่สวรรค์ได้อย่างไร?  เจ้าคู่ควรแก่การได้มองเห็นทัศนียภาพที่งดงามเช่นนั้น—ทัศนียภาพที่มีความงามตระการอันไม่เคยมีให้เห็นเป็นแบบอย่างมาก่อนได้อย่างไร?  ปากของเจ้าเต็มไปด้วยคำพูดแห่งการหลอกลวงและความสกปรกโสมม คำพูดแห่งการทรยศหักหลังและความโอหัง  เจ้าไม่เคยกล่าวคำพูดแห่งความจริงใจกับเรา ไม่มีคำพูดที่บริสุทธิ์ ไม่มีคำพูดแห่งความนบนอบต่อเราตามประสบการณ์ที่ได้รับจากวจนะของเรา  ในท้ายที่สุดแล้ว ความเชื่อของพวกเจ้ามีหน้าตาอย่างไร?  ในหัวใจของพวกเจ้าไม่มีสิ่งใดนอกจากความอยากได้อยากมีและเงินตรา และในความคิดจิตใจของพวกเจ้าไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากวัตถุสิ่งของ  ทุกวัน เจ้าคำนวณว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้รับบางสิ่งบางอย่างจากเรา  ทุกวัน เจ้านับว่าเจ้าได้รับความมั่งคั่งและวัตถุสิ่งของจากเรามากเพียงใด  ทุกวัน เจ้าเฝ้ารอให้มีพรที่มากยิ่งขึ้นตลอดเวลาตกมาสู่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจได้ชื่นชมในสิ่งที่พวกเจ้าอาจจะชื่นชมได้ในปริมาณที่มากกว่าและด้วยมาตรฐานที่สูงกว่า  สิ่งที่อยู่ในความคิดของพวกเจ้าทุกชั่วขณะของเวลานั้นไม่ใช่เรา อีกทั้งไม่ใช่ความจริงที่มาจากเรา แต่เป็นสามีหรือภรรยาของพวกเจ้า บุตรชายและบุตรสาวของเจ้า และสิ่งต่างๆ ที่พวกเจ้ากินและสวมใส่แทน  เจ้าขบคิดว่าทำอย่างไรพวกเจ้าจะสามารถได้รับในปริมาณที่มากยิ่งขึ้นตลอดเวลา และได้รับความชื่นชมยินดีที่สูงส่งยิ่งขึ้นตลอดเวลา  แต่ต่อให้พวกเจ้าเติมท้องของพวกเจ้าจนเต็มถึงขั้นระเบิดออกมา เจ้าก็ยังคงไม่ใช่ซากศพหรอกหรือ?  ต่อให้ภายนอกเจ้าประดับประดาตัวพวกเจ้าเองด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามปานนั้น พวกเจ้ายังคงไม่ใช่ซากศพเดินได้ที่ไร้ชีวิตหรอกหรือ?  พวกเจ้าหักโหมงานหนักเพื่อปากท้องของพวกเจ้า จนกระทั่งเส้นผมของเจ้าถูกสีเทาแซมเป็นริ้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่มีพวกเจ้าคนใดที่พลีอุทิศเส้นผมแม้เพียงหนึ่งเส้นเพื่องานของเรา  พวกเจ้ายุ่งวุ่นวายอยู่เสมอ สร้างภาระแก่ร่างกายเจ้าและบีบเค้นสมองของเจ้าให้ขบคิดเกินกำลัง เพื่อประโยชน์ของเนื้อหนังของเจ้าเอง และเพื่อบุตรชายและบุตรสาวของเจ้า แต่กระนั้นก็ยังไม่มีพวกเจ้าคนใดที่แสดงความกังวลหรือเป็นห่วงเจตจำนงของเรา  แล้วพวกเจ้ายังคงหวังว่าจะได้รับสิ่งใดจากเราอีกหรือ?

เราไม่เคยรีบเร่งเมื่อเราทำงาน ไม่ว่าผู้คนจะติดตามเราอย่างไร เราทำงานของเราไปตามแต่ละขั้นตอน ไปตามแผนการของเรา  ดังนั้น แม้ว่าพวกเจ้าทุกคนจะกบฏต่อเรา เราก็ยังคงทำงานต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง และเรายังคงกล่าววจนะที่เราต้องกล่าวต่อไป  เราเรียกผู้คนที่เราลิขิตไว้ล่วงหน้าให้มาที่บ้านของเรา เพื่อพวกเขาอาจพอจะอดทนรับฟังวจนะของเราได้  ผู้คนเหล่านั้นทุกคนที่นบนอบต่อวจนะของเรา คนที่โหยหาวจนะของเรา เรานำมาต่อหน้าบัลลังก์ของเรา ทุกคนที่หันหลังให้กับวจนะของเรา คนที่ไม่เชื่อฟังเรา และเยาะเย้ยท้าทายเราอย่างเปิดเผย เราโยนไปไว้ด้านหนึ่งเพื่อรอรับการลงโทษขั้นสุดท้ายของพวกเขา  ผู้คนทั้งผองล้วนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสื่อมทรามภายใต้ฝ่ามือมาร ดังนั้นจึงมีคนไม่มากนักจากจำนวนผู้คนเหล่านั้นที่ติดตามเราซึ่งถวิลหาความจริง  กล่าวได้ว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้นมัสการเราอย่างแท้จริง พวกเขาไม่ได้นมัสการเราด้วยความจริง แต่พยายามได้รับความไว้วางใจจากเราผ่านความเสื่อมทรามและการกบฏ ด้วยวิถีทางที่หลอกลวง  นี่คือเหตุผลที่ทำให้เรากล่าวว่า ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว  บรรดาผู้ถูกเรียกได้ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างถลำลึก และทั้งหมดใช้ชีวิตในยุคเดียวกัน—แต่พวกผู้ที่ถูกเลือกคือหนึ่งส่วนในหมู่คนพวกนั้น พวกเขาคือผู้ที่เชื่อและรับรู้ความจริง และเป็นผู้ที่ปฏิบัติความจริง  ผู้คนเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเล็กมากจากทั้งหมดทั้งมวล และจากท่ามกลางผู้คนเหล่านี้เอง ที่เราจะได้รับเกียรติมากกว่า  เมื่อประเมินจากวจนะเหล่านี้ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือกหรือไม่?  บทอวสานของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 352

ดังที่เรากล่าวแล้ว บรรดาผู้ที่ติดตามเรามีมากมาย แต่ผู้ที่รักเราอย่างแท้จริงมีเพียงนิดเดียว  บางที บางคนอาจกล่าวว่า “เราจะจ่ายราคาแพงขนาดนั้นหรือหากเราไม่ได้รักพระองค์?  เราจะติดตามมาจนถึงจุดนี้หรือหากเราไม่ได้รักพระองค์?”  เจ้ามีเหตุผลมากมายเป็นแน่ และความรักของเจ้ายิ่งใหญ่มากเป็นแน่ แต่แก่นแท้ของความรักที่เจ้ามีให้เราคืออะไร?  “ความรัก” ก็เป็นดั่งชื่อของมันซึ่งอ้างอิงถึงอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งซึ่งบริสุทธิ์และปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อไตร่ตรอง  ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง  ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์  ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์  หากเจ้ารัก เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่หลอกลวง พร่ำบ่น ทรยศ ก่อกบฏ เรียกร้องหรือแสวงหาที่จะได้รับบางสิ่งหรือได้รับในปริมาณที่เจาะจง  หากเจ้ารัก เจ้าก็จะมอบอุทิศตัวของเจ้าอย่างยินดี จะทนทุกข์กับความยากลำบากอย่างยินดี เจ้าจะไปกันได้กับเรา เจ้าจะละทิ้งทุกอย่างที่เจ้ามีเพื่อเรา เจ้าจะยอมละทิ้งครอบครัวของเจ้า อนาคตของเจ้า วัยเยาว์ของเจ้า และการสมรสของเจ้า  หาไม่แล้ว ความรักของเจ้าจะไม่ใช่ความรักเลย แต่เป็นการหลอกลวงและการทรยศ!  ความรักของเจ้าเป็นแบบใด?  มันคือรักแท้?  หรือเทียมเท็จ?  เจ้าได้ละทิ้งไปมากเพียงใด?  เจ้าได้ส่งมอบให้มากเพียงใด?  เราได้รับความรักจากเจ้ามากเพียงใด?  เจ้ารู้หรือไม่?  หัวใจของพวกเจ้าเต็มไปด้วยความชั่วร้าย การทรยศ และความหลอกลวง—ดังนั้นแล้ว ความรักของพวกเจ้ามากเท่าใดที่ไม่บริสุทธิ์?  พวกเจ้าคิดว่าเจ้าได้ยอมละทิ้งเพื่อเรามากพอแล้ว พวกเจ้าคิดว่าความรักที่พวกเจ้ามีต่อเรานั้นมากพอแล้ว  แต่ถ้าเช่นนั้น เหตุใดคำพูดและการกระทำของพวกเจ้าจึงเป็นกบฏและหลอกลวงอยู่เสมอ?  พวกเจ้าติดตามเรา แต่เจ้าไม่รับรู้ถึงวจนะของเรา  สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ?  พวกเจ้าติดตามเรา แต่กระนั้น พอถึงเวลา เจ้าก็กำจัดเราให้พ้นทาง  สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ?  พวกเจ้าติดตามเราแต่เจ้าไม่เชื่อใจเรา สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ?  พวกเจ้าติดตามเรา แต่เจ้าไม่สามารถยอมรับการดำรงอยู่ของเราได้  สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ?  พวกเจ้าติดตามเรา แต่พวกเจ้าไม่ปฏิบัติต่อเราอย่างเหมาะสมกับผู้ที่เราเป็น และเจ้าทำให้สิ่งต่างๆ ยากสำหรับเราทุกครั้งที่เราพยายามทำบางสิ่ง  สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ?  พวกเจ้าติดตามเรา แต่เจ้าพยายามหลอกและโป้ปดเราในทุกเรื่อง  สิ่งนี้ถือว่าเป็นความรักหรือไม่?  พวกเจ้ารับใช้เรา แต่เจ้าไม่ได้เกรงกลัวเรา  สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ?  พวกเจ้าต่อต้านเราในทุกด้านและทุกสิ่งทุกอย่าง  ทั้งหมดนี้ถือเป็นความรักหรือ?  พวกเจ้าได้มอบอุทิศมามาก นั่นคือความจริง แต่พวกเจ้าก็ยังไม่เคยปฏิบัติในสิ่งที่เราพึงประสงค์จากพวกเจ้า  สิ่งนี้สามารถถือเป็นความรักได้หรือ?  จากการคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแสดงให้เห็นว่าภายในพวกเจ้าไม่มีเค้าของความรักต่อเราเลยแม้แต่น้อย  หลังจากช่วงเวลาการทำงานหลายปีของเราและวจนะมากมายที่เราได้จัดหาให้  พวกเจ้าได้รับไปจริงๆ มากเท่าใด?  สิ่งนี้ไม่ควรค่าแก่การมองย้อนกลับไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนหรอกหรือ?  เราขอตักเตือนพวกเจ้าว่า ผู้คนที่เราเรียกไม่ใช่ผู้ที่ไม่เคยถูกทำให้เสื่อมทราม ตรงกันข้าม ผู้ที่เราเลือกคือผู้ที่รักเราอย่างแท้จริง  ดังนั้น พวกเจ้าต้องระมัดระวังคำพูดและความประพฤติของพวกเจ้า และตรวจดูเจตนาและความคิดของพวกเจ้าเพื่อให้สิ่งเหล่านี้ไม่ข้ามเส้นนั้น  เมื่อถึงเวลาแห่งยุคสุดท้าย จงใช้ความพยายามสูงสุดที่เจ้ามีส่งมอบความรักของพวกเจ้าต่อหน้าเรา มิฉะนั้นความโกรธเคืองของเราจะไม่มีวันไปจากพวกเจ้า!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 353

แต่ละวัน ความประพฤติและความคิดทั้งหลายของแต่ละบุคคลถูกมองดูโดยพระเนตรขององค์หนึ่งเดียว และในเวลาเดียวกันก็อยู่ในการตระเตรียมเพื่อพวกเขาเองในวันรุ่งขึ้น  นี่คือเส้นทางที่ทุกคนที่มีชีวิตอยู่จะต้องก้าวเดิน  นี่คือเส้นทางที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าเพื่อทุกคน และไม่มีใครสามารถหลบหนีมันหรือได้รับการยกเว้น  วจนะที่เราได้พูดไปนั้นมากมายเกินคณานับ และยิ่งไปกว่านั้น งานที่เราได้ทำก็ไม่มีมาตรวัด  ทุกๆ วันเราเฝ้าดูขณะที่แต่ละบุคคลดำเนินทุกสิ่งที่พวกเขาจะต้องทำไปตามธรรมชาติจนเสร็จสิ้นโดยสอดคล้องกับธรรมชาติซึ่งมีมาแต่กำเนิดของพวกเขาและพัฒนาการของธรรมชาติของพวกเขา  โดยที่ไม่รู้ตัว หลายคนได้ตัดสินใจแน่วแน่ไปเรียบร้อยแล้วใน “ร่องครรลองที่ถูกต้อง” ซึ่งเราได้ปูไว้เพื่อให้เข้าใจผู้คนต่างประเภทกันได้ง่ายขึ้น  เราได้วางผู้คนต่างประเภทกันเหล่านี้ไว้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันนานแล้ว และในสถานที่เฉพาะของพวกเขา แต่ละคนได้แสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะซึ่งมีมาแต่กำเนิดของพวกเขา  ไม่มีใครที่จะผูกมัดพวกเขา ไม่มีใครที่จะล่อลวงพวกเขา  พวกเขาเป็นอิสระโดยครบถ้วนบริบูรณ์และสิ่งที่พวกเขาแสดงออกนั้นมาตามธรรมชาติ  สิ่งเดียวที่ควบคุมพวกเขาไว้คือ วจนะของเรา  ด้วยเหตุนี้บางคนจึงจำต้องฝืนอ่านวจนะของเราอย่างเสียไม่ได้ ไม่เคยนำวจนะของเราไปฝึกฝนปฏิบัติ ทำเช่นนั้นเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงความตายเท่านั้น ในขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ก็พบว่าเป็นการลำบากยากเย็นที่จะสู้ทนผ่านวันเวลาไปโดยที่ไม่มีวจนะของเราคอยนำและจัดหาให้พวกเขา และดังนั้นพวกเขาจึงยึดถือในวจนะของเราตลอดเวลาเป็นธรรมดา  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาค้นพบความลับของชีวิตมนุษย์ บั้นปลายของมวลมนุษย์ และค่าของการเป็นมนุษย์  มวลมนุษย์ก็เป็นแค่อย่างนี้เองต่อหน้าวจนะของเรา และเราก็แค่ยอมให้เรื่องราวทั้งหลายดำเนินไปตามครรลองของพวกมัน  เราไม่ทำงานอันใดที่บังคับให้ผู้คนทำวจนะของเราให้เป็นรากฐานของการดำรงอยู่ของพวกเขา  ดังนั้นพวกที่ไม่เคยมีมโนธรรมและพวกที่การดำรงอยู่ของเขาไม่เคยมีคุณค่าอันใดจึงกล้าปัดวจนะของเราทิ้งและทำตามที่พวกเขาปรารถนาหลังจากที่เฝ้าสังเกตการณ์อย่างนิ่งเงียบว่าสิ่งทั้งหลายดำเนินไปอย่างไร  พวกเขาเริ่มที่จะรังเกียจความจริงและทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากเรา  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังรังเกียจการอยู่ในบ้านของเรา  เพื่อบั้นปลายของพวกเขา และเพื่อหลบหนีการลงโทษ ผู้คนเหล่านี้จึงอาศัยอยู่ภายในบ้านของเราชั่วเวลาหนึ่ง ต่อให้พวกเขาจะกำลังให้การปรนนิบัติอยู่ก็ตาม อย่างไรก็ดี เจตนาทั้งหลายและการกระทำทั้งหลายของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยน  นี่ยิ่งเพิ่มความอยากได้ในพรของพวกเขา และเพิ่มความอยากของพวกเขาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรครั้งเดียวและคงอยู่ตลอดกาลหลังจากนั้นเป็นต้นไป—ถึงขั้นอยากที่จะเข้าสู่สวรรค์อันเป็นนิรันดร์เสียด้วยซ้ำ  ยิ่งพวกเขาโหยหาวันของเราให้มาถึงเร็วขึ้นเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าความจริงได้กลายเป็นอุปสรรคกีดกั้น เครื่องสะดุดในหนทางของพวกเขามากขึ้นเท่านั้น  พวกเขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะก้าวเท้าเข้าไปในราชอาณาจักรเพื่อชื่นชมพรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ตลอดกาล—ทั้งหมดนี้ไม่มีความจำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริงหรือยอมรับการพิพากษาและการตีสอน และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีความจำเป็นต้องหมอบคลานภายในบ้านของเราและทำตามที่เราบัญชา  ผู้คนเหล่านี้เข้าสู่บ้านของเราไม่ใช่เพื่อสนองความอยากของพวกเขาที่จะแสวงหาความจริง และไม่ใช่เพื่อร่วมมือกับการบริหารจัดการของเรา จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็คือแค่ได้อยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ที่ไม่ได้ถูกทำลายในยุคที่กำลังจะมาถึง  ดังนั้นหัวใจของพวกเขาจึงไม่เคยรู้ว่าความจริงคืออะไร หรือจะยอมรับความจริงได้อย่างไร  นี่คือเหตุผลที่ทำไมผู้คนเช่นนี้ไม่เคยนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหรือตระหนักถึงความลึกของความเสื่อมทรามของพวกเขาเลย และกระนั้นกลับได้อาศัยอยู่ในบ้านของเราในฐานะ “ผู้รับใช้ทั้งหลาย” มาโดยตลอด  พวกเขารอคอยการมาถึงแห่งวันของเรา “อย่างอดทน” และไม่เหน็ดเหนื่อยขณะที่พวกเขาถูกจับโยนไปมาโดยลักษณะงานของเรา  แต่ไม่ว่าความพยายามของพวกเขาจะมากมายใหญ่หลวงเพียงใดหรือพวกเขายอมจ่ายที่ราคาเท่าใด ก็ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาทนทุกข์เพื่อความจริงหรือให้อะไรเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเราเลย  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขากำลังร้อนรนใจใคร่เห็นวันที่เรายุติยุคเก่า และยิ่งไปกว่านั้น ไม่อาจรอที่จะค้นพบว่าฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของเรานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด  สิ่งที่พวกเขาไม่เคยเร่งรีบที่จะทำคือการเปลี่ยนตัวเองและไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขารักในสิ่งที่เราเบื่อหน่าย และเบื่อหน่ายในสิ่งที่เรารัก  พวกเขาถวิลหาสิ่งที่เราเกลียด เกรงกลัวเพียงการสูญเสียสิ่งที่เราชิงชัง พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในพิภพอันเลวร้ายนี้ ไม่เคยเกลียดมัน และซ้ำยังกลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะทำลายมัน  ท่ามกลางเจตนาทั้งหลายของพวกเขาที่มีความขัดแย้งกัน พวกเขารักพิภพนี้ที่เราชิงชัง แต่ยังโหยหาให้เราทำลายมันอย่างรีบเร่งที่สุดเช่นกัน เพื่อว่าพวกเขาอาจได้รับการละเว้นจากความทุกข์จากการทำลายล้างและถูกแปลงสภาพให้กลายเป็นบรรดาเจ้านายของยุคใหม่ ก่อนที่พวกเขาจะมีอันไถลห่างไปจากหนทางที่แท้จริง  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่รักความจริงและเบื่อหน่ายต่อทุกสิ่งที่มาจากเรา พวกเขาอาจกลายเป็น “ผู้คนที่เชื่อฟัง” เป็นเวลาสั้นๆ เพื่อที่จะไม่สูญเสียพรไป แต่ความวิตกกังวลของพวกเขาที่จะได้รับการอวยพร และความเกรงกลัวความพินาศและการเข้าสู่บึงไฟที่กำลังลุกไหม้นั้นไม่มีวันถูกปิดบังไว้ได้  ขณะที่วันของเราใกล้เข้ามา ความอยากของพวกเขาก็แรงกล้าขึ้นอย่างไม่สั่นคลอน  และยิ่งความวิบัติใหญ่หลวงมากขึ้นเท่าใด มันก็จะยิ่งทำให้พวกเขาอับจนหนทางมากขึ้นเท่านั้น โดยไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนที่จะทำให้เราชื่นบานและเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียพรที่พวกเขาโหยหามานาน  ผู้คนเช่นนี้ใจจดใจจ่อที่จะลงมือกระทำการรับใช้ในฐานะกองหน้าทันทีที่มือของเราเริ่มงาน  พวกเขาคิดเพียงการโถมประดังกันไปยังแนวหน้าของกองทหาร กลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะไม่เห็นพวกเขา  พวกเขาทำและพูดสิ่งซึ่งพวกเขาคิดว่าถูกต้อง ไม่เคยรู้ว่าความประพฤติและการกระทำทั้งหลายของพวกเขาไม่เคยสัมพันธ์กับความจริงเลย และไม่เคยรู้ว่าความประพฤติของพวกเขามีแต่จะขัดจังหวะและแทรกแซงแผนการของเรา  พวกเขาอาจได้ใช้ความพยายามอย่างใหญ่หลวงแล้ว และอาจมีความมีเจตจำนงและเจตนาอันแท้จริงที่จะสู้ทนความยากลำบาก แต่ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำเกี่ยวข้องกับเราเลย เพราะเราไม่เคยเห็นว่าความประพฤติของพวกเขามาจากเจตนาที่ดี นับประสาอะไรที่เราจะได้เห็นพวกเขาวางสิ่งใดก็ตามบนแท่นบูชาของเรา  เช่นนั้นคือความประพฤติซึ่งพวกเขาได้ทำลงไปต่อหน้าเราในช่วงหลายปีมานี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าควรจะพิจารณาความประพฤติทั้งหลายของพวกเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 354

แรกเริ่มเดิมที เราได้ปรารถนาที่จะจัดหาความจริงให้แก่พวกเจ้ามากขึ้น แต่เราจำเป็นต้องยับยั้งตัวเองจากการนี้เพราะท่าทีของพวกเจ้าที่มีต่อความจริงนั้นช่างเย็นชาและไม่แยแสมากเกินไป เราไม่ปรารถนาให้ความพยายามของเราต้องสูญเปล่า และเราไม่ปรารถนาที่จะได้เห็นผู้คนซึ่งยึดถือวจนะของเราแต่กลับทำในสิ่งซึ่งต้านทานเรา ให้ร้ายเรา และหมิ่นประมาทเราในทุกด้าน เพราะท่าทีของพวกเจ้าและสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้า เราจึงแค่จัดหาส่วนที่เล็กและสำคัญมากส่วนหนึ่งของวจนะของเรา ให้แก่พวกเจ้า ซึ่งทำหน้าที่เป็นงานด้านการทดสอบของเราท่ามกลางมวลมนุษย์เพื่อพวกเจ้า  เพียงบัดนี้เท่านั้นที่เราได้ยืนยันว่าการตัดสินใจทั้งหลายและแผนการที่เราได้ทำนั้นเหมาะกับความต้องการที่จำเป็นทั้งหลายของพวกเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น ยืนยันว่าท่าทีของเราต่อมวลมนุษย์เป็นท่าทีที่ถูกต้อง  พฤติกรรมของพวกเจ้าต่อหน้าเราในเวลาหลายปีนี้ได้ให้คำตอบที่ไม่เคยมีมาก่อนแก่เรา และคำถามสำหรับคำตอบนี้ก็คือว่า “อะไรคือท่าทีของมนุษย์ต่อหน้าความจริงและเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเที่ยงแท้?”  ความพยายามทั้งหลายที่เราได้อุทิศให้แก่มนุษย์พิสูจน์เนื้อแท้ของความรักของเราสำหรับมนุษย์ และทุกๆ การกระทำของมนุษย์ต่อหน้าเราก็พิสูจน์ธาตุแท้ของเขาในการเกลียดที่มีต่อความจริงและการต่อต้านที่มีต่อเรา  ตลอดเวลานั้น เราเป็นห่วงทุกคนที่ติดตามเรา ทว่าไม่มียามใดเลยที่บรรดาผู้ซึ่งติดตามเราสามารถรับวจนะของเราได้ พวกเขาไม่สามารถแม้กระทั่งยอมรับการเสนอแนะทั้งหลายของเรา  นี่คือสิ่งที่ทำให้เราเศร้าใจมากที่สุด ไม่เคยมีใครสามารถเข้าใจเราได้ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่เคยมีใครสามารถยอมรับเราได้ แม้ว่าท่าทีของเรานั้นจริงใจ และวจนะของเรานั้นอ่อนโยนก็ตาม  ทุกๆ คนพยายามทำงานที่เราได้ไว้วางใจมอบหมายให้พวกเขาตามแนวคิดของพวกเขาเอง พวกเขาไม่แสวงหาเจตนาทั้งหลายของเรา ไม่พักต้องพูดถึงเลยว่าพวกเขาจะถามว่าเราพึงประสงค์สิ่งใดจากพวกเขา พวกเขายังคงกล่าวอ้างว่ารับใช้เราอย่างจงรักภักดี ในทุกขณะที่พวกเขาเป็นกบฏต่อเรา  หลายคนเชื่อว่าความจริงทั้งหลายที่พวกเขายอมรับไม่ได้หรือที่พวกเขาไม่สามารถฝึกฝนปฏิบัติได้นั้นไม่ใช่ความจริง  ในผู้คนเช่นนี้ ความจริงของเรากลายเป็นอะไรบางอย่างซึ่งถูกปฏิเสธและถูกปัดทิ้ง  ในเวลาเดียวกัน ผู้คนระลึกถึงเราในฐานะพระเจ้าในวจนะ ทั้งยังเชื่ออีกด้วยว่าเราเป็นคนนอกผู้ซึ่งไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่หนทาง หรือชีวิต  ไม่มีใครรู้ความจริงนี้ว่า วจนะของเราคือความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล  เราคือการจัดหาของชีวิตสำหรับมนุษย์และเป็นผู้นำทางเพียงคนเดียวเท่านั้นสำหรับมวลมนุษย์ ค่าและความหมายของวจนะของเราไม่ได้กำหนดพิจารณาจากการที่ว่า วจนะเหล่านั้นเป็นที่ระลึกรู้หรือยอมรับโดยมวลมนุษย์หรือไม่ แต่พิจารณาจากสาระสำคัญของวจนะเหล่านั้นเอง  ต่อให้ไม่มีบุคคลสักคนเดียวบนแผ่นดินโลกนี้ที่สามารถรับวจนะของเราได้ คุณค่าของวจนะของเราและความช่วยเหลือของวจนะเหล่านั้นต่อมวลมนุษย์ก็ไม่อาจประเมินค่าได้ไม่ว่ากับมนุษย์คนใด ดังนั้น เมื่อเผชิญกับผู้คนจำนวนมากที่ปฏิเสธ เหยียดหยาม หรือเป็นกบฏต่อวจนะของเราอย่างถึงที่สุด จุดยืนของเราเป็นเพียงเช่นนี้เท่านั้นคือ ปล่อยให้เวลาและข้อเท็จจริงทั้งหลายเป็นพยานของเราและแสดงให้เห็นว่าวจนะของเราเป็นความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิต  ปล่อยให้เวลาและข้อเท็จจริงทั้งหลายแสดงให้เห็นว่าทั้งหมดที่เราได้พูดนั้นถูก แสดงให้เห็นว่ามันคือสิ่งซึ่งมนุษย์ควรได้รับการจัดให้มี และยิ่งไปกว่านั้นคือ สิ่งซึ่งมนุษย์ควรยอมรับ  เราจะยอมให้ทุกคนที่ติดตามเรารู้ข้อเท็จจริงนี้ว่า พวกที่ไม่สามารถยอมรับวจนะของเราได้อย่างครบถ้วน พวกที่ไม่สามารถนำวจนะของเราไปฝึกฝนปฏิบัติได้ พวกที่ไม่สามารถค้นหาจุดประสงค์ในวจนะของเราได้ และพวกที่ไม่สามารถได้รับความรอดเพราะวจนะของเรา คือพวกที่ได้ถูกกล่าวโทษโดยวจนะของเราและยิ่งไปกว่านั้นคือ ได้สูญเสียความรอดของเรา และไม้เรียวของเราจะไม่มีวันห่างจากพวกเขาเลย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าควรจะพิจารณาความประพฤติทั้งหลายของพวกเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 355

เป็นเพราะการประดิษฐ์คิดค้นทางศาสตร์สังคมต่างๆ ของมวลมนุษย์ จิตใจของมนุษย์ได้กลับกลายเป็นถูกจับจองด้วยศาสตร์และความรู้  จากนั้นวิชาและความรู้ก็ได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับการปกครองมวลมนุษย์ และไม่มีพื้นที่พอเพียงสำหรับมนุษย์ที่จะนมัสการพระเจ้าอีกต่อไป และไม่มีสภาพเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการนมัสการพระเจ้าอีกแล้ว  ฐานะของพระเจ้าได้จมต่ำลงทุกทีในหัวใจของมนุษย์  เมื่อปราศจากพระเจ้าในหัวใจเขา โลกภายในของมนุษย์ย่อมมืดมน สิ้นหวัง และว่างเปล่า  ภายหลังบรรดานักสังคมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และนักการเมืองมากมายได้ออกมาเปิดตัว แสดงทฤษฎีทางศาสตร์สังคมต่างๆ ทฤษฎีแห่งวิวัฒนาการมนุษย์ และทฤษฎีอื่นๆ สารพัดซึ่งขัดแย้งกับความจริงที่ว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ทรงเติมหัวใจและจิตใจให้แก่มวลมนุษย์ และเช่นนี้เอง ผู้คนซึ่งเชื่อว่า พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจึงกลับกลายน้อยลงตลอดเวลา และบรรดาผู้ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการกลับมีจำนวนมากขึ้นตลอดเวลา  ผู้คนปฏิบัติต่อบันทึกต่างๆ เกี่ยวกับงานของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ในระหว่างยุคแห่งพันธสัญญาเดิมราวกับเป็นนิทานปรัมปราและตำนานมากขึ้นทุกที  ในหัวใจของพวกเขา ผู้คนกลับกลายเป็นไม่แยแสต่อความทรงเกียรติและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ต่อหลักความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่และทรงอำนาจครอบครองเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล  ความอยู่รอดของมวลมนุษย์และชะตากรรมของประเทศต่างๆ และชนชาติต่างๆ ไม่มีความสำคัญกับพวกเขาอีกต่อไป และมนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกอันกลวงเป็นโพรงที่กังวลใส่ใจเพียงเรื่องการกิน การดื่ม และการวิ่งไล่ตามความหรรษายินดี… มีผู้คนน้อยนิดที่คิดได้เองในการที่จะเสาะแสวงว่า พระเจ้าทรงปฏิบัติงานของพระองค์อยู่ ณ ที่ใด หรือมองดูว่า พระองค์ทรงจัดการเตรียมการและเป็นประธานเหนือบั้นปลายของมนุษย์อย่างไร  และเช่นนี้เอง อารยธรรมของมนุษย์จึงกลายเป็นว่าสามารถสอดรับกับความปรารถนาของมนุษย์ได้น้อยลงทุกที โดยที่มนุษย์มิได้รู้ตัวเลย และมิหนำซ้ำยังมีผู้คนมากมายที่รู้สึกว่า พวกเขามีความสุขในการใช้ชีวิตในโลกแบบนี้น้อยกว่าบรรดาผู้ที่ตายจากไปแล้วเสียอีก  แม้แต่ประชาชนของประเทศต่างๆ ที่เคยมีอารยธรรมสูงส่งก็ยังออกมาแสดงความคับข้องใจดังกล่าว  ด้วยความที่ปราศจากการทรงนำของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าบรรดานักปกครองและนักสังคมศาสตร์ จะขบคิดกันจนสมองแทบแตกอย่างไร ในอันที่จะรักษาอารยธรรมของมนุษย์เอาไว้ ก็เป็นการไร้ประโยชน์  ไม่มีใครสามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจของมนุษย์ได้ เพราะไม่มีใครสามารถเป็นชีวิตของมนุษย์ได้ และไม่มีทฤษฎีเชิงสังคมข้อไหนที่สามารถปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความว่างเปล่าที่เขากำลังทนทรมาน  ทั้งวิชา ความรู้ อิสรภาพ ประชาธิปไตย ความสบาย ความสะดวก เหล่านี้ล้วนนำการปลอบประโลมมาสู่มนุษย์ได้เพียงชั่วคราว ต่อให้มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ก็ยังคงมีบาปและคร่ำครวญถึงความไม่เป็นธรรมของสังคมอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถยับยั้งความอยากและความต้องการของมนุษย์ในการที่จะสำรวจค้นคว้าได้  นี่เป็นเพราะมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และการสำรวจค้นคว้าและอุทิศทุ่มเทอย่างไร้สติของมนุษย์ ทำได้แค่เพียงนำไปสู่ความเศร้าหมองที่มากขึ้นเท่านั้น และทำได้เพียงเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ดำรงอยู่ในสภาวะแห่งความหวาดกลัวตลอดเวลาเท่านั้น โดยไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับอนาคตของมวลมนุษย์อย่างไร หรือจะเผชิญหน้ากับเส้นทางที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าอย่างไร  มนุษย์ถึงขั้นมาหวาดกลัวต่อวิชาและความรู้ และยิ่งจะหวาดกลัวความรู้สึกที่ว่างเปล่า  ในโลกใบนี้ เจ้าไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมของมนุษยชาติได้โดยเด็ดขาด โดยไม่ต้องคำนึงว่า เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเสรีหรือในประเทศที่ปราศจากสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ถูกปกครอง เจ้าก็ไม่สามารถหลีกหนีความต้องการที่จะค้นคว้าเปิดเผยชะตากรรม ความล้ำลึก และบั้นปลายของมวลมนุษย์ได้  นับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะสามารถหลีกหนีไปได้จากสำนึกอันว้าวุ่นสับสนแห่งความว่างเปล่า  ปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง ได้ถูกนักสังคมศาสตร์เรียกว่าปรากฏการณ์ทางสังคม แต่กระนั้น ก็ยังไม่มีมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่คนใดสามารถออกมาแสดงตนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว  ไม่ว่าจะอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ และไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถมาแทนที่ตำแหน่งและชีวิตของพระเจ้าได้  มวลมนุษย์ไม่เพียงพึงต้องมีสังคมที่ยุติธรรมซึ่งทุกคนถูกบำรุงบำเรออย่างดี และมีอิสรภาพและความเสมอภาคเท่านั้น สิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีคือ ความรอดของพระเจ้าและการจัดเตรียมชีวิตของพระองค์ที่มีให้แก่พวกเขา  มีเพียงยามที่มนุษย์ได้รับการจัดเตรียมชีวิตของพระเจ้าและความรอดของพระองค์แล้วเท่านั้น ที่ความต้องการต่างๆ ความโหยหาที่จะค้นคว้าเปิดเผย และความว่างเปล่าทางจิตวิญญาณของมนุษย์จะสามารถได้รับการแก้ไข  หากประชาชนของประเทศหนึ่งหรือชนชาติหนึ่ง ไม่สามารถได้รับความรอดและความเอาใจใส่ของพระเจ้าแล้วไซร้ ประเทศหรือชนชาติดังกล่าวก็จะต้องย่ำเท้าไปบนถนนสู่ความเสื่อมถอย ตรงสู่ความมืดมิด และจะถูกทำลายล้างโดยพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 356

มีความลับอันใหญ่โตมโหฬารอยู่อย่างหนึ่งในหัวใจของเจ้าที่เจ้าหาเคยไหวตัวรับรู้ไม่ ด้วยตัวเจ้านั้นดำรงชีพอยู่ในโลกที่ไร้ซึ่งความสว่าง  หัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้าได้ถูกมารร้ายกระชากเอาไป  ดวงตาของเจ้าถูกบดบังด้วยความมืดมิด จนเจ้าไม่สามารถมองเห็นได้ทั้งดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าและดวงดาราที่กระพริบพรายยามราตรี  หูของเจ้านั้นเล่าก็อุดตันไปด้วยเล่ห์ลิ้นคำลวง จนเจ้าไม่สามารถจะสำเหนียกทั้งพระสุรเสียงอันก้องกัมปนาทของพระยาห์เวห์ และเสียงธาราที่หลั่งรินลงมาจากพระบัลลังก์  เจ้าสูญสิ้นแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเจ้าโดยชอบธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ประทานแก่เจ้า  เจ้าได้ก้าวเข้าสู่ท้องทะเลแห่งความทุกข์ร้อนที่ไม่รู้จบ ปราศจากเรี่ยวแรงที่จะช่วยตัวเจ้าเองให้รอด ไร้ความหวังที่จะได้รอดชีวิตกลับมา และสิ่งที่เจ้าพึงทำได้ก็คือการกระเสือกกระสนและเร่งร้อนลุกลนอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น… จากช่วงเวลานั้นเป็นต้นมา เจ้าได้ถูกมารกำหนดชะตาให้เผชิญกับความทุกข์ร้อน ห่างไกลจากพระพรขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไกลเกินกว่าการจัดเตรียมขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะเอื้อมถึง ขณะล่องดิ่งไปบนถนนสายที่ไม่มีวันย้อนคืน  ต่อให้เสียงเพรียกร้องนับล้านก็แทบมิอาจปลุกเร้าหัวใจและจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาได้  เจ้าหลับใหลล้ำลึกอยู่ในอุ้งมือของมารร้ายที่ล่อลวงเจ้าเข้าไปสู่อาณาจักรไร้เขตคั่นโดยปราศจากการชี้ทางหรือป้ายบอกทาง  นับแต่นี้ไป เจ้าได้สูญสิ้นแล้วซึ่งความบริสุทธิ์และความไร้เดียงสาของเจ้าที่มีมาแต่ดั้งเดิม และเริ่มที่จะหลบเลี่ยงการเอาพระทัยใส่ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  มารร้ายได้เข้าควบคุมบังคับทิศทางทุกเรื่องราวภายในหัวใจของเจ้าและได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าไปแล้ว  เจ้าเลิกหวาดกลัวมัน หลีกเลี่ยงมัน หรือกังขาในตัวมันอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับปฏิบัติต่อมันดุจเป็นพระเจ้าในใจของเจ้า  เจ้าเริ่มวางมันไว้บนหิ้งบูชาและสักการะบูชามัน และเจ้าทั้งสองก็กลายเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ออกเฉกเช่นร่างกับเงา ผูกมัดที่จะใช้ชีวิตและตายด้วยกัน  เจ้าไม่รู้เลยว่าเจ้ามาจากที่ไหน เจ้าเกิดมาทำไม หรือเหตุใดเจ้าจึงจะต้องตาย  เจ้ามององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ราวกับคนแปลกหน้า เจ้าไม่รู้แม้กระทั่งต้นกำเนิดของพระองค์ คงไม่ต้องพูดเลยว่า เจ้าจะรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้กับเจ้า  ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระองค์ได้กลายเป็นสิ่งที่น่าชิงชังสำหรับเจ้าไปแล้ว เจ้าทั้งไม่เชิดชูและรู้ในคุณค่าของมัน  เจ้าเดินเคียงคู่ไปกับมารร้ายนับแต่วันที่เจ้าได้รับการทรงจัดเตรียมขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  เจ้าได้สู้ทนหลายพันปีแห่งมรสุมและพายุพิโรธทั้งหลายไปกับเจ้ามารร้ายนั่น และยืนหยัดเคียงข้างกับมันต่อต้านพระเจ้าผู้เป็นแหล่งกำเนิดแห่งชีวิตเจ้า  เจ้าไม่รู้จักการกลับใจเอาเสียเลย คงไม่ต้องพูดเลยว่า เจ้าได้มาถึงสุดขอบแห่งการพินาศแล้ว  เจ้าลืมสิ้นแล้วว่า มารร้ายได้ล่อลวงเจ้าให้หลงผิดและประสบความทุกข์ร้อน เจ้าลืมจุดเริ่มต้นของตนจนหมดสิ้นแล้ว  ด้วยเหตุนี้มารร้ายจึงสามารถสร้างความทุกข์ร้อนให้เจ้าได้ในทุกย่างก้าวบนเส้นทางจวบกระทั่งถึงปัจจุบัน  หัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้าถูกทำให้เสื่อมสลายและด้านชาไม่รู้สึกรู้สา  เจ้าหยุดพร่ำบ่นเกี่ยวกับสิ่งไม่สบอารมณ์ทั้งหลายของโลกมนุษย์ เจ้าไม่เชื่ออีกต่อไปแล้วว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม  นับประสาอะไรที่เจ้าจะสนใจว่า องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะทรงดำรงอยู่หรือไม่  นี่ก็เป็นเพราะ นานมาแล้วที่ตัวเจ้าถือเอามารร้ายเป็นบิดาที่แท้จริงของเจ้าและไม่สามารถแยกตัวจากมันได้  นี่แหละความลับที่อยู่ภายในหัวใจของเจ้า

เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน ดาวอรุณเริ่มส่องประกายอยู่ทางทิศตะวันออก มันเป็นดาวดวงที่ไม่เคยปรากฏอยู่ตรงนั้นมาก่อน และมันก็ส่องประกายให้กับผืนฟ้าที่นิ่งสงบเป็นประกายระยิบระยับ จุดประกายให้กับหัวใจมนุษย์ที่ดับแสงไปแล้ว  มนุษย์ไม่เดียวดายอีกต่อไป ต้องขอบคุณความสว่างที่ส่องกระจ่างให้กับตัวเจ้าและคนอื่นๆ เหมือนๆ กัน  กระนั้น ก็ยังมีแต่ตัวเจ้าผู้เดียวที่ก็ยังหลับลึกอยู่ในราตรีอันมืดมิด  เจ้าไม่สดับสำเนียงใดๆ และมองไม่เห็นความสว่างใดๆ เจ้าไม่ได้ไหวตัวรับรู้การมาถึงของโลกและสวรรค์ใหม่ ยุคใหม่ เนื่องเพราะบิดาของเจ้าบอกกับเจ้าว่า “ลูกพ่อ อย่าเพิ่งตื่น มันยังเช้าตรู่อยู่เลย  อากาศก็หนาวเย็น อย่าออกไปข้างนอกเลย จะได้ไม่โดนหอกดาบแทงตา”  เจ้าเชื่อใจเพียงคำตักเตือนท้วงติงของบิดาเจ้าเท่านั้นเพราะเจ้าเชื่อว่า มีแต่บิดาเจ้าเท่านั้นที่ถูกต้อง เนื่องจากบิดาเจ้าแก่กว่าเจ้า และเขารักเจ้าอย่างสุดซึ้ง  คำตักเตือนท้วงติงเหล่านั้นและความรักแบบนั้น ทำให้เจ้าเลิกเชื่อถือตำนานที่ว่า ในโลกนี้มีความสว่าง คำตักเตือนท้วงติงและความรักเช่นนั้นทำให้เจ้าเลิกสนใจว่า ความสัตย์จริงยังคงมีอยู่ในโลกใบนี้หรือไม่  เจ้าไม่กล้าตั้งความหวังว่าจะได้รับการกอบกู้ชีวิตคืนโดยองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกต่อไป  เจ้าพึงใจแล้วกับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน เจ้าไม่ตั้งความหวังต่อการมาถึงของความสว่างอีกต่อไป ไม่สอดส่องมองหาการมาขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตามที่ถูกบอกเล่าไว้ในตำนานอีกต่อไปแล้ว  เท่าที่เจ้ารู้ สิ่งสวยงามทั้งหลายไม่อาจฟื้นคืนมาได้ มันไม่สามารถดำรงอยู่ได้  ในสายตาของเจ้า วันพรุ่งนี้ของมวลมนุษย์ อนาคตของมวลมนุษย์ จะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย  เจ้าใช้พละกำลังทั้งหมดที่เจ้ามี เกาะติดชายเสื้อผ้าของบิดาเจ้า เต็มใจที่จะแบ่งปันความยากลำบากของเขา ด้วยหวาดกลัวว่า จะสูญเสียเพื่อนร่วมทางและทิศทางสำหรับการเดินทางอันไกลโพ้นของเจ้าไป  โลกมนุษย์อันสลัวเลือนรางและกว้างใหญ่ไพศาลได้สร้างพวกเจ้าขึ้นมาหลายรูปแบบที่ไม่ท้อถอยและหาญกล้าในการเติมบทบาททั้งหลายลงไปในโลกใบนี้  มันได้สร้าง “เหล่านักรบ” ผู้ไม่เกรงกริ่งต่อความตาย  ที่มากไปกว่านั้นมันยังได้สร้างเหล่ามนุษย์ผู้ด้านชาและตายซากรุ่นแล้วรุ่นเล่า ผู้ซึ่งรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในจุดประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา  พระเนตรแห่งองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้สำรวจตรวจดูสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกๆ คนที่ประสบความทุกข์ทรมานอย่างล้ำลึก  สิ่งที่พระองค์ทรงสดับก็คือ เสียงร้องร่ำคร่ำครวญของพวกที่กำลังทนทุกข์ทรมาน สิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นก็คือความไร้ยางอายของพวกที่กำลังอยู่ในความทุกข์ร้อน และสิ่งที่พระองค์ทรงรู้สึกก็คือ ความอับจนหนทางและความหวาดหวั่นของมนุษย์ซึ่งได้สูญเสียพระคุณแห่งความรอดไปแล้ว  มวลมนุษย์ปฏิเสธการเอาพระทัยใส่ของพระองค์โดยเลือกที่จะเดินไปตามเส้นทางของตนเอง และพยายามเลี่ยงหนีการสอดส่องจากพระเนตรของพระองค์ ชอบที่จะลิ้มลองรสชาติขมขื่นแห่งห้วงทะเลลึกโดยมีศัตรูเป็นผู้ร่วมวง ไปจนกว่าจะหมดสิ้นหยดสุดท้าย  ไม่มีมนุษยชาติคนใดสำเหนียกในถึงเสียงทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกต่อไป ไม่มีอีกต่อไปแล้วที่องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะเต็มพระทัยที่จะยื่นพระหัตถ์ปลอบประโลมมนุษยชาติผู้โศกเศร้า  ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระองค์ทรงได้มนุษย์กลับคืนมา และครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระองค์ทรงสูญเสียพวกเขาไปอีกครั้ง ดังนั้น นี่จึงเป็นงานที่พระองค์ทรงปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จากช่วงเวลานั้นเองที่พระองค์ทรงเริ่มเหน็ดเหนื่อยและรู้สึกอ่อนล้า ดังนั้น พระองค์จึงทรงหยุดพระราชกิจที่ทรงกระทำอยู่ และทรงหยุดที่จะดำเนินไปกลางหมู่มวลมนุษย์… มนุษย์หาได้ไหวตัวรับรู้การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ หาได้ไหวตัวรับรู้การเสด็จมาและเสด็จไป ทั้งความโทมนัสและความหมองหม่นพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แต่อย่างใดเลย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 357

แม้การบริหารจัดการของพระเจ้านั้นมีความลึกซึ้ง แต่ก็มิได้อยู่เหนือการจับใจความได้ของมนุษย์  นี่เป็นเพราะว่า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และเกี่ยวข้องกับชีวิต การดำเนินชีวิต และบั้นปลายของมวลมนุษย์  สามารถกล่าวได้ว่า พระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติท่ามกลางและบนมนุษย์นั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริง และมีความหมายอย่างมาก  เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้และผ่านประสบการณ์ได้ และไม่ใช่บางสิ่งที่เป็นนามธรรมโดยสิ้นเชิง  หากมนุษย์ไม่มีความสามารถในการยอมรับพระราชกิจทั้งมวลที่พระเจ้าทรงปฏิบัติแล้วไซร้ อะไรเล่าคือนัยสำคัญแห่งพระราชกิจของพระองค์?  และการบริหารจัดการดังกล่าวจะสามารถนำไปสู่ความรอดของมนุษย์ได้อย่างไร?  ผู้ติดตามพระเจ้ามากมายเพียงห่วงกับวิธีที่จะได้รับพระพร หรือไม่ก็วิธีที่จะป้องกันยับยั้งการเกิดความวิบัติ  ทันทีที่มีการเอ่ยถึงพระราชกิจและการบริหารจัดการของพระเจ้า พวกเขาจะเงียบกริบและหมดความสนใจไป  พวกเขาคิดว่า การเข้าใจหัวข้อต่างๆ ดังกล่าวที่น่าเหนื่อยหน่ายเช่นนั้นจะไม่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต หรือให้ผลประโยชน์ใดๆ  ผลสืบเนื่องตามมาก็คือ แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการบริหารจัดการของพระเจ้ามาแล้ว พวกเขาก็ให้การใส่ใจเพียงน้อยนิด  พวกเขาไม่ได้มองว่าเป็นบางสิ่งอันล้ำค่าที่ควรยอมรับ  นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรับไว้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขา  ผู้คนเหล่านั้นมีเพียงจุดมุ่งหมายอันเรียบง่ายอยู่หนึ่งอย่างในการติดตามพระเจ้า และจุดมุ่งหมายนั้นก็คือ เพื่อที่จะได้รับพระพร  ผู้คนดังกล่าวไม่พยายามที่จะให้การใส่ใจกับสิ่งอื่นใดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับจุดมุ่งหมายนี้  สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีเป้าหมายใดที่ถูกทำนองคลองธรรมมากไปกว่าการเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพระพร—นั่นคือคุณค่าแท้จริงของความเชื่อของพวกเขา  หากบางสิ่งไม่มีส่วนช่วยให้จุดมุ่งหมายนี้สัมฤทธิ์ พวกเขาจะยังคงไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง  นี่เป็นกรณีของผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งเชื่อในพระเจ้าทุกวันนี้  จุดมุ่งหมายและเจตนาของพวกเขาดูเหมือนถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพราะในขณะที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาสละให้พระเจ้าทั้งหมด มอบอุทิศตนเองให้กับพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วยเช่นกัน  พวกเขายอมละทิ้งชีวิตวัยเยาว์ ละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงาน  และถึงขั้นใช้เวลาหลายปีจากบ้านไปผูกพันตัวเองกับกิจธุระมากมาย  เพื่อเห็นแก่เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา พวกเขาเปลี่ยนแปลงความสนใจต่างๆ ของตนเอง เปลี่ยนทัศนะของพวกเขาที่มีต่อชีวิต และถึงขั้นเปลี่ยนทิศทางที่พวกเขาแสวงหา กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาได้ พวกเขาวุ่นสาละวนกับการบริหารจัดการอุดมคติต่างๆ ของตัวพวกเขาเอง ไม่ว่าถนนเส้นนั้นจะยาวไกลเพียงใด ไม่ว่าความยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ จะมากมายเพียงใดตลอดเส้นทางนั้น พวกเขายังคงยืนกรานและหาได้เกรงกลัวต่อความตายไม่  พลังอำนาจอะไรกันที่ขับดันพวกเขาให้มอบอุทิศตัวเองต่อไปในหนทางนี้?  นี่คือมโนธรรมของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?  นี่คือบุคลิกลักษณะอันยิ่งใหญ่และสง่างามของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?  นี่คือความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเขาที่จะสู้รบกับกองกำลังของความชั่วไปจนถึงที่สุดเลยหรือ?  นี่คือความเชื่อของพวกเขาที่จะเป็นพยานต่อพระเจ้าโดยปราศจากการแสวงหาบำเหน็จรางวัลหรือ?  นี่คือความจงรักภักดีของพวกเขาในความเต็มใจที่จะยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อสัมฤทธิ์น้ำพระทัยของพระเจ้าหรือ?  หรือว่านี่คือจิตวิญญาณแห่งการอุทิศของพวกเขาที่จะละแล้วซึ่งความต้องการฟุ้งเฟ้อส่วนตัวอย่างนั้นหรือ?  การที่บางคนซึ่งไม่เคยเข้าใจพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าจะยังคงมอบให้อย่างมากมายนั้นเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ชัดๆ!  ณ ตอนนี้ พวกเราจงหยุดหารือกันเถิดว่า ผู้คนเหล่านี้ได้ให้มาแล้วเท่าไรแล้ว  ไม่ว่าจะอย่างไร พฤติกรรมของพวกเขานั้นก็มีค่าควรแก่การวิเคราะห์ของพวกเราอย่างยิ่ง  นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ต่างๆ ที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาอย่างมากแล้ว พอจะสามารถมีเหตุผลอื่นใดหรือไม่ว่า เหตุใดผู้คนเหล่านี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจพระเจ้าเลย จึงจะมอบให้พระองค์อย่างมากมาย?  พวกเราค้นพบปัญหาหนึ่งซึ่งไม่เคยถูกระบุมาก่อนหน้าอยู่ในการนี้ นั่นก็คือ สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง  เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร  กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง  ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้  ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น  ไม่มีการให้ความรัก หรือการได้รับความรัก มีเพียงการแบ่งปันและความปรานี  ไม่มีความเข้าใจ มีเพียงความขัดเคืองคับข้องที่ถูกเก็บกดเอาไว้และความหลอกลวงเท่านั้น  ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม มีเพียงช่องว่างทางความนึกคิดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เท่านั้น  บัดนี้เมื่อสิ่งต่างๆ ได้มาถึงจุดนี้ ใครเล่าที่สามารถเดินย้อนเส้นทางนั้นกลับไปได้?  และมีคนมากแค่ไหนที่เข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าสัมพันธภาพนี้ได้กลับกลาย เป็นจริงจังยิ่งแล้วอย่างไร?  เราเชื่อว่า เมื่อผู้คนชุ่มแช่ตัวเองอยู่ในความชื่นบานยินดีแห่งการได้รับพระพร ไม่มีใครเลยที่จะสามารถจินตนาการได้ว่า สัมพันธภาพกับพระเจ้าเช่นนั้นช่างน่าตะขิดตะขวงและไม่น่ามองเพียงไร

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าของมวลมนุษย์ก็คือ การที่มนุษย์ดำเนินการบริหารจัดการของตัวเองท่ามกลางพระราชกิจของพระเจ้า และกระนั้นก็ยังไม่มีความใส่ใจทั้งสิ้นต่อการบริหารจัดการของพระเจ้า  ในเวลาเดียวกับที่กำลังพยายามที่จะนบนอบต่อพระเจ้าและนมัสการพระองค์นั้น ความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์อยู่ตรงที่วิธีที่มนุษย์กำลังก่อร่างสร้างบั้นปลายในอุดมคติของเขาเองขึ้นมา และวาดโครงร่างว่าจะได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดและบั้นปลายที่ดีที่สุดอย่างไร ต่อให้มีคนเข้าใจว่าพวกเขานั้นน่าสงสาร น่ารังเกียจ และน่าสมเพชอย่างไร จะมีสักกี่คนเล่าที่จะสามารถละทิ้งอุดมคติและความหวังเหล่านั้นได้โดยไม่ลังเล?  และใครเล่าที่จะสามารถยับยั้งย่างก้าวของพวกเขาเองและหยุดคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้นได้?  พระเจ้าทรงจำเป็นต้องมีบรรดาผู้ที่จะให้ความร่วมมือกับพระองค์อย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะทำให้การบริหารจัดการของพระองค์เสร็จสิ้น  พระองค์ทรงจำเป็นต้องมีบรรดาผู้ที่จะนบนอบต่อพระองค์โดยการอุทิศจิตใจและร่างกายทั้งหมดทั้งสิ้นของพวกเขาให้กับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์  พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องมีผู้คนซึ่งยื่นมือออกมาขอรับจากพระองค์ทุกวัน นับประสาอะไรกับพวกที่ให้มาเล็กน้อยแล้วรอรับรางวัลตอบแทนยิ่งแล้วใหญ่  พระเจ้าทรงดูหมิ่นพวกที่มีส่วนช่วยสนับสนุนเพียงน้อยนิดแล้วก็หยุดพักอย่างพอใจในความสำเร็จของตัวเอง  พระองค์ทรงเกลียดชังพวกผู้คนเลือดเย็นที่ไม่พอใจพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ และพูดคุยแต่เรื่องการไปสวรรค์และการได้รับพระพรเท่านั้น  พระองค์ยิ่งทรงมีความเกลียดต่อพวกซึ่งฉวยผลประโยชน์จากโอกาสที่พระราชกิจซึ่งพระองค์ทรงกระทำในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนำมาเสนอให้นั้นอย่างมากมายกว่าด้วยซ้ำ  นั่นเป็นเพราะผู้คนเหล่านี้ไม่เคยเลยที่จะใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผลและได้มาโดยผ่านทางพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์  พวกเขาเพียงเป็นห่วงวิธีที่พวกเขาจะสามารถได้รับพระพรโดยอาศัยโอกาสที่จัดเตรียมโดยพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับพระหทัยของพระเจ้า ด้วยความที่หมกมุ่นเต็มที่อยู่กับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และชะตากรรมของพวกเขาเอง  พวกที่คับแค้นใจในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าและขาดแม้กระทั่งความสนใจอันแผ่วบางที่สุดในวิธีที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และน้ำพระทัยของพระองค์นั้น ก็แค่กำลังทำในสิ่งที่พวกเขาพอใจ ในวิถีทางที่แยกออกจากพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น  พฤติกรรมของพวกเขานั้นไม่ได้รับการจดจำหรือรับรองโดยพระเจ้า—ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่า พระเจ้าจะทรงมองอย่างโปรดปราน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 358

อีกไม่นาน งานของเราก็จะเสร็จสิ้น และเวลาหลายปีที่มีร่วมกันก็ได้กลายเป็นความทรงจำซึ่งไม่สามารถทนได้  เราได้ทวนซ้ำคำพูดของเราอย่างไม่หยุดหย่อน  และเปิดเผยงานใหม่ของเราอย่างแน่วแน่ แน่นอนว่า คำแนะนำของเราเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นของงานแต่ละชิ้นที่เราทำ  ปราศจากคำปรึกษาของเราแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดคงเร่ร่อนหลงทางและอาจถึงขั้นพบว่าตัวเองอับจนหนทางโดยสิ้นเชิง  งานของเราตอนนี้ใกล้จะเสร็จสิ้นแล้วและอยู่ในช่วงระยะสุดท้าย  เรายังคงปรารถนาจะทำงานในการให้คำปรึกษา นั่นคือเพื่อมอบถ้อยคำแห่งคำแนะนำให้พวกเจ้าได้ยิน  เราหวังเพียงว่า พวกเจ้าจะสามารถที่จะไม่ปล่อยให้ความเจ็บปวดที่เราได้รับมาต้องเสียเปล่า และที่มากไปกว่านั้น หวังว่าพวกเจ้าสามารถเข้าใจถึงการใส่ใจอันรอบคอบที่เราได้รับมา และปฏิบัติต่อคำพูดของเราดั่งรากฐานของวิธีการที่พวกเจ้าประพฤติตนในฐานะมนุษย์  ไม่ว่าคำพูดเหล่านั้นจะเป็นคำพูดประเภทที่พวกเจ้าเต็มใจที่จะฟังหรือไม่ ไม่ว่าพวกเจ้าจะสุขสำราญกับการยอมรับคำพูดเหล่านั้นหรือสามารถเพียงยอมรับคำพูดเหล่านั้นด้วยความอึดอัด เจ้าก็ต้องปฏิบัติต่อคำพูดเหล่านั้นอย่างเคร่งครัด  มิเช่นนั้น อุปนิสัยกับพฤติกรรมที่เรื่อยเปื่อยและไม่เอาใจใส่ของพวกเจ้าจะทำให้เราอารมณ์เสียอย่างจริงจัง และแน่นอนว่า ทำให้เรารังเกียจด้วย  เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเจ้าทั้งหมดจะสามารถอ่านคำพูดของเราซ้ำแล้วซ้ำอีก—เป็นพันๆ ครั้ง—และหวังว่าพวกเจ้าอาจจะถึงขั้นได้มาจำคำพูดเหล่านั้นได้ขึ้นใจ  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่เจ้าจะสามารถไม่ล้มเหลวต่อความคาดหวังหลายๆ อย่างของเราที่มีต่อพวกเจ้า  อย่างไรก็ดี ไม่มีพวกเจ้าคนใดเลยที่กำลังใช้ชีวิตเช่นนี้ในขณะนี้  ในทางกลับกัน  พวกเจ้าทั้งหมดล้วนหมกมุ่นอยู่ในชีวิตเสเพล ชีวิตแห่งการกินดื่มตามที่ใจของเจ้าต้องการ และไม่มีสักคนจากพวกเจ้าที่ใช้คำพูดของเราเพื่อทำให้หัวใจและวิญญาณของเจ้ามีคุณค่ามากขึ้น  ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงได้ข้อสรุปเกี่ยวกับโฉมหน้าที่แท้จริงของมนุษยชาติ กล่าวคือ มนุษย์สามารถทรยศเราได้ทุกเวลา และไม่มีใครเลยที่จะสามารถศรัทธาต่อคำพูดของเราอย่างสัมบูรณ์

“มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามเสียจนเขาไม่มีภาพลักษณ์ของมนุษย์อีกต่อไป”  ผู้คนส่วนใหญ่ในเวลานี้จำวลีดังกล่าวได้บางส่วน  เราพูดการนี้เพราะว่า “การจำได้” ที่เราอ้างถึงเป็นเพียงแค่การรับรู้แบบผิวเผินประเภทหนึ่งเท่านั้น ซึ่งตรงข้ามกับความรู้ที่แท้จริง  เพราะไม่มีสักคนจากพวกเจ้าที่สามารถประเมินตัวเจ้าเองได้อย่างแม่นยำหรือวิเคราะห์ตัวเจ้าเองได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน พวกเจ้ายังคงกำกวมเรื่องคำพูดของเรา  แต่ครั้งนี้ เรากำลังใช้ข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่ออธิบายปัญหาสาหัสที่สุดที่มีอยู่ภายในตัวพวกเจ้า  ปัญหานั้นคือการทรยศ  พวกเจ้าทั้งหมดล้วนคุ้นเคยกับคำว่า “การทรยศ” เพราะผู้คนส่วนใหญ่เคยทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นการทรยศต่อผู้อื่น เช่น สามีทรยศภรรยาของเขา ภรรยาทรยศสามีของเธอ บุตรชายทรยศบิดาของเขา บุตรสาวทรยศมารดาของเธอ ทาสทรยศนายของเขา เพื่อนทรยศกันและกัน ญาติทรยศกันและกัน คนขายทรยศคนซื้อ และอื่นๆ  ตัวอย่างทั้งหมดนี้ประกอบด้วยแก่นสารของการทรยศ  สรุปสั้นๆ ก็คือ การทรยศเป็นรูปแบบหนึ่งของพฤติกรรมที่ผิดสัญญา ละเมิดหลักปฏิบัติทางศีลธรรม หรือกระทำการในทางตรงกันข้ามกับจริยธรรมของมนุษย์ เป็นการพิสูจน์ความสูญเสียของสภาวะความเป็นมนุษย์  พูดโดยรวมๆ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ได้เกิดมาในโลกใบนี้ เจ้าจะได้ทำอะไรบางอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นการทรยศต่อความจริงแล้ว ไม่สำคัญว่าเจ้าจะจำได้หรือไม่ว่าเคยทำบางอย่างเพื่อทรยศต่อบุคคลอื่น หรือว่าเจ้าเคยทรยศต่อผู้อื่นมาแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้  ในเมื่อเจ้าสามารถทรยศบิดามารดาหรือเพื่อนๆ ของเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถทรยศต่อผู้อื่นได้ และยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสามารถทรยศเราและกระทำสิ่งต่างๆ ที่เรารังเกียจได้  พูดอีกอย่างก็คือ การทรยศมิใช่เพียงพฤติกรรมผิดศีลธรรมอย่างผิวเผิน แต่เป็นบางอย่างที่ขัดแย้งกับความจริง  แน่นอนว่านี่คือแหล่งกำเนิดของการต้านทานและความไม่เชื่อฟังของมวลมนุษย์ที่มีต่อเรา  นี่คือสาเหตุที่เราได้สรุปมันไว้ในถ้อยแถลงต่อไปนี้: การทรยศเป็นธรรมชาติของมนุษย์ และธรรมชาตินี้คือศัตรูอันยิ่งใหญ่ต่อการเห็นพ้องกับเราของแต่ละบุคคล

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (1)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 359

พฤติกรรมที่ไม่สามารถเชื่อฟังเราอย่างสิ้นเชิงได้คือการทรยศ  พฤติกรรมที่ไม่สามารถรักภักดีต่อเราได้คือการทรยศ  การเล่นไม่ซื่อกับเราและการใช้คำโกหกเพื่อหลอกลวงเราคือการทรยศ การเก็บงำมโนคติที่หลงผิดหลายอย่างและเผยแพร่มโนคติที่หลงผิดเหล่านั้นไปทุกหนแห่งคือการทรยศ  การที่ไม่สามารถค้ำจุนคำพยานกับผลประโยชน์ของเราได้คือการทรยศ  การถวายรอยยิ้มจอมปลอมให้ยามที่อยู่ไกลจากเราในหัวใจคือการทรยศ  เหล่านี้ทั้งหมดคือการกระทำของการทรยศที่พวกเจ้าสามารถทำได้มาโดยตลอด และการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยๆ ท่ามกลางพวกเจ้า  ไม่มีพวกเจ้าคนใดเลยที่อาจคิดว่าการนี้เป็นปัญหา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราคิด  เราไม่สามารถปฏิบัติต่อการทรยศของบุคคลหนึ่งที่มีต่อเราเสมือนว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย และเราไม่สามารถทำเพิกเฉยไปได้อย่างแน่นอน  เวลานี้ เมื่อเราทำงานอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า พวกเจ้าประพฤติตัวในหนทางนี้—ถ้าวันนั้นมาถึง เมื่อไม่มีใครคอยดูแลพวกเจ้า พวกเจ้าจะไม่เป็นเหมือนบรรดาผู้ร้ายที่ประกาศว่าตัวเองเป็นกษัตริย์แห่งภูเขาเล็กๆ พวกเขาเองหรอกหรือ?  เมื่อการนั้นเกิดขึ้นและพวกเจ้าทำให้เกิดมหันตภัย ใครเล่าจะอยู่ตรงนั้นเพื่อขจัดปัญหาที่เจ้าก่อขึ้น?  พวกเจ้าคิดว่าการกระทำบางอย่างที่เป็นการทรยศนั้นเป็นเพียงเหตุการณ์บังเอิญที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว มิใช่พฤติกรรมที่ฝังแน่นของพวกเจ้า และไม่สมควรที่จะถูกถกเถียงด้วยความเข้มงวดเช่นนั้น ในแบบที่กระทบต่อความทะนงของพวกเจ้า  หากพวกเจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้นแล้วก็นับว่าเจ้าขาดสำนึกรับรู้ การคิดเช่นนั้นคือการเป็นตัวอย่างและต้นแบบของการกบฏ  ธรรมชาติของมนุษย์คือชีวิตของเขา มันคือหลักการที่เขาพึ่งพาเพื่อมีชีวิตรอด และเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้  ลองดูธรรมชาติของการทรยศเป็นตัวอย่าง  หากเจ้าสามารถทำบางสิ่งเพื่อทรยศญาติหรือเพื่อนได้ นั่นก็พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเจ้าและเป็นธรรมชาติที่ติดตัวเจ้ามาตอนกำเนิด  นี่เป็นอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้  ยกตัวอย่างเช่น หากบุคคลหนึ่งสุขสำราญกับการขโมยจากผู้อื่น เช่นนั้นแล้ว ความสุขสำราญจากการขโมยนี้ก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขา แม้ว่าพวกเขาอาจจะขโมยเป็นบางครั้งและไม่ขโมยเป็นบางครั้งก็ตาม  ไม่ว่าพวกเขาจะขโมยหรือไม่ ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าการขโมยของพวกเขาเป็นแค่พฤติกรรมแบบหนึ่งเท่านั้น  แต่มันพิสูจน์ว่าการขโมยของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขา—นั่นคือ ธรรมชาติของพวกเขา  บางคนจะถามว่า เนื่องจากมันเป็นธรรมชาติของพวกเขา เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเขาเห็นของสวยงาม ทำไมบางครั้งจึงไม่ขโมยของเหล่านั้นเล่า?  คำตอบนั้นง่ายมาก  มีหลายเหตุผลที่พวกเขาไม่ขโมย  พวกเขาอาจไม่ขโมยบางอย่างเพราะมันใหญ่เกินไปที่จะฉวยเอามาภายใต้สายตาที่เฝ้ามองอย่างระมัดระวัง หรือเพราะว่าไม่มีเวลาที่เหมาะสมที่จะกระทำ หรือเพราะว่าบางอย่างราคาแพงเกินไป ได้รับการคุ้มกันแน่นหนาเกินไป หรือบางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้สนใจมันเป็นพิเศษ หรือมองไม่เห็นว่ามันอาจจะมีประโยชน์อะไรกับพวกเขา และอื่นๆ อีกมากมาย  เหตุผลเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นไปได้  แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะขโมยบางอย่างหรือไม่ ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าความคิดนี้มีอยู่เป็นแค่แสงวาบชั่วอึดใจเดียวและผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ในทางกลับกัน มันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของพวกเขาที่ยากจะเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น  บุคคลเช่นนั้นไม่พึงพอใจกับการขโมยแค่หนเดียว ความคิดเรื่องการอ้างสิทธิ์ในสมบัติของผู้อื่นเสมือนเป็นของตัวเองเช่นนั้นเกิดขึ้นเมื่อไรก็ตามที่พวกเขาพบเจอสิ่งของที่สวยงาม หรือสถานการณ์ที่เหมาะสม  นี่คือเหตุผลที่เรากล่าวว่าจุดกำเนิดของความคิดนี้มิใช่บางสิ่งที่เพียงแค่รับเอาไว้เป็นครั้งคราว แต่อยู่ในธรรมชาติของบุคคลผู้นี้เองต่างหาก

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (1)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 360

ไม่ว่าใครก็สามารถใช้คำพูดกับการกระทำของพวกเขาเองเพื่อแสดงให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาได้ แน่นอนว่าโฉมหน้าที่แท้จริงนี้คือธรรมชาติของพวกเขา  หากเจ้าเป็นใครสักคนที่พูดอ้อมค้อมไปมา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีธรรมชาติที่อ้อมค้อม  หากธรรมชาติของเจ้าคือความเจ้าเล่ห์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กระทำการในหนทางที่ไม่ซื่อ และเจ้าก็ทำให้คนอื่นๆ ถูกเจ้าหลอกได้อย่างง่ายมาก  หากธรรมชาติของเจ้านั้นมุ่งร้าย คำพูดของเจ้าอาจรื่นหูน่าฟัง แต่การกระทำของเจ้าไม่สามารถปกปิดเล่ห์กลอันมุ่งร้ายต่างๆ ของเจ้าได้  หากธรรมชาติของเจ้านั้นเกียจคร้าน เช่นนั้นแล้วทั้งหมดที่เจ้าพูดก็หมายที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเพราะว่าความไม่ใส่ใจและความเกียจคร้านของเจ้า และการกระทำของเจ้าก็จะเชื่องช้าและพอเป็นพิธี และค่อนข้างสันทัดเรื่องการปกปิดความจริง  หากธรรมชาติของเจ้านั้นเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เช่นนั้นแล้วคำพูดของเจ้าก็จะมีเหตุมีผล และการกระทำของเจ้าก็จะสอดคล้องกับความจริงได้อย่างดีด้วยเช่นกัน  หากธรรมชาติของเจ้านั้นจงรักภักดี เช่นนั้นแล้วคำพูดของเจ้าก็จริงใจอย่างแน่นอน และวิถีที่เจ้ากระทำก็มีเหตุผล เป็นอิสระจากสิ่งใดก็ตามที่อาจทำให้นายของเจ้าไม่สบายใจ  หากธรรมชาติของเจ้านั้นเต็มไปด้วยราคะหรือละโมบอยากได้เงินทอง เช่นนั้นแล้วหัวใจของเจ้าก็จะเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้อยู่บ่อยๆ และเจ้าก็จะกระทำสิ่งที่เบี่ยงเบนไร้ศีลธรรมไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผู้คนจะไม่ลืมง่ายๆ และซึ่งจะทำให้ผู้คนรังเกียจ  อย่างที่เราเคยบอกไปแล้ว หากเจ้ามีธรรมชาติของการทรยศ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็แทบจะไม่สามารถทำให้ตัวเจ้าเองหลุดพ้นจากมันได้  อย่าวางใจในโชคว่า หากเจ้าไม่เคยทำผิดต่อผู้อื่น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีธรรมชาติของการทรยศ  หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าคิด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็น่ารังเกียจโดยแท้จริง  คำพูดทั้งหมดของเรา ในแต่ละครั้งที่เราพูด มีเป้าหมายคือผู้คนทั้งหมด มิใช่แค่บุคคลคนเดียวหรือบุคคลประเภทเดียว  แค่เพียงเพราะเจ้าไม่เคยทรยศเราในเรื่องหนึ่ง ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่สามารถทรยศเราในเรื่องอันใด  ผู้คนบางคนสูญเสียความเชื่อมั่นของพวกเขาในการแสวงหาความจริงในระหว่างความล้มเหลวในชีวิตสมรสของพวกเขา  ผู้คนบางคนละทิ้งภาระผูกพันของพวกเขาที่จะรักภักดีต่อเราช่วงระหว่างความล้มเหลวของครอบครัว ผู้คนบางคนทอดทิ้งเราเพื่อแสวงหาชั่วขณะของความสุขสำราญและความตื่นเต้น  ผู้คนบางคนยอมตกลงไปในหุบเขาลึกดำมืด ดีกว่าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างและได้รับความปีติยินดีแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนบางคนเพิกเฉยต่อคำแนะนำของเพื่อนๆ เพื่อประโยชน์ของการตอบสนองความทะยานอยากเพื่อความมั่งคั่งของพวกเขา และกระทั่งตอนนี้ก็ไม่สามารถรับรู้ความผิดพลาดของพวกเขาและเปลี่ยนครรลองของพวกเขาได้  ผู้คนบางคนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ชื่อของเราเพียงชั่วคราวเท่านั้นเพื่อให้ได้รับการปกป้องจากเรา ในขณะที่คนอื่นๆ สละอุทิศให้เราเพียงเล็กน้อยภายใต้การบีบบังคับ เพราะพวกเขายึดติดกับชีวิตและกลัวความตาย  และยิ่งกว่านั้นคือ การกระทำเหล่านี้และการกระทำอื่นๆ อันไร้ศีลธรรม ซึ่งปราศจากความสัตย์สุจริต ไม่ใช่แค่พฤติกรรมที่ผู้คนได้ใช้ในการทรยศเราลึกในหัวใจของพวกเขามาช้านานหรอกหรือ?  แน่นอน เรารู้ว่าผู้คนไม่วางแผนล่วงหน้าที่จะทรยศเรา การทรยศของพวกเขาคือการเปิดเผยธรรมชาติของพวกเขาออกมาโดยธรรมชาติ  ไม่มีใครต้องการทรยศเรา และไม่มีใครมีความสุขเพราะพวกเขาได้กระทำบางสิ่งเพื่อทรยศเรา  ในทางกลับกัน พวกเขากำลังสั่นเทาด้วยความกลัว มิใช่หรือ?  ดังนั้นแล้ว พวกเจ้ากำลังคิดเรื่องวิธีที่จะไถ่พวกคนทรยศเหล่านี้ และวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันนี้อยู่กระนั้นหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (1)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 361

ธรรมชาติของมนุษย์ค่อนข้างแตกต่างจากเนื้อแท้ของเรา เพราะธรรมชาติอันเสื่อมทรามของมนุษย์กำเนิดขึ้นจากซาตานทั้งสิ้น ธรรมชาติของมนุษย์ถูกซาตานแปรสภาพและทำให้เสื่อมทรามมาตลอด  นั่นคือ มนุษย์ใช้ชีวิตภายใต้อิทธิพลของความชั่วร้ายและความอัปลักษณ์ของมัน  มนุษย์ไม่ได้เติบโตในโลกของความจริงหรือสภาพแวดล้อมอันบริสุทธิ์ และมนุษย์ที่อาศัยในความสว่างยังคงมีน้อยกว่านั้น  ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครมีความจริงภายในธรรมชาติของพวกเขาตั้งแต่ชั่วขณะของการถือกำเนิด และใครก็ตามที่สามารถเกิดมาพร้อมแก่นแท้ที่เกรงกลัวและเชื่อฟังพระเจ้าก็ยิ่งน้อยกว่านั้นอีก  ในทางกลับกัน ผู้คนมีธรรมชาติที่ต้านทานพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และไม่มีความรักให้กับความจริง  ธรรมชาตินี้คือปัญหาที่เราต้องการจะหารือ—การทรยศ  การทรยศคือแหล่งกำเนิดของการต้านทานพระเจ้าในแต่ละคน  นี่คือปัญหาที่มีอยู่เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น และไม่ใช่ในเรา  บางคนจะถามว่า ในเมื่อมนุษย์ทั้งปวงดำเนินชีวิตในแผ่นดินโลกนี้เหมือนอย่างพระคริสต์ เหตุใดมนุษย์ทั้งปวงจึงมีธรรมชาติที่ทรยศพระเจ้า แต่พระคริสต์ไม่ทรงมีเล่า?  นี่คือปัญหาที่ต้องอธิบายให้ชัดเจนแก่พวกเจ้า

พื้นฐานของการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์คือการจุติเป็นมนุษย์ใหม่ของวิญญาณซ้ำไปมา  พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนได้รับชีวิตแบบมนุษย์ในเนื้อหนังเมื่อวิญญาณของพวกเขากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่  หลังจากร่างกายของบุคคลหนึ่งถือกำเนิด ชีวิตของร่างนั้นก็ดำเนินไปจนกระทั่งเนื้อหนังถึงขีดจำกัดของมันในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นชั่วขณะสุดท้าย เมื่อวิญญาณไปจากเปลือกของมัน  กระบวนการนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยที่วิญญาณของบุคคลหนึ่งไปมาเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และด้วยเหตุนี้ การดำรงอยู่ของมวลมนุษย์จึงได้รับการคงรักษาไว้  ชีวิตของเนื้อหนังก็คือชีวิตของวิญญาณมนุษย์ด้วยเช่นกัน และวิญญาณของมนุษย์สนับสนุนการดำรงอยู่ของเนื้อหนังของมนุษย์  กล่าวคือ ชีวิตของแต่ละคนมาจากวิญญาณของพวกเขา และชีวิตไม่ใช่สิ่งประจำตัวของเนื้อหนัง ด้วยเหตุนี้ ธรรมชาติของมนุษย์จึงมาจากวิญญาณ ไม่ใช่จากเนื้อหนัง  มีเพียงวิญญาณของแต่ละคนเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการทดลอง ความทุกข์ร้อน และความเสื่อมทรามของซาตานอย่างไร  เนื้อหนังของมนุษย์มิอาจรู้สิ่งเหล่านี้ได้  ดังนั้น มวลมนุษย์จึงกลายเป็นมืดมิดกว่าเดิมทุกที โสมมกว่าเดิมทุกที และชั่วร้ายกว่าเดิมทุกทีโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ระยะห่างระหว่างมนุษย์กับตัวเราขยายใหญ่ขึ้นทุกที และชีวิตกลายเป็นมืดมิดกว่าเดิมสำหรับมวลมนุษย์  ซาตานยึดเหล่าวิญญาณของมวลมนุษย์ไว้ในกำมือของมัน ดังนั้น เป็นที่แน่นอนว่า เนื้อหนังของมนุษย์ก็ได้ถูกซาตานครอบงำ  ไปแล้วเช่นกัน  เนื้อหนังเช่นนั้นกับมวลมนุษย์เช่นนั้น จะสามารถไม่ต่อต้านพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถเข้ากันได้กับพระองค์โดยกำเนิดได้อย่างไร?  เหตุผลที่เราได้โยนซาตานไปในกลางอากาศก็เพราะมันได้ทรยศเรา  เช่นนั้นแล้ว พวกมนุษย์จะสามารถเป็นอิสระจากความเกี่ยวข้องของพวกเขาได้อย่างไร?  นี่คือเหตุผลว่า ทำไมการทรยศจึงเป็นธรรมชาติของมนุษย์  เราเชื่อว่าทันทีที่พวกเจ้าเข้าใจเหตุผลนี้แล้ว พวกเจ้าก็ควรจะมีการเชื่อบางระดับในแก่นแท้ของพระคริสต์ด้วยเช่นกัน  เนื้อหนังที่พระวิญญาณของพระเจ้าสวมใส่นั้นคือเนื้อหนังของพระเจ้าเอง  พระวิญญาณของพระเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุด พระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ บริสุทธิ์ และชอบธรรม  ในทำนองเดียวกัน เนื้อหนังของพระองค์ก็ยิ่งใหญ่ที่สุด ทรงมหิทธิฤทธิ์ บริสุทธิ์ และชอบธรรมเช่นกัน  เนื้อหนังเช่นนั้นสามารถทำได้เพียงสิ่งที่ชอบธรรมและให้คุณแก่มวลมนุษย์ สิ่งที่บริสุทธิ์ รุ่งโรจน์ และทรงฤทธิ์ พระองค์ไม่สามารถทำสิ่งใดที่ฝ่าฝืนความจริง ที่ฝ่าฝืนศีลธรรมและความยุติธรรม และนับประสาอะไรที่พระองค์จะสามารถทำสิ่งใดที่จะทรยศต่อพระวิญญาณของพระเจ้า  พระวิญญาณของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ และด้วยเหตุนี้ เนื้อหนังของพระองค์จึงมิอาจถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามได้  เนื้อหนังของพระองค์คือเนื้อแท้ที่แตกต่างจากเนื้อหนังของมนุษย์  เพราะผู้ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามคือมนุษย์ มิใช่พระเจ้า ซาตานจึงไม่อาจสามารถทำให้เนื้อหนังของพระเจ้าเสื่อมทรามได้เลย  ด้วยเหตุนี้ แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์กับพระคริสต์พำนักอยู่ภายในพื้นที่เดียวกัน ก็มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ถูกครอบครอง ถูกใช้ และติดกับอยู่กับซาตาน  ในทางกลับกัน พระคริสต์ไม่ได้รับผลกระทบจากความเสื่อมทรามของซาตานชั่วนิรันดร์ เพราะซาตานจะไม่มีวันที่จะสามารถขึ้นไปถึงสถานที่สูงที่สุดได้ และจะไม่มีวันสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้  วันนี้ พวกเจ้าทั้งหมดควรเข้าใจว่า ผู้ที่ทรยศเรา มีเพียงมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างที่เป็นอยู่เท่านั้น  การทรยศจะไม่มีวันที่จะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระคริสต์แม้แต่น้อย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (2)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 362

วิญญาณทั้งหมดที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามนั้นถูกจับเป็นทาสอยู่ในแดนครอบครองของซาตาน  มีเพียงบรรดาผู้ที่เชื่อในพระคริสต์เท่านั้นที่ได้ถูกแยกไว้ ได้รับการช่วยให้รอดจากค่ายของซาตาน และถูกนำพาเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของวันนี้  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานอีกต่อไป  ถึงกระนั้น ธรรมชาติของมนุษย์ก็ยังคงฝังรากอยู่ในเนื้อหนังของมนุษย์ กล่าวคือ ถึงแม้วิญญาณของพวกเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดแล้ว แต่ธรรมชาติของพวกเจ้าก็ยังคงเป็นเหมือนที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ และโอกาสที่พวกเจ้าจะทรยศเราก็ยังคงมีอยู่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์  นี่คือเหตุผลว่าทำไมงานของเราจึงกินเวลานานเหลือเกิน เพราะธรรมชาติของพวกเจ้านั้นดื้อด้าน  บัดนี้ พวกเจ้าทั้งหมดกำลังก้าวผ่านความยากลำบากอย่างสุดความสามารถของพวกเจ้าขณะที่พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าให้สำเร็จลุล่วง ถึงกระนั้น พวกเจ้าแต่ละคนก็ยังสามารถทรยศเราและกลับสู่แดนครอบครองของซาตาน กลับสู่ค่ายของมัน และกลับไปสู่ชีวิตเก่าของพวกเจ้าได้—นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้  เวลานั้น จะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะแสดงเศษเสี้ยวของสภาวะความเป็นมนุษย์หรือสภาพเหมือนมนุษย์ ดังเช่นที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้  ในหลายๆ กรณีที่ร้ายแรง เจ้าจะถูกทำลาย และที่มากกว่านั้นคือ ถูกชี้ชะตากรรมชั่วนิรันดร์ ถูกลงโทษอย่างรุนแรง ไม่มีวันได้เกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีก  นี่คือปัญหาที่วางตรงหน้าพวกเจ้า  เรากำลังเตือนพวกเจ้าในหนทางนี้ อันดับแรก เพื่อที่งานของเราจะไม่สูญเปล่า และอันดับสอง เพื่อที่พวกเจ้าทั้งหมดจะได้ใช้ชีวิตในวันแห่งความสว่าง  ในความจริง การที่งานของเราจะสูญเปล่าหรือไม่นั้นไม่ใช่ปัญหาสำคัญยิ่งยวด  สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดคือการที่พวกเจ้าสามารถมีชีวิตที่มีความสุขและอนาคตที่น่ามหัศจรรย์ต่างหาก  งานของเราคืองานแห่งการช่วยวิญญาณของผู้คนให้รอด  หากวิญญาณของเจ้าร่วงลงไปอยู่ในมือของซาตาน ร่างกายของเจ้าจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสันติสุข  หากเรากำลังปกป้องร่างกายของเจ้า วิญญาณของเจ้าก็จะอยู่ภายใต้การดูแลของเราด้วยเช่นกันอย่างแน่นอน  หากเราเกลียดชังเจ้าจริงๆ ร่างกายและวิญญาณของเจ้าจะตกสู่มือของซาตานโดยทันที  เช่นนั้นแล้วเจ้าสามารถจินตนาการสถานการณ์ของเจ้าได้หรือไม่?  หากวันหนึ่งถ้อยคำของเราไม่มีผลกับพวกเจ้า เช่นนั้นเราก็จะส่งมอบพวกเจ้าทั้งหมดให้ซาตาน ซึ่งจะนำพวกเจ้าไปสู่การทรมานที่เจ็บปวดรุนแรง จนกว่าความโกรธของเราจะหมดไปโดยสิ้นเชิง หรือเราจะลงโทษพวกเจ้าพวกมนุษย์ที่มิอาจไถ่ได้ด้วยตัวเราเอง เพราะหัวใจของพวกเจ้าที่ทรยศเราจะไม่มีวันเปลี่ยน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (2)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 363

ตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดควรตรวจสอบตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ เพื่อดูว่ายังมีการทรยศต่อเราหลงเหลืออยู่ภายในตัวพวกเจ้ามากเพียงใด  เรากำลังตั้งตารอคำตอบจากพวกเจ้า  จงอย่าทำกับเราอย่างสุกเอาเผากิน  เราไม่เคยเล่นเกมกับผู้คน  หากเราพูดว่าเราจะทำบางสิ่งบางอย่าง เช่นนั้นแล้วเราก็จะทำสิ่งนั้นอย่างแน่นอน  เราหวังว่าพวกเจ้าแต่ละคนจะเป็นใครบางคนที่ถือถ้อยคำของเราเป็นจริงเป็นจัง และไม่คิดราวกับว่าถ้อยคำเหล่านั้นเป็นนิยายวิทยาศาสตร์  สิ่งที่เราต้องการคือการกระทำที่เป็นรูปธรรมจากพวกเจ้า ไม่ใช่การจินตนาการต่างๆ ของพวกเจ้า  ถัดจากนั้น พวกเจ้าต้องตอบคำถามของเรา ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. หากเจ้าเป็นคนปรนนิบัติที่แท้จริง เจ้าสามารถทำการปรนนิบัติเราอย่างรักภักดี โดยไม่มีส่วนประกอบของความหละหลวมหรือความคิดด้านลบใดเลยได้หรือไม่?

2. หากเจ้าค้นพบว่าเราไม่เคยซึ้งคุณค่าเจ้าเลย เจ้าจะยังคงสามารถอยู่และทำการปรนนิบัติเราไปตลอดชีวิตได้หรือไม่?

3. หากเรายังคงเย็นชาต่อเจ้ามากแม้ว่าเจ้าจะกำลังใช้ความพยายามมากมาย เจ้าจะสามารถทำงานให้เราต่อโดยไม่เป็นที่รู้จักได้หรือไม่?

4. หากหลังจากเจ้าได้ใช้จ่ายเพื่อเราแล้ว เราไม่พึงพอใจกับข้อเรียกร้องอันน้อยนิดของเจ้า เจ้าจะกลายเป็นท้อแท้ใจและผิดหวังในตัวเรา หรือกระทั่งกลายเป็นโกรธแค้นและตะโกนด่าทอหรือไม่?

5. หากเจ้าจงรักภักดีอย่างมากมาโดยตลอด มีความรักมากมายให้เรา กระนั้นเจ้าก็ยังทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน และการทอดทิ้งของเพื่อนๆ และญาติๆ ของเจ้า หรือหากเจ้าทนฝ่าโชคร้ายอื่นใดในชีวิต ความจงรักภักดีและความรักของเจ้าที่มีต่อเราจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่?

6. หากสิ่งที่เราได้ทำไม่ตรงกับสิ่งที่เจ้าได้จินตนาการไว้ในหัวใจของเจ้าเลยสักอย่าง เจ้าจะเดินตามเส้นทางอนาคตของเจ้าอย่างไร?

7. หากเจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยจากสิ่งต่างๆ ที่เจ้าหวังไว้ว่าจะได้รับ เจ้าจะสามารถเป็นผู้ติดตามของเราต่อไปได้หรือไม่?

8. หากเจ้าไม่เคยเข้าใจจุดประสงค์และนัยสำคัญของงานเราเลย เจ้าจะสามารถเป็นบุคคลที่เชื่อฟังผู้ที่ไม่ทำการตัดสินและสรุปเองโดยพลการได้หรือไม่?

9. เจ้าจะสามารถหวงแหนความล้ำค่าของถ้อยคำทั้งหมดที่เราได้พูดไปและงานทั้งหมดที่เราได้ทำไปในขณะที่เราอยู่ร่วมกันกับมวลมนุษย์ได้หรือไม่?

10. เจ้าสามารถเป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดีของเรา เต็มใจที่จะทนฝ่าความทุกข์ชั่วชีวิตเพื่อเรา แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย ได้หรือไม่?

11. เพื่อประโยชน์ของเรา เจ้าสามารถยกเลิกการพิจารณา การวางแผน หรือการตระเตรียมสำหรับเส้นทางเพื่อการอยู่รอดในอนาคตของเจ้าได้หรือไม่?

คำถามเหล่านี้เป็นตัวแทนข้อพึงประสงค์สุดท้ายของเราที่มีต่อพวกเจ้า และเราหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะสามารถให้คำตอบเราได้  หากเจ้าได้ปฏิบัติสักหนึ่งหรือสองอย่างที่คำถามพวกนี้ถามเจ้าให้สำเร็จลุล่วง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเพียรพยายามต่อไป  หากเจ้าไม่สามารถทำข้อพึงประสงค์เหล่านี้ให้สำเร็จได้สักข้อเดียว เจ้าก็เป็นคนประเภทที่จะถูกโยนลงไปในนรกอย่างแน่นอน  กับผู้คนเช่นนั้น เราไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดอีก เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่สามารถเห็นพ้องกับเราได้อย่างแน่นอน  เราจะสามารถเก็บใครบางคนที่อาจทรยศเราภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดๆ ก็ได้ไว้ในบ้านของเราได้อย่างไร?  สำหรับพวกที่ยังคงสามารถทรยศเราได้ในรูปการณ์แวดล้อมส่วนใหญ่ เราจะสังเกตการณ์การปฏิบัติของพวกเขาก่อนทำการจัดการเตรียมการอย่างอื่น  อย่างไรก็ดี ทุกคนที่สามารถทรยศเราได้ ไม่สำคัญว่าจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดๆ เราจะไม่มีวันลืมเลย เราจะจำพวกเขาในหัวใจของเรา และรอโอกาสที่จะตอบแทนความประพฤติชั่วของพวกเขา  ข้อพึงประสงค์ที่เราได้ยกมาคือปัญหาทั้งหมดที่พวกเจ้าต้องตรวจดูในตัวพวกเจ้าเอง  เราหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะสามารถพิจารณาปัญหาเหล่านั้นได้อย่างจริงจัง และไม่ติดต่อกับเราแบบพอเป็นพิธี  ในอนาคตอันใกล้ เราจะตรวจคำตอบที่พวกเจ้าให้เรามาโดยเทียบกับข้อพึงประสงค์ของเรา  เมื่อถึงเวลานั้น เราจะไม่พึงประสงค์สิ่งใดจากพวกเจ้าอีก และจะไม่ให้คำตักเตือนที่จริงจังจริงใจอีก  แต่เราจะใช้สิทธิอำนาจของเราแทน  บรรดาผู้ที่ควรได้รับการรักษาไว้ก็จะได้รับการรักษาไว้ บรรดาผู้ที่ควรได้รับบำเหน็จก็จะได้รับบำเหน็จ พวกที่ควรถูกยกให้ซาตานก็จะถูกยกให้ซาตาน พวกที่ควรถูกลงโทษอย่างรุนแรงก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง และพวกที่ควรพินาศจะถูกทำลาย  ด้วยเหตุนี้ จะไม่มีใครรบกวนเราในวันของเราอีกต่อไป  เจ้าเชื่อถ้อยคำของเราหรือไม่?  เจ้าเชื่อในการลงทัณฑ์อันสาสมหรือไม่?  เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเราจะลงโทษพวกคนชั่วเหล่านั้นทั้งหมดที่หลอกลวงและทรยศเรา?  เจ้าหวังให้วันนั้นมาถึงเร็วขึ้นหรือช้าลง?  เจ้าเป็นใครบางคนที่หวาดกลัวต่อการลงโทษ หรือเป็นใครบางคนที่จะต้านทานเรา แม้ว่าพวกเขาต้องทนฝ่าต่อการลงโทษก็ตาม?  เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่า เจ้าจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความรื่นเริงและเสียงหัวเราะ หรือว่าเจ้าจะร่ำไห้และขบฟัน?  บทอวสานแบบใดที่เจ้าหวังว่าจะเจอ?  เจ้าเคยพิจารณาอย่างจริงจังหรือไม่ว่า เจ้าเชื่อในเราร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือสงสัยเราร้อยเปอร์เซ็นต์?  เจ้าเคยพิจารณาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่ว่า การกระทำกับพฤติกรรมของเจ้าจะทำให้เจ้าพบกับผลที่ตามมาและบทอวสานแบบใด?  เจ้าหวังอย่างแท้จริงหรือไม่ว่าถ้อยคำทั้งหมดของเราจะได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงตามลำดับ หรือเจ้าหวาดกลัวว่าถ้อยคำของเราจะได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงตามลำดับ?  หากเจ้าหวังให้เราจากไปโดยเร็วเพื่อที่จะทำให้ถ้อยคำของเราสำเร็จลุล่วง เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรกับถ้อยคำและการกระทำของเจ้าเอง?  หากเจ้าไม่ได้หวังให้เราจากไป และไม่ได้หวังให้ถ้อยคำของเราได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงในทันที เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในเราทั้งหมด?  เจ้ารู้อย่างแท้จริงหรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงกำลังติดตามเรา?  หากเหตุผลของเจ้ามีเพียงแค่เปิดโลกของเจ้าให้กว้าง ก็ไม่จำเป็นที่เจ้าต้องสร้างปัญหาให้ตัวเจ้าเองอย่างนี้  หากมันเป็นไปเพื่อให้ได้รับพรและเลี่ยงหนีความวิบัติที่กำลังมาถึง เหตุใดเจ้าจึงไม่กังวลเรื่องการประพฤติของเจ้าเอง?  เหตุใดเจ้าไม่ถามตัวเจ้าเองว่าเจ้าสามารถทำให้สมดังสิ่งที่เราพึงประสงค์ได้หรือไม่?  เหตุใดเจ้าไม่ถามตัวเองด้วยว่าเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับพรทั้งหลายที่จะมาถึงหรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (2)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 364

ประชากรทั้งหมดของเราที่ปรนนิบัติอยู่เบื้องหน้าเรา ควรคิดย้อนกลับไปในอดีตว่า ความรักที่เจ้ามีให้เราด่างพร้อยเพราะความไม่บริสุทธิ์หรือไม่?  ความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อเราบริสุทธิ์และสุดหัวใจหรือไม่?  ความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับเรานั้นแท้จริงหรือไม่?  เราได้ครองพื้นที่ภายในหัวใจของพวกเจ้ามากเท่าใด?  เราได้เติมเต็มหัวใจของเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ไหม?  วจนะของเราได้สำเร็จลุล่วงภายในตัวพวกเจ้ามากเท่าใด?  จงอย่าคิดว่าเราโง่เขลา!  สิ่งเหล่านี้ชัดเจนอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับเรา!  วันนี้ ขณะที่เสียงแห่งความรอดของเราถูกเปล่งออกไป ความรักของพวกเจ้าที่มีให้เรามีการเพิ่มขึ้นบ้างไหม?  ส่วนหนึ่งของความจงรักภักดีของพวกเจ้าที่มีต่อเราได้กลายเป็นบริสุทธิ์หรือยัง?  ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับเราได้ลึกซึ้งขึ้นไหม?  การสรรเสริญที่ได้มีการถวายในอดีตได้วางรากฐานอันมั่นคงแข็งแรงสำหรับความรู้ของพวกเจ้าในวันนี้ไหม?  พวกเจ้าถูกวิญญาณของเราจับจองไว้มากเพียงใด?  ฉายาของเราครองพื้นที่ภายในตัวพวกเจ้ามากเท่าใด?  ถ้อยคำของเราแทงใจดำของพวกเจ้าหรือยัง?  พวกเจ้ารู้สึกอย่างแท้จริงหรือว่าพวกเจ้าไม่มีที่ใดที่จะซ่อนความอับอายของพวกเจ้าได้?  พวกเจ้าเชื่ออย่างแท้จริงหรือว่าพวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นประชากรของเรา?  หากพวกเจ้าไม่รับรู้ถึงคำถามทั้งหลายข้างต้นอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นแล้ว นี่ก็แสดงว่าพวกเจ้ากำลังแสวงหาประโยชน์จากสถานการณ์ที่ยากจะเข้าใจได้ แสดงว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่เพียงเพื่อเพิ่มจำนวนคนให้มากขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่เราได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเจ้าจะถูกขับออกไปและผลักลงสู่บาดาลลึกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน  นี่คือคำเตือนของเรา และผู้ใดที่คิดว่าวจนะเหล่านี้ไม่สำคัญย่อมจะถูกการพิพากษาของเราบดขยี้ และจะพบกับความวิบัติ ณ เวลาที่กำหนดไว้  นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  เรายังคงจำเป็นต้องจัดเตรียมตัวอย่างต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นการนี้หรือ?  เราต้องพูดอย่างชัดแจ้งยิ่งกว่านี้เพื่อจัดเตรียมแบบอย่างสำหรับพวกเจ้าหรือ?  นับตั้งแต่ยุคแห่งการสร้างโลกจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากไม่เชื่อฟังวจนะของเรา และด้วยเหตุนี้จึงได้ถูกคัดกรองและขับออกจากกระแสแห่งการฟื้นฟูของเรา ในท้ายที่สุด ร่างกายของพวกเขาย่อมพินาศและวิญญาณของพวกเขาย่อมถูกโยนลงสู่แดนคนตาย และแม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงอยู่ภายใต้การลงโทษอันหนักมหันต์  ผู้คนจำนวนมากได้ปฏิบัติตามวจนะของเรา แต่พวกเขาก็ต่อต้านความรู้แจ้งและความกระจ่างของเรา และด้วยเหตุนี้จึงได้ถูกเราเขี่ยตกลงไปภายใต้แดนครอบครองของซาตานและกลายเป็นหนึ่งในพวกที่ต่อต้านเรา  (วันนี้พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ต่อต้านเราโดยตรง เชื่อฟังเพียงเปลือกแห่งวจนะของเรา และไม่เชื่อฟังเนื้อแท้แห่งวจนะของเรา)  มีหลายคนอีกเช่นกันที่ได้แค่ฟังวจนะที่เราพูดเมื่อวานนี้ พวกที่ได้ยึดมั่นใน “ขยะ” ของอดีตและไม่ได้หวงแหนความล้ำค่าของ “พืชผล” ของยุคปัจจุบัน  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เพียงถูกซาตานจองจำเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นคนบาปนิรันดร์และได้กลายเป็นศัตรูของเรา และพวกเขาก็ต่อต้านเราโดยตรง  ผู้คนเช่นนี้ย่อมเป็นเป้าหมายแห่งการพิพากษาของเรา ณ จุดสูงสุดแห่งความโกรธเคืองของเรา และวันนี้พวกเขาก็ยังคงมืดบอด ยังคงอยู่ภายในคุกมืดใต้ดิน (กล่าวคือ ผู้คนเช่นนี้คือซากศพที่เน่าเปื่อยและด้านชาที่ถูกซาตานควบคุม เพราะดวงตาของพวกเขาได้ถูกเราบังไว้ เราจึงกล่าวว่าพวกเขามืดบอด)  คงจะดีที่จะจัดเตรียมตัวอย่างสำหรับการอ้างอิงของพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถเรียนรู้จากมันได้ กล่าวคือ

เมื่อเอ่ยถึงเปาโล พวกเจ้าจะคิดถึงประวัติของเขา และคิดถึงเรื่องราวบางเรื่องเกี่ยวกับเขาที่ไม่ถูกต้องแม่นยำและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง  เขาถูกสอนโดยบิดามารดาของเขาตั้งแต่วัยเยาว์ และได้รับชีวิตของเรา และเขามีขีดความสามารถที่เราพึงประสงค์ อันเป็นผลจากการลิขิตไว้ล่วงหน้าของเรา  เมื่ออายุได้ 19 ปี เขาได้อ่านหนังสือหลากหลายเกี่ยวกับชีวิต ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ อันเป็นเพราะขีดความสามารถของเขาและเพราะความรู้แจ้งกับความกระจ่างของเรา เขาไม่ได้เพียงสามารถพูดด้วยความรู้ความเข้าใจเชิงลึกบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวฝ่ายจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังได้มีความสามารถจับความเข้าใจในเจตนารมณ์ของเราด้วยเช่นกัน  แน่นอนว่า การนี้ไม่ได้ตัดการผสมผสานกันของปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกออกไป  กระนั้นก็ตาม ความไม่เพียบพร้อมอย่างเดียวของเขาก็คือว่า เพราะความสามารถพิเศษของเขา เขามักจะกะล่อนและอวดตัว  ผลก็คือเมื่อเราได้บังเกิดเป็นมนุษย์เป็นครั้งแรก เขาได้ใช้ความพยายามทุกอย่างเพื่อเยาะเย้ยท้าทายเรา อันเนื่องมาจากความไม่เชื่อฟังของเขา ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นได้เป็นตัวแทนของหัวหน้าทูตสวรรค์โดยตรง  เขาเป็นหนึ่งในพวกที่ไม่รู้จักวจนะของเรา และพื้นที่ของเราในหัวใจของเขาได้อันตรธานไปเรียบร้อย  ผู้คนเช่นนั้นต่อต้านเทวสภาพของเราโดยตรง และย่อมถูกเราบดขยี้จนคว่ำลงไป และย่อมได้แต่กราบไหว้และสารภาพบาปของพวกเขาในเบื้องปลาย  ดังนั้น ภายหลังจากที่เราได้ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งทั้งหลายของเขา—กล่าวคือ ภายหลังจากที่เขาได้ทำงานให้เราในช่วงเวลาหนึ่ง—เขาก็ได้ตกไปอยู่ในหนทางเก่าของเขาอีกครั้งหนึ่ง และแม้ว่าเขาไม่ได้ไม่เชื่อฟังวจนะของเราโดยตรง เขาก็ไม่ได้เชื่อฟังการนำภายในและความรู้แจ้งของเรา และด้วยเหตุนี้ ทั้งหมดที่เขาได้ทำในอดีตจึงหาประโยชน์มิได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มงกุฎแห่งพระสิริที่เขาได้พูดถึง ได้กลายเป็นคำพูดที่ว่างเปล่า เป็นผลิตผลของจินตนาการของเขาเอง เพราะแม้กระทั่งวันนี้เขาก็ยังคงตกอยู่ภายใต้การพิพากษาของเราภายในการจองจำแห่งพันธนาการของเรา

จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า ใครก็ตามที่ต่อต้านเรา (โดยไม่เพียงต่อต้านแค่ตัวตนอันเป็นเนื้อหนังของเรา แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือต่อต้านวจนะของเราและวิญญาณของเรา—กล่าวคือ เทวสภาพของเรา) ย่อมได้รับการพิพากษาของเราในเนื้อหนังของพวกเขา  เมื่อวิญญาณของเราผละจากเจ้าไป เจ้าย่อมตกฮวบลงไปข้างล่าง เคลื่อนลงสู่แดนคนตายโดยตรง  และแม้ว่าร่างกายอันมีเนื้อหนังของเจ้าอยู่บนแผ่นดินโลก เจ้าก็เป็นเช่นใครบางคนที่ทนทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บทางจิตใจ กล่าวคือ  เจ้าได้สูญเสียเหตุผลของเจ้า และรู้สึกทันทีราวกับว่าเจ้านั้นเป็นซากศพ จนถึงขั้นที่ว่าเจ้าขอร้องให้เราจบอายุเนื้อหนังของเจ้าโดยไม่รอช้า  พวกเจ้าส่วนใหญ่ที่มีจิตวิญญาณ ย่อมมีความซึ้งคุณค่าอันลึกซึ้งในรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ และเราไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดมากไปกว่านี้  ในอดีต เมื่อเราได้ทำงานในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ผู้คนส่วนใหญ่ได้ใช้ความโกรธเคืองและบารมีของเราเป็นเครื่องประเมินวัดตัวพวกเขาเองไปแล้ว และได้รู้จักปัญญาและอุปนิสัยของเราไปบ้างแล้ว  วันนี้เราพูดและกระทำการในเทวสภาพโดยตรง และยังคงมีผู้คนบางคนที่จะเห็นความโกรธเคืองและการพิพากษาของเราด้วยตาของพวกเขาเอง ยิ่งไปกว่านั้น งานหลักในส่วนที่สองของยุคสมัยแห่งการพิพากษาก็คือการทำให้ประชากรทั้งหมดของเรารู้จักกิจการในเนื้อหนังของเราโดยตรง และทำให้พวกเจ้าทั้งหมดมองเห็นอุปนิสัยของเราโดยตรง  ทว่าเพราะเราอยู่ในเนื้อหนัง เราจึงคำนึงถึงความอ่อนแอทั้งหลายของพวกเจ้า  ความหวังของเราก็คือว่า พวกเจ้าย่อมไม่ปฏิบัติต่อจิตวิญญาณ ดวงจิต และร่างกายของพวกเจ้าเป็นของเล่น และไม่มอบอุทิศสิ่งเหล่านั้นให้ซาตานโดยไม่คิด  เป็นการดีกว่าที่จะหวงแหนความล้ำค่าของทั้งหมดที่เจ้ามี และเป็นการดีกว่าที่จะไม่ปฏิบัติต่อมันเหมือนเกมอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุที่สิ่งต่างๆ เช่นนั้นสัมพันธ์กับชะตากรรมของพวกเจ้า  พวกเจ้ามีความสามารถที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของวจนะของเราอย่างแท้จริงไหม?  พวกเจ้าสามารถคำนึงถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเราอย่างแท้จริงไหม?

พวกเจ้าเต็มใจที่จะชื่นชมพรของเราบนแผ่นดินโลก พรที่เหมือนกับพรทั้งหลายบนสวรรค์หรือไม่?  พวกเจ้าเต็มใจที่จะหวงแหนความล้ำค่าของความเข้าใจเกี่ยวกับเรา ความชื่นชมยินดีในวจนะของเรา และความรู้เกี่ยวกับเราในฐานะสิ่งที่มีค่าและมีความหมายมากที่สุดในชีวิตของพวกเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้ามีความสามารถอย่างแท้จริงที่จะนบนอบต่อเราอย่างสุดใจ โดยไม่มีความคิดถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพวกเจ้าเองหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถยอมให้เราทำให้พวกเจ้าถึงแก่ความตายอย่างแท้จริง และยอมให้เรานำทางเหมือนแกะตัวหนึ่งหรือไม่?  มีใครบ้างหรือไม่ในท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งต่างๆ เช่นนั้นได้?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าทุกคนที่เรายอมรับและได้รับสัญญาทั้งหลายของเราคือบรรดาผู้ที่ได้รับพรของเรา?  พวกเจ้าได้เข้าใจสิ่งใดจากวจนะเหล่านี้บ้างหรือไม่?  หากเราทดสอบพวกเจ้า พวกเจ้าสามารถวางชะตากรรมของพวกเจ้าไว้ในมือของเราอย่างแท้จริง และสามารถค้นหาเจตนารมณ์ของเราและล่วงรู้หัวใจของเราในท่ามกลางการทดสอบเหล่านี้หรือไม่?  เราไม่ปรารถนาให้พวกเจ้ามีความสามารถที่จะพูดคำพูดที่จับใจมากมาย หรือบอกเล่าเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นมากมาย ตรงกันข้าม เราขอให้พวกเจ้ามีความสามารถที่จะกล่าวคำพยานที่ดีต่อเรา และขอให้เจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงได้อย่างเต็มเปี่ยมและอย่างลึกซึ้ง  หากเราไม่ได้พูดโดยตรง เจ้าจะสามารถละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเจ้าและยอมให้เราใช้เจ้าหรือไม่?  นี่ไม่ใช่ความเป็นจริงที่เราพึงประสงค์หรอกหรือ?  ใครเล่ามีความสามารถที่จะจับความเข้าใจในความหมายในวจนะของเรา?  ถึงกระนั้นเราก็ขอให้พวกเจ้าไม่ถูกความแคลงใจถ่วงเอาไว้อีกต่อไป ขอให้พวกเจ้ากระตือรือร้นในการเข้าสู่ของพวกเจ้าและเข้าใจเนื้อแท้แห่งวจนะของเรา  นี่ย่อมจะป้องกันเจ้าจากการเข้าใจวจนะของเราผิด และจากการไม่ชัดเจนในความหมายของเรา และจากการละเมิดกฤษฎีกาบริหารของเราด้วยเหตุเหล่านั้น  เราหวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ที่เรามีต่อพวกเจ้าภายในวจนะของเรา  จงอย่าคิดถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพวกเจ้าเองอีกเลย และจงกระทำการอย่างที่พวกเจ้าได้ตั้งใจแน่วแน่ไว้ต่อหน้าเราว่าจะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าในทุกสิ่ง  บรรดาผู้คนทั้งหมดที่ยืนอยู่ภายในบ้านของเรา ควรทำให้มากเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้ เจ้าควรถวายสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเจ้าเองให้กับส่วนสุดท้ายของงานของเราบนแผ่นดินโลก  เจ้าเต็มใจที่จะนำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นไปปฏิบัติอย่างแท้จริงหรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 4

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 365

บนแผ่นดินโลก วิญญาณชั่วทุกรูปแบบเดินเพ่นพ่านตลอดกาลเพื่อหาที่พักผ่อน และกำลังค้นหาซากศพมนุษย์ที่สามารถบริโภคได้อย่างไม่รู้จบ  คนของเรา!  เจ้าต้องยังคงอยู่ในการดูแลและการปกป้องของเรา  จงอย่าเหลวไหลเป็นอันขาด!  จงอย่าประพฤติตัวโดยไร้ความยั้งคิดเป็นอันขาด!  เจ้าควรมอบถวายความจงรักภักดีของเจ้าในบ้านของเรา และด้วยความจงรักภักดีเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถจัดให้มีการตีโต้กลับต่อเล่ห์เหลี่ยมของมารได้  ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นใด เจ้าไม่ควรประพฤติตัวเช่นที่เจ้าได้ทำในอดีต คือทำสิ่งหนึ่งต่อหน้าเราและทำสิ่งอื่นลับหลังเรา หากเจ้าทำตัวแบบนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อยู่ไกลออกไปจากการไถ่แล้ว  เราไม่ได้เอ่ยวจนะเช่นนี้มากเกินพอไปแล้วหรือ?  แน่นอนว่าเป็นเพราะธรรมชาติเก่าของมนุษยชาตินั้นไม่สามารถแก้ไขได้ เราจึงต้องให้มีการเตือนความจำแก่ผู้คนซ้ำๆ  จงอย่าเบื่อ!  ทั้งหมดที่เราพูดก็เพื่อให้แน่ใจในโชคชะตาของพวกเจ้า!  สถานที่ที่สามานย์และโสมมเป็นสิ่งที่ซาตานต้องการอย่างแน่นอน ยิ่งเจ้าสิ้นหวังที่จะได้รับการไถ่มากขึ้นเท่าใดและยิ่งเจ้าเหลวไหลมากขึ้นเท่าใด โดยปฏิเสธที่จะนบนอบต่อการยับยั้งชั่งใจ เช่นนั้นแล้ว วิญญาณที่มีมลทินเหล่านั้นก็จะยิ่งกอบโกยโอกาสให้ตัวพวกมันเองแทรกซึมเข้าไปในตัวเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าได้มาถึงจุดนี้แล้ว ความจงรักภักดีของพวกเจ้าก็จะไม่เป็นอะไรเลยนอกจากคำพูดพล่อยๆ ที่ปราศจากความเป็นจริงใดๆ แม้แต่น้อย และวิญญาณที่มีมลทินก็จะเขมือบปณิธานของพวกเจ้าลงไป และแปลงสภาพให้เป็นความไม่เชื่อฟังและแผนการร้ายเยี่ยงซาตานเพื่อใช้ในการทำให้งานของเราหยุดชะงัก  จากตรงนั้น เจ้าสามารถถูกเราเฆี่ยนตีได้ไม่ว่าเวลาใด  ไม่มีใครเข้าใจถึงความรุนแรงของสถานการณ์นี้ ผู้คนทั้งหมดเพียงแค่ทำหูทวนลมกับสิ่งที่พวกเขาได้ยิน และไม่ระมัดระวังเลยแม้แต่น้อย  เราจำไม่ได้ว่าสิ่งใดถูกทำไปแล้วในอดีต เจ้ายังคงรออย่างจริงจังให้เราผ่อนปรนต่อเจ้าด้วยการ “ลืม” อีกครั้งกระนั้นหรือ?  แม้ว่ามนุษย์ได้ต่อต้านเรา เราก็จะไม่ตำหนิพวกเขาด้วยเรื่องนี้ เพราะพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และดังนั้น เราจึงไม่ได้ตั้งข้อเรียกร้องต่างๆ ที่สูงเกินไปกับพวกเขา  สิ่งที่เราพึงประสงค์ก็คือพวกเขาไม่เหลวไหล และพวกเขานบนอบต่อความยับยั้งชั่งใจ  แน่นอนว่ามันไม่ได้เกินความสามารถของพวกเจ้าที่จะสนองตอบข้อกำหนดนี้ ใช่หรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่กำลังรอให้เราเปิดเผยความล้ำลึกต่างๆ มากขึ้นไปอีกเพื่อให้พวกเขาชื่นชมจนอิ่มตาของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ต่อให้เจ้ามาเข้าใจความล้ำลึกต่างๆ ทั้งหมดของสวรรค์แล้ว เจ้าจะทำอะไรได้กับความรู้นั้นกันแน่?  มันจะเพิ่มพูนความรักที่เจ้ามีต่อเราหรือไม่?  จะกระตุ้นความรักที่เจ้ามีต่อเราหรือไม่?  เราไม่ดูแคลนมนุษย์ อีกทั้งเราไม่กระทำการตัดสินพวกเขาอย่างเลินเล่อ  หากสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่รูปการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงของมนุษย์ เราคงจะไม่มีวันสวมมงกุฎที่มีตราเช่นนี้ให้พวกเขาง่ายๆ อย่างนี้หรอก  จงคิดย้อนกลับไปในอดีต: เราได้ใส่ร้ายป้ายสีพวกเจ้ากี่ครั้งกันเล่า?  เราได้ดูแคลนพวกเจ้ากี่ครั้งกันเล่า?  เราได้เฝ้ามองพวกเจ้าโดยไม่คำนึงถึงรูปการณ์แวดล้อมจริงๆ ของพวกเจ้ากี่ครั้งกันเล่า?  กี่ครั้งแล้วที่ถ้อยคำของเราล้มเหลวที่จะเอาชนะพวกเจ้าได้อย่างสุดหัวใจ?  กี่ครั้งแล้วที่เราได้พูดโดยไม่เข้าถึงโสตประสาทส่วนลึกภายในตัวพวกเจ้า?  มีใครบ้างท่ามกลางพวกเจ้าที่ได้อ่านวจนะของเราโดยไม่กลัวและสั่นเทา หวาดหวั่นอยู่ลึกๆ ว่าเราจะบดขยี้เจ้าลงไปในบาดาลลึก?  ใครเล่าไม่สู้ทนการทดสอบจากวจนะของเรา?  ภายในถ้อยคำของเรามีสิทธิอำนาจพำนักอยู่ แต่นี่ไม่ใช่เพื่อการกระทำการพิพากษาอันเลินเล่อต่อมนุษย์ ตรงกันข้าม เราใส่ใจต่อรูปการณ์แวดล้อมจริงๆ ของพวกเขา เราสำแดงความหมายที่มีอยู่โดยธรรมชาติในวจนะของเราต่อพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ  ในความเป็นจริงแล้ว มีผู้ใดบ้างที่สามารถระลึกรู้ฤทธานุภาพสูงสุดของเราในวจนะของเราได้?  มีผู้ใดบ้างที่สามารถรับทองคำที่บริสุทธิ์ที่สุดซึ่งใช้สร้างวจนะของเราเอาไว้?  เราได้กล่าววจนะไปแล้วกี่คำกัน?  มีผู้ใดได้หวงแหนความล้ำค่าของวจนะเหล่านั้นหรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 10

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 366

วันแล้ววันเล่าที่เราเฝ้ายืนสังเกตการณ์อยู่เหนือจักรวาล และเราซ่อนเร้นตัวเราอย่างถ่อมใจอยู่ในที่อาศัยของเรา พลางผ่านประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์และศึกษาทุกความประพฤติของมนุษยชาติอย่างใกล้ชิด  ไม่มีผู้ใดเคยมอบถวายตัวพวกเขาแก่เราอย่างแท้จริง ไม่มีผู้ใดเคยไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่มีผู้ใดเคยใส่ใจเรา หรือเคยตั้งปณิธานต่อหน้าเรา แล้วจากนั้นก็รักษาหน้าที่ของตนเอง  ไม่มีผู้ใดเคยยอมให้เราอาศัยอยู่ภายในพวกเขา ทั้งยังไม่เคยเห็นคุณค่าของเราดังที่ผู้คนพึงเห็นคุณค่าชีวิตของพวกเขาเอง  ไม่มีผู้ใดเคยมองเห็นทั้งหมดที่เป็นเทวสภาพของเราในความเป็นจริงซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่มีผู้ใดเคยเต็มใจที่จะติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง  เมื่อห้วงน้ำกลืนกินมนุษย์ทั้งปวง เราช่วยพวกเขาให้รอดจากห้วงน้ำนิ่งเหล่านั้น และให้โอกาสพวกเขาได้มีชีวิตใหม่  ยามผู้คนสูญเสียความมั่นใจในการมีชีวิตของพวกเขา เราฉุดพวกเขาขึ้นมาจากขอบเหวแห่งความตาย โดยมอบความกล้าหาญให้พวกเขาได้เดินต่อไป เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้เราเป็นรากฐานสำหรับการดำรงอยู่ของพวกเขา  ครั้นผู้คนไม่เชื่อฟังเรา เราก็ทำให้พวกเขารู้จักเราจากภายในความไม่เชื่อฟังของพวกเขา  เมื่อมองจากธรรมชาติเดิมของมนุษยชาติ และเมื่อมองจากความกรุณาของเรา แทนที่เราจะประหัตประหารมนุษย์ให้ถึงแก่ความตาย เรากลับเปิดโอกาสให้พวกเขากลับใจและตั้งต้นใหม่อย่างสดชื่น  ในยามที่พวกเขาทนทุกข์กับการกันดารอาหาร  แม้ว่าพวกเขามีเพียงลมหายใจห้วงสุดท้ายเหลืออยู่ในร่างกาย เราก็ยื้อยุดพวกเขาไว้จากความตาย อันเป็นการปกป้องพวกเขาจากการตกเป็นเหยื่อเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน  หลายครั้งเหลือเกินที่ผู้คนมองเห็นมือของเรา  หลายครั้งเหลือเกินที่พวกเขาเป็นประจักษ์พยานถึงโฉมหน้าที่ใจดีมีเมตตาและใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเรา และหลายคราเหลือเกินที่พวกเขามองเห็นบารมีและความโกรธของเรา  แม้ว่ามนุษย์ไม่เคยรู้จักเรา แต่เราก็มิได้ฉวยเอาประโยชน์จากความอ่อนแอของพวกเขามาเป็นโอกาสในการจงใจยั่วยุ  การผ่านประสบการณ์กับความยากลำบากของมนุษยชาติได้ทำให้เราสามารถเห็นอกเห็นใจความอ่อนแอของมนุษย์  มีเพียงเพื่อตอบสนองต่อความไม่เชื่อฟังและความเนรคุณของผู้คนเท่านั้นที่เรามอบการตีสอนในหลากหลายระดับ

เราปกปิดตัวเองเมื่อผู้คนมีธุระยุ่ง และเปิดเผยตัวเราในยามว่างของพวกเขา  ผู้คนจินตนาการว่าเรารู้ทุกสรรพสิ่ง พวกเขาคำนึงถึงเราในฐานะพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงโอนอ่อนตามคำวิงวอนทั้งปวง  เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่จึงมาอยู่ต่อหน้าเราเพียงเพื่อที่จะแสวงหาการช่วยเหลือจากพระเจ้าเท่านั้น มิใช่เพราะความพึงปรารถนาอันใดที่จะรู้จักเรา  เมื่อถูกโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า ผู้คนรีบมาออดอ้อนขอความช่วยเหลือจากเรา  ในยามทุกข์ยาก พวกเขาบอกเล่าความลำบากยากเย็นของพวกเขาแก่เราอย่างสุดกำลัง เพื่อที่จะระบายความทุกข์ของพวกเขาได้ดีขึ้น  อย่างไรก็ตาม ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่สามารถรักเราในขณะที่อยู่ในสภาวะชูใจไปด้วย ไม่มีสักคนเดียวที่หยิบยื่นน้ำใจมาให้ในช่วงเวลาแห่งความสงบและความสุข เพื่อที่เราอาจมีส่วนร่วมในความชื่นบานยินดีของพวกเขา  เมื่อครอบครัวเล็กๆ ของพวกเขาอยู่ดีและมีสุข ผู้คนก็ทิ้งเราหรือปิดประตูใส่เรานับแต่ตอนนั้นแล้ว อันเป็นการห้ามเราไม่ให้เข้าไป เพื่อให้พวกเขาสามารถสุขสำราญกับความสุขที่ได้รับการอวยพรของครอบครัวพวกเขา  จิตใจมนุษย์นั้นคับแคบเกินไป มันถึงขั้นคับแคบเกินกว่าจะยอมรับพระเจ้าสักองค์ซึ่งเปี่ยมรัก เปี่ยมกรุณาและเข้าหาได้เช่นเรา  หลายครั้งเหลือเกินที่เราถูกมนุษย์บอกปัดในช่วงเวลาแห่งเสียงหัวเราะอันชื่นบานของพวกเขา หลายครั้งเหลือเกินที่มนุษย์พึ่งพิงเราประดุจไม้ค้ำยันในยามที่พวกเขาสะดุดล้ม หลายคราเหลือเกินที่เราถูกผู้คนซึ่งกำลังทนทุกข์กับโรคภัยไข้เจ็บบีบให้รับบทบาทหมอ  มนุษย์ช่างใจร้าย!  พวกเขาช่างไร้เหตุผลและปราศจากศีลธรรมอย่างสิ้นเชิง  แม้แต่ความรู้สึกทั้งหลายที่มนุษย์ควรต้องมีอยู่กับตัว ก็ยังไม่อาจรับรู้ได้ในตัวพวกเขา พวกเขาแทบจะปราศจากร่องรอยของความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิงแล้ว  จงใคร่ครวญถึงอดีตและเปรียบเทียบมันกับปัจจุบันว่า มีความเปลี่ยนแปลงอันใดกำลังเกิดขึ้นในตัวพวกเจ้าบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าได้ล้มเลิกบางสิ่งจากอดีตของพวกเจ้าไปบ้างแล้วหรือไม่?  หรือว่าอดีตนั้นยังมิได้ถูกแทนที่เลย?

เราได้เดินทางข้ามเทือกเขาและลุ่มน้ำ ผ่านประสบการณ์กับการขึ้นและลงของโลกมนุษย์  เราท่องไปท่ามกลางพวกเขา และเราได้ใช้ชีวิตเป็นเวลาหลายปีท่ามกลางพวกเขา กระนั้นกลับดูเหมือนว่าอุปนิสัยของมนุษยชาติเปลี่ยนไปนิดเดียว  และราวกับว่าธรรมชาติเดิมของผู้คนได้หยั่งรากและแตกหน่อในตัวพวกเขาแล้ว  พวกเขาไม่เคยสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติเดิมนั้นได้ พวกเขาเพียงปรับปรุงมันให้ดีขึ้นบ้างบนรากฐานดั้งเดิม  ดังที่ผู้คนพูดกันว่า เนื้อแท้ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่รูปแบบกลับเปลี่ยนแปลงไปมาก  ผู้คนทั้งปวงดูเหมือนกำลังพยายามหลอกเราและทำให้เราสายตาพร่ามัว เพื่อที่พวกเขาอาจลักไก่หนีปัญหาและหลอกให้เราซึ้งคุณค่า  เราทั้งไม่เลื่อมใสและไม่ให้ความสนใจต่อเล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์  แทนที่จะบันดาลโทสะ เรากลับนำท่าทีของการมองแต่ไม่เห็นมาใช้  เราวางแผนที่จะยอมให้มนุษยชาติออกนอกลู่นอกทางได้ในระดับหนึ่ง และหลังจากนั้นค่อยจัดการกับมนุษยชาติทั้งปวงพร้อมกัน  ในเมื่อมนุษย์ล้วนเป็นพวกชั่วช้าที่ไร้ค่าและไม่รักตัวเอง และไม่ทะนุถนอมตัวเองเอาเสียเลย แล้วเหตุใดพวกเขาจึงถึงขั้นจำเป็นต้องให้เราแสดงความกรุณาและความรักให้เห็นอีกครั้ง?  โดยไม่มีกรณียกเว้น มนุษย์ทั้งไม่รู้จักตัวเองและไม่รู้ว่าพวกเขามีคุณค่ามากเพียงใด  พวกเขาจึงควรวางตัวเองบนตาชั่งเพื่อชั่งน้ำหนักเสีย  มนุษย์ไม่ใส่ใจเรา ดังนั้นเราจึงไม่จริงจังกับพวกเขาเช่นกัน  พวกเขาไม่ให้ความสนใจเรา ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องทำงานกับพวกเขาให้หนักขึ้นแต่อย่างใดเช่นกัน  นี่ไม่ใช่สิ่งดีที่สุดสำหรับทั้งสองพิภพหรอกหรือ?  นี่ไม่ได้พรรณนาถึงพวกเจ้า ประชากรของเราหรอกหรือ?  ผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่ได้ตั้งปณิธานต่อหน้าเราแล้วไม่ทิ้งขว้างปณิธานเหล่านั้นในภายหลังบ้าง?  ผู้ใดตั้งปณิธานระยะยาวต่อหน้าเราแทนที่จะตั้งจิตของพวกเขาไว้ที่สิ่งต่างๆ เป็นนิจบ้าง?  มนุษย์ตั้งปณิธานทั้งหลายต่อหน้าเราในยามสบายใจ และแล้วก็ลบปณิธานเหล่านั้นทิ้งไปในยามทุกข์ยากเสมอ แล้วจากนั้นพวกเขาก็เก็บความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเขาขึ้นมาตั้งไว้ตรงหน้าเราใหม่  เราไม่น่าเคารพนับถือถึงขนาดที่จะยอมรับของทิ้งแล้วที่มนุษยชาติเก็บขึ้นมาจากกองขยะนี้เอาไว้อย่างสบายๆ อย่างนั้นหรือ?  มีมนุษย์ไม่กี่คนที่ยึดมั่นในปณิธานของพวกเขา มีไม่กี่คนที่บริสุทธิ์ และมีไม่กี่คนที่พลีอุทิศสิ่งล้ำค่าที่สุดของพวกเขาให้แก่เรา  พวกเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนกันหมดหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่สามารถรักษาหน้าที่ของเจ้าเองในฐานะสมาชิกของประชากรของเราในราชอาณาจักรแล้วไซร้ เจ้าย่อมจะถูกเรารังเกียจและปฏิเสธ!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 14

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 367

มนุษย์ทั้งปวงเป็นสิ่งสร้างที่ขาดพร่องการรู้จักตนเอง และพวกเขาไม่สามารถรู้จักตัวพวกเขาเอง  แม้กระนั้นก็ตาม พวกเขากลับรู้จักผู้อื่นทุกคนเหมือนรู้จักหลังมือของพวกเขา ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้อื่นกล่าวและทำลงไปนั้นถูกพวกเขา “ตรวจสอบ” ก่อนแล้ว ตรงหน้าพวกเขานั่นเอง และได้รับการเห็นชอบจากพวกเขาก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะถูกลงมือทำ  ผลที่ตามมานั้นเป็นราวกับว่าพวกเขาได้ประเมินวัดผู้อื่นทุกคนอย่างเต็มที่ ลึกลงไปจนถึงสภาวะจิตใจเลยทีเดียว  มนุษย์ทั้งปวงก็เป็นเช่นนี้  ถึงแม้ว่าพวกเขาเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรในวันนี้แล้ว แต่ธรรมชาติของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ต่อหน้าเรา พวกเขายังคงทำสิ่งที่เราทำ แต่ลับหลังเรา พวกเขาก็เริ่มทำ “ธุระ” พิเศษของพวกเขาเอง  อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง เมื่อพวกเขามาตรงหน้าเรา พวกเขาก็เป็นเหมือนผู้คนที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง สงบและไม่หวั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด พร้อมใบหน้าอันสำรวมและจังหวะชีพจรที่สม่ำเสมอ  นี่มิใช่สิ่งที่ทำให้มนุษย์น่าดูหมิ่นยิ่งนักโดยแท้หรอกหรือ?  ผู้คนมากมายเหลือเกินแสดงหน้าตาสองแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง—หน้าตาแบบหนึ่งขณะอยู่ตรงหน้าเรา และหน้าตาอีกแบบหนึ่งเมื่ออยู่ลับหลังเรา  พวกเขามากมายเหลือเกินกระทำการเหมือนลูกแกะแรกเกิดเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา แต่พอลับหลังเรา พวกเขาก็กลับกลายเป็นเสือดุดัน และต่อมาก็กระทำการเหมือนนกน้อยโผบินอย่างสนุกสนานไปรอบๆ เนินเขา  หลายคนเหลือเกินแสดงจุดประสงค์และการตกลงใจแน่วแน่ต่อหน้าเรา  หลายคนเหลือเกินมาแสวงหาวจนะของเราด้วยความกระหายและความถวิลหาเบื้องหน้าเรา แต่พอลับหลังเรา พวกเขากลับรำคาญวจนะเหล่านั้นมากขึ้นทุกทีและประกาศตัดขาดจากวจนะเหล่านั้น ราวกับว่าถ้อยคำของเราเป็นเครื่องถ่วงอย่างหนึ่ง  หลายครั้งเหลือเกิน เมื่อเห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกศัตรูของเราทำให้เสื่อมทราม เราก็เลิกตั้งความหวังทั้งหลายของเรากับมนุษย์  หลายครั้งเหลือเกินที่เมื่อเห็นมนุษย์มาฟูมฟายแสวงหาการให้อภัยเบื้องหน้าเรา เราก็ได้แต่ปิดตาของเราจากการกระทำของพวกเขาด้วยความโกรธ แม้แต่ในยามที่หัวใจของพวกเขาจริงแท้และเจตนาของพวกเขาจริงใจก็ตาม เนื่องเพราะการขาดพร่องความนับถือตนเองและความไม่สามารถแก้ไขได้อันดื้อดึงของพวกเขา  หลายครั้งเหลือเกิน เราได้เห็นผู้คนมั่นใจพอที่จะร่วมมือกับเรา ผู้ที่เมื่ออยู่เบื้องหน้าเรา ดูเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของเรา ลิ้มรสความอบอุ่นของอ้อมกอดนั้น  หลายครั้งเหลือเกินที่พอได้เห็นความบริสุทธิ์ใจ ความมีชีวิตชีวา และความน่ารักของประชากรที่ได้รับการเลือกสรรของเราแล้ว  เราจะไม่รู้สึกยินดีอย่างใหญ่หลวงเพราะสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่รู้วิธีชื่นชมพรที่ลิขิตไว้ล่วงหน้าของพวกเขาในมือของเรา เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าอันที่จริงแล้ว ทั้ง “พร” และ “ความทุกข์” มีความหมายเช่นไร  ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงหาได้จริงใจในการแสวงหาเราของพวกเขาไม่  หากไม่มีวันพรุ่ง เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าคนใดที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเรา จักบริสุทธิ์ดุจดังหิมะที่ถูกพัดพา และไร้มลทินดุจดังหยก?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าความรักที่เจ้ามีต่อเราเป็นเพียงบางสิ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นมื้ออาหารอันโอชะสักมื้อ ชุดสูทมีระดับสักชุด หรือตำแหน่งสูงพร้อมรายได้งามๆ สักตำแหน่ง?  ความรักที่เจ้ามีต่อเราสามารถแลกเปลี่ยนเป็นความรักที่ผู้อื่นมีต่อพวกเจ้าได้หรือไม่?  แท้จริงแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าการก้าวผ่านบททดสอบทั้งหลายจะกระตุ้นให้ผู้คนทอดทิ้งความรักที่พวกเขามีต่อเรา?  ความทุกข์และความลำบากทั้งหลายจะทำให้พวกเขาพร่ำบ่นเกี่ยวกับการจัดการเตรียมการของเราหรือไม่?  ไม่เคยมีผู้ใดซึ้งคุณค่าในดาบคมที่อยู่ในปากของเราอย่างแท้จริงเลย กล่าวคือ พวกเขารู้จักเพียงความหมายที่ผิวเผินของดาบนั้นโดยไม่จับความเข้าใจถึงความนัยที่มันนำมาด้วย  หากมนุษย์สามารถมองเห็นความคมแห่งดาบของเราอย่างแท้จริง พวกเขาก็คงจะวิ่งลนลานเหมือนหนูเข้ารูของพวกมัน  เป็นเพราะความด้านชาของมนุษย์ พวกเขาจึงไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงแห่งวจนะของเรา และดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เลยว่าถ้อยคำของเราน่ายำเกรงเพียงใด หรือว่าถ้อยคำของเราเปิดเผยธรรมชาติของมนุษย์มากมายเพียงใด และความเสื่อมทรามของมนุษย์เองถูกวจนะเหล่านั้นพิพากษาไปมากเพียงใดแล้ว  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงนำเอาท่าทีที่ไม่กระตือรือร้นมาใช้อันเป็นผลลัพธ์ของแนวคิดครึ่งๆ กลางๆ ของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เรากล่าว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 15

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 368

ตลอดยุคทั้งหลาย หลายคนได้จากโลกนี้ไปด้วยความผิดหวัง และด้วยความลังเล และหลายคนได้มายังโลกด้วยความหวังและความเชื่อ  เราได้จัดการเตรียมการให้กับหลายคนที่จะมา และได้ส่งหลายคนออกไป  ผู้คนนับไม่ถ้วนผ่านมือของเราไป  วิญญาณมากมายถูกโยนเข้าไปในแดนคนตาย หลายคนได้ดำรงชีวิตในเนื้อหนัง และหลายคนได้ตายไปและเกิดใหม่บนแผ่นดินโลก  กระนั้นก็ไม่เคยมีพวกเขาคนใดมีโอกาสชื่นชมพรทั้งหลายแห่งราชอาณาจักรในวันนี้  เราได้ให้มนุษย์มากมายเหลือเกิน กระนั้นเขากลับได้รับไปน้อยนิด เพราะการจู่โจมแห่งกำลังบังคับของซาตานได้ทิ้งให้เขาไม่สามารถชื่นชมความมั่งคั่งทั้งหมดของเราได้  เขาโชคดีเพียงแค่ได้มองเห็นความมั่งคั่งเหล่านั้น แต่ไม่เคยสามารถชื่นชมความมั่งคั่งได้อย่างเต็มที่  มนุษย์ไม่เคยค้นพบเรือนสมบัติในร่างกายของเขาเพื่อรับความมั่งคั่งทั้งหลายของสวรรค์ และดังนั้นเขาจึงสูญเสียพรที่เราได้มอบไว้ให้เขา  แท้จริงแล้ววิญญาณของมนุษย์ไม่ใช่ส่วนที่เชื่อมโยงเขาเข้ากับวิญญาณของเราหรอกหรือ?  เหตุใดมนุษย์จึงไม่เคยให้เรามีส่วนร่วมกับวิญญาณของเขาเลย?  เหตุใดเขาจึงเข้าใกล้เราในเนื้อหนัง แต่กลับไม่สามารถทำเช่นนั้นในวิญญาณได้?  โฉมหน้าที่แท้จริงของเราคือโฉมหน้าของเนื้อหนังกระนั้นหรือ?  เหตุใดมนุษย์จึงไม่รู้จักแก่นแท้ของเรา?  ไม่เคยมีร่องรอยอันใดของเราในวิญญาณของมนุษย์จริงๆ หรือ?  เราได้อันตรธานจากวิญญาณของมนุษย์โดยสิ้นเชิงแล้วหรือ?  หากมนุษย์ไม่เข้าสู่อาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เขาจะสามารถจับความเข้าใจในเจตนารมณ์ของเราได้อย่างไร?  ในสายตาของมนุษย์ มีสิ่งที่สามารถแทรกซอนเข้าไปในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณได้โดยตรงหรือไม่?  มีหลายครั้งที่เราร้องเรียกมนุษย์ด้วยวิญญาณของเรา กระนั้นมนุษย์ก็กระทำตนราวกับว่าเขาถูกเราทิ่มแทง เฝ้ามองเราจากระยะไกลด้วยความยำเกรงอันใหญ่หลวงว่าเราจะนำทางเขาไปสู่อีกโลกหนึ่ง  มีหลายครั้งที่เราสืบค้นเข้าไปในวิญญาณของมนุษย์ กระนั้นเขายังคงไม่รับรู้โดยสิ้นเชิง กลัวอย่างลึกล้ำว่าเราจะเข้าไปในบ้านของเขาและฉวยโอกาสพรากทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาไปจากเขา  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงปิดกั้นเราไว้ข้างนอก ทิ้งให้เราเผชิญหน้าแต่ประตูที่เย็นชาและปิดสนิท  มีหลายครั้งที่มนุษย์ล้มลงและเราได้ช่วยเขาให้รอด กระนั้นหลังจากที่ตื่นขึ้นมา มนุษย์ก็ผละจากเราทันที และมองตรงมาที่เราอย่างระวังภัย โดยที่ยังไม่ได้รับการสัมผัสจากความรักของเรา เราจึงไม่เคยได้ทำให้หัวใจของมนุษย์อบอุ่น  มนุษย์คือสัตว์เลือดเย็นที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก  แม้ว่าเขาจะอบอุ่นด้วยอ้อมกอดของเรา แต่เขาก็ไม่เคยตื้นตันใจอย่างลึกซึ้งในอ้อมกอดนั้น  มนุษย์เหมือนคนเถื่อนตามภูเขา  เขาไม่เคยหวงแหนความล้ำค่าของการที่เราทะนุถนอมมวลมนุษย์เลย  เขาไม่เต็มใจที่จะเข้าหาเรา โดยเลือกชอบที่จะอยู่อาศัยในภูเขา ที่ซึ่งเขาสู้ทนภัยคุกคามจากเหล่าสัตว์ป่า—กระนั้นเขาก็ยังคงไม่เต็มใจที่จะหลบภัยในเรา  เราไม่บังคับมนุษย์ผู้ใดเลย กล่าวคือ เราเพียงทำงานของเรา  วันนั้นจะมาถึงเมื่อมนุษย์แหวกว่ายจากกลางมหาสมุทรอันทรงพลังมาอยู่เคียงข้างเรา เพื่อที่เขาอาจชื่นชมความมั่งคั่งทั้งมวลบนแผ่นดินโลกและทิ้งความเสี่ยงที่จะถูกทะเลกลืนกลบไว้เบื้องหลัง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 20

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 369

ผู้คนมากมายปรารถนาที่จะรักเราอย่างแท้จริง แต่เพราะหัวใจของพวกเขาไม่ใช่ของพวกเขาเอง พวกเขาจึงไม่มีการควบคุมเหนือตัวพวกเขาเอง ผู้คนมากมายรักเราอย่างแท้จริงขณะที่พวกเขาได้รับประสบการณ์กับบททดสอบที่เรามอบให้ กระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถจับความเข้าใจได้ว่าเราดำรงอยู่จริง และเพียงแค่รักเราในความว่างเปล่าและไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่ที่แท้จริงของเรา ผู้คนมากมายวางหัวใจของพวกเขาลงตรงหน้าเราแล้วจากนั้นก็ไม่ให้ความสนใจในหัวใจของพวกเขา และด้วยเหตุนี้หัวใจของพวกเขาจึงถูกซาตานคว้าไปเมื่อใดก็ตามที่มันมีโอกาส และแล้วพวกเขาก็ผละจากเราไป ผู้คนมากหลายรักเราอย่างจริงแท้เมื่อเราจัดเตรียมวจนะของเราให้ กระนั้นก็หาได้ทะนุถนอมวจนะของเราในจิตวิญญาณของพวกเขาไม่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับใช้วจนะของเราอย่างเพลิดเพลินเหมือนสมบัติสาธารณะและโยนวจนะของเรากลับไปยังที่เดิมเมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกอยากจะทำ  มนุษย์ค้นหาเราท่ามกลางความเจ็บปวด และเขามองมาที่เราท่ามกลางบททดสอบ  ในระหว่างช่วงเวลาแห่งสันติสุข เขาชื่นชมเรา เมื่อตกอยู่ในอันตราย เขาก็ปฏิเสธเรา เมื่อเขาติดธุระ เขาก็ลืมเรา และเมื่อเขาว่าง เขาก็ปฏิบัติต่อเราอย่างพอเป็นพิธี—แต่ทว่าไม่เคยมีใครรักเราโดยตลอดชีวิตของพวกเขาเลย  เราปรารถนาให้มนุษย์จริงจังจริงใจต่อหน้าเรา กล่าวคือ เราไม่ขอให้เขามอบสิ่งใดแก่เรา แต่เพียงขอให้ผู้คนทั้งปวงจริงจังกับเราเท่านั้น และแทนที่จะป้อยอเรา ก็ขอให้พวกเขาเปิดโอกาสให้เรานำความจริงใจของมนุษย์กลับมา  ความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และราคาแห่งความพยายามของเราแผ่ซ่านไปทั่วผู้คนทั้งปวง กระนั้นข้อเท็จจริงของทุกการกระทำของมนุษย์ก็แผ่ซ่านไปทั่วผู้คนทั้งปวงเช่นเดียวกับการที่พวกเขาหลอกลวงเราด้วย  เป็นราวกับว่าส่วนผสมต่างๆ ของการหลอกลวงของมนุษย์อยู่กับเขามาตั้งแต่ในครรภ์ ราวกับว่าเขาได้ครอบครองทักษะพิเศษแห่งการใช้เล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้มาตั้งแต่เกิด  ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยเปิดเผยให้รู้ถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่เคยมีใครมองทะลุเข้าไปยังแหล่งกำเนิดของทักษะที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเหล่านี้  ผลก็คือ มนุษย์ใช้ชีวิตท่ามกลางการหลอกลวงโดยไม่ตระหนักถึงมัน และเป็นราวกับว่าเขายกโทษให้ตัวเอง ราวกับว่านี่เป็นการจัดการเตรียมการของพระเจ้ามากกว่าที่จะเป็นการที่เขาจงใจหลอกลวงเรา  นี่ไม่ใช่แหล่งกำเนิดของการที่มนุษย์หลอกลวงเราหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่กลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของเขาหรอกหรือ?  เราไม่เคยมึนงงกับคำประจบเอาใจและกลลวงของมนุษย์เลย เพราะเราเข้าใจเนื้อแท้ของเขามานานแล้ว  ผู้ใดรู้บ้างว่ามีความไม่บริสุทธิ์ในเลือดของเขามากเพียงใด และมีพิษของซาตานอยู่ภายในไขกระดูกของเขามากเพียงใด?  มนุษย์คุ้นเคยกับมันมากยิ่งขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านไป จนกระทั่งเขาไม่รู้สึกถึงอันตรายที่ซาตานกระทำ และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความสนใจที่จะค้นหา “ศิลปะแห่งการดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์แข็งแรง”

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 21

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 370

มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความสว่าง กระนั้นเขาก็ไม่ตระหนักรู้ความล้ำค่าของความสว่าง  เขาไม่รู้เท่าทันแก่นแท้ของความสว่าง และแหล่งกำเนิดของความสว่าง และยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่รู้เท่าทันว่าความสว่างนั้นเป็นของผู้ใด  เมื่อเราประสาทความสว่างในท่ามกลางมวลมนุษย์ เราตรวจดูภาวะในหมู่มนุษย์ทันที กล่าวคือ  เพราะความสว่าง ผู้คนทั้งปวงจึงกำลังเปลี่ยนแปลงและเติบโต และได้ออกจากความมืด  เรามองไปยังทุกมุมของจักรวาล และเห็นว่าภูเขาทั้งหลายถูกปกคลุมด้วยหมอก ว่าห้วงน้ำทั้งหลายกลายเป็นน้ำแข็งในความหนาวเย็น และเห็นว่าผู้คนมองไปทางทิศตะวันออกเพราะการมาถึงของความสว่าง เพื่อที่พวกเขาอาจค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ล้ำค่ามากขึ้น—กระนั้น มนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถหยั่งรู้ทิศทางที่ชัดเจนภายในละอองหมอก  เนื่องจากทั้งโลกถูกห่มคลุมด้วยหมอก เมื่อเรามองจากท่ามกลางหมู่เมฆ จึงไม่เคยมีมนุษย์ที่ค้นพบการดำรงอยู่ของเราเลย  มนุษย์กำลังแสวงหาบางสิ่งบางอย่างบนแผ่นดินโลก ดูเหมือนว่าเขากำลังหาอาหาร ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจที่จะรอคอยการมาถึงของเรา—กระนั้น เขาก็ไม่รู้จักวันของเรา และสามารถเพียงมองไปยังแสงริบหรี่ของความสว่างในทิศตะวันออกอยู่บ่อยครั้งเท่านั้น  ท่ามกลางกลุ่มชนทั้งปวง เราแสวงหาบรรดาผู้ที่เห็นพ้องกับหัวใจของเราเองอย่างแท้จริง  เราเดินไปท่ามกลางกลุ่มชนทั้งปวง และใช้ชีวิตท่ามกลางกลุ่มชนทั้งปวง แต่มนุษย์บนแผ่นดินโลกก็ปลอดภัยดี และดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดที่เห็นพ้องกับหัวใจของเราเองอย่างแท้จริง  ผู้คนไม่รู้ว่าจะเอาใจใส่เจตจำนงของเราอย่างไร พวกเขาไม่สามารถมองเห็นการกระทำของเรา และพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวภายในความสว่างและได้รับแสงจากความสว่างนั้น  ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเคยหวงแหนความล้ำค่าของวจนะของเรา แต่เขาก็ไม่สามารถมองทะลุกลอุบายอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของซาตาน เนื่องจากวุฒิภาวะของมนุษย์มีน้อยเกินไป เขาจึงไม่สามารถทำตามที่หัวใจของเขาปรารถนา  มนุษย์ไม่เคยรักเราอย่างจริงใจ  เมื่อเรายกย่องเขา เขารู้สึกว่าตัวเขาเองไม่มีค่าคู่ควร แต่นี่ไม่ได้ทำให้เขาพยายามที่จะทำให้เราพึงพอใจ  เขาเพียงประคอง “สถานะ” ที่เรามอบให้เขาเอาไว้ในมือทั้งสองของเขาและพินิจพิเคราะห์มัน ไม่อาจสำนึกรับรู้ได้ถึงความน่ารักน่าชื่นชมของเรา เขากลับยืนกรานที่จะสวาปามผลประโยชน์ทั้งหลายแห่งสถานะของเขา  นี่ไม่ใช่ความขาดตกบกพร่องของมนุษย์หรอกหรือ?  เมื่อภูเขาเคลื่อนที่ ภูเขาเหล่านั้นจะสามารถหาทางอ้อมเพื่อเห็นแก่สถานะของเจ้าได้หรือไม่?  เมื่อห้วงน้ำหลั่งไหล ห้วงน้ำเหล่านั้นจะสามารถหยุดอยู่ตรงหน้าสถานะของมนุษย์ได้หรือไม่?  ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะสามารถถูกสถานะของมนุษย์พลิกกลับได้หรือไม่?  ครั้งหนึ่งเราเคยเปี่ยมกรุณาต่อมนุษย์หนแล้วหนเล่า—กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดทะนุถนอมหรือหวงแหนความล้ำค่าของการนี้  พวกเขาเพียงรับฟังการนี้เหมือนเป็นเรื่องเล่า หรืออ่านมันเหมือนเป็นนิยาย  วจนะของเราสัมผัสไม่ถึงหัวใจของมนุษย์จริงๆ หรือ?  ถ้อยคำของเราไม่มีผลจริงๆ หรือ?  เป็นไปได้หรือที่ไม่มีผู้ใดเชื่อในการดำรงอยู่ของเรา?  มนุษย์ไม่รักตัวเขาเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับร่วมมือกับซาตานเพื่อโจมตีเรา และใช้ซาตานเป็น “สินทรัพย์” ไว้คอยรับใช้เรา  เราจะทะลวงกลอุบายทั้งหมดอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของซาตาน และหยุดยั้งผู้คนบนแผ่นดินโลกไม่ให้ยอมรับการหลอกลวงของซาตาน เพื่อที่พวกเขาจะไม่ต่อต้านเราเนื่องแต่การดำรงอยู่ของมัน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 22

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 371

ในสายตาของเรา มนุษย์คือผู้ปกครองทุกสรรพสิ่ง  เราได้ให้สิทธิอำนาจแก่เขาไปไม่ใช่น้อย โดยอนุญาตให้เขาบริหารจัดการทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลก—หญ้าบนภูเขา สัตว์กลางป่า และปลาในน้ำ  แต่แทนที่จะมีความสุขเพราะการนี้ มนุษย์กลับถูกความวิตกกังวลรุมเร้า  ทั้งชีวิตของมนุษย์เป็นชีวิตแห่งความทุกข์ระทมและการสาละวนเร่งรีบ ชีวิตแห่งการเพิ่มความสนุกให้กับความว่างเปล่า ตลอดชีวิตของเขาไม่มีการประดิษฐ์คิดค้นและการสร้างสรรค์ใหม่ๆ เลย  ไม่มีผู้ใดสามารถแยกตัวเองออกมาจากชีวิตอันกลวงเปล่านี้ได้ ไม่มีผู้ใดเคยค้นพบชีวิตที่มีความหมาย และไม่มีผู้ใดเคยมีประสบการณ์กับชีวิตที่เป็นจริง  แม้ว่าผู้คนทุกวันนี้ล้วนมีชีวิตอยู่ภายใต้ความสว่างที่ฉายส่องของเรา พวกเขาก็ไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับชีวิตในสวรรค์เลย  หากเราไม่เปี่ยมกรุณาต่อมนุษย์และไม่ช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เช่นนั้นแล้ว ผู้คนทั้งปวงย่อมมาอย่างสูญเปล่า ชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลกไร้ซึ่งความหมาย และพวกเขาก็จะจากไปอย่างสูญเปล่า ไร้สิ่งใดให้ภาคภูมิใจ  ผู้คนจากทุกศาสนา ทุกภาคส่วนของสังคม ทุกชนชาติ และทุกนิกายล้วนรู้จักความว่างเปล่าบนแผ่นดินโลก และพวกเขาล้วนแสวงหาเราและรอคอยการกลับมาของเรา—ทว่าผู้ใดสามารถรู้จักเราเมื่อเรามาถึงเล่า?  เราสร้างทุกสรรพสิ่ง  เราสร้างมวลมนุษย์ และวันนี้เราก็ลงมาอยู่ท่ามกลางมนุษย์  อย่างไรก็ตาม มนุษย์กลับตีโต้เรา และแก้แค้นเอากับเรา  งานที่เราทำในตัวมนุษย์ไม่มีประโยชน์ต่อเขาเลยหรือ?  เราไม่สามารถทำให้มนุษย์พอใจได้จริงๆ หรือ?  เหตุใดมนุษย์จึงบอกปัดเรา?  เหตุใดมนุษย์จึงเย็นชาและไม่แยแสเราถึงเพียงนี้?  เหตุใดแผ่นดินโลกจึงปกคลุมไปด้วยซากศพ?  นี่คือสภาวะของโลกที่เราสร้างขึ้นมาให้มนุษย์จริงๆ หรือ?  เหตุใดเมื่อเรามอบความมั่งคั่งอันหาใดเปรียบมิได้แก่มนุษย์ พวกเขากลับยื่นสองมืออันว่างเปล่ามาให้เราเป็นการตอบแทน?  เหตุใดมนุษย์จึงไม่รักเราอย่างแท้จริง?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยมาตรงหน้าเราเลย?  วจนะทั้งปวงของเราเปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ?  วจนะของเราปลาสนาการไปเหมือนความร้อนที่อยู่ในน้ำกระนั้นหรือ?  เหตุใดมนุษย์จึงไม่เต็มใจที่จะร่วมมือกับเรา?  การมาถึงแห่งวันของเราเป็นชั่วขณะแห่งความตายของมนุษย์จริงๆ หรือ?  เราสามารถทำลายมนุษย์ในเวลาที่ราชอาณาจักรของเราเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ หรือ?  เหตุใดในช่วงระหว่างแผนการบริหารจัดการทั้งมวลของเรา จึงไม่เคยมีผู้ใดจับความเข้าใจในเจตนารมณ์ของเราเลย?  เหตุใดแทนที่จะทะนุถนอมถ้อยคำที่ออกมาจากปากของเรา มนุษย์กลับเกลียดและบอกปัดถ้อยคำเหล่านั้น?  เราไม่กล่าวโทษผู้ใด แต่เพียงทำให้ผู้คนทั้งปวงหวนคืนสู่ความสงบและดำเนินงานแห่งการทบทวนตนเองเท่านั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 25

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 372

มนุษย์มีประสบการณ์กับความอบอุ่นของเรา มนุษย์ได้รับใช้เราอย่างจริงจังจริงใจ และมนุษย์ได้นบนอบต่อหน้าเราอย่างจริงจังจริงใจ โดยทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเราในการสถิตของเรา  กระนั้นผู้คนทุกวันนี้ก็ไม่อาจสัมฤทธิ์การนี้ได้ พวกเขาไม่ทำสิ่งใดนอกจากร่ำไห้ในวิญญาณของพวกเขาราวกับว่าพวกเขาถูกหมาป่าหิวโหยฉกเอาตัวไป และพวกเขาสามารถเพียงแค่มองมาที่เราอย่างหมดหนทาง ร้องเรียกเราไม่หยุด  แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถหลีกหนีสถานการณ์ลำบากของพวกเขาได้  เราคิดย้อนกลับไปถึงวิธีที่ผู้คนในอดีตได้ให้คำสัญญาในการสถิตของเรา โดยสาบานต่อสวรรค์และแผ่นดินโลกในการสถิตของเราว่าจะตอบแทนความใจดีมีเมตตาของเราด้วยความรักใคร่ของพวกเขา  พวกเขาได้ร่ำไห้อย่างโศกเศร้าต่อหน้าเรา และเสียงร้องไห้ของพวกเขาก็ชวนให้หัวใจสลาย ยากที่จะทนรับ  เนื่องแต่ความแน่วแน่ของพวกเขา เราจึงจัดเตรียมความช่วยเหลือให้แก่ผู้คนอยู่บ่อยครั้ง  หลายครั้งนับไม่ถ้วนผู้คนได้มาตรงหน้าเราเพื่อนบนอบต่อเรา กิริยาน่ารักน่าชื่นชมของพวกเขานั้นยากที่จะลืม  หลายครั้งนับไม่ถ้วนพวกเขารักเรา ไม่หวั่นไหวอยู่ในความจงรักภักดีของพวกเขา ความจริงจังจริงใจของพวกเขานั้นน่าเลื่อมใส  หลายครั้งนับไม่ถ้วนพวกเขารักเราจนถึงจุดที่ยอมพลีอุทิศชีวิตของพวกเขาเอง พวกเขารักเรามากกว่าตัวของพวกเขาเอง—และเมื่อเห็นความจริงใจของพวกเขา เราก็ยอมรับความรักของพวกเขาเอาไว้  หลายครั้งนับไม่ถ้วนพวกเขาได้มอบตัวพวกเขาเองในการสถิตของเรา เพื่อประโยชน์แห่งเรา โดยไม่แยแสการเผชิญหน้าความตาย และเราได้คลายความกังวลไปจากคิ้วของพวกเขาและประเมินสีหน้าของพวกเขาอย่างรอบคอบ  มีหลายครั้งนับไม่ถ้วนที่เรารักพวกเขาเหมือนสมบัติล้ำค่าที่เราทะนุถนอม และมีหลายครั้งนับไม่ถ้วนที่เราเกลียดชังพวกเขาในฐานะศัตรูของเราเอง  แม้กระนั้นก็ตาม สิ่งที่อยู่ในจิตใจของเรายังคงพ้นวิสัยการจับความเข้าใจของมนุษย์  เมื่อผู้คนเศร้าใจ เรามาชูใจพวกเขา และเมื่อพวกเขาอ่อนแอ เราก็คอยช่วยพวกเขาไปตลอดทาง  เมื่อพวกเขาหลงทาง เราบอกทิศทางแก่พวกเขา  เมื่อพวกเขาร่ำไห้ เราเช็ดน้ำตาให้พวกเขา  แต่เมื่อเราเศร้าใจ ผู้ใดจะสามารถชูใจเราด้วยหัวใจของพวกเขาได้?  เมื่อเรากังวลอย่างที่สุด ผู้ใดคำนึงถึงความรู้สึกของเรา?  เมื่อเราโศกเศร้า ผู้ใดจะสามารถเยียวยาบาดแผลในหัวใจของเรา?  เมื่อเราจำเป็นต้องมีใครสักคน ผู้ใดอาสาที่จะร่วมมือกับเรา?  เป็นไปได้หรือที่ท่าทีแต่เก่าก่อนที่ผู้คนมีต่อเรานั้นบัดนี้สูญหายไปแล้ว ไม่มีวันกลับมา?  เหตุใดท่าทีเช่นนั้นจึงไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของพวกเขาเลย?  ผู้คนลืมสิ่งเหล่านี้ไปหมดได้อย่างไร?  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะมวลมนุษย์ถูกศัตรูของเขาทำให้เสื่อมทรามหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 27

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 373

พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา แต่เมื่อพระองค์เสด็จมายังโลกมนุษย์ ผู้คนกลับพยายามต้านทานพระองค์และขับพระองค์ออกจากดินแดนของพวกเขา ราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นเพียงเด็กกำพร้าบางคนที่ซัดเซพเนจรไปทั่วโลก หรือเป็นดั่งมนุษย์โลกคนหนึ่งที่ไร้ประเทศ  ไม่มีผู้ใดรู้สึกผูกพันกับพระเจ้า ไม่มีผู้ใดรักพระองค์อย่างแท้จริง และไม่มีผู้ใดเคยต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อเห็นการเสด็จมาของพระเจ้า ในพริบตาเดียวหมู่เมฆก็ปกคลุมใบหน้าอันชื่นบานไว้ใต้เงามืด ราวกับมีพายุที่พลันเคลื่อนเข้ามา หรือราวกับว่าพระเจ้าอาจจะทรงเอาความสุขไปจากครอบครัวของพวกเขา และราวกับว่าพระเจ้ามิเคยทรงอวยพรมนุษย์ แต่กลับเคยแต่ทรงนำเอาโชคร้ายมาให้พวกเขาเท่านั้นแทน  เพราะฉะนั้นในจิตใจของมนุษย์ พระเจ้าจึงมิใช่สิ่งที่ให้คุณ แต่กลับเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ทรงสาปแช่งพวกเขาอยู่เสมอ  เพราะเหตุนี้ ผู้คนจึงไม่ใส่ใจพระองค์หรือต้อนรับพระองค์ พวกเขาเย็นชาใส่พระองค์เสมอ แล้วก็เป็นเช่นนี้ตลอดมา  เนื่องจากมนุษย์เก็บงำสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าจึงตรัสว่า มนุษยชาติช่างไร้เหตุผลและปราศจากศีลธรรม และตรัสว่า แม้แต่ความรู้สึกทั้งหลายที่มนุษย์ควรต้องมีอยู่กับตัว ก็ยังไม่อาจรับรู้ได้ในตัวพวกเขา  มนุษย์ไม่แสดงให้เห็นการคำนึงถึงความรู้สึกของพระเจ้าเลย แต่กลับใช้สิ่งที่เรียกว่า “ความชอบธรรม” มาจัดการกับพระเจ้าแทน  พวกเขาเป็นเช่นนี้มานานหลายปี และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงตรัสไว้ว่าอุปนิสัยของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้มีสาระมากไปกว่าขนนกกำมือหนึ่ง  อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์เป็นวายร้ายที่ไร้ค่า เพราะพวกเขาไม่ถนอมความล้ำค่าของตนเอง  หากพวกเขาไม่แม้แต่จะรักตัวพวกเขาเอง แต่กลับเหยียบย่ำตนเองแทน เช่นนั้นแล้ว นี่มิแสดงให้เห็นความไร้ค่าของพวกเขาหรอกหรือ?  มนุษยชาติเปรียบเสมือนสตรีไร้ศีลธรรมที่เล่นสนุกกับตัวเองและเต็มใจมอบตัวเธอเองให้ผู้อื่นล่วงละเมิด  แม้จะเป็นเช่นนั้น ผู้คนก็ยังคงไม่ระลึกรู้ว่าพวกเขาต่ำต้อยเพียงใดอยู่ดี  พวกเขายินดีในการทำงานเพื่อผู้อื่นหรือในการพูดคุยกับผู้อื่น อันเป็นการยอมให้ตัวพวกเขาเองอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อื่น นี่มิใช่ความโสมมของมวลมนุษย์โดยแท้หรอกหรือ?  แม้ว่าเราไม่ได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตท่ามกลางมนุษยชาติ และไม่ได้ผ่านประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง แต่เราก็ได้รับความเข้าใจอันชัดเจนยิ่งเกี่ยวกับทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำ ทุกคำพูด และทุกความประพฤติที่มนุษย์ลงมือทำ  เราถึงขั้นสามารถเปิดโปงมนุษย์ไปจนถึงความอับอายส่วนลึกที่สุดของพวกเขา จนถึงจุดที่พวกเขาไม่กล้าเปิดเผยความฉ้อฉลของพวกเขาเอง  หรือไม่กล้าเปิดทางให้กับความทะยานอยากของพวกเขาอีกต่อไป  พวกเขาไม่กล้าเปิดโปงสภาวะอันอัปลักษณ์ของพวกเขาเองอีกต่อไปเหมือนหอยทากที่ถอยหนีเข้าไปในเปลือกของพวกมัน  เนื่องจากมนุษย์ไม่รู้จักตัวเอง  ข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขาจึงเป็นความเต็มใจที่จะขนเสน่ห์ของพวกเขาออกมาเดินอวดต่อหน้าผู้อื่น อันเป็นการโอ้อวดโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจที่สุด  การนี้เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนนั้นผิดปกติ และสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างบุคคลก็ขาดพร่อง นับประสาอะไรกับสัมพันธภาพอันปกติระหว่างพวกเขากับพระเจ้า  พระเจ้าได้ตรัสไปมากมายเหลือเกินแล้ว และวัตถุประสงค์หลักของพระองค์ในการทำเช่นนั้นก็คือ เพื่อจับจองที่ในหัวใจของผู้คน เพื่อให้พวกเขาสามารถปลดเปลื้องตัวพวกเขาเองจากรูปเคารพทั้งหมดที่พักอาศัยอยู่ในหัวใจของพวกเขา  ครั้นแล้ว พระเจ้าจึงจะสามารถกวัดแกว่งฤทธานุภาพเหนือมนุษยชาติทั้งปวงและสัมฤทธิ์จุดประสงค์แห่งการดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 14

ก่อนหน้า:  การเปิดโปงความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ 1

ถัดไป:  การเข้าสู่ชีวิต

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger