46. คนที่ชอบเอาใจผู้อื่นสามารถได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้าหรือไม่?

โดย หลิวอี้ ประเทศจีน

ก่อนฉันจะมาเป็นผู้เชื่อ ฉันมักระมัดระวังที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง และฉันก็เข้ากันได้กับทุกคน  เมื่อใดที่ฉันเห็นใครบางคนกำลังเจอกับเรื่องยากลำบาก ฉันก็จะช่วยเหลือแบ่งเบา  ฉันจึงรู้สึกเหมือนตัวเองมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี และรู้สึกว่าฉันเป็นคนดี  มีเพียงโดยการได้รับประสบการณ์การพิพากษาและตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่ทำให้ฉันได้ตระหนักว่า ฉันก็แค่คุ้มภัยให้กับสัมพันธภาพของตัวเองกับผู้อื่น และไร้ซึ่งสำนึกแห่งความยุติธรรม  ฉันไม่เคยมีความสามารถที่จะค้ำจุนหลักธรรมแห่งความจริง หรือปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในยามที่วิกฤติที่สุดได้เลย  ฉันได้เห็นว่าตัวเองเป็นพวกชอบเอาใจผู้อื่นซึ่งเห็นแก่ตัวเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงที่พระเจ้าทรงขยะแขยง  ด้วยความเสียใจและรังเกียจตัวเอง ฉันจึงเริ่มจดจ่อกับการปฏิบัติความจริง แล้วฉันก็เริ่มเปลี่ยนแปลง

ฉันเคยร่วมงานกับน้องลี่ สมัยเป็นหัวหน้าฝ่ายให้น้ำที่คริสตจักร  ผ่านไปสักพัก ฉันก็สังเกตเห็นว่า เธอไม่แบกรับภาระใดในหน้าที่ของตัวเอง แถมยังไม่ขยันในการทำอะไรเลย  เธอแทบไม่เคยช่วยพี่น้องชายหญิงแก้ไขปัญหาของพวกเขา และบางครั้งก็ถึงกับจำเวลาเข้าชุมนุมสลับกันมั่วไปหมด  ฉันอยากยกเรื่องพวกนี้ขึ้นมาคุยกับเธอ แต่แล้วฉันก็คิดถึงเรื่องที่เธอไม่ได้ทำหน้าที่นั้นมานานนัก ดังนั้น ถ้าหากฉันพูดอะไรไป เธออาจจะคิดว่า ฉันเรียกร้องและเข้มงวดมากเกินไป  เธอประทับใจในตัวฉันมากๆ แล้วถ้าฉันเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ไป เธอจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อฉันไหม?  ฉันตัดสินใจสามัคคีธรรมกับเธอเพียงลำพังเพื่อที่เธอจะได้ไม่เสียหน้า  ระหว่างการสามัคคีธรรมของพวกเรา ฉันไม่ได้สัมพันธ์สนิทความจริงกับเธอเพื่อแก้ไขปัญหาที่มี แต่กลับแนะนำเธอไปแบบมีชั้นเชิงว่า “ช่วงนี้คุณทำหน้าที่ได้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเลยนะคะ  คุณได้ทบทวนเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?  ถ้าคุณใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะผิดๆ ที่ไม่ได้รับการสนใจดูแล คุณจะไม่ใช่แค่ทำหน้าที่ได้ไม่ดี แต่มันขวางการเข้าสู่ชีวิตของคุณได้ด้วยนะคะ”  โดยข้อเท็จจริงนั้น ฉันรู้ว่าเธอไม่ใส่ใจและไม่ตั้งใจกับหน้าที่ของตัวเองเลย และฉันควรสามัคคีธรรมกับเธอตามความจริงเพื่อชำแหละธรรมชาติของปัญหา ฉันรู้ว่าฉันควรจัดการและเปิดโปงเธอ เพื่อที่เธอจะได้เข้าใจปัญหาของตัวเอง  แต่ถ้าฉันมือหนักเกินไปและเธอยอมรับมันไม่ได้ ฉันก็กังวลว่ามันจะทำลายสัมพันธภาพของเรา และเธออาจแค้นเคืองฉันเอาได้  ฉันจึงแค่อดทนสามัคคีธรรมกับเธอไป

ต่อมา ฉันได้เห็นว่าน้องลี่ชอบชิงดีชิงเด่นในหน้าที่ของตัวเองมาก และพยายามเอาชนะคนอื่นอยู่เสมอ  เธอจะจมดิ่งสู่ความคิดลบเมื่อไม่ได้รับการชื่นชมจากคนอื่น  ฉันแบ่งปันการสามัคคีธรรมกับเธอแบบตัวต่อตัวอยู่หลายครั้ง และเธอก็ดูเหมือนจะรับได้อย่างดีมากๆ แต่ก็ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย  ฉันคิดถึงเรื่องที่จะรายงานสถานการณ์นี้กับเหล่าผู้นำ แต่ฉันกลัวว่ามันจะเป็นการแทงน้องลี่ข้างหลัง  ถ้าเกิดฉันทำให้เธอขุ่นเคือง แล้วหลังจากนั้นพวกเราจะไปด้วยกันได้อย่างไร?  พวกเราสองคนต่างก็รู้จักกันมานาน และฉันก็รู้สึกว่าการรู้จักกันดีก็มีข้อได้เปรียบอยู่  ฉันคิดไปว่าฉันจะพยายามช่วยเธอต่อไป และถ้าเธอยังทำตัวแบบนั้นอยู่ ฉันก็ยังมีเวลาที่จะคุยกับเหล่าผู้นำ

การทำหน้าที่ของน้องลี่ยังคงแย่ลงอย่างต่อเนื่อง และเธอก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของพี่น้องชายหญิงได้ ครั้งหนึ่ง ขณะที่พยายามแก้ไขปัญหาของผู้เชื่อใหม่ในการชุมนุม เธอได้แบ่งปันสามัคคีธรรมที่ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง  พวกเราจึงได้จับเข่าคุยกัน แต่แล้วหลังจากนั้น พอเจอปัญหาแบบเดียวกัน เธอก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมผิดๆ นั้นอีก  เธอไม่ใช่แค่ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาของผู้เชื่อใหม่เท่านั้น แต่ถึงขั้นทำให้พวกเขาเข้าใจผิด  พอฉันรู้เรื่องนี้ ฉันก็ตำหนิตัวเองจริงๆ และฉันก็ต้องการเปิดโปงน้องลี่ที่ทำหน้าที่ในหนทางที่คอยแต่สร้างความวุ่นวาย  แต่ทันทีที่เจอเธอ ฉันก็พบว่าตัวเองน้ำท่วมปาก  ฉันแค่กลบเกลื่อนเรื่องนั้น โดยพูดว่าเธอสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงแบบไม่ถูกต้อง  ฉันทำตัวคลุมเครือและพูดจาอ้อมค้อม กลัวว่าจะทำให้เธอรู้สึกแย่ และถ้าฉันบีบคั้นเธอมากเกินไป เธอจะมองฉันไม่ดี  ผลก็คือ เธอไม่ได้เข้าใจตัวเองเลย  ฉันได้เห็นว่า เธอไม่ได้มีความเข้าใจอันดีต่อสิ่งต่างๆ และไม่เหมาะสมกับหน้าที่ให้น้ำเลย ดังนั้น ตามหลักธรรมแล้ว เธอควรถูกสลับไปทำหน้าที่อื่น และฉันควรรายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำให้เร็วที่สุด  แต่ฉันก็เกิดเปลี่ยนใจ กลัวว่าจะทำให้เธอขุ่นเคืองเข้า และพวกเราจะกลายเป็นศัตรูแทนที่จะเป็นเพื่อนกัน หลังจากทำงานด้วยกันมานาน  สุดท้าย ฉันก็ไม่ได้ค้ำจุนหลักธรรมแห่งความจริง และได้ผัดผ่อนการรายงานเรื่องของเธอต่อผู้นำออกไป  ตัวฉันเองลงเอยด้วยการตกอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่เพราะฉันไม่ได้นำความจริงมาปฏิบัติ แถมยังปิดหูปิดตากับปัญหาในงานของตัวเอง  ฉันเคยชินกับการทำงานของน้องลี่ และรู้สึกพอใจตราบเท่าที่พวกเรายังเข้ากันได้ดีแบบผิวเผิน  ฉันไม่ได้คิดเรื่องการค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และฉันก็ไม่ได้บอกผู้นำถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น

ต่อมาวันหนึ่ง น้องลี่เกิดพบว่าตัวเองกำลังถูกจับตามองจากสายตำรวจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และถ้าเธอยังทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เธอก็จะทำให้พี่น้องชายหญิงคนอื่นติดร่างแหไปด้วย  หัวใจฉันเต้นระส่ำตอนที่ได้ยินข่าวนี้  ด้วยความที่รู้ว่านี่คือปัญหาร้ายแรง ในที่สุดฉันจึงได้แบ่งปันสถานการณ์ของเธอกับเหล่าผู้นำ  เหล่าผู้นำเขียนตอบกลับมาหาฉันอย่างดุดันว่า “น้องลี่ไม่แยแสหน้าที่ของตัวเอง อีกทั้งความเข้าใจของเธอก็ผิด  เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สร้างความวุ่นวายมานาน แต่คุณกลับไม่รายงานเรื่องนี้มาเสียตั้งนานแล้ว  คุณเอาแต่เลือกทางสายกลาง และสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมของการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น  สิ่งนี้ทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้าและเสียหาย  คุณต้องทบทวนและทำความรู้จักตัวเองจริงๆ”  พวกเขายังรวมเอาข้อความที่ตัดตอนมาจากบทเทศนาหนึ่งจากเบื้องบนมาด้วยว่า “คนที่ชอบเอาใจผู้อื่นนั้นล้มเหลวในการใช้วิจารณญาณของตน  พวกเขารู้หลักธรรมแห่งความจริงเป็นอย่างดี แต่กลับไม่ค้ำจุนมัน  ในเรื่องอันใดที่กระทบต่อผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาถึงกับปัดทิ้งหลักธรรมแห่งความจริง คุ้มภัยให้กับผลตอบแทนส่วนตนเท่านั้น  ยามคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นเห็นคนชั่วกำลังประพฤติชั่ว พวกเขารู้ว่า ความประพฤติเหล่านี้ทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก และรบกวนชีวิตของคริสตจักร แต่พวกเขากลับไม่พูดอะไรสักคำ ด้วยกลัวว่าจะทำให้คนเหล่านั้นขุ่นเคือง  พวกเขาไม่เปิดโปงหรือรายงานเรื่องคนเหล่านั้น  พวกเขาขาดสำนึกแห่งความยุติธรรมหรือความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง  คนเหล่านี้ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการในหน้าที่ใดในคริสตจักรเลย—พวกเขาเป็นพวกที่เอาดีไม่ได้สักอย่าง  ผู้คนที่ชอบเอาใจผู้อื่นนั้นปรากฏให้เห็นว่าเป็นคนซื่อสัตย์ และคนอื่นๆ ก็คิดว่าพวกเขาเป็นคนดีตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี อีกทั้งผู้นำและคนทำงานบางคนก็ถึงกับปลุกปั้นพวกเขา  นี่คือเรื่องโง่เขลาอย่างถึงที่สุด  จงอย่าพยายามปลุกปั้นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น เพราะพวกเขาไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้เลย  โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาไม่ได้รักความจริงหรือยอมรับความจริง ไม่ต้องพูดถึงการนำความจริงไปปฏิบัติ  นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าทรงเกลียดชังคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นยิ่งกว่าสิ่งใด  หากคนเช่นนั้นไม่กลับใจอย่างแท้จริง พวกเขาก็จะถูกกำจัดทิ้ง” (การจัดการเตรียมงาน)  สำหรับฉัน การถูกตัดแต่งและจัดการอย่างเกรี้ยวกราดจากผู้นำเป็นเรื่องที่เสียความรู้สึกจนขมขื่น  โดยเฉพาะตอนที่ฉันเห็นคำว่า “คนที่ชอบเอาใจผู้อื่น”  ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ฉันจะเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นได้อย่างไรกัน?  พระเจ้าทรงรังเกียจคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น  พวกเขาเอาดีไม่ได้สักอย่าง และจะถูกกำจัดทิ้ง  ฉันเสียความรู้สึกอย่างเหลือเชื่อ และทนไม่ได้ที่จะยอมรับรู้ความจริงว่า ฉันเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น ถึงแม้ฉันได้ทำในสิ่งที่คนชอบเอาใจผู้อื่นทำจริงๆ ก็ตาม  ฉันได้เอ่ยคำอธิษฐานนี้ต่อพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักด้วยการไม่ปฏิบัติความจริง  ข้าพระองค์ได้ทำความชั่วลงไป และการที่เหล่าผู้นำจัดการกับข้าพระองค์ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว  แต่ข้าพระองค์ยังคงไม่เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง  โปรดทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำให้ข้าพระองค์ได้รู้จักตัวเองด้วยเถิด”

หลังจากอธิษฐาน ฉันก็ได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนบางคนมักจะอวดตัวอยู่เสมอว่าพวกเขาครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี โดยอ้างว่าไม่เคยได้ทำสิ่งใดที่ไม่ดี ไม่เคยได้ลักขโมยสิ่งครอบครองของผู้อื่น และไม่เคยได้ละโมบสิ่งของของผู้อื่น  พวกเขาไปไกลถึงขั้นเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์บนความเดือดร้อนของพวกเขาเองด้วยซ้ำเมื่อมีการโต้เถียงเกี่ยวกับผลประโยชน์ โดยเลือกที่จะทุกข์ทนกับการสูญเสีย และพวกเขาไม่พูดสิ่งใดที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้ใดเพียงเพื่อให้ผู้อื่นทุกคนคิดว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีเลย  อย่างไรก็ตาม ขณะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเจ้าเล่ห์เพทุบายและลื่นไหล โดยสร้างอุบายเพื่อตัวพวกเขาเองเสมอ  พวกเขาไม่คิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเลย พวกเขาไม่ปฏิบัติเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วน หรือคิดอย่างที่พระเจ้าทรงดำริเลย และพวกเขาไม่สามารถวางผลประโยชน์ของพวกเขาเองไว้ก่อนเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเลย  พวกเขาไม่ละทิ้งผลประโยชน์ของพวกเขาเองเลย  แม้ขณะที่พวกเขาเห็นพวกคนทำชั่วกำลังกระทำความชั่ว พวกเขาก็ไม่เปิดโปงพวกคนทำชั่ว พวกเขาไม่มีหลักธรรมอันใดเลย  นี่ไม่ใช่ตัวอย่างของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี  จงอย่าให้ความสนใจกับสิ่งที่บุคคลเช่นนั้นพูด เจ้าต้องดูว่าเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใด เขาเปิดเผยสิ่งใด และท่าทีของเขาเป็นอย่างไรเมื่อเขาปฏิบัติหน้าที่ของเขา ตลอดจนสภาวะภายในของเขาเป็นอย่างไรและเขารักสิ่งใด  หากความรักของเขาที่มีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมากเกินการเฝ้าเดี่ยวของเขาที่มีต่อพระเจ้า หากความรักของเขาที่มีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมากเกินกว่าผลประโยชน์ของพระเจ้า หรือหากว่าความรักของเขาที่มีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมากเกินกว่าการคำนึงถึงที่เขาแสดงต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่ใช่บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์(“มีเพียงโดยการนำความจริงไปปฏิบัติเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถสลัดทิ้งพันธะของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ผู้คนมากมายเชื่อว่า การเป็นบุคคลที่ดีงามนั้นอันที่จริงแล้วง่ายดายและเพียงพึงต้องมีการพูดจาที่น้อยกว่าและการทำให้มากกว่า การมีหัวใจที่ดีงาม และการไม่มีความตั้งใจร้ายอันใด  พวกเขาเชื่อว่า นี่จะทำให้มั่นใจว่า พวกเขาจะจำเริญในทุกหนแห่งที่พวกเขาไป เชื่อว่าผู้คนจะชอบพอพวกเขา และเชื่อว่า นั่นดีพอแล้วที่จะเป็นบุคคลเช่นนั้น  พวกเขาไปไกลถึงขั้นไม่ต้องการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาพึงพอใจแค่ได้เป็นผู้คนที่ดีงาม  พวกเขาคิดว่าประเด็นปัญหาของการไล่ตามเสาะหาความจริงและการรับใช้พระเจ้านั้นก็แค่ซับซ้อนเกินไป นั่นพึงต้องมีความเข้าใจความจริงมากมายหลายประการ พวกเขาคิดว่า แล้วใครเล่าที่สามารถทำการนั้นสำเร็จลุล่วง?  พวกเขาแค่ต้องการใช้เส้นทางที่ง่ายกว่า—การเป็นผู้คนที่ดีและการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา—และคิดว่านั่นจะเพียงพอแล้ว  สถานภาพนี้สมเหตุสมผลหรือ?  การเป็นบุคคลที่ดีนั้นเรียบง่ายยิ่งนักจริงหรือ?  เจ้าจะพบผู้คนที่ดีงามเป็นจำนวนล้นหลามในสังคมที่พูดจากันในในลักษณะที่สูงส่งมาก และแม้ว่าภายนอกแล้ว พวกเขาดูว่าไม่ได้ทำชั่วใหญ่หลวงอันใด แต่ลึกลงไปนั้นพวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและปลิ้นปล้อน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขามีความสามารถที่จะมองเห็นว่ากระแสลมพัดพาไปในหนทางใด และในวาทศิลป์ของพวกเขานั้น พวกเขาลื่นไหลและเข้าใจโลก ตามที่เรามองเห็น ‘บุคคลที่ดีงาม’ ดังกล่าว เป็นคนเท็จ คนหน้าซื่อใจคด บุคคลดังกล่าวก็แค่กำลังเสแสร้งที่จะเป็นคนดี  พวกที่ติดหนึบอยู่กับความครึ่งๆ กลางๆ นั้นส่อแววร้ายที่สุด  พวกเขาพยายามที่จะไม่ทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง พวกเขาเป็นพวกเอาใจทุกคน พวกเขาเออออไปกับสิ่งทั้งหลาย และไม่มีใครอ่านพวกเขาออกเลย  บุคคลเยี่ยงนี้คือซาตานที่มีชีวิตนั่นเอง!(“มีเพียงโดยการนำความจริงไปปฏิบัติเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถสลัดทิ้งพันธะของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ทุกอย่างในพระวจนะของพระเจ้าตอกหมุดลงมากลางกระหม่อมฉัน และโน้มน้าวฉันได้อย่างถึงที่สุด  ฉันได้เห็นว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น เป็น “คนนิสัยดีน่ารัก” อย่างไม่มีที่ติ  ฉันทำงานร่วมกับน้องลี่ในแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นเพื่อที่จะปกป้องสัมพันธภาพของพวกเราเอาไว้  เมื่อฉันเห็นว่าเธอไม่ได้กำลังแบกรับภาระในหน้าที่ของตัวเอง และทำผิดพลาดอยู่เป็นประจำ เห็นว่าเธอคอยแก่งแย่งชิงดีเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน และส่งผลกระทบต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสมอ ฉันก็ควรสามัคคีธรรมกับเธอและชี้ชัดถึงปัญหานี้ทันที  แต่ด้วยความกลัวว่าจะทำให้เธอขุ่นเคือง ฉันจึงแค่กลบเกลื่อนประเด็นปัญหานี้กับเธอ  นี่ไม่ได้เป็นประโยชน์หรือเป็นการรักเธอเลย—มันเป็นอันตราย  ฉันรู้ว่าเธอเข้าใจผิด และเธอก็ไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่ให้น้ำ แต่ฉันก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกเธอและทำให้เธอมองฉันไม่ดี ฉันจึงผัดผ่อนการรายงานเรื่องนี้กับผู้นำออกไป  ฉันปล่อยให้บุคคลที่ไม่เอาใจใส่ซึ่งมีความเข้าใจที่ผิดพลาดและเฉไฉมาปฏิบัติหน้าที่ให้น้ำ และขัดขวางงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ฉันได้กลายเป็นหนึ่งในลูกสมุนของซาตาน และทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักอย่างร้ายแรง  ในความเชื่อของฉันนั้น โดยผิวเผินแล้ว ฉันได้ทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานไว้เบื้องหลัง ทำงานหามรุ่งหามค่ำ และยอมลงทุนลำบาก แต่พอมีประเด็นปัญหาเกิดขึ้น ฉันกลับวางอุบายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และไม่คุ้มภัยให้กับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย  ฉันเชื่อในพระเจ้า แต่ฉันกลับไม่ได้มีความคิดและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เลย  ฉันจะสามารถเรียกตัวเองว่าผู้เชื่อคนหนึ่งได้อย่างไร?  ฉันไม่คู่ควรจะมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเลย!  เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็อับปางไปกับความทุกข์ระทม และเปี่ยมด้วยความเสียใจที่ตัวฉันนั้นไม่ได้ค้ำจุนหลักธรรมแห่งความจริง หรือปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย

ต่อมา ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่  คำพูดฝ่ายผีปีศาจของพวกเขาได้กลายเป็นธรรมชาติชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ‘ทุกคนทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ เป็นหนึ่งคติพจน์เยี่ยงซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีที่ได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในทุกคนและที่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ยังมีคำพูดอื่นๆ ของปรัชญาทั้งหลายสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นเหมือนคติพจน์นี้อยู่อีก  ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีอันประณีตของแต่ละชนชาติในการให้การศึกษาผู้คน เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกลงไปและถูกกลืนกินโดยนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้างซึ่งไร้พรมแดน และในตอนสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า  ลองจินตนาการถึงการถามคำถามต่อไปนี้กับใครบางคนที่ได้มีบทบาทแข็งขันในสังคมมาหลายทศวรรษว่า ‘ด้วยความที่ท่านได้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกเป็นเวลานานเหลือเกินและสัมฤทธิ์ผลไปมากมายยิ่งนัก อะไรหรือคือคติพจน์หลักซึ่งมีชื่อเสียงที่ท่านใช้ดำรงชีวิต?’  เขาอาจกล่าวว่า ‘คติพจน์ที่สำคัญที่สุดก็คือ “ข้าราชการไม่โขกสับพวกที่ให้ของกำนัล และพวกที่ไม่ประจบย่อมไม่สำเร็จลุล่วงอันใดเลย”’  คำพูดเหล่านี้มิใช่เป็นตัวแทนของธรรมชาติของบุคคลนั้นหรอกหรือ?  การใช้วิถีทางใดก็ตามอย่างขาดหลักศีลธรรมเพื่อได้มาซึ่งตำแหน่งได้กลายเป็นธรรมชาติของเขา และการเป็นข้าราชการคือสิ่งที่ให้ชีวิตแก่เขา  ยังคงมีพิษซาตานอีกมากมายในชีวิตของผู้คน ในการประพฤติปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขา พวกเขาแทบจะไม่ครองความจริงแต่อย่างใดเลย  ตัวอย่างเช่น ปรัชญาทั้งหลายของพวกเขาสำหรับการดำรงชีวิต หนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และคำคมสารพันล้วนเต็มไปด้วยสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดง และพวกมันทั้งหมดล้วนมาจากซาตาน  ด้วยเหตุนั้น ทุกสรรพสิ่งซึ่งไหลเวียนผ่านกระดูกและเลือดของผู้คนเป็นสรรพสิ่งของซาตาน  พวกข้าราชการทั้งหมด พวกที่กุมอำนาจ และพวกที่สำเร็จลุล่วงนั้น มีเส้นทางและความลับในการที่จะประสบความสำเร็จของตัวพวกเขาเอง  ความลับทั้งหลายดังกล่าวไม่ใช่เป็นตัวแทนอันสมบูรณ์แบบของธรรมชาติของพวกเขาหรอกหรือ?  พวกเขาได้ทำสิ่งใหญ่โตทั้งหลายเช่นนั้นในโลก และไม่มีใครเลยที่สามารถมองทะลุกลอุบายและเล่ห์กลทั้งหลายที่วางอยู่เบื้องหลังพวกเขาได้  นี่ก็แค่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นคิดร้ายและเคลือบแฝงเพียงใด  มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึก  น้ำพิษของซาตานไหลเวียนผ่านเลือดของทุกบุคคล และสามารถเห็นได้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเสื่อมทราม ชั่ว และเป็นปฏิกิริยานิยม เต็มอิ่มและชุ่มแช่อยู่ในปรัชญาทั้งหลายของซาตาน—ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันนั้น มันคือธรรมชาติหนึ่งซึ่งทรยศพระเจ้า  นี่คือเหตุผลที่ผู้คนต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดเผยนั้น ได้แสดงให้ฉันเห็นว่า ในฐานะคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น ฉันถูกทำให้เข้าใจผิดและถูกควบคุมโดยปรัชญาชีวิตของซาตาน เช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “เพื่อนมากขึ้นหนึ่งคนหมายถึงหนทางมากขึ้นหนึ่งทาง” “คนคุ้นหน้ามักพาผลประโยชน์มาให้” “เมื่อเจ้ารู้ว่าบางสิ่งบางอย่างผิดไป จงพูดให้น้อยลงเสียจะดีกว่า” “จงอย่าชกผู้คนใต้เข็มขัด”  ปรัชญาชีวิตเยี่ยงซาตานเหล่านี้ถูกขุดฝังไว้ลึกในตัวฉัน และฉันก็ใช้ชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้  ฉันกำลังกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและฉลาดแกมโกงขึ้นทุกที  ย้อนไปก่อนที่ฉันจะเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่เคยทำอะไรให้คนอื่นไม่พอใจเลย  ในการทำธุรกิจ ฉันได้พูดในสิ่งที่ผู้คนอยากฟัง และรู้สึกว่าการทำตามปรัชญาเยี่ยงซาตานเหล่านี้ เป็นหนทางการใช้ชีวิตที่ฉลาดแยบยล รู้สึกว่าการประพฤติปฏิบัติตนในหนทางนั้นแสดงให้เห็นถึงความสามารถ และฉันก็ถึงขั้นอวดโอ้  หลังจากที่ได้มาเป็นผู้เชื่อ ฉันไม่ได้นำความจริงมาปฏิบัติ แต่กลับใช้ชีวิตด้วยพิษของซาตานพวกนี้ต่อไป  ฉันได้เห็นน้องลี่แสดงความเสื่อมทรามในหน้าที่ของเธอ แต่ฉันกลับไม่ชี้ชัดให้เธอเห็นในการสามัคคีธรรม  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันไม่กล้าที่จะเปิดโปงหรือชำแหละความเสื่อมทรามของเธอ แต่เพียงแค่เปรยถึงเรื่องนี้กับเธอแบบเป็นกันเอง กลัวมากว่า ถ้าฉันบอกความจริงไปมันจะทำลายสัมพันธภาพของพวกเรา  เมื่อฉันเห็นเธอทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก ฉันก็ไม่รายงานเรื่องนี้กับผู้นำของเรา แต่กลับคิดว่า การแบ่งปันสถานการณ์นี้กับผู้นำจะเป็นการฟ้อง เป็นการแทงเธอข้างหลัง  ฉันนี่มันไร้สาระสิ้นดี!  การรายงานปัญหาคือการค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า—นี่คือสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม คือสิ่งที่ยุติธรรม  นั่นคงจะได้เป็นการมอบโอกาสให้ทางคริสตจักรได้จัดการเตรียมการสำหรับให้น้องลี่ได้ทำหน้าที่ซึ่งสมควรแก่ความสามารถและวุฒิภาวะของเธอ  นี่คงจะเป็นประโยชน์ทั้งกับน้องลี่และคริสตจักร แต่ฉันกลับคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี  ฉันได้ตระหนักถึงอันตรายอันใหญ่หลวงที่พิษเยี่ยงซาตานเหล่านี้ทำกับผู้คน  พวกมันหลอกลวงและทำให้ฉันเสื่อมทราม จนถึงจุดที่มุมมองต่อสิ่งต่างๆ ของฉันบิดเบือนไป และฉันไม่รู้ว่าอะไรถูกหรือผิด บนหรือล่าง  ฉันเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่น และทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น  ฉันทำสิ่งต่างๆ โดยปราศจากหลักธรรมและปราศจากจุดยืนอย่างสิ้นเชิง  ฉันขาดพร่องสำนึกแห่งความยุติธรรม และไม่ได้กำลังใช้ชีวิตด้วยสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริงสักนิดเดียว  การตระหนักในเรื่องนี้ทำให้ฉันก็เต็มไปด้วยความขยะแขยงและความเกลียดชังต่อปรัชญาเยี่ยงซาตานเหล่านี้ รวมถึงแนวคิดเรื่องการเอาใจผู้อื่นของตัวฉันเอง  ฉันเกลียดหนทางที่ตัวเองเคยปฏิบัติตนจริงๆ และไม่อยากอยู่ในหนทางนั้นอีกต่อไป จากก้นบึ้งของหัวใจของฉันเลย  ฉันไม่อยากรับบทคนโง่ และถูกซาตานทำอันตรายอีกต่อไปแล้ว  ฉันยังรู้สึกด้วยว่า การปฏิบัติความจริงนั้นล้ำค่าแค่ไหน  ฉันจึงเริ่มแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นของตัวเองทันที

ตอนที่กำลังแสวงหา ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ต้องมีมาตรฐานสำหรับการมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี  มันไม่เกี่ยวข้องกับการใช้เส้นทางสายกลางในทุกสรรพสิ่ง การไม่ติดอยู่กับหลักการทั้งหลาย การอุตสาหะพยายามที่จะไม่ทำให้ใครก็ตามขุ่นเคือง การประจบประแจงในทุกหนแห่งที่เจ้าไป การลื่นไหลและแนบเนียนไปกับทุกคนที่เจ้าพบ และการทำให้ทุกคนรู้สึกดี  นี่ไม่ใช่มาตรฐาน  ดังนั้นสิ่งใดคือมาตรฐานเล่า?  มันรวมไปถึงการปฏิบัติต่อพระเจ้า ต่อผู้คนอื่นๆ และต่อเหตุการณ์ทั้งหลายด้วยหัวใจที่แท้จริง การที่สามารถแสดงความรับผิดชอบ และการทำทั้งหมดนี้ในหนทางซึ่งเป็นหลักฐานชัดให้ทุกคนได้เห็นและรู้สึก  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงตรวจค้นหัวใจของผู้คนและทรงรู้จักหัวใจเหล่านั้นทุกๆ ดวง(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ใครบางคนที่โดยธรรมชาติแล้วมีสมบัติผู้ดีนั้น เป็นบุคคลที่ดีงามอย่างจริงแท้หรือ?  บุคคลประเภทใดที่พระเจ้าทรงมองว่าเป็นบุคคลที่ดีงามอย่างจริงแท้ผู้ซึ่งครองความจริง?  ประการแรกและที่สำคัญที่สุดก็คือ คนเราต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและเข้าใจความจริง  ประการที่สอง คนเราต้องสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้บนพื้นฐานของความเข้าใจของคนเราเกี่ยวกับความจริงนั้น…นั่นก็คือ ชั่วขณะที่บุคคลนี้ค้นพบว่าพวกเขามีปัญหา พวกเขาก็สามารถที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแก้ไขปัญหานั้น และสามารถธำรงรักษาสัมพันธภาพปกติกับพระองค์ได้  บุคคลเช่นนี้อาจอ่อนแอและเสื่อมทราม ทั้งยังเป็นกบฏ และอาจเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกรูปแบบ อาทิ ความโอหัง ความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ความคดโกง และความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาได้คิดทบทวนตนเอง และกลายเป็นตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ทันท่วงทีและกลับตัวได้  นี่คือผู้ที่รักความจริงและผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง บุคคลเช่นนี้ ในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นบุคคลที่ดีงาม  นี่คือผู้ที่รักความจริงและผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง บุคคลเช่นนี้ ในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นบุคคลที่ดีงาม(“การมีสภาพเหมือนมนุษย์เจ้าพึงต้องหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมด้วยสุดหัวใจ จิตใจ และดวงจิตของเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  จากนั้น ฉันก็นึกถึงอีกบทตอนในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “ในคริสตจักร จงตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าที่มีต่อเรา ค้ำจุนความจริง ถูกคือถูก ผิดคือผิด  จงอย่าสับสนระหว่างขาวกับดำ  เจ้าจะทำสงครามกับซาตานและต้องกำราบมันให้สิ้นซากเพื่อที่มันจะไม่มีวันผงาดขึ้นมาอีก  พวกเจ้าต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีเพื่อปกป้องคำพยานแห่งเรา  นี่จะเป็นเป้าหมายแห่งการกระทำของพวกเจ้า—จงอย่าลืมการนี้เสีย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้มาเข้าใจว่า คนดีที่แท้จริงไม่ได้รักษาความปรองดองที่สมบูรณ์แบบกับผู้อื่น และไม่พูดจาทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คนดีก็คือคนที่ซื่อสัตย์และซื่อตรง แยกความต่างของความรักจากความเกลียดชังได้อย่างชัดเจน และสามารถวางผลประโยชน์ส่วนตนลงได้ เมื่อมีผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง  พวกเขาค้ำจุนหลักธรรมแห่งความจริง พวกเขาไม่กลัวที่จะทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง และพวกเขาคุ้มภัยให้กับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  มีเพียงคนประเภทนั้นที่เป็นผู้มีสำนึกแห่งความยุติธรรม เป็นผู้ที่ได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้า เมื่อฉันเข้าใจข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ฉันก็กล่าวคำอธิษฐานและตกลงใจแน่วแน่ว่านับจากนั้น ฉันจะปฏิบัติความจริงและอารักขาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ฉันจะบอกลาฉันคนเก่าที่ชอบเอาใจผู้อื่น และเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่

หลังจากนั้น เหล่าผู้นำได้ตรวจดูปัญหาและยืนยันว่าน้องลี่ต้องถูกปลดออกจากหน้าที่ของเธอ และพวกเขาได้ขอให้ฉันไปสามัคคีธรรมกับเธอ  ฉันคิดว่า “ทำไมหนอจึงต้องเป็นฉัน?  ถ้าเธอรู้ว่าฉันเป็นคนที่เอาเรื่องของเธอไปบอกผู้นำขึ้นมา และนั่นคือเหตุผลที่เธอถูกเปลี่ยนตัว เธอจะต้องโกรธเคืองฉันแน่ และนั่นจะทำลายสัมพันธภาพของเรา”  ตอนที่คิดแบบนี้ ฉันก็นึกถึงความเสียหายที่ฉันเคยก่อไว้กับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าด้วยการล้มเหลวในการปฏิบัติความจริง และฉันรู้ว่าฉันต้องหยุดเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น  การให้ฉันแบ่งปันสามัคคีธรรมกับน้องลี่ คือการที่พระเจ้ากำลังทรงทดสอบฉัน เพื่อดูว่าฉันสามารถปฏิบัติความจริงและรับมือกับเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมได้หรือไม่  ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าไปตลอดทาง วอนขอการทรงนำของพระองค์  ฉันยังรู้ด้วยว่า ถ้าฉันสามัคคีธรรมกับน้องลี่เรื่องปัญหาของเธอได้ไม่ชัดเจน และเธอไม่ได้มาเข้าใจปัญหานั้น การสามัคคีธรรมนี้คงไม่ช่วยอะไรเธอเลย  นอกจากทำให้เธอเจ็บปวด  พอคิดแบบนี้ ฉันก็ตัดสินใจว่าจะไม่เป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นอีกแล้ว และแล้ว ฉันก็ได้สามัคคีธรรมกับน้องลี่ รวมถึงชำแหละธรรมชาติกับผลพวงจากความไม่ใส่ใจในหน้าที่ของเธอ  ฉันเปิดเผยถึงทุกพฤติกรรมของเธอที่ทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก  เมื่อเธอได้ฟังทุกอย่างนี้ เธอก็เต็มใจที่จะนบนอบและทบทวนตัวเอง  ฉันรู้สึกดีขึ้นมากและรู้สึกถึงสันติสุขหลังจากที่ได้ปฏิบัติความจริง

หลังจากนั้น พระเจ้าก็ทรงสร้างอีกสถานการณ์เพื่อทดสอบฉันขึ้นมา  หลังจากได้รู้จักน้องสาวคนหนึ่งได้สักพัก ฉันก็ตระหนักได้ว่า เธอมีอุปนิสัยโอหังและไม่เต็มใจที่จะยอมรับข้อเสนอแนะของพี่น้องหญิงคนอื่นๆ ซึ่งนำไปสู่การที่พี่น้องหญิงหลายคนรู้สึกอัดอัดเพราะเธอ  ฉันและพี่หลิว พี่สาวอีกคนที่ทำงานกับฉัน ได้ไปสามัคคีธรรมกับเธอ และเปิดโปงหนทางที่เธอปฏิบัติตนมาโดยตลอด แต่เธอก็จะไม่ยอมรับ เธอถึงขั้นโต้เถียงเรื่องคดีของเธอ และชักสีหน้า  เรื่องนี้ทำให้ฉันชะงักไปนิดหน่อย คิดว่าเธอต้องมีความคิดเห็นที่ไม่ดีต่อฉันแน่  หลังจากนั้นฉันจะสู้หน้าเธอได้อย่างไรกัน?  ทันใดนั้นเองก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเราเลยต้องกลับกัน  ระหว่างทางกลับ ฉันก็คิดถึงการที่น้องสาวคนนี้ค่อนข้างเอาแต่ใจ และมันยากสำหรับเธอที่จะยอมรับความจริง  หากไม่มีการสามัคคีธรรมที่เหมาะสม สัมพันธภาพของพวกเราคงตึงเครียดแน่ ฉันคิดว่า คราวหน้าฉันจะให้คู่ร่วมงานของฉันแบ่งปันสามัคคีธรรมกับเธอ  สองวันถัดจากนั้น ฉันก็ได้เจอเธออีกครั้ง และเธอก็เป็นมิตรกับฉันอย่างไม่มีที่ติ  ฉันตระหนักได้ว่า พวกเรายังไม่ได้จัดการปัญหาของเธอในการสามัคคีธรรมคราวก่อนเลย ดังนั้น ฉันต้องสามัคคีธรรมกับเธออีกครั้ง และหากเธอยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง เธอก็จำเป็นต้องถูกเปิดโปงและจัดการ  แต่พอเธอได้ยกเก้าอี้มาให้ฉัน และไถ่ถามถึงสุขภาพของฉัน ฉันก็รู้สึกเหมือนปากถูกรูดซิปปิดสนิท  ฉันอยากพูดอะไรบางอย่างในการสามัคคีธรรม แต่ฉันเอ่ยปากพูดไม่ออกเลย  ฉันรู้สึกว่านาทีที่ฉันเปิดใจในการสามัคคีธรรม มันคงเป็นนาทีที่ทำลายสัมพันธภาพของพวกเรา และทำลายบรรยากาศอันเป็นมิตรนั้นไปพอดี  หากเธอมีท่าทีแบบเดิม และไม่ยอมรับความจริง ฉันคงอยู่ในตำแหน่งที่กระอักกระอ่วนใจแน่ๆ  ฉันคิดไปว่าฉันสามารถเลือกใช้คำพูดอย่างมีปัญญา หลีกเลี่ยงการพูดแรงๆ และเอาปัญญามาใช้เสียหน่อย  ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักได้ว่า ฉันมีแรงกระตุ้นให้เป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น และปกป้องสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของพวกเราขึ้นมาอีกแล้ว  ฉันจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า และวอนขอความเข้มแข็งจากพระองค์  หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกขึ้นมาถึงบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “อุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้ากำลังควบคุมเจ้า เจ้าไม่ใช่แม้กระทั่งเจ้านายของปากของเจ้าเอง  ต่อให้เจ้าต้องการที่จะแสดงความเห็นด้วยคำพูดที่ซื่อสัตย์ แต่เจ้าทั้งไร้ความสามารถและกลัวที่จะพูดสิ่งนั้นออกมา  เจ้าไร้ความสามารถที่จะกระทำแม้กระทั่งหนึ่งในหมื่นของสิ่งที่เจ้าควรจะทำ สิ่งที่เจ้าควรจะพูด และความรับผิดชอบที่เจ้าควรจะรับ มือและเท้าของเจ้าถูกพันธนาการด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้า  เจ้าไม่ดูแลรับผิดชอบเลย  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้าบอกเจ้าว่าจะพูดอย่างไร และดังนั้นเจ้าจึงพูดไปในหนทางนั้น มันบอกเจ้าให้ทำสิ่งใด และเจ้าก็จึงทำสิ่งนั้น…เจ้าไม่แสวงหาความจริง นับประสาอะไรที่เจ้าจะปฏิบัติความจริง แต่เจ้ากลับอธิษฐานต่อไป โดยสร้างความมุ่งมั่นของเจ้าขึ้น ทำการตัดสินใจแน่วแน่ และสาบานคำปฏิญาณ  และสิ่งใดได้เกิดขึ้นมาจากทั้งหมดนี้?  เจ้าก็ยังคงเป็นคนว่าง่ายอยู่ กล่าวคือ ‘ฉันจะไม่ยั่วยุผู้ใด อีกทั้งฉันจะไม่ทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง  หากเรื่องใดไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน เช่นนั้นแล้วฉันก็จะอยู่ให้ห่างจากสิ่งนั้น ฉันจะไม่พูดสิ่งใดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน และการนี้เป็นไปโดยไม่มีข้อยกเว้น  หากสิ่งใดเป็นที่เสียหายต่อผลประโยชน์ของฉันเอง ต่อความภาคภูมิของฉัน หรือต่อการนับถือตัวเองของฉัน ฉันก็ยังคงจะไม่ให้ความใส่ใจใดๆ กับสิ่งนั้น และจะเข้าหาทั้งหมดนั้นอย่างระมัดระวัง ฉันต้องไม่กระทำการอย่างผลีผลาม  ตะปูที่โผล่ขึ้นมาจะถูกตีก่อน และฉันไม่โง่เง่าขนาดนั้น!’  เจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าที่มีความชั่วร้าย ฉลาดแกมโกง แข็งกระด้าง และรังเกียจความจริงโดยสิ้นเชิง  อุปนิสัยเหล่านั้นกำลังทำให้เจ้าเสียหาย และได้กลายเป็นยากลำบากสำหรับเจ้าที่จะแบกรับมากกว่าห่วงทองคำที่กษัตริย์ลิงสวมเสียด้วยซ้ำ  การดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามนั้นเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ระทมยิ่งนัก!  จงบอกเรา หากพวกเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง มันจะง่ายไหมที่จะปลดความเสื่อมทรามของเจ้าทิ้งไป?  ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้หรือไม่?  เราบอกพวกเจ้า หากพวกเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและสับสนปนเปในการเชื่อของเจ้า การฟังเทศน์ไม่ว่าจะนานกี่ปีก็ตามก็จะไม่มีประโยชน์เลย และหากเจ้ายืนกรานในหนทางนี้จนถึงท้ายที่สุดแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วอย่างดีเจ้าก็จะเป็นคนฉ้อฉลทางศาสนาและฟาริสี และนั่นจะเป็นจุดจบของการนั้น  หากเจ้ายิ่งแย่ไปกว่านี้ เช่นนั้นแล้วก็อาจเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าตกลงสู่การทดลอง และเจ้าจะสูญเสียหน้าที่ของเจ้าและทรยศพระเจ้า  เจ้าจะได้ล้มลง  เจ้าจะอยู่ที่ขอบหน้าผาเสมอไป!  บัดนี้ ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง  มันไม่มีประโยชน์ที่จะไล่ตามเสาะหาสิ่งอื่นใด(“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยความจริงของการที่ฉันเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นอย่างหมดเปลือก  เมื่อฉันเห็นน้องสาวคนนั้นค่อนข้างเอาแต่ใจ และพบว่ามันยากที่จะยอมรับความจริง ฉันก็ไม่อยากเอาน้ำมันไปราดกองเพลิงหรือล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่แค่ต้องการเลี่ยงอ้อมปัญหา  ถึงขั้นที่ฉันอยากให้คนอื่นมาสามัคคีธรรมกับเธอ เพียงแค่อยากที่จะปกป้องสัมพันธภาพของฉันกับเธอเอาไว้  ฉันก็ยังเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นอยู่ดีนั่นเอง!  ฉันคิดถึงความเสียหายที่ตัวเองเคยทำต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเมื่อก่อนนี้ เนื่องจากฉันไม่ปฏิบัติความจริง  ฉันได้พลาดโอกาสปฏิบัติความจริงในคราวนั้น และคราวนี้ฉันรู้ว่า ฉันจะถูกทิ้งให้อยู่กับเสียใจไม่ได้  โดยไม่ทันรู้ตัว ฉันก็รู้สึกถึงความเข้มแข็งที่พรั่งพรูเข้ามา การปฏิบัติความจริงนั้นสำคัญยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด และฉันไม่เป็นดังที่หวังตั้งใจไม่ได้อีกแล้ว  ฉันรวบรวมความกล้าและสามัคคีธรรมกับน้องสาวคนนี้ เปิดโปงสิ่งที่เธอได้ทำมา รวมถึงธรรมชาติของการกระทำของเธอ  เธอรับฟังจนจบและยอมรับมัน และยินดีที่จะกลับใจ  ฉันรู้สึกถึงความชื่นบานยินดีในหัวใจจนเกินบรรยาย ในที่สุดฉันก็สามารถปฏิบัติความจริงได้บ้าง และฉันก็รู้สึกถึงสำนึกแห่งสันติสุขและความชื่นบานยินดีในจิตวิญญาณ  มันรู้สึกเหมือนเป็นหนทางที่ซื่อตรงในการใช้ชีวิต รู้สึกเหมือนฉันได้มีสภาพเสมือนมนุษย์

พอคิดย้อนไปถึงเรื่องเล็กๆ มากมายที่พระเจ้าได้ทรงทำไปเพื่อทรงพระราชกิจในตัวฉัน ฉันก็เห็นได้ว่า การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันจริงๆ  หากพระองค์ไม่สร้างสถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเปิดโปงฉัน และหากไม่ใช่เพราะการพิพากษาและวิวรณ์แห่งพระวจนะของพระองค์ ฉันคงไม่มีวันได้รู้ว่า ที่จริงแล้วฉันเป็นคนประเภทไหนกันแน่  ฉันคงไม่มีวันได้รู้ถึงความจริงอันน่าสมเพชของการที่ฉันใช้ชีวิตโดยพิษของซาตาน  ฉันได้มาซาบซึ้งว่า ความรอดของพระเจ้าและการแปลงสภาพของมวลมนุษย์นั้น สัมพันธ์กับชีวิตจริงแค่ไหน และมันช่างได้มายากลำบากเพียงใด!  ความสามารถที่จะปฏิบัติความจริงบางประการ และใช้ชีวิตอยู่ด้วยสภาพเสมือนมนุษย์บางอย่างของฉันในวันนี้ ล้วนเป็นเพราะการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า  ฉันสำนึกบุญคุณความรอดที่พระเจ้ามีต่อฉันจริงๆ!

ก่อนหน้า:  45. ใช้ชีวิตเบื้องหน้าพระเจ้า

ถัดไป:  47. คนที่ชอบเอาใจผู้อื่นจะได้รับความรอดของพระเจ้าหรือไม่

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger