น. ว่าด้วยวิธีที่จะสลัดทิ้งอิทธิพลของซาตานและสัมฤทธิ์ความรอด

488. มนุษยชาติได้สูญเสียหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า รวมทั้งหน้าที่ที่เป็นภาระแก่สรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าหลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ด้วยเหตุนั้นจึงกลายเป็นศัตรูที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า มนุษยชาติจึงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานและปฏิบัติตามคำสั่งของซาตาน ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงมีหนทางใดที่จะทรงพระราชกิจท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ได้ และกลายเป็นไร้ความสามารถที่จะเอาชนะความเคารพยำเกรงมากมายของพวกเขาได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม พวกมนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า และควรจะนมัสการพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วพวกเขาหันหลังให้พระองค์และนมัสการซาตานแทน ซาตานได้กลายเป็นรูปเคารพในหัวใจของพวกเขา ดังนั้น พระเจ้าจึงสูญเสียที่ประทับของพระองค์ในหัวใจของพวกเขา ซึ่งกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงสูญเสียความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ เพราะฉะนั้น เพื่อฟื้นคืนความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ พระองค์จึงต้องทรงฟื้นคืนสภาพเหมือนดั้งเดิมของพวกเขาและทำให้มนุษยชาติสลัดทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาไป เพื่อเรียกคืนพวกมนุษย์จากซาตาน พระองค์จึงต้องทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากบาป เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงสามารถฟื้นคืนสภาพเหมือนดั้งเดิมและหน้าที่ของพวกเขาทีละน้อย และฟื้นคืนราชอาณาจักรของพระองค์ได้ในที่สุด การทำลายล้างขั้นสุดขีดของบรรดาบุตรแห่งการไม่เชื่อฟังจะต้องถูกดำเนินการด้วยเช่นกันเพื่อเปิดโอกาสให้พวกมนุษย์ได้นมัสการพระเจ้าดียิ่งขึ้นและดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลกได้ดียิ่งขึ้น เพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างพวกมนุษย์ พระองค์จึงจะทรงทำให้พวกเขานมัสการพระองค์ เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะฟื้นคืนหน้าที่ดั้งเดิมของมนุษยชาติ พระองค์จึงจะทรงฟื้นคืนมันโดยครบบริบูรณ์และโดยไม่มีการเจือปนใดๆ การฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์หมายถึงการทำให้พวกมนุษย์นมัสการพระองค์และนบนอบต่อพระองค์ ซึ่งหมายความว่า พระเจ้าจะทรงทำให้พวกมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่เนื่องจากพระองค์และจะทรงทำให้บรรดาศัตรูของพระองค์พินาศย่อยยับไปอันเป็นผลแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์ นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะทรงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระองค์คงทนอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์โดยไม่มีการต้านทานจากผู้ใดเลย ราชอาณาจักรที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสถาปนาขึ้นคือราชอาณาจักรของพระองค์เอง มนุษยชาติที่พระองค์ทรงปรารถนาคือมนุษยชาติที่จะนมัสการพระองค์ มนุษยชาติที่จะนบนอบต่อพระองค์โดยครบบริบูรณ์และสำแดงพระสิริของพระองค์ หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยมนุษย์ชาติที่เสื่อมทรามให้รอด เช่นนั้นแล้วความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ก็จะสูญหายไป พระองค์จะไม่ทรงมีสิทธิอำนาจท่ามกลางพวกมนุษย์อีกเลย และราชอาณาจักรของพระองค์ก็จะไม่สามารถดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกได้อีกต่อไป หากพระเจ้าไม่ทรงทำลายศัตรูเหล่านั้นผู้ซึ่งไม่เชื่อฟังต่อพระองค์ พระองค์ก็จะทรงไร้ความสามารถที่จะได้มาซึ่งพระสิริที่ครบบริบูรณ์ของพระองค์ อีกทั้งพระองค์ก็จะไม่ทรงมีความสามารถที่จะสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ เหล่านี้จะเป็นเครื่องหมายของความครบบริบูรณ์แห่งพระราชกิจของพระองค์และเครื่องหมายของความสำเร็จลุล่วงที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ นั่นก็คือ การทำลายล้างพวกที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ในหมู่มนุษยชาติโดยสิ้นเชิง และการนำบรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์เข้าสู่การหยุดพัก

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

489. มวลมนุษย์ในยุคแรกสุดนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่เนื่องจากการทดลองและการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน มนุษย์จึงถูกซาตานผูกมัดไว้และตกอยู่ในมือของมารร้าย ด้วยเหตุนี้ ซาตานจึงได้กลายเป็นวัตถุที่จะถูกทำให้ปราชัยในพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้า เพราะซาตานถือครองมนุษย์ และเพราะมนุษย์คือต้นทุนที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อทรงดำเนินการบริหารจัดการทั้งหมดจนเสร็จสิ้น หากมนุษย์จะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้ว เขาก็ต้องถูกฉวยคว้ากลับมาจากมือของซาตาน ซึ่งกล่าวได้ว่า มนุษย์ต้องถูกนำกลับมาหลังจากได้ถูกซาตานจับไปเป็นเชลย ด้วยเหตุนี้ ซาตานจะต้องถูกพิชิตโดยผ่านทางการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเก่าของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงซึ่งฟื้นคืนสำนึกรับรู้ถึงเหตุผลดั้งเดิมของมนุษย์ ในหนทางนี้ มนุษย์ ผู้ได้ถูกจับไปเป็นเชลย จะสามารถถูกฉวยคว้ากลับมาจากมือของซาตานได้ หากมนุษย์ได้เป็นอิสระจากอิทธิพลและพันธนาการของซาตาน เช่นนั้นแล้ว ซาตานก็จะอับอาย มนุษย์จะถูกนำกลับมาในท้ายที่สุด และซาตานก็จะปราชัย และเพราะมนุษย์ได้เป็นอิสระจากอิทธิพลมืดของซาตาน มนุษย์จะกลายเป็นของที่ริบมาได้จากการสู้รบทั้งหมดนี้ และซาตานจะกลายเป็นวัตถุที่จะถูกลงโทษทันทีที่สงครามได้เสร็จสิ้นลง หลังจากนั้นพระราชกิจแห่งความรอดทั้งหมดของมวลมนุษย์ก็จะได้ถูกทำให้ครบบริบูรณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

490. บรรดาผู้ที่มีชีวิตภายใต้อิทธิพลของความมืดทั้งหมดคือผู้ที่มีชีวิตท่ามกลางความตาย ผู้ที่ถูกครอบงำโดยซาตาน เมื่อไม่ได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าและถูกพิพากษาและตีสอนโดยพระเจ้า ผู้คนก็ไร้ความสามารถที่จะหลีกหนีจากอิทธิพลของความตายได้ พวกเขาไม่สามารถกลายเป็นคนเป็นได้ “คนตาย” เหล่านี้ไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า และอีกทั้งพระเจ้าก็ไม่ทรงสามารถใช้งานพวกเขา นับประสาอะไรกับการเข้าสู่ราชอาณาจักร พระเจ้าทรงต้องประสงค์คำพยานของคนเป็น ไม่ใช่ของคนตาย และพระองค์ทรงขอให้คนเป็น ไม่ใช่คนตาย ทำงานให้พระองค์ “คนตาย” คือพวกที่ต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาเป็นพวกที่ด้านชาในจิตวิญญาณและไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาคือผู้ที่ไม่ได้นำความจริงมาปฏิบัติและไม่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแม้แต่น้อย และพวกเขาคือผู้ที่มีชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตานและถูกซาตานหาประโยชน์จากพวกเขา คนตายสำแดงตัวด้วยการยืนหยัดต่อต้านความจริง ด้วยการกบฏต่อพระเจ้า และด้วยการทำตัวต่ำช้า น่าเหยียดหยาม มุ่งร้าย โหดร้าย เล่ห์ลวง และเจ้าเล่ห์ แม้ว่าผู้คนเช่นนี้จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะดำรงชีพตามพระวจนะของพระเจ้าได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิต แต่พวกเขาก็เป็นเพียงซากศพที่เดินได้ หายใจได้ คนตายนั้นไม่สามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะทำให้พระเจ้าสมดังพระทัยได้ และยิ่งไม่เชื่อฟังพระองค์อย่างสิ้นเชิง พวกเขาเพียงแค่สามารถหลอกลวงพระองค์ หมิ่นประมาทพระองค์และทรยศพระองค์เท่านั้น และทั้งหมดที่พวกเขานำออกมาโดยวิธีที่พวกเขาใช้ชีวิตเปิดเผยธรรมชาติของซาตาน หากผู้คนปรารถนาที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและเป็นคำพยานต่อพระเจ้า และได้รับการรับรองจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องยอมรับความรอดของพระเจ้า พวกเขาต้องนบนอบด้วยความเปรมปรีดิ์ต่อการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์และต้องยอมรับด้วยความเปรมปรีดิ์ต่อการตัดแต่งของพระเจ้าและการจัดการโดยพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถนำความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์มาปฏิบัติได้ และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับความรอดของพระเจ้าและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง คนเป็นได้รับการทรงช่วยให้รอดโดยพระเจ้า พวกเขาถูกพิพากษาและตีสอนโดยพระเจ้า พวกเขาเต็มใจอุทิศตนและยินดีวางชีวิตของพวกเขาลงเพื่อพระเจ้า และพวกเขาย่อมจะยินดีอุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขาให้กับพระเจ้า จนเมื่อคนเป็นเป็นคำพยานต่อพระเจ้าแล้วเท่านั้น ซาตานจึงสามารถถูกทำให้อับอายได้ มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่สามารถเผยแพร่พระราชกิจข่าวประเสริฐของพระเจ้า มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่สมดังพระทัยของพระเจ้า และมีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่เป็นผู้คนจริงๆ เดิมทีนั้นมนุษย์ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างนั้นมีชีวิต แต่เนื่องจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์จึงมีชีวิตท่ามกลางความตายและมีชีวิตภายใต้อิทธิพลของซาตาน และดังนั้น ด้วยวิธีนี้เองผู้คนจึงได้กลายเป็นคนตายไร้จิตวิญญาณ พวกเขาได้กลายเป็นศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า พวกเขาได้กลายเป็นเครื่องมือของซาตาน และพวกเขาได้กลายเป็นเชลยของซาตาน พวกคนเป็นทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงสร้างได้กลายเป็นคนตาย และดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงสูญเสียคำพยานของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงสูญเสียมวลมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างและซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีลมหายใจของพระองค์ หากพระเจ้าทรงหมายจะเอาคำพยานของพระองค์กลับคืนและเอาพวกที่พระองค์ทรงทำขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แต่ถูกซาตานจับเป็นเชลยกลับคืน เช่นนั้นแล้วพระองค์ทรงต้องคืนชีพพวกเขาเพื่อให้พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิต และพระองค์ทรงต้องเรียกพวกเขากลับคืนเพื่อให้พวกเขามีชีวิตในความสว่างของพระองค์ คนตายคือพวกที่ไม่มีจิตวิญญาณ พวกที่ด้านชาอย่างที่สุดและพวกที่ต่อต้านพระเจ้า แรกที่สุดพวกเขาเป็นพวกที่ไม่รู้จักพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ไม่มีเจตนาแม้แต่น้อยที่จะเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาเพียงแต่กบฏต่อพระองค์และต่อต้านพระองค์เท่านั้น และไม่มีความจงรักภักดีแม้แต่น้อย คนเป็นคือพวกที่จิตวิญญาณได้เกิดใหม่แล้ว พวกที่รู้จักเชื่อฟังพระเจ้า และพวกที่ภักดีต่อพระเจ้า พวกเขาถูกครอบครองด้วยความจริง และด้วยคำพยาน และผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นที่พอพระทัยต่อพระเจ้าในพระนิเวศของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าคือใครบางคนที่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกหรือไม่?

491. อะไรคืออิทธิพลแห่งความมืด? สิ่งที่เรียกว่า “อิทธิพลแห่งความมืด” นี้คืออิทธิพลของความหลอกลวง ความเสื่อมทราม การผูกมัด และการควบคุมผู้คนของซาตาน อิทธิพลของซาตานคืออิทธิพลที่มีกลิ่นอายของความตาย ทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานล้วนถึงคราวต้องพินาศ

เจ้าจะสามารถหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืดหลังจากได้รับความเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร? เมื่อเจ้าได้อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงใจ เมื่อเจ้าหันหัวใจของเจ้าไปหาพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ ณ จุดที่หัวใจของเจ้าถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณของพระเจ้า เจ้าเต็มใจมากขึ้นที่จะมอบตัวเองให้แก่พระองค์อย่างครบบริบูรณ์ และ ณ เวลานั้น เจ้าจึงจะได้หลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืด หากทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์กระทำเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าและเป็นไปในแนวเดียวกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์แล้วไซร้ เมื่อนั้น เขาก็คือผู้หนึ่งซึ่งใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า และอยู่ภายใต้การดูแลและการคุ้มครองปกป้องของพระองค์ หากผู้คนไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าได้ หากพวกเขาพยายามหลอกพระองค์อยู่เสมอ โดยปฏิบัติต่อพระองค์ในแบบพอเป็นพิธี และไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระองค์—เช่นนั้นแล้วผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด มนุษย์ซึ่งไม่ได้รับความรอดของพระเจ้านั้นกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน กล่าวคือ พวกเขาทั้งหมดใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด พวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน แม้แต่บรรดาผู้ที่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าก็อาจไม่จำเป็นว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างของพระองค์ เพราะพวกที่เชื่อในพระองค์อาจไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระองค์และไม่มีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง มนุษย์ถูกจำกัดต่อการเชื่อในพระเจ้า และเนื่องจากเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เขาจึงยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายในกฎเกณฑ์ดั้งเดิมท่ามกลางบรรดาวจนะที่ตายแล้ว กับชีวิตหนึ่งซึ่งมืดมนและไม่แน่นอน อีกทั้งไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยพระเจ้าอย่างครบถ้วนและไม่ได้รับการรับไว้อย่างครบบริบูรณ์โดยพระองค์ ดังนั้น ในขณะที่มันชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดอยู่แล้วว่าพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด แม้แต่บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าก็อาจจะยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัน เนื่องเพราะพวกเขานั้นขาดพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกที่ไม่ได้รับพระคุณหรือความปรานีของพระเจ้า และพวกที่ไม่สามารถมองเห็นพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้นั้น ล้วนกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด และโดยส่วนใหญ่ ผู้คนที่เพียงชื่นชมในพระคุณของพระเจ้าโดยไม่รู้จักพระองค์ก็เป็นเช่นเดียวกัน หากมนุษย์คนหนึ่งเชื่อในพระเจ้าแต่ยังใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืดแล้วไซร้ การดำรงอยู่ของมนุษย์คนนี้ก็ได้สูญสิ้นความหมายไปแล้ว—และจำเป็นอะไรที่ต้องกล่าวถึงผู้คนที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง

ทุกคนที่ไม่สามารถยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าได้ หรือผู้ที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าแต่ไร้ความสามารถที่จะทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ ของพระองค์ได้ ล้วนเป็นผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด เฉพาะพวกที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามข้อเรียกร้องของพระเจ้าได้เท่านั้นที่จะได้รับพระพรจากพระองค์ และเฉพาะพวกเขาเท่านั้นที่จะหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืด พวกที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ผู้ที่ถูกควบคุมโดยสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ และผู้ที่ไร้ความสามารถที่จะมอบหัวใจของพวกเขาให้แก่พระเจ้าได้ คือผู้คนที่อยู่ภายใต้พันธนาการของซาตาน ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ภายในกลิ่นอายของความตาย พวกที่ไม่สัตย์ซื่อต่อหน้าที่ของตนเอง ผู้ที่ไม่สัตย์ซื่อต่อพระบัญชาของพระเจ้า และผู้ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนในคริสตจักรคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด พวกที่จงใจรบกวนชีวิตแห่งคริสตจักร ผู้ซึ่งเจตนาหว่านความบาดหมางระหว่างพี่น้องชายหญิง หรือผู้ที่ตั้งพรรคพวกนั้น คือผู้คนซึ่งยังใช้ชีวิตที่ยิ่งจมลึกลงไปภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด ในพันธนาการของซาตาน พวกที่มีสัมพันธภาพที่ผิดปกติกับพระเจ้า ผู้ที่มีความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งเฟ้ออยู่เสมอ ผู้ที่ต้องการมีความได้เปรียบอยู่เสมอ และผู้ที่ไม่เคยแสวงหาการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยของตน คือผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด พวกที่ย่อหย่อนอยู่เสมอและไม่เคยจริงจังในการปฏิบัติตามความจริง และผู้ที่ไม่ได้พยายามที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่กลับพยายามเพียงตอบสนองเนื้อหนังของตนเองเท่านั้น คือผู้คนซึ่งกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืดที่ปกคลุมด้วยความตายเช่นกัน พวกที่มีส่วนร่วมในความคดโกงและการหลอกลวงเมื่อทำงานให้กับพระเจ้า ผู้ที่ปฏิบัติกับพระเจ้าในลักษณะพอเป็นพิธี ผู้ที่ฉ้อโกงพระเจ้า และผู้ที่วางแผนเพื่อตัวเองอยู่เสมอ คือผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด คนพวกนั้นทุกคนที่ไม่สามารถรักพระเจ้าได้อย่างจริงใจ ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและผู้ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการแปลงสภาพอุปนิสัยของตน คือผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด แล้วพระเจ้าจะทรงรับเจ้าไว้

492. มนุษย์มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเนื้อหนัง ซึ่งก็หมายความว่าเขามีชีวิตอยู่ในนรกมนุษย์ และหากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า มนุษย์ย่อมมีความโสมมพอกันกับซาตาน มนุษย์จะสามารถบริสุทธิ์ได้อย่างไรกัน? เปโตรเชื่อว่าการตีสอนและการพิพากษาโดยพระเจ้าเป็นการคุ้มครองปกป้องที่ดีที่สุดและพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ได้รับ มนุษย์จะสามารถตื่นขึ้นและเกลียดชังเนื้อหนัง เกลียดชังซาตานได้ โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าเท่านั้น การบ่มวินัยอันเคร่งครัดของพระเจ้าปลดปล่อยมนุษย์จากอิทธิพลของซาตาน ปลดปล่อยเขาจากโลกใบเล็กของเขาเอง และเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตอยู่ในความสว่างแห่งพระพักตร์พระเจ้า ไม่มีความรอดใดที่ดีไปกว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าอีกแล้ว! เปโตรได้อธิษฐานไปว่า “โอ้ พระเจ้า! ตราบที่พระองค์ทรงตีสอนและพิพากษาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะทราบว่าพระองค์หาได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ไม่ ต่อให้พระองค์ไม่ทรงมอบความชื่นบานหรือสันติสุขให้แก่ข้าพระองค์ และทรงทำให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ในความทุกข์ และทรงทำโทษข้าพระองค์ด้วยการสั่งสอนเกินคณานับ ตราบที่พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ย่อมรู้สึกสบายใจ ในวันนี้ การตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ได้กลายมาเป็นการคุ้มครองปกป้องที่ดีที่สุดและพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ข้าพระองค์ได้รับ พระคุณที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพระองค์นั้นคุ้มครองปกป้องข้าพระองค์ พระคุณที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ในวันนี้ก็คือ การสำแดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และคือการตีสอนและการพิพากษา ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการทดสอบ และที่มากกว่านั้น เป็นชีวิตแห่งความทุกข์” เปโตรสามารถละทิ้งความยินดีในเนื้อหนังและแสวงหาความรักที่ลึกซึ้งกว่าและการคุ้มครองปกป้องที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะเขาได้รับพระคุณมากมายจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า ในชีวิตของเขา หากมนุษย์ปรารถนาจะได้รับการชำระให้สะอาดและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา หากเขาปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมายและทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งทรงสร้างให้ลุล่วงแล้วไซร้ เขาต้องยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และต้องไม่ยอมให้การบ่มวินัยของพระเจ้าและการเฆี่ยนตีของพระเจ้าผละจากเขาไป ทั้งนี้ก็เพื่อที่เขาอาจปลดปล่อยตนเองจากการหลอกใช้และอิทธิพลของซาตาน และมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าได้ จงรู้ไว้ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่าง และแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ และรู้ว่าไม่มีการได้รับพรใด พระคุณใด หรือการคุ้มครองปกป้องใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับมนุษย์ มนุษย์มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน และดำรงอยู่ในเนื้อหนัง หากเขาไม่ได้รับการชำระให้สะอาด และไม่ได้รับการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าแล้วไซร้ มนุษย์ย่อมจะกลายเป็นเสื่อมลงทุกที หากเขาปรารถนาที่จะรักพระเจ้าแล้วไซร้ เขาต้องได้รับการชำระให้สะอาดและได้รับการช่วยให้รอด เปโตรได้อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติต่อข้าพระองค์อย่างมีเมตตา ข้าพระองค์ปีติยินดีและรู้สึกชูใจ เมื่อพระองค์ทรงตีสอนข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยิ่งรู้สึกชูใจและชื่นบานยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่าข้าพระองค์จะอ่อนแอ และทนฝ่าความทุกข์เกินพรรณนา แม้มีน้ำตาและความโศกเศร้า พระองค์ทรงทราบว่าความโศกเศร้านี้เป็นเพราะความไม่เชื่อฟังของข้าพระองค์ และเพราะความอ่อนแอของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร่ำไห้เพราะข้าพระองค์ไม่สามารถทำให้สมดังสิ่งที่พระองค์ทรงพึงปรารถนาได้ ข้าพระองค์รู้สึกโศกเศร้าและเสียใจเพราะข้าพระองค์ไม่ดีพอสำหรับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะบรรลุมาถึงอาณาจักรนี้ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะทำทั้งหมดที่ข้าพระองค์ทำได้เพื่อให้พระองค์พึงพอพระทัย การตีสอนของพระองค์ได้นำการคุ้มครองปกป้องมาสู่ข้าพระองค์ และได้ให้ความรอดที่ดีที่สุดแก่ข้าพระองค์ การพิพากษาของพระองค์เหนือกว่าความยอมผ่อนปรนและความอดทนของพระองค์ หากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ ข้าพระองค์คงจะไม่ได้ชื่นชมความปรานีและความรักมั่นคงของพระองค์ ในวันนี้ข้าพระองค์มองเห็นยิ่งขึ้นกว่าเดิมว่าความรักของพระองค์นั้นก้าวข้ามฟ้าสวรรค์และเลิศล้ำเหนือสิ่งอื่นทั้งมวล ความรักของพระองค์ไม่ใช่เป็นแค่ความปรานีและความรักมั่นคง ที่ยิ่งมากไปกว่านั้นคือ เป็นการตีสอนและการพิพากษานั่นเอง การตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ได้ให้ข้าพระองค์มามากมาย เมื่อปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ ไม่มีบุคคลใดแม้สักคนที่จะสามารถผ่านประสบการณ์กับความรักของพระผู้สร้าง แม้ข้าพระองค์ได้ทนฝ่าการทดสอบและความทุกข์ลำบากมาหลายร้อยประการ และถึงขั้นเกือบถึงแก่ความตาย สิ่งเหล่านั้นก็ได้เปิดโอกาสให้ข้าพระองค์รู้จักพระองค์อย่างแท้จริงและได้รับความรอดซึ่งสูงส่งที่สุด หากการตีสอนและการพิพากษาและการบ่มวินัยของพระองค์กำลังจะผละจากข้าพระองค์ไปแล้วไซร้ ข้าพระองค์ย่อมจะมีชีวิตอยู่ในความมืด ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน เนื้อหนังของมนุษย์นั้นมีประโยชน์อันใดเล่า? หากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์กำลังจะจากข้าพระองค์ไป นั่นคงจะเป็นประหนึ่งว่าพระวิญญาณของพระองค์ได้ทอดทิ้งข้าพระองค์ไปแล้ว ประหนึ่งว่าพระองค์มิได้ทรงอยู่กับข้าพระองค์อีกต่อไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร? หากพระองค์ทรงมอบความเจ็บป่วยให้ข้าพระองค์และทรงนำอิสรภาพของข้าพระองค์ไป ข้าพระองค์สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่หากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์กำลังจะจากข้าพระองค์ไปตลอดกาล ข้าพระองค์คงจะสิ้นหนทางที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หากข้าพระองค์ได้อยู่มาโดยปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ ข้าพระองค์คงจะได้สูญเสียความรักของพระองค์ไปแล้ว ความรักซึ่งลึกซึ้งสำหรับข้าพระองค์เกินกว่าที่จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ เมื่อปราศจากความรักของพระองค์ ข้าพระองค์คงจะมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และคงจะไม่สามารถมองเห็นพระพักตร์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์ได้ ข้าพระองค์จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรเล่า? ข้าพระองค์มิอาจทนฝ่าความมืดมิด ทนฝ่าชีวิตเช่นนั้นได้ การมีพระองค์อยู่กับข้าพระองค์นั้นเปรียบประดุจการได้มองเห็นพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะสามารถไปจากพระองค์ได้อย่างไรเล่า? ข้าพระองค์วอนขอพระองค์ ข้าพระองค์ขอพระองค์ว่าอย่าทรงนำสิ่งชูใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าพระองค์ไปจากข้าพระองค์เลย ต่อให้เป็นแค่พระวจนะแห่งการให้ความมั่นใจเพียงไม่กี่คำก็ตาม ข้าพระองค์ได้ชื่นชมความรักของพระองค์ตลอดมา และในวันนี้ ข้าพระองค์ไม่สามารถที่จะไกลห่างจากพระองค์ได้ ข้าพระองค์จะไม่รักพระองค์ได้อย่างไรกัน? ข้าพระองค์ได้หลั่งน้ำตาแห่งความโศกเศร้าก็เพราะความรักของพระองค์ ทว่าข้าพระองค์รู้สึกตลอดมาว่า ชีวิตเช่นนี้เปี่ยมความหมายกว่า สามารถให้ความมั่งคั่งแก่ข้าพระองค์ได้มากกว่า สามารถเปลี่ยนแปลงข้าพระองค์ได้มากกว่า และสามารถเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์บรรลุความจริงซึ่งสิ่งทรงสร้างทั้งหลายควรครองได้มากกว่า”

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

493. เนื้อหนังของมนุษย์เป็นของซาตาน มันเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเป็นกบฏ มันโสโครกอย่างน่าตำหนิ และมันเป็นสิ่งที่ไม่สะอาด ผู้คนละโมบต่อความชื่นชมยินดีของเนื้อหนังมากเกินไป และมีการสำแดงของเนื้อหนังมากเกินไป นี่คือสาเหตุที่พระเจ้าทรงรังเกียจชิงชังเนื้อหนังของมนุษย์ในระดับหนึ่ง เมื่อผู้คนละทิ้งสิ่งที่โสโครกและเสื่อมทรามทั้งหลายของซาตาน พวกเขาก็ได้ความรอดของพระเจ้า แต่หากพวกเขายังคงไม่ปลดเปลื้องตัวพวกเขาเองจากความโสโครกและความเสื่อมทราม เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน การสมคบคิด การหลอกลวง และความคดโกงของผู้คนล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของซาตานทั้งสิ้น การช่วยเจ้าให้รอดของพระเจ้าเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหนีรอดจากสิ่งเหล่านี้ของซาตาน พระราชกิจของพระเจ้าไม่อาจผิดพลาดได้ พระราชกิจทุกอย่างกระทำขึ้นเพื่อช่วยมนุษย์จากความมืดมิด เมื่อเจ้าได้เชื่อถึงจุดหนึ่งและสามารถปลดเปลื้องตัวเองจากความเสื่อมทรามของเนื้อหนัง และไม่ได้ถูกล่ามโซ่ตรวนไว้โดยความเสื่อมทรามนี้อีกต่อไป เจ้าจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดแล้วหรอกหรือ? เมื่อเจ้าใช้ชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตาน เจ้าไม่สามารถสำแดงพระเจ้าได้ เจ้าเป็นบางสิ่งที่โสโครก และไม่สามารถได้รับการสืบทอดของพระเจ้า เมื่อเจ้าได้รับการชำระล้างให้สะอาดและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว เจ้าจะบริสุทธิ์ เจ้าจะเป็นบุคคลปกติ และเจ้าจะได้รับพระพรจากพระเจ้าและเป็นที่น่าปีติยินดีต่อพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)

494. การดำเนินชีวิตทั้งชีวิตของมนุษย์เป็นไปภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และไม่มีแม้แต่บุคคลเดียวที่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากอิทธิพลของซาตานได้ด้วยตัวพวกเขาเอง ทั้งหมดล้วนมีชีวิตอยู่ในโลกอันโสมม ในความเสื่อมทรามและความว่างเปล่า ปราศจากความหมายหรือคุณค่าแม้เพียงน้อยนิด พวกเขาใช้ชีวิตที่ช่างอิสระไร้กังวลเยี่ยงนั้นเพื่อเนื้อหนัง เพื่อตัณหา และเพื่อซาตาน การดำรงอยู่ของพวกเขาไม่มีคุณค่าแม้แต่น้อยนิดเลย มนุษย์ไร้ความสามารถในการค้นหาความจริงซึ่งจะปลดปล่อยเขาจากอิทธิพลของซาตาน แม้ว่ามนุษย์เชื่อในพระเจ้า และอ่านพระคัมภีร์ เขาก็หาได้เข้าใจไม่ ว่าจะปลดปล่อยตัวเขาเองจากการควบคุมของอิทธิพลของซาตานได้อย่างไร ตลอดหลายยุคสมัย มีผู้คนน้อยมากที่ได้ค้นพบความลับนี้ มีน้อยมากที่ได้จับความเข้าใจเกี่ยวกับมัน ครั้นเป็นเช่นนั้น แม้มนุษย์รังเกียจซาตานและรังเกียจเนื้อหนัง เขาก็ไม่รู้ว่าจะกำจัดอิทธิพลของซาตานที่กำลังวางกับดักอยู่ออกจากตัวเขาได้อย่างไร ในวันนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้ายังคงอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานหรอกหรือ? เจ้าไม่เสียใจในการกระทำอันไม่เชื่อฟังของเจ้า และนับประสาอะไรที่จะรู้สึกว่าตัวเจ้านั้นโสมมและไม่เชื่อฟัง ภายหลังการต่อต้านพระเจ้า เจ้าถึงกับรู้สึกมีสันติสุขในจิตใจและรู้สึกสงบอย่างใหญ่หลวง ความสงบของเจ้านั้นมิใช่เพราะเจ้าเสื่อมทรามหรอกหรือ? สันติสุขของจิตใจนี้มิได้มาจากการไม่เชื่อฟังของเจ้าหรอกหรือ? มนุษย์มีชีวิตอยู่ในนรกมนุษย์ เขามีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดของซาตาน ทั่วแผ่นดิน ผีทั้งหลายอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ รุกคืบไปบนเนื้อหนังของมนุษย์ บนแผ่นดินโลก เจ้าไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองบรมสุขเกษมอันงดงาม สถานที่ที่เจ้าอยู่ก็คืออาณาจักรของมาร นรกมนุษย์แห่งหนึ่ง นรกขุมลึกแห่งหนึ่งนั่นเอง หากมนุษย์ไม่ได้รับการชำระให้สะอาดแล้วไซร้ เขาย่อมเป็นสิ่งโสมม หากเขาไม่ได้รับการคุ้มครองปกป้องและดูแลโดยพระเจ้าแล้วไซร้ เขาย่อมยังคงเป็นเชลยของซาตาน หากเขาไม่ได้รับการพิพากษาและการตีสอนแล้วไซร้ เขาย่อมจะไม่มีวิถีทางที่จะหลีกหนีการกดขี่ของอิทธิพลมืดของซาตาน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าแสดงออกมาและพฤติกรรมอันไม่เชื่อฟังที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตนั้นเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน หากความคิดและจิตใจของเจ้ายังไม่ได้รับการชำระให้สะอาด และอุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้ถูกพิพากษาและตีสอนแล้วไซร้ ความเป็นอยู่ทั้งสิ้นของเจ้าก็ย่อมยังคงถูกควบคุมโดยแดนครอบครองของซาตาน จิตใจของเจ้าถูกควบคุมโดยซาตาน ความคิดของเจ้าถูกหลอกใช้โดยซาตาน และความเป็นอยู่ทั้งสิ้นของเจ้าถูกควบคุมด้วยเงื้อมมือของซาตาน เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เจ้าห่างไกลจากมาตรฐานของเปโตรเพียงใด? เจ้ามีขีดความสามารถนั้นหรือไม่? เจ้ารู้มากเพียงใดในเรื่องของการตีสอนและการพิพากษาของวันนี้? เจ้ามีสิ่งที่เปโตรได้มารู้มากแค่ไหน? หากในวันนี้เจ้าไม่สามารถรู้ได้ ในอนาคตเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรู้นี้ได้หรือไม่? คนบางคนที่ขี้เกียจและขี้ขลาดอย่างเจ้านั้น ย่อมไม่สามารถรู้เรื่องการตีสอนและการพิพากษาเป็นธรรมดา หากเจ้าไล่ตามเสาะหาสันติสุขของเนื้อหนัง และความยินดีของเนื้อหนังแล้วไซร้ เจ้าย่อมจะไม่มีวิถีทางที่จะได้รับการชำระให้สะอาด และในท้ายที่สุด เจ้าย่อมจะหวนคืนสู่ซาตาน เพราะสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตก็คือซาตาน และมันก็คือเนื้อหนังนั่นเอง เท่าที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่ในทุกวันนี้ ผู้คนมากมายไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิต ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับการได้รับการชำระให้สะอาด หรือเกี่ยวกับการเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตที่ลึกซึ้งกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อย่างไร? พวกที่ไม่เสาะหาชีวิตไม่มีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และพวกที่ไม่เสาะหาความรู้ในเรื่องของพระเจ้า ผู้ที่ไม่เสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขานั้น ไร้ความสามารถที่จะหลีกหนีอิทธิพลมืดของซาตาน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

495. ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า แต่ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ย่อมไม่มีทางหลีกหนีจากอิทธิพลของซาตาน ทุกคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตของพวกเขาด้วยความซื่อสัตย์ ผู้ที่ประพฤติตนต่อหน้าผู้อื่นอย่างหนึ่งแต่ลับหลังอย่างหนึ่งกับพวกเขา ผู้ที่สร้างภาพแสดงความถ่อมตน ความอดทน และความรัก ทั้งที่แก่นแท้ของพวกเขาเป็นคนร้ายกาจ เจ้าเล่ห์ และปราศจากความจงรักภักดีต่อพระเจ้า—ผู้คนเช่นนี้คือตัวแทนในแบบฉบับของพวกที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด พวกเขาเป็นจำพวกเดียวกันกับงู พวกที่เชื่อพระเจ้าเฉพาะเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้นตลอดเวลา ผู้ที่หยิ่งผยองและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ผู้ที่ชอบโอ้อวด และผู้ที่ปกป้องสถานภาพของตนเอง คือผู้คนที่รักซาตานและต่อต้านความจริง ผู้คนเหล่านี้ต้านทานพระเจ้าและเป็นของซาตานโดยสิ้นเชิง พวกที่ไม่สนใจต่อภาระของพระเจ้า ไม่รับใช้พระเจ้าอย่างสุดหัวใจ ผู้ที่คอยห่วงกังวลกับส่วนได้ส่วนเสียเฉพาะตนและส่วนได้ส่วนเสียของครอบครัวตนเองอยู่เสมอ ผู้ที่ไร้ความสามารถที่จะละทิ้งทุกสิ่งเพื่อสละตนให้กับพระเจ้าได้ และผู้ที่ไม่เคยใช้ชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้าเลย คือผู้คนที่อยู่นอกพระวจนะของพระองค์ ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถได้รับการชมเชยจากพระเจ้า

เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ มันเป็นไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ชื่นชมกับความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์และรักพระองค์อย่างจริงแท้ โดยวิธีนี้ มนุษย์ก็จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างของพระองค์ ปัจจุบันนี้ สำหรับพวกเขาทั้งหมดที่ไม่สามารถรักพระเจ้าได้นั้น ไม่ได้สนใจต่อภาระของพระองค์ ไร้ความสามารถที่จะมอบหัวใจของเขาให้พระองค์อย่างครบถ้วน ไร้ความสามารถที่จะเข้าใจในพระทัยของพระองค์เสมือนเป็นหัวใจของพวกเขาเองได้ และไม่สามารถแบกภาระของพระองค์เสมือนเป็นภาระของพวกเขาเองได้—ความสว่างของพระเจ้าไม่สาดส่องไปยังมนุษย์คนใดที่เป็นเช่นนั้น และเพราะเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด พวกเขาอยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านโดยสิ้นเชิงกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่มีเศษเสี้ยวของความจริงในสิ่งใดที่พวกเขาทำเลย พวกเขากำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน พวกเขาคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด หากเจ้าสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และสนใจต่อน้ำพระทัยของพระองค์ และนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติอยู่เนืองๆ เมื่อนั้นเจ้าก็เป็นของพระเจ้า และเจ้าคือบุคคลหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระองค์ เจ้าเต็มใจหรือไม่ที่จะหลีกหนีจากแดนครอบครองของซาตานและใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้า? หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะมีโอกาสได้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน เจ้าก็จะไม่ได้มอบโอกาสเช่นนั้นแก่พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ ความสว่างที่พระองค์ทรงสาดส่องบนพวกเขา และความมั่นใจที่พระองค์ประทานแก่พวกเขาคงอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น หากว่าผู้คนไม่เอาใจใส่และไม่ให้ความสนใจ เมื่อนั้น พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเลยผ่านพวกเขาไป หากมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะอยู่กับพวกเขาและปฏิบัติพระราชกิจต่อพวกเขา หากมนุษย์ไม่ใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้น พวกเขาก็จะใช้ชีวิตอยู่ในพันธนาการของซาตาน หากมนุษย์อยู่กับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การสถิตหรือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่อยู่กับพวกเขา หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายในขีดคั่นแห่งพระวจนะของพระเจ้า และหากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ เมื่อนั้น เจ้าก็จะเป็นผู้ที่เป็นของพระองค์ และพระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจต่อเจ้า หากเจ้าไม่ได้กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายในขีดคั่นแห่งข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานแทน เมื่อนั้น เจ้าก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายในความเสื่อมทรามของซาตานอย่างแน่นอน เจ้าจะสามารถทำตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระองค์ได้ก็ด้วยการใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้าและมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระองค์เท่านั้น เจ้าต้องทำตามที่พระเจ้าตรัส ทำให้ถ้อยดำรัสของพระองค์เป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของเจ้าและคือความเป็นจริงแห่งชีวิตของเจ้า เช่นนี้เท่านั้นที่เจ้าจะเป็นของพระเจ้า หากเจ้าปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระองค์จะปฏิบัติพระราชกิจต่อเจ้า แล้วเจ้าจึงจะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พระพรของพระองค์ ในความสว่างแห่งโฉมพระพักตร์ของพระองค์ เจ้าจะจับความเข้าใจพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติและรู้สึกชื่นบานยินดีในการสถิตของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด แล้วพระเจ้าจะทรงรับเจ้าไว้

496. เพื่อหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด เจ้าต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้าและมีใจกระหายที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเสียก่อน เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถมีสภาวะที่ถูกต้องได้ การใช้ชีวิตในสภาวะที่ถูกต้องคือความพร้อมพื้นฐานสำหรับการหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืด การไม่มีสภาวะที่ถูกต้องก็คือการที่ไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า และการที่ไม่มีใจกระหายที่จะแสวงหาความจริง และคงไม่ต้องถามถึงการที่จะหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืดไปได้ วจนะของเราคือพื้นฐานของมนุษย์ในการหลีกหนีจากอิทธิพลมืดทั้งหลาย และผู้คนที่ไม่สามารถปฏิบัติตามวจนะของเราจะไม่สามารถหลีกหนีจากพันธนาการของอิทธิพลแห่งความมืดได้ การใช้ชีวิตในสภาวะที่ถูกต้องก็คือการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า อยู่ในสภาวะแห่งความจงรักภักดีต่อพระเจ้า อยู่ในสภาวะของการแสวงหาความจริง อยู่ในความเป็นจริงแห่งการสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ และอยู่ในสภาวะที่รักพระเจ้าอย่างจริงแท้ บรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเหล่านี้และอยู่ภายในความเป็นจริงนี้จะค่อยๆแปลงสภาพเมื่อพวกเขาเข้าสู่ก้นบึ้งแห่งความจริง และพวกเขาจะแปลงสภาพเมื่องานนั้นลงลึกยิ่งขึ้น และในท้ายที่สุด พวกเขาจะได้กลายเป็นผู้คนซึ่งได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน และเป็นผู้ที่รักพระเจ้าอย่างจริงแท้ พวกที่ได้หลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืดมาแล้วจะสามารถหยั่งรู้ถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าทีละน้อยและค่อยๆ มาเข้าใจ จนในที่สุดพวกเขาจะกลายเป็นผู้มีความมั่นใจในพระเจ้า พวกเขาไม่เพียงไม่เก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและไม่กบฏต่อพระองค์เท่านั้น แต่จะยังยิ่งรังเกียจความคิดเหล่านั้นและความเป็นกบฏที่เคยครอบครองพวกเขามาก่อนหน้านี้มากขึ้นไปอีก และความรักแท้ต่อพระเจ้าจึงเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา ผู้คนที่ไร้ความสามารถที่จะหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืดได้นั้น ล้วนถูกครอบครองด้วยเนื้อหนังและเต็มไปด้วยความกบฏอย่างสมบูรณ์ หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์และปรัชญาสำหรับการดำเนินชีวิตสารพัด รวมถึงเจตนาและความจงใจของพวกเขาเอง สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ก็คือความรักเดียวใจเดียวจากมนุษย์ สิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์คือให้มนุษย์ถูกจับจองไว้ด้วยพระวจนะของพระองค์และด้วยหัวใจซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้า การได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า ได้ค้นหาสิ่งที่พวกเขาควรแสวงหาภายในพระวจนะของพระองค์ ได้รักพระเจ้าเพื่อพระวจนะของพระองค์ ได้ดำเนินการเพื่อพระวจนะของพระองค์ ได้ใช้ชีวิตอยู่เพื่อพระวจนะของพระองค์—เหล่านี้คือเป้าหมายที่มนุษย์ควรเพียรพยายามจนสัมฤทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องสร้างขึ้นตามพระวจนะของพระเจ้า เพียงเช่นนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะมีความสามารถที่จะทำตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้าได้ หากมนุษย์ไม่ตระเตรียมให้พร้อมด้วยพระวจนะของพระเจ้า เขาก็จะไม่ใช่อื่นใดนอกจากหนอนแมลงที่ถูกครอบครองโดยซาตาน! จงชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ดูเถิด พระวจนะของพระเจ้าได้หยั่งรากภายในตัวเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว? เจ้าใช้ชีวิตสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ในสิ่งใดบ้าง? เจ้าใช้ชีวิตไม่สอดคล้องกับพระวจนะเหล่านั้นในสิ่งใดบ้าง? หากว่าเจ้าไม่ได้ยึดถือพระวจนะของพระเจ้า ไว้อย่างสมบูรณ์ แล้วสิ่งใดกันแน่ที่จับจองหัวใจของเจ้า? ในชีวิตประจำวันของเจ้า เจ้าถูกควบคุมโดยซาตานหรือเจ้าถูกจับจองโดยพระวจนะของพระเจ้า? พระวจนะของพระองค์เป็นรากฐานที่เจ้าใช้อธิษฐานตามหรือไม่? เจ้าได้ออกมาจากสภาวะอันเป็นลบของเจ้าผ่านความรู้แจ้งในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? การนำพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นรากฐานในการดำรงอยู่ของเจ้า—นี่สิคือสิ่งที่ทุกคนควรเข้าสู่ หากพระวจนะของพระเจ้าไม่ปรากฏอยู่ในชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด เจ้ากำลังกบฏต่อพระเจ้า เจ้ากำลังต้านทานพระองค์ และเจ้ากำลังไม่ให้เกียรติพระนามของพระองค์ ความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนเช่นนั้นเป็นความประพฤติเลวร้ายและเป็นสิ่งก่อกวนความสงบโดยแท้ ชีวิตเจ้ามากเท่าใดที่ได้ดำเนินไปโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์? และชีวิตเจ้ามากเท่าใดที่ไม่ได้ดำเนินไปโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์? สิ่งซึ่งพระวจนะของพระเจ้าได้พึงประสงค์จากเจ้า ได้รับการทำให้ลุล่วงในตัวเจ้าไปมากเท่าใดแล้ว? มากเท่าใดแล้วที่ได้สูญหายไปในตัวเจ้า? เจ้าได้พิจารณาสิ่งดังกล่าวเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดแล้วหรือไม่?

การหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืดนั้นจำเป็นต้องใช้ทั้งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความร่วมมืออย่างมอบอุทิศของมนุษย์ เหตุใดหรือเราจึงกล่าวว่ามนุษย์ไม่ได้อยู่ในร่องครรลองอันถูกต้อง? ผู้คนซึ่งอยู่ในร่องครรลองอันถูกต้องจะสามารถมอบหัวใจของพวกเขาให้แก่พระเจ้าได้ก่อน นี่คือภารกิจหนึ่งซึ่งใช้เวลานานมากในการเข้าสู่ เพราะมนุษยชาติได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืดตลอดเวลา และตกอยู่ภายใต้พันธนาการของซาตานมาแล้วเป็นเวลาหลายพันปี เพราะฉะนั้น การเข้าสู่ภารกิจนี้ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้แค่ภายในวันหรือสองวัน เราได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาในวันนี้ก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถจับความเข้าใจสักอย่างเกี่ยวกับสภาวะของตัวพวกเขาเองได้ ครั้นมนุษย์สามารถหยั่งรู้ว่าอิทธิพลแห่งความมืดคืออะไร และความหมายของการใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างคืออะไร เมื่อนั้น การเข้าสู่ภารกิจนี้จะกลายเป็นง่ายขึ้นมาก นี่เป็นเพราะเจ้าต้องรู้เสียก่อนว่าอิทธิพลของซาตานนั้นคืออะไร เจ้าจึงจะสามารถหลีกหนีจากมันได้ หลังจากนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีวิธีละทิ้งมันไป สำหรับสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้นั่นก็คือกิจธุระของมนุษย์เอง จงเริ่มเข้าสู่ทุกสิ่งทุกอย่างจากแง่มุมในด้านบวก และอย่ามัวเอาแต่รออย่างนิ่งเฉยโดยเด็ดขาด ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เจ้าจึงจะสามารถได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด แล้วพระเจ้าจะทรงรับเจ้าไว้

497. ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำมีความจำเป็นและมีนัยสำคัญเหนือธรรมดา เพราะทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์และความรอดของมวลมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้ว พระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำในโยบก็ไม่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าโยบจะเป็นคนดีพร้อมและชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดหรือพระองค์ทรงทำมันโดยวิธีการใดก็ตาม ไม่ว่าราคาใด ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของพระองค์คืออะไร จุดประสงค์แห่งการกระทำของพระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง จุดประสงค์ของพระองค์คือเพื่อที่จะทำให้พระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในตัวมนุษย์ ตลอดจนข้อพึงประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันเป็นไปเพื่อจะทำให้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงเชื่อว่าจะสอดคล้องในเชิงบวกกับขั้นตอนต่างๆ ของพระองค์เข้าไปในตัวมนุษย์ ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและจับใจความเนื้อแท้ของพระเจ้าได้ และเปิดโอกาสให้มนุษย์เชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์บรรลุถึงความยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว—ทั้งหมดนี้คือแง่มุมหนึ่งของจุดประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ อีกแง่มุมหนึ่งก็คือว่า เพราะซาตานคือวัตถุที่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นและใช้ปรนนิบัติในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์มักจะถูกมอบให้แก่ซาตาน นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มองเข้าไปในการทดลองของซาตาน และโจมตีความชั่วร้าย ความน่าเกลียดและความน่าเหยียดหยามของซาตาน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุให้ผู้คนเกลียดชังซาตานและสามารถรู้จักและระลึกได้ถึงสิ่งที่เป็นเชิงลบ กระบวนการนี้เปิดโอกาสให้พวกเขาค่อยๆ ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากการควบคุมและการกล่าวหา การแทรกแซง และการโจมตีของซาตาน—จนกระทั่ง พวกเขามีชัยชนะเหนือการโจมตีและการกล่าวหาของซาตาน ด้วยพระวจนะของพระเจ้าความรู้และการเชื่อฟังพระเจ้าของพวกเขา และความเชื่อในพระเจ้าและความยำเกรงพระองค์ของพวกเขา เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะถูกส่งออกไปจากแดนครอบครองของซาตานโดยครบบริบูรณ์ การส่งออกไปของผู้คนหมายความว่าซาตานได้พ่ายแพ้แล้ว มันหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่อาหารในปากของซาตานอีกต่อไป—แทนที่จะกลืนพวกเขา ซาตานก็ได้ปล่อยพวกเขาไป นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนั้นเป็นคนเที่ยงธรรม เพราะพวกเขามีความเชื่อ การเชื่อฟัง และการยำเกรงต่อพระเจ้า และเพราะพวกเขาตัดขาดกับซาตานโดยสิ้นเชิง พวกเขานำความอับอายมาให้ซาตาน พวกเขาทำให้ซาตานเป็นผู้ขี้ขลาด และพวกเขาทำให้ซาตานพ่ายแพ้โดยเด็ดขาด ความเชื่อมั่นในการติดตามพระเจ้า และการเชื่อฟังและการยำเกรงพระเจ้าของพวกเขาทำให้ซาตานพ่ายแพ้ และทำให้ซาตานยอมแพ้ต่อพวกเขาโดยสิ้นเชิง มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงรับไว้อย่างแท้จริง และการนี้นี่เองที่เป็นวัตถุประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด หากพวกเขาปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด และปรารถนาที่จะให้พระเจ้าทรงรับไว้โดยครบบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามพระเจ้าต้องเผชิญหน้ากับการทดลองและการโจมตีทั้งใหญ่หลวงและเล็กน้อยจากซาตาน บรรดาผู้ที่ผุดขึ้นมาจากการทดลองและการโจมตีเหล่านี้และสามารถทำให้ซาตานพ่ายแพ้ได้อย่างเต็มที่คือบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงช่วยให้รอด กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าคือบรรดาผู้ที่ได้ก้าวผ่านการทดสอบของพระเจ้า และผู้ที่ได้ถูกซาตานทดลองและโจมตีมานับครั้งไม่ถ้วน บรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้านั้นเข้าใจน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และสามารถโอนอ่อนให้กับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขาไม่ละทิ้งหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วท่ามกลางการทดลองของซาตาน บรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้านั้นครอบครองความซื่อสัตย์ พวกเขาใจดี พวกเขาจำแนกความแตกต่างระหว่างความรักและความเกลียด พวกเขามีสำนึกรับรู้ถึงความยุติธรรมและมีเหตุผล และพวกเขาสามารถที่จะเอาใจใส่พระเจ้าและทะนุถนอมความล้ำค่าทั้งหมดที่เป็นของพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นไม่ถูกซาตานผูกมัด สอดแนม กล่าวหา หรือล่วงละเมิด พวกเขาเป็นอิสระโดยบริบูรณ์ พวกเขามีเสรีภาพและได้รับการปลดปล่อยโดยสมบูรณ์ โยบก็เป็นมนุษย์เช่นนั้นที่มีอิสรภาพ และแน่นอนว่านี่คือนัยสำคัญของเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงส่งมอบเขาให้แก่ซาตาน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

498. ความเชื่อและการเชื่อฟังของโยบ และคำพยานของเขาที่จะเอาชนะซาตานได้เป็นแหล่งกำเนิดของความช่วยเหลือและการให้กำลังใจอันใหญ่หลวงแก่ผู้คน พวกเขามองเห็นความหวังเพื่อความรอดของพวกเขาเองในตัวโยบ และมองเห็นว่าโดยผ่านทางความเชื่อ การเชื่อฟัง และการยำเกรงพระเจ้าแล้วนั้น เป็นไปได้ทั้งสิ้นที่จะทำให้ซาตานพ่ายแพ้ ที่จะเหนือชั้นกว่าซาตาน พวกเขามองเห็นว่าตราบเท่าที่พวกเขาโอนอ่อนต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และตราบเท่าที่พวกเขาครอบครองความตั้งใจแน่วแน่และความเชื่อที่จะไม่ละทิ้งพระเจ้าหลังจากได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็สามารถนำความอับอายและความพ่ายแพ้มาให้แก่ซาตานได้ และพวกเขามองเห็นว่าพวกเขาจำเป็นเพียงแค่ต้องครอบครองความตั้งใจแน่วแน่และความเพียรพยายามที่จะตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาเท่านั้น—แม้ว่ามันจะหมายถึงการสูญเสียชีวิตของพวกเขาไป—เพื่อทำให้ซาตานขลาดกลัวและตีให้ถอยร่นอย่างรวดเร็ว คำพยานของโยบเป็นคำเตือนแก่ชนรุ่นหลัง และคำเตือนนี้บอกพวกเขาว่าหากพวกเขาไม่ทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันสามารถทำให้ตัวเองพ้นการกล่าวหาและการแทรกแซงของซาตานได้ อีกทั้งพวกเขาจะไม่สามารถหนีรอดจากการล่วงละเมิดและการโจมตีของซาตานตลอดไป คำพยานของโยบได้ให้ความรู้แจ้งแก่ชนรุ่นหลัง ความรู้แจ้งนี้สอนผู้คนว่ามีเพียงเมื่อพวกเขาดีพร้อมและเที่ยงธรรมเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ มันสอนพวกเขาว่ามีเพียงเมื่อพวกเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถเป็นคำพยานที่แข็งแกร่งและดังกึกก้องต่อพระเจ้าได้ มีเพียงเมื่อพวกเขาเป็นคำพยานที่แข็งแกร่งและดังกึกก้องต่อพระเจ้าเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถไม่มีวันถูกซาตานควบคุมและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าได้—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความรอดควรจะเอาอย่างบุคลิกภาพของโยบและการไล่ตามเสาะหาแห่งชีวิตของเขา สิ่งที่โยบใช้ในการดำรงชีวิตในช่วงระหว่างทั้งชีวิตของเขาและการประพฤติของเขาในช่วงระหว่างการทดสอบของเขานั้นเป็นสมบัติอันล้ำค่าสำหรับบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไล่ตามเสาะหาหนทางแห่งความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

499. เมื่อผู้คนยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด ชีวิตของพวกเขามักถูกแทรกแซง และแม้กระทั่งถูกควบคุมโดยซาตาน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนที่ยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดนั้นเป็นนักโทษของซาตาน พวกเขาไม่มีอิสรภาพ พวกเขายังไม่ถูกซาตานปล่อยตัว พวกเขาไม่มีคุณสมบัติหรือสิทธิ์ที่จะนมัสการพระเจ้า และพวกเขาถูกไล่ตามอย่างใกล้ชิดและถูกโจมตีอย่างชั่วช้าโดยซาตาน ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความสุขให้พูดถึง พวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการดำรงอยู่ตามปกติให้พูดถึง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีศักดิ์ศรีให้พูดถึง มีเพียงเมื่อเจ้ายืนขึ้นและทำการสู้รบกับซาตาน โดยใช้ความเชื่อในพระเจ้า การเชื่อฟังและการยำเกรงพระเจ้าของเจ้าเป็นอาวุธเพื่อต่อสู้ในการสู้รบที่อาจเป็นหรือตายกับซาตาน จนกระทั่งเจ้าทำให้ซาตานพ่ายแพ้อย่างเต็มที่และทำให้มันหนีหางจุกก้นและกลายเป็นขี้ขลาดเมื่อใดก็ตามที่มันมองเห็นเจ้า เพื่อที่มันจะได้ละทิ้งการโจมตีและการกล่าวหาของมันที่มีต่อเจ้าโดยสิ้นเชิง—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะได้รับการช่วยให้รอดและกลายเป็นมีอิสระ หากเจ้ามุ่งมั่นที่จะตัดขาดกับซาตานอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีพร้อมด้วยอาวุธที่จะช่วยให้เจ้าทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงอยู่ในอันตราย ขณะที่เวลาผ่านไป เมื่อเจ้าถูกซาตานทรมานอย่างยิ่งจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือในตัวเจ้าแม้แต่น้อย กระนั้นเจ้าก็ยังคงไม่สามารถเป็นคำพยานได้ ยังคงไม่ได้ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระโดยบริบูรณ์จากการกล่าวหาและการโจมตีของซาตานที่มีต่อเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความหวังน้อยนิดในความรอด ในวาระสุดท้าย เมื่อการสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระเจ้าได้รับการประกาศขึ้น เจ้าจะยังคงอยู่ในกำมือของซาตาน ไร้ความสามารถที่จะปล่อยตัวเจ้าเองให้เป็นอิสระ และด้วยเหตุนี้เจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสหรือความหวัง เช่นนั้นแล้ว ความหมายก็คือว่า ผู้คนเช่นนั้นจะอยู่ในการเป็นเชลยของซาตานโดยบริบูรณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

500. ในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการปฏิบัติตามการจัดเตรียมและการสนับสนุนของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ พระองค์ตรัสบอกมนุษย์เกี่ยวกับน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ด้วยความครบถ้วนบริบูรณ์ และทรงแสดงกิจการต่างๆ และพระอุปนิสัยของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นให้มนุษย์เห็น วัตถุประสงค์คือเพื่อให้มนุษย์มีพร้อมด้วยวุฒิภาวะ และเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้รับความจริงต่างๆ จากพระเจ้าในขณะที่ติดตามพระองค์—ความจริงที่เป็นอาวุธที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้มนุษย์เพื่อใช้ต่อสู้กับซาตาน เมื่อมีพร้อมดังนั้นแล้ว มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของพระเจ้า พระเจ้าทรงมีวิธีการและช่องทางมากมายสำหรับการทดสอบมนุษย์ แต่พวกเขาทุกคนพึงต้องมี “ความร่วมมือ” จากศัตรูของพระเจ้า นั่นก็คือ ซาตาน อีกนัยหนึ่งคือ เมื่อมนุษย์ได้รับมอบอาวุธที่จะใช้เพื่อทำการสู้รบกับซาตานแล้ว พระเจ้าก็ทรงส่งมอบมนุษย์ให้แก่ซาตานและทรงอนุญาตให้ซาตาน “ทดสอบ” วุฒิภาวะของมนุษย์ หากมนุษย์สามารถฝ่าออกมาจากรูปแบบการสู้รบของซาตานได้ หากเขาสามารถหนีรอดจากวงล้อมของซาตานและยังคงมีชีวิตอยู่ได้ เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็จะได้ผ่านการทดสอบไป แต่หากมนุษย์ล้มเหลวในการออกจากรูปแบบการสู้รบของซาตาน และนบนอบต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว เขาก็จะไม่ได้ผ่านการทดสอบ ไม่ว่าแง่มุมใดของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงตรวจดู เกณฑ์สำหรับการตรวจสอบของพระองค์ก็คือการที่มนุษย์ตั้งมั่นอยู่ในคำพยานของเขาหรือไม่เมื่อถูกซาตานโจมตี และการที่เขาได้ละทิ้งพระเจ้าและยอมแพ้และนบนอบต่อซาตานหรือไม่ในขณะที่ถูกซาตานวางกับดัก อาจกล่าวได้ว่าการที่มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการที่เขาสามารถเอาชนะและทำให้ซาตานพ่ายแพ้ได้หรือไม่ และการที่เขาสามารถได้รับอิสรภาพได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการที่เขาสามารถยกอาวุธที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เขาเพื่อเอาชนะพันธนาการของซาตานด้วยตัวเขาเอง ทำให้ซาตานละทิ้งความหวังและปล่อยเขาไปโดยสิ้นเชิงได้หรือไม่ หากซาตานละทิ้งความหวังและปล่อยใครบางคนไป นี่หมายความว่าซาตานจะไม่มีวันพยายามที่จะเอาบุคคลนี้ไปจากพระเจ้าอีก จะไม่มีวันกล่าวหาและแทรกแซงกับบุคคลนี้อีก จะไม่มีวันทรมานหรือโจมตีพวกเขาอย่างหยาบโลนอีก มีเพียงใครบางคนเช่นนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงได้รับไว้อย่างแท้จริง นี่คือกระบวนการทั้งหมดทั้งมวลที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อได้รับผู้คน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

501. วันนี้ เจ้าสามารถพยายามที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในสภาวะความเป็นมนุษย์ภายนอกของเจ้าและการพัฒนาขีดความสามารถของเจ้า แต่สิ่งที่มีความสำคัญเป็นหลักคือการที่เจ้าสามารถเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำในวันนี้มีความหมายและมีประโยชน์ กล่าวคือ สิ่งนี้ทำให้เจ้าที่เกิดในแผ่นดินแห่งความสกปรกโสมมสามารถหลีกหนีจากความสกปรกโสมมและสลัดมันทิ้งไปได้ สิ่งนี้ทำให้เจ้าสามารถเอาชนะอิทธิพลของซาตาน และทิ้งอิทธิพลมืดของซาตานไว้เบื้องหลัง โดยการจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะได้รับการคุ้มครองปกป้องในแผ่นดินแห่งความสกปรกโสมมนี้ ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าจะได้รับการขอให้กล่าวคำพยานใด? เจ้าเกิดในแผ่นดินแห่งความสกปรกโสมมแต่สามารถกลายเป็นบริสุทธิ์ได้ ไม่มีวันมีมลทินจากความสกปรกโสมมอีก เพื่อใช้ชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตานแต่พรากตัวเจ้าเองไปจากอิทธิพลของซาตาน เพื่อไม่ถูกซาตานครอบครองและรังควาน และเพื่อใช้ชีวิตในพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นี่คือคำพยานและข้อพิสูจน์ถึงชัยชนะในการต่อสู้กับซาตาน เจ้าสามารถละทิ้งซาตานได้ เจ้าไม่เผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานในสิ่งที่เจ้าใช้ชีวิตตามอีกต่อไป แต่ใช้ชีวิตตามสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์บรรลุเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์แทน กล่าวคือ สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ สำนึกรับรู้ปกติ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกปกติ การตัดสินใจแน่วแน่ปกติที่จะรักพระเจ้า และความจงรักภักดีต่อพระเจ้า เช่นนั้นคือคำพยานที่กล่าวโดยสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า เจ้าพูดว่า “พวกเราเกิดในดินแดนแห่งความสกปรกโสมม แต่เพราะการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า เพราะการเป็นผู้นำของพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงได้พิชิตพวกเรา พวกเราจึงได้กำจัดอิทธิพลของซาตานออกไปจากตัวพวกเราเอง สิ่งที่พวกเราสามารถเชื่อฟังในวันนี้ก็เป็นผลของการได้รับการพิชิตจากพระเจ้าเช่นเดียวกัน และนั่นไม่ใช่เพราะว่าพวกเราดีงาม หรือเพราะว่าพวกเรารักพระเจ้าโดยธรรมชาติ เป็นเพราะพระเจ้าทรงเลือกพวกเราและทรงกำหนดพวกเราไว้ล่วงหน้านั่นเอง พวกเราจึงได้รับการพิชิตในวันนี้ สามารถกล่าวคำพยานต่อพระองค์ได้ และสามารถรับใช้พระองค์ได้ ดังนั้น เป็นเพราะพระองค์ทรงเลือกพวกเราและทรงคุ้มครองปกป้องพวกเราเช่นเดียวกันนั่นเอง พวกเราจึงได้รับการช่วยให้รอดและปล่อยจากแดนครอบครองของซาตาน และสามารถทิ้งความสกปรกโสมมไว้เบื้องหลังและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในชาติของพญานาคใหญ่สีแดงนั้น”

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (2)

502. วันนี้ เจ้าไม่เชื่อวจนะที่เรากล่าว และเจ้าไม่ใส่ใจกับมันเลย เมื่อถึงวันที่พระราชกิจนี้เผยแผ่ออกไป และเจ้ามองเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน เจ้าจะเสียใจ และ ณ เวลานั้น เจ้าจะอึ้งและงงงัน พระพรทั้งหลายนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าจะชื่นชมพวกมันอย่างไร และความจริงนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหามัน นี่เจ้าไม่ได้ทำให้ตัวเองน่าเหยียดหยามหรอกหรือ? วันนี้ ถึงแม้ว่าขั้นตอนถัดไปแห่งพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ก็ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่ขอจากเจ้าและเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ใช้ดำเนินชีวิต มีพระราชกิจมากมายเหลือเกินและความจริงมากมายเหลือเกิน พวกมันไม่มีค่าคู่ควรที่เจ้าจะรู้หรอกหรือ? การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะปลุกจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาหรือ? การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะทำให้เจ้าเกลียดชังตัวเจ้าเองหรือ? เจ้าพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานพร้อมกับสันติสุขและความชื่นบาน และสิ่งชูใจเล็กน้อยทางเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดหรอกหรือ? ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน กล่าวคือ เหล่านี้เป็นผู้คนที่มูมมามไปกับเนื้อหนังจนเกินขนาดและชื่นชมซาตาน เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก! เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข? พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ? พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ? วจนะมากมายเพียงใดแล้วที่ได้กล่าวไปท่ามกลางพวกเจ้า? งานที่ได้ถูกกระทำไปท่ามกลางพวกเจ้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างนั้นหรือ? เราได้จัดเตรียมไปมากเพียงใดแล้วท่ามกลางพวกเจ้า? แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ได้รับมัน? เจ้ามีอะไรให้ต้องร้องทุกข์หรือ? นี่ไม่ใช่กรณีที่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยเพราะเจ้าหลงรักเนื้อหนังมากเกินไปหรอกหรือ? และนี่ไม่ใช่เพราะความคิดของเจ้านั้นฟุ้งซ่านเกินไปหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เง่าเกินไปหรอกหรือ? หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะได้รับพระพรเหล่านี้ เจ้าสามารถติเตียนพระเจ้าเพราะการที่ไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดได้อย่างนั้นหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

503. พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นและช่วยผู้คนกลุ่มนี้ให้รอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพื่อที่เจ้าจะได้หลีกหนีจากอิทธิพลของซาตาน ใช้ชีวิตในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ใช้ชีวิตในความสว่างของพระเจ้า และมีผู้นำและการทรงนำแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วก็จะมีความหมายต่อชีวิตของเจ้า สิ่งที่พวกเจ้ากินและสวมใส่แตกต่างไปจากผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย พวกเจ้าชื่นชมพระวจนะของพระเจ้าและใช้ชีวิตที่มีความหมาย—แล้วพวกเขาชื่นชมอะไรเล่า? พวกเขาชื่นชมกับ “มรดกของบรรพบุรุษ” และ “จิตวิญญาณแห่งชาติ” ของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาไม่มีร่องรอยของความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย! เสื้อผ้า คำพูด และการกระทำทั้งหลายของพวกเจ้าล้วนแล้วแต่ต่างไปจากของพวกเขาทั้งสิ้น ในท้ายที่สุด พวกเจ้าจะหลีกหนีจากความโสมมได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ติดบ่วงในการทดลองของซาตานอีกต่อไป และได้รับการจัดหาประจำวันของพระเจ้า พวกเจ้าควรระมัดระวังอยู่เสมอ แม้เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่อันโสมม แต่เจ้าก็ไม่ด่างพร้อยไปด้วยความโสมมและสามารถใช้ชีวิตเคียงข้างพระเจ้า ได้รับการปกป้องอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงเลือกพวกเจ้าจากท่ามกลางผู้คนทั้งหมดบนแผ่นดินสีเหลืองแห่งนี้ เจ้าไม่ใช่ผู้คนที่ได้รับพระพรมากที่สุดหรอกหรือ? เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย หากเจ้าไม่นมัสการพระเจ้าแต่ใช้ชีวิตภายในเนื้อหนังอันโสมมของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มิได้เป็นเพียงแค่สัตว์เดียรัจฉานในเครื่องแต่งกายของมนุษย์หรอกหรือ? เนื่องจากเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยินดีและแน่ใจยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้ และใช้ชีวิตที่มีความหมาย ดังเช่นโยบ และเปโตร ในโลกนี้ มนุษย์สวมใส่เสื้อผ้าของปีศาจ กินอาหารจากปีศาจ และทำงานและรับใช้ภายใต้นิ้วหัวแม่มือของปีศาจ กลายมาเป็นถูกเหยียบย่ำในความโสมมของมันอย่างสิ้นเชิง หากเจ้าไม่จับความเข้าใจความหมายของชีวิตหรือได้มาซึ่งวิถีทางที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วจะมีนัยสำคัญอะไรในชีวิตของเจ้าเล่า? พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาหนทางที่ถูกต้อง คือบรรดาผู้ที่แสวงหาการปรับปรุง พวกเจ้าคือผู้คนที่ลุกขึ้นในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขานว่ามีความชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายมากที่สุดหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)

ก่อนหน้า:  ท. ว่าด้วยวิธีที่จะรับใช้พระเจ้าและเป็นพยานต่อพระองค์

ถัดไป:  บ. ว่าด้วยวิธีที่จะไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยและการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger