พระบัญญัติแห่งยุคใหม่

ในการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้านั้น เจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างพิถีพิถัน และเตรียมความจริงให้พร้อมไว้กับตัวพวกเจ้า แต่ไม่มีความจำเป็นสำหรับการอธิษฐานหรือการวิงวอนแบบจริงจังจริงใจของพวกเจ้าในเรื่องของสิ่งที่พวกเจ้าต้องการทำหรือวิธีที่พวกเจ้าต้องการจะทำสิ่งนั้น และแท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์  กระนั้นในปัจจุบัน ปัญหาต่างๆ ที่พวกเจ้ากำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ก็คือการที่เจ้าไม่รู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และการที่ในตัวเจ้านั้นมีความเป็นลบอย่างมาก  พวกเจ้ารู้คำสอนมากมาย แต่พวกเจ้าไม่มีความเป็นจริงมากนัก การนี้มิใช่สัญญาณของความบิดเบือนหรอกหรือ?  ความบิดเบือนมากมายสามารถมองเห็นได้ในตัวพวกเจ้ากลุ่มนี้  วันนี้ พวกเจ้าไร้ความสามารถที่จะสัมฤทธิ์บททดสอบเช่นในฐานะ “คนปรนนิบัติ” และพวกเจ้าก็ไร้ความสามารถที่จะจินตนาการหรือสัมฤทธิ์กระบวนการถลุงอื่นที่สัมพันธ์กับพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้าได้  พวกเจ้าต้องยึดมั่นกับสิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเจ้าควรนำมาปฏิบัติ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนต้องยึดมั่นอยู่กับหน้าที่มากมายที่พวกเขาควรจะปฏิบัติ  นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรยึดมั่น และนี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องดำเนินการ  จงปล่อยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำสิ่งที่ต้องทำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มนุษย์ไม่สามารถรับบทใดในนั้นได้เลย  มนุษย์ควรจะยึดมั่นกับสิ่งที่ควรจะทำโดยมนุษย์ ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ใดเลยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์  มันมิใช่สิ่งใดนอกจากสิ่งที่ควรจะถูกทำโดยมนุษย์ และควรจะได้รับการยึดมั่นในฐานะพระบัญญัติ ให้เหมือนกับการยึดมั่นกับธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิม  ถึงแม้ว่าบัดนี้มิใช่ยุคธรรมบัญญัติ แต่ยังคงมีพระวจนะมากมายที่ควรจะยึดมั่น ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันกับพระวจนะทั้งหลายที่ตรัสไว้ในยุคธรรมบัญญัติ  พระวจนะเหล่านี้มิใช่ถูกนำมาดำเนินการเพียงโดยการพึ่งพาสัมผัสจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ตรงกันข้าม พระวจนะเหล่านี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์ควรจะยึดมั่น  ตัวอย่างเช่น  

เจ้าต้องไม่ตัดสินพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง

เจ้าต้องไม่ต่อต้านมนุษย์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันให้  

เจ้าต้องรักษาฐานะของเจ้าและไม่ทำตัวเสเพลเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

เจ้าควรจะพอประมาณในวาทะ และคำพูดกับการกระทำทั้งหลายของเจ้าก็ต้องเป็นไปตามการจัดการเตรียมการของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยัน  

เจ้าควรยำเกรงคำพยานของพระเจ้า  เจ้าจะต้องไม่เพิกเฉยกับพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะทั้งหลายจากพระโอษฐ์ของพระองค์  

เจ้าจะต้องไม่ลอกเลียนแบบพระกระแสเสียงและจุดมุ่งหมายในถ้อยดำรัสของพระเจ้า  

โดยภายนอกนั้น เจ้าจะต้องไม่ทำสิ่งใดที่ต่อต้านอย่างชัดแจ้งต่อมนุษย์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันให้  

ในทำนองเดียวกัน  เหล่านี้คือสิ่งที่แต่ละคนควรจะยึดมั่น  ในแต่ละยุคนั้น พระเจ้าทรงกำหนดกฎเกณฑ์มากมายที่คล้ายคลึงกันกับธรรมบัญญัติทั้งหลายและเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องยึดมั่น  พระองค์ทรงจำกัดอุปนิสัยของมนุษย์และตรวจจับความจริงใจของเขาโดยผ่านทางการนี้  จงพิจารณาพระวจนะเหล่านี้จากยุคพันธสัญญาเดิมเป็นตัวอย่าง ความว่า “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า”  พระวจนะเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับวันนี้ ทั้งนี้ ณ เวลานั้น พระวจนะเหล่านี้ก็เพียงแค่จำกัดอุปนิสัยภายนอกบางอย่างของมนุษย์โดยได้ถูกนำมาใช้เพื่อสาธิตให้เห็นความจริงใจของการเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ และเป็นเครื่องหมายของบรรดาผู้ที่ได้เชื่อในพระเจ้า  ถึงแม้ว่าบัดนี้เป็นยุคราชอาณาจักร แต่ก็ยังมีกฎเกณฑ์มากมายที่มนุษย์ต้องยึดมั่นอยู่ดี  กฎเกณฑ์ทั้งหลายของอดีตนั้นใช้ไม่ได้ และวันนี้ก็มีการปฏิบัติมากมายที่เหมาะสมกว่าเพื่อให้มนุษย์นำมาดำเนินการ และเป็นการปฏิบัติที่จำเป็น  การปฏิบัติเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และต้องถูกทำโดยมนุษย์

ในยุคพระคุณนั้น การปฏิบัติมากมายของยุคธรรมบัญญัติได้ถูกเลิกใช้ไปเพราะธรรมบัญญัติเหล่านี้ไม่มีประสิทธิผลโดยเฉพาะสำหรับพระราชกิจในเวลานั้น  หลังจากการปฏิบัติเหล่านี้ถูกเลิกใช้ไปแล้ว การปฏิบัติมากมายที่เหมาะสมสำหรับยุคนั้นก็ได้ถูกกำหนดออกมา และก็ได้กลายมาเป็นกฎเกณฑ์มากมายของวันนี้  เมื่อพระเจ้าของวันนี้เสด็จมา กฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ถูกละเว้นไป และไม่พึงต้องยึดมั่นกับพวกมันอีกต่อไป และการปฏิบัติมากมายที่เหมาะสมสำหรับพระราชกิจของวันนี้ได้ถูกกำหนดออกมา  วันนี้ การปฏิบัติเหล่านี้ไม่ใช่กฎเกณฑ์ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับมีเจตนาที่จะให้สัมฤทธิ์ประสิทธิผลทั้งหลาย การปฏิบัติเหล่านั้นเหมาะสมสำหรับวันนี้—บางทีพรุ่งนี้ การปฏิบัติเหล่านั้นอาจจะกลายเป็นกฎเกณฑ์ก็ได้  โดยรวมแล้ว เจ้าควรจะยึดมั่นกับสิ่งที่เกิดผลกับพระราชกิจของวันนี้ จงอย่าใส่ใจกับพรุ่งนี้ กล่าวคือ  สิ่งที่ทำวันนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของวันนี้  บางทีเมื่อพรุ่งนี้มาถึง อาจจะมีการปฏิบัติต่างๆ ที่ดีกว่าซึ่งเจ้าพึงต้องดำเนินการ—แต่จงอย่าให้ความสนใจกับการนั้นมากเกินไปนัก  ในทางตรงกันข้าม จงยึดมั่นกับสิ่งซึ่งควรจะยึดมั่นวันนี้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการต่อต้านพระเจ้า  วันนี้ ไม่มีสิ่งใดสำคัญยิ่งยวดสำหรับมนุษย์ที่จะยึดมั่นมากไปกว่าการติดตาม กล่าวคือ  

เจ้าต้องไม่พยายามที่จะป้อยอพระเจ้าที่ทรงยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้า หรือปกปิดสิ่งใดจากพระองค์

เจ้าจะต้องไม่เปล่งถ้อยคำที่เป็นความโสโครกหรือการพูดคุยอันโอหังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าซึ่งอยู่ต่อหน้าเจ้า  

เจ้าจะต้องไม่หลอกลวงพระเจ้าซึ่งอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้าโดยมธุรสวาจาและวาทะอันสวยหรูเพื่อที่จะได้รับความไว้วางพระทัยของพระองค์  

เจ้าจะต้องไม่ปฏิบัติตนอย่างขาดความเคารพเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เจ้าจะต้องนบนอบทุกอย่างที่ตรัสออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และจะต้องไม่ต้านทาน ต่อต้าน หรือโต้แย้งพระวจนะทั้งหลายของพระองค์  

เจ้าจะต้องไม่ตีความพระวจนะทั้งหลายที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าไปตามที่เจ้าเห็นว่าเหมาะเจาะลงตัว  เจ้าควรจะระวังลิ้นของเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันเป็นเหตุให้เจ้าตกเป็นเหยื่อของกลอุบายอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของคนชั่ว  

เจ้าควรจะระวังย่างก้าวของเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนอาณาเขตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับเจ้า  หากเจ้าฝ่าฝืน นี่จะเป็นเหตุให้เจ้ายืนในตำแหน่งของพระเจ้าและกล่าววาจาโอหัง และด้วยเหตุนี้เจ้าจะกลายเป็นที่เกลียดชังโดยพระเจ้า  

เจ้าจะต้องไม่เผยแพร่พระวจนะทั้งหลายที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าอย่างประมาท มิฉะนั้นผู้อื่นก็จะเยาะเย้ยเจ้า และพวกมารจะทำให้เจ้าดูโง่  

เจ้าจะต้องนบนอบพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าแห่งวันนี้  แม้ว่าเจ้าไม่เข้าใจมัน เจ้าก็จะต้องไม่ตัดสินมัน ทั้งหมดที่เจ้าสามารถทำได้คือแสวงหาและสามัคคีธรรม  

ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ควรก้าวล่วงสถานะของพระเจ้าที่มีมาแต่เดิม  เจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากไปกว่ารับใช้พระเจ้าของวันนี้จากตำแหน่งของมนุษย์  เจ้าไม่สามารถสอนพระเจ้าของวันนี้จากตำแหน่งของมนุษย์ได้—การทำเช่นนั้นคือความผิดพลาด

ไม่อาจมีผู้ใดสามารถยืนในที่ของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันให้ ทั้งนี้ เจ้ายืนอยู่ในตำแหน่งของมนุษย์ในคำพูด การกระทำ และความคิดด้านในสุดของเจ้า  นี่คือสิ่งที่ต้องถือปฏิบัติตาม นี่คือความรับผิดชอบของมนุษย์ และไม่อาจมีผู้ใดปรับเปลี่ยนได้ ทั้งนี้ การพยายามทำแบบนั้นจะเป็นการล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหาร  ทุกคนควรจะจดจำการนี้ไว้

เวลายาวนานที่พระเจ้าได้ทรงใช้ไปในการตรัสและดำรัสได้เป็นเหตุให้มนุษย์พิจารณาว่าการอ่านและการท่องจำพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้าเป็นกิจหลักของเขา  ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับการปฏิบัติ และแม้กระทั่งสิ่งที่เจ้าควรจะถือปฏิบัติตาม เจ้าก็ไม่ทำ  การนี้ได้นำความลำบากยากเย็นและปัญหามากมายมาสู่การปรนนิบัติของพวกเจ้า  หากก่อนหน้าการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า เจ้าไม่ได้ยึดมั่นกับสิ่งที่เจ้าควรจะยึดมั่น เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือหนึ่งในพวกที่ถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์  ในการยึดมั่นกับการปฏิบัติเหล่านี้ เจ้าควรจะจริงจังและจริงใจ  เจ้าไม่ควรจะปฏิบัติการปฏิบัติเหล่านั้นเหมือนเป็นโซ่ตรวน แต่ควรยึดมั่นกับการปฏิบัติเหล่านั้นในฐานะที่เป็นพระบัญญัติ  วันนี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเจ้าเองเป็นกังวลกับเรื่องที่ว่าจะสัมฤทธิ์ผลอันใด กล่าวโดยสรุปคือ นี่คือวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ และผู้ใดก็ตามที่กระทำการล่วงเกินต้องถูกลงโทษ  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปราศจากความรู้สึกแห่งเนื้อหนัง และไม่ใส่พระทัยกับความเข้าใจปัจจุบันของเจ้า  หากเจ้าล่วงเกินพระเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะทรงลงโทษเจ้า  หากเจ้าล่วงเกินให้พระองค์ภายในขอบเขตอำนาจการพิพากษาของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว พระองค์จะไม่ทรงละเว้นเจ้า  พระองค์ไม่สนพระทัยว่าเจ้าจะจริงจังกับการยึดมั่นต่อพระวจนะของพระเยซูเพียงใด  หากเจ้าล่วงละเมิดพระบัญญัติทั้งหลายของพระเจ้าแห่งวันนี้ พระองค์จะทรงลงโทษเจ้า และทรงกล่าวโทษเจ้าให้ถึงแก่ความตาย  การที่เจ้าไม่ยึดมั่นกับพระบัญญัติเหล่านั้นอาจเป็นที่ยอมรับได้อย่างไรเล่า?  เจ้าต้องยึดมั่น แม้ว่านั่นจะหมายถึงการทนทุกข์กับความเจ็บปวดเล็กน้อยก็ตาม!  ไม่สำคัญว่าจะเป็นศาสนา ภาคส่วน ชาติ หรือคณะนิกายใด ในภายหน้านั้น พวกเขาทั้งหมดต้องยึดมั่นกับการปฏิบัติเหล่านี้  ไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น และไม่มีผู้ใดจะได้รับการละเว้น!  เพราะการปฏิบัติเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำในวันนี้ และไม่อาจมีผู้ใดล่วงละเมิดการปฏิบัติเหล่านั้นได้  ถึงแม้ว่าการปฏิบัติเหล่านั้นจะไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ทุกคนต้องทำการปฏิบัติเหล่านั้น และการปฏิบัติเหล่านั้นเป็นพระบัญญัติที่พระเยซู ผู้ซึ่งได้ทรงคืนพระชนม์และผู้ซึ่งได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ได้ทรงกำหนดไว้สำหรับมนุษย์  พระวจนะเรื่อง “เส้นทาง… (7)” กล่าวว่า คำนิยามของพระเยซูเกี่ยวกับการที่เจ้าจะเป็นคนชอบธรรมหรือคนบาปนั้นเป็นไปตามท่าทีของเจ้าต่อพระเจ้าในวันนี้มิใช่หรือ?  ไม่อาจมีผู้ใดมองข้ามจุดนี้ไปได้  ในยุคธรรมบัญญัตินั้น พวกฟาริสีรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้เชื่อในพระเจ้า แต่ด้วยการมาถึงของยุคพระคุณ พวกเขาไม่ได้รู้จักพระเยซู และได้ต่อต้านพระองค์  ดังนั้น จึงกลายเป็นว่าทั้งหมดที่พวกเขาเคยทำนั้นไม่ได้มีความหมายอันใดเลยและเปล่าประโยชน์ และพระเจ้าไม่ได้ทรงยอมรับความประพฤติทั้งหลายของพวกเขา  หากเจ้าสามารถมองทะลุการนี้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ทำบาปโดยง่ายดาย  บางทีผู้คนมากมายอาจได้นำตัวเองไปเปรียบวัดกับพระเจ้า  การต่อต้านพระเจ้ามีรสชาติอย่างไรหรือ?  มันขมหรือหวาน?  เจ้าควรจะเข้าใจการนี้สิ จงอย่าเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เลย  บางทีในหัวใจของพวกเขานั้น ผู้คนบางคนอาจยังคงไม่แน่ใจนัก  กระนั้น เราขอแนะนำให้เจ้าทดลองทำดู—ดูว่ามันมีรสชาติอย่างไร  การนี้จะกันไม่ให้ผู้คนจำนวนมากสงสัยเกี่ยวกับมันอยู่ตลอดเวลา  ผู้คนมากมายอ่านพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้าแต่ทว่าแอบต่อต้านพระองค์อยู่ในหัวใจของพวกเขา  หลังจากต่อต้านพระองค์อย่างนี้แล้ว เจ้าไม่รู้สึกเหมือนถูกมีดบิดคว้านอยู่ในหัวใจของเจ้าหรอกหรือ?  หากมันไม่ใช่ความไม่ลงรอยในครอบครัว ก็ต้องเป็นความไม่สะดวกสบายทางกาย หรือความทุกข์ร้อนเกี่ยวกับบรรดาบุตรและธิดา  ถึงแม้ว่าเนื้อหนังของเจ้าจะได้รับการละเว้นจากความตาย แต่พระหัตถ์ของพระเจ้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้า  เจ้าคิดว่ามันง่ายถึงเพียงนั้นหรือไร?  มันยิ่งจำเป็นมากขึ้นไปอีกที่จะต้องมุ่งเน้นในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหลายคนที่อยู่ใกล้พระเจ้า  เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าก็จะลืมมัน และเจ้าจะดิ่งลงสู่การทดลองโดยไม่ทันตระหนักถึงมัน และกลายเป็นไม่ใส่ใจกับทุกสิ่งทุกอย่างไป และนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำบาปของเจ้า  การนี้ดูเหมือนไม่เป็นสาระสำหรับเจ้ากระนั้นหรือ?  หากเจ้าสามารถทำการนี้ได้ดี เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็มีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม—ที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและได้รับการทรงนำของพระองค์จากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง  หากเจ้าไม่เอาใจใส่ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะมีความเดือดร้อน—เจ้าจะท้าทายต่อต้านพระเจ้า คำพูดและการกระทำทั้งหลายของเจ้าจะเหลวแหลก และไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะถูกพัดพาไปโดยพายุใหญ่และเกลียวคลื่นที่เปี่ยมอานุภาพ  เจ้าทุกคนควรระลึกไว้จนขึ้นใจเกี่ยวกับพระบัญญัติเหล่านี้  หากเจ้าล่วงละเมิดพระบัญญัติเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว ถึงแม้ว่ามนุษย์ผู้ที่พระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันให้อาจไม่กล่าวโทษเจ้า แต่พระวิญญาณของพระเจ้าก็จะมีกิจธุระที่ทรงค้างคาอยู่กับตัวเจ้า และพระองค์ก็จะไม่ทรงละเว้นเจ้า  เจ้าสามารถแบกรับผลสืบเนื่องจากการล่วงเกินของเจ้าได้หรือ?  ด้วยเหตุนี้เอง ไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใด เจ้าต้องนำพระวจนะทั้งหลายของพระองค์ไปปฏิบัติ และต้องยึดมั่นกับพระวจนะเหล่านั้นโดยทุกวิถีทางที่เจ้าสามารถทำได้  การนี้ไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายเลย!

ก่อนหน้า:  ว่าด้วยประสบการณ์

ถัดไป:  อาณาจักรพันปีได้มาถึงแล้ว

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger