การประสูติเป็นมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ครบบริบูรณ์

พระราชกิจแต่ละช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง  ย้อนกลับไป เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์เสด็จมาในรูปแบบของชาย และเมื่อพระเจ้าเสด็จมาครั้งนี้ รูปแบบของพระองค์ทรงเป็นหญิง  จากสิ่งนี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าทั้งที่เป็นชายและหญิงสามารถเป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์ได้ และกับพระองค์แล้วนั้น ไม่มีความแตกต่างกันในด้านเพศ  เมื่อพระวิญญาณของพระองค์เสด็จมา พระองค์สามารถใช้มนุษย์ใดๆ ก็ได้ตามที่พระองค์พอพระทัย และมนุษย์ผู้นั้นสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็สามารถแสดงถึงพระเจ้าได้ตราบเท่าที่มนุษย์ผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าประสูติมา  หากพระเยซูประสูติเป็นผู้หญิงเมื่อพระองค์เสด็จมา กล่าวคือ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิสนธิในครรภ์เป็นทารกหญิง และไม่ใช่เด็กชาย พระราชกิจในช่วงระยะนั้นจะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม  หากเป็นกรณีนั้น พระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันก็จะต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยชายแทน แต่พระราชกิจก็จะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม  พระราชกิจที่ทรงกระทำในแต่ละช่วงระยะมีนัยสำคัญของช่วงระยะนั้น ทั้งสองระยะจะไม่มีการกระทำซ้ำ และทั้งสองระยะไม่มีความขัดแย้งกัน  ณ ขณะนั้น ในการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พระเยซูทรงได้รับการเรียกขานว่าเป็นพระบุตรพระองค์เดียว และ “พระบุตร” แสดงนัยถึงเพศชาย  เหตุใดจึงไม่มีการกล่าวถึงพระบุตรพระองค์เดียวนั้นในระยะปัจจุบันนี้?  นั่นเป็นเพราะข้อพึงประสงค์ของพระราชกิจทำให้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพศจากเพศของพระเยซู  กับพระเจ้าแล้ว เพศไม่มีความแตกต่าง  พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ตามที่ทรงปรารถนา และในการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์นั้น พระองค์ไม่ทรงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดใด แต่ทรงเป็นอิสระอย่างยิ่ง  แต่พระราชกิจทุกช่วงระยะมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้ง และเป็นที่ชัดแจ้งอยู่ในตัวว่า การประสูติเป็นมนุษย์ของพระองค์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายนั้นคือครั้งสุดท้าย  พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อประกาศกิจการของพระองค์ทั้งหมด  หากในช่วงระยะนี้พระองค์ไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อปฏิบัติพระราชกิจด้วยพระองค์เองเพื่อให้มนุษย์ได้เป็นพยาน มนุษย์ก็คงจะยึดติดกับมโนคติที่หลงผิดที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ชายเท่านั้น ไม่ใช่ผู้หญิง  ก่อนนี้ มนุษย์ทั้งหมดเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นได้เพียงผู้ชายเท่านั้น และผู้หญิงไม่สามารถได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้าได้ เพราะมนุษย์ทั้งหมดเห็นว่าผู้ชายมีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิง  พวกเขาเชื่อว่าไม่มีผู้หญิงคนใดที่สามารถรับสิทธิอำนาจได้ มีเพียงผู้ชายเท่านั้น  ที่ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังถึงกับกล่าวว่าผู้ชายเป็นผู้นำของผู้หญิง และว่าผู้หญิงต้องเชื่อฟังผู้ชายและไม่สามารถเหนือกว่าผู้ชายได้  ในอดีต เมื่อมีการกล่าวว่าผู้ชายเป็นผู้นำของผู้หญิง คำกล่าวนี้ถูกชี้นำไปยังอาดัมและเอวา ผู้ซึ่งถูกงูล่อลวงไปแล้ว—หาใช่ชายและหญิงตามที่ได้รับการทรงสร้างโดยพระยาห์เวห์ในตอนแรกไม่  แน่นอนว่าผู้หญิงต้องเชื่อฟังและรักสามีของเธอ และสามีต้องเรียนรู้ที่จะหาเลี้ยงและสนับสนุนครอบครัวของเขา  สิ่งเหล่านี้คือธรรมบัญญัติและบทบัญญัติที่พระยาห์เวห์ทรงกำหนดขึ้นและที่มนุษย์ต้องปฏิบัติตามในชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลก  พระยาห์เวห์ตรัสต่อผู้หญิงว่า  “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า” พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพียงเพื่อให้มนุษย์ (นั่นคือ ทั้งชายและหญิง) อาจใช้ชีวิตปกติภายใต้อำนาจครอบครองของพระยาห์เวห์ได้ และเพื่อให้ชีวิตของมนุษย์สามารถมีโครงสร้างและไม่ออกนอกระเบียบอันดีงามเหมาะสมของพวกเขา  ดังนั้น พระยาห์เวห์ทรงสร้างกฎที่เหมาะสมว่าชายและหญิงควรปฏิบัติอย่างไร แม้ว่านี่จะเป็นเพียงในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดที่ใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก และไม่มีความเกี่ยวพันกับมนุษย์ที่พระเจ้าประสูติมาก็ตาม  พระเจ้าจะทรงเป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ได้อย่างไร?  พระวจนะของพระองค์ได้รับการชี้นำไปสู่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นเท่านั้น เพื่อให้มนุษย์ใช้ชีวิตปกติตามที่พระองค์ได้ทรงตั้งกฎต่างๆ ไว้สำหรับชายและหญิง  ในตอนเริ่มต้น เมื่อพระยาห์เวห์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาสองแบบ ทั้งชายและหญิง และดังนั้นจึงมีการแบ่งแยกระหว่างชายและหญิงในมนุษย์ที่พระองค์ประสูติมาเป็น  พระองค์ไม่ได้ทรงตัดสินเรื่องการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ตามพระวจนะที่พระองค์ตรัสต่ออาดัมและเอวา  สองครั้งที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น ทั้งสิ้นล้วนได้รับการกำหนดให้สอดคล้องกับพระดำริของพระองค์ ณ เวลาที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นเป็นครั้งแรก นั่นคือ พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจในการประสูติเป็นมนุษย์สองครั้งของพระองค์เสร็จสิ้นโดยมีพื้นฐานจากชายและหญิงก่อนที่พวกเขาจะเสื่อมทราม  หากมนุษย์นำพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัสต่ออาดัมและเอวา ผู้ที่ถูกงูล่อลวง และเอามาใช้กับพระราชกิจในการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ไม่ใช่ว่าพระเยซูจะต้องทรงรักพระชายาของพระองค์เหมือนกับที่พระองค์ควรที่จะทรงรักด้วยเช่นกันหรอกหรือ?  เช่นนี้แล้ว พระเจ้าจะยังทรงเป็นพระเจ้าอยู่หรือ?  และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พระองค์จะยังทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์จนเสร็จสมบูรณ์ได้หรือ?  หากการที่มนุษย์ซึ่งพระเจ้าประสูติมาเป็นหญิงนั้นเป็นสิ่งผิด เช่นนั้นแล้วการที่พระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงขึ้นมานั้นจะไม่เป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดเช่นกันหรอกหรือ?  หากผู้คนยังเชื่อว่าการที่พระเจ้าประสูติมาเป็นหญิงนั้นเป็นสิ่งผิด ถ้าเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าพระเยซู ผู้มิได้เสกสมรสและด้วยเหตุนั้นจึงไม่สามารถรักพระชายาของพระองค์ได้ จะเป็นความผิดพลาดพอๆ กับการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันหรือไม่?  เพราะเจ้านำพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัสต่อเอวามาใช้วัดความจริงของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าในยุคปัจจุบัน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องใช้พระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัสต่ออาดัมมาตัดสินองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคพระคุณด้วย  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกันหรอกหรือ?  เพราะเจ้าประเมินองค์พระเยซูเจ้าโดยดูจากชายที่ยังไม่ถูกงูล่อลวง เช่นนั้น เจ้าก็ย่อมไม่อาจตัดสินความจริงของการประสูติเป็นมนุษย์ในวันนี้โดยดูจากหญิงที่ถูกงูล่อลวงไปแล้วได้  นี่ย่อมไม่ยุติธรรม!  การประเมินพระเจ้าในลักษณะนี้พิสูจน์ว่าเจ้าขาดความมีเหตุผล  เมื่อพระยาห์เวห์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้ง เพศของมนุษย์ของพระองค์เกี่ยวข้องกับชายและหญิงที่ยังไม่ถูกงูล่อลวง พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้งโดยเป็นไปตามชายและหญิงที่ยังไม่ถูกงูล่อลวง  อย่าคิดว่าความเป็นชายของพระเยซูเป็นเหมือนกับความเป็นชายของอาดัมที่ถูกงูล่อลวง  ทั้งสองสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง พระองค์และอาดัมเป็นชายที่มีธรรมชาติแตกต่างกัน  คงไม่ใช่อย่างแน่นอนที่ความเป็นชายของพระเยซูเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นำของผู้หญิงทั้งหมด แต่ไม่ใช่ของผู้ชายทั้งหมดกระนั้นหรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นกษัตริย์ของพวกยิวทั้งหมด (รวมถึงทั้งชายและหญิง) หรอกหรือ?  พระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง ไม่ได้ทรงเป็นเพียงผู้นำของผู้หญิง แต่ทรงเป็นหัวหน้าของผู้ชายด้วย  พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง และเป็นประมุขของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลาย  เจ้าสามารถกำหนดว่าความเป็นชายของพระเยซูคือสัญลักษณ์ของการเป็นผู้นำของผู้หญิงได้อย่างไร?  นี่ไม่ใช่การหมิ่นประมาทหรอกหรือ?  พระเยซูทรงเป็นชายคนหนึ่งซึ่งยังไม่ถูกทำให้เสื่อมทราม  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  พระองค์จะทรงเป็นชายอย่างอาดัมซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามได้อย่างไร?  พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่พระวิญญาณอันพิสุทธิ์ที่สุดของพระเจ้าประสูติมา  เจ้าจะสามารถกล่าวได้อย่างไรว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มีคุณสมบัติความเป็นชายในแบบของอาดัม?  ในกรณีนั้น ไม่ใช่ว่าพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าเป็นสิ่งผิดไปแล้วหรอกหรือ?  พระยาห์เวห์จะได้ทรงรวมความเป็นชายของอาดัมผู้ถูกงูล่อลวงไว้ภายในพระเยซูแล้วกระนั้นหรือ?  ไม่ใช่ว่าการประสูติเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบันเป็นอีกตัวอย่างของพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ ผู้มีเพศแตกต่างจากพระเยซูแต่มีลักษณะตามธรรมชาติเหมือนพระองค์หรอกหรือ?  เจ้ายังคงกล้ากล่าวว่าพระเจ้าที่ประสูติเป็นมนุษย์ไม่สามารถเป็นหญิงได้ เพราะผู้หญิงคือคนแรกที่ถูกงูล่อลวงกระนั้นหรือ?  เจ้ายังคงกล้ากล่าวว่า เพราะผู้หญิงเป็นมลทินที่สุด และเป็นแหล่งกำเนิดของความเสื่อมทรามของมนุษย์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิงหรือ?  เจ้ากล้ายืนกรานหรือไม่ที่จะกล่าวว่า “ผู้หญิงจะต้องเชื่อฟังผู้ชายเสมอไป และอาจไม่มีวันที่จะสำแดงหรือเป็นตัวแทนโดยตรงของพระเจ้าได้”?  เจ้าไม่เข้าใจในอดีต แต่ตอนนี้เจ้าสามารถหมิ่นประมาทพระราชกิจของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ที่พระเจ้าประสูติมาเป็นต่อไปได้อย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งนี้อย่างชัดเจน เจ้าควรระวังคำพูดของเจ้าจะดีที่สุด เพื่อไม่ให้ความโง่เขลาและความไม่รู้เท่าทันของเจ้าถูกเปิดเผย และเพื่อไม่ให้ความอัปลักษณ์ของเจ้าถูกตีแผ่ออกมา  จงอย่าคิดว่าเจ้าเข้าใจทุกสิ่ง  เราบอกเจ้าว่าทั้งหมดที่เจ้าเคยเห็นและเคยได้รับประสบการณ์มาแล้วนั้นไม่พอเพียงที่จะทำให้เจ้าเข้าใจแม้เพียงหนึ่งในพันของแผนการบริหารจัดการของเรา  ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงทำตัวหยิ่งผยองนัก?  พรสวรรค์อันเล็กน้อยและความรู้อันน้อยนิดที่เจ้ามีนั้นไม่พอเพียงที่จะให้พระเยซูทรงใช้แม้เพียงหนึ่งวินาทีในพระราชกิจของพระองค์!  จริงๆ แล้วเจ้ามีประสบการณ์มากเท่าใดกัน?  สิ่งที่เจ้าเคยเห็นและทั้งหมดที่เจ้าเคยได้ยินมาในช่วงชีวิตของเจ้า และสิ่งที่เจ้าเคยจินตนาการถึงนั้นน้อยกว่างานที่เราทำในชั่วขณะเดียวเสียอีก!  เจ้าอย่าจับผิดและมองหาความผิดพลาดจะดีที่สุด  เจ้าสามารถโอหังได้เท่าที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งเทียบไม่ได้แม้มดตัวหนึ่ง!  ทั้งหมดที่เจ้ามีในพุงเจ้านั้นน้อยกว่าสิ่งที่อยู่ในพุงของมดตัวหนึ่ง!  จงอย่าคิดว่านี่ทำให้เจ้ามีสิทธิทำท่าทางอย่างลำพองและคุยโตได้เพียงเพราะเจ้าเคยได้รับประสบการณ์และวัยวุฒิมาบ้างแล้ว  ประสบการณ์และวัยวุฒิของเจ้าไม่ใช่ผลิตผลของคำพูดที่เราได้เอ่ยออกไปหรอกหรือ?  เจ้าเชื่อหรือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนจากแรงงานและการตรากตรำงานหนักของเจ้าเองไหม?  วันนี้ เจ้ามองเห็นว่าเราได้บังเกิดเป็นมนุษย์ และด้วยเหตุนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงมีความคิดรวบยอดต่างๆ มากจนเกินไปในตัวเจ้าและมีมโนคติอันหลงผิดมาจากตรงนั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  หากไม่ใช่เพราะการประสูติเป็นมนุษย์ของเรา  ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์พิเศษก็ตาม เจ้าก็จะไม่มีมโนทัศน์มากมายขนาดนี้ และไม่ใช่เพราะมโนทัศน์เหล่านี้หรอกหรือ มโนคติอันหลงผิดของเจ้าจึงเกิดขึ้น?  หากพระเยซูไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในครั้งแรก เจ้าจะรู้แม้แต่เรื่องของการประสูติเป็นมนุษย์หรือ?  ไม่ใช่เป็นเพราะการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกได้ให้ความรู้แก่เจ้ามาแล้วหรือ เจ้าจึงมีความอวดดีที่พยายามจะตัดสินการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนี้?  เหตุใดเจ้าจึงนำหัวข้อนี้มาศึกษา แทนการเป็นผู้ติดตามที่นบนอบ?  เมื่อเจ้าได้เข้าสู่กระแสนี้และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงยอมให้เจ้าค้นคว้าพระองค์หรอกหรือ?  เจ้าสามารถค้นคว้าประวัติครอบครัวของเจ้าเองได้ แต่หากเจ้าพยายามค้นคว้า “ประวัติครอบครัว” ของพระเจ้า พระเจ้าในวันนี้จะทรงยอมให้เจ้าทำการศึกษาเช่นนั้นหรือ?  พวกเจ้าไม่ได้ตาบอดหรอกหรือ?  เจ้าไม่ได้นำการเหยียดหยามมาสู่ตัวเจ้าเองหรอกหรือ?

หากมีเพียงแค่พระราชกิจของพระเยซูเท่านั้นที่แล้วเสร็จไป และพระราชกิจของพระเยซูไม่ได้รับการเสริมด้วยพระราชกิจในช่วงระยะนี้ของยุคสุดท้าย มนุษย์จะยึดติดไปตลอดกาลกับมโนคติอันหลงผิดที่ว่า พระเยซูองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า นั่นคือ พระเจ้าทรงมีบุตรเพียงองค์เดียว และผู้ใดก็ตามที่มาหลังจากนั้นในชื่ออื่นจะไม่ใช่พระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้า และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  มนุษย์มีมโนคติที่หลงผิดว่าบุคคลใดก็ตามที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป หรือผู้ที่ครองฤทธานุภาพในนามของพระเจ้าและไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดคือพระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้า  มีบางคนที่เชื่อว่าตราบที่องค์หนึ่งเดียวผู้ที่มานั้นเป็นชาย ก็อาจถือได้ว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้าและเป็นตัวแทนของพระเจ้า  มีกระทั่งบางคนที่กล่าวว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระยาห์เวห์ เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  มโนคติอันหลงผิดต่างๆ เช่นนั้นไม่เกินจริงมากไปหรอกหรือ?  หากพระราชกิจของช่วงระยะนี้ไม่เสร็จสิ้นในยุคสุดท้าย เช่นนั้นแล้วมนุษย์ทั้งหมดจะถูกบดบังจากพระเจ้าภายใต้เงื้อมเงาที่มืดมิด  หากเป็นเช่นนี้ ผู้ชายจะคิดว่าตนเองสูงกว่าผู้หญิง และพวกผู้หญิงไม่มีวันที่จะสามารถเงยหน้าของตนขึ้นมาได้เลย และจะไม่มีผู้หญิงแม้เพียงสักคนที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  ผู้คนเชื่อเสมอว่าพระเจ้าทรงเป็นชาย และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงชิงชังผู้หญิงเสมอมา และจะไม่ประทานความรอดให้แก่ผู้หญิง  หากเป็นกรณีเช่นนี้ จะไม่เป็นเรื่องจริงหรือที่ผู้หญิงทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ทรงสร้างขึ้นและที่ได้ถูกทำให้เสื่อมทรามไปแล้วเช่นกันนั้นจะไม่มีวันมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอด?  ถ้าเช่นนั้น การที่พระยาห์เวห์ทรงสร้างผู้หญิง ซึ่งก็คือ การที่ทรงสร้างเอวาขึ้นมานั้น จะไม่ไร้ความหมายหรือ?  แล้วผู้หญิงจะไม่พินาศไปชั่วนิรันดร์หรือ?  ด้วยเหตุผลนี้ จึงมีการดำเนินพระราชกิจของช่วงระยะนี้ในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมวลมนุษย์ทั้งสิ้นทั้งมวลให้รอด ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น  หากบุคคลใดก็ตามคิดว่าพระเจ้าประสูติเป็นเพศหญิงเพียงเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงเท่านั้น เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นก็จะเป็นคนโง่เขลาอย่างแท้จริง!

พระราชกิจของวันนี้ได้ผลักให้พระราชกิจของยุคพระคุณเดินหน้าต่อ กล่าวคือ พระราชกิจภายใต้แผนการบริหารจัดการทั้งหกพันปีได้เดินหน้าแล้ว  แม้ว่ายุคพระคุณได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่พระราชกิจของพระเจ้าก็ยังมีความก้าวหน้า  เหตุใดกันเล่า เราจึงกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพระราชกิจระยะนี้ต่อยอดมาจากยุคพระคุณและยุคธรรมบัญญัติ?  ก็เพราะพระราชกิจของวันนี้เป็นการสานต่อจากพระราชกิจที่แล้วเสร็จไปในยุคพระคุณ และเป็นความก้าวหน้าต่อจากพระราชกิจที่แล้วเสร็จไปในยุคธรรมบัญญัติ  พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้เชื่อมโยงกันและกันอย่างแน่นแฟ้น โดยที่ข้อต่อแต่ละข้อในสายโซ่เชื่อมต่อกับข้อถัดไปอย่างสนิทแนบแน่น  แล้วเหตุใดเราจึงกล่าวเช่นกันว่าพระราชกิจของช่วงระยะนี้จึงต่อยอดจากสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำจนแล้วเสร็จไป?  สมมุติว่าพระราชกิจช่วงระยะนี้ไม่ได้ต่อยอดจากพระราชกิจที่พระเยซูทรงได้กระทำจนแล้วเสร็จไป จะต้องมีการตรึงกางเขนเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงระยะนี้ และจะต้องมีการดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่ของช่วงระยะก่อนหน้าใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง  สิ่งนี้จะไร้ความหมาย  และดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าพระราชกิจได้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ยุคได้เดินหน้าต่อ และระดับของพระราชกิจได้ยกสูงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้  สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจในช่วงระยะนี้สร้างขึ้นโดยใช้ยุคธรรมบัญญัติเป็นรากฐาน และต่อยอดจากพระศิลาของพระราชกิจของพระเยซู  พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการสร้างขึ้นเป็นช่วงระยะ และช่วงระยะนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นใหม่  เพียงการผสานรวมกันของพระราชกิจสามระยะเท่านั้นที่อาจถือเป็นแผนการบริหารจัดการหกพันปี  พระราชกิจในระยะนี้แล้วเสร็จโดยมียุคพระคุณเป็นรากฐาน  หากพระราชกิจสองระยะนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน แล้วเหตุใดการตรึงกางเขนจึงไม่ถูกกระทำซ้ำในระยะนี้?  เหตุใดเราจึงไม่ต้องแบกรับบาปของมนุษย์ แต่มาพิพากษาและตีสอนมนุษย์โดยตรงแทน?  หากงานของเราในการพิพากษาและตีสอนมนุษย์ไม่ได้เกิดตามหลังการตรึงกางเขน ด้วยการมาของเราในตอนนี้ที่ไม่ได้ก่อกำเนิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเราก็คงไม่มีคุณสมบัติที่จะพิพากษาและตีสอนมนุษย์เลย  เรามาตีสอนและพิพากษามนุษย์โดยตรงได้ก็เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูนั่นเอง  พระราชกิจในช่วงระยะนี้ทั้งหมดต่อยอดมาจากพระราชกิจในช่วงระยะก่อนหน้า  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีเพียงพระราชกิจในลักษณะนี้เท่านั้นที่สามารถนำพามนุษย์มาสู่ความรอดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้  พระเยซูและเรามาจากวิญญาณหนึ่งเดียว  แม้เราไม่มีความเกี่ยวข้องกันในเนื้อหนังมนุษย์ของเรา แต่วิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียว แม้เนื้อหาของสิ่งที่เราทำและงานที่เราดำเนินจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่เราก็มีแก่นแท้ที่เหมือนกัน เนื้อหนังมนุษย์ของเรามีรูปร่างแตกต่างกัน แต่นี่เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและข้อพึงประสงค์ที่ต่างกันออกไปในงานของเรา พันธกิจของเราไม่เหมือนกัน ดังนั้นงานที่เราทำให้เกิดขึ้นและอุปนิสัยที่เราเปิดเผยต่อมนุษย์จึงแตกต่างกันด้วยเช่นกัน  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งที่มนุษย์มองเห็นและเข้าใจในวันนี้จึงไม่เหมือนกับในอดีต นั่นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย  ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์ทรงแตกต่างกันในเพศและรูปสัณฐานของเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสอง และที่พระองค์ทั้งสองจะไม่ได้ทรงกำเนิดในครอบครัวเดียวกัน และยิ่งไม่ได้ทรงกำเนิดในช่วงเวลาเดียวกัน แต่กระนั้น พระวิญญาณของพระองค์ทั้งสองก็เป็นหนึ่งเดียว  แม้เนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองไม่ได้ร่วมสายโลหิตกันและไม่มีความเป็นญาติมิตรในลักษณะใดต่อกันทางกายภาพ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระองค์ทั้งสองทรงเป็นเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ในสองช่วงเวลาที่ต่างกัน  เป็นความจริงที่มิอาจหักล้างได้ว่าพระองค์ทั้งสองเป็นเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์  อย่างไรก็ตาม พระองค์ทั้งสองไม่ได้ทรงเป็นสายเลือดเดียวกันและไม่ได้ทรงร่วมใช้ภาษามนุษย์เดียวกัน (พระองค์หนึ่งเป็นชายซึ่งตรัสภาษาของพวกยิว และอีกพระองค์เป็นหญิงซึ่งตรัสภาษาจีนเท่านั้น)  ด้วยเหตุผลเหล่านี้ พระองค์ทั้งสองจึงทรงใช้ชีวิตคนละประเทศ เพื่อปฏิบัติพระราชกิจตามที่มีความเหมาะสมกับแต่ละพระองค์ และในช่วงเวลาที่แตกต่างด้วยเช่นกัน  แม้พระองค์ทั้งสองทรงเป็นพระวิญญาณเดียวกันที่มีแก่นแท้เดียวกัน แต่เปลือกนอกของเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองก็ไม่มีความคล้ายกันโดยสิ้นเชิง  ทั้งหมดที่พระองค์ทั้งสองทรงมีเหมือนกันคือสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของเนื้อหนังมนุษย์และรูปการณ์แวดล้อมในการประสูติของพระองค์ทั้งสองแล้ว พระองค์ทั้งสองไม่เหมือนกัน  สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อพระราชกิจเฉพาะของทั้งสองพระองค์ หรือความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระองค์ทั้งสอง เพราะในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายแล้ว พระองค์ทั้งสองทรงเป็นพระวิญญาณเดียวกันและไม่มีใครสามารถแยกพระองค์ทั้งสองออกจากกันได้  ถึงแม้ว่าพระองค์ทั้งสองไม่ทรงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่การดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ทั้งสองอยู่ภายใต้การควบคุมโดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งทรงจัดสรรพระราชกิจที่แตกต่างกันในช่วงเวลาที่แตกต่างกันให้แก่พระองค์ทั้งสอง และเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองก็มีสายเลือดที่ต่างกัน  พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไม่ใช่พระบิดาของพระวิญญาณของพระเยซู และพระวิญญาณของพระเยซูไม่ใช่พระบุตรของพระวิญญาณของพระยาห์เวห์  พระวิญญาณเหล่านี้เป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวกัน  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ในวันนี้กับพระเยซูนั้นมิได้ทรงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน แต่พระองค์ทั้งสองทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่เป็นเพราะพระวิญญาณของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเจ้าสามารถทรงพระราชกิจแห่งความกรุณาและความรักมั่นคง พระราชกิจแห่งการพิพากษาอันชอบธรรมและการตีสอนมนุษย์ รวมทั้งพระราชกิจแห่งการสาปแช่งมนุษย์ และในท้ายที่สุด พระองค์จึงสามารถทรงพระราชกิจแห่งการทำลายล้างโลกและการลงโทษคนชั่วได้  พระองค์ไม่ได้ทรงทำทั้งหมดนี้ด้วยพระองค์เองหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้าหรอกหรือ?  พระองค์สามารถทั้งประกาศธรรมบัญญัติให้แก่มนุษย์และออกพระบัญญัติให้แก่เขา และพระองค์ยังสามารถนำทางคนอิสราเอลในยุคแรกในการใช้ชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลกและทรงนำพวกเขาในการสร้างวิหารและแท่นบูชา และเก็บคนอิสราเอลทั้งหมดไว้ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์  เพราะสิทธิอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกร่วมกับประชาชนอิสราเอลเป็นเวลาสองพันปี  คนอิสราเอลไม่กล้ากบฏต่อพระองค์ ทุกคนยำเกรงพระยาห์เวห์ และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์  สิ่งนั้นคือพระราชกิจที่ทรงกระทำโดยอาศัยสิทธิอำนาจของพระองค์และฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์  จากนั้น ในช่วงระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูเสด็จมาเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดที่ตกในบาป (ไม่ใช่แค่คนอิสราเอลเท่านั้น)  พระองค์ทรงแสดงความกรุณาและความรักมั่นคงต่อมนุษย์  พระเยซูที่มนุษย์เห็นในยุคพระคุณนั้นทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและมีความรักให้แก่มนุษย์อยู่เสมอ เพราะพระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป  พระองค์สามารถยกโทษมนุษย์จากบาปของพวกเขาจนกระทั่งการตรึงกางเขนของพระองค์ได้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์  ในระหว่างช่วงเวลานี้ พระเจ้าทรงปรากฏต่อหน้ามนุษย์พร้อมกับความกรุณาและความรักมั่นคง กล่าวคือ พระองค์ทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้กับมนุษย์ และทรงถูกตรึงกางเขนเพราะบาปของมนุษย์ เพื่อที่พวกเขาอาจได้รับการยกโทษไปตลอดกาล  พระองค์ทรงเปี่ยมความกรุณา ความสงสารเห็นใจ ความอดทน และความรัก  และในทำนองเดียวกัน ทุกคนที่ติดตามพระเยซูในยุคพระคุณก็พยายามที่จะอดทนและรักในทุกสรรพสิ่ง  พวกเขาทนทุกข์ทรมานยาวนาน และไม่เคยตอบโต้แม้เมื่อถูกทุบตี ถูกสาปแช่ง หรือถูกขว้างปาด้วยหิน  แต่ในระหว่างช่วงระยะสุดท้ายนั้นก็ไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้อีกต่อไป  พระราชกิจของพระเยซูและพระยาห์เวห์ไม่เหมือนกันไปเสียทั้งหมด แม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวก็ตาม  พระราชกิจของพระยาห์เวห์ไม่ได้นำยุคมาถึงจุดจบ หากแต่ทรงนำยุค นำมาซึ่งชีวิตของมนุษย์บนแผ่นดินโลก และพระราชกิจในวันนี้คือการพิชิตบรรดาผู้ที่อยู่ในประชาชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และไม่ใช่เพื่อที่จะทรงนำทางแค่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในประเทศจีนเท่านั้น แต่ในทั่วทั้งจักรวาลและมวลมนุษย์ทั้งปวงด้วย  สำหรับเจ้าอาจดูเหมือนว่าพระราชกิจนี้กำลังได้รับการปฏิบัติอยู่แค่ในประเทศจีนเท่านั้น แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระราชกิจนี้ได้เริ่มแพร่กระจายไปยังต่างประเทศแล้ว  เพราะเหตุใดผู้คนนอกประเทศจีนจึงแสวงหาหนทางที่แท้จริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า?  นั่นเป็นเพราะพระวิญญาณทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกิจแล้ว และพระวจนะที่ตรัสในปัจจุบันได้รับการชี้นำไปยังผู้คนทั่วทั้งจักรวาล  ด้วยสิ่งนี้ พระราชกิจครึ่งหนึ่งได้อยู่ระหว่างการดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  นับจากการทรงสร้างโลกมาจนถึงปัจจุบัน พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงทำให้พระราชกิจอันยิ่งใหญ่นี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจที่แตกต่างกันในยุคซึ่งแตกต่างกัน และท่ามกลางชนชาติที่แตกต่างกัน  ผู้คนในแต่ละยุคมองเห็นอุปนิสัยหนึ่งของพระองค์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นธรรมชาติผ่านพระราชกิจอันแตกต่างที่พระองค์ทรงปฏิบัติ  พระองค์คือพระเจ้า ทรงเปี่ยมด้วยความกรุณาและความรักมั่นคง พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์และเป็นผู้เลี้ยงของมนุษย์ แต่ก็ยังทรงเป็นการพิพากษา การตีสอน และการสาปแช่งมนุษย์ด้วยเช่นกัน  พระองค์สามารถนำทางมนุษย์ให้ใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกเป็นเวลาถึงสองพันปี และพระองค์ยังสามารถไถ่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจากบาปด้วยเช่นกัน  ในวันนี้ พระองค์ยังสามารถพิชิตมวลมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระองค์ และปราบพวกเขาให้หมอบราบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาทั้งหมดนบนอบพระองค์อย่างสุดใจ  ในท้ายที่สุด พระองค์จะทรงเผาผลาญทุกสิ่งที่เป็นมลทินและไม่ชอบธรรมภายในผู้คนทั่วทั้งจักรวาลทิ้งไป เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้มีความรักและเปี่ยมความกรุณาเท่านั้น ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้ทรงมีพระปัญญาและการอัศจรรย์เท่านั้น ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ที่ยิ่งกว่านั้น ยังทรงเป็นพระเจ้าผู้พิพากษามนุษย์ด้วย  พระองค์ทรงเป็นการเผาผลาญ การพิพากษา และการลงโทษสำหรับพวกคนชั่วในท่ามกลางมวลมนุษย์  ส่วนบรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม พระองค์ทรงเป็นความทุกข์ลำบาก การถลุง และการทดสอบ รวมทั้งเป็นความชูใจ การค้ำจุน การจัดเตรียมพระวจนะ และการตัดแต่ง  และสำหรับผู้ที่จะถูกกำจัดออกไป  พระองค์คือบทลงโทษและการลงทัณฑ์  จงบอกเราทีว่าพระเจ้าไม่ทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์หรอกหรือ?  พระองค์สามารถปฏิบัติพระราชกิจใดๆ ทั้งมวล ไม่เพียงแค่การตรึงกางเขนอย่างที่เจ้าจินตนาการเท่านั้น  เจ้าคิดถึงพระเจ้าน้อยเกินไป!  เจ้าเชื่อว่าทั้งหมดที่พระองค์สามารถทำได้คือการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงผ่านการตรึงกางเขนของพระองค์ แล้วก็จบแค่นั้นอย่างนั้นหรือ?  แล้วหลังจากนั้นเจ้าก็จะติดตามพระองค์ขึ้นไปจนถึงสวรรค์เพื่อกินผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิต และดื่มน้ำจากแม่น้ำแห่งชีวิตหรือ?… มันจะง่ายอย่างนั้นเลยหรือ?  จงบอกเราที ว่าเจ้าเคยสำเร็จลุล่วงในสิ่งใดบ้าง?  เจ้ามีชีวิตของพระเยซูหรือไม่?  เจ้าได้รับการไถ่โดยพระองค์จริง แต่การตรึงกางเขนเป็นพระราชกิจของพระเยซูพระองค์เอง  เจ้าเคยได้ทำหน้าที่ใดจนลุล่วงบ้างในฐานะมนุษย์บ้าง?  เจ้ามีเพียงความเคร่งศรัทธาแต่ภายนอก แต่เจ้าไม่เข้าใจหนทางของพระองค์  นี่คือวิธีการที่เจ้าสำแดงถึงพระองค์หรือ?  หากเจ้าไม่ได้บรรลุชีวิตของพระเจ้า หรือได้มองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นผู้ที่มีชีวิต และเจ้าไม่ควรค่าที่จะผ่านประตูของอาณาจักรสวรรค์

พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นเพียงพระวิญญาณเท่านั้น พระองค์ยังสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังทรงเป็นพระกายที่เปี่ยมด้วยพระสิริ แม้ว่าพวกเจ้าไม่เคยพบเห็นพระองค์ แต่คนอิสราเอล—พวกยิวในขณะนั้น เป็นพยานของพระเยซู  ในตอนแรก พระองค์ทรงเป็นพระกายทางเนื้อหนัง แต่หลังจากที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงกลายเป็นพระกายที่เต็มไปด้วยพระสิริ  พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด และสามารถปฏิบัติพระราชกิจได้ในทุกแห่งหน  พระองค์สามารถเป็นพระยาห์เวห์ หรือพระเยซู หรือพระเมสสิยาห์ก็ได้ ในท้ายที่สุด พระองค์สามารถกลายเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เช่นกัน  พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรม การพิพากษา และการตีสอน พระองค์ทรงเป็นคำสาปแช่งและพระพิโรธ แต่พระองค์ก็ทรงเป็นความปรานีและความรักมั่นคงด้วยเช่นกัน  พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงปฏิบัติสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้  เจ้าจะพูดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในลักษณะใดหรือ?  เจ้าไม่สามารถอธิบายได้หรอก  หากเจ้าไม่สามารถอธิบายได้ เจ้าก็ไม่ควรมาได้บทสรุปเกี่ยวกับพระเจ้า จงอย่าสรุปว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้มีความปรานีและความรักมั่นคงตลอดกาลเพียงเพราะพระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการไถ่ในช่วงระยะเดียว  เจ้าสามารถมั่นใจได้หรือว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมความปรานีและความรักเท่านั้น?  หากพระองค์ทรงเป็นเพียงพระเจ้าผู้เปี่ยมความปรานีและความรัก เหตุใดพระองค์จะทรงนำพายุคให้มาถึงจุดจบในยุคสุดท้ายเล่า?  เหตุใดพระองค์จะทรงส่งความวิบัติมากมายลงมาเล่า?  ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดของผู้คน พระเจ้าทรงควรที่จะเปี่ยมความปรานีและความรักจวบจนวาระสุดท้ายเพื่อที่สมาชิกมนุษย์ทุกคนจนถึงคนสุดท้ายจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  แต่เหตุใด ในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงส่งมหาวิบัติ อย่าง แผ่นดินไหว โรคระบาด และความอดอยาก ลงมาทำลายมวลมนุษย์ที่ชั่วช้าพวกนี้ ซึ่งพระเจ้าทรงถือว่าเป็นศัตรูเล่า?  เหตุใดพระองค์ทรงยอมให้มนุษย์ทุกข์กับความวิบัติเหล่านี้?  ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้ากล้าพูดและไม่มีใครสามารถอธิบายได้เลยหรือว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในลักษณะใด  เจ้าสามารถมั่นใจได้หรือว่าพระองค์คือพระวิญญาณ?  เจ้ากล้าพูดหรือว่าพระองค์มิใช่อื่นใดนอกเสียจากเนื้อหนังมนุษย์ของพระเยซู?  และเจ้ากล้าพูดหรือว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์หนึ่งซึ่งจะถูกตรึงกางเขนเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ตลอดกาล?

ก่อนหน้า:  ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)

ถัดไป:  ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger