ประการที่สิบ: พวกเขาดูหมิ่นความจริง ทำผิดหลักธรรมอย่างหน้าไม่อาย และเพิกเฉยต่อการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)
ก่อนเริ่มต้นการชุมนุมในวันนี้ พวกเราจะฟังบทสนทนาหนึ่งกันก่อน คนสองคนกำลังพูดคุยกัน คนแรกกล่าวว่า “หากผมถูกตัดแต่ง พี่น้องชายหญิงจะไม่อยากทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป” คนที่สองกล่าวว่า “พวกเขาจะไม่อยากทำหน้าที่ของตนเองอย่างนั้นหรือ? เรื่องใหญ่เลยนะ หากฉันถูกเปลี่ยนตัว พี่น้องชายหญิงก็จะเกิดความคิดลบและอ่อนแอ” เมื่อเห็นว่าตนด้อยกว่า ชายคนแรกจึงกล่าวว่า “หากผมเลิกเชื่อ พี่น้องชายหญิงที่อยู่กับผมทุกคนจะเลิกเชื่อตามผม” เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนที่สองจึงกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นคุณก็มีอิทธิพลมากกว่าฉัน ถึงอย่างนั้น หากฉันถูกเอาตัวออกไป หลายคนในคริสตจักรของพวกเราก็จะเลิกเชื่อ คุณคิดว่าอย่างไร? ฉันมีอิทธิพลมากกว่าคุณใช่ไหม?” เจ้าเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันในบทสนทนานี้หรือไม่? พวกเขาทั้งสองคนกำลังแข่งขันกันเรื่องใด? (พวกเขากำลังแข่งกันว่าใครสามารถเอาชนะใจผู้คนได้มากกว่ากัน ใครมีความสามารถในการก่อตั้งอาณาจักรอิสระมากกว่ากัน พวกเขากำลังดูว่าใครค่อนข้างเจ้าเล่ห์กว่ากัน) พวกเขากำลังแข่งขันกันว่าใครที่เจ้าเล่ห์กว่ากัน ใครเก่งกว่า ใครมีความสามารถมากกว่า และใครที่เอาชนะใจผู้คนได้มากกว่ากัน พวกเขากำลังแข่งกันว่าใครมีความเป็นจริงความจริงมากกว่ากันใช่หรือไม่? แข่งกันว่าใครมีความเป็นมนุษย์มากกว่ากันใช่หรือไม่? แข่งกันว่าใครเข้าใจความจริงมากกว่ากันใช่หรือไม่? (ไม่ใช่ พวกเขากำลังแข่งกันว่าใครจะมีคนรีบเข้ามาปกป้องมากกว่ากันหากพวกเขาถูกเปลี่ยนตัว หรือถูกเอาตัวออกไป) พวกเขากำลังแข่งขันกันในเรื่องความสามารถประเภทใด? พวกเขากำลังแข่งขันกันว่าใครมีความสามารถในการควบคุม ล่อลวง และชักพาผู้คนให้หลงผิดมากกว่ากัน ลองเดาดูเถิดว่า สองคนนี้เป็นคนประเภทใด? (พวกเขาทั้งสองคนคือศัตรูของพระคริสต์) พวกเขาคืออะไร? พวกเขาทั้งคู่เป็นคนชั่ว เป็นพวกเผด็จการมิใช่หรือ? (ใช่) เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือคนชั่วสองคน—พวกเขาแข่งขันกันอย่างหน้าไม่อายว่าใครมีความสามารถในการทำชั่วมากกว่ากัน ใครสามารถควบคุมและชักพาผู้คนให้หลงผิดได้มากกว่ากัน ใครสามารถเอาชนะใจผู้คนได้มากกว่ากัน ใครสามารถแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรได้ดีกว่ากัน พวกเขาคนใดที่สามารถควบคุมผู้คนได้มากกว่าย่อมเป็นผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมกว่า นั่นคือสิ่งที่พวกเขากำลังแข่งขันกันอยู่ จงบอกเราทีว่า มีศัตรูของพระคริสต์ที่แข่งขันกันเช่นนั้นหรือไม่? (มี) พวกเขาแข่งขันกันอย่างเปิดเผยหรือชิงดีชิงเด่นกันอย่างลับๆ? (อย่างลับๆ) แล้วเนื้อหาของบทสนทนาระหว่างคนสองคนในเรื่องราวนี้มีอยู่จริงหรือไม่? นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่? (เนื้อหาดังกล่าวมีอยู่จริง และนี่เป็นเรื่องจริง) เนื่องจากพวกเขาแข่งขันกันอย่างลับๆ พวกเขาจะกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมาอย่างหน้าไม่อายหรือไม่? ศัตรูของพระคริสต์ส่วนใหญ่เจ้าเล่ห์และชั่วร้าย พวกเขาจะไม่กล่าวเช่นนั้นออกมาอย่างเปิดเผยหรือพูดออกมาตรงๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนใช้เป็นข้อมูลเล่นงานพวกเขา แต่นี่คือสิ่งที่พวกเขาแอบคิดอยู่ลับๆ และนี่คือสิ่งที่พวกเขาทำอยู่จริงๆ ไม่ว่าพวกเขาพยายามปิดบังและซ่อนเร้นสิ่งทั้งหลาย รวมถึงพยายามอำพรางตนเองอย่างไร ธรรมชาติเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์และธรรมชาติอันมุ่งร้ายของพวกเขาก็ไม่อาจถูกปกปิดเอาไว้ได้ ทั้งหมดนี้ย่อมถูกเผยออกมาอย่างแน่นอน พวกเขาอาจจะไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่มีสิ่งใดที่ชัดเจนให้ผู้อื่นได้ยิน แต่พวกเขาก็กระทำการโดยไม่มีการปิดบังหรือความคลุมเครือ ไม่มีการซ่อนเร้นหรือเป็นความลับแม้แต่น้อย พวกเขาไม่แอบทำลับหลังผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ยอมอ่อนข้อด้วยเช่นกัน พฤติกรรมและการกระทำของพวกเขาในการล่อลวง ชักพาผู้คนให้หลงผิด ควบคุมผู้คน และก่อตั้งอาณาจักรอิสระนั้นไม่มีความคลุมเครือหรือความฉาบฉวยแต่อย่างใด พวกเขาต่อต้านพระเจ้าอย่างหน้าไม่อาย อีกทั้งล่อลวงและชักพาผู้คนให้หลงผิดอย่างหน้าไม่อาย พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าหากพวกเขาถูกตัดแต่ง พี่น้องชายหญิงมากมายจะมาปกป้องพวกเขา หวังว่าคนเหล่านั้นจะต่อต้านพระเจ้าและพระนิเวศของพระองค์ หวังว่าคนเหล่านั้นจะคิดลบและหย่อนยาน และไม่ทำหน้าที่ของตนเอง นั่นจะทำให้พวกเขาเกิดความปีติยินดีและลุล่วงความปรารถนาของตน หากพวกเขาถูกเปลี่ยนตัว พวกเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งให้ผู้คนจำนวนมากเกิดความคิดลบ ส่งเสียงแทนพวกเขา มาปกป้องพวกเขา ให้คำอธิบายและโต้แย้งแทนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง พวกเขาปรารถนาอย่างแรงกล้าให้ผู้คนให้คะแนนความดีความชอบของพวกเขา ปกป้องความถูกต้องของพวกเขา—และถึงกับอยากให้ตัดสินและกล่าวโทษการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า แอบต่อต้านพระเจ้าอยู่ในหัวใจ ปฏิเสธความชอบธรรมของพระองค์ และไม่ยอมรับว่าทั้งหมดที่พระองค์ตรัสและทรงทำคือความจริง ไม่ยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นบวก และหากพวกเขาเลิกเชื่อ พวกเขาก็ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะเลิกเชื่อตามพวกเขา จากไปพร้อมกับพวกเขา กลายเป็นผู้ติดตามของพวกเขา พวกเขาปรารถนาเป็นอย่างยิ่งให้ทุกคนปฏิเสธว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง และเชื่อว่าพวกเขามีความจริง เชื่อว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำนั้นถูกต้อง และเชื่อว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงและช่วยผู้คนให้รอดได้ หากพวกเขาถูกคริสตจักรขับไล่หรือเอาตัวออกไปเพราะทำชั่ว พวกเขาก็ปรารถนาเหลือเกินว่าผู้คนมากมายจะปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าและหวนคืนสู่โลก ซึ่งคนเหล่านั้นจะกลายเป็นผู้ไม่เชื่อ นั่นจะทำให้พวกเขาปีติยินดี จะคืนสมดุลให้กับหัวใจของพวกเขา และเป็นการปลดปล่อยสำหรับพวกเขา การเผยของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน พฤติกรรม แก่นแท้ และแม้กระทั่งแนวคิดและความคิดที่มีความละเอียดและซับซ้อนเหล่านี้ออกมา—สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของผู้ใด? คนเหล่านี้คือพี่น้องชายหญิงที่แท้จริงใช่หรือไม่? พวกเขามีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าใช่หรือไม่? พวกเขานบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงใช่หรือไม่? พวกเขามีความยำเกรงพระเจ้าแม้สักนิดหรือไม่? (ไม่มี) จากเรื่องนี้ย่อมเห็นได้ว่า ศัตรูของพระคริสต์เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า และเป็นศัตรูของพระเจ้าโดยแก่นแท้ คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่? เป็นความจริงหรือไม่? (คำกล่าวนี้ถูกต้องและเป็นความจริง) สิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คำกล่าวนี้เป็นความจริงโดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย เพราะนี่คือข้อเท็จจริง เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปชั่วนิรันดร์ นั่นคือวิธีคิดของพวกศัตรูของพระคริสต์ และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาทำ ความประพฤติและการกระทำทั้งหมดของพวกเขาถูกควบคุมโดยความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีส่วนตัวของพวกเขา ทั้งยังถูกควบคุมและกระตุ้นจากธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้ว คนอย่างศัตรูของพระคริสต์จะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? (ไม่) พวกเขาเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้าในทุกด้าน ทั้งยังเป็นศัตรูกับความจริงในทุกแง่มุม ผู้ใดก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าก่อความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพวกเขา ผู้ใดก็ตามที่ทำให้พวกเขาเสื่อมเสียชื่อเสียง พรากความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี พรากความหวังที่จะได้รับพรไปจากพวกเขา พวกเขาก็จะลุกขึ้นต่อต้านและเป็นศัตรูของคนเหล่านั้น—ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะถูกหรือผิดก็ตาม นั่นคือธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ นี่คือเหตุผลที่ไม่ว่าคนอย่างศัตรูของพระคริสต์ทำสิ่งที่ผิดหรือชั่วอย่างไร หรือสิ่งที่พวกเขาทำขัดต่อหลักธรรมและการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมให้ผู้อื่นตัดแต่ง หรือเปิดโปงและจัดการพวกเขา ทันทีที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาจะไม่เพียงล้มเหลวในการยอมจำนนและยอมรับสิ่งเหล่านี้ หรือล้มเหลวในการรับรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำคือการทำชั่ว—ไม่เลย พวกเขาจะโต้กลับ และพยายามกอบกู้ชื่อเสียงอันดีของตนคืนมาไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม พวกเขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อโยนบาปหรือความผิดพลาดของตนไปให้ผู้อื่น และจะไม่รับผิดชอบต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือหลอกลวงและชักพาผู้คนให้หลงผิดเพื่อหาข้อแก้ตัวให้การทำชั่วของพวกเขาและโต้แย้งเพื่อปกป้องพวกเขา รวมทั้งหวังว่าอาจจะมีคนลุกขึ้นมาออกโรงพูดแทนพวกเขามากขึ้น นี่คือสิ่งที่พวกเขาอยากเห็นมากที่สุด
พวกเราจะจบเรื่องราวของพวกเราไว้เท่านี้ พวกเจ้าเดาถูกแล้ว สองคนนั้นคือศัตรูของพระคริสต์จริงๆ มีเพียงศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่มีบทสนทนาเช่นนั้น เอ่ยถึงสิ่งเหล่านั้น และปรารถนาสิ่งเหล่านั้นได้ คนปกติที่เสื่อมทรามอาจจะมีแนวคิดดังกล่าวบ้างเป็นครั้งคราว แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขาจริงๆ พวกเขาก็จะกลับมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาและอธิษฐาน พวกเขาจะเริ่มนบนอบได้ทีละน้อย บรรดาผู้เชื่อที่แท้จริง บรรดาผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผลทั้งปวงจะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้างเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่งหรือถูกเปลี่ยนตัว พวกเขาจะมีท่าทีนบนอบและมีความเต็มใจที่จะนบนอบอยู่เล็กน้อย พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้าและเป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ นี่คือสิ่งที่คนธรรมดาที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามควรปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่เลย ไม่ว่าพวกเขาฟังคำเทศนามากมายเพียงใด พวกเขาก็จะไม่ปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีของตน และจะไม่ปล่อยมือจากความทะเยอทะยานของตนในการควบคุม เอาชนะใจผู้คน และชักพาพวกเขาให้หลงผิด ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สิ่งเหล่านั้นจะไม่ลดน้อยลงเลย เมื่อเวลาผ่านไปและสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาก็จะยิ่งแย่ลงและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ นี่คือความแตกต่างอย่างยิ่งยวดระหว่างแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์และแก่นแท้ธรรมชาติของคนธรรมดาที่เสื่อมทราม
ขณะนี้ พวกเราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมถึงการสำแดงประการที่เก้าของศัตรูของพระคริสต์แล้ว ต่อไปนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงประการที่สิบ นั่นคือ “พวกเขาดูหมิ่นความจริง ทำผิดหลักธรรมอย่างหน้าไม่อาย และเพิกเฉยต่อการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า”—การกระทำเหล่านี้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ร้ายแรงพออยู่แล้ว และไม่มีการกระทำใดที่เป็นการเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ธรรมดาเลย คนเราสามารถเห็นได้จากการกระทำเหล่านี้ว่า แก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ที่พวกเขามีนั้นแฝงไว้ด้วยความเลวและความชั่วร้าย สองสิ่งนี้คือองค์ประกอบที่ร้ายแรงและเห็นได้ชัด ในกรณีนี้สามารถใช้คำว่าความโอหัง การดื้อแพ่ง และการหลอกลวงมาอธิบายแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ได้หรือไม่? (ไม่ได้) นั่นจะเป็นเรื่องยากทีเดียวที่จะใช้คำอธิบายดังกล่าวเพื่อให้เข้าใจถึงลักษณะของแก่นแท้เหล่านี้ของศัตรูของพระคริสต์ มีเพียงอุปนิสัยสองประการ นั่นคือ ความเลวและความชั่วร้าย ที่สามารถใช้สรุปแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ได้
พวกเราจะพูดถึงสิ่งเหล่านี้ไปทีละประเด็น พวกเขาดูหมิ่นความจริง—คำว่า “ดูหมิ่น” หมายถึงอะไร? (หมายถึงการดูถูกบางสิ่งบางอย่าง) (หมายถึงการดูเบา เหยียดหยาม และด้อยค่าบางสิ่งบางอย่าง) (หมายถึงการคิดว่าบางสิ่งบางอย่างต่ำต้อยเกินกว่าจะดูถูก) คำทั้งหลายที่พวกเจ้าใช้อยู่นั้นมีความหมายเกือบจะเหมือนกันทั้งสิ้น การ “ดูหมิ่น” บางสิ่งบางอย่างหมายถึงการไม่สนใจ การดูถูก การด้อยค่า การดูเบา และการเหยียดหยามสิ่งนั้น กล่าวโดยรวมก็คือ คำคำนี้หมายถึงการต้านทานบางสิ่งบางอย่าง การรู้สึกขยะแขยงและเกลียดชังสิ่งนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ การไม่ยอมรับ และถึงกับกล่าวโทษ รวมทั้งการตัดสินและการว่าร้ายอย่างเป็นปฏิปักษ์ด้วยเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่พวกเจ้ากล่าว คำกล่าวนี้อยู่ในระดับใด? (คำกล่าวนี้ละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากกว่า) สิ่งที่เรากล่าวนี้เฉพาะเจาะจงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่าสิ่งที่พวกเจ้ากล่าว คำนิยามส่วนใหญ่ที่พวกเจ้านำเสนอคือคำพ้องความหมายของคำว่า “ดูหมิ่น” สิ่งที่เรากล่าวเป็นการถลุงแก่นแท้ของการกระทำและพฤติกรรมของ “การดูหมิ่น” ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นี่คือคำอธิบายที่ละเอียดและเป็นรูปธรรมของพฤติกรรมและแก่นแท้ของการดูหมิ่นความจริง นั่นหมายความว่า เมื่อใครบางคนดูหมิ่นความจริง เช่นนั้นแล้ว ในสิ่งที่พวกเขาทำ ในวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อความจริงในชีวิตประจำวัน และในท่าทีที่พวกเขามีอยู่ในหัวใจต่อเรื่องทั้งหลายที่สัมพันธ์กับความจริงและสิ่งที่เป็นบวก ผู้คนย่อมเห็นได้ว่าท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงก็คือ ไม่ยอมรับ ต้านทาน และรังเกียจความจริง—และถึงกับตัดสิน กล่าวโทษ และว่าร้ายความจริงเสียด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้คือหนทางอันเฉพาะเจาะจงที่ “การดูหมิ่นความจริง” สำแดงและถูกเผยออกมา—เฉพาะเจาะจงมากเสียจนครอบคลุมแต่ละแง่มุมของท่าทีที่คนคนนั้นมีต่อความจริงและเข้าหาความจริง พวกเขารู้สึกขยะแขยงความจริง พระวจนะของพระเจ้า และสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก พวกเขาต้านทานสิ่งเหล่านั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ และไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นเลย เมื่อเจ้าบอกพวกเขาว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นพระวจนะของพระเจ้า เป็นความจริง พวกเขาจะมีท่าทีเช่นไร? “พระวจนะของพระเจ้า ความจริง—ใครสนกันเล่า! คุณใช้พระวจนะของพระเจ้าและความจริงมาแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตที่พวกเราดำเนินอยู่ก็มีสิ่งที่นอกเหนือจากพระวจนะของพระเจ้ามิใช่หรือ? พวกเราอ่านหนังสือมามากมาย แถมยังได้รับการศึกษามาตั้งมาก—ทั้งหมดนั้นไม่มีความหมายเลยหรือ? ผู้คนมีความคิดและมีสมอง พวกเขาสามารถคิดเกี่ยวกับปัญหาทั้งหลายได้ด้วยตัวเอง การอ้างอิงทุกอย่างตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง—นั่นไม่ดันทุรังเกินไปหน่อยหรือ?” เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา และเจ้าบอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาพระองค์ และอ่านพระวจนะของพระองค์ พวกเขาจะมีท่าทีเช่นไร? “อ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? เวลามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเรา นั่นเป็นปัญหาของพวกเราเอง ปัญหาของมนุษย์เกี่ยวอะไรกับพระเจ้า? ปัญหาพวกนั้นเกี่ยวอะไรกับความจริง? คุณคิดจริงๆ หรือว่ามีทุกอย่างอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า คิดหรือว่าพระวจนะคือหนังสือสารานุกรม? พระวจนะของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ปัญหาของผู้คนเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องจัดการ และปัญหาเฉพาะก็ต้องใช้วิธีแก้ไขที่เฉพาะเจาะจง และหากคุณไม่สามารถจัดการบางสิ่งบางอย่างได้ ก็ค้นหาในอินเทอร์เน็ตหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ในคริสตจักรของพวกเรามีแม้กระทั่งอาจารย์มหาวิทยาลัย และพี่น้องชายหญิงมากมายก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย พวกเราทุกคนรวมกันจะไม่สามารถเทียบเท่าความจริงได้เชียวหรือ?” ทันทีที่เจ้าเอ่ยถึงการแสวงหาพระเจ้าและแสวงหาความจริง ทันทีที่เจ้ากล่าวว่าพวกเขาต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ดูถูกเจ้าอยู่ในหัวทันที พวกเขาไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติเช่นนั้น พวกเขาจะมองว่านี่เป็นเรื่องที่ต่ำต้อยและน่าอับอายเกินไป ทั้งยังคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้พวกเขาดูไร้ความสามารถ นั่นเป็นการดูหมิ่นบางสิ่งบางอย่างในรูปแบบหนึ่งมิใช่หรือ? นี่คือการสำแดงที่แท้จริง คือพฤติกรรมที่แท้จริงของการดูหมิ่นความจริง ผู้คนเช่นนี้มิใช่คนส่วนน้อย พวกเขาอาจจะฟังคำเทศนาอยู่บ่อยครั้ง ถือพระวจนะของพระเจ้าไว้ในมือเป็นเล่มๆ และทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า แต่เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา และมีคนบอกให้พวกเขาแสวงหาความจริงและอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขากลับเห็นเป็นเรื่องน่าขันและรู้สึกรังเกียจคำกล่าวนั้น พวกเขาไม่สามารถยอมรับคำกล่าวนั้นได้ ถึงขั้นรู้สึกขยะแขยงคำกล่าวนั้นเสียด้วยซ้ำ นั่นคือเหตุผลที่เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ใช้วิธีการของมนุษย์ในการแก้ไขโดยอ้างว่า “เรื่องที่เฉพาะเจาะจงก็ต้องใช้วิธีแก้ไขอันเฉพาะเจาะจง และปัญหาของผู้คนก็เป็นสิ่งที่ผู้คนต้องแก้ไข ไม่จำเป็นต้องมองหาพระเจ้า พระเจ้าไม่จำเป็นต้องทรงจัดการดูแลทุกอย่าง อีกอย่าง ยังมีบางเรื่องที่พระเจ้าทรงจัดการดูแลไม่ได้ เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเรา ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับพระเจ้า และไม่เกี่ยวอะไรกับความจริง พระเจ้าไม่ทรงควรแทรกแซงเสรีภาพส่วนตัวของพวกเรา และพระองค์ไม่ทรงควรแทรกแซงเรื่องส่วนตัวของพวกเรา พวกเรามีสิทธิ์ในการตัดสินใจ—และพวกเราก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร วางตัวอย่างไร และพูดอย่างไร ความจริงและพระวจนะของพระเจ้ามีไว้สำหรับช่วงเวลาที่ต้องการมากที่สุด สำหรับช่วงเวลาวิกฤต และสำหรับช่วงเวลาที่จำเป็นที่สุด เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับใครบางคนและพวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ พวกเขาไม่มีหนทางแก้ปัญหา—นั่นคือเวลาที่พวกเขาจะหยิบพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมาอ่านเล็กน้อยเพื่อความผ่อนคลาย เพื่อให้ความชูใจทางวิญญาณแก่พวกเขาบ้าง เท่านั้นก็มากพอแล้ว” สิ่งที่เห็นได้จากการนี้คือ ท่าทีที่ผู้คนดังเช่นศัตรูของพระคริสต์มีต่อความจริงนั้นเป็นท่าทีที่เห็นได้ชัดเจนว่า พวกเขาไม่ยอมรับว่าความจริงสามารถเป็นชีวิตของมนุษย์ หรือพระวจนะของพระเจ้าสัมพันธ์กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของผู้คน และพวกเขาก็ยิ่งไม่เชื่อในข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
ศัตรูของพระคริสต์ดูหมิ่นความจริง คำกล่าวนี้ครอบคลุมหลายแง่มุม การกล่าวว่าศัตรูของพระคริสต์ดูหมิ่นความจริงหมายความว่าอย่างไร? อะไรคือขอบเขตของการกล่าวเช่นนี้? พวกเราจะชำแหละคำกล่าวนี้โดยแบ่งออกเป็นสามประเด็น แบบนั้นจะทำให้พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนมากขึ้น ประเด็นแรก พวกเขาดูหมิ่นพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า พระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้าหมายถึงความจริงมิใช่หรือ? (ใช่) ประเด็นต่อมา พวกเขาดูหมิ่นเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ เนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์และพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำเป็นความจริงมิใช่หรือ? (ใช่) ประเด็นที่เหลือก็คือ พวกเขาดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า ประเด็นแรกคือพวกเขาดูหมิ่นพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า ประเด็นที่สอง กล่าวแบบสั้นๆ ก็คือพวกเขาดูหมิ่นพระคริสต์ และประเด็นที่สามคือพวกเขาดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า พวกเราจะชำแหละแต่ละประเด็นกันต่อไป
I. การดูหมิ่นพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า
ก่อนอื่น พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาดูหมิ่นความจริงในแง่นี้ ศัตรูของพระคริสต์มีท่าทีเช่นไรต่อพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระองค์? พวกเขาคิดอย่างไรกับสิ่งเหล่านั้น? พวกเขานิยามสิ่งเหล่านั้นอย่างไร? พวกเขามองสิ่งเหล่านั้นอย่างไร? แก่นแท้ของพระเจ้าประกอบด้วยสิ่งใด? ประกอบด้วยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า มหิทธานุภาพ ความบริสุทธิ์ของพระองค์ และความทรงเอกลักษณ์ของพระองค์ สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงมีพระอัตลักษณ์เป็นพระผู้สร้าง พระองค์ทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง ศัตรูของพระคริสต์ยอมรับเช่นนั้นหรือไม่? (ไม่) การไม่ยอมรับของพวกเขามีการสำแดงเฉพาะอย่างไร? (ศัตรูของพระคริสต์จะไม่ยอมรับว่าผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับพวกเขาทุกวันมาจากพระเจ้า ในทางกลับกัน พวกเขาจะเพียงวิเคราะห์เรื่องเหล่านั้นมากเกินความจำเป็น และจะแก้ไขสิ่งทั้งหลายด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์) พวกเขาจะแก้ไขสิ่งทั้งหลายด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์อย่างนั้นหรือ? ครึ่งแรกของสิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นถูกต้องแล้ว นั่นคือ เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจะเอาแต่วิเคราะห์ประเด็นนั้นมากเกินความจำเป็น ทว่าครึ่งหลังที่เจ้ากล่าวว่า พวกเขาจะแก้ไขสิ่งทั้งหลายด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์—สิ่งเหล่านั้นเป็นพฤติกรรมที่คนธรรมดาที่เสื่อมทรามทำ สิ่งที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมและเปิดโปงกันในที่นี้ก็คือ ศัตรูของพระคริสต์ดูหมิ่นความจริงและข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ การจะหาหลักฐานมาสนับสนุนเรื่องนั้น เจ้าต้องหาวิธีการและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องของศัตรูของพระคริสต์ ในความเป็นจริง ศัตรูของพระคริสต์ยอมรับผ่านคำพูดของพวกเขาว่า “มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า และชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ผู้คนก็ควรนบนอบอำนาจครอบครองของพระเจ้า”—แต่นั่นเป็นวิธีที่พวกเขายอมรับในยามที่มีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขาหรือไม่? คำพูดเหล่านั้นของพวกเขาถูกต้องและดีทีเดียว แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่พวกเขาปฏิบัติในยามที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับตน สิ่งที่เผยให้เห็นว่าคำพูดของพวกเขาเป็นเพียงคำพูดติดปากไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริงคือวิธีการและท่าทีของพวกเขาต่อสิ่งต่างๆ ในยามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขามีทัศนะ ความคิด คำกล่าว และท่าทีแบบใดที่พิสูจน์ว่าพวกเขามีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์? เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจะสามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้เป็นปฏิกิริยาแรกของตนได้หรือไม่? การสงบใจและนบนอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และการยอมรับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ไม่ว่าสภาพแวดล้อมนั้นจะดีหรือไม่ดี และเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาหรือไม่—พวกเขามีท่าทีในลักษณะนี้หรือไม่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้เลย เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา สิ่งแรกที่พวกเขาคำนึงถึงคือ สิ่งนั้นจะกระทบกับผลประโยชน์และตำแหน่งของพวกเขาอย่างไร จากนั้นพวกเขาก็วางอุบายหาวิธีที่จะเอาตัวรอด หาทางออก และหลบเลี่ยงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อไม่ปรารถนาจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงมองหาเหตุผลและข้อแก้ตัวต่างๆ ในทางอ้อม พวกเขาใช้วิธีการของมนุษย์ในการแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น และใช้สมองของตนเองเพื่อคิดวิเคราะห์และแก้ไขปัญหานั้น พวกเขาจะถึงกับผลักความรับผิดชอบไปให้ผู้อื่น พร่ำบ่นว่าคนนี้ผิดและคนนั้นไม่ทำตามที่พวกเขาบอก พร้อมกับเสียใจที่พวกเขาประมาทและละเลยตั้งแต่แรก และพร่ำบ่นว่าสิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีท่าทีที่ต้านทาน บ่ายเบี่ยง ปฏิเสธ และไม่ยอมรับต่อสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ต่อรูปการณ์แวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ให้ ปฏิกิริยาแรกที่พวกเขามีต่อสภาวการณ์เหล่านั้นคือต่อต้านไม่ให้เกิดขึ้น ปฏิกิริยาที่สองของพวกเขาก็คือการใช้วิธีการของมนุษย์เพื่อให้สภาวการณ์นั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น ฟันฝ่าวิกฤตด้วยวิธีการของมนุษย์ และถึงกับใช้วิธีการของมนุษย์เพื่อปกปิดข้อเท็จจริง รวมถึงปกปิดความเสียหายต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงที่พวกเขาก่อให้เกิดขึ้น พวกเขาทุ่มพลังงานความคิดทั้งหมดไปกับการใช้วิธีการของมนุษย์เพื่อปกปิดและซ่อนเร้นการทำชั่วของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับธรรมชาติของเรื่องไม่ดีที่พวกเขาทำลงไป หรือพวกเขาละเมิดหลักธรรมความจริงข้อใด ถึงกับชี้แนะคนรอบข้างว่า “อย่าปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป พวกเราอย่าพูดอะไรเลย ให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด” ไม่เพียงแต่ไม่นบนอบและปฏิเสธที่จะยอมรับสภาวการณ์เหล่านี้เท่านั้น—พวกเขายังจะโต้กลับ หลอกลวงและยับยั้ง พยายามปกปิดว่าที่จริงแล้วข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร หวังจะทำเรื่องใหญ่ให้กลับเป็นเรื่องเล็ก ทำให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ เพื่อไม่ให้พระเจ้าหรือผู้นำระดับสูงของพวกเขารู้เรื่องนี้ นี่เป็นวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์รับมือกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา หนทางรับมือกับสิ่งต่างๆ ของพวกเขาสอดคล้องกับคำพูดติดปากที่พวกเขากู่ร้องออกมาหรือไม่? ระหว่างคำพูดติดปากที่พวกเขากู่ร้องกับท่าทีของพวกเขาเมื่อมีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับตน สิ่งใดเป็นการเผยแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา? (ท่าทีของพวกเขาเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น) เช่นนั้นแล้ว ท่าทีนั้นเป็นอย่างไรกันแน่? พวกเขามีท่าทีนบนอบหรือไม่? พวกเขามีท่าทีที่จะยอมรับการบ่มวินัยและการตัดแต่งของพระเจ้าอย่างถ่อมใจหรือไม่? พวกเขามีความเต็มใจที่จะนบนอบอธิปไตยของพระเจ้าหรือไม่? ท่าทีและพฤติกรรมที่แท้จริงของพวกเขาคือความเชื่อแท้จริงว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พระเจ้าก็ทรงเป็นพระองค์เดียวที่ครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งที่เป็นของมนุษย์ใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วท่าทีของพวกเขาเป็นเช่นไร? เรื่องนี้เห็นได้ชัดทีเดียวว่า พวกเขาตั้งใจที่จะไม่ยอมรับสิ่งทั้งหลาย ปกปิดสิ่งทั้งหลาย และหลอกลวง พวกเขาตั้งใจต่อต้านจนถึงปลายทาง และไม่ยอมให้พระเจ้าทรงกระทำหรือทรงมีอธิปไตย พวกเขาคิดว่าตนเองมีความสามารถและมีศักยภาพที่จะทำทุกสิ่งให้ถูกต้องได้ ในพื้นที่ของพวกเขา ไม่มีผู้ใดเข้ามาแทรกแซงงานหรือจัดการพวกเขาได้—พวกเขาต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วในขณะนั้น พระเจ้าที่พวกเขาเชื่อยังคงดำรงอยู่หรือไม่? ไม่อีกต่อไป—ตอนนี้พระองค์ทรงเหลือเพียงเปลือกอันว่างเปล่า แล้วความเชื่อของพวกเขาในขณะนั้นเป็นอย่างไร? เป็นความเชื่อที่คลุมเครือและว่างเปล่า และมีความหลอกลวงอยู่ในนั้น พวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริง
ในยามที่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจะแสร้งทำเป็นฟังคำเทศนา อ่านพระวจนะของพระเจ้า และเรียนรู้บทเพลงนมัสการ พวกเขาจะมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร และมีส่วนร่วมกับทุกโครงการงานของคริสตจักรอย่างกระตือรือร้น โดยมักจะกล่าวว่า “พวกเราเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพวกเราต้องเชื่อในอธิปไตยของพระองค์ และนบนอบอธิปไตยของพระองค์ ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำล้วนดีทั้งสิ้น” นอกจากนี้ พวกเขามักจะชี้แนะผู้อื่นว่า “ผู้คนไม่ควรยืนกรานที่จะทำอะไรตามหนทางของตนเอง เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเขาควรอธิษฐานถึงพระเจ้า เพราะทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์” พวกเขาตะโกนคำพูดติดหูเหล่านี้อย่างสูงส่ง และท่าทีของพวกเขาก็ดูมุ่งมั่นและแน่วแน่ทีเดียว—แต่พวกเขายังห่างไกลจากความคาดหวัง เพราะเมื่อบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา ข้อเท็จจริงก็คือ สิ่งที่พวกเขาเผยออกมาอย่างแท้จริงนั้นเปิดโปงแก่นแท้และวุฒิภาวะจริงของพวกเขาโดยสมบูรณ์และหมดเปลือก นั่นเป็นการเปิดโปงว่า พวกเขาไม่เชื่อในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระผู้สร้าง รวมไปถึงไม่เชื่อข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง พวกเขาไม่เต็มใจยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านี้ ไม่ต้องพูดถึงการยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านี้เลย ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวที่จะยอมรับหรือรับรู้ถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ แต่ยังคงทำตัวต่อต้านแบบหัวชนฝาไปจนถึงปลายทาง เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจ หากไม่ใช่จากสิ่งหนึ่ง ก็จากอีกสิ่งหนึ่ง พวกเขาไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยลักษณะที่นบนอบและประพฤติตัวดีเพื่อแสวงหาพระประสงค์และเจตนารมณ์ของพระองค์ พวกเขาไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยความนบนอบ ไม่นบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ไม่ยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและอธิปไตยของพระองค์ และพวกเขาก็ไม่ยอมรับการบ่มวินัยของพระองค์ด้วยความนบนอบ ในทางกลับกัน พวกเขาปรารถนาให้สิ่งทั้งหลายดำเนินไปอย่างราบรื่นด้วยกลวิธีและอุบายของมนุษย์ ด้วยวิธีการของมนุษย์—เพื่อให้เรื่องนั้นยุติลง เพื่อหลอกลวงผู้อื่นและหลอกลวงพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่า หากพวกเขาทำให้เรื่องนั้นดำเนินไปโดยราบรื่น พวกเขาก็จะทำให้เรื่องนั้นสงบลงได้อย่างมีประสิทธิผล—เชื่อว่าการทำให้เรื่องนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น จะปิดบังข้อผิดพลาดและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไว้ และจะไม่มีใครล่วงรู้เรื่องนี้ หรือสามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติใดๆ เกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ หรือสืบเสาะเรื่องนี้ต่อไปได้อีก พวกเขาจะทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ แล้วพวกเขาก็จะรู้สึกเบาใจ เมื่อตัดสินจากคำพูดและพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์ รวมถึงความประพฤติและการกระทำของพวกเขา เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา รวมถึงแก่นแท้ของพฤติกรรมและการปฏิบัติของพวกเขา พวกเขาก็จะต้านทานอธิปไตยของพระเจ้าอย่างหัวชนฝา พวกเขาจะดันทุรังต่อสู้กับเรื่องนี้ไปจนสุดทาง ไม่ว่าทำสิ่งใดผิดไป พวกเขาก็จะไม่ยอมให้พระเจ้าทรงตัดแต่งพวกเขา หรือจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อบ่มวินัยพวกเขา นับประสาอะไรกับการยอมให้พระองค์ทรงเผยและเปิดโปงพวกเขา ทันทีที่พวกเขาถูกเปิดโปง ทันทีที่ความลับถูกเปิดเผย พวกเขาก็ตื่นตระหนก เกิดความสับสนและฉุนเฉียว พวกเขาจะถึงขั้นพลิกสถานการณ์และชิงกล่าวหาด้วยการกล่าวว่า พระเจ้าทรงล้มเหลวในการคุ้มครองพวกเขา พระองค์ไม่ทรงอวยพรพวกเขา พระองค์ทรงไม่ยุติธรรม—แต่เหตุใด เมื่อสิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับพวกเขาและคนอื่นๆ พระเจ้าจึงไม่ทรงเผยคนเหล่านั้น แต่ทรงเผยเพียงพวกเขา? เมื่อสิ่งเดียวกันเกิดขึ้น เหตุใดพระเจ้าจะไม่ทรงบ่มวินัยคนอื่น แต่ทรงบ่มวินัยเพียงพวกเขา? พวกเขาจะถึงกับกล่าวว่า “เมื่อเห็นว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม ฉันก็จะต้องปกป้องตัวเองด้วยวิธีการของมนุษย์ ด้วยวิธีการของตัวเอง” พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าไม่ทรงสามารถบ่มวินัยและเปิดโปงพวกเขาเมื่อพวกเขาทำผิด แต่ต้องทรงปิดบังเรื่องเหล่านั้นเพื่อพวกเขา ทรงอนุญาตพวกเขาในทุกโอกาส ประทานทางออกที่ง่ายดาย และยอมให้พวกเขาทำผิดทุกครั้ง พวกเขาเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงทำ เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา หากพระเจ้าทรงเผยพวกเขาและไม่ทรงปฏิบัติต่อด้วยความโปรดปรานเป็นพิเศษ อีกทั้งไม่ประทานความเป็นผู้นำหรือนิมิตพิเศษแก่พวกเขา พวกเขาย่อมรู้สึกว่าพระเจ้าเช่นนั้นทรงไม่น่ารัก พระองค์ไม่ทรงเหมาะสมที่จะครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของพวกเขา ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเขาจึงไม่อยากนบนอบพระเจ้าและไม่ยอมรับทุกสิ่งที่มาจากพระองค์ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ทว่าพวกเขากลับต้องการให้พระเจ้าทรงรับใช้พวกเขา ช่วยเหลือพวกเขาในทุกสิ่ง และแม้แต่ไม่ทรงตำหนิหรือบ่มวินัยสำหรับการกระทำผิดใดๆ ที่พวกเขาทำลงไป หรือสำหรับความเสื่อมทราม ความเป็นกบฏ หรือการต้านทานที่พวกเขาเผยออกมา จากพฤติกรรมและการสำแดงทุกอย่างของศัตรูของพระคริสต์ย่อมเห็นได้ว่าพวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า สิ่งที่เรียกว่าความเชื่อแท้จริงของพวกเขาเป็นเพียงความพยายามที่จะหาประโยชน์และความได้เปรียบ พวกเขาไม่นบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า แต่กลับจะจัดวางเรียบเรียงพระเจ้า ปรารถนาที่จะใช้พระองค์ให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพวกเขาและเปิดโอกาสให้พวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หรือความรอดของพระองค์ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในทางกลับกัน พวกเขากลับรู้สึกว่าตนกำลังถวายความโปรดปรานเป็นพิเศษแก่พระเจ้าด้วยการเชื่อในพระองค์ และพระองค์ควรทรงจดจำการนี้ไว้ ควรทรงคุ้มครองพวกเขา ทรงอวยพรพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข และทรงอภัยให้พวกเขา ทรงอภัยให้พวกเขาเป็นพิเศษไม่ว่าพวกเขาทำเรื่องไม่ดีอย่างไรก็ตาม คนประเภทที่เป็นศัตรูของพระคริสต์นั้นชั่วอย่างแท้จริง พวกเขาไม่มีความละอายใจอยู่เลย พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเป็นใครหรือเป็นคนประเภทใด ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็หาข้อแก้ตัวและความชอบด้วยเหตุผลอย่างหน้าไม่อาย เรียกร้องและยืนกรานให้ยอมรับสิ่งที่พวกเขาทำ โยนความผิดให้ผู้อื่น และปิดบังข้อเท็จจริง พวกเขาต่อต้านพระเจ้าจนสุดทาง ด้วยกลัวว่าหากพวกเขาถูกเผยและผู้คนรู้ทันพวกเขา พวกเขาย่อมจะไม่มีสถานะหรือเกียรติยศอีกต่อไป ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาหยุดอยู่ที่ปาก พวกเขาไม่ได้สละสิ่งใด และไม่ได้นบนอบอย่างแท้จริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยอมรับเลย ดังนั้น สำหรับข้อเท็จจริงเรื่องพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า ย่อมเห็นได้จากแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ว่าพวกเขาต่อต้านข้อเท็จจริงนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ—พวกเขาไม่ยินยอมให้พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของพวกเขาและทรงจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของพวกเขา พวกเขาไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงมีอธิปไตย—แล้วพวกเขาอยากให้ใครมีอธิปไตย? พวกเขาอยากมีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดเสียเอง ซึ่งความหมายโดยนัยคือการปล่อยให้ซาตานบงการสิ่งต่างๆ ปล่อยให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของซาตานเป็นชีวิตของพวกเขา และครอบงำเหมือนกษัตริย์ในหัวใจของพวกเขา นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วในเรื่องแก่นแท้ของพระเจ้า—ศัตรูของพระคริสต์ปฏิบัติต่อแก่นแท้ของพระเจ้าอย่างไร? ศัตรูของพระคริสต์เก็บงำข้อกังขาเกี่ยวกับองค์ประกอบทั้งหลายของแก่นแท้ของพระเจ้า พวกเขาไม่เชื่อ พวกเขาแคลงใจ จนถึงกับมีมโนคติอันหลงผิด พร้อมทั้งมีการกล่าวโทษองค์ประกอบทั้งหมดนั้น บางครั้งพวกเขาก็ใช้ความคิดฝัน ความรู้ และมันสมองของตนในการวิเคราะห์และตีความองค์ประกอบเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ พวกที่โง่เขลาบางคนถึงกับเชื่อว่าการตีความของพวกเขานั้นดีมาก เป็นฝ่ายวิญญาณ ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากทีเดียว นั่นน่ารังเกียจยิ่งกว่าเสียอีก
ก. การดูหมิ่นความชอบธรรมของพระเจ้า
ผู้คนที่เป็นเช่นศัตรูของพระคริสต์ย่อมปฏิบัติต่อความชอบธรรมและพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วยมโนคติอันหลงผิด ความสงสัย และการต้านทานอยู่เสมอ พวกเขาคิดว่า “เรื่องที่พระเจ้าทรงชอบธรรมเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น ในโลกนี้มีสิ่งที่เป็นความชอบธรรมจริงๆ หรือ? อยู่มาจนป่านนี้ ฉันยังไม่เคยพบเคยเห็นเลยสักครั้ง โลกมืดมิดและชั่วนัก แล้วคนชั่วกับพวกมารก็ก้าวหน้าดีทีเดียว มีชีวิตกันอย่างผาสุก ฉันยังไม่เคยเห็นพวกเขาได้รับสิ่งที่สมควรได้เลย ฉันมองไม่ออกว่ามีความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ตรงไหนในเรื่องนี้ ฉันนึกสงสัยว่าความชอบธรรมของพระเจ้ามีอยู่จริงด้วยหรือ? มีใครเคยเห็นบ้าง? ไม่มีใครเคยเห็น และไม่มีใครสามารถยืนยันได้” พวกเขาคิดในใจอย่างนี้ พวกเขาไม่ยอมรับพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้า ไม่ยอมรับพระวจนะทั้งปวงของพระองค์ และไม่ยอมรับการจัดวางเรียบเรียงทั้งหมดของพระองค์บนรากฐานของการเชื่อว่าพระองค์ทรงชอบธรรม แต่กลับสงสัยและวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริงมาแก้ไขเลย นี่คือวิธีเชื่อในพระเจ้าของพวกศัตรูพระคริสต์เสมอมา พวกเขามีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าหรือไม่? ไม่ ศัตรูของพระคริสต์ยังคงมีท่าทีเคลือบแคลงสงสัยอยู่เสมอในเรื่องความชอบธรรมของพระเจ้า แน่นอนว่าพวกเขาสงสัยเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า ความบริสุทธิ์ของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งเหล่านั้น แต่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็นได้ด้วยตาเท่านั้น—หากพวกเขาไม่สามารถเห็นสิ่งใดได้ด้วยตาตนเอง พวกเขาก็จะไม่มีวันเชื่อในสิ่งนั้น พวกเขาเป็นเช่นเดียวกับโธมัสที่กังขาในองค์พระเยซูเจ้าอยู่เสมอ ไม่เชื่อว่าองค์พระเยซูเจ้าฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย ไม่เชื่อในมหิทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พวกที่ไร้ค่าดังเช่นศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะสามารถเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงได้หรือ? พวกเขาสามารถเชื่อในมหิทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์ได้หรือ? พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้เลย ในหัวใจของพวกเขามีข้อกังขาอยู่เสมอ หากตัดสินจากแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นพวกวัตถุนิยม พวกเขาไม่อาจเห็นถึงมหิทธานุภาพของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริง ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นข้อเท็จจริงที่พระเจ้าได้ทรงทำให้เกิดขึ้น เนื่องจากพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไม่มีความเชื่อที่แท้จริง พวกเขาจึงไม่มีทางมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำได้เลย ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขามีแรงจูงใจแอบแฝงในการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาเป็นตัวปัญหาที่ขาดการยั้งคิด—เป็นข้ารับใช้ของซาตาน คนคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับความจริงหรือไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า ผู้ที่มองสรรพสิ่งด้วยสายตาของมนุษย์จะสามารถรู้ถึงการมีอยู่ของความจริงได้หรือไม่? พวกเขาจะสามารถรู้ถึงข้อเท็จจริงเรื่องอธิปไตยเหนือมวลมนุษย์ของพระเจ้าได้หรือไม่? ไม่ได้อย่างแน่นอน พวกเขามองดูสิ่งทั้งหลายด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ สายตาเคลือบแคลง และท่าทีที่ระแวงสงสัย และถึงกับต้านทานทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ดังนั้นศัตรูของพระคริสต์จึงไม่เชื่อเรื่องพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พวกเขามีข้อสงสัยของตนเองและไม่ยอมรับพระอุปนิสัยดังกล่าว พฤติกรรมใดของศัตรูของพระคริสต์ที่แสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริงหรือไม่รับรู้ถึงแก่นแท้ของพระเจ้า? มีพฤติกรรมที่เฉพาะเจาะจงอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในงานของคริสตจักร ไม่ว่าความผิดนั้นจะร้ายแรงเพียงใดและไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ปฏิกิริยาแรกของศัตรูของพระคริสต์ก็คือพิสูจน์ว่าตนบริสุทธิ์และโยนความผิดไปที่อื่น เพื่อที่จะไม่ต้องรับผิดชอบ พวกเขาจะถึงกับเบี่ยงเบนความสนใจไปจากตนเอง พูดสิ่งที่ฟังรื่นหูและถูกต้องเล็กน้อย และทำงานบางอย่างแบบผิวเผินเพื่อปิดบังความจริงของเรื่องดังกล่าว ในห้วงเวลาปกติ ผู้คนย่อมไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา ความอัปลักษณ์ของศัตรูพระคริสต์ย่อมถูกเปิดโปง พวกเขาปกป้องตัวเองด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เหมือนเม่นแคระที่ชูขนแหลมทั้งหมดขึ้นมา ไม่ปรารถนาจะรับผิดชอบอะไร นี่เป็นท่าทีแบบใด? นี่คือท่าทีของการไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมมิใช่หรือ? พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่งหรือเชื่อว่าพระองค์ทรงชอบธรรม พวกเขาปรารถนาจะใช้วิธีการของตนมาปกป้องตนเอง พวกเขาเชื่อว่า “ถ้าฉันไม่ปกป้องตัวเอง ก็จะไม่มีใครปกป้อง พระเจ้าก็ปกป้องฉันไม่ได้เช่นกัน พวกเขาบอกว่าพระองค์ทรงชอบธรรม แต่พอผู้คนเดือดร้อน พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเป็นธรรมจริงๆ หรือ? ไม่มีทาง—พระเจ้าไม่ทำอะไรแบบนั้น” เวลาเผชิญปัญหาหรือการข่มเหง พวกเขารู้สึกว่าไร้การช่วยเหลือ และคิดว่า “แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ผู้คนไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องพระองค์ได้ ไม่มีใครช่วยฉันได้ ไม่มีใครสามารถหยิบยื่นความยุติธรรมให้ฉันและค้ำจุนความเป็นธรรมให้ฉันได้” พวกเขาคิดว่าหนทางเดียวที่จะปกป้องตัวเองได้คือการใช้วิธีของตนเอง ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะสูญเสีย ถูกกลั่นแกล้งและข่มเหง—และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้ ก่อนจะเกิดอะไรขึ้นกับตน ศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะวางแผนทุกอย่างให้ตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว ในด้านหนึ่ง สิ่งที่พวกเขาทำคือการพยายามอย่างหนักที่จะปลอมแปลงว่าตนเป็นคนมีอำนาจจนไม่มีใครกล้ารบกวนพวกเขา วุ่นวายกับพวกเขา หรือกลั่นแกล้งพวกเขา ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือการที่พวกเขายึดปฏิบัติตามปรัชญาของซาตานและกฎแห่งการดำรงอยู่ของมันในทุกโอกาส ซึ่งโดยรวมแล้วมีอะไรบ้าง? “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จงปล่อยสิ่งทั้งหลายให้ลอยไป หากพวกมันไม่ส่งผลต่อคนเราเป็นการส่วนตัว” “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” ทำตามที่รูปการณ์แวดล้อมเปิดโอกาสให้ ลื่นไหลและแนบเนียนเข้าไว้ “เราจะไม่โจมตีเว้นแต่เราถูกโจมตี” “ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง” “ในเมื่อพูดตรงไม่เป็นที่ชอบใจ ก็จงกล่าวคำพูดเอออวยเอาใจไปกับความรู้สึกและเหตุผลของผู้อื่นเสียเถิด” “ผู้มีปัญญานบนอบต่อรูปการณ์แวดล้อม” และปรัชญาเยี่ยงซาตานอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน พวกเขาไม่รักความจริง แต่ยอมรับปรัชญาของซาตานราวกับสิ่งที่เป็นบวก เชื่อว่าปรัชญาเหล่านี้จะปกป้องตนได้ พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเหล่านี้ โดยไม่พูดเรื่องจริงกับใคร แต่จะพูดเรื่องน่าฟัง เรื่องประจบสอพลอและยกยอปอปั้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ล่วงเกินใคร คิดหาทางนำเสนอตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นยอมรับนับถือตน พวกเขาใส่ใจแต่การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนเท่านั้น และไม่ทำอะไรที่ค้ำจุนงานของคริสตจักรเลย พวกเขาไม่เปิดโปงหรือรายงานเรื่องของใครก็ตามที่ทำเรื่องไม่ดีและทำให้พระนิเวศของพระเจ้าเสียประโยชน์ แต่กลับทำเป็นมองไม่เห็น เมื่อดูหลักธรรมที่พวกเขาใช้รับมือสิ่งต่างๆ และการปฏิบัติของพวกเขาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว พวกเขามีความรู้เรื่องพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าบ้างหรือไม่? พวกเขามีความเชื่อในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมบ้างหรือไม่? พวกเขาไม่ไม่มีเลย คำว่า “ไม่มี” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ตระหนักรู้ แต่หัวใจของพวกเขามีความสงสัยในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พวกเขาทั้งไม่ยอมรับและไม่รับรู้ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนมากมายเป็นพยานยืนยันว่าความจริงและความชอบธรรมครองอำนาจในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ต่อต้านและตัดสินเรื่องนี้อยู่ในหัวใจ โดยกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น ทำไมพญานาคใหญ่สีแดงถึงไม่โดนลงทัณฑ์ที่ข่มเหงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเล่า? คนชั่วในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อข่มเหงรังแกประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ว่าร้ายพวกเขา กระทำการตัดสินพวกเขา แต่คนพวกนั้นกลับไม่เคยเผชิญกับการลงทัณฑ์เช่นกัน คนพวกนั้นล้วนอยู่อย่างสุขสบาย—เหตุใดผู้เชื่อในพระเจ้าจึงเป็นฝ่ายที่ถูกรังแกอยู่เสมอ?” หัวใจของพวกเขาไม่เชื่อในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความชอบธรรม และไม่เชื่อในแนวคิดที่ว่า พระเจ้าจะประทานสิ่งที่แต่ละคนควรได้รับตามการกระทำของพวกเขา และมีเพียงผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่จะได้รับพรจากพระเจ้าและได้รับบั้นปลายอันงดงาม ศัตรูของพระคริสต์ไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ พวกเขาบอกตนเองว่า “หากสิ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริง แล้วฉันจะมองไม่เห็นได้อย่างไร? คุณบอกว่าคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะได้รับพรจากพระเจ้า ถ้าอย่างนั้น คุณคนนั้นในคริสตจักรของพวกเราก็ไล่ตามเสาะหาความจริงและสละตนเพื่อพระเจ้า รวมถึงทำหน้าที่ของเขาอย่างจงรักภักดีทีเดียว แล้วผลลัพธ์ของเขาเป็นอย่างไร? เขาถูกพญานาคใหญ่สีแดงไล่ล่าจนแทบกลับบ้านไม่ได้ ครอบครัวของเขาแตกแยก—เขาเจอหน้าลูกตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ นั่นคือความชอบธรรมของพระเจ้าหรือ? และยังมีคุณอีกคนที่ถูกโยนเข้าคุกเพราะเชื่อในพระเจ้า ซึ่งเขาถูกทรมานจนเกือบตาย พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ที่ไหนกันเล่า? เขายืนหยัดในคำพยานของตน เขาไม่ใช่ยูดาส เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงอวยพรและทรงคุ้มครองเขา? และเหตุใดพระเจ้าจึงทรงยอมให้พญานาคใหญ่สีแดงทุบตีเขาจนเกือบตาย? นอกจากนี้ ในคริสตจักรของพวกเรายังมีผู้นำที่ยอมละทิ้งครอบครัวและหน้าที่การงานมาเพื่องานของคริสตจักร เขาทำหน้าที่ของตนมาหลายปีและก้าวผ่านความยากลำบากมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็ถูกกล่าวโทษและถูกเอาตัวออกไปเพราะทำชั่วเล็กน้อยและก่อกวนงานของคริสตจักร พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ที่ไหน? และยังมีพี่น้องชายหญิงบางคนที่ทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้ามาตั้งแต่อายุยังน้อย สู้ทนกับความยากลำบากและตรากตรำ แต่ทันทีที่พวกเขาทำผิดพลาดและละเมิดหลักธรรม พวกเขาก็ถูกตัดแต่ง บางคนร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนักเพราะกลัวจะถูกกำจัดและเอาตัวออกไป โดยไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเพื่อปลอบโยนพวกเขาเลย เหตุใดฉันจึงมองไม่เห็นความชอบธรรมของพระเจ้าในเรื่องนั้น? แล้วในเรื่องเหล่านี้ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าสำแดงออกมาในหนทางใดกันแน่? เหตุใดฉันจึงไม่อาจมองเห็นได้เล่า? แถมยังมีเรื่องของตัวฉันเองด้วย—ฉันอาจจะทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินไปบ้าง และบางครั้งฉันก็อาจจะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาบ้างเล็กน้อย แต่อย่างไรเสียฉันก็ยังมีความสามารถพิเศษ เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่เลื่อนตำแหน่งให้ฉัน?” จากเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ศัตรูของพระคริสต์ไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขามองเห็นเพียงปรากฏการณ์ภายนอก แต่ไม่อาจมองเห็นได้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าเบื้องหลังสิ่งทั้งหลายคืออะไร ลึกๆ ในหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความระแวงสงสัยและข้อกังขา เต็มไปด้วยแนวคิดและมโนคติอันหลงผิด—และในหัวใจของพวกเขาก็มีปมขนาดใหญ่มากมายที่พวกเขาไม่สามารถคลี่คลายได้ เมื่อไรที่พวกเขานึกถึงเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง การกล่าวโทษและการหมิ่นประมาทพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พวกเขาพูดกับตนเองอย่างคับแค้นใจว่า “หากพระเจ้าทรงชอบธรรม เหตุใดผู้คนที่ไร้เล่ห์มารยาจึงถูกตัดแต่ง? หากพระองค์ทรงชอบธรรม เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงยกโทษให้คนที่เผยความเสื่อมทรามออกมาเพียงเล็กน้อย? หากพระองค์ทรงชอบธรรม เหตุใดบางคนที่ทำหน้าที่ของตนและทนทุกข์มากมายจึงถูกปลดเพียงเพราะไม่อาจทำงานจริงได้? หากพระองค์ทรงชอบธรรม เหตุใดผู้ที่ติดตามพระองค์ด้วยการอุทิศตนอันแน่วแน่อย่างพวกเราจึงถูกข่มเหงและถูกทรมาน และอาจจะถูกส่งเข้าเรือนจำ และในบางกรณีก็ถึงกับถูกทุบตีจนตายเล่า?” ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อปรากฏการณ์เหล่านี้ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง พวกเขาไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้โดยชัดเจน พวกเขามักถามตนเองอยู่บ่อยครั้งว่า “พระเจ้าที่ฉันเชื่อนั้นทรงชอบธรรมหรือไม่? พระเจ้าผู้ทรงชอบธรรมนั้นดำรงอยู่จริงหรือไม่? พระองค์ทรงอยู่ที่ใด? ในยามที่พวกเราเผชิญกับความลำบากยากเย็น ในยามที่พวกเราถูกข่มเหง—ในเวลานั้นพระองค์ทรงทำสิ่งใดอยู่? พระองค์ทรงสามารถช่วยพวกเราให้รอดได้หรือไม่? หากพระเจ้าทรงชอบธรรม เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงทำลายซาตานเสีย? เหตุใดพระองค์ไม่ทรงทำลายพญานาคใหญ่สีแดง? เหตุใดพระองค์ไม่ทรงลงโทษมวลมนุษย์ที่เลวร้ายนี้? เหตุใดพระองค์ไม่ทรงค้ำจุนความเป็นธรรมและประทานความยุติธรรมแก่พวกเราที่เชื่อในพระองค์และทนทุกข์มาอย่างแสนสาหัส? เหตุใดพระองค์ไม่ทรงปกป้องพวกเรา? พวกเราเกลียดหมู่มารและซาตาน และพวกเราเกลียดคนชั่ว—เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงชำระแค้นให้พวกเรา?” คำว่า “เหตุใด” พรั่งพรูออกจากมาจากหัวใจของศัตรูของพระคริสต์ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับปืนกล ซึ่งไม่อาจควบคุมได้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม เมื่อพวกเขาไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา หรืออ่านพระวจนะของพระองค์และเสาะแสวงหาการสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง? แล้วพวกเขาก็จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวไปได้ทีละอย่างไม่ใช่หรือ? การแก้ไขปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยากจริงๆ หรือ? หากเจ้าใช้ท่าทีของการนบนอบพระเจ้าและความจริง ท่าทีของการยอมรับความจริง ปัญหาเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป—ทั้งหมดย่อมได้รับการแก้ไข เหตุใดศัตรูของพระคริสต์จึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้? เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง หรือไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง หรือไม่รับรู้ถึงความจริงนั่นเอง พวกเขาไม่สามารถนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการทั้งปวงของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรกับการยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากพระองค์ นั่นคือเหตุผลที่หัวใจของศัตรูของพระคริสต์เต็มไปด้วยข้อกังขาเกี่ยวกับความชอบธรรมของพระเจ้า เมื่อพวกเขาเผชิญกับการทดสอบ ข้อกังขาที่เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจของพวกเขาก็จะพรั่งพรูออกมา และพวกเขาจะตั้งคำถามกับพระเจ้าอยู่ในใจว่า “หากพระเจ้าทรงชอบธรรม เหตุใดจึงทรงปล่อยให้พวกเราทนทุกข์มากมายนัก? หากพระเจ้าทรงชอบธรรม เหตุใดพระองค์ไม่ทรงกรุณาบรรดาผู้ที่สู้ทนกับความทุกข์ระทมอย่างถึงที่สุดในการติดตามพระคริสต์? หากพระเจ้าทรงชอบธรรม เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงคุ้มครองพวกเราที่สละตนเพื่อพระองค์และทำหน้าที่ของตนเอง หรือทรงคุ้มครองครอบครัวของพวกเรา? หากพระเจ้าทรงชอบธรรม เหตุใดพระองค์จึงทรงปล่อยให้บางคนที่เชื่อในพระองค์อย่างจริงใจตายในคุก ในมือของพญานาคใหญ่สีแดง?” จากนั้น พวกเขาก็เริ่มโห่ร้องต่อต้านพระเจ้าว่า “หากพระเจ้าทรงชอบธรรม พระองค์ก็ไม่ควรปล่อยให้พวกเราทนทุกข์มากนัก หากพระเจ้าทรงชอบธรรม พระองค์ก็ไม่ควรบ่มวินัยและเผยพวกเราอย่างไร้ซึ่งเหตุผลหรือความหมาย หากพระเจ้าทรงชอบธรรม พระองค์ก็ควรผ่อนปรนให้กับการทำชั่วทั้งหมดของพวกเรา อภัยให้กับความคิดลบและความอ่อนแอทั้งหมดของเรา และยอมรับการกระทำผิดทั้งปวงของพวกเรา หากพระองค์ไม่สามารถแม้แต่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ เช่นนั้นพระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้าผู้ชอบธรรม!” ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์มีอยู่ในใจ พวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดนั้น เมื่อถึงวันที่พวกเขาถูกเผย มโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นย่อมพรั่งพรูออกมาอย่างแน่นอน นั่นคือกรอบความคิดที่อัปลักษณ์และเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของศัตรูของพระคริสต์
ศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับหรือไม่รับรู้ถึงความจริง นับประสาอะไรกับการรับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง เพราะฉะนั้น พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าจึงยังคงเป็นคำถามใหญ่ที่ไม่มีคำตอบสำหรับพวกเขา และเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น และมีหลากหลายประเด็นอุบัติขึ้นมา เครื่องหมายคำถามของพวกเขาก็ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ—และค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเครื่องหมายกากบาท เครื่องหมายกากบาทนั่นหมายถึงอะไร? นั่นหมายความว่า พวกเขาปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมโดยสิ้นเชิง และเมื่อเครื่องหมายกากบาทถูกเขียนขึ้นมา—เมื่อศัตรูของพระคริสต์ปฏิเสธว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม—ความคิดเพ้อฝันและความปรารถนาทั้งปวงของพวกเขาก็มลายหายไป ลองนึกถึงเรื่องนี้ดูเถิดว่า อะไรคือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ผลสืบเนื่องเช่นนั้น? (ศัตรูของพระคริสต์คิดว่า เมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ควรได้รับพรและได้รับการคุ้มครองจากพระองค์ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกว่าพระองค์ไม่ทรงชอบธรรม และไม่สามารถยอมรับการนั้นจากพระองค์ได้ เมื่อพวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมา พวกเขาก็ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าและไม่แสวงหาความจริง ทั้งยังไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นได้ทันท่วงทีอีกด้วย ในหนทางนั้น มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาย่อมสะสมและเพิ่มพูนขึ้น—นั่นคือสิ่งที่ทำไปสู่ผลสืบเนื่องดังกล่าวในท้ายที่สุด) พวกเจ้ากำลังพูดถึงปรากฏการณ์ในระดับผิวเผิน ทว่าไม่ได้เจาะลงไปถึงต้นตอ เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะมีบางสิ่งที่เป็นต้นตอของการที่ศัตรูของพระคริสต์สามารถปฏิบัติตัวเช่นนี้และมีทัศนะเช่นนี้ สามารถกังขาและปฏิเสธพระเจ้าได้ แน่นอนว่าสิ่งนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ นั่นคือต้นตอ—พวกเราจะทิ้งประเด็นนี้ไว้เท่านี้ ต้นตอสาเหตุหลักก็คือ ศัตรูของพระคริสต์ขาดทั้งความรักในความจริงหรือการยอมรับความจริงมาตั้งแต่ต้น เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมรับความจริง? เรื่องนี้ก็มีต้นตอเช่นเดียวกัน นั่นคือ พวกเขาไม่ยอมรับว่าพระเจ้าคือความจริง ไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริง—และในเมื่อพวกเขาไม่ยอมรับเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับความจริงได้ หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริง พวกเขาจะสามารถมองปัญหาใดๆ ก็ตามด้วยมุมมองของความจริงได้หรือ? (ไม่ได้) พวกเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้—แล้วผลที่ตามมาเป็นเช่นไร? พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับพวกเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นอะไรก็ตาม—ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา รวมไปถึงคำพูดของผู้อื่น พวกเขาไม่สามารถมองผู้คนหรือเหตุการณ์ทั้งหลายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง—พวกเขาไม่สามารถมองสิ่งใดอย่างทะลุปรุโปร่งได้เลย บางสิ่งบางอย่างดูจากภายนอกแล้วเป็นไปตามที่พวกเขากล่าว แต่แก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้นมิได้เป็นเช่นนั้น เรื่องนี้สัมพันธ์กับความจริง หากเจ้าไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับความจริง เจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงที่สัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ได้หรือ? เจ้าย่อมไม่เข้าใจ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เจ้าทำได้คือการวิเคราะห์และศึกษาสิ่งทั้งหลายด้วยสายตาของมนุษย์ ด้วยความรู้ของมนุษย์ และด้วยสมองของมนุษย์ การศึกษาเช่นนั้นจะทำให้เกิดผลลัพธ์ใด? ผลลัพธ์เหล่านั้นจะสอดคล้องกับความจริงหรือไม่? ผลลัพธ์เหล่านั้นจะสอดคล้องกับข้อกำหนดและเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่? ไม่ ไม่มีวันจะสอดคล้องกันได้ นี่ก็เหมือนกับเรื่องราวของโยบที่ผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนต่างรู้จัก ทุกคนที่รับรู้และยอมรับความจริง รวมถึงคนที่สามารถเชื่อในพระเจ้าและนบนอบพระองค์ได้ต่างชื่นชมและยกย่องโยบอยู่ในหัวใจ พวกเขาทุกคนปรารถนาที่จะเป็นบุคคลเช่นโยบ พวกเขายังชื่นชมและยกย่องการแสดงออกของโยบในการสรรเสริญพระเจ้าและความรู้เกี่ยวกับพระองค์ท่ามกลางบททดสอบของเขา ผู้คนสามารถเข้าใจในหัวใจได้ว่า ความทุกข์ยากลำบากและความเจ็บปวดนานาประการที่เกิดขึ้นกับโยบเป็นพระราชกิจของพระเจ้า โดยรวมแล้ว ในฐานะคนคนหนึ่งโยบคือตัวแทนความมุ่งมาดปรารถนาสำหรับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาทุกคนต้องการทำตามแบบอย่างของโยบและเป็นคนเช่นนั้น แล้วผลลัพธ์ที่เป็นบวกดังกล่าวจะสัมฤทธิ์ได้อย่างไร? รากฐานของสิ่งนี้คืออะไร? คือความเชื่อและการยอมรับด้วยใจจริงว่านี่คือความจริง ทั้งหมดนี้คือพระราชกิจของพระเจ้า—คนเราค่อยๆ เกิดความปรารถนาที่จะเป็นบุคคลเช่นโยบ ปรารถนาที่จะเป็นใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วก็บนรากฐานนี้เอง พวกเขาเชื่อและยอมรับทั้งหมดนี้อยู่ในหัวใจ และท้ายที่สุด พวกเขาก็สัมฤทธิ์ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้น ซึ่งทำให้พวกเขาเดินหน้าไล่ตามเสาะหาต่อไปในชีวิต การที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นนั้นได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่คนเรารับรู้และเชื่อในสิ่งทั้งหมดนี้อยู่ด้วยหัวใจ แล้วศัตรูของพระคริสต์มีการรับรู้และความเชื่อเช่นนั้นหรือไม่? พวกเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้ ศัตรูของพระคริสต์มองทุกสิ่งที่โยบก้าวผ่านมาอย่างไร? พวกเขาคิดว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นมีนัยสำคัญหรือไม่? พวกเขาสามารถเห็นได้หรือไม่ว่า ทั้งหมดนั้นถูกควบคุมโดยพระองค์? พวกเขาไม่สามารถเห็นเช่นนั้นได้ และไม่เห็นถึงนัยสำคัญของทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ พวกเขาเห็นสิ่งใดในเรื่องนี้? โยบนั้นสุดแสนมั่งคั่ง มีแกะและมีวัวเต็มภูเขา ทั้งยังมีลูกชายหญิงที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน นี่คือสิ่งที่พวกเขาเห็น หลังจากการทนทุกข์ทั้งปวงของเขาแล้ว พระเจ้าก็ทรงอวยพรเขาอีกครั้งหนึ่ง พวกเขามองเห็นสิ่งใดในเรื่องนั้น? พวกเขาจะกล่าวว่า “ชายคนนี้กระทำการต่อรองเพื่อพรเหล่านั้น—แล้วเขาก็ได้รับพร ก็ถูกต้องแล้วที่พระเจ้าประทานพรเหล่านั้นให้เขา” จากความเข้าใจโดยรวมต่อเรื่องนี้ของพวกเขา มุมมองของศัตรูของพระคริสต์มาจากการที่พวกเขายอมรับความจริงและนบนอบพระเจ้าใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) แล้วพวกเขามีมุมมองอย่างไรในเรื่องนี้? มุมมองที่ศัตรูของพระคริสต์มองดูเรื่องทั้งหมดโดยรวมมีเพียงมุมมองเดียวเท่านั้น และนั่นคือมุมมองของผู้ไม่เชื่อ ผู้ไม่เชื่อย่อมดูว่าจะเกิดประโยชน์ เกิดความได้เปรียบ หรือเผชิญกับความสูญเสียหรือไม่ ทำอย่างไรจึงจะได้เปรียบ และทำอย่างไรจึงจะไม่สูญเสีย สิ่งใดที่จะนำไปสู่ความเสียหายและความทุกข์ สิ่งใดสมควรทำ และสิ่งใดไม่สมควรทำ นี่คือมุมมองของผู้ไม่เชื่อ ผู้ไม่เชื่อมอง ปฏิบัติ และทำทุกสิ่งทุกอย่างในลักษณะนี้ ด้วยแก่นแท้แบบนี้ นี่คือท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า
ข. การดูหมิ่นมหิทธานุภาพของพระเจ้า
ศัตรูของพระคริสต์มองมหิทธานุภาพของพระเจ้าอย่างไร? เรื่องนี้สามารถกล่าวได้ว่า สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว คำว่า “มหิทธานุภาพ” เป็นคำที่กระตุ้นอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เป็นคำที่สามารถจุดประกายความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาได้ นี่เป็นเพราะพวกเขาต้องการที่จะเป็นคนที่มีลักษณะเช่นนั้นมาก เป็นผู้มีมหิทธิฤทธิ์ มีมหิทธานุภาพ และสถิตอยู่ทุกหนแห่ง การมีความสามารถที่จะทำสิ่งใดก็ได้ รู้วิธีทำทุกสิ่งทุกอย่าง และสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้—หากใครบางคนได้รับความสามารถนี้ หากพวกเขามีความสามารถนี้ เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งย่อมจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา พวกเขาจะไม่ต้องกลัวใคร พวกเขาจะมีอำนาจสูงสุด มีสถานะสูงสุด และพวกเขาย่อมจะสามารถปกครองผู้อื่นได้ พวกเขาจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมและบงการผู้อื่น นี่เป็นสิ่งที่เกินเอื้อมสำหรับศัตรูของพระคริสต์ และเป็นสิ่งที่เผยให้เห็นความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี และโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา ส่วนหนึ่งของเรื่องนี้คือวลีที่ว่า “มหิทธานุภาพของพระเจ้า” ทำให้พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดฝัน ความสงสัยใคร่รู้ และมโนคติอันหลงผิดทุกรูปแบบ อีกส่วนหนึ่งก็คือ พวกเขาต้องการได้รับความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับมหิทธานุภาพของพระเจ้าผ่านความเชื่อในพระองค์ เพื่อให้พวกเขาสามารถขยายขอบเขตความรู้ความเข้าใจของตน เกิดความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้น และสนองความสงสัยใคร่รู้ของตนได้ อีกส่วนหนึ่งก็คือ พวกเขายังคงเพียรพยายามที่จะเป็นผู้มีมหิทธานุภาพ เป็นที่เคารพนับถือจากคนมากมายหลายพัน รวมถึงมีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่ก้มกราบและมีพื้นที่สำหรับพวกเขาในหัวใจ แล้วศัตรูของพระคริสต์มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับมหิทธานุภาพของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขามีความเชื่อที่แท้จริงในเรื่องนี้หรือไม่? และเช่นเดียวกับเรื่องพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า—ศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝันที่ว่างเปล่าและคลุมเครือซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเท่านั้น—พวกเขายังเกิดข้อกังขาอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับมหิทธานุภาพของพระเจ้าอีกด้วย พวกเขาคลางแคลงใจ พวกเขาไม่เชื่อในเรื่องนี้ “มหิทธานุภาพหรือ? ในโลกใบนี้มีใครบ้างที่มีมหิทธิฤทธิ์? มีใครบ้างที่สถิตอยู่ทุกหนแห่งและมีมหิทธานุภาพ? ไม่มีคนแบบนั้นหรอก! ในโลกใบนี้มีผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงอยู่มากมาย รวมทั้งมีผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่เต็มไปหมด อย่างเช่น ผู้เผยพระวจนะ นักโหราศาสตร์และนักตีความคำเผยพระวจนะทุกประเภท กระทั่งคนเหล่านี้ก็ไม่ใช่ผู้มีมหิทธานุภาพ หลังคำว่า “มหิทธานุภาพของพระเจ้า” ยังต้องมีเครื่องหมายคำถามอยู่ เรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการค้นคว้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน” เพราะฉะนั้นสำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว แก่นแท้แห่งมหิทธานุภาพของพระเจ้าจึงไม่มีอยู่จริง เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่า “ฉันนึกภาพไม่ออกหรือไม่เข้าใจว่าพระเจ้าจะทรงมหิทธิฤทธิ์ได้อย่างไร ดังนั้น ‘มหิทธานุภาพ’ ของพระองค์จึงไม่มีอยู่จริง ฉันไม่ยอมรับเรื่องนี้ ความสามารถและสิ่งที่พระองค์ทรงทำได้นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหนกันแน่? ไม่มีใคร—ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต—เคยเห็นหรือจะได้เห็นสิ่งเหล่านั้น” ศัตรูของพระคริสต์มีข้อกังขาและความไม่มั่นใจอยู่ในหัวใจตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคริสตจักรและเกิดขึ้นกับพี่น้องชายหญิงจึงกลายเป็นหัวข้อและขอบเขตในการค้นคว้าของพวกเขา พวกเขากำลังค้นคว้าสิ่งใด? พวกเขากำลังค้นคว้าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ค้นคว้าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในกลุ่มหรือต่อคนคนหนึ่ง ค้นคว้าสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ ค้นคว้าวิธีทรงพระราชกิจของพระองค์ ไม่ว่าจะมีหมายสำคัญและการอัศจรรย์อยู่หรือไม่ มีเหตุการณ์แปลกใหม่และพิเศษใดที่เกินกว่ามนุษย์จะสามารถนึกถึง หรือเกินขอบเขตความสามารถของมนุษย์หรือไม่ นอกจากนั้น พวกเขาก็กำลังสืบเสาะว่ามีพี่น้องชายหญิงคนใดพูดถึงประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงพระราชกิจซึ่งเกินความคาดหมายของมนุษย์ในตัวพวกเขาหรือไม่ ตัวอย่างประสบการณ์ที่ว่านี้เช่น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากเปลือกหอยและจัดเลี้ยงอาหารแก่พวกเขา ในช่วงเวลาที่พวกเขาหิวโหยที่สุด ดังในนิทานพื้นบ้าน อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ มีทองคำโผล่ขึ้นมาในบ้านอย่างไม่มีที่มาที่ไปในช่วงเวลาที่พวกเขาสิ้นเนื้อประดาตัว หรือในขณะที่พวกเขาถูกไล่ล่า จู่ๆ คนที่ไล่ล่าพวกเขาก็ตาบอดกะทันหัน มองไม่เห็นอะไรเลย แล้วทูตสวรรค์ก็ลงมาและกล่าวแก่พวกเขาว่า “อย่ากลัวไปเลย ลูกเอ๋ย—เรามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้า” ตัวอย่างอื่นนอกจากนี้ก็คือ ในขณะที่พี่น้องชายหญิงกำลังทรมานกับการถูกทุบตีอย่างโหดร้ายและถูกทรมานอย่างทารุณ ความสว่างอันเจิดจ้าของพระเจ้าก็ส่องลงมาและทำให้ดวงตาของเหล่าผู้กระทำผิดมืดบอด ทิ้งให้พวกเขาล้มตัวลงนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น ร้องขอความกรุณา ไม่กล้าทำร้ายพี่น้องชายหญิงอีกเลย เพราะพระเจ้าทรงแก้แค้นให้พวกเขาแล้ว หรือในขณะที่พวกเขากำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นได้และกำลังจะผล็อยหลับ พวกเขาก็เห็นร่างหนึ่งในความเลือนลางกล่าวกับพวกเขาว่า “อย่าหลับ ตื่นขึ้นมาเถิด—นี่คือความหมายของวจนะของเรา” หรือเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นและพวกเขากำลังจะทำผิดพลาด พวกเขาก็ได้รับการเตือนสติด้วยการตำหนิและบ่มวินัยอันทรงพลังจากภายในว่าการทำเช่นนั้นไม่ถูกต้อง และการทำเช่นนี้จึงจะถูกต้อง หากเป็นสิ่งเหล่านี้ที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมีประสบการณ์ หรือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้เกิดขึ้นในคริสตจักร ในพระนิเวศของพระเจ้า ในตัวของผู้ที่ติดตามพระเจ้า นั่นย่อมเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่หากไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และต่อให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง นั่นก็เป็นเพียงเรื่องราวเล่าขาน ดังนั้นข้อเท็จจริงและความน่าเชื่อถือของเรื่องราวเหล่านั้นย่อมลดลงอย่างมาก แล้วมหิทธานุภาพของพระเจ้าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่? พระเจ้าทรงครองแก่นแท้แห่งมหิทธานุภาพใช่หรือไม่? ในหัวใจของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาย่อมตั้งคำถามอยู่เบื้องหลังแนวคิดเหล่านี้
ศัตรูของพระคริสต์ย่อมไล่ตามไขว่คว้าหมายสำคัญ การอัศจรรย์ และพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้ไปตลอดกาล ในขณะที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ ตรัส และทรงช่วยมนุษย์ให้รอด พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงหรือข้อเท็จจริง สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าไม่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง หรือความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของมนุษย์แต่อย่างใด แต่กระนั้น พวกเขาก็ยังมุ่งมั่นที่จะไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ พวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับมหิทธานุภาพของพระเจ้า ในขณะที่อธิษฐานนั้น พวกเขามักจะร้องขอกับพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะทรงเผยมหิทธานุภาพของพระองค์ให้ข้าพระองค์เห็นหรือไม่? ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์มิใช่หรือ? หากพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ มีมหิทธานุภาพ และสถิตอยู่ทุกหนแห่ง ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ช่วย เพราะตอนนี้ข้าพระองค์กำลังเผชิญกับความท้าทาย ข้าแต่พระเจ้า หากพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ช่วยเอาโรคภัยไข้เจ็บไปจากร่างกายของข้าพระองค์ เอาสถานการณ์ที่ข้าพระองค์เผชิญอยู่ไปเสีย ช่วยให้ข้าพระองค์ไม่ต้องเผชิญกับอันตรายทีเถิด ข้าแต่พระเจ้า หากพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์ก็ขอให้พระองค์ทำให้ข้าพระองค์ฉลาดและหลักแหลมในขณะที่ข้าพระองค์ทำหน้าที่ เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษและมีพรสวรรค์ในชั่วข้ามคืน เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถเข้าใจทักษะทางวิชาชีพได้โดยไม่ต้องศึกษาเล่าเรียน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ และโดดเด่นเหนือผู้อื่น ข้าแต่พระเจ้า หากพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ลงโทษและประทานความทุกข์ลำบากแก่พวกที่มุ่งร้ายและเยาะเย้ยความเชื่อที่ข้าพระองค์มีต่อพระองค์ โปรดทำให้คนเหล่านั้นหูหนวกและตาบอด มีแผลบนศีรษะ และมีหนองไหลออกมาจากฝ่าเท้า ทำให้พวกเขาตายเยี่ยงสุนัข พระเจ้า หากพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ ขอให้ข้าพระองค์ได้เห็นมหิทธานุภาพของพระองค์ทีเถิด” พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะและทรงพระราชกิจมากมาย แต่ศัตรูของพระคริสต์กลับหลับหูหลับตาและปัดสิ่งเหล่านั้นทิ้งไป พวกเขาไม่เคยใส่ใจพระวจนะของพระเจ้า และไม่เคยใส่ใจพระราชกิจของพระองค์ รวมถึงพระราชกิจที่สำคัญแต่ละขั้นตอนในการช่วยมนุษย์ให้รอด หรือให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นเลย ในทางกลับกัน พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาร้องขอหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ขอให้พระเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ท่ามกลางพระราชกิจของพระองค์ ขอให้พระเจ้าทรงทำสิ่งพิเศษที่จะเปิดตาพวกเขาและสนองความสงสัยใคร่รู้ของพวกเขา เพื่อพิสูจน์การดำรงอยู่ของพระองค์ เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ สิ่งที่น่าขันยิ่งกว่าก็คือ ศัตรูของพระคริสต์ถึงกับโอดครวญกับพระเจ้าในขณะอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อาจมองเห็นพระองค์ได้ ความเชื่อของข้าพระองค์จึงน้อยนัก ข้าพระองค์ขอให้ทรงเผยพระองค์ที่แท้จริงต่อข้าพระองค์ที ต่อให้เป็นเพียงในความฝันก็ตาม—ข้าพระองค์ขอให้ทรงเผยมหิทธานุภาพให้ข้าพระองค์เห็น ข้าพระองค์จะได้มีความเชื่อในพระองค์และเชื่อในการดำรงอยู่ของพระองค์ได้อย่างสนิทใจ มิเช่นนั้นแล้ว ข้าพระองค์ก็จะมีความเคลือบแคลงในความเชื่อของข้าพระองค์ที่มีต่อพระองค์ตลอดเวลา” พวกเขาไม่สามารถมองเห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือรู้จักแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ท่ามกลางพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ได้ แต่กลับจะให้พระองค์ทรงทำสิ่งทั้งหลายเพิ่มเติม สิ่งที่นึกไม่ถึงสำหรับมนุษย์เพื่อสร้างและทำให้ความเชื่อของพวกเขาแข็งแกร่ง พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากมายและทรงพระราชกิจหลายอย่าง แต่ไม่ว่าพระวจนะของพระองค์จะสัมพันธ์กับชีวิตจริงเพียงใด ไม่ว่าความจริงที่พระองค์ตรัสแก่ผู้คนจะเจริญใจเพียงไร ไม่ว่าพวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างเร่งด่วนแค่ไหน ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่สนใจ และไม่เก็บสิ่งเหล่านั้นมาใส่ใจเลย ที่จริงแล้ว ยิ่งพระเจ้าตรัสมากเพียงไร ยิ่งพระองค์ทรงพระราชกิจที่เฉพาะเจาะจงมากแค่ไหน พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ หงุดหงิด และต้านทานมากเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาอาจจะถึงกับเกิดการกล่าวโทษและการหมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขาจะโห่ร้องต่อต้านพระองค์ว่า “มหิทธานุภาพของพระองค์อยู่ในพระวจนะเหล่านี้หรือ? นั่นคือทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำ—ก็แค่แสดงพระวจนะเท่านั้นหรือ? หากพระองค์ไม่ตรัส พระองค์จะไม่ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ? หากพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ เช่นนั้นก็อย่าตรัสเลย อย่าทรงใช้พระวจนะหรือการสามัคคีธรรมความจริงและการจัดหาความจริงแก่มนุษย์เพื่อทำให้พวกเราได้รับชีวิตและสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยเลย หากพระองค์ทำให้พวกเราทุกคนกลายเป็นทูตสวรรค์ในชั่วข้ามคืน กลายเป็นผู้ส่งสาร—นั่นแหละ จึงจะเป็นมหิทธานุภาพ!” ขณะที่พระเจ้าตรัสพระวจนะและทรงพระราชกิจของพระองค์ ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ก็ถูกเผยและถูกเปิดโปงออกมาทีละน้อยโดยไม่มีการปกปิด อีกทั้งแก่นแท้ที่รังเกียจและต้านทานความจริงของพวกเขาก็ถูกตีแผ่โดยหมดเปลือกเช่นเดียวกัน อุปนิสัยและแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ที่ดูหมิ่นพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้าย่อมถูกเปิดโปงและถูกเผยออกมาทีละน้อยตามกาลเวลาและความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของพระราชกิจของพระเจ้า ศัตรูของพระคริสต์ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่คลุมเครือ พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าที่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์—ทั้งยังถูกควบคุมโดยความทะเยอทะยานและความอยากที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ธรรมชาติที่รังเกียจและเกลียดชังความจริงของพวกเขาถูกตีแผ่ให้เห็น ในทางตรงกันข้าม บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความเป็นจริงและความจริงโดยแท้จริง ผู้ที่เชื่อและรักในสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก มองเห็นมหิทธานุภาพของพระเจ้าในขั้นตอนของพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์—และสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้สามารถมองเห็น สิ่งที่พวกเขาสามารถได้รับ รวมถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถรู้ได้ย่อมเป็นสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีวันได้รู้และไม่มีวันได้รับอย่างแน่นอน ศัตรูของพระคริสต์เชื่อว่า หากผู้คนจะได้รับชีวิตจากพระเจ้า ก็จำเป็นต้องมีหมายสำคัญและการอัศจรรย์ พวกเขาเชื่อว่าหากไร้ซึ่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ การจะได้รับชีวิตและความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าเพียงลำพัง เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยและบรรลุความรอด สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว นี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ชั่วนิรันดร์—เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาเฝ้ารอและอธิษฐานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยหวังว่าพระเจ้าจะทรงเผยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และทรงแสดงปาฏิหาริย์แก่พวกเขา—และหากพระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น มหิทธานุภาพของพระองค์ย่อมไม่มีอยู่จริง นัยเบื้องหลังการนี้คือ หากมหิทธานุภาพของพระเจ้าไม่มีอยู่จริง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมไม่มีอยู่จริงอย่างแน่นอน นี่คือตรรกะของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขากล่าวโทษความชอบธรรมของพระเจ้า และพวกเขาก็กล่าวโทษมหิทธานุภาพของพระองค์
ในขณะที่พระเจ้าทรงกำลังช่วยผู้คนให้รอด ศัตรูของพระคริสต์กลับไม่สนใจพระวจนะของพระองค์ ข้อกำหนดนานาประการของพระองค์ และเจตนารมณ์ของพระองค์โดยสิ้นเชิง พวกเขาต้านทานและรังเกียจสิ่งเหล่านี้จากก้นบึ้งของหัวใจ สิ่งที่พวกเขาสนใจไม่ใช่ความเป็นจริงของสรรพสิ่งที่เป็นบวก ไม่ใช่ความรอดและการได้รับการทำให้เพียบพร้อม ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่มนุษย์สัมฤทธิ์ได้จากการไล่ตามเสาะหาความจริงและนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า แล้วพวกเขาสนใจในสิ่งใด? พวกเขาสนใจการที่พระเจ้าทรงเผยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้พวกเขาได้เห็น สนใจการที่พระองค์ทรงทำให้พวกเขาได้รับความเข้าใจเชิงลึกจากการทรงทำสิ่งเหล่านั้น และทรงทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่น่าทึ่ง เป็นยอดมนุษย์ เป็นคนที่มีพลังพิเศษ เป็นคนพิเศษ พวกเขาปรารถนาที่จะกำจัดคำเรียก อัตลักษณ์ และสถานะของตน เช่น คนธรรมดา คนทั่วไป และคนที่เสื่อมทรามด้วยมหิทธานุภาพของพระเจ้า ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะเกิดมโนคติอันหลงผิดหรือปัญหาใดขึ้นระหว่างพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยได้เท่านั้น—แต่พวกเขายังจะตัดสินพระเจ้า กล่าวโทษ และต้านทานพระองค์ เพราะทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาอีกด้วย ในสายตาของศัตรูของพระคริสต์ พระราชกิจอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำคือสิ่งที่พวกเขาไม่ยอมรับ—นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขากล่าวโทษ ท้ายที่สุดแล้ว ทัศนะและคำนิยามพระเจ้าเหล่านี้เองที่นำให้พวกเขาปฏิเสธการมีอยู่ของแก่นแท้ของพระเจ้าในหัวใจโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวโทษ ใส่ร้าย และหมิ่นประมาทการมีอยู่ของแก่นแท้ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเพราะความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาตั้งอยู่บนรากฐานที่ว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าจะทรงแก้ไขความคับข้องใจของพวกเขา และพระองค์จะทรงเอาคืนให้พวกเขา สำหรับพวกเขาแล้ว พระองค์จะทรงพิชิตคนที่พวกเขาเกลียดและดูถูก—พระเจ้าจะทรงสนองความทะเยอทะยานและความอยากของพวกเขา นี่คือรากฐานของความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ทว่ามาจนถึงวันนี้ คนชั่วเหล่านี้มองเห็นแล้วว่าพระเจ้าเช่นนั้นไม่ทรงมีอยู่จริง และเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดเพื่อพวกเขา จากมุมมองของพวกเขา นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เป็นคุณต่อพวกเขา—นี่เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ดังนั้นเมื่อพวกเขามีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากมาย ความเคลือบแคลงและข้อกังขาที่พวกเขามีต่อพระเจ้าย่อมหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาตัดสินใจที่จะไปจากพระเจ้าและพระนิเวศของพระองค์ ไปไล่ตามไขว่คว้าทางโลก ทำตามกระแสชั่ว และโผเข้าสู่อ้อมกอดของซาตาน สิ่งต่างๆ ของคนเหล่านี้จึงลงเอยเช่นนั้น เมื่อตัดสินจากท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์เก็บงำไว้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและมหิทธานุภาพของพระองค์ ศัตรูของพระคริสต์เป็นผู้ไม่เชื่ออย่างแท้จริง พวกเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้าแม้แต่น้อย และไม่มีการนบนอบหรือยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเป็นเรื่องของความจริงและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก พวกเขาก็รู้สึกรังเกียจและต้านทานสิ่งเหล่านั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่ว่าเจ้ามองเรื่องนี้อย่างไร แก่นแท้ของผู้ไม่เชื่อในตัวศัตรูของพระคริสต์ก็มีอยู่จริง นี่มิใช่สิ่งที่ผู้อื่นยัดเยียดให้พวกเขา และไม่ใช่การทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่—แก่นแท้นี้ของพวกเขาถูกกำหนดอยู่บนพื้นฐานของทัศนะและแนวทางทั้งปวงที่พวกเขาเผยให้เห็นในยามที่มีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา
ศัตรูของพระคริสต์เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่สามารถเห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมนุษย์ พวกเขาไม่สามารถเข้าใจข้อเท็จจริงนั้นได้ พวกเขาไม่สามารถเข้าใจข้อเท็จจริงได้แม้สิ่งนั้นจะถูกตีแผ่ให้เจ้าเห็นต่อหน้า—นั่นคือความมืดบอดมิใช่หรือ? พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและมหิทธานุภาพของพระองค์มักถูกเผยให้เห็นในงานของคริสตจักร ในประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร และในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงปล่อยให้ผู้คนมองเห็นสิ่งเหล่านี้ทุกหนแห่ง—แต่ศัตรูของพระคริสต์ซึ่งตามืดบอดกลับมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อศัตรูของพระคริสต์ติดตามพระเจ้ามานานหลายปี พวกเขาย่อมจะกล่าววลีอันโด่งดังว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาตั้งหลายปี แล้วฉันได้รับอะไรบ้าง?” พวกเขาดูเหมือนไม่ได้รับอะไรเลยจริงๆ พระเจ้าทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อมนุษย์ แต่ศัตรูของพระคริสต์กลับไม่ได้รับสิ่งใดเลย นั่นเป็นเรื่องที่น่าเวทนามิใช่หรือ? น่าเวทนาอย่างแท้จริง! วลีของศัตรูของพระคริสต์แสดงให้เห็นถึงปัญหาได้อย่างดีทีเดียว ทุกคนที่ฟังพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ ผู้ที่ยอมรับพระวจนะของพระองค์เป็นชีวิตของตนย่อมจะกล่าวว่า “พวกเราเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแล้ว และได้รับอะไรมากมายจากพระองค์ ไม่เพียงพระคุณและพระพร การคุ้มครอง รวมทั้งความกรุณาจากพระองค์เท่านั้น—ทว่าสิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือพวกเราเข้าใจและได้รับความจริงจากพระเจ้ามาแล้วมากมาย พวกเราใช้ชีวิตด้วยสภาพเสมือนมนุษย์และมีศักดิ์ศรี พวกเราได้รู้วิธีประพฤติปฏิบัติตน พวกเราติดค้างพระเจ้ามากเหลือเกิน เมื่อเทียบกับราคาที่พระองค์ทรงจ่าย เทียบกับสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อพวกเราแล้ว ความยากลำบากเล็กน้อยของพวกเรานั้นไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงเสียด้วยซ้ำ มนุษย์ควรตอบแทนความรักของพระเจ้า” อย่างไรก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์นั้นตรงข้ามกันเลยทีเดียว พวกเขากล่าวว่า “พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจตลอดสองสามปีมานี้ แต่ทำไมฉันไม่ได้รับอะไรเลย? พวกคุณทุกคนพูดว่าคุณได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ได้มีประสบการณ์กับเรื่องนั้นเรื่องนี้—แต่ประสบการณ์พวกนั้นจะทำให้คุณอิ่มท้องหรือ? ประสบการณ์พวกนั้นจะมีค่าอะไร? เปรียบเทียบกับพระพร พระคุณ กับการได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์แล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ? นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ตลอดหลายปีที่เชื่อในพระเจ้า ฉันไม่ได้รับสิ่งใดเลย เมื่อเทียบกับความทุกข์ที่ฉันได้สู้ทน เทียบกับสิ่งที่ฉันได้ละทิ้งและสละเพื่อพระเจ้าแล้ว สิ่งที่ฉันได้รับมาไม่ได้คุ้มค่าเลย! ความจริงคืออะไรถ้าไม่ใช่คำกล่าวและทฤษฎีเพียงไม่กี่ประการ? ความจริงคืออะไรถ้าไม่ใช่คำสอนเพียงไม่กี่ประการ? ฉันได้ฟังคำพูดเหล่านี้ ได้ฟังความจริงเหล่านี้ และฉันก็ไม่รู้สึกว่าได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ภายในตัวฉันเลย! ประการแรก เวลานึกถึงเรื่องต่างๆ ความคิดของฉันก็ไม่ได้แล่นขนาดนั้นอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฉันก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ แถมสุขภาพฉันก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อน ผมฉันเป็นสีเทา ใบหน้าก็มีริ้วรอยเพิ่มขึ้น—ฟันของฉันร่วงไปสองสามซี่แล้ว แถมซี่ใหม่ก็ไม่งอกขึ้นมาแล้วด้วย พระเจ้าตรัสว่าผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดเป็นเหมือนเด็กที่สดใสและมีชีวิตชีวา แล้วดูฉันสิ เป็นไม้ใกล้ฝั่ง ใบหน้าก็แก่ชรา ฉันยังไม่ได้กลายเป็นเด็กเลย จากพระวจนะของพระเจ้า คนแก่ที่ผมหงอกขาวสามารถกลับกลายเป็นคนหนุ่มสาวที่มีผมดกดำได้ ทำไมฉันถึงยังไม่เปลี่ยนเล่า? พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะเปลี่ยนสภาพผู้คนโดยสิ้นเชิง แต่นั่นยังไม่เกิดขึ้นกับฉัน ฉันยังไม่ได้กลายเป็นคนใหม่เลย ฉันยังคงเป็นฉัน และเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับฉัน ฉันก็ยังต้องคิดหาวิธีรับมือสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง ความลำบากยากเย็นทางเนื้อหนังของฉันก็กำลังเพิ่มมากขึ้นด้วย—ฉันมักจะอ่อนแอและคิดลบ นอกจากนี้ สองปีที่ผ่านมาความจำของฉันก็ย่ำแย่ลง ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมาย แต่พระองค์ไม่ได้ทำให้ความจำของฉันแข็งแกร่งขึ้นเลย พระเจ้าไม่สามารถประทานความสามารถพิเศษเล็กๆ น้อยๆ แก่ผู้คน ที่จะทำให้ร่างกายของพวกเขาไม่แก่ชราหรอกหรือ? ฉันรู้สึกว่า ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ คือผู้คนแปรสภาพไปโดยสิ้นเชิง ดูท่าว่าความจริงจะไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ หากพระเจ้าจะตรัสอะไรบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนใครบางคนให้เป็นคนใหม่อย่างแท้จริง เป็นคนที่มีรูปลักษณ์เจิดจ้าราวทูตสวรรค์ คนที่สามารถออกจากเนื้อหนังได้ คนที่สามารถหลบหนีทะลุกำแพงทึบได้ คนที่เมื่อเผชิญกับการข่มเหงและอันตรายก็สามารถร่ายคาถาและหายตัวไป และไม่มีใครตามจับได้ตลอดกาล—หากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่เป็นนิจทำให้ผมของผู้คนไม่เปลี่ยนเป็นสีเทา ใบหน้าของพวกเขาไม่มีรอยเหี่ยวย่น และฟันที่หลุดไปก็มีซี่ใหม่ขึ้นมาแทนที่—นั่นคงจะยอดเยี่ยมทีเดียว! นั่นคือการแปรสภาพโดยสมบูรณ์! หากพระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านั้น ฉันถึงจะเชื่อโดยไม่มีเงื่อนไขว่าพระองค์คือพระเจ้า หากพระเจ้าตรัสและประกาศความจริงต่อไป เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อของฉันก็จะหมดไปในไม่ช้า อีกไม่นานฉันจะไม่สามารถเชื่อต่อไปได้ และบางทีฉันอาจจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของฉันได้อีกต่อไป ฉันจะไม่ต้องการเช่นนั้น” ตลอดเวลาที่ศัตรูของพระคริสต์ติดตามพระเจ้า พวกเขามักจะเกิดการเรียกร้องสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้จากพระองค์อยู่ในหัวใจ รวมถึงเกิดข้อกังขาและข้อเรียกร้องที่เกินควรทุกรูปแบบในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง และในการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมและความปรารถนาส่วนตัวนั้น พวกเขาย่อมจะเกิดความคิดแปลกประหลาดทุกรูปแบบขึ้น ทว่ามีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือ พวกเขาไม่สามารถเข้าใจพระวจนะที่พระเจ้าตรัส และไม่สามารถเห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด นับประสาอะไรกับการเข้าใจว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นเป็นไปเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ว่าทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์สัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย เพราะฉะนั้น ขณะที่พวกเขาเชื่อต่อไป พวกเขาก็สูญสิ้นแรงผลักดัน ขณะที่พวกเขาเชื่อต่อไป ความรู้สึกที่เป็นลบและท้อแท้ก็เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาย่อมเกิดความคิดและความรู้สึกอยากถอนตัว อยากล้มเลิก ส่วนเรื่องแก่นแท้ของพระเจ้า ลืมเรื่องที่ว่าพวกเขาจะเชื่อ หรือรับรู้ หรือยอมรับสิ่งนี้หรือไม่ไปเสีย—เพราะขณะที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าต่อไปนั้น พวกเขาไม่สามารถทำให้ตนเองสนใจประเด็นนี้ได้เสียด้วยซ้ำ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าในขณะสามัคคีธรรม เมื่อเจ้ากล่าวว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า เป็นมหิทธานุภาพและอธิปไตยของพระองค์ กล่าวว่าผู้คนควรนบนอบและรู้จักสิ่งเหล่านี้ ศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะไม่กล่าวสิ่งใดออกมา—พวกเขาจะไม่แสดงทัศนะใดทั้งสิ้น ทว่าในใจของพวกเขากลับเกิดความรังเกียจสิ่งเหล่านั้น พวกเขาจะไม่อยากฟัง พวกเขาจะไม่เต็มใจรับฟัง บางคนก็จะลุกและเดินออกไป ในยามที่ทุกคนฟังคำเทศนา ในยามที่ผู้อื่นกำลังสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า ในยามที่พี่น้องชายหญิงกำลังสามัคคีธรรมถึงคำพยานจากประสบการณ์ของพวกเขาด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง—ศัตรูของพระคริสต์กำลังทำสิ่งใดอยู่? พวกเขากำลังดื่มชา อ่านนิตยสาร เล่นโทรศัพท์ ซุบซิบนินทาไปเรื่อยเปื่อย และด้วยการประท้วงและต้านทานผ่านการกระทำเงียบๆ เหล่านี้ พวกเขากำลังพยายามที่จะยืนยันด้วยพฤติกรรมของตนว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นเปล่าประโยชน์ “พวกคุณแค่กำลังพยายามหาเหตุผลให้กับสิ่งต่างๆ กำลังหลอกตัวเอง—พระเจ้าและความจริงไม่มีอยู่เสียหน่อย และเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า!” ในสายตาของพวกเขา บรรดาผู้ที่เชื่อในความจริง นบนอบพระเจ้า และเชื่อในข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้คือคนโง่—คนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกที่ไร้สมอง และเป็นพวกที่ถูกหลอกทั้งสิ้น พวกเขาเชื่อว่าชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในกำมือของตนเอง คนเราไม่สามารถปล่อยให้ผู้อื่นมาจัดแจงชะตากรรมให้พวกเขาได้ ผู้คนไม่ใช่หุ่นเชิด แต่มีความคิดจิตใจ และมีความสามารถที่จะนึกถึงปัญหาทั้งหลายได้ด้วยตนเอง—และหากใครไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมชะตากรรมของตนเอง คนคนนั้นย่อมเป็นขยะ เป็นคนต่ำต้อย ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะมอบชะตากรรมของตนให้พระเจ้าทรงควบคุม นี่คือท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ พวกเขายังคงเป็นผู้สังเกตการณ์และผู้ชม เป็นผู้ไม่เชื่อที่รับบทเป็นลูกสมุนของซาตานตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาคือคนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่นและเป็นตัวปัญหา—พวกเขาคือเหล่าคนทำชั่วที่แอบแฝงเข้ามานั่นเอง
ค. การดูหมิ่นความบริสุทธิ์และความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า
ศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับหรือเชื่อในเรื่องความชอบธรรมและมหิทธานุภาพในแก่นแท้พระอุปนิสัยของพระเจ้าแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับการมีความรู้ในสิ่งเหล่านั้น แน่นอนว่ายิ่งเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะเชื่อ ยอมรับรวมถึงรู้จักความบริสุทธิ์และความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า ดังนั้นเมื่อพระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงต้องการให้ผู้คนเป็นคนซื่อสัตย์ เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่อยู่กับความเป็นจริงและสามารถรักษาตำแหน่งของตนได้ ศัตรูของพระคริสต์ก็เกิดแนวคิดทั้งหลาย รวมถึงท่าทีและความรู้สึกขึ้นมา พวกเขากล่าวว่า “พระเจ้าทรงได้รับการยกชูมิใช่หรือ? พระองค์ทรงเป็นองค์สูงสุดมิใช่หรือ? หากเป็นเช่นนั้น ข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ก็ควรยิ่งใหญ่และสูงส่ง ฉันเคยคิดว่าพระเจ้าทรงล้ำลึกนัก ไม่เคยคิดเลยว่าพระองค์จะทรงเรียกร้องเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นจากมนุษย์ ข้อกำหนดเหล่านั้นจะสามารถถือว่าเป็นความจริงได้หรือ? ข้อกำหนดเหล่านั้นเรียบง่ายเกินไป! ข้อกำหนดของพระเจ้าควรสูงส่งจึงจะถูกต้อง คนเราควรเป็นยอดคน เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นคนที่มีความสามารถ—นั่นต่างหากคือสิ่งที่พระเจ้าพึงประสงค์ให้มนุษย์ทำ พระองค์ทรงต้องการให้คนเราเป็นคนที่ซื่อสัตย์—นั่นคือพระราชกิจของพระเจ้าจริงหรือ? มิใช่ของปลอมหรอกหรือ?” ลึกๆ ในหัวใจของศัตรูของพระคริสต์แล้ว พวกเขาไม่เพียงต้านทานความจริง—ในขณะที่พวกเขาต้านทานความจริง พวกเขาก็เกิดการหมิ่นประมาทขึ้นด้วย นั่นมิใช่การที่พวกเขาดูหมิ่นความจริงหรอกหรือ? พวกเขาเต็มไปด้วยการดูถูกและเหยียดหยามข้อเรียกร้องของพระเจ้า พวกเขานิยามและปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยท่าทีสบประมาท ไม่ใส่ใจ เยาะเย้ย และเสียดสี เห็นได้ชัดว่าศัตรูของพระคริสต์มีแก่นแท้อุปนิสัยที่น่ารังเกียจ พวกเขาไม่สามารถยอมรับคำพูดหรือสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริง งดงาม และสัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ แก่นแท้ของพระเจ้านั้นเป็นจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริง และข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนก็สอดคล้องกับสิ่งที่จำเป็นต่อพวกเขา คำว่า “ยิ่งใหญ่และสูงส่ง” ที่ศัตรูของพระคริสต์หยิบยกขึ้นมา—คืออะไร? คือสิ่งที่เป็นเท็จ ว่างเปล่า และไม่มีความหมาย สิ่งที่ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามและชักพาพวกเขาให้หลงผิด สิ่งที่ทำให้พวกเขาล้มลง และพาพวกเขาให้ออกห่างจากพระเจ้า ในทางกลับกัน ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง รวมถึงพระชนม์ชีพของพระองค์เป็นสิ่งที่สัตย์ซื่อ น่ารัก และสัมพันธ์กับชีวิตจริง เมื่อคนเราได้รับประสบการณ์และผ่านพระวจนะของพระเจ้ามาสักระยะหนึ่ง พวกเขาย่อมจะพบว่าลำพังพระชนม์ชีพของพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่น่ารักที่สุด และมีเพียงพระวจนะของพระองค์เท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนและเป็นชีวิตของพวกเขา เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ—ในขณะที่ความคิดเห็นและคำกล่าวอันยิ่งใหญ่และสูงส่งซึ่งซาตานและศัตรูของพระคริสต์หยิบยกขึ้นมานั้นตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับความเป็นจริงและความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากมนุษย์ ดังนั้น จากพื้นฐานของแก่นแท้ประเภทนี้ของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจึงไม่สามารถยอมรับความบริสุทธิ์และความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง พวกเขาจะไม่มีทางยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน และสำหรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามหลากหลายแง่มุมของผู้คนที่พระเจ้าทรงเปิดโปง—ทั้งการดื้อแพ่งและความโอหังของพวกเขา อุปนิสัยที่หลอกลวง เลวร้าย รังเกียจความจริง และโหดร้ายของพวกเขา—ศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้เลย และสำหรับการพิพากษาของพระเจ้าต่อผู้คนและการทรงตำหนิพวกเขาอย่างรุนแรงนั้น ศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงแต่ไม่อาจรู้ถึงความบริสุทธิ์และความน่ารักของพระเจ้าในสิ่งเหล่านั้นได้เท่านั้น—ในทางกลับกัน พวกเขายังรังเกียจและต้านทานพระวจนะที่พระเจ้าตรัสอยู่หัวใจ ทุกครั้งที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ตีสอน พิพากษา และเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ พวกเขาก็เกลียดพระวจนะเหล่านั้นและต้องการก่นด่า หากใครบางคนกล่าวว่าพวกเขาเป็นคนโอหัง เป็นคนดื้อแพ่ง เป็นคนเลวที่รังเกียจความจริง พวกเขาก็จะโต้แย้งคนคนนั้นและก่นด่าไปถึงบรรพบุรุษของเขา และหากใครบางคนเปิดโปงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขาและกล่าวโทษพวกเขา นั่นย่อมเหมือนกับคนคนนั้นตั้งใจจะปลิดชีพพวกเขา—พวกเขาจะไม่ยอมรับการนั้นโดยเด็ดขาด นี่เป็นเพราะศัตรูของพระคริสต์มีแก่นแท้ดังกล่าวและเผยสิ่งเหล่านี้ออกมา พวกเขาจึงถูกระบุตัวตนโดยไม่ทันรู้ตัว รวมทั้งถูกแยกออกและถูกเผยในพระนิเวศของพระเจ้าและในคริสตจักรโดยไม่ตั้งใจ ความทะเยอทะยานและความอยากของพวกเขามักจะไม่ได้รับการเติมเต็ม ดังนั้นความเกลียดชังของพวกเขาต่อพระวจนะที่พระเจ้าตรัส ต่อการดำรงอยู่ของพระองค์ และต่อวลีที่ว่า “ความจริงครองอำนาจในพระนิเวศของพระเจ้า” จึงเพิ่มมากขึ้น หากเจ้ากล่าววลีนั้นแก่พวกเขา พวกเขาก็จะอยากสู้รบกับเจ้าจนถึงตาย อยากทรมานและลงโทษเจ้าจนตาย นี่มิได้แสดงให้เห็นในตัวเองหรือว่าศัตรูของพระคริสต์เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า? ใช่ แสดงให้เห็นอย่างแท้จริง! หากใครบางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเอกลักษณ์ มนุษย์ไม่อาจเคารพบูชาบุคคลใดและไม่อาจนมัสการรูปเคารพใดนอกจากพระองค์” ศัตรูของพระคริสต์จะเต็มใจฟังเรื่องนี้หรือไม่? (ไม่เต็มใจ) เหตุใดจึงไม่เต็มใจ? คำพูดเหล่านี้กล่าวโทษพวกเขาใช่หรือไม่? คำพูดเหล่านั้นลิดรอนสิทธิ์ในการเป็นพระเจ้าไปจากพวกเขามิใช่หรือ? หากไร้สิทธิ์ที่จะเป็นพระเจ้า หากความหวังนั้นสูญสิ้นไป พวกเขาจะมีความสุขหรือไม่? (ไม่มี) นั่นคือเหตุผลที่หากเจ้าจะเปิดโปงพวกเขา ทิ้งให้พวกเขาถูกทำลายชื่อเสียงและตำแหน่ง ไม่มีผู้ใดเคารพบูชาพวกเขา ทิ้งให้พวกเขาไม่สามารถเอาชนะใจผู้คน ไร้ซึ่งสถานะ พวกเขาย่อมจะเอื้อมมือตะปบเจ้าด้วยกรงเล็บมุ่งร้ายเยี่ยงมารของตนเพื่อจะทรมานเจ้า เมื่อมีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในคริสตจักร และใครบางคนตั้งใจรายงานเรื่องเหล่านั้นต่อเบื้องบน หากผู้นำคริสตจักรเป็นศัตรูของพระคริสต์ เขาจะอนุญาตให้คนเหล่านั้นรายงานหรือไม่? เขาย่อมจะไม่ปล่อยให้เรื่องนั้นรอดสายตาไปได้ เขาจะกล่าวว่า “หากคุณรายงานไป คุณจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา! หากเบื้องบนตัดแต่งพวกเราและเอาตัวผู้คนในคริสตจักรของพวกเราออกไป ผมจะทำให้คุณรู้สึกเสียใจ—ผมจะให้ทุกคนทอดทิ้งคุณ แล้วคุณจะได้รู้สึกเสียบ้างว่าการถูกเอาตัวออกไปเป็นอย่างไร!” นี่ไม่ใช่การข่มขู่และสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้ที่จะทำการรายงานหรอกหรือ? ศัตรูของพระคริสต์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงความเป็นเอกลักษณ์ไม่ใช่หรือ? ดีเลย ฉันก็จะมีเอกลักษณ์ด้วยเหมือนกัน สิ่งที่ฉันพูดถือเป็นกฎในคริสตจักรของพวกเรา ไม่ว่าคุณต้องการทำอะไร คุณก็ต้องผ่านฉันก่อน—และคุณจะข้ามฉันไปไม่ได้ อยากข้ามฉันไปงั้นหรือ? คุณจะต้องข้ามศพฉันไปก่อน! ฉันมีอำนาจปกครองในคริสตจักรของพวกเรา สิ่งที่ฉันพูดคือคำขาดที่นี่ ฉันคือความจริง—ฉันคือคนที่มีเอกลักษณ์!” นี่มิใช่การสำแดงของมารหรือ? นี่คือการสำแดงของมาร—โฉมหน้าเยี่ยงมารถูกเปิดโปง และคำพูดเยี่ยงมารถูกเปล่งออกมา
สำหรับเรื่องที่ศัตรูของพระคริสต์ปฏิบัติต่อแก่นแท้ของพระเจ้าอย่างไรนั้น พวกเขาเริ่มจากความไม่เชื่อและความเคลือบแคลงสงสัยไปสู่การรอคอยโอกาสและการทดสอบ ท้ายที่สุดก็ลงเอยที่การตัดสินและหมิ่นประมาท สิ่งนี้นำพวกเขาทีละก้าวไปสู่หล่มโคลน สู่เหวลึกที่ไม่มีวันสิ้นสุด และนำพวกเขาไปสู่เส้นทางของการต้านทานพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระองค์ ขัดแย้งกับพระองค์โดยสิ้นเชิง และโห่ร้องต่อต้านพระองค์ไปจนถึงปลายทาง ซึ่งไม่มีทางหวนกลับมาได้อีก พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวในการรับรู้ถึงการมีอยู่ของแก่นแท้ของพระเจ้าเท่านั้น—ในทางกลับกัน พวกเขายังเกิดมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทุกรูปแบบเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้าในแต่ละแง่มุม ทำให้พวกเขาชักพาผู้คนรอบตัวและคนที่พวกเขาคบค้าสมาคมด้วยให้หลงผิด เป้าหมายของพวกเขาคือการทำให้ผู้คนเป็นเหมือนพวกเขามากขึ้น ให้กังขาในการดำรงอยู่ของพระเจ้าและการมีอยู่ของแก่นแท้ของพระองค์ ในยามที่จากโลกนี้ไป พวกเขายังจะลากผู้อื่นลงไปกับพวกเขาอีกด้วย การทำเรื่องแย่ๆ ด้วยตนเองนั้นไม่เพียงพอสำหรับพวกเขา—พวกเขาต้องการหาผู้อื่นมาเป็นเพื่อน ทำเรื่องไม่ดีไปกับพวกเขา ต้านทานพระเจ้าและก่อกวนงานในพระนิเวศของพระองค์ไปกับพวกเขา กังขาและปฏิเสธพระเจ้าไปกับพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้าในทุกแง่มุม ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าจากทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำเท่านั้น—ทว่าพวกเขายังจะตั้งหน้าตั้งตาวิเคราะห์ ศึกษา ทดสอบ และทำการตัดสินแก่นแท้ของพระเจ้า ทั้งยังถึงกับแอบแข่งขันกับพระเจ้าอีกด้วย โดยกล่าวว่า “พระองค์ทรงเอกลักษณ์มิใช่หรือ? พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์มิใช่หรือ? พระองค์ทรงปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับคนที่เชื่อในพระองค์ได้อย่างไร? หากพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์ พระองค์ก็ไม่ควรอนุญาตให้กองกำลังของศัตรูบุกเข้ามาในที่ทรงงานของพระองค์เลย” นั่นเป็นคำพูดประเภทใด? เมื่อใดที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นในคริสตจักร ศัตรูของพระคริสต์จะเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นพูดสิ่งที่บั่นทอน เป็นลบและเต็มไปด้วยการตัดสิน พวกเขาจะเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นโต้แย้งกับพระเจ้า เผชิญหน้ากับพระองค์ และเรียกร้องให้พระองค์ทรงทำเช่นนั้นเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าเผชิญเรื่องยากลำบากหรือปัญหาที่ยุ่งยาก นั่นเป็นเวลาที่ศัตรูของพระคริสต์สุดแสนปีติยินดี ช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นตอนที่พวกเขามีความสุขที่สุดและพึงพอใจมากที่สุด เป็นตอนที่พวกเขากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจสุดขีด พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถค้ำจุนผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้—แต่พวกเขากลับไปยืนอยู่ข้างสนาม จับตาดูและหัวเราะ เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อให้เกิดการกบฏขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้า ให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรถูกจับกุมและแยกย้ายกันไป และงานของพระนิเวศของพระองค์ก็ไม่อาจก้าวหน้าได้อีกต่อไป เมื่อนั้นพวกเขาจะมีความสุขมากพอกับในวันส่งท้ายปีเก่า และทุกครั้งที่สิ่งที่เกิดขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้าคลี่คลายและได้รับการแก้ไข เมื่อพี่น้องชายหญิงได้รับบทเรียนจากเรื่องนั้น นั่นก็คือเวลาที่ “การตัดสินลงโทษ” ของศัตรูของพระคริสต์จะถูกประกาศออกมา นั่นยังเป็นเวลาที่ศัตรูของพระคริสต์สิ้นหวัง เศร้าใจ และท้อแท้มากที่สุดอีกด้วย พวกเขาไม่สามารถทนเห็นพี่น้องชายหญิงอยู่อย่างสุขสบาย หรือผู้ติดตามพระเจ้ามีความเชื่อ และเปี่ยมด้วยความมั่นใจในยามที่พวกเขาติดตามพระองค์ พวกเขาไม่สามารถทนเห็นพี่น้องชายหญิงเกิดความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยภายใต้การนำของพระวจนะของพระเจ้า ทำหน้าที่ของพวกเขาด้วยความจงรักภักดี และงานก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ได้ พวกเขาไม่สามารถทนเห็นคริสตจักรเจริญรุ่งเรือง หรือแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าค่อยๆ พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้—นอกจากนี้พวกเขายังเกลียดเวลาที่ผู้คนประกาศพระวจนะของพระเจ้า เป็นพยานให้พระองค์ และสรรเสริญความน่ารักและพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อยู่เสมอด้วย และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเกลียดเวลาที่ผู้คนแสวงหาพระเจ้า อธิษฐานถึงพระองค์ และแสวงหาพระวจนะของพระองค์ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับคนเหล่านั้นก็ตาม ทั้งยังนบนอบพระองค์และยอมทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงเอาไว้ ถึงแม้ศัตรูของพระคริสต์จะกินอาหารจากพระนิเวศของพระเจ้า ชื่นชมพระวจนะของพระองค์ และชื่นชมผลประโยชน์ทั้งปวงจากพระนิเวศของพระองค์ แต่พวกเขาก็มักปรารถนาที่จะมีโอกาสได้หัวเราะเยาะพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาตั้งตารออย่างกระตือรือร้นให้ผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนแยกย้ายกระจัดกระจายกันไป และพระราชกิจของพระเจ้าถูกทิ้งจนไม่สามารถคืบหน้าไปได้อีก เพราะฉะนั้นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพระนิเวศของพระเจ้า แทนที่จะปกป้องพระนิเวศ คิดหาวิธีหนทางในการแก้ไขปัญหา หรือปกป้องพี่น้องชายหญิงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี หรือแทนที่จะร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงเพื่อจัดการปัญหานั้นโดยพร้อมเพรียง พากันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและนบนอบอธิปไตยของพระองค์ ศัตรูของพระคริสต์กลับจะยืนอยู่ข้างสนาม หัวเราะเยาะ ให้คำแนะนำที่ไม่มีประโยชน์ ทำลายและก่อกวน ในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดนั้น พวกเขาจะถึงกับยื่นมือช่วยเหลือบุคคลภายนอกแม้จะทำให้พระนิเวศของพระเจ้าเสียหายก็ตาม ดังนั้นพวกเขาจึงทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน จงใจก่อกวนและทำลายสิ่งต่างๆ คนเช่นนั้นมิใช่ศัตรูของพระเจ้าหรอกหรือ? ยิ่งช่วงเวลานั้นสำคัญยิ่งยวดเพียงใด สภาพเสมือนมารของพวกเขายิ่งถูกเปิดโปงออกมาอย่างชัดเจนมากเท่านั้น ยิ่งช่วงเวลานั้นสำคัญอย่างยิ่งยวดและมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายเพียงใด สภาพเสมือนมารของพวกเขาก็ยิ่งถูกเปิดโปงอย่างละเอียดและเต็มที่มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งช่วงเวลานั้นสำคัญอย่างยิ่งยวดเพียงใด พวกเขาก็จะยิ่งช่วยเหลือคนภายนอกโดยแลกกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพระนิเวศของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น พวกเขาเป็นคนประเภทใด? ผู้คนเช่นนั้นคือพี่น้องชายหญิงหรือไม่? พวกเขาคือผู้ที่ทำสิ่งทำลายล้างและน่ารังเกียจ พวกเขาคือศัตรูของพระเจ้า พวกเขาคือหมู่มาร พวกเขาคือเหล่าซาตาน พวกเขาคือคนชั่ว คือศัตรูของพระคริสต์นั่นเอง พวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหญิง และไม่ใช่ผู้ที่เหมาะสมจะได้รับความรอด หากพวกเขาเป็นพี่ชายหญิง เป็นคนของพระนิเวศของพระเจ้าจริงๆ เช่นนั้นเมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นในพระนิเวศของพระองค์ พวกเขาย่อมจะมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องชายหญิงในการเผชิญหน้าและรับมือกับปัญหานั้นโดยพร้อมเพรียง พวกเขาจะไม่ทำตัวเป็นผู้สังเกตเหตุการณ์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมองดูและหัวเราะ มีเพียงผู้คนเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่จะยืนอยู่ข้างสนาม หัวเราะเยาะ และตั้งหน้าตั้งตารอให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับพระนิเวศของพระเจ้า
แก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์อาจจะถูกเปิดโปงได้ในทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่แทบจะปกปิดไม่ได้เลย ไม่ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใด ไม่ว่าในประเด็นปัญหาใด ทัศนะและอุปนิสัยที่พวกเขาเผยออกมาล้วนน่ารังเกียจสำหรับมนุษย์และพระเจ้าทั้งสิ้น พวกเขาไม่เพียงก่อให้เกิดการทำลาย การขัดขวาง และการก่อกวนต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และยืนหัวเราะอยู่ข้างสนามเท่านั้น—พวกเขามักจะประจันหน้ากับพระเจ้าและทดสอบพระองค์อีกด้วย การทดสอบพระเจ้าหมายถึงอะไร? (ในส่วนลึกของหัวใจ พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และพวกเขาก็พูดบางสิ่งหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างเพื่อทดสอบพระดำริของพระองค์ พยายามหาว่าพระดำรินั้นคืออะไร) เจ้าย่อมเห็นเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ในกรณีของโยบ ซาตานทดสอบพระเจ้าอย่างไร? (ครั้งแรกที่ซาตานกล่าว มันบอกว่าหากพระเจ้าทรงพรากครอบครัวและทรัพย์สินของโยบ เขาก็จะไม่นมัสการพระเจ้าอีกต่อไป ครั้งที่สองมันกล่าวว่า หากพระเจ้าทรงทำลายเนื้อหนังและกระดูกของโยบ เขาก็จะปฏิเสธพระเจ้า ซาตานต้องการทดสอบพระเจ้าด้วยการให้เกิดความวิบัติขึ้นกับโยบ) นั่นคือการทดสอบหรือไม่? นั่นเป็นนิยามที่ถูกต้องสำหรับคำนั้นใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) พูดให้ถูกต้องก็คือ ข้อความเหล่านั้นหมายถึงการกล่าวหา สิ่งที่ซาตานหมายถึงในการกล่าวสิ่งเหล่านั้นคือ “พระองค์ตรัสว่าโยบคือผู้ที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมมิใช่หรือ? จากสิ่งดีๆ ทั้งหมดที่พระองค์ประทานให้กับเขา เขาจะไม่นมัสการพระองค์ได้อย่างไร? หากพระองค์ริบสิ่งดีๆ เหล่านั้นไปจากเขา แล้วพระองค์คิดว่าเขาจะยังนมัสการพระองค์อยู่หรือ?” นั่นคือข้อกล่าวหา แล้วการทดสอบคืออะไร? ซาตานให้พวกโจรมาปล้นและชิงทรัพย์สมบัติของโยบ สำหรับโยบนั่นคือการทดสอบ นั่นจะเป็นการทดสอบได้อย่างไร? เป็นดังนี้ “เจ้าเชื่อในพระเจ้ามิใช่หรือ? เมื่อข้าพรากสิ่งเหล่านี้ไปจากเจ้า มาดูกันว่าถึงตอนนั้นเจ้าจะยังเชื่อในพระองค์อยู่ไหม!” แต่โยบเข้าใจการนั้นได้อย่างไร? เขาเชื่อว่านั่นเป็นบททดสอบจากพระเจ้าทำให้เขาไม่ขัดขืนหรือต่อสู้ และเขาก็ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น—เขานบนอบ และยอมรับการนี้จากพระเจ้า ยังมีสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับองค์พระเยซูเจ้าอีกด้วย เช่น ซาตานให้พระองค์ทรงเปลี่ยนก้อนหินเป็นอาหาร และแสดงความรุ่งโรจน์และความร่ำรวยทั้งปวงให้องค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตร เพื่อให้พระองค์ทรงก้มลงบูชามัน สิ่งเหล่านั้นคือการทดลอง แล้วคราวนี้ ศัตรูของพระคริสต์ทำสิ่งใดเพื่อทดสอบพระเจ้า? (ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาทำชั่ว ต่อให้พวกเขารู้ว่านั่นเป็นการทำชั่ว พวกเขาก็ยังต้องการทดสอบพระเจ้าเพื่อดูว่าพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาหรือไม่ เนื่องจากพวกเขาไม่เชื่อในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ในยามที่ทำชั่วพวกเขาจึงไม่รู้ตัว) นั่นคือการทดสอบ พวกเขากำลังทำเช่นนั้นด้วยกรอบความคิดที่ว่าลองทำแล้วจะเห็นเอง พวกเขาเพียงต้องการดูว่าพระเจ้าจะทรงทำอย่างไร “พระเจ้าทรงเปี่ยมบารมีและพระพิโรธมิใช่หรือ? ฉันกำลังกดขี่คริสตจักร และได้ทำเรื่องไม่ดีมากมายลับหลังพระเจ้าและมนุษย์—พระเจ้าทรงรู้เรื่องนี้หรือไม่? หากฉันไม่มีความโศกเศร้าอยู่ในใจและไม่ได้ทนทุกข์กับการลงโทษทางเนื้อหนัง นั่นก็หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงรู้เรื่องนี้” พวกเขาทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทดสอบว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์หรือไม่ เพื่อทดสอบว่าพระองค์ทรงสังเกตเห็นส่วนลึกที่สุดในหัวใจของผู้คนหรือไม่? นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการทดสอบ พวกเขาต้องการยืนยันความสัตย์จริงของเรื่องนี้ ต้องการทดสอบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำการจริงหรือไม่ และพระองค์ทรงดำรงอยู่จริงหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการทดสอบ
ครั้งหนึ่งเคยมีศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งในจีนแผ่นดินใหญ่ชักพาผู้คนกลุ่มหนึ่งให้หลงผิด เขาเห็นว่าพระนิเวศของพระเจ้ากำลังจัดตั้งคณะนักร้องประสานเสียงไปร้องเพลงนมัสการที่ต่างประเทศ จึงคิดว่า “หากพวกคุณสามารถไปร้องประสานเสียงถึงต่างประเทศได้ พวกเราก็ทำที่นี่ได้เหมือนกัน” ดังนั้นเขาจึงนำผู้คนจากหลากหลายสถานที่เพื่อมาร้องประสานเสียงร่วมกัน เขารวบรวมผู้ชมกลุ่มใหญ่ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นภาพที่น่าทึ่งทีเดียว เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้? ในแง่หนึ่งเขากำลังก่อตั้งอาณาจักรอิสระ ซึ่งไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม ส่วนอีกแง่หนึ่ง ความหมายของเขาก็คือ “พระเจ้าที่พวกเราเชื่อคือพระเจ้าเที่ยงแท้ และพวกเรามีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเราอาจจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นปฏิปักษ์ มีพญานาคใหญ่สีแดงคอยข่มเหงและจับตาดูพวกเราอย่างเข้มงวดและใกล้ชิด แต่พวกเรามาแสดงให้ผู้คนเห็นกันเถิดว่าพระเจ้าทรงคุ้มครองพวกเราหรือไม่ มาดูกันว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเราได้หรือไม่ มาดูกันว่าพวกเราจะถูกจับกุมได้หรือไม่?” นั่นเป็นแนวความคิดประเภทใด? (เป็นการทดสอบ) นี่เป็นการทดสอบ—เป็นการชูธงและใช้วลีติดปากอย่างการเชื่อว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์และสถิตอยู่ทุกหนแห่งมาทดสอบว่าพระเจ้าจะทรงทำเช่นไรกันแน่ มาเดิมพันกับพระองค์ และแข่งขันกับพระองค์ นั่นเรียกว่า “การทดสอบ” สำหรับคนบางคน เมื่อผู้อื่นกล่าวกับพวกเขาว่า “คุณกินสิ่งนี้ไม่ได้ มันจะทำให้คุณท้องเสีย” พวกเขาก็จะกล่าวว่า “ฉันไม่เชื่อคุณหรอก ฉันจะกิน! มาดูกันว่าพระเจ้าจะทรงทำให้ฉันท้องไส้ปั่นป่วนหรือไม่” แล้วพวกเขาก็กินสิ่งนั้นเข้าไป และนั่นก็ทำให้พวกเขาท้องเสียขึ้นมาจริงๆ พวกเขาคิดในใจว่า “เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงคุ้มครองฉัน? ของสิ่งนั้นทำให้คนอื่นท้องเสีย แต่นั่นก็เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันเชื่อในพระเจ้า ทำไมฉันถึงท้องเสียเหมือนคนอื่นเล่า?” นี่คือพฤติกรรมประเภทใด? (การทดสอบ) นี่คือผลลัพธ์ของการที่พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า แต่สำหรับศัตรูของพระคริสต์ มีบางสิ่งที่มากกว่านั้น นั่นคือ พวกเขาไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของแก่นแท้ของพระเจ้าแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงพยายามทำสิ่งทั้งหลายด้วยตนเอง ด้วยความคิดฝันของตนเอง และไม่ได้ทำด้วยความเชื่อ ในทางกลับกันพวกเขากำลังทดสอบพระเจ้า พวกเขากำลังใช้พฤติกรรม รวมถึงความคิดและแรงกระตุ้นชั่วขณะในการสืบค้นว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่ มหิทธานุภาพของพระองค์เป็นจริงหรือไม่ และพระองค์ทรงสามารถคุ้มครองพวกเขาได้จริงหรือไม่ หากการทดลองของพวกเขาประสบความสำเร็จ เช่นนั้นความเชื่อของพวกเขาย่อมดำเนินต่อไปบนพื้นฐานนั้น แต่หากการทดลองล้มเหลว หากพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาผิดหวัง พวกเขาจะทำเช่นไร? พวกเขาจะกล่าวว่า “ฉันจะไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป พระองค์ไม่ได้ทรงเอาใจใส่ผู้คนเสียหน่อย ทุกคนต่างบอกว่าพระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยของมนุษย์—เท่าที่ฉันเห็นมันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น สำหรับคำพูดเหล่านี้ ผู้คนจำเป็นต้องมีแผนสำรองบางอย่างเพื่อตนเองในภายหน้า พวกเขาไม่อาจโง่เขลาในเรื่องเหล่านี้ได้ ผู้คนจำเป็นต้องแก้ไขเรื่องของตนด้วยตนเอง—พวกเขาไม่สามารถพึ่งพาพระเจ้าทุกเรื่องได้” นั่นคือผลลัพธ์ที่พวกเขาสรุปได้จากการทดสอบของตน เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับผลลัพธ์นี้? หากผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะได้รับผลลัพธ์เช่นนี้หรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่เป็นเช่นนั้น? หากผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง ท้ายที่สุดพวกเขาจะเกิดผลสัมฤทธิ์และได้รับบำเหน็จที่ดีและเป็นบวก กล่าวคือไม่ว่าผู้คนทำสิ่งใด พระเจ้าก็ทรงมีหนทางและหลักธรรมของพระองค์ว่าพระองค์จะทรงตอบสนองและทรงมองสิ่งเหล่านี้อย่างไร และผู้คนก็มีภาระผูกพันที่พึงปฏิบัติ อีกทั้งมีสัญชาตญาณของตนเอง พระเจ้าประทานสัญชาตญาณแก่พวกเขา พระองค์ประทานหลักธรรมแก่พวกเขาแล้ว ดังนั้นผู้คนจึงควรปฏิบัติตนตามหลักธรรมเหล่านั้นภายใต้การนำของพระวจนะของพระเจ้า สำหรับบางเรื่อง จากภายนอกนั้นดูเหมือนพระเจ้าทรงควรคุ้มครองมนุษย์ แต่คำว่า “ควร” นั้นมาจากมนุษย์หรือมาจากพระเจ้า? (จากมนุษย์) นี่คือสิ่งที่มนุษย์จินตนาการขึ้นมาในจิตใจ คำว่า “ควร” ไม่ใช่ความจริง นี่มิใช่ความรับผิดชอบของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงทำอย่างไรกันแน่? พระเจ้าทรงมีหนทางของพระองค์ในการปฏิบัติและพระองค์ทรงมีหลักธรรมของพระองค์ บางครั้ง การที่พระองค์ไม่ทรงคุ้มครองเจ้าก็เพราะพระองค์กำลังทรงเผยเจ้า ทรงดูว่าเจ้าเลือกเส้นทางใด บางครั้ง การใช้สภาพแวดล้อมที่เป็นปฏิปักษ์ก็เป็นการที่พระองค์ทรงทำให้ความรู้ในบางแขนงของเจ้าเพียบพร้อม ทรงทำให้เจ้าได้รับความจริงในแง่มุมหนึ่ง และเกิดการเปลี่ยนแปลงในบางเรื่อง พระองค์ทรงกำลังทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นและทรงทำให้เจ้าเติบโต โดยสรุปก็คือ ไม่ว่าพระเจ้าทรงกระทำเช่นไร พระองค์ก็ทรงมีหลักธรรมและเหตุผลของพระองค์ รวมถึงมีเป้าหมายและมีจุดประสงค์ของพระองค์ด้วย หากเจ้าถือเอาแนวคิดที่ว่า “พระเจ้าควรทรงคุ้มครองฉัน และพระองค์ควรทรงทำเช่นนั้นเช่นนี้” เป็นความจริง และค้ำจุนแนวคิดดังกล่าว เรียกร้องจากพระเจ้าด้วยแนวคิดนั้น แล้วเมื่อพระเจ้าไม่ทรงกระทำในหนทางนั้น ความขัดแย้งย่อมจะเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับพระเจ้า เมื่อเกิดความขัดแย้งนี้ขึ้น พระเจ้าจะไม่ทรงเป็นฝ่ายผิด ใครจะเป็นฝ่ายผิด? (มนุษย์) เรื่องนี้เริ่มต้นจากปัญหาในทัศนะของผู้คน จากการที่พวกเขาอยู่ในจุดยืนที่ผิดและอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเจ้าขอให้พระเจ้าทรงกระทำในหนทางใดหนทางหนึ่ง เจ้าจะรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างชอบด้วยเหตุผล แต่เมื่อถอยหลังก้าวหนึ่ง หากเจ้าสามารถนบนอบและยอมรับได้ เช่นนั้นเจ้าก็จะรู้สึกว่าการชอบด้วยเหตุผลของเจ้าเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผล และสิ่งเหล่านี้คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามและเป็นการเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลของเจ้า เมื่อเจ้ายอมรับได้ พระเจ้าก็จะประทานความจริงและความรู้ในขอบเขตที่เจ้าพึงได้รับ ในสายพระเนตรของพระองค์ นั่นคือองค์ประกอบของความจริงที่เจ้าพึงได้รับมากที่สุด ไม่ใช่พระคุณหรือพรเล็กๆ น้อยๆ บางประการ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ว่าสิ่งใดสำคัญสำหรับเจ้ามากที่สุด และพระองค์ย่อมจะประทานสิ่งนั้นแก่เจ้าเมื่อถึงเวลาและในปริมาณที่เหมาะสม ในทางกลับกัน ศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงหรือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใครก็ตามที่สามัคคีธรรมความจริงและเป็นพยานถึงความรักและความรอดของพระเจ้า ศัตรูของพระคริสต์จะไม่เพียงปฏิเสธและไม่ยอมรับ ทว่าพวกเขาจะขยะแขยงและต้านทานการนั้นด้วย นี่คือความแตกต่างระหว่างศัตรูของพระคริสต์กับคนธรรมดาที่เสื่อมทราม
พวกเราจะจบการสามัคคีธรรมเรื่องลักษณะของพวกศัตรูของพระคริสต์ที่ปฏิเสธพระอัตลักษณ์และแก่นแท้แห่งความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าไว้เท่านี้ พวกเจ้ามีคำถามใดอีกหรือไม่? (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มีคำถาม ขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐข้าพระองค์ได้พบผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามากมาย และทุกคนต่างก็มุ่งมั่นในการค้ำจุนทัศนะของเปาโลที่ว่า “สำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์” พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาสามารถเป็นไปตามมาตรฐานคำพูดของเปาโล พวกเขาย่อมสามารถกลายเป็นพระเจ้าได้ นี่คืออีกหนึ่งการสำแดงของศัตรูของพระคริสต์ ทั้งยังเป็นการปฏิเสธแก่นแท้แห่งความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าด้วยใช่หรือไม่?) ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง การที่พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า โดยหลักแล้วเป็นเพราะพวกเขาปรารถนาที่จะเป็นพระเจ้า คำพูดของเปาโลเป็นคำพูดที่โปรดปรานเฉพาะของพวกเขา กล่าวคือ “สำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์ การมีชีวิตอยู่คือพระเจ้า ด้วยชีวิตแห่งพระเจ้าข้าพเจ้าคือพระเจ้า” พวกเขาเชื่อว่า หากทัศนะนี้เป็นจริง พวกเขาก็มีความหวังในการกลายเป็นพระเจ้า ในการครองราชย์เป็นกษัตริย์ และในการใช้การควบคุมเหนือผู้คน หากทรรศนะนี้ไม่เป็นจริง เช่นนั้นแล้วความหวังของพวกเขาในการครองราชย์เป็นกษัตริย์และการกลายเป็นพระเจ้าก็พังทลายลง สรุปสั้นๆ ก็คือ ซาตานต้องการเสมอที่จะอยู่ในสภาวะที่มีโอกาสเท่าเทียมกันกับพระเจ้า—และพวกศัตรูของพระคริสต์ก็เช่นกัน กล่าวคือ พวกเขาก็ครองแก่นแท้นี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า มีผู้คนที่ยกย่องพระเจ้าและให้การเป็นพยานต่อพระองค์เป็นนิตย์ เป็นพยานต่อพระราชกิจของพระองค์และต่อผลที่การพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระองค์มีในมนุษย์ พวกเขาสรรเสริญพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด และพวกเขายังสรรเสริญราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายด้วยเช่นกัน พวกศัตรูของพระคริสต์ยังปรารถนาที่จะชื่นชมทั้งหมดนี้ด้วยเช่นกันหรือไม่ หรือพวกเขาไม่ปรารถนา? พวกเขาปรารถนาที่จะชื่นชมการสนับสนุน การยกยอ การยกย่อง—แม้กระทั่งการสรรเสริญจากผู้คน พวกเขาคิดหาแนวคิดที่น่าละอายอะไรอื่นได้บ้าง? พวกเขาต้องการให้ผู้คนเชื่อในพวกเขา พึ่งพาพวกเขาในทุกสรรพสิ่ง การที่ผู้คนจะพึ่งพาพระเจ้าก็ไม่เป็นไรเช่นกัน—แต่หากในขณะที่ผู้คนพึ่งพาพระเจ้า การพึ่งพาศัตรูของพระคริสต์ย่อมเป็นไปได้และจริงแท้สำหรับผู้คนมากกว่า เช่นนั้นแล้วพวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะพอใจอย่างยิ่ง หากเจ้ายังรวมความสัมฤทธิ์ผลซึ่งสมควรได้รับการยกย่องทั้งหมดของพวกศัตรูของพระคริสต์เข้าไว้ด้วยกัน และขับร้องการสรรเสริญของพวกเขาท่ามกลางพี่น้องชายหญิงของเจ้า โดยออกอากาศทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำไปอย่างกว้างไกล ในเวลาเดียวกันกับที่เจ้าสรรเสริญพระเจ้าและนับพระคุณที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้า เช่นนั้นแล้วในหัวใจของพวกเขา พวกเขาย่อมจะปลาบปลื้มอย่างน่าอัศจรรย์ และพวกเขาย่อมจะรู้สึกพอใจ ด้วยเหตุนี้ หากพูดจากทัศนคติเกี่ยวกับแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ เมื่อเจ้าพูดว่าพระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจ ว่าพระองค์ทรงชอบธรรม และว่าพระองค์สามารถช่วยผู้คนให้รอดได้ เมื่อเจ้าพูดว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครองแก่นแท้เช่นนั้น ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำพระราชกิจประเภทนี้ได้ และไม่มีผู้ใดสามารถยืนหยัดแทนพระองค์หรือเป็นตัวแทนพระองค์ในการทำสิ่งเหล่านี้ได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถครองแก่นแท้นี้และทำสิ่งเหล่านี้ได้ กล่าวคือ เมื่อเจ้าพูดการนี้ พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับคำพูดเหล่านี้ในหัวใจของพวกเขา และไม่ยอมรับรู้คำพูดเหล่านี้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมรับคำพูดเหล่านี้? เพราะพวกเขามีความทะเยอทะยาน—นั่นคือด้านหนึ่งของประเด็นปัญหานี้ อีกด้านก็คือพวกเขาไม่เชื่อ อีกทั้งพวกเขาไม่ยอมรับรู้เนื้อหนังที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ว่าเป็นพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนพูดว่าพระเจ้าทรงเอกลักษณ์ ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงชอบธรรม พวกเขาใช้ข้อยกเว้นในหัวใจของพวกเขาและจะต้านทานการนั้นภายใน โดยพูดว่า “ผิดแล้ว—ฉันก็ชอบธรรมเช่นกัน!” เมื่อเจ้าพูดว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงบริสุทธิ์ พวกเขาก็จะพูดว่า “ผิดแล้ว—ฉันก็บริสุทธิ์เช่นกัน!” เปาโลคือตัวอย่างของการนี้ กล่าวคือ เมื่อผู้คนเผยแผ่พระวจนะขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า โดยพูดว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงมอบพระโลหิตอันล้ำค่าของพระองค์เพื่อมวลมนุษย์ ว่าพระองค์ได้ทรงรับใช้ในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป และได้ทรงช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอด และได้ทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงจากบาป—เปาโลรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินการนี้? เขาได้ยอมรับรู้หรือไม่ว่าทั้งหมดนี้คือพระราชกิจของพระเจ้า? เขาได้ยอมรับรู้หรือไม่ว่า องค์หนึ่งเดียวผู้สามารถทำทั้งหมดนี้ได้คือพระคริสต์ และว่ามีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถทำทั้งหมดนั้นได้? แล้วเขาได้ยอมรับรู้หรือไม่ว่า มีเพียงองค์หนึ่งเดียวผู้สามารถทำทั้งหมดนี้ได้เท่านั้นที่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้? เขาไม่ได้ยอมรับรู้ เขาพูดว่า “หากพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนได้ เช่นนั้นแล้วผู้คนก็ถูกตรึงกางเขนได้เช่นกัน! หากพระองค์ทรงมอบพระโลหิตอันล้ำค่าของพระองค์ได้ เช่นนั้นแล้วผู้คนก็สามารถทำอย่างนั้นได้เช่นกัน! ซึ่งนอกไปจากนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็สามารถประกาศได้เช่นกัน และข้าพเจ้ามีความรู้มากกว่าพระองค์ และข้าพเจ้าสามารถสู้ทนความทุกข์ได้! หากท่านพูดว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าไม่ควรได้รับการเรียกขานว่าพระคริสต์ด้วยหรอกหรือ? หากท่านเผยแผ่พระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วท่านก็ควรเผยแผ่ชื่อของข้าพเจ้าด้วยมิใช่หรือ? หากพระองค์ทรงเหมาะที่จะได้รับการเรียกขานว่าพระคริสต์ หากพระองค์สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้ และหากพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเราไม่เป็นเช่นนั้นด้วยหรอกหรือ? พวกเราที่มีความสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้ และผู้ที่สามารถตรากตรำและทำงานเพื่อพระเจ้าได้—พวกเราไม่สามารถถูกเรียกว่าพระคริสต์ได้ด้วยหรอกหรือ? การได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าและการถูกเรียกว่าพระคริสต์จะแตกต่างจากพระคริสต์อย่างไร?” สรุปสั้นๆ ก็คือ ศัตรูของพระคริสต์ไม่อาจเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้าในแง่มุมที่เป็นความทรงเอกลักษณ์ของพระองค์ และพวกเขาไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าคือสิ่งใด พวกเขาเชื่อว่า “การเป็นพระคริสต์หรือการเป็นพระเจ้าคือสิ่งที่คนเราสามารถไขว่คว้ามาได้ด้วยการใช้ความแข็งแกร่งทางทักษะหรือความสามารถ เช่นเดียวกับการที่คนเราได้อำนาจมาจากการต่อสู้ พระองค์ไม่ได้ถูกเรียกว่าพระคริสต์เพราะมีแก่นแท้ของพระเจ้า การเป็นพระคริสต์คือผลลัพธ์ที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยากจากทักษะของตนเอง เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายในโลก—ผู้ใดที่มีทักษะมากกว่าและมีความสามารถเหนือกว่าย่อมได้เป็นเจ้าหน้าที่ที่มีตำแหน่งใหญ่โต และเป็นผู้ที่สามารถยื่นคำขาดได้” นี่คือตรรกะของพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับรู้พระวจนะของพระเจ้าว่าคือความจริง แก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ถูกพูดถึงในพระวจนะของพระเจ้าไม่อาจจับใจความได้สำหรับพวกเขา พวกเขาเป็นคนธรรมดา เป็นคนนอก และพวกเขาไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นการพูดคุยของพวกเขาจึงประกอบด้วยคำพูดของคนนอก เป็นคำพูดที่ปราศจากความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณ หากพวกเขาได้ทำงานมาเป็นเวลาสองสามปีและคิดว่าตนมีความสามารถในการทนทุกข์และจ่ายราคาได้ คิดว่าตนสามารถพูดโวหารมากมายในขณะที่ประกาศคำสอน คิดว่าตนได้เรียนรู้วิธีแสดงบทบาทของคนหน้าซื่อใจคดและสามารถชักพาผู้อื่นให้หลงผิดและได้รับการเห็นด้วยจากบางคน เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมเชื่ออย่างแน่นอนว่าตนเองมีความสามารถที่จะกลายเป็นพระคริสต์และกลายเป็นพระเจ้า
พวกเจ้ามีคำถามใดอีกหรือไม่? (ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะทรงสามัคคีธรรมเรื่องความหมายของการทดสอบพระเจ้ากับพวกเราเพิ่มเติมอีกหน่อยได้หรือไม่? การทดสอบพระเจ้าสำแดงในตัวผู้คนในหนทางใดบ้าง?) การทดสอบพระเจ้าคือเมื่อผู้คนไม่รู้จักวิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติ และไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจพระองค์ พวกเขาจึงมักจะเกิดการเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลจากพระองค์อยู่บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น เมื่อใครบางคนล้มป่วย พวกเขาอาจจะอธิษฐานถึงพระเจ้าให้ทรงรักษาพวกเขา “ฉันจะไม่ไปรับการรักษา—มาดูกันว่าพระเจ้าจะทรงรักษาฉันหรือไม่” แล้วหลังจากที่อธิษฐานอยู่นานพอสมควรโดยที่พระเจ้าไม่ทรงกระทำสิ่งใด พวกเขาก็กล่าวว่า “ในเมื่อพระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งใด ฉันก็จะกินยา และดูว่าพระองค์จะทรงขัดขวางฉันไหม หากยาติดคอฉันหรือฉันทำน้ำหก นั่นอาจจะเป็นวิธีที่พระเจ้าทรงขัดขวางหรือกีดกันฉันไม่ให้กินยา” นั่นคือการทดสอบ หรือตัวอย่างเช่น เจ้าได้รับมอบหมายให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ในสถานการณ์ปกติ ทุกคนต่างตัดสินใจผ่านการสามัคคีธรรมและการพิจารณาร่วมกันว่าสิ่งที่จำเป็นสำหรับหน้าที่ของเจ้าและสิ่งที่เจ้าควรทำคืออะไร จากนั้นเจ้าจึงกระทำการเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นขณะที่เจ้ากำลังกระทำการ นั่นก็คืออธิปไตยของพระเจ้า—หากพระเจ้าจะทรงขัดขวางเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะทรงทำการนั้นในเชิงรุก อย่างไรก็ตาม สมมุติเจ้ากล่าวในการอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า วันนี้ข้าพระองค์กำลังออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ การนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์หรือไม่? ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐจะสามารถยอมรับข่าวประเสริฐได้หรือไม่ และไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วพระองค์จะทรงควบคุมเรื่องนี้อย่างไร ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงจัดการเตรียมการ ทรงนำ และทรงแสดงให้ข้าพระองค์เห็นถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน เจ้านั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม จากนั้นก็กล่าวว่า “เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ตรัสอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย? บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังอ่านพระวจนะของพระองค์ไม่มากพอ พระองค์จึงไม่สามารถทรงแสดงสิ่งเหล่านั้นให้ฉันเห็น หากเป็นเช่นนั้น ฉันจะออกไปที่นั่นทันที หากฉันล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า พระเจ้าอาจจะทรงกันไม่ให้ฉันไป และหากทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่นและพระเจ้าไม่ทรงขัดขวางฉัน นั่นอาจจะเป็นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันไปได้” นั่นคือการทดสอบ เหตุใดพวกเราจึงเรียกสิ่งนั้นว่าการทดสอบ? พระราชกิจของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้คนเพียงปฏิบัติหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ จัดการเตรียมการชีวิตประจำวันของตน และดำเนินชีวิตที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติในหนทางที่สอดคล้องกับหลักธรรมก็เป็นเรื่องที่ใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทดสอบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำการอย่างไรหรือพระองค์จะประทานการทรงนำใด จงใส่ใจเพียงการทำในสิ่งที่เจ้าพึงกระทำ อย่ามีความคิดอื่นเพิ่มเติมเสมอ เช่น “พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันทำเช่นนี้หรือไม่? หากฉันทำเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงจัดการกับฉันอย่างไร? ฉันทำในหนทางนี้ถูกต้องหรือไม่?” หากเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าถูกต้อง เช่นนั้นก็จงใส่ใจเพียงการทำสิ่งนั้นเถิด จงอย่ามัวนึกถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ แน่นอนว่าการอธิษฐานเป็นเรื่องดี อธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำชีวิตของเจ้าในวันนี้ ให้ทรงนำหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติในวันนี้ การที่คนคนหนึ่งมีหัวใจและมีท่าทีที่นบนอบนั้นเพียงพอแล้ว ตัวอย่างเช่น เจ้ารู้ว่า หากเจ้าเอามือสัมผัสกระแสไฟฟ้า เจ้าก็จะโดนไฟดูดและอาจจะเสียชีวิต ทว่าเจ้าก็ยังคิดทบทวนว่า “ไม่ต้องห่วง พระเจ้าทรงคุ้มครองฉันอยู่ ฉันแค่ต้องลองดู ดูว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉันไหม และดูว่าการทรงคุ้มครองของพระเจ้าให้ความรู้สึกอย่างไร” จากนั้นเจ้าก็เอามือไปสัมผัสกระแสไฟฟ้า ผลลัพธ์ก็คือเจ้าถูกไฟดูด—นั่นคือการทดสอบ บางสิ่งบางอย่างนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ถูกต้องและไม่ควรทำ หากเจ้ายังคงทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อดูว่าพระเจ้าจะทรงมีปฏิกิริยาอย่างไร นั่นคือทดสอบ บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าไม่ชอบพระทัยเวลาที่ผู้คนแต่งตัวหรูหราและแต่งหน้าจัด เช่นนั้นฉันก็จะทำ และดูว่าความรู้สึกเมื่อพระเจ้าทรงตำหนิฉันอยู่ภายในใจนั้นเป็นอย่างไร” แล้วหลังจากที่พวกเขาแต่งหน้าเสร็จสิ้น พวกเขาก็มองกระจกและกล่าวว่า “ให้ตายเถอะ ฉันเหมือนผีที่มีชีวิตเลย แต่ฉันก็แค่รู้สึกว่ามันน่ารังเกียจนิดหน่อยและไม่สามารถทนดูตัวเองในกระจกได้ ไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนั้น—ฉันไม่รู้สึกถึงความเกลียดชังจากพระเจ้า และฉันก็ไม่รู้สึกถึงพระวจนะของพระองค์ที่ลงมาเพื่อลงโทษและพิพากษาฉันในทันทีเลย” นี่คือพฤติกรรมประเภทใด? (การทดสอบ) หากบางครั้งเจ้าทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินใน และเจ้ารู้โดยชัดเจนว่าเจ้าเป็นเช่นนั้น การที่เจ้าแค่กลับตัวและกลับใจย่อมเพียงพอแล้ว แต่เจ้ากลับเฝ้าอธิษฐานเสมอว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทำตัวสุกเอาเผากิน—ขอพระองค์ทรงบ่มวินัยข้าพระองค์ทีเถิด!” มโนธรรมของเจ้ามีจุดประสงค์อย่างไร? หากเจ้ามีมโนธรรม เจ้าก็ควรรับผิดชอบพฤติกรรมของตัวเจ้าเอง เจ้าควรควบคุมพฤติกรรมของตนให้ได้ จงอย่าอธิษฐานถึงพระเจ้า—เพราะการอธิษฐานนั้นจะกลายเป็นการทดสอบ การเอาสิ่งที่จริงจังอย่างยิ่งมาทำเป็นเรื่องตลกเป็นการทดสอบ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง การทดสอบบางประการมักจะเกิดขึ้นเมื่อผู้คนอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาพระองค์ในยามที่เผชิญปัญหา และในท่าที ข้อเรียกร้อง และหนทางบางอย่างที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้า โดยหลักแล้วการทดสอบเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการใด? เจ้าอยากเห็นว่าพระเจ้าจะทรงกระทำเช่นไร หรืออยากเห็นว่าพระเจ้าทรงสามารถทำบางสิ่งได้หรือไม่ได้ เจ้าต้องการทดสอบพระเจ้า เจ้าต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อยืนยันว่าพระเจ้าทรงเป็นเช่นไร เพื่อยืนยันว่าพระวจนะใดที่พระเจ้าตรัสถูกต้องและเที่ยงตรง สิ่งใดสามารถกลายเป็นจริง และสิ่งใดที่พระองค์ทรงทำให้สัมฤทธิ์ได้ ทั้งหมดนี้คือการทดสอบ การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางเหล่านี้ปรากฏในตัวพวกเจ้าอยู่เป็นประจำใช่หรือไม่? สมมุติว่ามีบางอย่างที่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าทำถูกแล้วหรือไม่ หรือไม่รู้ว่าการทำเช่นนั้นสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่ ในที่นี้มีสองวิธีการที่จะสามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่เจ้าทำในเรื่องนี้เป็นการทดสอบหรือไม่ หรือเป็นสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่ วิธีการหนึ่งคือการมีหัวใจที่ถ่อมใจและแสวงหาความจริง โดยกล่าวว่า “นี่คือวิธีที่ฉันรับมือและมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน และสิ่งที่เป็นในตอนนี้คือผลลัพธ์ของการที่ฉันรับมือในหนทางนั้น ฉันไม่สามารถเข้าใจได้ว่านี่คือสิ่งที่ฉันควรทำจริงๆ หรือไม่” เจ้าคิดอย่างไรกับท่าทีเช่นนี้? นี่เป็นท่าทีของการแสวงหาความจริง—ไม่มีการทดสอบอยู่ในการนี้ สมมุติเจ้ากล่าวว่า “ทุกคนตัดสินใจเรื่องนี้ร่วมกันหลังจากที่สามัคคีธรรมกันแล้ว” ใครบางคนถามว่า “ใครมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้? ใครคือผู้ตัดสินใจหลัก?” และเจ้าตอบไปว่า “ทุกคน” เจตนาของเจ้าก็คือ “หากพวกเขากล่าวว่าสิ่งนี้ได้รับการจัดการตามหลักธรรม ฉันก็จะบอกว่าฉันเป็นคนทำ หากพวกเขากล่าวว่าสิ่งนี้ไม่ได้รับการจัดการตามหลักธรรม ฉันก็จะเริ่มด้วยการไม่บอกว่าใครเป็นคนทำและใครเป็นคนตัดสินใจ ในหนทางนี้ ต่อให้พวกเขาดึงดันและพยายามที่จะหาคนรับผิดชอบ พวกเขาจะไม่โยนความผิดมาที่ฉัน และหากใครสักคนต้องเสียหน้า ก็จะไม่ใช่ฉันเพียงคนเดียว” หากเจ้าพูดไปด้วยเจตนาเช่นนั้น นั่นย่อมเป็นการทดสอบ ใครบางคนอาจจะกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเกลียดชังเวลาที่มนุษย์ทำตามสิ่งทั้งหลายทางโลก พระองค์ทรงเกลียดชังสิ่งต่างๆ อย่างเช่น วันแสดงความรำลึกและวันเทศกาลของมวลมนุษย์” ตอนนี้เมื่อเจ้ารู้เช่นนี้แล้ว เจ้าก็เพียงทำให้ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นตราบเท่าที่สถานการณ์จะเอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม สมมุติว่าเจ้าจงใจที่จะทำตามสิ่งทางโลกขณะที่ทำสิ่งทั้งหลายในช่วงเทศกาล และในขณะที่เจ้าทำสิ่งเหล่านั้น เจตนาที่เจ้าเก็บซ่อนไว้ว่า “ฉันเพียงแต่กำลังดูว่าพระเจ้าจะทรงบ่มวินัยฉันที่ทำเช่นนี้หรือไม่ พระองค์จะสนพระทัยฉันบ้างหรือไม่ ฉันเพียงแต่กำลังดูว่า ที่จริงแล้วพระองค์ทรงมีท่าทีอย่างไรกับฉัน ดูว่าความเกลียดชังของพระองค์นั้นลึกซึ้งเพียงใด พวกเขาบอกว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังสิ่งนี้ พวกเขาบอกว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์และชิงชังความชั่ว ดังนั้น ฉันจะดูว่าพระองค์ทรงชิงชังความชั่วและจะทรงบ่มวินัยฉันอย่างไร ในยามที่ฉันทำสิ่งเหล่านี้ หากพระเจ้าทรงทำให้ฉันคลื่นไส้อาเจียน เวียนหัวอย่างหนัก ไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้ เช่นนั้นย่อมจะดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังสิ่งเหล่านี้จริงๆ พระองค์จะไม่ตรัสเพียงอย่างเดียว—แต่ข้อเท็จจริงจะยืนยันในเรื่องนี้” หากเจ้าคาดหวังที่จะเห็นภาพนั้นอยู่เสมอ เจ้าจะมีพฤติกรรมและเจตนาประเภทใด? เจ้ากำลังทดสอบ มนุษย์ต้องไม่ทดสอบพระเจ้าเป็นอันขาด หากเจ้าทดสอบพระเจ้า พระองค์ย่อมซ่อนเร้นพระองค์จากเจ้าและหลบพระพักตร์ไปจากเจ้า และคำอธิษฐานของเจ้าย่อมไร้ประโยชน์ บางคนอาจจะถามว่า “ถึงแม้ฉันจะมีหัวใจที่จริงใจ ก็ไม่ได้ผลเช่นนั้นหรือ?” ใช่ ถึงแม้เจ้ามีหัวใจที่จริงใจก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงยอมให้ผู้คนทดสอบพระองค์ พระองค์ทรงชิงชังความชั่ว หากเจ้าสำราญกับแนวคิดและความคิดเลวร้ายเหล่านี้ พระเจ้าย่อมจะซ่อนเร้นพระองค์จากเจ้า พระองค์จะไม่ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าอีกต่อไป ทว่าพระองค์จะทรงละวางเจ้า และเจ้าจะทำสิ่งทั้งหลายที่โง่เขลา ขัดขวาง และก่อกวนต่อไปจนกว่าเจ้าจะถูกแสดงให้เห็นว่าที่จริงแล้วเจ้าเป็นอย่างไร นี่คือผลสืบเนื่องที่เกิดจากการที่ผู้คนทดสอบพระเจ้า
(ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มีคำถาม ข้าพระองค์บริหารจัดการอุปกรณ์ในคริสตจักร ข้าพระองค์มักมีท่าทีเหลาะแหละและไม่จริงจังต่อหน้าที่นี้ตลอดเวลา พี่น้องชายหญิงได้ชี้ให้ข้าพระองค์เห็นถึงข้อผิดพลาดและตัดแต่งข้าพระองค์ อีกทั้งสามัคคีธรรมกับข้าพระองค์ถึงตัวอย่างที่พระเจ้าเคยประทานไว้เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่แอบดื่มยาแก้ไอ พระเจ้าไม่ทรงบ่มวินัยหรือตำหนิเขา แต่ทรงกำจัดเขาออกไปเมื่อเขาดื่มเสร็จ พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่ทนต่อการก้าวล่วงของมนุษย์—ข้าพระองค์รู้จักคำพูดเหล่านั้น แต่ข้าพระองค์มีทัศนะที่ว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมรักและเปี่ยมความกรุณา พระองค์อาจจะไม่ทรงปฏิบัติต่อข้าพระองค์เช่นเดียวกับที่ทรงปฏิบัติต่อคนคนนั้น เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงไม่เคยเกรงกลัว จากสามัคคีธรรมของพระเจ้าในวันนี้ ข้าพระองค์รู้สึกว่าตัวเองมีท่าทีกังขาพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และมีพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์ นั่นคือการทดสอบพระเจ้า และไม่เคยเกรงกลัวพระองค์เลย) ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อคนคนหนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นเกรงกลัวพระองค์หรือไม่ และไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าทีชั่วคราวที่คนคนนั้นอาจมีต่อเรื่องนั้นๆ พระเจ้าไม่ทรงถือว่านิสัยที่ไม่ดีและการที่คนคนหนึ่งแสดงออกและเผยให้เห็นถึงการขาดความรับผิดชอบในเรื่องสัพเพเหระของชีวิตเป็นปัญหาร้ายแรง เพียงแค่เจ้าสามารถทุ่มเทตนเองให้กับหน้าที่ที่สำคัญของเจ้าและมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่นั้นย่อมเพียงพอแล้ว หากเจ้ารู้สึกว่าตนเองไม่มีวันรับผิดชอบการบริหารจัดการอุปกรณ์ได้ และเจ้าไม่สามารถใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อทำหน้าที่นั้นให้ดีได้ นั่นแสดงให้เห็นถึงสิ่งใด? ในส่วนหนึ่ง นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ถนัดการบริหารจัดการ ยิ่งไปกว่านั้น นั่นยังแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่เหมาะสมกับงานนี้อย่างยิ่ง หากเจ้ารู้สึกว่าการที่เจ้ายังคงทำงานนั้นอยู่ สักวันหนึ่งอาจจะนำไปสู่ความวิบัติ เจ้าก็ควรแนะนำให้ผู้อื่นมาทำงานนี้ ปล่อยให้ใครบางคนในคริสตจักรที่เหมาะสมกับงานนี้เข้ามาทำแทนเจ้า จากนั้นเจ้าก็ไปทำงานที่ถนัดและสนใจ และหน้าที่นั้นอย่างจงรักภักดี นอกจากนี้ หากใครบางคนรักความจริงโดยแท้จริงและปรารถนาที่จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริง ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เป็นที่รังเกียจของผู้อื่น แต่ได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน เช่นนั้นพวกเขาก็ควรมุ่งมั่นที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี และขณะที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็ควรมีเจตจำนงที่จะกล่าวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้า หากข้าพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี โปรดทรงบ่มวินัยข้าพระองค์—โปรดทรงพระราชกิจของพระองค์ด้วยเถิด คนคือผู้ที่บริหารจัดการผู้อื่นได้แย่มาก อย่างดีที่สุดพวกเขาก็อาจจะสอนใครบางคนให้กลายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษในด้านใดด้านหนึ่ง แต่ในเรื่องของเส้นทางที่ใครบางคนเดิน ทัศนะที่พวกเขามีต่อชีวิต เป้าหมายที่พวกเขาเลือกในชีวิต และประเภทของคนที่พวกเขาเลือกจะเป็นนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดช่วยเหลือพวกเขาได้ มีเพียงพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้ การนี้เป็นจริงได้อย่างไร? เพราะผู้คนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้—พวกเขาต้องปล่อยพระเจ้าทรงจัดการสิ่งทั้งหลาย แล้วคนคนหนึ่งต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ใดเพื่อให้พระเจ้าทรงพระราชกิจ ก่อนที่พระองค์จะเต็มพระทัยทรงพระราชกิจนั้น? อันดับแรกพวกเขาต้องมีเจตจำนงและความทะเยอทะยานดังกล่าว โดยกล่าวว่า “ฉันรู้ว่าฉันไม่เคยทำงานนี้ให้ดีได้เลย พี่น้องชายหญิงไม่เคยพอใจ—ตัวฉันเองก็ไม่เคยรู้สึกพอใจ—แต่ฉันต้องการทำงานนี้ให้ดี ฉันจะทำอย่างไรดี? ฉันจะมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและปล่อยให้พระองค์ทรงพระราชกิจในตัวฉัน” หากเจ้ายอมให้พระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวเจ้า อันดับแรกคือเจ้าต้องสามารถทนทุกข์ได้—เมื่อพระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้า เมื่อพระองค์ทรงตำหนิเจ้า เจ้าต้องสามารถยอมรับการนั้นได้ การมีหัวใจที่เชื่อฟังและยอมรับเป็นจุดเริ่มต้นของการทำสิ่งใดก็ตามให้ดี เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่า ก่อนที่ทุกคนจะได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ พวกเขาย่อมจะมีข้อกังขาเกี่ยวกับความชอบธรรมและมหิทธานุภาพของพระเจ้า สิ่งที่แตกต่างกันคือผู้คนธรรมดาที่เสื่อมทรามย่อมสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาได้ตามปกติ ไล่ตามเสาะหาความจริง และมารู้จักพระเจ้าได้ทีละน้อย ถึงแม้พวกเขาจะมีข้อกังขาอยู่บ้างก็ตาม ความทะเยอทะยานส่วนตัวของพวกเขาแข็งขันและเป็นบวก ศัตรูของพระคริสต์นั้นตรงกันข้ามเลยทีเดียว ความทะเยอทะยานส่วนตัวของพวกเขาไม่ใช่การยอมรับและเชื่อฟัง และพวกเขาก็ไม่ปรารถนาที่จะยอมรับ แต่กลับต้านทานแทน พวกเขาไม่ยอมรับ เช่นนั้นแล้วข้อดีของคนธรรมดาที่เสื่อมทรามคืออะไร? พวกเขายอมรับและรักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกจากก้นบึ้งของหัวใจ—เพียงแต่ด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา จึงมีหลายครั้งหลายหนที่พวกเขาห้ามตัวเองไม่ได้ พวกเขาทำได้ไม่ดี และสิ่งต่างๆ ยากเกินความเข้าใจของพวกเขา นอกเหนือการควบคุม ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดความคิดลบและอ่อนแอในหัวใจอยู่บ่อยครั้ง รู้สึกว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการพวกเขา พระองค์ทรงเกลียดชังพวกเขา นั่นเป็นความรู้สึกที่ดีหรือไม่? การมีความรู้สึกเช่นนั้นเป็นเรื่องดี—นี่หมายความว่าเจ้ามีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด และเป็นหมายสำคัญว่าเจ้าสามารถได้รับการช่วยให้รอด หากเจ้าไม่แม้แต่จะรู้สึกเช่นนั้น ความหวังที่จะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดของเจ้าย่อมอยู่ห่างไกลมากทีเดียว การมีความรู้สึกนี้เองที่แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังคงมีมโนธรรม มีศักดิ์ศรี และมีความซื่อตรง—แสดงให้เห็นว่า เจ้ายังคงมีความมีเหตุผลอยู่ในตัว หากเจ้าไม่มีแม้แต่สิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือศัตรูของพระคริสต์ คือผู้ไม่เชื่ออย่างแท้จริง ในตอนนี้เจ้าเพียงแต่มีพฤติกรรมบางอย่างของผู้ไม่เชื่อ มีสิ่งที่พวกเขาเผยออกมาเล็กน้อย และมีอุปนิสัยของพวกเขาอยู่บ้าง แต่เจ้ามิใช่ผู้ไม่เชื่อ ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าเชื่อในพระองค์และเจ้าคือผู้ติดตามของพระองค์ ถึงแม้เจ้าจะยังมีปัญหาและข้อบกพร่องอยู่มากมายบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระองค์ ในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า ในทัศนะของเจ้า และในทุกแง่มุมชีวิตส่วนตัวของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขอย่างไร? นั่นเป็นเรื่องง่ายทีเดียว ตราบเท่าที่เจ้าทำได้ตามข้อกำหนดพื้นฐานของการมีมโนธรรมและเหตุผล การไล่ตามเสาะหาความจริง และการรักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก ปัญหาทั้งปวงนี้ก็สามารถได้รับการแก้ไข—เพียงแต่รอให้ถึงเวลาเท่านั้น ตราบเท่าที่เจ้าสามารถยอมรับความจริง และยอมรับการตีสอนและการบ่มวินัยที่มาจากพระเจ้าได้ เจ้าก็ได้ผ่านอุปสรรคแรกมาแล้ว อุปสรรคต่อมาคือ ในส่วนของเจ้านั้น เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า รวมถึงสภาวะนานาประการที่เกิดขึ้นในตัวเจ้าขณะที่มีสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า อีกทั้งเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ในขณะที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระองค์ ฟังสามัคคีธรรม และฟังคำพยานจากประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิง เจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้ได้บ่อยๆ ทูลพระองค์ถึงสถานการณ์และสภาวะของเจ้า รวมถึงปัญหาทั้งหลายที่เจ้าเผชิญ ทูลสิ่งเหล่านั้นต่อพระองค์อย่างเปิดเผย และยอมรับการตัดแต่ง การบ่มวินัยและการตีสอนจากพระองค์ แม้กระทั่งการที่พระองค์ทรงเผยเจ้าและท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อเจ้าด้วยใจจริง—หัวใจของเจ้าจำเป็นต้องเปิดรับพระองค์ มิใช่ปิดกั้น ตราบเท่าที่หัวใจของเจ้าเปิดอยู่ มโนธรรมและเหตุผลของเจ้าย่อมสามารถที่จะทำหน้าที่ และความจริงก็จะสามารถเข้าสู่ตัวเจ้าและก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้าได้ จากนั้นปัญหาทั้งหมดนี้ย่อมสามารถได้รับแก้ไข สิ่งเหล่านี้มิได้ยากเกินจะแก้ไข ไม่มีสิ่งใดเป็นปัญหาใหญ่เลย การที่ผู้คนทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินเป็นเรื่องธรรมดา นี่คือภาวะที่พบได้บ่อยที่สุดในบรรดามวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม ภาวะหนึ่งคือการเปี่ยมด้วยคำโกหก และอีกภาวะหนึ่งคือการอู้งาน ทำตัวสุกเอาเผากิน และขาดความรับผิดชอบในทุกสิ่ง อยู่ในสภาวะของการทำอย่างขอไปที อยู่ในภาวะของการจับแพะชนแกะ—นี่คือบรรทัดฐานของมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามทั้งปวง สิ่งเหล่านี้ร้ายแรงน้อยกว่าการที่มนุษย์ต้านทานพระเจ้าและปฏิเสธความจริงมากนัก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าสนพระทัยในตัวมนุษย์เสียด้วยซ้ำ หากพระเจ้าทรงประเมินผู้คนในเรื่องยิบย่อย เช่นนั้นแล้ว หากพวกเขาพูดผิดหนึ่งเรื่อง พระองค์ก็จะไม่ทรงต้องการพวกเขา หากพวกเขาเคยทำผิดพลาดเล็กน้อยหนึ่งครั้ง พระองค์ก็จะไม่ทรงต้องการพวกเขา หากผู้คนเคยทำตัวมุทะลุด้วยความเยาว์วัยและทำสิ่งทั้งหลายด้วยความใจร้อน พระเจ้าก็จะไม่โปรดพวกเขา แล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่พระองค์ทรงละทิ้งและกำจัดออกไป หากสิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนี้ ย่อมจะไม่มีใครได้รับการช่วยให้รอดเลยแม้แต่คนเดียว บางคนจะกล่าวว่า “พระองค์ตรัสว่าพระเจ้าทรงกล่าวโทษผู้คนและกำหนดจุดจบของพวกเขาตามพฤติกรรมของพวกเขามิใช่หรือ?” นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง บนเส้นทางในการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คนเพื่อสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยและความรอด พระเจ้าทรงมองว่า สภาวะดังกล่าวในตัวมนุษย์เป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุด เป็นเรื่องปกติและพบเห็นได้ทั่วไป พระเจ้าไม่ทรงมองดูสิ่งเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ พระองค์ทรงมองดูสิ่งใด? พระองค์ทรงดูว่าเจ้ามีการไล่ตามเสาะหาที่เป็นบวกหรือไม่ และท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริงและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก รวมถึงต่อการไล่ตามเสาะหาความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยนั้นเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงดูว่าเจ้ามีความปรารถนาดังกล่าวหรือไม่ เจ้ากำลังเพียรพยายามอยู่หรือไม่ เมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่าเจ้ามีสิ่งเหล่านี้ ทรงเห็นว่าเจ้าถูกมโนธรรมของตนตำหนิในยามที่ทำผิด เจ้ารู้จักเกลียดการทำผิด รู้จักมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า รวมทั้งสารภาพบาปและกลับใจต่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว พระองค์ย่อมตรัสว่าเจ้ามีความหวัง และเจ้าจะไม่ถูกกำจัดออกไป เจ้าคิดว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ความรักและความกรุณาของพระองค์เป็นเพียงวลีที่ว่างเปล่าหรือ? โดยแท้จริงแล้ว เป็นเพราะพระเจ้าทรงมีแก่นแท้ดังกล่าว พระองค์จึงทรงมีท่าทีต่อบุคคลแต่ละประเภท และท่าทีเหล่านี้ก็สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่ง—ท่าทีเหล่านี้จึงไม่ใช่วลีที่ว่างเปล่าแต่อย่างใด
การพูดคุยถึงแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ที่พวกเราคุยกันมาระยะหนึ่งแล้วนี้ เป็นสิ่งที่ตั้งใจให้ทุกคนได้ฟัง ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจและแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ อีกทั้งกำหนดได้ว่าใครคือศัตรูของพระคริสต์ และปฏิเสธคนเหล่านั้นไปเสีย นอกจากนี้ก็เพื่อให้รู้โดยทั่วกันว่า ทุกคนต่างมีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์เช่นเดียวกับศัตรูของพระคริสต์ เพียงแต่ศัตรูของพระคริสต์ที่แท้จริงเท่านั้นที่จะถูกละทิ้งและกำจัดออกไป ในขณะที่คนธรรมดาซึ่งมีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์คือผู้ที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด และไม่ใช่ผู้ที่พระองค์จะทรงกำจัด การสามัคคีธรรมกับผู้คนถึงแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์และอุปนิสัยในแต่ละแง่มุมของพวกเขาไม่ใช่การกล่าวโทษผู้คน—นี่คือการช่วยผู้คนให้รอด มอบเส้นทางให้พวกเขา ทำให้พวกเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประการใด เมื่อพระเจ้าตรัสว่ามวลมนุษย์คือศัตรูของพระองค์ จริงๆ แล้วพระองค์ตรัสถึงสิ่งใด และเหตุใดจึงตรัสเช่นนั้น—โดยแท้แล้ว เป็นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทใดในตัวมนุษย์ และการเผยถึงการต้านทานและความเป็นกบฏต่อพระเจ้าในลักษณะใดที่ทำให้พระองค์ตรัสเช่นนั้น และทำให้ทรงกระทำการกล่าวโทษเหล่านี้ แน่นอนว่านี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงต้องการช่วยมนุษย์ให้รอด เพราะพระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งมวลมนุษย์ หรือผู้ติดตามพระองค์ หรือบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร พระองค์จึงตรัสและทรงพระราชกิจในหนทางนั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การที่พระเจ้าตรัสและทรงพระราชกิจเช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าพระองค์ทรงน่ารักอย่างไร ทรงอดกลั้นและเอาจริงเอาจังกับผู้คนเพียงใด และทรงทุ่มเทความพยายามไปมากเพียงไรเท่านั้น การเข้าใจสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อย่างไร? เมื่อผู้คนเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พวกเขาย่อมมีความรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอยู่บ้าง—แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขายังไม่ถูกแก้ไขเลย พระเจ้าตรัสด้วยความอดทนอย่างจริงจังเพื่อให้ผู้คนเห็นว่า พระเจ้าทรงมานะอุตสาหะและตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะช่วยผู้คนให้รอด—พระองค์ไม่ทรงล้อเล่น พระเจ้าทรงต้องการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และพระองค์ก็ทรงมุ่งมั่นที่จะทำเช่นนั้น การนี้จะเห็นได้อย่างไร? ไม่มีความจริงแง่มุมใดที่พระเจ้าตรัสจากด้านเดียวหรือมุมเดียว และพระองค์ก็ไม่ได้ตรัสในหนทางเดียว—ในทางกลับกัน พระองค์ตรัสบอกความจริงแก่ผู้คนจากแง่มุมต่างๆ ด้วยรูปแบบที่แตกต่างกัน ด้วยภาษาที่แตกต่างกัน และในระดับที่แตกต่างกันเพื่อที่ผู้คนจะได้รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและรู้จักตนเอง และเข้าใจทิศทางที่พวกเขาพึงไล่ตามเสาะหา รวมถึงเส้นทางที่พวกเขาควรเลือกเดินจากการนี้ พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อที่ผู้คนจะได้ละทิ้งและปรับเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตน และปล่อยมือจากปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก หนทางในการเอาตัวรอด รวมถึงหนทางและรูปแบบในการดำรงชีวิตที่ซาตานใช้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เพื่อให้พวกเขากลับมาดำเนินชีวิตตามหนทาง รูปแบบ ทิศทาง และเป้าหมายที่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นและตรัสบอกพวกเขา พระเจ้ามิได้ทรงทำทั้งหมดนี้เพื่อให้ผู้คนเชื่อ เพื่อให้พวกเขาเห็นถึงเจตนารมณ์ที่เปี่ยมกรุณาและอุตสาหะของพระองค์ หรือเห็นว่าทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำนั้นยากเย็นเพียงใด เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้น จงมุ่งเน้นเพียงการหาสิ่งที่เจ้าควรปฏิบัติในพระวจนะที่พระเจ้าตรัส รวมถึงเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในพระวจนะเหล่านั้น เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมความจริง วางตัวและปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง และทำพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เสร็จสิ้น เช่นนั้นเองที่เจ้าจะสัมฤทธิ์ความรอด ด้วยเหตุนี้พระเจ้าย่อมพอพระทัย และเรื่องราวเกี่ยวกับความรอดของมนุษย์จะสัมฤทธิ์โดยสมบูรณ์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ด้วยเช่นกัน สำหรับช่วงเวลาที่ยังคงมีคำสอนมากมายอยู่ในคำพูดของผู้คน ช่วงเวลาที่พวกเขาประพฤติตนอย่างตื้นเขินเกินไป ช่วงเวลาที่พวกเขาทำตัวสุกเอาเผากินอยู่เสมอ ช่วงเวลาที่ความหยาบช้าของพวกเขามีอำนาจครอบงำ—โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนหนุ่มสาวที่ไม่มีแนวโน้มจะทำตามกฎเกณฑ์ คนที่เพลิดเพลินกับการนอนตื่นสายอยู่เป็นครั้งคราว คนที่มีนิสัยบางอย่างที่ไม่สมเหตุสมผลหรือไม่เจริญใจต่อผู้อื่นนัก—จงอย่าฝืนในสิ่งเหล่านี้ จงค่อยเป็นค่อยไปกับสิ่งเหล่านี้ ตราบเท่าที่เจ้าเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง สามารถทุ่มเทให้กับพระวจนะของพระเจ้า และสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้ง เปิดใจของเจ้ากับพระองค์ พระเจ้าย่อมจะทรงพระราชกิจ ไม่มีผู้ใดสามารถใช้กำลังหรือวิธีการของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้ รวมถึงพ่อแม่ของเจ้าที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเจ้าได้
การที่เจ้าได้มายังพระนิเวศของพระเจ้าในวันนี้เป็นพระราชกิจของพระเจ้า และการที่เจ้าสามารถฟังคำเทศนาที่นี่ได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย แม้กระทั่งในยุคนี้ ท่ามกลางกระแสชั่ว และทำหน้าที่ของเจ้าโดยไม่ได้ค่าตอบแทนสักแดงเดียว—นี่คือพระราชกิจของพระเจ้า เหตุใดพระเจ้าจึงทรงทำเช่นนี้? พระเจ้าทรงโปรดปรานสิ่งใดในตัวเจ้าหรือ? พระเจ้าทรงโปรดปรานที่เจ้าพอมีสำนึกของความยุติธรรมอยู่บ้าง เจ้ามีมโนธรรม รังเกียจกระแสชั่ว และชอบสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก เจ้าเฝ้ารอการมาถึงของราชอาณาจักรของพระเจ้า เฝ้ารอการปกครองของพระคริสต์และความจริง เจ้ามีความทะเยอทะยานเหล่านี้ และพระเจ้าทรงโปรดปรานสิ่งเหล่านี้ในตัวเจ้า ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงพาเจ้ามายังพระนิเวศของพระองค์ เจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงมองไม่เห็นข้อผิดพลาดและนิสัยแย่ๆ ของเจ้าหรือ? พระเจ้าทรงล่วงรู้ข้อผิดพลาดของเจ้า—พระองค์ทรงรู้ข้อผิดพลาดของเจ้าทั้งหมด หากพระองค์ทรงรู้ เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงจัดการสิ่งเหล่านั้น? สิ่งเหล่านั้นทำให้ผู้คนรู้สึกขัดแย้งในหัวใจอยู่หลายครั้ง พวกเขากล่าวว่า “พระเจ้าจะทรงช่วยคนอย่างฉันให้รอดหรือ? คนอย่างฉันจะสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้หรือ? ฉันช่างเลวร้ายและเสื่อมทรามเหลือเกิน ไม่เต็มใจที่จะนบนอบการบ่มวินัย และเป็นกบฏอย่างยิ่ง—แถมฉันยังต้านทานและกังขาในพระเจ้า พระเจ้าจะยังทรงเลือกฉันได้อย่างไร?” สิ่งใดกำลังกวนใจเจ้าอยู่? พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงช่วยเจ้าให้รอดได้ เจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงทำได้ เพียงเจ้ามุ่งเน้นการฟังพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับและปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านั้นก็เพียงพอแล้ว อย่ามัวติดอยู่กับเรื่องอื่น—อย่าคิดลบเพราะเรื่องเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครบังคับเจ้าได้ ไม่มีใครมีสิ่งใดมากล่าวหาเจ้าได้ พระเจ้าไม่สนพระทัยสิ่งเหล่านั้น หากเจ้าถูกรบกวนในการไล่ตามเสาะหาความจริงและเส้นทางที่ถูกต้องด้วยนิสัยที่ไม่ดี ข้อเสีย หรือความเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากการพัวพันกับปัญหามากมายในชีวิต นั่นคือความสูญเสียมิใช่หรือ? นั่นย่อมไม่ควรค่ามิใช่หรือ? (ใช่) ขณะนี้มีผู้คนมากมายที่ติดอยู่ในสภาวะดังกล่าว บางคนกล่าวว่าพวกเขามีบุคลิกที่หุนหันพลันแล่นเกินไป พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายโดยไม่ละเอียดรอบคอบ และพวกเขาไม่ชอบการศึกษาเล่าเรียน พวกเขากล่าวว่าตนเองก็มีนิสัยที่ไม่ดีเช่นกัน พวกเขาไม่ชอบลุกจากที่นอนในตอนเช้าหรือเข้านอนตอนหัวค่ำ ทั้งยังรักการเล่นเกม บางครั้งพวกเขาก็ชอบคุยเรื่องสัพเพเหระ และบางครั้งพวกเขาก็ชอบเล่าเรื่องตลก พวกเขาถามว่า พระเจ้าจะทรงช่วยฉันให้รอดหรือ? การที่เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมากมายเกี่ยวกับตัวเองนั้นเป็นปัญหามิใช่หรือ? เหตุใดเจ้าจึงไม่แสวงหาเสียหน่อยเล่า? โดยแท้จริงแล้ว ทัศนะของพระเจ้าเป็นอย่างไร และพระวจนะของพระองค์กล่าวถึงอะไรกันแน่? ในพระวจนะของพระเจ้ามีการกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นปัญหาหรือไม่? บางคนกล่าวว่าพวกเขาชอบแต่งตัวและต้องคอยยับยั้งตนเองอยู่เสมอ คนอื่นกล่าวว่าพวกเขาชอบกินเนื้อสัตว์และมีความอยากอาหารมากเกินไป สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาเล็กน้อย ข้อเสียเหล่านี้ บุคลิกเหล่านี้ หรือนิสัยในชีวิตเหล่านี้เป็นเพียงข้อบกพร่องในความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ไม่นับว่าเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม สิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องแก้ไขอย่างแท้จริงคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน อย่าลืมมองที่ภาพรวม เมื่อเจ้าเรียนรู้ว่าตนเองมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเริ่มมุ่งเน้นที่จะทบทวนและแยกแยะอุปนิสัยเหล่านั้น ทุ่มเทความพยายาม และเริ่มเกลียดชังอุปนิสัยเหล่านั้น ข้อเสียเล็กน้อยที่เจ้ามีจะค่อยๆ เปลี่ยนไป—สิ่งเหล่านั้นจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป คนหนุ่มสาวบางคนรักสนุก เมื่อพวกเขาจัดการงานอันถูกควรของตนแล้ว การเล่นสนุกสักพักหนึ่งย่อมไม่เป็นไร หญิงสาวบางคนรักที่จะเป็นคนสวย รักการแต่งตัวและแต่งหน้า ตราบเท่าที่มันไม่มากจนเกินไป และพวกเธอไม่ได้แต่งตัวแปลกๆ หรือแต่งหน้าเสียหนาเตอะ เรื่องนั้นก็ไม่เป็นไรเช่นเดียวกัน ไม่มีใครจำกัดพวกเธอ สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นปัญหาเลย นิสัยในชีวิตเหล่านี้ ข้อเรียกร้องต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพวกเขา และปัญหาเล็กน้อยทางบุคลิก—สิ่งเหล่านี้ไม่อาจทำให้เจ้าต้านทานพระเจ้า และไม่อาจทำให้เจ้าต่อต้านความจริงได้ สิ่งที่ทำให้เจ้าต้านทานพระเจ้าอย่างแท้จริง สิ่งที่กีดกันเจ้าไม่ให้มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์และทำให้เจ้ากบฏต่อพระองค์ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เมื่อเจ้าสามารถค้นพบ รู้จัก และเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และได้รับความปรารถนาส่วนตนที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง ข้อเสียเล็กน้อยทั้งหมดนี้ย่อมสามารถแก้ไขได้ และเมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้รับการแก้ไข—ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเจ้า นั่นคือการต้านทานพระเจ้า ย่อมได้รับการแก้ไข—แล้วข้อเสียเล็กน้อยเหล่านั้นของเจ้ายังจะถือว่าเป็นปัญหาอยู่หรือไม่? เมื่อถึงเวลานั้น เรื่องเล็กน้อยอย่างวิธีวางตัวของเจ้า วิธีที่เจ้าดำเนินชีวิต สิ่งที่เจ้ากิน สิ่งที่เจ้าดื่ม วิธีพักผ่อนของเจ้า วิธีทำหน้าที่ของเจ้า และวิธีที่ที่เจ้าลงรอยกับผู้อื่นย่อมจะมีหลักธรรมมากขึ้นทีละน้อย ก่อนถึงเวลานั้น เจ้าจะเรียนรู้ว่าการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราเคยเป็นและยังคงเป็นเรื่องใหญ่หลวงในชีวิตของคนคนนั้น และเมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราได้รับการแก้ไข ปัญหาทั้งปวงย่อมได้รับการแก้ไขเช่นเดียวกัน เมื่อเจ้าได้แก้ไขปัญหาเรื่องการกบฏต่อพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือเวลาที่เจ้าจะใช้ชีวิตด้วยสภาพเสมือนมนุษย์ ด้วยความมีศักดิ์ศรี เป็นไปได้ว่าตอนนี้เจ้าจะไม่แสดงข้อเสียเล็กน้อยบางอย่างอีกต่อไป ผู้คนอาจจะสรรเสริญเจ้า กล่าวว่าเจ้าเป็นคนหนุ่มสาวที่ดี ว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าด้วยความจริงใจ ว่าเจ้าดูเหมือนผู้เชื่อในพระเจ้า แต่หากพระเจ้าตรัสว่าเจ้าอาจจะยังกบฏต่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว พฤติกรรมภายนอกที่ดีของเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ยอดเยี่ยมเพียงไรย่อมไร้ประโยชน์ ปัญหาพื้นฐานยังไม่ได้รับการแก้ไข—อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ายังคงไม่ได้รับการแก้ไข และเจ้าอาจจะยังกบฏต่อพระเจ้าอยู่ เจ้ายังคงห่างไกลจากความรอดอยู่มาก! การที่เจ้ามีเพียงพฤติกรรมอันดีจะมีประโยชน์อะไร? เจ้ากำลังหลอกตนเองด้วยสิ่งเหล่านั้นมิใช่หรือ?
ปัญหาสำคัญอย่างยิ่งยวดที่เจ้าต้องแก้ไขในตอนนี้คืออะไร? (ปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทราม) บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันชอบใส่เสื้อผ้าที่มีสีสัน แต่พระนิเวศของพระเจ้าไม่ชอบ เพราะฉะนั้นฉันจะต่อต้านเสื้อผ้าเหล่านั้น” เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น—หากเจ้าชอบก็ใส่ไปเถิด บางคนกล่าวว่า “ฉันชอบแต่งหน้าทาแป้ง และชอบที่จะดูดีเวลาออกไปเจอผู้คนในทุกวัน—มันดีมากเลยละ!” ตราบใดที่เจ้ามีเวลา การทำเช่นนั้นย่อมไม่มีปัญหา บางคนกล่าวว่า “ฉันชอบกินอาหารเลิศรส—ฉันชอบอาหารเผ็ด และชอบอาหารเปรี้ยวด้วย” ตราบเท่าที่เจ้ามีวิธีการ มีโอกาส และมีเวลาว่าง เจ้าสามารถกินสิ่งเหล่านี้จนหนำใจได้ ต่อให้เจ้าละเว้นสิ่งเหล่านี้ ควบคุมสิ่งเหล่านี้ และต่อต้านสิ่งเหล่านี้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะไม่ได้รับการแก้ไข การที่เจ้าควบคุมสิ่งเหล่านี้จะให้ผลอย่างไร? เจ้าสู้ทนกับความทรมานแสนสาหัสทางเนื้อหนัง แต่ในหัวใจ เจ้ากลับรู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรม—เช่นนั้นแล้ว ผลสืบเนื่องอันเป็นลบที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าเพิ่มเติมคืออะไร? เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าได้ทนทุกข์อย่างหนักเพื่อพระเจ้า รู้สึกว่าเจ้าได้รับความจริงแล้ว แต่ในความเป็นจริงเจ้าจะไม่ได้รับหรือไม่ได้เป็นสิ่งใดเลย เจ้าอาจจะแต่งตัวสง่างาม มีเกียรติ และสุขุม—เจ้าอาจจะดูเหมือนพี่หรือน้องชายหญิง และดูมีระเบียบ—แต่เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แล้ว หากเจ้ากลับไม่สามารถค้นพบหลักธรรมความจริง และหากเจ้าอาจจะไปก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร ปัญหาพื้นฐานของเจ้าได้รับการแก้ไขแล้วหรือไม่? (ไม่) ด้วยเหตุนั้น ไม่ว่าเจ้ามองเรื่องนี้อย่างไร การเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจความจริง การเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง และการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าย่อมเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด จงอย่าใช้ความพยายามไปกับปัญหาสัพเพเหระและพฤติกรรมภายนอกไม่กี่ประการ จมอยู่กับสิ่งเหล่านั้นและไม่ยอมปล่อยมือ รู้สึกผิดและติดค้างอยู่ในหัวใจตลอดเวลา ทั้งยังแก้ไขสิ่งเหล่านั้นราวกับเป็นเรื่องใหญ่อยู่เสมอ สิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำเช่นนั้นคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะไม่ถูกแก้ไขไปตลอดกาล หากเจ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าเจ้าเป็นคนประเภทใด หรือเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประการใด—หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย นั่นจะไม่สร้างความวุ่นวายให้สิ่งต่างๆ หรอกหรือ? เมื่อเจ้าได้มารู้จักแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตน ปัญหาเล็กน้อยทั้งหลายที่เจ้ามีย่อมจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และเริ่มปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงได้ เจ้าก็จะค่อยๆ หลุดพ้นจากปัญหาเล็กน้อยเหล่านั้นได้โดยธรรมชาติ นี่ก็เหมือนกับบุคลิกที่อยู่ไม่สุขหรือการเป็นคนเฉื่อยชา การเป็นคนพูดเก่งหรือเป็นคนเงียบขรึม—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นประเด็นในเรื่องบุคลิก คนบางคนออกเสียงชัดเจน ขณะที่ผู้อื่นไม่เป็นเช่นนั้น บางคนกล้าหาญและกล้าพูดต่อหน้าผู้คนมากมาย ขณะที่คนอื่นๆ กล้าหาญน้อยกว่าและไม่กล้าพูดเมื่อมีผู้คนมากมายอยู่รายล้อม คนบางคนชอบเข้าสังคม ขณะที่บางคนเก็บตัว สิ่งเหล่านี้มิใช่ปัญหาแต่อย่างใด แล้วสิ่งใดที่เป็นปัญหา? อุปนิสัยที่ต้านทานพระเจ้าของศัตรูของพระคริสต์—นั่นคือปัญหา นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด เป็นต้นกำเนิดความเสื่อมทรามทั้งปวงของมนุษย์ หากเจ้าแก้ไขปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ปัญหาอื่นๆ ก็ย่อมไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
มีคำถามใดอีกหรือไม่? (พระเจ้า ข้าพระองค์มีคำถาม ในการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น ข้าพระองค์มีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่เป็นปกติ แต่หัวใจที่รักและไล่ตามเสาะหาความจริงของข้าพระองค์ไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก เมื่อข้าพระองค์รู้สึกว่าสภาวะของตนเองไม่ถูกต้อง ข้าพระองค์ก็ไล่ตามเสาะหาอย่างขะมักเขม้นอยู่สองสามวัน แต่เมื่อวันเหล่านั้นผ่านไป ข้าพระองค์ก็ทำตัวหย่อนยานอีกครั้ง สภาวะนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และข้าพระองค์รู้ว่านี่คืออุปนิสัยที่รังเกียจความจริง แต่ข้าพระองค์ยังไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยนี้ได้จากต้นตอ) นั่นเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้—การเข้าสู่ชีวิตของมนุษย์เป็นเช่นนั้นเอง การปรารถนาที่จะแก้ไขปัญหานี้อยู่เสมอคือเจ้ากำลังทำผิดพลาด ยกตัวอย่างเช่น ในการพยายามหาสามี ผู้หญิงบางคนมีเกณฑ์ว่าการที่ชายคนนั้นหน้าตาธรรมดาย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เขาต้องเป็นคนโรแมนติก เขาต้องจำให้ได้ว่าทั้งคู่เจอกันครั้งแรกเมื่อไรและที่ไหน ต้องจำวันเกิด วันครบรอบ และอื่นๆ ได้ เขาต้องจำวันสำคัญให้ได้ทุกวัน และต้องไม่ลืมที่จะกล่าวว่า “ผมรักคุณนะที่รัก!” อยู่เป็นระยะ และต้องหมั่นซื้อของขวัญให้เธอเป็นครั้งคราว เธอจะทดสอบเขาว่า “วันที่เราไปเดตกันครั้งแรกคือวันอะไร? วันวาเลนไทน์คือเมื่อใด?” ผู้หญิงเหล่านั้นมักจะมองหาความโรแมนติกและการปลุกเร้าเช่นนั้น และหากชีวิตเกิดความน่าเบื่อ พวกเธอก็ย่อมไม่พอใจและพร่ำบ่นสามีของตนว่า “ดูสิ คุณนี่ทึ่มเสียจริง ไม่รู้จักความโรแมนติกเอาเสียเลย การใช้ชีวิตอยู่กับคุณช่างน่าเบื่อเหลือเกิน! คุณทำชีวิตฉันพังหมดแล้ว!” มีผู้หญิงมากมายที่แสดงข้อเสียในด้านนี้มิใช่หรือ? และเมื่อเจ้ากล่าวว่าสามีของคนอื่นเป็นคนโรแมนติก รู้วิธีเอาอกเอาใจผู้หญิง และปฏิบัติต่อภรรยาของตนราวกับเจ้าหญิง ผู้หญิงเหล่านี้ก็อิจฉาจนทนไม่ไหว หวังจะคว้าสามีคนอื่นมาเป็นของตน พวกเธอไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตธรรมดาทั่วไป เจ้าเคยแสดงข้อเสียเช่นนี้ออกมาหรือไม่? (เคย) ขณะที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและทรงช่วยผู้คนให้รอดนั้นไม่ได้มีเรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจมากมายนัก และพระองค์ก็จะไม่ทรงสร้างความประหลาดให้เจ้า นี่คือสิ่งที่ปกติและธรรมดา—นั่นคือความหมายของคำว่าสัมพันธ์กับชีวิตจริง การไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ได้ใช้ความรู้สึก ตราบเท่าที่เจ้ามีการไล่ตามเสาะหาอยู่ในหัวใจ และตราบเท่าที่เจ้าคอยตรวจสอบเป็นครั้งคราวว่าเส้นทางที่เจ้าเดินเบี่ยงเบนหรือไม่ และมีข้อผิดพลาดจากความพลั้งเผลอหรือความสูญเสียที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ในหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติหรือไม่ และเจ้าสามัคคีธรรมว่า ระหว่างช่วงเวลานี้พี่น้องชายหญิงมีความเข้าใจเชิงลึกหรือความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าขาดพร่องไปหรือไม่ ขณะอ่านพระวจนะของพระเจ้า การทำความเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นของเจ้ามีการบิดเบือนหรือไม่ มีสิ่งที่เกินความเข้าใจของเจ้า เป็นสิ่งที่เจ้ายังไม่เคยมีประสบการณ์ หรือละเลยอยู่หรือไม่ และอื่นๆ—ตราบเท่าที่เส้นทาง เป้าหมาย และทิศทางทั้งหมดนั้นถูกต้องและเป็นปกติ นั่นย่อมจะเพียงพอแล้ว ตราบเท่าที่ทิศทางโดยทั่วไปของเจ้าถูกต้อง นั่นก็เพียงพอแล้ว จงอย่าแสวงหาความตื่นเต้น และอย่ามองหาความประหลาดใจ ไม่มีผู้ใดจะมาสร้างความประหลาดใจให้เจ้า การเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นเหมือนกับการดำเนินชีวิตของผู้คนปกติ โดยส่วนใหญ่ค่อนข้างราบเรียบมาก เพราะเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ที่ไม่ได้มีสิ่งใดเหนือธรรมชาติ และไม่มีสิ่งใดแยกจากชีวิตจริง นั่นคือความราบเรียบ แต่ระหว่างชีวิตที่ราบเรียบแบบนี้กับชีวิตของผู้ไม่เชื่อมีสิ่งที่ต่างกันอยู่ ขณะที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตน เจ้าก็กำลังเรียนรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอยู่ตลอดเวลา แก้ไขและเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับพระเจ้าอยู่อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับความจริงที่เจ้าไม่เข้าใจ รู้จักและยอมรับความจริงที่เจ้าไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจอยู่เป็นนิจ นั่นคือความแตกต่าง นั่นเป็นความแตกต่างที่ค่อนข้างมากอยู่แล้ว—พวกเจ้าจะร้องขอสิ่งใดได้อีกเล่า? สิ่งที่เกิดขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้า ในคริสตจักร และรอบตัวเจ้ามีมากพอแล้วมิใช่หรือ? สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่พระเจ้าเริ่มทรงพระราชกิจมาจนถึงตอนนี้มีมากพอให้ผู้คนพิจารณา วันเวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก เวลาสิบปี ยี่สิบปีผ่านไปในชั่วพริบตา และในอีกพริบตา เวลาก็ผ่านไปสามสิบหรือห้าสิบปีแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเหมาะสมสำหรับชีวิตของคนคนหนึ่ง ยังมีความน่าตื่นเต้นใดให้มองหาอีกเล่า? สิ่งเหล่านี้น่าตื่นเต้นพออยู่แล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้าควรทำให้เจ้าค้นพบสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ ค้นพบความจริง และเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจสำหรับเจ้า นั่นก็ไม่ราบเรียบแล้วมิใช่หรือ? (ใช่) การไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่การแสวงหาความตื่นเต้น สำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ในโลกวัตถุนิยมย่อมเป็นเช่นนั้นเอง อย่าไปมองหาความตื่นเต้น—การมองหาความตื่นเต้นและความรู้สึกเป็นสิ่งที่คนอิ่มท้องและว่างงานทำกัน ในการทำหน้าที่และไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน พวกเขาย่อมมีบทเรียนใหม่ๆ ให้เรียนรู้ทุกวัน บางคนจะกล่าวว่า “แล้วทำไมฉันไม่ได้เรียนรู้ล่ะ?” นั่นอาจจะเป็นเพราะเจ้ามีความก้าวหน้าที่ช้ากว่า หากมีสิ่งต่างๆ ที่เจ้าเรียนรู้อยู่ทุกเดือน เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว ตราบเท่าที่เจ้ามีความก้าวหน้าและกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าจะแสดงบางสิ่งบางอย่างออกมา การสามัคคีธรรมนี้ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวบ้างหรือยัง? (แก้ไขแล้ว) แก้อย่างไร? คำพูดใดที่แก้ไขปัญหาดังกล่าว? (ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขเพราะข้าพระองค์รู้ว่าทัศนะของข้าพระองค์ในการไล่ตามเสาะหาการเชื่อในพระเจ้าของข้าพระองค์ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง—ทัศนะของข้าพระองค์มิใช่หนทางที่มีเหตุผลในการไล่ตามเสาะหา ข้าพระองค์มองหาการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งปลุกเร้าอยู่เสมอ ไล่ตามไขว่คว้าความรู้สึกต่างๆ และมองพระเจ้าด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเท่านั้น โดยรักษาความสัมพันธ์กับพระองค์ในระยะห่างที่เปี่ยมความเคารพอยู่เสมอ แต่กลับเพิกเฉยเรื่องที่ว่า ผู้คนจะมีจุดอ่อนในกระบวนการของการเข้าสู่ชีวิต และนั่นจะทำให้พวกเขาเติบโตขึ้น อีกทั้งเรื่องที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ นั่นเป็นเรื่องปกติ) เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว ในยามที่ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ผู้คนก็ควรทำหน้าที่ของตนและไล่ตามเสาะหาต่อไปอย่างที่ควรทำ จงอย่ามองหาความตื่นเต้นหรือเกิดความรู้สึกต่อสิ่งทั้งหลาย จงอย่าอ่อนไหวจนเกินไปและกล่าวว่า “เหตุใดวันนี้ฉันถึงอารมณ์ไม่ดี? อ๋อ เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพระเจ้าห่างเหินกัน—ฉันจะรีบไปอธิษฐาน!” เจ้าไม่จำเป็นต้องไวต่อความรู้สึกเช่นนั้น พระเจ้าไม่ได้สนพระทัย พระองค์ไม่ใส่พระทัยกับเรื่องหยุมหยิมเหล่านั้นของเจ้า! เจ้าอาจจะกล่าวว่า “ฉันไม่ได้อธิษฐานถึงพระเจ้ามาหลายวันแล้ว แต่เวลาปฏิบัติตน ฉันก็หมั่นแสวงหาพระเจ้าอยู่ในหัวใจ และฉันยังมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่” เรื่องนั้นไม่มีปัญหา บางคนจะกล่าวว่า “โอ้ ฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับหน้าที่จนตอนนี้ไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามาหลายวันแล้ว” เจ้าไม่ได้ผ่านกระบวนการนั้น—เจ้าเมินเฉยต่อการนั้น—แต่ในระหว่างการทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าได้พบปัญหามากมาย เจ้าได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางอย่างออกมา และเจ้าก็ได้ฟังสามัคคีธรรมจากผู้อื่นตลอดช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เจริญใจเจ้าอย่างยิ่ง นั่นมิใช่ประโยชน์ที่แท้จริงหรือ? เจ้ามิได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้เข้าใจและได้รับความจริงหรอกหรือ? การยืนกรานให้เจ้าทำเช่นนั้นด้วยวิธีการหรือลักษณะเฉพาะบางอย่างจะมีประโยชน์อะไร? เอาละ พวกเราจะจบสามัคคีธรรมของวันนี้แต่เพียงเท่านี้ ลาก่อน! (ขอบคุณพระเจ้า และลาก่อน!)
30 พฤษภาคม ค.ศ. 2020