ประการที่สิบสอง: พวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะหรือไม่มีหวังที่จะได้รับพร

สามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงต่างๆ ของศัตรูของพระคริสต์ในวันนี้เป็นประการที่สิบสองที่ว่าพวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะหรือไม่มีหวังที่จะได้รับพร  การเปิดโปงประการนี้ก็เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์เช่นกัน และเป็นหนึ่งในการสำแดงที่เป็นรูปธรรมของพวกเขา  จากมุมมองเพียงผิวเผิน ศัตรูของพระคริสต์จะต้องการถอนตัวหากพวกเขาขาดสถานะและไม่มีหวังที่จะได้รับพร  ครั้นพวกเขาได้สูญเสียสองสิ่งนี้ไป พวกเขาจะต้องการถอนตัว  ความหมายโดยผิวเผินดูเข้าใจง่ายมาก—ดูไม่สลับซับซ้อนมากหรือเป็นนามธรรม แต่อะไรคือการสำแดงอันเฉพาะเจาะจงในที่นี้?  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สถานการณ์จำพวกใดเป็นเหตุให้ศัตรูของพระคริสต์ต้องการถอนตัว เพราะผลกระทบที่เกิดกับสถานะหรือความหวังของตนที่จะได้รับพร?  นี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่สามัคคีธรรมเชิงลึกหรือไม่?  หากขอให้พวกเจ้าแบ่งปันสามัคคีธรรมเรื่องนี้ พวกเจ้าจะพูดถึงรายละเอียดและการสำแดงอันเฉพาะเจาะจงของเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  คนบางคนอาจจะพูดว่า “พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องนี้กันไปตั้งหลายครั้งแล้ว  พวกศัตรูของพระคริสต์รักสถานะและอำนาจ พวกเขาเพลิดเพลินกับการมีเกียรติยศอันสูงส่ง และเป้าหมายที่พวกเขามีความเชื่อก็เพื่อให้ได้รับพร ได้สวมมงกุฎและได้บำเหน็จรางวัล  ถ้าความหวังเหล่านี้ถูกทำให้พังทลายและสูญสิ้นไป เช่นนั้นพวกเขาก็จะหมดความสนใจในการเชื่อในพระเจ้า และจะไม่อยากมีความเชื่ออีกต่อไป”  สามัคคีธรรมเรื่องนี้ของพวกเจ้าจะเรียบง่ายเหมือนกับคำพูดแค่ไม่กี่คำนี้หรือไม่?  (ใช่)  หากเป็นเช่นนั้น หากสามัคคีธรรมนี้สามารถสรุปได้ด้วยถ้อยแถลงไม่กี่ประโยคนี้ เช่นนั้นการสำแดงของศัตรูของพระคริสต์ในแง่มุมนี้ก็คงไม่ควรค่าที่จะมีหมวดหมู่เป็นของตัวเองในชุดสามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงของศัตรูของพระคริสต์ของพวกเรา และคงไม่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ธรรมชาติเฉพาะอันใด  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประการที่สิบสองนี้สัมพันธ์กับแก่นแท้และอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ ตลอดจนการไล่ตามไขว่คว้าและมุมมองส่วนตัวของพวกเขาที่มีต่อการดำรงอยู่ เช่นนั้นก็หมายความว่านี่เป็นหัวข้อที่มีหลายแง่มุม  ดังนั้นแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวกับสิ่งใดกันแน่?  กล่าวก็คือ ศัตรูของพระคริสต์เผชิญเรื่องใดบ้างที่เกี่ยวกับสถานะและความหวังในการได้รับพรของตน?  มุมมอง ความคิด และท่าทีที่พวกเขามีต่อเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างไร?  แน่นอนว่าระหว่างการสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้กับสามัคคีธรรมก่อนหน้านี้ของพวกเราที่ว่าด้วยมุมมองของศัตรูของพระคริสต์ที่มีต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ย่อมจะมีการทับซ้อนอยู่บ้าง แต่จุดมุ่งเน้นของสามัคคีธรรมในวันนี้นั้นต่างออกไป และเป็นเรื่องของประเด็นปัญหาที่มาจากต่างมุม  วันนี้พวกเราจะเจาะจงสามัคคีธรรมถึงการสำแดงทั้งหลายที่แสดงตัวออกมาในยามที่ศัตรูของพระคริสต์สูญเสียสถานะและความหวังของตนในการได้รับพร ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่า พวกศัตรูของพระคริสต์มีมุมมองที่ไม่ถูกต้องในการไล่ตามเสาะหา และความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็ไม่เที่ยงแท้ การสำแดงเหล่านี้สามารถพิสูจน์ยืนยันได้อีกด้วยว่าผู้คนเหล่านี้มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์จริงๆ

I. ท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อการถูกตัดแต่ง

ก่อนอื่น พวกเราควรมองที่พฤติกรรมทั้งหลายที่ศัตรูของพระคริสต์สำแดงออกมาเมื่อตนถูกตัดแต่ง พวกเขารับมือกับสถานการณ์เช่นนั้นอย่างไร พวกเขามีท่าที ความคิด และมุมมองต่อการตัดแต่งอย่างไร และพวกเขาพูดหรือทำสิ่งใดเป็นพิเศษ—เรื่องเหล่านี้ควรค่าต่อการชำแหละและวิเคราะห์ของพวกเรา  พวกเราได้สามัคคีธรรมหัวข้อทั้งหลายที่เกี่ยวกับการถูกตัดแต่งไปไม่น้อย นี่เป็นหัวข้อทั่วไปที่พวกเจ้าทุกคนคุ้นเคย  เพียงหลังการตัดแต่งหลายครั้งหลายหนแล้วเท่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง—พวกเขาจึงจะสามารถแสวงหาความจริงและรับมือกับเรื่องทั้งหลายได้ตามหลักธรรมในขณะที่ทำหน้าที่ของตน และเมื่อนั้นเท่านั้นที่ความเชื่อของพวกเขาจะเริ่มต้นใหม่และเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในทางที่ดีขึ้น  กล่าวได้ว่า ทุกครั้งที่ถูกตัดแต่งอย่างหนักหน่วงย่อมตราตรึงอยู่ในหัวใจของทุกคน และทิ้งความทรงจำที่มิอาจลบเลือน  แน่นอนว่าทุกครั้งที่ถูกตัดแต่งอย่างหนักหน่วงย่อมทิ้งความทรงจำที่ไม่มีวันลืมให้กับศัตรูของพระคริสต์ด้วยเช่นกัน แต่ความแตกต่างอยู่ตรงไหน?  ท่าทีและการสำแดงนานัปการของศัตรูของพระคริสต์ที่มีต่อการตัดแต่ง ตลอดจนความคิด มุมมอง แนวคิด และอื่นๆ ที่ออกมาจากสถานการณ์นี้ล้วนต่างจากของคนธรรมดาทั่วไป  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือต้านทานและปฏิเสธอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ  พวกเขาต่อสู้  แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  นี่เป็นเพราะตามแก่นแท้ธรรมชาติจริงๆ ของพวกเขาแล้ว ศัตรูของพระคริสต์รังเกียจและเกลียดชังความจริง พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย  โดยธรรมชาติแล้ว แก่นแท้และอุปนิสัยของศัตรูพระคริสต์ย่อมกีดกันพวกเขาจากการรับรู้ความผิดพลาดหรือรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง  เมื่อดูตามข้อเท็จจริงสองข้อนี้แล้ว ท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อการถูกตัดแต่งจึงเป็นการปฏิเสธและท้าทายอย่างสิ้นเชิงและอย่างถึงที่สุด  พวกเขารังเกียจและต้านทานจากก้นบึ้งของหัวใจ และไม่มีวี่แววของการยอมรับหรือการนบนอบแม้แต่น้อย และยิ่งไม่มีวี่แววของการคิดทบทวนหรือการกลับใจอย่างแท้จริง  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง ไม่ว่าใครจะเป็นคนลงมือก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยเรื่องใด ไม่ว่าพวกเขาจะถูกตำหนิในเรื่องนั้นถึงขั้นไหน ไม่ว่าความผิดของพวกเขาจะโจ่งแจ้งเพียงใด พวกเขาทำความชั่วไปมากเพียงใด หรือความชั่วของพวกเขาก่อให้เกิดผลเช่นไรต่องานของคริสตจักร—ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้  ในสายตาของศัตรูพระคริสต์ คนที่ตัดแต่งพวกเขากำลังหมายหัวพวกเขา หรือกำลังจับผิดเพื่อที่จะทรมานพวกเขา  ศัตรูของพระคริสต์อาจถึงขั้นคิดไปว่าตนกำลังถูกกลั่นแกล้งและเหยียดหยาม ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างมนุษย์คนหนึ่ง พวกเขากำลังถูกดูเบาและปรามาส  หลังจากที่ศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง พวกเขาก็ไม่เคยคิดทบทวนว่าแท้จริงแล้วตนทำอะไรผิด ตนเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอันใดออกมา เคยแสวงหาหลักธรรมที่พึงยึดปฏิบัติตามบ้างหรือไม่ เคยกระทำการตามหลักธรรมความจริงหรือลุล่วงความรับผิดชอบของตนในเรื่องที่พวกเขาถูกตัดแต่งบ้างหรือไม่  พวกเขาไม่ตรวจสอบหรือคิดทบทวนเรื่องเหล่านี้ ไม่ครุ่นคิดและไตร่ตรองปัญหาเหล่านี้  แต่กลับมีท่าทีต่อการตัดแต่งตามเจตจำนงและความหัวร้อนของตน  เมื่อใดก็ตามที่ศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง พวกเขาย่อมจะเต็มไปด้วยความโกรธ ความไม่เชื่อฟัง และความขุ่นเคือง และจะไม่ยอมฟังคำแนะนำของใคร  พวกเขาไม่ยอมรับการถูกตัดแต่ง และไม่สามารถกลับมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทำความรู้จักและทบทวนตนเอง จัดการแก้ไขการกระทำของตนที่ละเมิดหลักธรรม เช่น การทำตัวสุกเอาเผากิน หรือทำตัวเกะกะระรานในหน้าที่ของตน และไม่ใช้โอกาสนี้แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  แต่พวกเขากลับหาข้ออ้างมาปกป้องตัวเอง มาแก้ตัว และพวกเขาจะพูดแม้กระทั่งสิ่งที่ยั่วยุให้เกิดความไม่ลงรอยกันและถึงขั้นยุแยงผู้อื่น  โดยสรุปแล้ว เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง การสำแดงเฉพาะของพวกเขาก็คือความไม่เชื่อฟัง ความไม่พึงพอใจ การขัดขืน และการลองดี รวมทั้งการพร่ำบ่นบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัวใจพวกเขาว่า “ฉันจ่ายราคาสูงขนาดนั้นและทำงานไปตั้งมากมาย  ถึงแม้ฉันไม่ได้ทำตามหลักธรรมหรือแสวงหาความจริงในบางสิ่งบางอย่าง แต่ฉันก็ไม่ได้ทำทั้งหมดนี้เพื่อตัวเอง!  ต่อให้ฉันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่องานของคริสตจักร ฉันก็ไม่มีจุดประสงค์ที่จะทำแบบนั้น!  ใครบ้างที่ไม่ทำผิดพลาด?  คุณไม่สามารถจ้องจับผิดฉันและตัดแต่งฉันอย่างไม่รู้จบโดยไม่คำนึงถึงจุดอ่อนของฉัน และไม่ใส่ใจอารมณ์หรือความนับถือตนเองของฉัน  พระนิเวศน์ของพระเจ้าไม่มีความรักให้กับผู้คนและช่างไม่ยุติธรรมนัก!  ยิ่งไปกว่านั้น คุณตัดแต่งฉันเพราะการทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อย—นี่หมายความว่าคุณมองฉันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรและต้องการกำจัดฉันไม่ใช่หรือ?”  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง สิ่งแรกที่พวกเขาคิดไม่ใช่การทบทวนถึงสิ่งที่ตนเองได้ทำผิดไป หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ตนได้เผยออกมา แต่เป็นการโต้แย้ง อธิบาย และหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง พลางทำการคาดเดา  คาดเดาอะไร?  “ฉันจ่ายราคาไปอย่างใหญ่หลวงปานนั้นในการทำหน้าที่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าเพียงเพื่อถูกตัดแต่ง  ดูเหมือนว่าฉันมีความหวังไม่มากนักที่จะได้รับพร  เป็นได้ไหมว่าพระเจ้าไม่ได้ต้องการให้บำเหน็จรางวัลแก่ผู้คน ดังนั้นพระองค์จึงใช้วิธีการนี้เพื่อเผยผู้คนและกำจัดพวกเขาออกไป?  ฉันควรทุ่มเทความพยายามไปทำไมถ้าไม่มีหวังว่าจะได้รับพร?  ฉันควรทนความยากลำบากไปทำไม?  ในเมื่อไม่มีความหวังที่จะได้รับพร ฉันไม่เชื่อเสียเลยจะดีกว่ากัน!  จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อให้ได้รับพรไม่ใช่หรือ?  ถ้าไม่มีความหวังในเรื่องนั้น ฉันควรสละตัวเองไปทำไม?  หรือว่าบางทีฉันควรจะแค่เลิกเชื่อและพอแค่นี้?  ถ้าฉันไม่เชื่อ คุณยังจะตัดแต่งฉันได้ไหม?  ถ้าฉันไม่เชื่อ คุณก็ตัดแต่งฉันไม่ได้?”  พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่อาจยอมรับการถูกตัดแต่งจากพระเจ้าได้เลย  พวกเขาไม่อาจยอมรับและเชื่อฟังด้วยทรรศนะและท่าทีที่ถูกควร  พวกเขาไม่สามารถทบทวนตนเองผ่านการนี้และเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ เพื่อให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นได้รับชำระให้บริสุทธิ์ได้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับคาดเดาและศึกษาจุดประสงค์ที่ตัวเองถูกตัดแต่งด้วยจิตใจอันคับแคบและร้ายกาจ  พวกเขาเฝ้าดูความคืบหน้าของสถานการณ์อย่างระมัดระวัง ฟังน้ำเสียงของผู้คนเวลาพูดจา เฝ้าสังเกตว่าผู้คนรอบตัวมองตนอย่างไร พูดจากับตนอย่างไร รวมถึงท่าทีของผู้คนเหล่านั้น และใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อยืนยันว่าตนเองมีความหวังที่จะได้รับพรบ้างหรือไม่ หรือพวกเขาถูกเผยและกำจัดออกไปจริงๆ  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่งแค่ครั้งเดียวก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนอย่างใหญ่หลวงและการใคร่ครวญมากมายขนาดนั้นในหัวใจของพวกเขา  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกตัดแต่ง ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือการผลักไส และในหัวใจของพวกเขารู้สึกรังเกียจการนั้น พวกเขาปฏิเสธและต่อสู้กับการนั้นก่อนที่จะพิจารณาคำพูดและสีหน้าของผู้คน แล้วจึงตามด้วยการคาดเดา  พวกเขาใช้สมอง ความคิด และความเฉลียวฉลาดอันน้อยนิดของตนเฝ้าดูความคืบหน้าของสถานการณ์ เฝ้าสังเกตว่าผู้คนรอบตัวมองตนอย่างไร และสังเกตท่าทีที่ผู้นำอาวุโสทั้งหลายมีต่อตน  พวกเขาตัดสินจากสิ่งเหล่านี้ว่าตนยังคงมีความหวังมากเพียงใดที่จะได้รับพร ตนมีเศษเสี้ยวความหวังที่จะได้รับพรหรือไม่ หรือว่าตนถูกเผยและถูกกำจัดจริงๆ หรือไม่  พอถูกต้อนให้จนมุม พวกศัตรูของพระคริสต์ก็เริ่มศึกษาค้นคว้าพระวจนะของพระเจ้าอีกครั้ง พยายามค้นหาหลักการที่ถูกต้องแม่นยำ ความหวังอันน้อยนิด และเครื่องช่วยชีวิตในพระวจนะของพระเจ้า  หลังจากที่พวกเขาถูกตัดแต่งแล้ว หากใครบางคนชูใจและเกื้อหนุนพวกเขา อีกทั้งช่วยเหลือพวกเขาด้วยหัวใจที่เปี่ยมรัก สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนตนยังคงได้รับการยอมรับในฐานะสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าความหวังที่จะได้รับพรยังมีอยู่จริงสำหรับพวกเขา ว่าความหวังของตนยังคงแข็งแกร่ง และพวกเขาจะขจัดทุกความคิดของการถอนตัวออกไป  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่สถานการณ์พลิกผันจนทำให้พวกเขามองเห็นว่าความหวังของตนที่จะได้รับพรกลายเป็นริบหรี่และมลายหายไป ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็คือ “ถ้าฉันไม่สามารถได้รับพร เช่นนั้นฉันก็จะไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป  ใครก็ตามที่รักการเชื่อในพระเจ้าก็เชื่อในพระองค์ได้เลย แต่ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะไม่ยอมรับการตัดแต่งจากคุณ และทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพูดตอนที่คุณกำลังตัดแต่งฉันก็ผิดทั้งสิ้น  ฉันไม่อยากได้ยินและฉันไม่เต็มใจฟัง และฉันจะไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งแม้แต่ตอนที่คุณบอกว่านี่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับคนคนหนึ่งก็ตาม!”  เมื่อพวกเขามองเห็นความหวังในการที่ตนจะได้รับพรกลายเป็นควัน เมื่อพวกเขามองเห็นสถานะที่ตนไล่ตามไขว่คว้ามานานและความฝันที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ใกล้จะสูญสิ้นและหายไป พวกเขาก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการไล่ตามไขว่คว้าของตน หรือการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายที่ตนไล่ตามไขว่คว้า แต่พวกเขากลับนึกถึงการผละจากไปและการถอนตัว พวกเขาไม่ต้องการเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป และคิดว่าตนไม่มีความหวังใดที่จะได้รับพรจากการเชื่อในพระเจ้าของตนอีกต่อไปแล้ว  สำหรับพวกศัตรูของพระคริสต์นั้น หากความเพ้อฝันและความหวังถึงบำเหน็จรางวัล พร และมงกุฎที่ตนต้องการได้รับตั้งแต่แรกที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าหายไป เมื่อนั้นแรงจูงใจที่พวกเขามีต่อการเชื่อในพระเจ้าก็สูญสิ้นไปด้วย เช่นเดียวกับแรงจูงใจของพวกเขาในการสละตนเพื่อพระเจ้าและทำหน้าที่ของตน  เมื่อแรงจูงใจหมดไป พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะอยู่ในคริสตจักรอีกต่อไป ไม่ต้องการที่จะสะเปะสะปะไร้จุดหมายในหนทางนี้อีกต่อไป และพวกเขาต้องการละทิ้งหน้าที่ของตนและไปจากคริสตจักร  นี่คือทั้งหมดที่ศัตรูของพระคริสต์นึกถึงเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง และแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงจนหมดสิ้น  โดยรวมแล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยยอมรับความจริงเลยทั้งในสิ่งที่พวกเขาพูดและสิ่งที่พวกเขาทำ  อุปนิสัยที่ไม่ยอมรับความจริงคืออะไร?  คือการรังเกียจความจริงไม่ใช่หรือ?  นั่นแหละคือสิ่งที่เป็น  การถูกตัดแต่งเป็นการกระทำอันเรียบง่ายในตัวเองที่ยอมรับได้โดยง่าย  ประการแรก ไม่มีเจตจำนงร้ายจากบุคคลที่ตัดแต่งพวกเขา ประการที่สอง เมื่อตัดสินจากเรื่องที่ศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง แน่นอนว่าพวกเขาต้องได้ทำการขัดต่อการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและขัดต่อหลักธรรมความจริงทั้งหลาย มีข้อผิดพลาดหรือความเผอเรอในงานของพวกเขาที่นำมาซึ่งการขัดขวางและการรบกวนงานของคริสตจักร  พวกเขาถูกตัดแต่งเพราะการปลอมปนในเจตจำนงแบบมนุษย์ของตน เพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เพราะเมื่อขาดความเข้าใจในหลักธรรมความจริง พวกเขาก็ปฏิบัติตนตามอำเภอใจ  นี่เป็นสิ่งที่ปกติมาก  ทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่องค์กรใด กลุ่มใดหรือบริษัทใดก็มีกฎเกณฑ์และข้อบังคับ และผู้ใดที่ละเมิดกฎเกณฑ์และข้อบังคับเหล่านี้ย่อมต้องถูกลงโทษและอยู่ในการควบคุม  นี่เป็นปกติอย่างยิ่งและถูกควรโดยสมบูรณ์  อย่างไรก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์มองการอยู่ในความควบคุมอย่างเหมาะควรซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการละเมิดกฎเกณฑ์และข้อบังคับว่าเป็นการที่ผู้อื่นสร้างความลำบากยากเย็นให้กับตน เป็นการลงโทษตนอย่างไม่เป็นธรรม เป็นการจ้องจับผิดตน และเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับตน  นั่นใช่ท่าทีของการยอมรับความจริงหรือไม่?  ชัดเจนมากว่าไม่ใช่  เมื่อปราศจากท่าทีของการยอมรับความจริง เป็นไปได้หรือไม่ที่ใครบางคนซึ่งเป็นแบบนี้จะหลีกเลี่ยงการกระทำผิดพลาดและการเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการรบกวนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน?  แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้  คนจำพวกนี้เหมาะแก่การทำหน้าที่หรือไม่?  พูดตรงๆ ก็คือ พวกเขาไม่เหมาะ  ไม่มีแววเลยว่าคนประเภทนี้จะมีความสามารถในกิจใดๆ

การทำหน้าที่เป็นโอกาสที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร เพื่อที่พวกเขาจะได้ฝึกฝนตัวเอง แต่ผู้คนไม่รู้จักถนอมความล้ำค่าของสิ่งนี้  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขากลับโกรธเกรี้ยว ต่อต้านและเอะอะโวยวาย พวกเขาพยศและเดือดดาล  ราวกับว่าพวกเขาคือธรรมิกชนผู้ไม่เคยทำผิดพลาดเลย  ในหมู่มนุษย์ที่เสื่อมทราม ผู้ใดบ้างที่ไม่ทำผิดพลาด?  การทำผิดพลาดเป็นเรื่องปกติมาก  พระนิเวศของพระเจ้าเพียงแค่ตัดแต่งเจ้าด้วยวาจา ไม่ได้ให้เจ้าต้องรับผิดชอบหรือกล่าวโทษเจ้าสำหรับเรื่องนี้ นับประสาอะไรที่จะสาปแช่งเจ้า  บางครั้งการตัดแต่งอาจค่อนข้างรุนแรง คำพูดอาจฟังบาดหูหรือไม่น่าฟัง และอาจทำร้ายความรู้สึกของเจ้า  พวกที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการเงินหรืออุปกรณ์ของพระนิเวศของพระเจ้าจะถูกพระนิเวศของพระเจ้าบ่มวินัยโดยการใช้ค่าปรับหรือโดยการขอค่าชดเชย—นั่นนับว่ารุนแรงหรือไม่?  หรือถือได้ว่าเป็นการถูกควร?  เจ้าไม่ได้ถูกขอให้จัดเตรียมค่าชดเชยเป็นสองเท่า และเจ้าก็ไม่ได้กำลังถูกกรรโชกทรัพย์ เจ้าเพียงจำเป็นต้องชดใช้คืนในจำนวนเดียวกันเท่านั้นเอง  นี่เป็นการถูกควรอย่างมากมิใช่หรือ?  นี่เบากว่าค่าปรับที่กำหนดในบางประเทศในโลกมากนัก  ในบางเมือง เจ้าจะถูกปรับอย่างหนักแค่เพราะการถ่มน้ำลายลงบนพื้นหรือการทิ้งเศษกระดาษหนึ่งชิ้น  เจ้าสามารถลองดีในเรื่องนี้ หรือปฏิเสธไม่ยอมจ่ายค่าปรับนั่นได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่ยอม ก็อาจจะถูกส่งเข้าคุก และจะมีบทลงโทษตามกฎหมายที่รุนแรงขึ้นด้วยซ้ำ  ระบบเป็นเช่นนี้  บางคนไม่เข้าใจเรื่องนี้และคิดว่าการที่ผู้คนถูกพระนิเวศของพระเจ้าตัดแต่งในหนทางนี้นั้นรุนแรงเกินไป และการควบคุมผู้คนแบบนี้เข้มงวดเกินไป  หากผู้คนดังกล่าวถูกตัดแต่งในลักษณะที่รุนแรงขึ้นเล็กน้อย และทำร้ายความภาคภูมิใจของพวกเขา อีกทั้งกระตุ้นเร้าธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาขึ้นมา พวกเขาย่อมรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ทนไม่ได้และไม่สอดคล้องกับมโนคติของตน  พวกเขาเชื่อว่า ในเมื่อนี่คือพระนิเวศของพระเจ้า ผู้คนก็ไม่ควรถูกปฏิบัติแบบนี้ พระนิเวศของพระเจ้าควรใช้การผ่อนปรนและความอดทนในทุกเรื่อง รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้คนปฏิบัติตนตามอำเภอใจและทำตามที่พวกเขาต้องการ  พวกเขาคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนทำนั้นดีงามและควรได้รับการรำลึกถึงจากพระเจ้า  เรื่องนี้สมเหตุสมผลหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนมีแก่นแท้ธรรมชาติอย่างไร?  พวกเขาเป็นมนุษย์จริงหรือ?  กล่าวให้สุภาพก็คือ พวกเขาคือเหล่าซาตานและหมู่มาร  หากกล่าวให้หยาบกว่านั้น พวกเขาคือพวกสัตว์  ผู้คนไม่รู้กฎเกณฑ์ในการประพฤติตน พวกเขาต่ำช้ามาก ทั้งยังเกียจคร้าน รักความสบายและรังเกียจงานหนัก และต้องการทำสิ่งเลวร้ายโดยไม่ยั้งคิด  ส่วนที่น่าวิตกกังวลที่สุดก็คือ ผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าจำนวนมากมายปรารถนาที่จะนำปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก วิธีการ และกระแสนิยมชั่วของโลกปุถุชนติดตัวมาด้วยเสมอ  พวกเขาถึงกับทุ่มพลังงานของตนให้กับการวิจัย การเรียนรู้ และการเลียนแบบสิ่งเหล่านี้ และผลลัพธ์ที่ได้ก็สร้างความโกลาหลและความปั่นป่วนในงานบางอย่างของพระนิเวศของพระเจ้า  นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนทนไม่ได้ และแม้แต่พี่น้องชายหญิงบางคนซึ่งใหม่ต่อความเชื่อก็ยังพูดว่าผู้คนเหล่านี้ไม่เคร่งศรัทธา ว่าการกระทำของพวกเขาเป็นกระแสนิยมทางโลก และไม่ใช่สิ่งใดที่เหมือนการกระทำของคริสตชน—แม้แต่ผู้เชื่อใหม่เหล่านี้ก็ยังไม่อาจยอมรับการกระทำของผู้คนเหล่านี้  ผู้คนเหล่านี้จ่ายราคาเล็กน้อย มีความกระตือรือร้นเล็กน้อย อีกทั้งมีแรงผลักดันและความปรารถนาดีเพียงน้อยนิด และพวกเขานำพาสิ่งไร้สาระใดก็ตามที่ตนได้เรียนรู้มาเข้ามาสู่พระนิเวศของพระเจ้า และปรับใช้สิ่งนั้นกับหน้าที่และงานของตน และผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการรบกวนงานของคริสตจักร และจบลงด้วยการถูกตัดแต่ง  คนบางคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ว่า “พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงรำลึกถึงการทำดีของผู้คนไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นทำไมฉันถึงกำลังถูกตัดแต่งเพราะการทำหน้าที่ของตัวเองเล่า?  ทำไมฉันไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้เลย?  จะลุล่วงพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไร?  เป็นได้ไหมว่าพระวจนะเหล่านั้นทั้งหมดเป็นแค่คำพูดที่ฟังดูสูงส่งแต่วางเปล่า?”  เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ทบทวนว่าการกระทำของตัวเองเป็นการทำดีที่สมควรได้รับการรำลึกถึงหรือไม่?  พระเจ้าประสงค์สิ่งใดจากเจ้า?  หน้าที่ที่เจ้าได้ปฏิบัติ งานที่เจ้าทำไป และแนวคิดกับข้อเสนอแนะที่เจ้าได้จัดเตรียมไว้นั้นเป็นไปตามมารยาทของธรรมิกชนหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับมาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดหรือไม่?  เจ้าได้คิดถึงคำพยานของพระเจ้าและพระนามของพระเจ้าแล้วหรือไม่?  เจ้าได้คำนึงความมีหน้ามีตาของพระนิเวศของพระเจ้าแล้วหรือไม่?  เจ้าได้คำนึงถึงมารยาทของธรรมิกชนแล้วหรือไม่?  เจ้ายอมรับว่าตัวเจ้าเป็นคริสตชนหรือไม่?  เจ้าไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เลย เช่นนั้นแท้จริงแล้วเจ้าได้ทำอะไรลงไปบ้าง?  การกระทำของเจ้าคู่ควรแก่การรำลึกถึงหรือ?  เจ้าได้สร้างความยุ่งเหยิงให้กับงานของคริสตจักร และพระนิเวศของพระเจ้าก็เพียงตัดแต่งเจ้าเท่านั้น โดยไม่ได้เพิกถอนสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเลย  นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความรักที่เที่ยงแท้ที่สุด  กระนั้นเจ้าก็ยังรู้สึกรำคาญ  เจ้ามีเหตุผลใดให้รู้สึกเช่นนั้นหรือ?  เจ้าช่างไร้เหตุผลจริงๆ!

มีผู้คนบางคนที่เชื่อในพระเจ้ามาเพียงสองหรือสามปีเท่านั้น และการกระทำของพวกเขา หนทางที่พวกเขาพูดคุยและหัวเราะ อีกทั้งทัศนคติที่พวกเขาเผยออกมา และแม้กระทั่งการแสดงออกทางสีหน้าและการเคลื่อนไหวของพวกเขายามที่พูดจากับผู้อื่นล้วนไม่น่ารื่นรมย์ ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง  ผู้คนเหล่านี้ควรอยู่ในการควบคุม พวกเขาควรถูกตัดแต่ง และควรวางกฎเกณฑ์ให้กับพวกเขา เพื่อให้พวกเขารู้ว่าอะไรคือความเป็นมนุษย์ที่ปกติ อะไรคือมารยาทของธรรมิกชน และคริสตชนควรมีลักษณะอย่างไร และเพื่อให้พวกเขาเรียนรู้วิธีที่จะเป็นมนุษย์ และสามารถมีสภาพเสมือนมนุษย์ได้  มีบางคนที่เชื่อในพระเจ้ามาแปดหรือสิบปี หรือนานกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่เมื่อตัดสินจากความคิดและมุมมอง คำพูดและการกระทำ ตลอดจนหนทางที่พวกเขารับมือกับสิ่งทั้งหลาย และแนวคิดที่พวกเขาคิดขึ้นมาได้ในยามที่สิ่งทั้งหลายบังเกิดแก่พวกเขา ย่อมชัดเจนว่าพวกเขาคือพวกผู้ไม่มีความเชื่อและพวกผู้ไม่เชื่ออย่างแน่นอน  ผู้คนเหล่านี้ได้ฟังคำเทศนามาไม่น้อยเลยทีเดียว และพวกเขาก็พอมีประสบการณ์และความเข้าใจเชิงลึกอยู่บ้าง พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าพี่น้องชายหญิงไปไม่น้อยเลย และควรมีรูปแบบภาษาในชีวิตประจำวันเป็นของตัวเอง แต่ทว่าพวกเขาส่วนใหญ่กลับไม่สามารถแบ่งปันคำพยานได้ และยามที่พวกเขาพูดคุยและแสดงทัศนะของตน พวกเขาใช้ภาษาที่เรียบง่ายจนเกินไป และพวกเขาก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งใดได้อย่างชัดเจน  พวกเขาช่างขัดสน น่าสมเพช และมืดบอดอย่างแท้จริง—ชัดเจนว่าพวกเขามีโฉมหน้าอันน่าเวทนาอย่างที่สุด  เมื่อคนแบบนั้นทำหน้าที่และรับผิดชอบเล็กน้อย พวกเขาก็ถูกตัดแต่งเสมอ  การนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย  เหตุใดพวกเขาจึงถูกตัดแต่ง?  นั่นเป็นเพราะการกระทำของพวกเขาละเมิดหลักธรรมความจริงมากเกินไป พวกเขาไม่สามารถบรรลุแม้แต่มโนธรรมและเหตุผลของผู้คนปกติเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งพวกเขาก็พูดจาและปฏิบัติตนเหมือนพวกไม่มีความเชื่อ ราวกับได้มีการจ้างให้พวกผู้ไม่มีความเชื่อมาทำงานของพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้นคุณภาพของงานที่ผู้คนเหล่านี้ผลิตออกมาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างไร?  งานนั้นมีคุณค่าอะไรบ้าง?  มีส่วนใดของพวกเขาที่นบนอบบ้างหรือไม่?  พวกเขามีปัญหามากเกินไปและเป็นเหตุให้เกิดแต่การขัดขวางและการรบกวนไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นผู้คนเหล่านี้ก็ควรถูกตัดแต่งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนบางคนเขียนบทละครเกี่ยวกับชีวิตของคริสเตียน เกี่ยวกับวิธีที่ตัวละครเอกก้าวผ่านการข่มเหง ความทุกข์ลำบาก และสถานการณ์ต่างๆ และวิธีที่ตัวละครเหล่านั้นซาบซึ้งและได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า  ถึงกระนั้น ตลอดทั้งเรื่อง ตัวละครเอกก็แทบไม่เคยอธิษฐาน และบางคราวที่เผชิญกับบางสิ่ง พวกเขากลับไม่รู้ว่าจะกล่าวอธิษฐานอะไรด้วยซ้ำ  ก่อนหน้านี้ คนบางคนเคยเขียนสิ่งเดิมๆ สำหรับการอธิษฐานซ้ำไปซ้ำมา ยามที่ตัวละครเอกเผชิญกับบางสิ่ง พวกเขาจะอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขณะนี้ข้าพระองค์เป็นทุกข์ยิ่งนัก!  ข้าพระองค์ทุกข์ระทมเหลือเกิน ทุกข์ระทมอย่างที่สุด!  โปรดทรงนำและประทานความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”  พวกเขาแค่เขียนคำพูดสัพเพเหระแบบนี้ แต่พอเผชิญกับเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน สถานการณ์ที่ต่างกัน อารมณ์ที่ต่างกัน ตัวละครเอกก็ไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร และไม่มีอะไรจะพูด  นี่ทำให้เราฉงนว่า หากผู้คนเหล่านี้บรรยายให้เห็นภาพว่าตัวละครเอกของตนไม่อธิษฐานในยามที่พบเจอปัญหา แล้วตัวพวกเขาเองอธิษฐานเป็นนิสัยหรือเปล่า?  หากพวกเขาไม่อธิษฐานยามที่เผชิญกับบางสิ่ง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาพึ่งพาสิ่งใดในชีวิตประจำวันและในการปฏิบัติหน้าที่ของตน?  พวกเขาคิดอะไรอยู่?  ในหัวใจของพวกเขามีพระเจ้าอยู่หรือไม่?  (พวกเขาไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจ  พวกเขาพึ่งพาการคิดและพรสวรรค์ของตนเองในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ)  ผลลัพธ์ของการนี้ก็คือพวกเขาถูกตัดแต่ง  พวกเจ้าคิดว่าเราจะประเมินเรื่องนี้อย่างไร?  ผู้คนเช่นนี้ควรถูกตัดแต่ง  ผู้คนเหล่านี้ที่ไม่มีความก้าวหน้า ที่มีสมองแต่ไร้หัวใจ เป็นผู้เชื่อมานานหลายปี ทว่าพวกเขาก็ไม่มีแนวคิดว่าจะพูดอธิษฐานอย่างไรในยามที่เผชิญปัญหา พวกเขาไม่มีสิ่งใดจะพูดกับพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเปิดใจกับพระเจ้าอย่างไร และพวกเขาก็ไม่รู้วิธีสนทนาแบบจริงจังกับพระเจ้า  พระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียวที่ใกล้ชิดกับเจ้าที่สุด องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงคู่ควรแก่การเชื่อใจและการพึ่งพาของเจ้าที่สุด แต่กระนั้นเจ้ากลับไม่มีสิ่งใดจะพูดกับพระองค์—แล้วเจ้ากำลังสงวนความคิดในส่วนที่ลึกที่สุดของเจ้าไว้เพื่อใคร?  ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากเจ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดกับพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าเป็นคนประเภทใด?  เจ้าเป็นบุคคลที่ปราศจากความเป็นมนุษย์ที่สุดไม่ใช่หรือ?  หากในบทละครไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ของตัวละครเอก ชีวิตในฐานะผู้เชื่อของตัวละครเอก อีกทั้งวิธีที่ตัวละครเอกได้รับประสบการณ์และซาบซึ้งกับพระวจนะของพระเจ้า และอื่นๆ หากนั่นเป็นแค่โครงเรื่องที่กลวงเปล่า เช่นนั้นเจ้าต้องการแสดงให้ผู้คนเห็นสิ่งใดจากการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา?  บทละครที่เจ้ากำลังเขียนอยู่นั้นจะมีประโยชน์อันใด?  เจ้ากำลังเป็นพยานให้พระเจ้า หรือให้ความรู้และการศึกษาเล็กๆ น้อยๆ ที่ตนมี?  หลักฐานที่เป็นรูปธรรมที่ดีที่สุดสำหรับคำพยานให้พระเจ้าก็คือ วิธีที่คนคนหนึ่งอธิษฐานและแสวงหา และวิธีที่แนวคิด ท่าที มุมมอง และความคิดที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไปเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับตน หรือเมื่อพวกเขาพบเจอกับความลำบากยากเย็น  น่าเสียดายที่คนบางคนไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้เลย  พวกเขายังคงไม่รู้วิธีที่จะอธิษฐานหลังจากมีความเชื่อมานานหลายปี—ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขายังคงไม่มีความก้าวหน้า  ทักษะเชิงวิชาชีพของพวกเขาไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย และพวกเขาก็ไม่มีความก้าวหน้าในการเข้าสู่ชีวิต  ผู้คนเช่นนั้นควรได้รับการตัดแต่งไม่ใช่หรือ?  ดังนั้นการที่ผู้คนถูกตัดแต่งจึงมีที่มาที่ไป  หากพวกเจ้าไม่ยอมรับการตัดแต่ง หรือหากพวกเจ้าไม่ได้รับการตัดแต่ง ผลที่ตามมาของเรื่องนี้และจุดจบของพวกเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย  พวกเจ้าโชคดีที่มีผู้คนตัดแต่งและบ่มวินัยพวกเจ้าในตอนนี้  สิ่งที่มีคุณประโยชน์และแสนวิเศษนี้กลับเป็นสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ไม่อาจยอมรับได้  พวกเขาคิดว่าเมื่อตัวเองถูกตัดแต่ง นั่นหมายความว่าพวกเขาจบสิ้นแล้ว ว่าพวกเขาไม่มีความหวังอีกต่อไป ว่าพวกเขามองเห็นได้ว่าจุดจบของตัวเองจะเป็นอย่างไร  พวกเขาคิดว่าการถูกตัดแต่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาไม่มีคุณค่าอีกต่อไป และไม่เป็นที่โปรดปรานของเบื้องบนอีกต่อไป และมีแววว่าพวกเขาจะถูกกำจัด  เช่นนั้นพวกเขาจึงสูญเสียแรงจูงใจในความเชื่อของตนและเริ่มวางแผนการที่จะออกสู่โลกและหาเงินให้ได้มากๆ ติดตามกระแสนิยมทางโลก กิน ดื่ม และสนุกสนานรื่นเริง แล้วกลอุบายของพวกเขาก็เริ่มเผยตัวออกมา  นี่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย และก้าวต่อไปของพวกเขาก็จะนำทางพวกเขาข้ามธรณีประตูเพื่อไปจากพระนิเวศของพระเจ้า

เมื่อศัตรูของพระคริสต์มีสถานะและอำนาจในพระนิเวศแห่งพระเจ้า เมื่อพวกเขาสามารถเอาเปรียบและอาศัยประโยชน์ได้ในทุกทาง เมื่อผู้คนเคารพยกย่องและยกยอปอปั้นพวกเขา รวมทั้งเมื่อพวกเขาคิดว่าพรกับบำเหน็จรางวัลและบั้นปลายอันสวยงามล้วนดูเหมือนอยู่ไม่เกินเอื้อม เมื่อนั้นจากภายนอก พวกเขาย่อมดูท่วมท้นไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระวจนะของพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษย์ รวมถึงในงานและจุดหมายปลายทางในอนาคตของพระนิเวศของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาถูกตัดแต่ง เมื่อความอยากได้พรของพวกเขาถูกคุกคาม เมื่อนั้นพวกเขาก็เริ่มเกิดข้อสงสัยและความเข้าใจผิดต่อพระเจ้าขึ้นมา  ในพริบตาเดียว ความเชื่ออันอุดมที่เห็นได้ชัดของพวกเขาก็อันตรธานไปอย่างไม่เหลือร่องรอย  พวกเขาแทบไม่สามารถรวบรวมพลังแม้แต่จะเดินหรือพูดคุย พวกเขาหมดความสนใจในการทำหน้าที่ และหมดสิ้นความกระตือรือร้น ความรัก และความเชื่อทั้งมวล  พวกเขาได้สูญเสียไมตรีจิตอันน้อยนิดที่เคยมีไปแล้ว และไม่ใส่ใจผู้ใดก็ตามที่พูดคุยกับพวกเขา  พวกเขาเปลี่ยนเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิงภายในอึดใจเดียว  พวกเขาถูกเผยออกมาแล้วใช่หรือไม่?  ในยามที่คนเช่นนั้นกำลังยึดมั่นต่อความหวังที่จะได้รับพร พวกเขาก็ดูเหมือนมีพลังอย่างล้นเหลือ มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้า  พวกเขาสามารถตื่นแต่เช้าและทำงานจนดึกดื่น อีกทั้งสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้  แต่เมื่อพวกเขาสูญสิ้นความหวังที่จะได้รับพร พวกเขาก็เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม  พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงแผนการ หาเส้นทางใหม่ และละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าของตน  พวกเขากลายเป็นหมดกำลังใจและผิดหวังในพระเจ้า และเต็มไปด้วยความคับข้องใจ  นี่ใช่การแสดงออกของใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาและรักความจริง ใครบางคนที่มีความเป็นมนุษย์และความซื่อตรงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเขาอยู่ในอันตราย  เมื่อพวกเจ้าเผชิญกับคนจำพวกนี้ หากพวกเขาสามารถทำงานรับใช้ได้ เช่นนั้นจงอ่อนโยนในยามที่ตัดแต่งพวกเขา และหาคำพูดที่ฟังรื่นหูมาสรรเสริญพวกเขาบ้าง  จงยกยอและทำให้หัวใจพวกเขาพองโตเหมือนลูกโป่ง แล้วพวกเขาก็จะมีความสุขจนเดินตัวลอย  เจ้าสามารถพูดสิ่งทั้งหลาย เช่น “คุณได้รับพรมากจริงๆ คุณมีดวงตาที่สดใส และฉันมองเห็นได้ว่าคุณมีพลังอย่างล้นเหลือ และแน่นอนว่าคุณคือหัวเรี่ยวหัวแรงในพระนิเวศของพระเจ้า  ราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่มีวันอยู่ได้โดยไม่มีคุณ และหากไม่มีคุณ งานของพระนิเวศของพระเจ้าคงประสบกับความสูญเสีย  แต่คุณแค่มีข้อบกพร่องเล็กๆ ข้อหนึ่ง  คุณสามารถเอาชนะข้อบกพร่องนี้ได้ด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อย และพอแก้ไขข้อเสียนั้นได้ ทุกอย่างก็จะดีเอง แล้วมงกุฎที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดต้องเป็นของคุณอย่างแน่นอน”  เมื่อคนแบบนี้ทำอะไรผิด เจ้าสามารถตัดแต่งพวกเขาต่อหน้าได้เลย  เจ้าควรทำอย่างไร?  จงพูดแค่ว่า “คุณฉลาดหลักแหลมเหลือเกิน  คุณทำผิดพลาดง่ายๆ แบบนั้นไปได้อย่างไร?  นั่นไม่ควรได้เกิดขึ้นเลย!  คุณมีขีดความสามารถที่ดีที่สุดและมีการศึกษาที่สุดในฝ่ายของพวกเรา และคุณก็มีเกียรติยศที่สุดในหมู่พวกเรา  คุณไม่ควรเป็นคนที่ทำผิดพลาดแบบนี้—ช่างน่าอับอายจริงๆ!  อย่าทำผิดพลาดแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้น นั่นจะทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดอย่างแน่นอน  ถ้าคุณทำผิดพลาดอีกครั้ง มันจะทำลายความมีหน้ามีตาของคุณ  ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน—ฉันกำลังแอบบอกให้คุณรู้เรื่องนี้เป็นความลับ เพื่อที่บรรดาพี่น้องชายหญิงจะได้ไม่ระแคะระคายเรื่องของคุณ  ฉันแค่กำลังพยายามทำให้มั่นใจว่าคุณจะไม่เสียหน้า และกำลังคำนึงถึงความรู้สึกของคุณอยู่ ถูกต้องไหม?  เห็นไหม พระนิเวศของพระเจ้าเปี่ยมรักไม่ใช่หรือ?”  แล้วพวกเขาก็พูดว่า “ใช่”  “แล้วอย่างไรต่อ?”  และพวกเขาก็จะตอบกลับว่า “ทำงานให้ดีต่อไป!”  เจ้าคิดอย่างไรกับการปฏิบัติต่อพวกเขาแบบนั้น?  คนประเภทนั้นต้องการแค่ได้รับพรโดยการลงแรง พวกเขาไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริงในคำพูดและการกระทำของตน และพวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่เคยคิดว่าตนควรพูดในสิ่งที่กำลังพูดอยู่หรือควรทำในสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่หรือไม่ และพวกเขาไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาจากสิ่งที่ตนทำ ทั้งพวกเขายังไม่อธิษฐาน ไตร่ตรอง แสวงหา หรือสามัคคีธรรม  พวกเขาแค่ทำสิ่งทั้งหลายตามแนวคิดของตนเอง พวกเขาทำทุกสิ่งตามที่ตนต้องการ  เมื่อใครบางคนพูดหรือทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำลายความภาคภูมิใจหรือผลประโยชน์ของพวกเขา เปิดโปงข้อบกพร่องหรือปัญหาทั้งหลายของพวกเขา หรือให้ข้อเสนอแนะที่สมเหตุผลแก่พวกเขา เมื่อนั้นพวกเขาย่อมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เคืองแค้น และต้องการแก้แค้น และกรณีที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ พวกเขาต้องการละทิ้งความเชื่อและไปรายงานเรื่องคริสตจักรต่อพญานาคใหญ่สีแดง  พวกเรามีหนทางที่จะรับมือกับคนจำพวกนี้ กล่าวคือให้หลีกเลี่ยงการตัดแต่งพวกเขา และให้ประคบประหงมพวกเขาแทน

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันถึงการที่ศัตรูของพระคริสต์มองว่าการถูกตัดแต่งเกี่ยวข้องกับความหวังที่จะได้รับพรของตนเสมอ  ท่าทีและทัศนะนี้ไม่ถูกต้อง และเป็นอันตราย  เมื่อใครบางคนชี้ชัดถึงข้อบกพร่องหรือปัญหาของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความหวังของการได้รับพร และเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง หรือบ่มวินัย หรือถูกตำหนิ พวกเขาก็รู้สึกเช่นกันว่าตนสูญเสียความหวังของการได้รับพรไปแล้ว  ทันทีที่บางสิ่งไม่เป็นไปตามหนทางของตน หรือไม่คล้อยตามมโนคติของตน ทันทีที่ตนถูกเปิดโปงและตัดแต่ง รู้สึกว่าความเคารพนับถือตนเองถูกสั่นคลอน พวกเขาย่อมคิดในทันทีว่าตนไม่มีหวังที่จะได้รับพรอีกต่อไป  พวกเขาอ่อนไหวเกินไปไม่ใช่หรือ?  พวกเขามีความอยากได้รับพรอย่างแรงกล้าเกินไปไม่ใช่หรือ?  จงบอกเราทีว่าผู้คนเช่นนั้นน่าเวทนาไม่ใช่หรือ?  (พวกเขาน่าเวทนา)  พวกเขาช่างน่าเวทนาจริงๆ!  แล้วพวกเขาน่าเวทนาในหนทางใด?  การที่คนเราสามารถได้มาซึ่งพรนั้นสัมพันธ์กับการที่พวกเขาถูกตัดแต่งหรือไม่?  (ไม่)  สิ่งเหล่านี้ไม่สัมพันธ์กัน  เช่นนั้นเหตุใดพวกศัตรูของพระคริสต์จึงรู้สึกว่าตนสูญสิ้นความหวังที่จะได้รับพรเมื่อถูกตัดแต่ง?  การนี้มีบางสิ่งที่เกี่ยวกับการไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขาไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด?  (การได้รับพร)  พวกเขาไม่เคยปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีของตนและเจตนาที่จะได้รับพรเลย  พวกเขามีเจตนาที่จะได้รับพรมาตั้งแต่เริ่มต้นเชื่อในพระเจ้าแล้ว และแม้พวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากมาย แต่พวกเขากลับไม่เคยยอมรับความจริงเลย  พวกเขาไม่เคยละทิ้งความอยากได้อยากมีและเจตนาที่จะได้รับพรของตน  พวกเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขทัศนะที่มีต่อการเชื่อในพระเจ้าของตนให้ถูกต้อง อีกทั้งเจตนาในการทำหน้าที่ของพวกเขายังไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์  พวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยยึดมั่นในความหวังและเจตนาที่จะได้รับพรของตนเสมอ และท้ายที่สุดแล้ว เมื่อความหวังที่จะได้รับพรของพวกเขากำลังจะถูกทำลาย พวกเขาก็บันดาลโทสะและพร่ำบ่นอย่างขมขื่น ในที่สุดก็เผยให้เห็นสภาวะอันอัปลักษณ์ของความสงสัยที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและการปฏิเสธความจริงของพวกเขา  พวกเขากำลังรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ?  นั่นคือผลสืบเนื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการที่พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งด้วย  ในประสบการณ์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งหมดสามารถรู้ได้ว่าการพิพากษา การตีสอนของพระเจ้า และการตัดแต่งของพระองค์ก็คือความรักและพรของพระองค์—แต่พวกศัตรูของพระคริสต์กลับเชื่อว่านี่เป็นแค่สิ่งที่ผู้คนพูดกันเท่านั้น และไม่เชื่อว่านี่คือความจริง  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มองว่าการตัดแต่งเป็นบทเรียนให้เรียนรู้ ทั้งพวกเขายังไม่แสวงหาความจริงหรือทบทวนตัวเอง  ในทางกลับกัน พวกเขาเชื่อว่าการตัดแต่งกำเนิดจากเจตจำนงของมนุษย์ เป็นการจงใจทรมาน เต็มไปด้วยเจตนาของมนุษย์ และไม่ได้มาจากพระเจ้าอย่างแน่นอน  พวกเขาเลือกที่จะขัดขืนและเมินเฉยต่อการนั้น และถึงขั้นศึกษาว่าเหตุใดคนบางคนจึงปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนั้น  พวกเขาไม่นบนอบเลย  พวกเขาโยงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ของตนเข้ากับการได้รับพรและบำเหน็จรางวัล และพวกเขาถือว่าการได้รับพรเป็นการไล่ตามไขว่คว้าที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตน ตลอดจนเป็นเป้าหมายสูงสุดและสำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้าของตน  พวกเขายึดติดอยู่กับเจตนาที่จะได้รับพรของตนอย่างสุดชีวิตและไม่ยอมปล่อยมือไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร โดยคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าที่ไม่เห็นแก่การได้รับพรนั้นเป็นความโง่เง่าและเบาปัญญา เป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวง  พวกเขาคิดว่าใครก็ตามที่ละทิ้งเจตนาของตนที่จะได้รับพรย่อมถูกหลอกแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะละทิ้งความหวังของการได้รับพร และการยอมรับการตัดแต่งคือการแสดงให้เห็นถึงความโง่เง่าและไร้ความสามารถ เป็นสิ่งที่คนฉลาดหลักแหลมจะไม่ทำ  นี่เป็นการคิดและตรรกะของศัตรูของพระคริสต์  ดังนั้นเมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง พวกเขาจึงขัดขืนอยู่ในใจอย่างหนัก และใช้การเสแสร้งและการให้เหตุผลลวงอย่างเก่งกาจ พวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย และไม่นบนอบ  ในทางกลับกัน พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความไม่เชื่อฟังและการแข็งข้อ  การนี้มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การต่อต้านพระเจ้า การทำการตัดสินพระเจ้า และการต่อสู้กับพระเจ้า และไปสู่การถูกเผยและถูกกำจัดออกไปในที่สุด

II. ท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของพวกเขา

พวกศัตรูของพระคริสต์มีท่าทีที่ดื้อรั้นอย่างเหลือเชื่อเมื่อเป็นเรื่องของการได้รับพร  พวกเขายึดมั่นกับเจตนาที่จะได้รับพรอย่างสุดกำลัง และเมื่อถูกตัดแต่ง พวกเขาก็รู้สึกแข็งขืน อีกทั้งพยายามโต้เถียงและแก้ต่างให้ตัวเองอย่างสุดกำลัง  พวกเราสามารถสรุปได้จากการนี้ว่า ศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใดเลย  เมื่อถูกปลดหรือถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่ พวกเขาย่อมรู้สึกอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องของการได้รับพรเป็นอย่างมาก  เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้?  เพราะหัวใจของผู้คนเช่นนั้นเต็มไปด้วยความอยากและความทะเยอทะยานที่จะได้รับพร  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำเป็นไปเพื่อเห็นแก่การได้รับพร ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด  ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขาก็คือการได้รับพร  นี่คือเหตุผลที่เมื่อถูกปลดหรือถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่ พวกเขาจึงรู้สึกว่าความหวังของตนในการที่จะได้รับพรนั้นหมดสิ้นแล้ว และพวกเขาย่อมไม่ยอมนบนอบเป็นธรรมดา ทั้งยังเอาแต่โต้เถียงเข้าข้างตัวเอง  พวกเขาคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น และไม่คำนึงถึงงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย  ตัวอย่างเช่น คนบางคนเชื่อว่าตัวเองมีทักษะในด้านงานเขียน ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร้องอย่างหนักที่จะทำหน้าที่ซึ่งสัมพันธ์กับงานเขียน  แน่นอนว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง พระนิเวศของพระเจ้าทะนุถนอมบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ และไม่ว่าผู้คนมีพรสวรรค์หรือจุดแข็งอะไรก็ตาม พระนิเวศของพระเจ้าจะให้พื้นที่แก่พวกเขาในการนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังนั้นคริสตจักรจึงจัดการเตรียมการให้พวกเขาทำงานด้านข้อความ  แต่หลังจากเวลาผ่านไปช่วงหนึ่งก็พบว่า จริงๆ แล้ว พวกเขาไม่มีทักษะนี้และไม่มีความสามารถที่จะทำหน้าที่นี้ได้อย่างถูกควร พวกเขาไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง  ความสามารถพิเศษและขีดความสามารถของพวกเขาทำให้พวกเขาไร้สมรรถภาพในงานนี้อย่างที่สุด  แล้วควรทำอย่างไรในสภาพการณ์เช่นนี้?  เป็นไปได้หรือไม่ที่จะแค่ทนยอมรับพวกเขาและพูดว่า “คุณมีความมุ่งมั่น และถึงแม้คุณมีความสามารถพิเศษไม่มากนัก อีกทั้งมีขีดความสามารถปานกลาง แต่ตราบเท่าที่คุณเต็มใจและไม่รังเกียจการทำงานหนัก พระนิเวศของพระเจ้าก็จะยอมรับคุณและยอมให้คุณทำหน้าที่นี้ต่อไป  ถึงคุณทำได้ไม่ดีก็ไม่เป็นไร  พระนิเวศของพระเจ้าจะทำเป็นมองไม่เห็น และไม่จำเป็นที่คุณต้องถูกเปลี่ยนตำแหน่ง”?  นี่ใช่หลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าใช้รับมือกับเรื่องราวทั้งหลายหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่  ในสภาพการณ์เช่นนั้น โดยปกติแล้ว พวกเขาจะจัดการเตรียมหน้าที่ที่เหมาะสมให้ตามขีดความสามารถและจุดแข็งของพวกเขา นั่นคือด้านหนึ่ง  แต่การอาศัยวิธีนี้เพียงอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ เพราะในหลายกรณีนั้น ผู้คนเองก็ไม่รู้ว่าตนเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ใด และต่อให้พวกเขาคิดว่าตัวเองเก่งในเรื่องนั้นก็อาจจะไม่จำเป็นว่านั่นถูกต้องเสมอไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลองทำและฝึกฝนสักช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ สิ่งที่ควรทำก็คือการตัดสินไปบนพื้นฐานที่ว่าพวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผลหรือไม่  หากพวกเขาฝึกฝนอยู่ระยะหนึ่ง และไม่เกิดผลลัพธ์หรือมีความก้าวหน้าอันใด อีกทั้งได้รับการยืนยันว่าไม่คุ้มค่าที่จะบ่มเพาะพวกเขา หน้าที่ของพวกเขาก็ควรถูกปรับเปลี่ยน และควรมีการจัดแจงหน้าที่ที่เหมาะสมให้พวกเขาใหม่  การปรับเปลี่ยนและการจัดแจงหน้าที่ให้ผู้คนเสียใหม่ในหนทางนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ ทั้งยังตรงตามหลักธรรมอีกด้วย  แต่คนบางคนไม่สามารถเชื่อฟังการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ แต่พวกเขากลับปฏิบัติหน้าที่ไปตามความชอบทางเนื้อหนังของตน  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีใครบางคนพูดว่า “ความฝันที่ใหญ่ที่สุดของผมคือการเป็นนักอักษรศาสตร์หรือนักวารสารศาสตร์ แต่เพราะสถานการณ์ทางครอบครัวกับเหตุผลอื่นๆ ผมเลยลุล่วงความฝันนี้ไม่ได้  แต่ตอนนี้ผมทำงานที่เกี่ยวกับข้อความอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า  ในที่สุดผมก็ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว!”  อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจความจริงของเขากลับไม่ดีพอเลยจริงๆ เขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณไม่มากนัก และไม่มีความสามารถพอที่จะทำงานที่เกี่ยวกับข้อความ ดังนั้นหลังจากทำหน้าที่ของตนไปได้สักพัก เขาก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่อื่น  เขาพร่ำบ่นว่า “ทำไมผมถึงทำแต่งานที่ผมอยากทำไม่ได้?  ผมไม่ชอบงานอย่างอื่นทั้งนั้น!”  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  พระนิเวศของพระเจ้าปรับเปลี่ยนหน้าที่ของเขาไปตามหลักธรรม แล้วเหตุใดเขาจึงไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั่น?  นี่เป็นปัญหาในความเป็นมนุษย์ของเขาไม่ใช่หรือ?  เขาไม่อาจยอมรับความจริงและไม่นบนอบพระเจ้า—นี่เป็นการขาดเหตุผลโดยสิ้นเชิง  เขาทำหน้าที่ของตนไปตามความชอบส่วนตัวและต้องการเลือกด้วยตนเองเสมอ  นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่ใช่หรือ?  การที่เจ้าเพลิดเพลินกับการทำบางสิ่งเป็นข้อเท็จจริงที่รับประกันได้หรือไม่ว่าเจ้าทำสิ่งนั้นได้ดี?  ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าเพลิดเพลินกับการทำหน้าที่บางอย่างหมายความว่า เจ้าสามารถทำหน้าที่นั้นได้ตามมาตรฐานกระนั้นหรือ?  แค่เพราะเจ้าเพลิดเพลินกับการทำบางสิ่งไม่ได้หมายความว่าเจ้าเหมาะกับสิ่งนั้น และเจ้าก็อาจจะมองไม่ออกว่าตัวเองเหมาะกับสิ่งใด  เพราะฉะนั้นเจ้าจึงจำเป็นต้องมีเหตุผลและเรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง  ดังนั้นเมื่อถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่ เจ้าจะปฏิบัติด้วยความเชื่อฟังอย่างไร?  ในแง่หนึ่งนั้น เจ้าต้องเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าปรับเปลี่ยนหน้าที่ของเจ้าตามหลักธรรมความจริง และไม่ใช่ตามความชอบของเจ้าหรืออคติของผู้นำหรือคนทำงานคนใด  เจ้าต้องวางใจว่าการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของเจ้านั้นตัดสินไปตามพรสวรรค์ จุดแข็ง และสภาพการณ์ตามจริงอื่นๆ ของเจ้า อีกทั้งไม่ได้มาจากแนวคิดของคนคนเดียว  เจ้าควรเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังเมื่อตนถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่  หลังจากเจ้าได้ฝึกฝนในหน้าที่ใหม่ของเจ้าไปสักพักและได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการปฏิบัติหน้าที่นั้นแล้ว เจ้าจะพบว่าตนเหมาะกับการปฏิบัติหน้าที่นี้มากกว่า และเจ้าจะตระหนักว่าการเลือกหน้าที่ตามความชอบของตนเองนั้นเป็นความผิดพลาด  นี่เป็นการแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่หรือ?  ที่สำคัญที่สุดคือ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้จัดแจงให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่บางอย่างไปตามการเลือกชอบของผู้คน แต่ตามความจำเป็นของงาน และตามความสามารถในการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์จากการปฏิบัติหน้าที่ของคนคนนั้น  พวกเจ้าจะพูดว่าพระนิเวศของพระเจ้าควรจัดแจงหน้าที่ไปตามความชอบของแต่ละบุคคลอย่างนั้นหรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าควรใช้ผู้คนตามเงื่อนไขที่สนองความชอบส่วนบุคคลใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  สิ่งใดบ้างที่ตรงกับหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในการใช้ผู้คน?  สิ่งใดที่ตรงกับหลักธรรมความจริง?  นั่นคือการเลือกผู้คนตามความจำเป็นของงานในพระนิเวศของพระเจ้าและตามผลลัพธ์จากการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา  เจ้ามีความชอบและความสนใจบางอย่าง และเจ้ามีความปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเล็กน้อย แต่ความปรารถนา ความสนใจ และความชอบของเจ้าควรมีความสำคัญกว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือ?  หากเจ้ายืนกรานหัวชนฝาว่า “ฉันต้องทำงานนี้ให้ได้ ถ้าไม่อนุญาตให้ฉันทำ ฉันก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง  ถ้าไม่อนุญาตให้ฉันทำงานนี้ ฉันก็จะไม่กระตือรือร้นกับการทำอย่างอื่น และฉันก็จะไม่ทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่ให้กับมัน”  นี่แสดงให้เห็นว่าท่าทีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามีปัญหาไม่ใช่หรือ?  นั่นเป็นการไร้มโนธรรมและเหตุผลอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ?  เพื่อสนองความปรารถนา ความสนใจ และความชอบส่วนตนของเจ้า เจ้าทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าและเกิดผลกระทบโดยไม่ลังเล  นี่สอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  คนเราควรปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายที่ไม่สอดคล้องกับความจริงอย่างไร?  คนบางคนพูดว่า “คนเราควรเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม”  นี่ถูกต้องหรือไม่?  นี่เป็นความจริงหรือไม่?  (ไม่)  นี่เป็นถ้อยแถลงประเภทใด?  (นี่เป็นตรรกะวิบัติเยี่ยงซาตาน)  นี่เป็นถ้อยแถลงที่คลาดเคลื่อน ถ้อยแถลงที่มีลับลมคมในและชักพาให้หลงผิด  หากเจ้านำวลีที่ว่า “คนเราควรเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม” มาประยุกต์ใช้กับบริบทของการปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นเจ้าก็กำลังต่อต้านและหมิ่นประมาทพระเจ้า  เหตุใดนี่จึงเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า?  เพราะเจ้ากำลังใช้เจตจำนงของตนเองมาบังคับพระเจ้า และนั่นคือการหมิ่นประมาท!  เจ้ากำลังพยายามแลกเปลี่ยนการเสียสละของตัวบุคคลกับการทำให้เพียบพร้อมและพรของพระเจ้า เจตนาของเจ้าคือการทำข้อตกลงกับพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เจ้าต้องพลีอุทิศสิ่งใดของตัวเอง สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ก็คือให้ผู้คนปฏิบัติความจริงและขัดขืนเนื้อหนัง  หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง เช่นนั้นเจ้าก็กำลังต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า  เจ้าปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีเพราะเจ้ามีเจตนารมณ์ที่ผิด เจ้ามีทัศนะที่ไม่ถูกต้องต่อสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งถ้อยแถลงของเจ้าก็ขัดกับความจริงโดยสิ้นเชิง  แต่พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้ลิดรอนสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นก็แค่การปรับเปลี่ยนหน้าที่เพราะเจ้าไม่เหมาะกับหน้าที่ก่อนหน้านี้ และเจ้าก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ที่เหมาะสมกับเจ้า  นี่เป็นเรื่องปกติและเข้าใจได้ง่ายมาก  เจ้าควรปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  หนทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติต่อเรื่องนี้คืออะไร?  เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น เจ้าต้องยอมรับการประเมินจากพระนิเวศของพระเจ้าต่อเจ้าเสียก่อน  ถึงแม้โดยส่วนตัวแล้ว เจ้าอาจจะชอบหน้าที่ของตน แต่ที่จริงแล้วเจ้าไม่มีความสามารถพอหรือไม่มีทักษะในหน้าที่นั้น ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจทำงานนั้นได้  นี่หมายความว่าเจ้าจำเป็นต้องได้รับการมอบหมายหน้าที่ใหม่  เจ้าก็ควรเชื่อฟังและยอมรับหน้าที่ใหม่ของตน  ก่อนอื่นจงฝึกฝนหน้าที่นั้นไปสักระยะ—หากเจ้ายังคงคิดว่าเจ้าไม่ดีพอ และขีดความสามารถของเจ้ายังไม่เพียงพอต่อหน้าที่นี้ เจ้าก็ควรบอกคริสตจักรว่า “ฉันไม่มีความสามารถพอสำหรับหน้าที่นี้  ขืนทำต่อไปก็จะเป็นอุปสรรคต่องานนั้น”  นั่นเป็นการกระทำในหนทางที่สมเหตุสมผลยิ่ง!  ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็จงอย่าพยายามยึดติดอยู่กับหน้าที่นั้น  การทำเช่นนั้นจะเป็นอุปสรรคต่องาน  หากเจ้ายกประเด็นปัญหาขึ้นมาแต่เนิ่นๆ คริสตจักรก็จะจัดการเตรียมหน้าที่ที่เหมาะสมให้เจ้าตามสถานการณ์ของเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าไม่บังคับให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่  การได้รับประสบการณ์ในการปรับเปลี่ยนหน้าที่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเจ้าไม่ใช่หรือ?  ประการแรกเลยก็คือนั่นทำให้เจ้าสามารถจัดการกับความชอบและความปรารถนาของตนเองอย่างสมเหตุสมผล  ในอดีตเจ้าอาจมีความชอบต่อสิ่งนั้น และชอบวรรณกรรมกับงานเขียน แต่งานที่เกี่ยวกับข้อความนั้นพึงต้องมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอีกด้วย  อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จำเป็นต้องเข้าใจศัพท์เฉพาะฝ่ายวิญญาณ  หากเจ้าขาดความเข้าใจความจริงแม้แต่น้อยนิด การมีทักษะในภาษาเขียนแค่เล็กน้อยย่อมจะไม่เพียงพอ  เจ้าจะต้องสัมฤทธิ์ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ เข้าใจคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณ และมีภาษาของชีวิตฝ่ายวิญญาณเมื่อผ่านประสบการณ์มาช่วงเวลาหนึ่ง  ถึงตอนนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับข้อความในพระนิเวศของพระเจ้าได้  เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งประสบการณ์และผ่านพ้นสิ่งต่างๆ มา เจ้าจะพบว่าเจ้าขาดพร่องภาษาในเชิงประสบการณ์ชีวิต และเจ้าจะเห็นว่าตัวเองขาดตกบกพร่องอย่างน่าตกใจ เจ้าจะรู้วุฒิภาวะที่แท้จริงของตน และเจ้าจะทำให้พระนิเวศของพระเจ้าและเหล่าพี่น้องชายหญิงของเจ้าสามารถมองเห็นขีดความสามารถและวุฒิภาวะของเจ้าได้อย่างชัดเจน  นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า  อย่างน้อยที่สุด นี่จะแสดงให้เจ้าเห็นว่าขีดความสามารถของตนสูงหรือต่ำเพียงใด และทำให้เจ้าสามารถปฏิบัติต่อตนเองได้อย่างถูกต้อง  เจ้าจะไม่เพ้อฝันเกี่ยวกับขีดความสามารถและความชอบของตนเองอีกต่อไป  เจ้าจะรู้วุฒิภาวะที่แท้จริงของตน เจ้าจะมองเห็นอย่างชัดเจนและแม่นยำขึ้นว่าสิ่งใดเหมาะกับเจ้าหรือไม่เหมาะกับเจ้า และเจ้าก็จะปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักแน่นและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น  นี่คือแง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้  อีกแง่มุมหนึ่งซึ่งสำคัญที่สุดก็คือ ไม่ว่าเจ้าได้รับความเข้าใจในระดับใดหรือเจ้าสามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือไม่ เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการให้เจ้า อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องมีท่าทีของการเชื่อฟังเสียก่อน ไม่ใช่ความช่างเลือกหรือจู้จี้จุกจิก หรือมีแผนการและตัวเลือกเป็นของตนเอง  นี่คือเหตุผลที่เจ้าต้องมีเหนือสิ่งอื่นใด  หากเจ้าไม่สามารถทบทวนว่ามีสิ่งใดปลอมปนอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ไม่เป็นไร  สิ่งสำคัญก็คือ เจ้าต้องมีการนบนอบอยู่ในหัวใจ และเจ้าต้องสามารถยอมรับความจริง ทำหน้าที่อย่างจริงจัง และแสดงความจงรักภักดี อีกทั้งเมื่อเกิดปัญหาหรือเมื่อเจ้าเผยความเสื่อมทรามออกมา เจ้าก็สามารถทบทวนตนเอง เข้าใจความขาดตกบกพร่องและข้อบกพร่องของตน รวมทั้งแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาหรือแก้ไขการเผยความเสื่อมทรามของตน  ในหนทางนี้ ชีวิตและวุฒิภาวะของเจ้าจะค่อยๆ เติบโตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่โดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว และเจ้าจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ตามมาตรฐาน  ตราบที่เจ้าสละเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจและไม่เคยหยุดแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตนในขณะที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าก็จะได้รับพรของพระองค์ และพระองค์จะไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม

เมื่อหน้าที่ของผู้คนถูกปรับเปลี่ยน หากการตัดสินใจนั้นมาจากคริสตจักร พวกเขาก็ควรยอมรับและเชื่อฟัง พวกเขาต้องทบทวนตัวเองและทำความเข้าใจแก่นแท้ของปัญหารวมถึงข้อบกพร่องทั้งหลายของตนเอง  นี่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างมาก และเป็นบางสิ่งที่พึงปฏิบัติ  สำหรับบางสิ่งที่แสนเรียบง่าย ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าใจและปฏิบัติต่อสิ่งนั้นได้อย่างถูกต้องโดยไม่ต้องเผชิญความลำบากยากเย็นมากมายเกินไป หรือเผชิญอุปสรรคขวางกั้นใดๆที่มิอาจข้ามไปได้  เมื่อมีการปรับเปลี่ยนต่างๆ ในหน้าที่ของพวกเขา อย่างน้อยที่สุดผู้คนก็ควรนบนอบ หาประโยชน์จากการทบทวนตนเอง และมีการประเมินอย่างถูกต้องว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตนดีพอหรือไม่  แต่นี่ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับพวกศัตรูของพระคริสต์  สิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมาแตกต่างไปจากผู้คนปกติ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขาก็ตาม  ความแตกต่างนี้อยู่ตรงไหน?  พวกเขาไม่เชื่อฟัง พวกเขาไม่ให้ความร่วมมือในเชิงรุก และไม่แสวงหาความจริงแม้แต่น้อย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับรู้สึกชิงชังรังเกียจการปรับเปลี่ยนดังกล่าว พวกเขาต้านทาน วิเคราะห์ และใคร่ครวญการปรับเปลี่ยนนั้นๆ และเค้นสมองของพวกเขาเพื่อที่จะคาดเดาว่า  “ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่นี้?  ทำไมฉันจึงถูกย้ายไปทำหน้าที่ที่ไม่สำคัญ?  นี่ใช่วิถีทางที่จะเปิดเผยตัวฉันและกำจัดฉันออกไปหรือไม่?”  พวกเขาคอยครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น วิเคราะห์และตรึกตรองสิ่งนั้นอย่างไม่รู้จบ  เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่เป็นไรโดยแท้ แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็เริ่มปั่นป่วนอยู่ภายในหัวใจของพวกเขาประหนึ่งว่าอยู่ในห้วงน้ำที่กำลังมีพายุ และในหัวของพวกเขาก็เต็มไปด้วยคำถาม  ภายนอกนั้นอาจดูเหมือนว่าพวกเขาเก่งกว่าผู้อื่นในการไตร่ตรองประเด็นปัญหา แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์เลวกว่าผู้คนปกติโดยแท้  ความเลวนี้สำแดงออกมาอย่างไร?  การคิดพิจารณาของพวกเขาสุดโต่ง ซับซ้อน และซ่อนเร้น  สิ่งทั้งหลายที่บุคคลปกติ บุคคลที่มีมโนธรรมและเหตุผลคิดไม่ถึง กลับเป็นสิ่งธรรมดาสามัญสำหรับศัตรูของพระคริสต์  เมื่อมีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของพวกเขาอย่างเรียบง่าย ผู้คนควรตอบรับด้วยท่าทีที่เชื่อฟัง ทำตามที่พระนิเวศของพระเจ้าบอกให้พวกเขาทำ และทำในสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ และไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด ก็จงทำให้ดีเหมือนว่าสิ่งนั้นอยู่ในอำนาจของพวกเขา ด้วยหัวใจทั้งดวงของพวกเขาและเรี่ยวแรงทั้งหมดของพวกเขา  สิ่งที่พระเจ้าทรงทำลงไปนั้นย่อมไม่ผิดพลาด  ความจริงที่เรียบง่ายเช่นนี้สามารถปฏิบัติได้โดยใช้มโนธรรมและเหตุผลเล็กน้อย แต่นี่กลับพ้นความสามารถของพวกศัตรูของพระคริสต์  เมื่อเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนหน้าที่ พวกศัตรูของพระคริสต์จะนำเสนอข้อโต้แย้ง มีการบิดเบือนเหตุผลและการลองดีในทันที และลึกๆ แล้วพวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับการปรับเปลี่ยนนั้น  มีสิ่งใดอยู่ในหัวใจของพวกเขากระนั้นหรือ?  ความระแวงสงสัยและความกังขา จากนั้นพวกเขาก็ซักถามผู้อื่นโดยใช้วิธีการทุกชนิด  พวกเขาหยั่งเชิงด้วยคำพูดและการกระทำของตน และถึงกับใช้วิถีทางที่ไม่ซื่อมาคาดคั้นและชักจูงให้ผู้คนพูดความจริงและพูดอย่างซื่อสัตย์  พวกเขาพยายามหาคำตอบว่า เหตุใดตนจึงถูกโยกย้าย?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ของตน?  ผู้ใดกำลังชักใยอยู่กันแน่?  ผู้ใดกำลังพยายามทำให้สิ่งทั้งหลายยุ่งเหยิงสำหรับพวกเขา?  พวกเขาเฝ้าถามถึงเหตุผลอยู่ในใจ พวกเขาเฝ้าพยายามหาคำตอบว่าที่จริงแล้วกำลังเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้สามารถหาตัวคนที่ตนจะโต้แย้งหรือแก้เผ็ดได้  พวกเขาไม่รู้จักมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตนเอง ไม่มองว่าในตัวพวกเขามีปัญหาอะไร พวกเขาไม่มองหาเหตุผลในตนเอง ไม่อธิษฐานต่อพระเจ้าและทบทวนตนเองทั้งยังกล่าวว่า “วิธีทำหน้าที่ของฉันมีปัญหาอะไร?  เป็นเพราะฉันสุกเอาเผากินและไม่มีหลักธรรมหรือเปล่า?  มันส่งผลอะไรบ้างหรือเปล่า?”  แทนที่จะตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเอง ในหัวใจของพวกเขากลับตั้งคำถามกับพระเจ้าอยู่เป็นนิจว่า “ทำไมข้าพระองค์จึงถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่?  ทำไมข้าพระองค์จึงถูกปฏิบัติแบบนี้?  ทำไมพวกเขาจึงแล้งน้ำใจนัก?  ทำไมพวกเขาจึงไม่เป็นธรรมกับข้าพระองค์?  ทำไมพวกเขาจึงไม่นึกถึงความภาคภูมิใจของข้าพระองค์เลย?  ทำไมพวกเขาจึงโจมตีและกีดกันข้าพระองค์?”  คำว่า “ทำไม” ทั้งหมดนี้เป็นการเผยลักษณะนิสัยและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกศัตรูของพระคริสต์อย่างแจ่มแจ้ง  ไม่มีผู้ใดสามารถจินตนาการได้ว่าในเรื่องที่เล็กมากอย่างการโยกย้ายหน้าที่ ศัตรูของพระคริสต์จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ โวยวายเช่นนี้ และพยายามใช้ทุกวิถีทางที่พวกเขามีเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่  เหตุใดพวกเขาจึงทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นซับซ้อนเช่นนี้?  มีเหตุผลเพียงข้อเดียวเท่านั้นคือ ศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยทำตามการจัดแจงเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขายึดโยงหน้าที่ ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนเข้ากับความหวังที่จะได้รับพรและบั้นปลายในอนาคตอย่างแนบแน่นเสมอ ราวกับว่าทันทีที่ความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขาสูญสิ้น พวกเขาก็หมดหวังที่จะได้รับพรและรางวัล และทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับสูญสิ้นชีวิตไปด้วย  พวกเขาคิดว่า “ฉันต้องรอบคอบ ฉันต้องไม่ประมาท!  พระนิเวศของพระเจ้า พี่น้องชายหญิง ผู้นำและคนทำงาน และแม้กระทั่งพระเจ้าก็ไม่อาจเป็นที่พึ่งพาได้  ฉันไม่สามารถไว้ใจพวกเขาคนใดได้  คนที่คุณพึ่งพาได้ที่สุดและคู่ควรแก่ความไว้วางใจที่สุดก็คือตัวคุณเอง  ถ้าคุณไม่วางแผนให้ตัวเองเช่นนั้นแล้วใครจะมาใส่ใจดูแลคุณ?  ใครจะมาคำนึงถึงอนาคตของคุณ?  ใครจะมาคำนึงว่าคุณจะได้รับพรหรือไม่?  เพราะฉะนั้น ฉันต้องวางแผนและคิดคำนวณเพื่อตัวเองให้รอบคอบ  ฉันจะทำผิดพลาดหรือประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นฉันจะทำอย่างไรถ้ามีใครพยายามเอาเปรียบฉัน?”  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงระวังตัวกับเหล่าผู้นำและคนทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า กลัวว่าจะมีคนรู้ทันหรือดูพวกเขาออก แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะถูกปลด และความฝันที่จะได้รับพรก็จะพังทลาย  พวกเขาคิดว่าพวกเขาต้องรักษาความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอาไว้ เพื่อให้พวกเขามีความหวังที่จะได้รับพร  ศัตรูของพระคริสต์มองการได้รับพรว่ายิ่งใหญ่กว่าฟ้าสวรรค์ ยิ่งใหญ่กว่าชีวิต สำคัญกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย หรือความรอดส่วนบุคคล และสำคัญกว่าการทำหน้าที่ของตนให้ดีและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน  พวกเขาคิดว่าการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน การทำหน้าที่ของตนได้ดี และการได้รับการช่วยให้รอดล้วนแต่เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่แทบจะไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงหรือแสดงความคิดเห็น ในขณะที่การได้รับพรเป็นสิ่งเดียวในชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาที่ไม่อาจลืมได้เป็นอันขาด  ในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กเพียงใด พวกเขาก็เอามายึดโยงกับการได้รับพร ระมัดระวังและเอาใจใส่อย่างยิ่ง และพวกเขาก็เหลือทางออกไว้ให้ตัวเองเสมอ  ดังนั้นเมื่อการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขาถูกปรับเปลี่ยนเสียใหม่ หากเป็นการส่งเสริม ศัตรูของพระคริสต์ก็จะคิดว่าพวกเขามีความหวังที่จะได้รับพร  หากเป็นการลดชั้น จากผู้นำทีมไปเป็นผู้ช่วยผู้นำทีม หรือจากผู้ช่วยผู้นำทีมไปเป็นสมาชิกกลุ่มปกติทั่วไป พวกเขาย่อมคาดคิดไปว่านี่จะเป็นปัญหาใหญ่ และคิดว่าความหวังที่ตนจะได้รับพรย่อมมีน้อย  นี่เป็นทัศนคติแบบใด?  ใช่ทัศนคติที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  ทัศนะเช่นนี้ไร้สาระ!  การที่ใครบางคนได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาทำหน้าที่ใด แต่ขึ้นอยู่ว่าพวกเขามีความจริงหรือไม่ พวกเขานบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และพวกเขาจงรักภักดีหรือไม่  สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญที่สุด  ในช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอด พวกเขาต้องทนทุกข์กับบททดสอบมากมาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาต้องก้าวผ่านความล้มเหลวและความติดขัดมากมาย แต่สุดท้ายแล้ว หากพวกเขาเข้าใจความจริงและนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  เห็นได้ว่าศัตรูของพระคริสต์ไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถทำความเข้าใจในเรื่องของการถูกโยกย้ายหน้าที่ได้เลย

ในบรรดาผู้ที่กำลังทำหน้าที่ย่อมจะมีคนที่ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ดีอยู่บ้างเสมอ  พวกเขาเขียนบทความไม่เก่งเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาไม่เข้าใจแม้แต่ศัพท์เฉพาะฝ่ายวิญญาณและไม่เข้าใจภาษาที่คริสเตียนมักใช้กันด้วยซ้ำ  พวกเขาอาจมีทักษะในการเขียนและพอมีการศึกษาอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่มีความสามารถพอสำหรับกิจนั้น  หากเจ้าให้พวกเขาพิสูจน์อักษรเอกสารต่างๆ หลังผ่านไปสักครู่ก็เริ่มชัดเจนว่าพวกเขาก็ไม่เก่งในเรื่องนั้นเช่นกัน  พวกเขาขาดพร่องขีดความสามารถ และพวกเขาพลาดในสิ่งต่างๆ เสมอ เจ้าจึงโยกย้ายพวกเขาอีกครั้ง  จากนั้นพวกเขาก็พูดว่าตนเองมีทักษะทางคอมพิวเตอร์ แต่หลังจากทำหน้าที่ในด้านนั้นไปสักพัก พวกเขาก็ไม่ถนัดในด้านนั้นเช่นกัน  พวกเขาดูเป็นคนทำอาหารเก่ง ดังนั้นเจ้าจึงให้พวกเขาทำอาหารให้เหล่าพี่น้องชายหญิง  กลับกลายเป็นทุกคนต่างรายงานว่าอาหารที่พวกเขาทำนั้นไม่เค็มไปก็จืดไป ทั้งพวกเขายังทำมากเกินไปหรือไม่ก็น้อยเกินไป  เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่เหมาะกับการทำอาหาร เจ้าจึงจัดการเตรียมการให้พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐ แต่ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่าตัวเองกำลังจะไปเข้าร่วมกับฝ่ายข่าวประเสริฐ พวกเขาก็รู้สึกหมดกำลังใจและคิดว่า “จบกัน  ฉันกำลังถูกลดบทบาทลง และไม่มีหวังที่จะได้รับพร  นอกจากร้องไห้แล้วยังทำอะไรได้อีก”  จากนั้นด้วยอารมณ์ที่เป็นลบและหดหู่ พวกเขาจมดิ่งและเสื่อมถอยลง ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับการประกาศข่าวประเสริฐและการเป็นพยานให้พระราชกิจใหม่ของพระเจ้าได้เลย  กลับกันพวกเขาเอาแต่คิดว่า “เมื่อไรฉันถึงจะกลับไปทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับข้อความได้เสียที?  เมื่อไรฉันถึงจะสามารถเชิดหน้าได้อีก?  เมื่อไรฉันถึงจะได้พูดกับเบื้องบนอีกครั้ง หรือมีส่วนร่วมในการตัดสินใจระดับสูง?  เมื่อไรทุกคนถึงจะตระหนักอีกครั้งว่าฉันเป็นผู้นำ?”  พวกเขารออยู่หลายปีโดยไม่ได้รับสถานะคืนจึงเริ่มไตร่ตรองว่า “เชื่อในพระเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์  ฉันก็แค่เหมือนกับคนพวกนั้นที่ประสบกับความติดขัดมากมายบนเส้นทางสู่การเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการในโลกภายนอกนั่นไม่ใช่หรือ?”  พอนึกถึงความติดขัดมากมายเหล่านั้น พวกเขาก็กลับยิ่งทดท้อมากขึ้น และรู้สึกหมดกำลังใจอย่างถึงที่สุด  พวกเขาพูดว่า “หลังจากเป็นผู้เชื่อมาตลอดหลายปี ฉันไม่เคยได้เป็นผู้นำหลักแม้สักครั้ง  หลังจากบริหารจัดการจนสุดท้ายได้รับใช้ในฐานะผู้นำฝ่าย ฉันก็ถูกปลด หนำซ้ำฉันยังไม่เคยทำหน้าที่อื่นได้ดีอีกด้วย  ฉันช่างโชคร้ายจริงๆ—ไม่มีอะไรได้ดั่งใจฉันเลย  ไม่ผิดอะไรกับการดิ้นรนฝ่าความติดขัดมากมายบนเส้นทางสู่การเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ  ทำไมพระนิเวศของพระเจ้าถึงจะไม่เลื่อนตำแหน่งให้ฉัน?  สถานะและความมีหน้ามีตาของฉันตกต่ำถึงขีดสุดแล้วจริงๆ  ไม่มีใครจำได้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร และเบื้องบนก็ไม่เคยเอ่ยถึงฉัน  วันแห่งความรุ่งโรจน์ของฉันจบสิ้นแล้ว  ฉันจะทำอย่างไรดีกับการไร้ความสำเร็จของตัวเอง?  ฉันรักพระเจ้ามากยิ่งนัก และฉันก็รักคริสตจักรกับพระนิเวศของพระเจ้า แล้วทำไมฉันถึงไม่ได้ชื่นชมยินดีกับความสำเร็จ?  ไม่มีประโยชน์ที่จะเชื่อในพระเจ้าเลย  ฉันต้องการที่จะทำแผนการอันยิ่งใหญ่ของฉันให้เป็นจริงในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ต้องการใช้พลังและจุดแข็งของฉันให้เกิดประโยชน์จริงๆ แต่พระเจ้าก็แค่ไม่วางฉันในตำแหน่งสำคัญหรือมองเห็นฉัน  ไม่มีประโยชน์เลย”  การที่พวกเขาพร่ำบ่นไม่หยุดเรื่องการไม่มีประโยชน์นั้นหมายความว่าอย่างไร?  พวกเขาหมายถึงไม่มีประโยชน์ที่จะทำหน้าที่ของตน ไม่มีประโยชน์ที่จะไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย ไม่มีประโยชน์ที่จะรับฟังความจริงและรับฟังคำเทศนา ไม่มีประโยชน์ที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งแสวงหาหลักธรรมความจริง  เช่นนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว การทำสิ่งใดจึงมีประโยชน์?  การมีตำแหน่งทางการ การได้รับพร การได้ลุล่วงความอยากและความทะเยอทะยานที่มีต่อพรทั้งหลาย การอวดตัวในทุกโอกาส การได้รับความเลื่อมใสและการมีเกียรติยศ  สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งอื่นใดล้วนไร้ประโยชน์  เมื่อพวกเขารู้สึกเหมือนไม่มีประโยชน์ เมื่อพวกเขาหมดกำลังใจ เช่นนั้นพวกเขาจึงพบว่าเท้าของตนเดินตรงไปที่ประตูโดยสมัครใจ  พวกเขาต้องการไปจากพระนิเวศของพระเจ้า ต้องการถอนตัว  นี่หมายความว่าพวกเขาตกอยู่ในอันตราย  มีคนบางคนที่ทำหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ทำหน้าที่เบ็ดเตล็ดซึ่งต้องติดต่อกับพวกผู้ไม่มีความเชื่ออยู่เป็นนิตย์ และสมาชิกบางคนในกลุ่มนี้วางขาข้างหนึ่งในคริสตจักรและขาอีกข้างหนึ่งอยู่นอกคริสตจักร  นั่นหมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าผู้คนเหล่านี้อาจถอนตัวได้ทุกเมื่อ และหากแนวป้องกันสุดท้ายของพวกเขาพังทลายลง เช่นนั้นเท้าอีกข้างของพวกเขาก็จะก้าวออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว อีกทั้งพวกเขาจะแตกหักกับพระนิเวศของพระเจ้าและไปจากคริสตจักรโดยสมบูรณ์  เมื่อเป็นเรื่องที่ผู้คนเหล่านี้ถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่ สิ่งต่างๆ อาทิ พวกเขาถูกย้ายไปไหน พวกเขาทำหน้าที่อะไร หน้าที่นั้นสนองความอยากส่วนตนของพวกเขาหรือไม่ หน้าที่นั้นทำให้พวกเขาสามารถได้รับความนับถือหรือไม่ และหน้าที่ใหม่ของพวกเขาอยู่ในตำแหน่งหรือลำดับขั้นใด ล้วนถูกพวกเขาเชื่อมโยงเข้ากับเจตนาและความอยากได้รับพรของตน  จากท่าทีและทัศนะที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีต่อการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของตน ปัญหาของพวกเขาอยู่ตรงไหน?  นี่เป็นปัญหาใหญ่หรือไม่?  (เป็นปัญหาใหญ่)  ปัญหานั้นคืออะไร?  (พวกเขาโยงการปรับเปลี่ยนหน้าที่ตามปกติเข้ากับสถานะของตนในคริสตจักร และเข้ากับการที่ตนจะสามารถได้รับพรหรือไม่  เมื่อหน้าที่ของพวกเขาถูกปรับเปลี่ยน แทนที่พวกเขาจะยอมรับและเชื่อฟังการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขากลับคิดว่าตนกำลังสูญเสียสถานะและไม่อาจได้รับพรอีกต่อไปแล้ว จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าการเชื่อพระเจ้าไม่มีความหมายและต้องการไปจากพระนิเวศของพระเจ้า)  ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาในที่นี้ก็คือการโยงการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของตนเข้ากับการได้รับพร  แน่นอนที่สุดว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง  ที่จริงแล้ว สองสิ่งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย แต่เนื่องจากศัตรูของพระคริสต์มีหัวใจที่เต็มไปด้วยความอยากได้รับพร ไม่ว่าพวกเขาทำหน้าที่ใด พวกเขาก็จะโยงหน้าที่นั้นเข้ากับการที่ตนจะสามารถได้รับพรหรือไม่ ซึ่งหมายความว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทำหน้าที่ได้ดี และพวกเขาได้แต่ถูกเผยและกำจัดเท่านั้น  นี่เป็นการที่พวกเขาสร้างปัญหาให้กับตัวเอง และพาตัวเองไปอยู่ในเส้นทางแห่งความพินาศจริงๆ

เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรต่อเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของตน?  ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีคือเจ้าต้องมีท่าทีที่ถูกต้อง  หน้าที่ที่เหมาะสมกับเจ้าควรขึ้นอยู่กับจุดแข็งของตัวเจ้าเอง  หากบางคราวเจ้าไม่ถนัดในหน้าที่ที่คริสตจักรจัดแจงให้ หรือหน้าที่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าปรารถนาที่จะทำ เจ้าก็สามารถยกประเด็นนั้นขึ้นมาและแก้ไขโดยผ่านการสัมพันธ์สนิท  แต่หากเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่นั้นได้ และนั่นเป็นหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ และที่เจ้าไม่ต้องการทำหน้าที่นั้นก็เพียงเพราะเจ้าเกรงกลัวการทนทุกข์ ถ้าเช่นนั้นเจ้าย่อมมีปัญหา  หากเจ้าเต็มใจที่จะเชื่อฟังและสามารถขัดขืนเนื้อหนังของตนได้ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถพูดได้ว่าเจ้าค่อนข้างมีเหตุผล  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าพยายามคำนวณอยู่เสมอว่าหน้าที่ใดมีเกียรติมากกว่ากัน และเจ้าก็ทึกทักว่าหน้าที่บางหน้าที่จะทำให้ผู้อื่นดูแคลนเจ้า นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เหตุใดเจ้าจึงมีอคติกับความเข้าใจในหน้าที่ทั้งหลายนัก?  เป็นได้หรือว่าเจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ดีได้หากเป็นหน้าที่ที่เจ้าเลือกตามแนวคิดของตนเอง?  นั่นไม่จริงเสมอไป  สิ่งสำคัญที่สุดในที่นี้คือการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และหากเจ้าไม่ทำเช่นนั้น เจ้าก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ดีได้ ต่อให้เป็นหน้าที่ที่เจ้าเพลิดเพลินก็ตาม  คนบางคนปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยปราศจากหลักธรรม และพวกเขาปฏิบัติหน้าที่โดยขึ้นอยู่กับความชอบของตนเองเสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยแก้ไขความลำบากยากเย็นได้เลย พวกเขาทำแต่พอให้พ้นตัวเสมอในทุกหน้าที่ที่ตนปฏิบัติ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกจำกัดออกไป  ผู้คนแบบนี้สามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  เจ้าต้องเลือกหน้าที่ที่เหมาะกับเจ้า ปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี และสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  ถึงตอนนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  หากเจ้าไล่ตามไขว่คว้าความชูใจทางเนื้อหนังและเสาะแสวงที่จะดูดีในหน้าที่ของตนเสมอ เจ้าย่อมจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดี  หากเจ้าไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ให้ดีได้ เช่นนั้นเจ้าก็จะต้องถูกกำจัด  คนบางคนไม่พึงพอใจไม่ว่าตนกำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่ก็ตาม พวกเขามองว่าหน้าที่ของตนเป็นหน้าที่ชั่วคราวเสมอ พวกเขาสุกเอาเผากินและไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ตนเผยออกมา  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนมาหลายปีโดยไม่ได้รับการเข้าสู่ชีวิตอันใดเลย  พวกเขากลายเป็นคนลงแรงและพวกเขาก็ถูกกำจัดออกไป  พวกเขาหาเรื่องใส่ตัวเองไม่ใช่หรือ?  ผู้คนที่ชั่วและพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยมีท่าทีที่ถูกต้องในหน้าที่ของตน  พวกเขาคิดอะไรตอนที่ปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขาเสียใหม่?  “คุณคิดว่าฉันเป็นแค่คนรับใช้อย่างนั้นหรือ?  ตอนที่คุณใช้ฉัน คุณก็ให้ฉันทำงานรับใช้คุณ และเมื่อคุณไม่ต้องการฉัน คุณก็แค่ไล่ฉันไป  ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่ทำงานรับใช้แบบนั้นอีก!  ฉันต้องการเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เพราะนั่นเป็นงานที่น่านับถืองานเดียวในที่แห่งนี้  ถ้าคุณจะไม่ยอมให้ฉันเป็นผู้นำหรือคนทำงานและยังคงต้องการให้ฉันตรากตรำอยู่ คุณก็ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย!”  นี่เป็นท่าทีประเภทใด?  พวกเขากำลังนบนอบอยู่หรือไม่?  เมื่อปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขา พวกเขารับมืออย่างไร?  ตามความวู่วาม แนวคิดของตนเอง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองถูกต้องหรือไม่?  แล้วการรับมือกับเรื่องนี้ในหนทางนี้มีผลที่ตามมาอย่างไร?  ก่อนอื่น พวกเขาจะจงรักภักดีและจริงใจต่อหน้าที่ถัดไปของตนได้หรือไม่?  ไม่ พวกเขาย่อมจะทำไม่ได้  พวกเขาจะมีท่าทีที่เป็นบวกหรือไม่?  พวกเขาจะอยู่ในสภาวะจำพวกใด?  (สภาวะท้อแท้)  อะไรคือแก่นแท้ของความท้อแท้?  นั่นก็คือความเป็นปรปักษ์  แล้วผลลัพธ์สุดท้ายของอารมณ์ท้อแท้และเป็นปรปักษ์คืออะไร?  คนที่รู้สึกแบบนั้นสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดีหรือไม่?  (ไม่)  หากใครบางคนคิดลบและเป็นปรปักษ์อยู่เสมอ พวกเขาเหมาะที่จะทำหน้าที่หรือไม่?  ไม่ว่าพวกเขาทำหน้าที่ใด พวกเขาก็ไม่อาจทำได้ดี  นี่คือวงจรอุบาทว์และจะไม่จบลงด้วยดี  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่ดี พวกเขาไม่แสวงหาความจริง พวกเขาไม่นบนอบ และพวกเขาไม่สามารถเข้าใจท่าทีและแนวทางที่พระนิเวศของพระเจ้ามีต่อพวกเขาได้อย่างถูกควร  นี่เป็นปัญหาใช่หรือไม่?  การปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขานี้เหมาะควรอย่างที่สุด แต่พวกศัตรูของพระคริสต์กลับพูดว่านี่เป็นการทำเพื่อทรมานพวกเขา ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังถูกปฏิบัติเหมือนเป็นมนุษย์ ว่าพระนิเวศของพระเจ้าขาดความรัก ว่าพวกเขากำลังถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเครื่องจักร ถูกเรียกหายามเป็นที่ต้องการ จากนั้นก็เขี่ยทิ้งเมื่อไม่ต้องการแล้ว  นี่เป็นข้อโต้แย้งที่บิดเบือนไม่ใช่หรือ?  คนที่พูดเรื่องแบบนั้นมีมโนธรรมหรือเหตุผลหรือไม่?  พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์!  พวกเขาบิดเบือนเรื่องที่ถูกควรโดยแท้ พวกเขาบิดเบือนให้การปฏิบัติอันเหมาะควรที่สุดกลายเป็นสิ่งที่เป็นลบ—นี่คือความเลวร้ายของศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ?  คนที่เลวขนาดนี้สามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  นี่เป็นปัญหาของศัตรูของพระคริสต์ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเขาก็ตาม พวกเขาจะนึกถึงสิ่งนั้นในหนทางที่บิดเบือน  เหตุใดพวกเขาจึงคิดในหนทางที่บิดเบือน?  เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้นเลวร้ายยิ่งนัก  แก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์นั้นมีความเลวร้ายเป็นหลัก รองมาคือความชั่วร้ายของพวกเขา และเหล่านี้คือลักษณะเฉพาะที่สำคัญของพวกเขา  ธรรมชาติที่เลวร้ายของศัตรูของพระคริสต์ทำให้พวกเขาไม่อาจทำความเข้าใจสิ่งใดได้อย่างถูกต้อง แต่กลับบิดเบือนทุกสิ่งทุกอย่างแทน พวกเขาทำเกินจำเป็น จับผิดในเรื่องหยุมหยิม และไม่สามารถรับมือกับสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกควรหรือแสวงหาความจริงได้เลย  จากนั้นพวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาโต้กลับและหาทางแก้แค้น โดยถึงกับเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและระบายความคิดลบ ยุยงและหว่านล้อมผู้อื่นให้ก่อกวนงานของคริสตจักร  พวกเขาแอบแพร่กระจายคำพร่ำบ่นบางอย่างไปทั่ว ตัดสินวิธีที่พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติกับผู้คน กฎเกณฑ์การปกครองบางอย่างแห่งพระนิเวศของพระเจ้า วิธีที่ผู้นำบางคนทำสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนกล่าวโทษผู้นำเหล่านี้  นี่เป็นอุปนิสัยจำพวกใด?  นี่เป็นความชั่วร้าย  ศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงต้านทานและแข็งข้อ แต่พวกเขายังหว่านล้อมผู้คนเป็นจำนวนมากขึ้นให้ร่วมแข็งข้อไปกับพวกเขาเพื่อถือหางและคอยเอาใจช่วยพวกเขา  แก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์เป็นเช่นนี้  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะปฏิบัติต่อการปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาได้อย่างถูกต้อง หรือยอมรับและนบนอบการนั้นอย่างมีเหตุผล  ตรงกันข้าม พวกเขากลับเอะอะโวยวายและแก้ตัวสารพัด ซึ่งบางอย่างก็ดูไม่เหมาะสมและกระตุ้นให้ผู้อื่นสะอิดสะเอียนและเกลียดชัง  หลังจากแสดงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและความเห็นนอกรีตบางอย่าง ศัตรูของพระคริสต์จะพยายามกอบกู้สถานการณ์ให้กับตนเองและทำให้ผู้อื่นเชื่อในตัวพวกเขา  หากมาตรการเหล่านี้ไม่สำเร็จ พวกศัตรูของพระคริสต์จะสามารถกลับตัวได้หรือไม่?  หากพวกเขาไม่สามารถเดินหน้าไปตามเส้นทางนี้ พวกเขาจะแสวงหาความจริงได้หรือไม่?  พวกเขาจะมีเจตจำนงที่จะกลับใจหรือไม่?  ไม่มีโดยสิ้นเชิง  พวกเขาจะพูดว่า “ถ้าคุณขัดขวางไม่ให้ฉันได้รับพร ฉันก็จะขัดขวางไม่ให้พวกคุณทั้งหมดได้รับพร!  ถ้าฉันไม่อาจได้รับพร ฉันก็จะเลิกเชื่อ!”  ในอดีตเราได้กล่าวไปแล้วว่าศัตรูของพระคริสต์ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงอย่างไร แก่นแท้ธรรมชาติเบื้องหลังความไม่มีเหตุผลนี้ก็คือ ผู้คนเหล่านี้เลวและชั่วร้ายถึงขีดสุด  เรื่องที่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่ในตอนนี้คือการสำแดงและการเผยทั้งหลายที่แสดงให้เห็นแก่นแท้ธรรมชาตินี้ออกมาให้เห็นอย่างครบถ้วน และนี่คือข้อพิสูจน์อันถ่องแท้ที่สุดของแก่นแท้ธรรมชาตินี้  ผู้คนเหล่านี้บางคนรู้สึกโกรธขึ้นมาถ้าการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขาถูกปรับเปลี่ยนแม้จะเพียงครั้งเดียวก็ตาม และพวกเขาบางคนไม่สามารถทำหน้าที่ใดให้ดีได้หลังถูกโยกย้ายหลายครั้งและย้ายจากหน้าที่หนึ่งไปอีกหน้าที่หนึ่ง จนสุดท้ายก็คิดว่าตนไม่มีหวังที่จะได้รับพรและต้องการถอนตัว  สรุปก็คือ ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขาอย่างไร หากเกิดการปรับเปลี่ยนอันใดขึ้น ผู้คนเหล่านี้ก็จะวิเคราะห์ ตัดสิน และขบคิดถึงการปรับเปลี่ยนนั้นอยู่ในใจ และจะวางใจก็ต่อเมื่อพวกเขาพบว่าการปรับเปลี่ยนนั้นไม่เกี่ยวกับการที่ตนจะได้รับพร  ทันทีที่พวกเขาพบว่าการปรับเปลี่ยนนั้นเกี่ยวข้องกับการได้รับพรแม้เพียงน้อยนิด หรือส่งผลกระทบต่อความหวังที่จะได้รับพรของตน พวกเขาก็จะลุกขึ้นมาแข็งข้ออันเป็นการเปิดโปงแก่นแท้ธรรมชาติของตนในทันที  หากพวกเขาล้มเหลวในการแข็งขืนครั้งนี้ และถูกเปิดโปงรวมทั้งถูกปฏิเสธ พวกเขาก็จะตระเตรียมแผนการรับมือให้กับตัวเอง และไปจากพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเด็ดเดี่ยวและปราศจากความลังเล ไม่เชื่ออีกต่อไปว่ามีพระเจ้าอยู่ และไม่ยอมรับอีกต่อไปว่าตนเชื่อในพระเจ้า  ชีวิตในแต่ละวันของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงทันที และคุณสมบัติทั้งหมดของผู้เชื่อในพระเจ้าก็จะหายไปจากพวกเขา  พวกเขาจะกลับไปดื่มเหล้า สูบบุหรี่ สวมเสื้อผ้าประหลาดๆ และแต่งหน้าเข้มๆ รวมถึงแต่งกายโก้หรูในทันที  เนื่องจากพวกเขาไม่อาจได้เพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าได้ พวกเขาจึงจะรีบชดเชยเวลาที่สูญเสียไปนี้  เมื่อพวกเขาพิจารณาเรื่องการถอนตัว พวกเขาจะนึกถึงขั้นตอนถัดไปในทันทีว่าตนจะสามารถทำงานหนักในโลกอย่างไรให้เจริญก้าวหน้า สามารถหาที่ยืนให้ตัวเอง และใช้ชีวิตที่ดีได้ รวมทั้งหาว่าทางออกของตนอยู่ตรงไหน  ไม่นานนักพวกเขาก็จะพบทางออกให้กับตนเอง มีที่ทางของตนท่ามกลางกระแสนิยมชั่วเหล่านี้และภายในโลกชั่วนี้ อีกทั้งกำหนดสิ่งที่ตนจะทำ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การเมือง หรือกิจการประเภทอื่นที่จะอำนวยให้ตนได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่าผู้อื่น นำพาความสุขและความชื่นบานมาสู่ชีวิตที่เหลือของตน ทำให้เนื้อหนังของตนสะดวกสบายยิ่งขึ้น เปิดโอกาสให้ตนได้เพลิดเพลินกับชีวิตอย่างเต็มที่ รวมทั้งมีส่วนร่วมในความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ

เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่งและถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่ สิ่งที่พวกเขานึกถึงคือการได้รับพรที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับตนมาก  เมื่อพวกเขาคิดว่าตนไม่เหลือความหวังในเรื่องนั้นแล้ว พวกเขาก็จะต้องการถอนตัว เดินออกไปจากพระนิเวศของพระเจ้า และต้องการย้อนกลับไปสู่ชีวิตของผู้ไม่มีความเชื่อ  นี่เป็นหลักฐานว่าแก่นแท้ธรรมชาติของคนคนหนึ่งมีความสำคัญเป็นที่สุด แล้วการไล่ตามไขว่คว้าและทางเลือกของพวกเขาก็สำคัญมากเช่นกันไม่ใช่หรือ?  นั่นก็แค่ความแตกต่างของความคิดหนึ่งเท่านั้นเอง กล่าวคือ การตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งเดียว เจ้าอาจลงเอยด้วยการยอมรับการช่วยให้รอดของพระเจ้าต่อไป ในขณะที่การเลือกผิดครั้งเดียวสามารถเปลี่ยนเจ้าให้เป็นผู้ไม่มีความเชื่อในชั่วพริบตา เป็นใครบางคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระนิเวศของพระเจ้า กับพระราชกิจของพระเจ้า หรือกับหน้าที่ของตน  เพียงแค่ความคิดความคิดเดียว เวลาชั่วขณะเดียว หรือเรื่องเล็กๆ เรื่องเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของใครคนหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง  การเลือกโดยไม่ใส่ใจครั้งเดียว ความคิดเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่ไตร่ตรองความคิดเดียว หรือมุมมองหนึ่งที่เรียบง่ายก็สามารถเปลี่ยนโชคชะตาของคนคนหนึ่งได้ และสามารถกำหนดได้ว่าพวกเขาจะจบลงตรงไหนในชั่วขณะถัดไป  ยามที่ผู้คนยังไม่ได้เผชิญประเด็นปัญหาประเภทใด ยามที่พวกเขายังไม่ได้เผชิญการตัดสินใจใด พวกเขาย่อมรู้สึกว่าตนเข้าใจความจริงมากมาย มีวุฒิภาวะ และสามารถตั้งมั่นได้  แต่เมื่อเจ้าเผชิญกับการตัดสินใจ หลักธรรมสำคัญ หรือประเด็นปัญหาใหญ่ๆ สิ่งที่เจ้าเลือกอย่างแท้จริง ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า และมุมมองกับท่าทีที่เจ้ามีต่อเรื่องนั้นย่อมจะเป็นตัวกำหนดโชคชะตาของเจ้าและกำหนดว่าเจ้าจะอยู่หรือไป  ทางเลือกที่ศัตรูของพระคริสต์มีแนวโน้มที่จะเลือก และความอยากในหัวใจส่วนลึกสุดของพวกเขาล้วนสวนทางกับความจริง ไม่มีการนบนอบอยู่ในสิ่งเหล่านี้ มีเพียงความเป็นปฏิปักษ์ ไม่มีความจริงหรือความเป็นมนุษย์ มีเพียงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบมนุษย์ และตรรกะวิบัติกับความเห็นนอกรีตแบบมนุษย์  บ่อยครั้งที่สิ่งเหล่านี้มักจะก่อให้เกิดความคิดอย่างเช่น การทิ้งพระนิเวศของพระเจ้าไว้ข้างหลังและการดื่มด่ำอยู่ในกระแสนิยมชั่ว และสามารถทำให้พวกเขาฉุกคิดได้ในทุกขณะว่า “ถ้าฉันไม่มีความหวังที่จะได้รับพร แล้วทำไมฉันจะไม่ไปจากพระนิเวศของพระเจ้าเล่า?  ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันก็จะไม่เชื่อหรือทำหน้าที่ของฉันอีกต่อไป  ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติกับฉันแบบนี้ เช่นนั้นฉันก็จะไม่ยอมรับรู้ว่ามีพระเจ้าอีกต่อไป”  ความคิดที่เป็นกบฏอย่างอุกอาจทำนองนี้ ความเห็นนอกรีตและตรรกะวิบัติเหล่านี้ แนวคิดเลวร้ายเหล่านี้ปรากฏและคุกรุ่นอยู่ในหัวใจของศัตรูของพระคริสต์บ่อยครั้ง  นี่คือเหตุผลที่ว่า ต่อให้พวกเขาไม่ถอนตัวกลางทางในครรลองของการติดตามพระเจ้า แต่ก็เป็นเรื่องยากเย็นมากที่พวกเขาจะเดินไปตามเส้นทางนั้นจนถึงวาระสุดท้าย และพวกเขาส่วนใหญ่ก็จะถูกเอาตัวออกไปและขับไล่ออกจากคริสตจักรเนื่องจากความชั่วมหันต์ที่พวกเขาทำลงไปรวมถึงการขัดขวางและการก่อกวนที่พวกเขาได้ก่อขึ้น  ต่อให้พวกเขาสามารถฝืนใจยึดมั่นจนถึงปลายทางได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราสามารถเห็นได้จากแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ว่า พวกเขาจะถอนตัวจากคริสตจักรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ลึกลงไปพวกเขาอาจถึงกับคิดว่า “ฉันไม่อาจทิ้งพระนิเวศของพระเจ้าไว้ข้างหลังได้อย่างแน่นอน  ต่อให้มีความคิดแบบนั้น ฉันก็ทิ้งไปไม่ได้  ฉันจะอยู่ที่นี่จนตัวตายด้วยซ้ำ  ฉันจะฝากชีวิตไว้กับพระนิเวศของพระเจ้า ฉันจะติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทาง”  ไม่ว่าเจตจำนงส่วนตนของพวกเขาจะบีบคั้นพวกเขาไม่ให้ไปจากพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร และไม่ว่าพวกเขาจะยืนกรานว่าตนต้องทำตามเจตจำนงส่วนตนอย่างไร ถึงที่สุดแล้วพวกเขาก็ถูกกำหนดให้พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และไปจากพระนิเวศของพระเจ้าโดยสมัครใจ เพราะพวกเขารังเกียจความจริงและเลวร้ายจนถึงแก่น

III. ท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อการที่พวกเขาถูกปลด

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันถึงการสำแดงสองประการของพวกศัตรูของพระคริสต์ ประการแรกก็คือเมื่อพวกเขาเผชิญกับการตัดแต่ง และอีกประการหนึ่งก็คือเมื่อมีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของพวกเขา  สามัคคีธรรมของพวกเราได้มุ่งเน้นไปที่ท่าทีที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีรวมทั้งการตัดสินใจของพวกเขาเมื่อสิ่งดังกล่าวบังเกิดขึ้นกับตน  แน่นอนว่าไม่สำคัญว่ามุมมองและท่าทีของพระคริสต์ในยามที่ตนถูกตัดแต่งหรือถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่นั้นเป็นอย่างไร แต่พวกเขาก็ยึดโยงสิ่งเหล่านี้เข้ากับการที่พวกเขาจะได้รับพรหรือไม่อยู่เสมอ  หากพวกเขาแน่ใจว่าตัวเองจะไม่ได้รับพร ว่าตนไม่มีความหวังเลย เช่นนั้นพวกเขาก็จะถอนตัวเป็นธรรมดา  สำหรับคนทั่วไป สำหรับใครบางคนที่ไม่มีความทะเยอทะยานหรือความอยากอันใด ทั้งการถูกตัดแต่งและการถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่ต่างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่อย่างใด  ทั้งสองสิ่งนี้จะไม่มีผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อพวกเขาเช่นกัน  พวกเขาทั้งไม่ได้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการทำหน้าที่ และไม่ได้ถูกพรากความหวังของการได้รับการช่วยให้รอดไป ดังนั้นสำหรับคนทั่วไปแล้วไม่มีความจำเป็นต้องแสดงปฏิกิริยารุนแรงเกินกว่าเหตุ ไม่จำเป็นต้องพรั่นพรึงหรือเจ็บปวด หรือเริ่มวางแผนรับมือล่วงหน้า  อย่างไรก็ตาม สำหรับศัตรูของพระคริสต์กลับไม่ใช่เช่นนั้น  พวกเขามองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะพวกเขาเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้ากับการได้รับพร และนี่ก็ส่งผลให้เกิดความคิดและพฤติกรรมอันเป็นกบฏทุกประเภทในตัวพวกเขา ซึ่งก่อให้เกิดแนวคิดและแผนการถอนตัว แผนการไปจากพระเจ้าตามลำดับ  หนำซ้ำพวกศัตรูของพระคริสต์ยังสามารถเกิดแนวคิดของการถอนตัวขึ้นเมื่อสิ่งต่างๆ ที่แสนธรรมดา เหล่านี้บังเกิดแก่พวกเขา  ดังนั้นสำหรับใครบางคนที่มีสถานะและรับผิดชอบงานสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า ยามที่กำลังเผชิญกับการถูกปลด พวกเขาจะมีท่าทีประเภทใด?  พวกเขาจะรับมือเรื่องนี้อย่างไร และพวกเขาจะเลือกสิ่งใด?  สิ่งเหล่านี้ยิ่งช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น  สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว สถานะ อำนาจ และเกียรติยศคือผลประโยชน์ประเภทที่สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่พวกเขาถือเสมอชีวิตของตน  นี่เป็นเหตุผลที่เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกปลด เมื่อพวกเขาสูญเสียตำแหน่ง “ผู้นำ” และไม่มีสถานะอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้สูญเสียอำนาจและเกียรติยศไปแล้ว พวกเขาจะไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษในการได้รับการนับถือ เกื้อหนุน และเคารพยกย่องอีกต่อไปแล้ว ในฐานะที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ซึ่งมองสถานะและอำนาจเป็นชีวิตตนเอง พวกเขาย่อมพบว่านี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกปลด ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็เหมือนตัวเองโดนฟ้าผ่า ราวกับฟ้าถล่มครืนลงมา และโลกของพวกเขาได้พังทลายลงแล้ว  สิ่งที่พวกเขาเคยฝากความหวังเอาไว้ได้กลับสูญสิ้นไป เช่นเดียวกับโอกาสของพวกเขาในการดำรงชีวิตอยู่กับผลประโยชน์ทั้งมวลจากสถานะ พร้อมด้วยแรงผลักดันที่ทำให้พวกเขาสิ่งไม่ดีทั้งหลายอย่างบ้าคลั่ง  นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่สุดสำหรับพวกเขา  สิ่งแรกที่พวกเขาคิดก็คือ “ตอนนี้ฉันไม่มีสถานะแล้วผู้คนจะมองฉันอย่างไร?  พวกพี่น้องชายหญิงที่เป็นคนบ้านเดียวกับฉันจะคิดกับฉันอย่างไร?  ทุกคนที่รู้จักฉันจะมองฉันอย่างไร?  พวกเขาจะยังป้อยอฉันอยู่ไหม?  พวกเขาจะเป็นมิตรกับฉันอย่างนั้นไหม?  พวกเขาจะยังคอยเกื้อหนุนฉันในทุกฝีก้าวไหม?  พวกเขาจะยังคงติดตามฉันไปไหนมาไหนหรือเปล่า?  พวกเขาจะยังดูแลสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ฉันจำเป็นต้องมีในชีวิตหรือเปล่า?  เวลาฉันพูดกับพวกเขา พวกเขาจะยังมีมารยาทและยิ้มแย้มต้อนรับฉันหรือเปล่า?  ฉันจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อไม่มีสถานะ?  ฉันจะเดินอย่างไรบนเส้นทางต่อจากนี้?  ฉันจะมีที่ยืนสำหรับตัวเองท่ามกลางคนอื่นได้อย่างไร?  ตอนนี้ที่ฉันสูญเสียสถานะไปแล้ว นั่นหมายความว่าฉันมีความหวังที่จะได้รับพรน้อยลงไม่ใช่หรือ?  ฉันจะสามารถได้มาซึ่งพรอันยิ่งใหญ่หรือไม่?  ฉันจะได้รับบำเหน็จรางวัลใหญ่หรือมงกุฎอันโตหรือเปล่า?”  เมื่อพวกเขาคิดว่าความหวังทั้งหลายที่ตนจะได้รับพรได้ถูกทำลายลงหรือลดน้อยลงอย่างรุนแรง นั่นก็เหมือนศีรษะของพวกเขากำลังจะระเบิด เหมือนหัวใจของพวกเขาถูกทุบด้วยค้อน และเจ็บปวดประหนึ่งโดนมีดกรีดเฉือน  ยามที่พวกเขาใกล้จะสูญเสียพรของการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ที่ตนถวิลหาอย่างยิ่งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นั่นดูเป็นข่าวร้ายสำหรับพวกเขาที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  สำหรับศัตรูของพระคริสต์ การไม่มีสถานะก็เหมือนกับการไม่มีความหวังที่จะได้รับพร และพวกเขาก็กลายเป็นเหมือนซากศพเดินได้ ร่างของพวกเขากลายเป็นเหมือนเปลือกที่ว่างเปล่า ไร้ดวงจิต ไม่มีสิ่งใดชี้นำชีวิตของพวกเขา  พวกเขาไม่มีความหวังและไม่มีสิ่งใดให้ตั้งตารอ  เมื่อศัตรูของพระคริสต์เผชิญกับการถูกเปิดโปงและถูกปลด สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในใจพวกเขาก็คือ พวกเขาหมดสิ้นทุกความหวังที่จะได้รับพร  ดังนั้น ณ จุดนี้ พวกเขาคงจะยอมแพ้แล้วใช่หรือไม่?  พวกเขาจะเต็มใจนบนอบใช่หรือไม่?  พวกเขาจะใช้โอกาสนี้ละทิ้งความอยากของตนที่มีต่อพรทั้งหลาย ปล่อยมือจากสถานะ เต็มใจที่จะเป็นผู้ติดตามธรรมดา รวมทั้งออกแรงเพื่อพระเจ้าอย่างเปรมปรีดิ์ และทำหน้าที่ของตนให้ดีหรือไม่?  (ไม่)  นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของพวกเขาได้หรือไม่?  จุดเปลี่ยนนี้ทำให้พวกเขาพัฒนาไปในทิศทางที่ดีและในหนทางที่เป็นบวก หรือจะทำให้พวกเขาพัฒนาไปในทิศทางที่แย่ลงและในหนทางที่เป็นลบ?  บนพื้นฐานของแก่นแท้ธรรมชาติของพระคริสต์ เห็นได้ชัดเจนว่าการถูกปลดไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่พวกเขาจะปล่อยมือจากความอยากที่มีต่อพรทั้งหลาย หรือจุดเริ่มต้นของการรักและการแสวงหาความจริงของพวกเขาโดยสิ้นเชิง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับจะพยายามหนักขึ้นเพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งโอกาสและความหวังที่จะได้รับพร  พวกเขาจะเกาะเกี่ยวโอกาสใดก็ตามที่สามารถนำพาพรมาสู่ตัวเองได้ ช่วยให้ตนหวนคืนสู่ตำแหน่งเดิม และทำให้ตนสามารถได้รับสถานะกลับคืนมา  นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเมื่อเผชิญกับการถูกปลด นอกจากความไม่พอใจ ผิดหวัง และเป็นปรปักษ์แล้ว ศัตรูของพระคริสต์ยังจะต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านการถูกปลด และเพียรพยายามที่จะพลิกสถานการณ์ เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์  พวกเขาจะดิ้นรนอย่างสุดกำลังเพื่อคงความหวังของตนที่จะได้รับพร รวมทั้งเพื่อรักษาสถานะ เกียรติยศ และอำนาจในสถานะเดิมของตนไว้  พวกเขาดิ้นรนอย่างไร?  โดยการพยายามแก้ต่างให้ตัวเอง โดยการอ้างเหตุผล การหาข้อแก้ตัว และการพูดถึงวิธีที่ตนทำสิ่งที่ทำลงไป สิ่งที่เป็นเหตุให้พวกเขาทำผิดพลาด พูดถึงการที่พวกเขาอดหลับอดนอนทั้งคืนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและสามัคคีธรรมกับคนเหล่านั้น รวมถึงสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้พวกเขาละเลยในเรื่องนี้  พวกเขาจะชี้แจงและอธิบายทุกส่วนของเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้ตนสามารถกอบกู้สถานการณ์และหลีกเลี่ยงโชคร้ายของการถูกปลดได้

พวกศัตรูของพระคริสต์มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะเผยโฉมหน้าและเผยธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนออกมาในบริบทหรือเรื่องใด?  นั่นก็คือเมื่อพวกเขากำลังถูกเปิดโปงและถูกปลด ซึ่งก็คือเมื่อพวกเขาสูญเสียสถานะ  การสำแดงหลักที่ศัตรูของพระคริสต์แสดงออกมาให้เห็นก็คือ พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ต่างให้ตนเองและให้เหตุผลอย่างชาญฉลาด  ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็แข็งขืนและปฏิเสธไม่ยอมรับสิ่งที่เจ้าพูด  เมื่อเผชิญกับการเปิดโปงข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการทำชั่วของพวกเขาโดยประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาก็ไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้แต่อย่างใด ด้วยความเกรงกลัวว่าหากตนยอมรับก็จะถูกตัดสินว่ามีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป  ขณะที่ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อกล่าวหาที่มีต่อตน พวกเขาก็ถึงกับผลักความผิดพลาดและความรับผิดชอบไปไว้บนบ่าผู้อื่น  ข้อเท็จจริงนี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยยอมรับความจริง ไม่เคยยอมรับรู้ข้อผิดพลาดของตนเอง หรือทำความรู้จักตนเองอย่างแท้จริง และนี่ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นมากขึ้นไปอีกว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นโอหังและคิดว่าตนเองถูก ธรรมชาติของพวกเขารังเกียจความจริง เกลียดชังความจริง และไม่ยอมรับความจริงเลย และดังนั้นพวกเขาจึงเกินกว่าจะช่วยให้รอด  บรรดาผู้ที่มีความเป็นมนุษย์อยู่เล็กน้อยและพอมีเหตุผลอยู่บ้างนั้นสามารถยอมรับและรับรู้ความผิดพลาดของตน ก้มหน้าเมื่อเผชิญข้อเท็จจริง และรู้สึกเสียใจกับสิ่งชั่วที่ตนได้ทำลงไป  อย่างไรก็ตาม พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่อาจทำสิ่งเหล่านี้ได้  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลอันใดเลย และพวกเขาก็ไม่มีความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง  ในหัวใจของพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์คิดเทียบอยู่เสมอว่าสถานะที่สูงหรือต่ำต้อยหมายถึงพรของตนจะมีมากหรือน้อย  ไม่ว่าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือกลุ่มอื่นใด สำหรับพวกเขาแล้ว สถานะและชนชั้นของผู้คนย่อมถูกกำหนดเอาไว้ เช่นเดียวกับจุดจบสุดท้ายของพวกเขา สถานะของใครสูงส่งเพียงใดและพวกเขาใช้อำนาจได้มากเพียงใดในพระนิเวศของพระเจ้าในชีวิตนี้ย่อมเทียบเท่าระดับของพร รางวัล และมงกุฎที่พวกเขาจะได้รับในโลกที่จะมาถึง—สิ่งเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน  ทัศนะนี้เชื่อได้หรือไม่?  พระเจ้าไม่เคยตรัสเช่นนี้ และพระองค์ก็ไม่เคยทรงสัญญาไว้เช่นนี้ แต่นี่คือการคิดอ่านชนิดที่เกิดขึ้นในตัวศัตรูของพระคริสต์  สำหรับตอนนี้ พวกเราจะไม่เจาะลึกถึงเหตุผลที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีความคิดเช่นนั้น  อย่างไรก็ตาม ในแง่ของแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้น พวกเขาเกิดมาพร้อมกับความรักที่มีต่อสถานะ และพวกเขาก็ยังหวังจะมีสถานะที่โดดเด่นและมีเกียรติยศอันสูงส่งในชีวิตนี้ เพื่อกุมอำนาจ และต้องการจะเพลิดเพลินกับทั้งหมดนี้ในโลกที่จะมาถึงอีกด้วย  แล้วพวกเขาจะสัมฤทธิ์ทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?  ในจิตใจของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจะสัมฤทธิ์การนี้โดยการทำบางสิ่งที่ตนสามารถทำได้ อีกทั้งสิ่งที่ตนต้องการและรักที่จะทำในขณะที่ตนมีสถานะ อำนาจ และเกียรติยศในชีวิตนี้ และจากนั้นก็แลกเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้กับพร มงกุฎ และบำเหน็จรางวัลในภายภาคหน้า  นี่คือปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของศัตรูของพระคริสต์ และเป็นหนทางที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งเป็นมุมมองที่พวกเขายึดถือในการเชื่อในพระเจ้าของตน  ความคิด ทัศนะ และหนทางที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระวจนะและพระสัญญาของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง—สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรสัมพันธ์กันเลย  จงบอกเราทีเถิดว่า ความคิดอ่านเหล่านี้ของศัตรูพระคริสต์ออกจะผิดปกติมิใช่หรือ?  พวกเขาเลวอย่างที่สุดมิใช่หรือ?  พวกเขาเมินเฉยและไม่ยอมรับสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าระบุไว้ คิดไปว่าวิธีคิดและวิธีเชื่อในพระเจ้าของตนนั้นถูกต้อง และพวกเขาก็ยินดีในเรื่องนี้ ชื่นชมและเลื่อมใสตัวเอง  พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และไม่สืบค้นว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวอะไรเช่นนั้นหรือพระเจ้าได้ทรงสัญญาเช่นนั้นหรือไม่  พวกศัตรูของพระคริสต์คิดเอาเองว่าตนมีความฉลาดแยบยลกว่าผู้อื่นโดยกำเนิด มีปัญญา มีความสามารถพิเศษมาแต่กำเนิด และมีพรสวรรค์อย่างสูงส่ง พวกเขารู้สึกว่าตนควรเป็นคนสำคัญที่โดดเด่นท่ามกลางผู้อื่น ควรเป็นหัวหน้า ควรได้รับความเคารพยกย่องจากผู้อื่น ควรกุมอำนาจ ควรปกครองผู้อื่น ราวกับผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนควรถูกพวกเขาปกครอง และทุกคนควรอยู่เคียงข้างพวกเขาเพื่อให้พวกเขานำทาง  สิ่งเหล่านี้คือทั้งหมดที่พวกเขาต้องการได้มาในชีวิตนี้  พวกเขายังต้องการบรรลุพรที่ผู้อื่นไม่อาจบรรลุได้ในโลกที่จะมาถึงอีกด้วย และพวกเขามองว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา  การที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีความคิดและทัศนะเช่นนี้ นี่ไม่ใช่หรือที่ทำให้พวกเขาไม่มีความละอายเอาเสียเลย?  พวกเขาค่อนข้างไม่ฟังเหตุผลไม่ใช่หรือ?  อะไรเป็นเหตุให้เจ้าคิดเช่นนี้?  อะไรเป็นเหตุให้เจ้าต้องการได้ความนับถืออย่างสูงจากผู้อื่น?  อะไรเป็นเหตุให้เจ้าต้องการปกครองผู้อื่น?  อะไรเป็นเหตุให้เจ้าต้องการมีอำนาจและอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งท่ามกลางมนุษย์?  พระเจ้าทรงกำหนดสิ่งเหล่านี้ไว้ล่วงหน้า หรือเจ้ามีความจริงและความเป็นมนุษย์?  เจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะยืนยันสถานะของตนและนำทางผู้อื่นเพียงเพราะเจ้าพอมีการศึกษาและความรู้อยู่บ้าง และเพราะเจ้าค่อนข้างรูปร่างสูงและดูดีอย่างนั้นหรือ?  นั่นทำให้เจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะออกคำสั่งหรือ?  นั่นทำให้เจ้ามีคุณสมบัติอันคู่ควรแก่การควบคุมผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?  ตอนใดในพระวจนะของพระเจ้าที่พระองค์ตรัสว่า “เจ้ามีเสน่ห์ เจ้ามีจุดแข็งและพรสวรรค์ ดังนั้นเจ้าจึงควรนำทางผู้อื่นและมีสถานะที่ถาวร”?  พระเจ้าได้ประทานอำนาจนี้แก่เจ้าแล้วหรือ?  พระเจ้าทรงลิขิตสิ่งนี้ไว้ล่วงหน้าหรือ?  เปล่า  ตอนที่เหล่าพี่น้องชายหญิงเลือกเจ้าให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขากำลังมอบสถานะให้เจ้าหรือไม่?  นั่นเป็นพรที่เจ้าสมควรได้รับในชีวิตนี้หรือ?  คนบางคนตีความการชื่นชมยินดีในสิ่งเหล่านี้เป็นการได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในชีวิตนี้ และคิดว่า ตราบที่ตนมีสถานะและอำนาจ รวมทั้งสามารถออกคำสั่งหรือปกครองผู้คนจำนวนมากได้ พวกเขาก็ต้องมีกลุ่มผู้ติดตามมาห้อมล้อมตน มีผู้คนคอยรับใช้และรายล้อมรอบตัวพวกเขาไม่ว่าจะไปแห่งหนใดเสมอ  อะไรคือเหตุผลที่เจ้าต้องการชื่นชมยินดีกับสิ่งเหล่านี้?  เหล่าพี่น้องชายหญิงเลือกเจ้าเป็นผู้นำก็เพื่อให้เจ้าทำหน้าที่นี้ได้ ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสามารถชักพาผู้คนให้หลงผิด ได้รับความนับถืออย่างสูงและความเคารพยกย่องจากเหล่าพี่น้องชายหญิง ยิ่งไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสามารถใช้อำนาจและชื่นชมยินดีกับผลประโยชน์จากสถานะ แต่นั่นเป็นไปเพื่อให้เจ้าสามารถทำหน้าที่ของตนโดยสอดคล้องกับการจัดการเตรียมงานและหลักธรรมความจริงทั้งหลาย  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พระเจ้าไม่ได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าว่าใครบางคนที่เหล่าพี่น้องชายหญิงเลือกเป็นผู้นำไม่อาจถูกปลดออกได้  เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครบางคนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้อยู่หรือ?  เจ้าคิดว่าไม่มีใครสามารถปลดเจ้าได้หรือ?  แล้วการปลดเจ้านั้นผิดปกติตรงไหน?  หากเจ้าไม่ถูกขับไล่ เช่นนั้นก็เป็นเพราะเจ้าน่าสงสารและกำลังได้รับโอกาสให้กลับใจ แต่เจ้าก็ยังคงไม่พึงพอใจ  เจ้ากำลังโต้แย้งเรื่องอะไรอยู่?  หากเจ้าต้องการถอนตัวและไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไปเพราะความหวังที่เจ้าจะได้รับพรถูกทำลายลงแล้ว เช่นนั้นก็จงถอนตัวไปเลย!  เจ้าคิดว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้าอย่างนั้นหรือ?  คิดว่าโลกจะหยุดหมุนหากไม่มีเจ้าอย่างนั้นหรือ?  คิดว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่อาจสำเร็จลุล่วงได้หากไม่มีเจ้าอย่างนั้นหรือ?  เอาเถิด ความคิดของเจ้าผิดถนัด!  การหายไปของบุคคลใดก็ตามจะไม่ทำให้โลกหยุดหมุน หรือหยุดดวงตะวันไม่ให้โผล่ขึ้นมา—พระเจ้าเท่านั้นที่มิอาจขาดได้ หาใช่มนุษย์คนใดไม่—งานของคริสตจักรจะดำเนินต่อไปตามปกติ  หากผู้ใดคิดว่าคริสตจักรทำอะไรไม่ได้หากไม่มีพวกเขา และพระนิเวศของพระเจ้าทำอะไรไม่ได้หากไม่มีพวกเขา พวกเขาก็คือศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ?  เจ้าเคยชินกับการเพลิดเพลินในผลประโยชน์จากสถานะใช่หรือไม่?  เจ้าเคยชินที่ได้เพลิดเพลินกับการได้รับความเคารพยกย่อง การได้รับความนับถืออย่างสูง และการถูกผู้อื่นป้อยอไม่ใช่หรือ?  เจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมเพียงใดที่จะเพลิดเพลินกับการเคารพยกย่องจากผู้อื่น?  เจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมเพียงใดที่ผู้อื่นจะทักทายด้วยรอยยิ้ม?  เจ้ายังต้องการให้ผู้คนคำนับและเคารพบูชาเจ้าอีกด้วยใช่หรือไม่?  หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าไม่มีความละอายโดยสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ?  เมื่อใครบางคนถูกปลดจากหน้าที่ พวกเขาเสียใจและเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเวลาที่สมาชิกในครอบครัวตายลงเสียอีก  พวกเขาขุดคุ้ยทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาถกเถียงกับพระนิเวศของพระเจ้า ราวกับเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครสามารถนำทางคริสตจักรได้ ราวกับพวกเขาเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เกื้อหนุนงานของคริสตจักรจนถึงตอนนี้—นี่เป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวง  การที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ไปจากพระเจ้าเป็นผลที่สัมฤทธิ์โดยพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาเข้าร่วมการชุมนุมและดำเนินชีวิตคริสตจักรก็เพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและมีความเชื่ออันแท้จริงในพระเจ้า  นั่นไม่ใช่กรณีที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรตั้งมั่นและเข้าร่วมการชุมนุมตามปกติเพราะผู้คนเหล่านี้เข้าใจความจริงและได้ให้น้ำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นอย่างดี  เหล่าผู้นำคริสตจักรถูกเปลี่ยนตำแหน่งครั้งแล้วครั้งเล่า เหล่าผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จถูกปลดกันมากมาย และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็เข้าร่วมการชุมนุม อีกทั้งกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ากันตามปกติ—นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จเหล่านี้เลย  การสร้างข้อโต้แย้งเหล่านั้นมีประโยชน์อะไรหรือ?  เจ้าก็แค่กำลังสร้างข้อโต้แย้งที่ไร้สาระและเลอะเลือนไม่ใช่หรือ?  หากเจ้ามีความเป็นจริงความจริงอย่างแท้จริงและได้แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปแล้วมากมาย เช่นนั้นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมจะรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงและไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้ เช่นนั้นพัฒนาการที่เป็นปกติของงานคริสตจักรย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  มีผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จมากมายยิ่งนักที่พอถูกปลดแล้วก็ยังคงหาข้อแก้ตัวราวกับตนเองมีคุณูปการต่อคริสตจักรอย่างมากมายยิ่งนัก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ทำงานจริงอันใดเลย และระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักรก็ไม่ได้ดำรงอยู่ได้เพราะการดูแลของพวกเขา หากปราศจากพวกเขา ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ยังเข้าร่วมการชุมนุมกันต่อไปตามปกติ และทำหน้าที่ของตนตามที่เคยเป็นมา  หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงและไม่อาจทำงานจริงอันใดได้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรถูกปลดเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าส่งผลกระทบและถ่วงเวลาทั้งงานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกต่อไป  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ใช้พวกเจ้าที่เป็นผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จ—เจ้าคิดว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่มีอำนาจที่จะปลดเจ้าอย่างนั้นหรือ?  เจ้าได้ทำให้งานของตัวเองยุ่งเหยิงขนาดนั้น เจ้าได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนและการสูญเสียอันใหญ่หลวงเช่นนั้นต่องานของคริสตจักร เจ้าเป็นเหตุให้เบื้องบนเป็นกังวลมากมายยิ่งนัก การใช้งานเจ้าช่างยุ่งยากเหลือเกิน ทั้งยังทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยง รังเกียจ เกลียดชังเป็นอย่างยิ่ง  เจ้าช่างโง่เขลา ไม่รู้ความ และดื้อรั้นเกินไป อีกทั้งไม่คู่ควรแม้แต่จะได้รับการตัดแต่ง ดังนั้นพระนิเวศของพระเจ้าจึงต้องการขับไล่เจ้าออกไป กำจัดเจ้าในทันที และจบเรื่องนี้เสีย  แต่ว่าเจ้าก็ยังคงต้องการให้เบื้องบนให้โอกาสเจ้าในการเป็นผู้นำต่อไปอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?  ฝันไปเถิด!  เมื่อเป็นเรื่องของผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่ปราศจากมโนธรรมและเหตุผล และผู้ที่กระทำความชั่วรวมถึงก่อให้เกิดการรบกวน เมื่อพวกเขาถูกกำจัดออกไป พวกเขาย่อมถูกกำจัดตลอดกาล  หากเจ้าทำงานจริงได้ เช่นนั้นเจ้าก็จะถูกนำมาใช้ หากเจ้าไม่สามารถทำงานจริงได้ ทั้งเจ้ายังกระทำความชั่วและก่อให้เกิดการรบกวนด้วย เช่นนั้น เจ้าย่อมจะถูกกำจัดทันที—นี่คือหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในการใช้ผู้คน  ศัตรูของพระคริสต์บางคนไม่ยอมอ่อนข้อและพูดว่า “คุณกำลังปลดฉันเพราะไม่ทำงานจริง—ทำไมคุณถึงจะไม่ให้โอกาสฉันกลับใจสักครั้ง?”  นี่เป็นการโต้แย้งแบบข้างๆ คูๆ ไม่ใช่หรือ?  เจ้ากำลังถูกปลดเพราะเจ้าได้กระทำความชั่วอย่างมหาศาล และเจ้าก็แค่กำลังถูกปลดหลังจากได้รับการตัดแต่งมากมายหลายหนและยังคงไม่ยอมกลับใจโดยสิ้นเชิงเท่านั้นเอง แล้วเจ้ายังสามารถหาข้อโต้แย้งอื่นใดได้อีกหรือ?  เจ้าไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลตอบแทน รวมทั้งสถานะ และไม่ได้ทำงานที่แท้จริง เจ้านำพางานคริสตจักรให้หยุดนิ่ง อีกทั้งมีปัญหาค้างคามากมาย และเจ้าก็ไม่ได้จัดการกับปัญหาเหล่านั้น—เบื้องบนต้องเป็นกังวลเพราะเจ้ามากมายเพียงใด?  ขณะที่เบื้องบนกำลังเกื้อหนุนและช่วยเหลือเจ้าในงานของเจ้าอยู่นั้น เจ้ากลับกำลังทำสิ่งเหล่านั้นอย่างลับๆ ล่อๆ เจ้ากำลังทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นการละเมิดหลักธรรม ทำสิ่งซึ่งไม่เหมาะที่จะให้ใครเห็นลับหลังเบื้องบน ใช้จ่ายของถวายของพระเจ้าไปตามอำเภอใจเพื่อซื้อสิ่งของมากมายที่เจ้าไม่ควรซื้อ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างมากมายนัก อีกทั้งนำพาความวิบัติอันใหญ่หลวงมาสู่งานของคริสตจักร!  เหตุใดเจ้าจึงไม่เคยพูดถึงความประพฤติชั่วเหล่านี้?  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าต้องการปลดเจ้า เจ้าพูดอย่างหน้าไม่อายโดยสิ้นเชิงว่า “ให้โอกาสฉันอีกครั้งได้ไหม?”  พระนิเวศของพระเจ้าควรให้โอกาสเจ้าอีกครั้งเพื่อให้เจ้าสามารถทำสิ่งไม่ดีโดยไม่ยับยั้งชั่งใจต่อไปได้อย่างนั้นหรือ?  เจ้าไม่มีสำนึกของความละอายเลยหรือจึงได้มาขอให้พระนิเวศของพระเจ้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง?  เจ้าสามารถได้รับโอกาสอีกครั้งเช่นนั้นหรือในเมื่อเจ้าไม่รู้จักธรรมชาติของตนเองเลย นับประสาอะไรที่เจ้าจะมีความสำนึกผิดในหัวใจ?  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความละอาย พวกเขาตายด้านต่อความละอาย และพวกเขาเป็นคนชั่วและเป็นศัตรูของพระคริสต์!

ผู้นำและคนทำงานบางคนไม่สามารถทำงานจริงอันใดได้เลย และหลังจากได้รับการชี้แนะและช่วยเหลือจากเบื้องบนมาระยะหนึ่ง พวกเขาก็ยังคงทำอะไรไม่ได้  พวกเขาไม่สามารถรับมือกับงานที่เป็นกิจธุระทั่วไปให้ดีได้ด้วยซ้ำ และนี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาขาดพร่องขีดความสามารถมากจนเกินไป  เบื้องบนต้องทำการสอบถามและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอในทุกแง่มุมของงานด้วยเช่นกัน รวมทั้งขอให้เหล่าพี่น้องชายหญิงรายงานทุกปัญหาอย่างทันท่วงที เบื้องบนยังจำเป็นต้องลงมือตรวจสอบ ให้คำชี้แนะ และสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมทั้งหลายที่เกี่ยวกับทุกแง่มุมของงาน  หลังจากที่เบื้องบนจบการสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมทั้งหลาย คนบางคนก็ยังคงไม่รู้วิธีที่จะทำสิ่งต่างๆ อยู่ดี และทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างย่ำแย่ คนบางคนถึงกับทำสิ่งไม่ดีอย่างบ้าคลั่งด้วยซ้ำ ไม่ว่าพวกเขากำลังทำงานอะไรอยู่ พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหากับเบื้องบน พวกเขาไม่เคยรายงานปัญหาใดต่อเบื้องบน แต่พวกเขากลับแค่แอบทำสิ่งทั้งหลายอย่างลับๆ แทน—นี่คือปัญหาอะไร?  อะไรคือธรรมชาติของผู้คนเหล่านี้?  พวกเขารักความจริงหรือไม่?  พวกเขาควรค่าแก่การบ่มเพาะหรือไม่?  เจ้ายังคงสมควรที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานหรือไม่?  ประการแรกก็คือ พวกเขาไม่แสวงหาก่อนที่จะทำสิ่งทั้งหลาย ประการที่สองก็คือ พวกเขามีทำการรายงานอันใดในขณะที่กำลังทำสิ่งนั้นอยู่ และประการที่สาม พวกเขาไม่มีการให้ข้อเสนอแนะหลังจากทำสิ่งนั้นเสร็จสิ้นลง  พวกเขาปฏิบัติตนอย่างน่าอับอายมากแต่ยังคงไม่ต้องการที่จะถูกปลด หนำซ้ำพวกเขาก็ไม่ยอมจำนนหลังจากที่ถูกปลด—ผู้คนเหล่านี้เกินกว่าจะเยียวยาไม่ใช่หรือ?  จงบอกเราทีว่า ผู้คนส่วนใหญ่ที่เกินการเยียวยานั้นน่าละอายโดยสิ้นเชิงและไม่ฟังเหตุผลทั้งมวลไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไม่ทำสิ่งใดให้ดีเลย พวกเขาขี้เกียจและละโมบในความสบาย ขณะที่ทำงานใดก็ตาม พวกเขาก็แค่ขยับปากออกคำสั่ง และครั้นได้พูดไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ทำสิ่งอื่นใดอีก  พวกเขาไม่เคยกำกับดูแล ตรวจสอบ หรือติดตามงานเลย อีกทั้งพวกเขาก็รู้สึกชิงชังและขุ่นเคืองในตัวผู้ใดก็ตามที่ทำสิ่งเหล่านี้ ทั้งยังต้องการทำให้คนผู้นั้นเป็นทุกข์—เหล่านี้คือศัตรูของพระคริสต์ตามแบบฉบับไม่ใช่หรือ?  นี่คือความอัปยศของพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาไม่รู้จักตัวเอง พวกเขาปฏิบัติตนอย่างน่าอับอายยิ่งนัก และพวกเขายังคงต้องการได้รับพร พวกเขายังคงต้องการแข่งขันเพื่อชิงความเหนือกว่ากับพระนิเวศของพระเจ้าและเบื้องบน และยังคงต้องการโต้เถียง—พวกเขากำลังรนหาที่ตายด้วยการทำเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?  เมื่อเศษขยะเช่นนี้ถูกปลด พวกเขาย่อมเดือดดาลและดึงดันอย่างยิ่ง  พวกเขาปราศจากความละอายและปราศจากเหตุผลแม้สักกระผีกด้วยซ้ำ!  เวลาทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็ทำสิ่งที่ไม่ดีโดยไม่ยั้งคิด ขัดจังหวะและก่อกวนงานของคริสตจักร และเมื่อพวกเขาถูกปลด พวกเขาไม่เพียงไม่ยอมรับรู้ความผิดพลาดของตัวเองเท่านั้น แต่ยังผลักความรับผิดชอบไปไว้บนบ่าผู้อื่นอีกด้วย หนำซ้ำยังมองหาใครสักคนมารับผิดแทนโดยพูดว่า “พวกเขาเป็นคนทำเรื่องนี้ และฉันไม่ใช่คนเดียวที่ต้องรับผิดชอบในการทำสิ่งนั้น  ทุกคนได้หารือเรื่องนั้นด้วยกัน และฉันก็ไม่ได้เป็นคนนำ”  พวกเขาไม่ยอมรับผิดชอบเลย ราวกับว่าการรับผิดชอบจะทำให้พวกเขาถูกกล่าวโทษและถูกกำจัด รวมทั้งจะสูญสิ้นความหวังทั้งหมดที่จะได้รับพรโดยสิ้นเชิง  เพราะฉะนั้นพวกเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมรับความผิดพลาดของตนและยอมรับว่าตนมีความรับผิดชอบโดยตรง และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับยืนกรานที่จะผลักความรับผิดชอบไปไว้บนบ่าผู้อื่น  เมื่อตัดสินจากกรอบความคิดของพวกเขา พวกเขาจะต่อสู้กับพระเจ้าจวบจนวาระสุดท้าย!  ผู้คนเหล่านี้ยอมรับความจริงหรือไม่?  ผู้คนเหล่านี้ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าหรือไม่?  การที่พวกเขาสามารถต่อสู้กับพระนิเวศของพระเจ้าในหนทางนี้แสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยของพวกเขามีบางสิ่งที่ผิดปกติอย่างร้ายแรง  เมื่อพูดถึงวิธีที่พวกเขาจัดการกับความผิดพลาดของตนแล้ว ลำดับแรกสุดคือพวกเขาไม่แสวงหาความจริง และลำดับที่สองคือ พวกเขาไม่ทบทวนตัวเอง ทั้งยังโยนความรับผิดชอบไปให้ผู้อื่นเสียอีก และเมื่อพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดคุณลักษณะของพวกเขาไปในหนทางหนึ่งและปลดพวกเขาออกจากหน้าที่ พวกเขาก็ต่อสู้กับพระนิเวศของพระเจ้าและแพร่กระจายคำพร่ำบ่นกับการคิดลบของตนในทุกที่ที่พวกเขาไป พยายามที่จะเรียกร้องความเห็นใจจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่กลับต่อต้านพระองค์—พวกเขากำลังรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ?  ผู้คนเหล่านี้ไม่รับฟังเหตุผลเลยจริงๆ!  แล้วจะเป็นอย่างไรหรือหากพวกเขาถูกปลดจากหน้าที่และสูญเสียสถานะของตน?  พวกเขายังไม่ถูกขับไล่และไม่ได้ถูกถอดสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ พวกเขาสามารถกลับใจ เริ่มต้นใหม่ และลุกขึ้นได้อีกครั้งตรงจุดที่พวกเขาล้มเหลวและล้มลง  พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่สามารถแม้แต่จะยอมรับสิ่งเรียบง่ายเช่นนั้นด้วยซ้ำ—ผู้คนเหล่านี้ช่างเกินกว่าจะช่วยให้รอดเสียจริง!  แน่นอนว่า เมื่อถูกปลด ศัตรูของพระคริสต์บางคนก็ฝืนใจเชื่อฟังจากภายนอกและไม่ปฏิบัติตนอย่างสิ้นหวังจนเกินไป หรือแสดงให้เห็นความเป็นปฏิปักษ์อันใด แต่นี่หมายความว่าพวกเขากำลังยอมรับความจริงและกำลังนบนอบพระเจ้าอยู่ใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  ศัตรูของพระคริสต์ย่อมมีอุปนิสัยและแก่นแท้ของศัตรูพระคริสต์ และนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคนปกติ  แม้ภายนอกพวกเขาจะไม่พูดอะไรเลยหลังจากถูกปลด แต่ภายในหัวใจ พวกเขายังคงแข็งขืน  พวกเขาไม่ยอมรับความผิดของตน และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด พวกเขาก็จะไม่มีวันทำความรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริง  เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์มานานแล้ว  ยังมีเรื่องอื่นในตัวศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอีกด้วย นั่นคือ ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน พวกเขาก็อยากแตกต่าง อยากให้ผู้อื่นยกย่องและยอมรับนับถือตน ต่อให้พวกเขาไม่มีงานและตำแหน่งที่เป็นทางการในฐานะผู้นำคริสตจักรหรือผู้นำทีม พวกเขาก็ยังคงต้องการมีที่ยืนและคุณค่าเหนือผู้อื่น  ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถทำงานได้หรือไม่ มีความเป็นมนุษย์หรือมีประสบการณ์ชีวิตแบบใด พวกเขาก็จะคิดหาทางทุกรูปแบบและพยายามอย่างยิ่งที่จะหาโอกาสอวดตน ทำให้ผู้คนโปรดปรานตน ได้หัวใจของผู้คน ดึงดูดใจและชักพาให้ผู้คนหลงผิด เพื่อให้คนเหล่านั้นยอมรับนับถือตน  ศัตรูของพระคริสต์อยากให้ผู้คนเลื่อมใสตนในเรื่องใด?  แม้พวกเขาจะถูกปลดไปแล้ว แต่พวกเขาก็คิดว่า “หมีที่อ่อนแรงยังคงแข็งแรงกว่ากวาง” และตนก็ยังคงเป็นนกอินทรีที่บินเหนือไก่เหล่านั้น  นี่คือความโอหังของศัตรูพระคริสต์และความคิดว่าตนถูกมิใช่หรือ นี่คือสิ่งที่แตกต่างออกไปในตัวพวกเขามิใช่หรือ?  พวกเขาไม่สามารถทำใจยอมรับการไม่มีสถานะ การเป็นผู้เชื่อธรรมดา การเป็นคนทั่วไป การทำหน้าที่ของตนให้ดีโดยยืนอยู่บนความเป็นจริงก็พอ การอยู่ในที่ทางของตน หรือเพียงแต่ทำงานให้ดี แสดงความจงรักภักดี และทำงานที่ตกมาถึงตนอย่างสุดความสามารถ  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาพึงพอใจแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นคนเช่นนั้นหรือทำอะไรแบบนั้น  “ความทะยานอยากอันยิ่งใหญ่” ของพวกเขาคืออะไร?  คือการได้รับการยอมรับนับถือและเคารพยกย่อง การได้กุมอำนาจ  ดังนั้น ต่อให้พวกเขาไม่มีตำแหน่งจำเพาะคู่กับชื่อของตน ศัตรูของพระคริสต์ก็จะเพียรพยายามเพื่อตัวเอง พูดเพื่อตัวเอง และสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ทำทุกสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่ออวดตน กลัวว่าจะไม่มีคนสังเกตเห็นหรือไม่มีใครสนใจตน  พวกเขาจะฉกฉวยทุกโอกาสเพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพิ่มพูนเกียรติยศของพวกเขา ทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นมองเห็นพรสวรรค์และจุดแข็งของพวกเขา และแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเลิศกว่าผู้อื่น  ระหว่างที่ทำสิ่งเหล่านี้ ศัตรูของพระคริสต์ย่อมเต็มใจที่จะจ่ายราคาใดก็ตามที่จำเป็นเพื่อโอ้อวดและกล่าวชมเชยตัวเอง เพื่อทำให้ทุกคนคิดว่า ต่อให้พวกเขาไม่ใช่ผู้นำและไม่มีสถานะ พวกเขาก็ยังคงเหนือกว่าผู้คนธรรมดาสามัญอยู่ดี  ถึงตอนนั้น ศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาแล้ว  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นคนธรรมดา เป็นคนทั่วไป พวกเขาต้องการอำนาจและเกียรติยศ และต้องการที่จะอยู่เหนือผู้อื่น  คนบางคนพูดว่า “นึกไม่ถึงเลย  การมีสถานะ เกียรติยศ และอำนาจมีประโยชน์อะไร?”  สำหรับใครบางคนที่มีเหตุผลแล้ว อำนาจกับสถานะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ และไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรไล่ตามไขว่คว้า  แต่สำหรับศัตรูของพระคริสต์ที่รุ่มร้อนด้วยความทะเยอทะยานนั้น สถานะ อำนาจ และเกียรติยศมีความสำคัญยิ่งชีพ ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองของพวกเขา รวมทั้งไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงหนทางที่พวกเขาดำรงชีพและเป้าหมายแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขาได้—นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์  เพราะฉะนั้น หากเจ้าเห็นใครบางคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างกระตือรือร้น และปกป้องสถานะของตนเมื่อมีสถานะ อีกทั้งยังคงต้องการทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อปกป้องความมีหน้ามีตาของตนเองยามที่ไร้สถานะ—คนจำพวกนี้เกินกว่าจะช่วยให้รอด และพวกเขาก็คือศัตรูของพระคริสต์โดยแท้

ทั้งก่อนและหลังจากที่ศัตรูของพระคริสต์ถูกปลด เมื่อพวกเขายังคงไม่สามารถได้มาซึ่งสถานะตลอดจนอำนาจและเกียรติยศที่พวกเขาต้องการทั้งที่ใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ปล่อยมือจากสถานะและความอยากที่ตนมีต่อพรทั้งหลาย  พวกเขาจะไม่ยอมวางสิ่งเหล่านี้ลงแล้วหันกลับมาไล่ตามเสาะหาความจริง หรือทำหน้าที่ให้ดีในลักษณะที่เป็นจริงและประพฤติตนอย่างเหมาะสม  พวกเขาจะไม่มีวันกลับใจอย่างแท้จริงในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำผิดไป และจะทำการประเมินซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทน อย่างเช่น “ฉันจะมีความหวังที่จะได้รับสถานะในภายหน้าหรือเปล่า?  ถ้าไม่มีสถานะ ฉันยังมีความหวังที่จะได้รับพรหรือเปล่า?  ความอยากที่จะได้รับพรของฉันจะได้รับการสนองหรือเปล่า?  ฉันอยู่อันดับใดในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ในคริสตจักร?  ฉันอยู่ตรงไหนในลำดับชั้น?”  เมื่อพวกเขาสรุปว่าตนเองไม่มีเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ในคริสตจักร ไม่ได้รับการเคารพยกย่องด้วยความโปรดปรานจากคนหมู่มาก และมีหลายคนถึงกับใช้พวกเขาเป็นตัวอย่างการสอนในเชิงลบ พวกเขาก็รู้สึกว่าเกียรติยศของตนภายในคริสตจักรได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น พวกเขาไม่มีการเกื้อหนุนจากผู้คนส่วนใหญ่ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับความเห็นชอบจากผู้คนส่วนใหญ่อีกครั้ง อีกทั้งความหวังที่ตนจะได้รับพรก็แทบไม่มีอยู่จริง  เมื่อพวกเขาเห็นทั้งหมดนี้ เมื่อพวกเขาได้ข้อสรุปเหล่านี้จากการประเมินของตน ความคิดและท่าทีของพวกเขาก็จะยังไม่ใช่การวางเจตนากับความอยากของตนลงและไม่ใช่การกลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือทุ่มตนให้กับการลงแรงเพื่อพระเจ้าอย่างเต็มที่ และทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี  นี่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา—แล้วสิ่งนั้นคืออะไร?  “ในเมื่อฉันไม่มีทางที่จะสัมฤทธิ์ความมุ่งมาดปรารถนาหรือมีสถานะใดในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ในคริสตจักร แล้วทำไมฉันถึงควรเดินตามเส้นทางตันนี้ต่อไปเล่า?  ผู้คนสามารถได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้ง  ถ้าฉันไปที่อื่น สิ่งต่างๆ อาจจะดีขึ้นสำหรับฉันจริงๆ ก็ได้  ทำไมฉันถึงไม่ควรไปจากสถานที่ที่ทำให้ฉันหัวใจสลายเช่นนี้?  ทำไมฉันจะไม่ทิ้งสถานที่แห่งนี้ที่ฉันไม่อาจลุล่วงความมุ่งมาดปรารถนาของฉัน ที่ซึ่งลำบากยากเย็นต่อการสัมฤทธิ์ความมุ่งมาดปรารถนาของฉัน?”  เมื่อศัตรูของพระคริสต์นึกถึงสิ่งเหล่านี้ นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังจะไปจากคริสตจักรไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าต้องการจะให้ใครบางคนที่เป็นแบบนี้อยู่ต่อหรือจากไป?  ควรโน้มน้าวพวกเขาให้อยู่ต่อหรือไม่?  (ไม่ควรโน้มน้าว และต่อให้ผู้คนพยายามโน้มน้าว พวกเขาก็จะไม่อยู่)  ไม่มีผู้ใดทำให้พวกเขาอยู่ต่อได้—นี่คือความจริง  อะไรคือต้นเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้?  เมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่รักความจริง ดังนั้นการอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าก็แค่จะทำให้พวกเขาเจ็บปวด  นั่นก็จะเหมือนการพยายามทำให้หญิงโสเภณี หญิงสำส่อนช่วยเหลือสามีของเธอและอบรมสั่งสอนลูกของตน เป็นผู้หญิงที่มีคุณธรรม รวมทั้งเป็นภรรยาที่ดีและมารดาผู้มีเมตตา  เธอทำสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติของคนคนนั้น  ดังนั้นหากเจ้าเห็นว่าศัตรูของพระคริสต์ต้องการถอนตัว เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด จงอย่าพยายามโน้มน้าวพวกเขา เว้นเสียแต่ว่ามีสถานการณ์บางอย่างที่พวกเขาพูดว่า “ถึงแม้ฉันเป็นศัตรูของพระคริสต์ ฉันก็ปรารถนาที่จะลงแรงเพื่อพระนิเวศน์ของพระเจ้า  ฉันจะบังคับใจตัวเองไม่ทำความชั่ว และฉันจะต่อต้านซาตาน”  ในกรณีเช่นนี้ พวกเขาจำเป็นต้องถูกขับไล่เหมือนปัดแมลงวันหรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  ในกรณีแบบนี้ พวกเราสามารถปล่อยให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามครรลองธรรมชาติของมัน แต่ต้องนำแนวปฏิบัติหนึ่งมาประยุกต์ใช้ ซึ่งก็คือ ต้องเพิ่มจำนวนคนกำกับดูแลและเฝ้าดูศัตรูของพระคริสต์นั่นให้มากขึ้น และทันทีที่มีสัญญาณแรกของปัญหา อาทิ พวกเขาต้องการกระทำชั่ว พวกเขาก็ต้องถูกชำระออกไปให้เร็ว  หากพวกเขาทนไม่ได้ที่ถูกผู้อื่นกำกับดูแลและเฝ้าดู หากพวกเขารู้สึกถูกข่มเหงและไม่เต็มใจที่จะลงแรง เช่นนั้นคนแบบนี้ควรได้รับการปฏิบัติอย่างไร?  เจ้าควรช่วยให้พวกเขาเดินไปตามทางของตัวเองและพูดว่า “คุณมีความสามารถพิเศษ และคุณควรออกไปสู่โลกของพวกผู้ไม่มีความเชื่อ และทำให้แผนการอันยิ่งใหญ่ของคุณเป็นจริง  คุณเป็นปลาที่ตัวใหญ่เกินไปสำหรับสระนี้ คริสตจักรไม่เหมาะกับคุณ  คุณไม่อาจสยายปีกได้ที่นี่ งานนี้ไม่คู่ควรกับความสามารถพิเศษของคุณ  ถ้าคุณหวนคืนสู่โลก เมื่อนั้นคุณอาจจะได้เลื่อนตำแหน่ง หาเงินได้มากๆ และร่ำรวยขึ้นมา  บางทีคุณอาจจะกลายเป็นคนดังก็ได้!”  จงรีบหนุนใจให้พวกเขาจากไปเถิด  หากพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่งกับสถานะ และพวกเขากระหายผลประโยชน์จากสถานะ เช่นนั้นก็จงปล่อยให้พวกเขากลับไปสู่โลกเพื่อทำงานและหาเงิน จากนั้นก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่ราชการและเพลิดเพลินกับชีวิตทางเนื้อหนังของตน  บางทีบางคนอาจถามว่าการปฏิบัติต่อพวกเขาในหนทางนี้เป็นการปฏิบัติต่อพวกเขาโดยปราศจากหัวใจอันเปี่ยมรักหรือไม่  ในข้อเท็จจริงนั้น ต่อให้เจ้าไม่พูดสิ่งเหล่านั้นกับพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์ก็จะคิดอยู่ในใจว่า “อืม วันหนึ่งเลื่อนตำแหน่ง แล้วจากนั้นก็ถูกปลดในวันถัดไป  ให้สถานะฉันมา แต่ก็ยังเฝ้าดู กำกับดูแล และตัดแต่งฉัน—ช่างเจ็บปวดอะไรอย่างนี้!  ฉันหาสถานะประเภทนี้ได้ไม่ยากหรอก และถ้าฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ป่านนี้ฉันก็คงร่ำรวยและได้ก้าวขึ้นสู่ลำดับชั้นทางสังคมของโลกไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดฉันก็คงเป็นเจ้าหน้าที่ระดับเมือง  ฉันเกิดมาเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่  ไม่ว่าฉันจะทำสิ่งใดในโลกข้างนอกนั่น ฉันย่อมโดดเด่น ฉันทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ดี ฉันสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองในทุกวงการ และฉันก็กล้าได้กล้าเสีย”  ต่อให้เจ้าไม่พูดเช่นนั้นกับพวกเขา พวกเขาก็จะพูดสิ่งต่างๆ แบบนี้อยู่ดี และนั่นคือเหตุผลที่เจ้าควรรีบกล่าวคำพูดรื่นหูบางอย่างที่พวกเขาต้องการได้ยิน และหนุนใจพวกเขาให้ไปจากคริสตจักรโดยเร็ว—นี่จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน  พวกศัตรูของพระคริสต์ไล่ตามไขว่คว้าสถานะ อำนาจ และเกียรติยศ พวกเขาไม่ต้องการเป็นคนธรรมดา แต่กลับต้องการอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็ทำลายความมีหน้ามีตาและจุดยืนของตนและถูกพระเจ้าสาปแช่ง  แล้วพวกเจ้าเต็มใจที่จะเป็นคนธรรมดาหรือไม่?  (เต็มใจ)  แท้จริงแล้ว การเป็นคนธรรมดานั้นเปี่ยมความหมาย  การไม่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลตอบแทน และกลับปักหลักอยู่กับชีวิตจริง ดำรงชีวิตอยู่กับสันติสุขและความชื่นบาน มีความหนักแน่นในหัวใจแทน—นี่คือเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต  หากใครบางคนต้องการที่จะเหนือกว่าผู้อื่นและอยู่เหนือผู้อื่นตลอดเวลา เช่นนั้นก็เท่ากับว่าพวกเขากำลังเอาตัวเองย่างไฟและเข้าเครื่องบดเนื้อ—พวกเขากำลังหาเรื่องใส่ตัว  เหตุใดพวกเขาจึงมีความรู้สึกเช่นนั้น?  การอยู่เหนือผู้อื่นนั้นคือสิ่งที่ดีหรือ?  (ไม่ใช่สิ่งที่ดี)  นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย  แต่กระนั้นพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ยังยืนกรานที่จะเลือกเส้นทางนี้  ไม่ว่าพวกเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม จงอย่าเดินตามเส้นทางนี้!

ยามที่บุคคลที่เสื่อมทรามธรรมดายังไม่มีรากฐานในการเชื่อในพระเจ้า ยามที่พวกเขายังไม่ได้พัฒนาความเชื่ออันแท้จริงในพระเจ้า พวกเขาย่อมมีความเชื่อหรือวุฒิภาวะเพียงเล็กน้อย  เมื่อบุคคลเช่นนั้นเผชิญกับการติดขัด พวกเขาจะคิดดูถูกเหยียดหยามตนเอง และคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงรักพวกเขา คิดว่าพระองค์ทรงเกลียดชังพวกเขา  เมื่อมองเห็นว่าตัวเองหลังชนฝาและล้มเหลวในทุกฝีก้าว ไม่อาจทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ พวกเขาก็จะรู้สึกหมดกำลังใจ พวกเขาจะมีประสบการณ์กับความอ่อนแอและความคิดลบอีกด้วย และบางคราวความคิดที่จะไปจากคริสตจักรก็จะผุดขึ้นมา  แต่นี่ไม่เหมือนกับการลองดี  นี่เป็นความคิดประเภทที่เกิดขึ้นกับใครบางคนยามที่พวกเขาท้อแท้และจิตใจห่อเหี่ยว และนี่เป็นสิ่งที่ต่างจากการถอนตัวของศัตรูของพระคริสต์โดยสิ้นเชิง  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ต้องการถอนตัว พวกเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะกลับใจ แต่เมื่อบุคคลที่เสื่อมทรามธรรมดารู้สึกท้อแท้และคิดที่จะไปจากคริสตจักร พระวจนะของพระเจ้าจะค่อยๆ มีอิทธิพลต่อพวกเขา เปลี่ยนแปลงพวกเขา และเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจและจิตใจของพวกเขา รวมถึงการที่พวกเขาจะอยู่หรือไปได้ ง ด้วยความช่วยเหลือและสามัคคีธรรมของผู้อื่น ควบคู่ไปกับการให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันของพวกเขาเอง อีกทั้งด้วยการอธิษฐานและการแสวงหา รวมถึงการอ่านพระวจนะของพระเจ้า  ในเวลาเดียวกัน พระวจนะของพระเจ้าก็สามารถช่วยให้พวกเขาค่อยๆ เกิดการกลับใจ เกิดท่าทีที่เป็นบวก และเจตจำนงที่จะบากบั่นขึ้นมา ทำให้พวกเขาค่อยๆ เข้มแข็งขึ้นได้  นี่เป็นการสำแดงขั้นตอนของการเข้าสู่ชีวิตสำหรับคนปกติ  ในทางกลับกัน ศัตรูของพระคริสต์จะสู้ยิบตาไม่ว่าจะจบลงเช่นไร  พวกเขาจะไม่มีวันกลับใจ และยอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมรับว่าตนผิด ที่จะทำความรู้จักตนเอง ที่จะเลิกล้มความอยากที่มีต่อพรทั้งหลาย  พวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิตแม้แต่นิดเดียว  ดังนั้นสำหรับใครบางคนที่เป็นแบบนั้น เป็นผู้ที่ไม่เต็มใจลงแรง หรือผู้ที่ทำงานได้ไม่ดี จงแค่แนะนำให้พวกเขาไปจากคริสตจักรเสีย  นี่คือการตัดสินใจที่ชาญฉลาด และเป็นหนทางที่ชาญฉลาดที่สุดที่จะรับมือกับเรื่องเช่นนั้น  ต่อให้เจ้าไม่แนะนำให้พวกเขาทำเช่นนั้น เจ้าจะสามารถทำให้พวกเขาอยู่ต่อได้หรือ?  เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการไล่ตามไขว่คว้าหรือมุมมองของพวกเขาได้หรือ?  เจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้  มีคนบางคนได้รับการแนะนำให้อยู่ต่อ ทั้งยังได้รับการช่วยเหลือและเกื้อหนุนจากพระนิเวศของพระเจ้า เพราะความคิดลบ ความอ่อนแอ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาได้เผยออกมานั้นพบได้ทั่วไปในผู้คนที่เสื่อมทรามธรรมดาทั้งปวง และจัดอยู่ในขอบเขตของความเป็นปกติ  โดยผ่านทางการสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า ผ่านทางความช่วยเหลือและการเกื้อหนุนจากผู้อื่น พวกเขาก็สามารถค่อยๆ กลายเป็นเข้มแข็ง ได้รับวุฒิภาวะ เกิดมีความเชื่อในพระเจ้าขึ้นมา และจริงใจในการทำหน้าที่ของตน  นี่คือคนประเภทที่พวกเราควรช่วยเหลือและแนะนำให้อยู่ต่อ  กระนั้นก็ตาม สำหรับพวกศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่ปรารถนาจะลงแรงหรือลงแรงได้ไม่ดี จงหนุนใจพวกเขาให้จากไปเสีย เพราะก่อนที่เจ้าจะแนะนำให้พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็ปรารถนาที่จะจากไปอยู่นานแล้ว หรือไม่ก็พร้อมที่จะจากไปในทุกขณะ  สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงและความคิดต่างๆ ที่ศัตรูของพระคริสต์มีเมื่อเผชิญกับการถูกปลดและปรารถนาที่จะถอนตัว

IV. พฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์เมื่อพวกเขาไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง

มีคนอีกประเภทที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เนื่องจากผู้คนจำพวกนี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจึงไม่ได้ทำหน้าที่สำคัญ และผลที่ตามมาก็คือพวกเขาแทบไม่มีประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์กับการถูกปลดจากหน้าที่ และแน่นอนว่า นานๆ ครั้งอย่างมากที่พวกเขาจะถูกจัดสรรให้ไปทำหน้าที่ซึ่งต่างไป  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขายังคงไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหลังการเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาก็เริ่มประเมินอยู่เป็นนิจว่าตัวเองมีความหวังมากเท่าใดที่จะได้รับการอวยพร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นพระจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไม่อาจบรรลุความรอด” พวกเขารู้สึกว่าความหวังที่ตนจะได้รับการอวยพรนั้นช่างบางเบา และพวกเขาก็เริ่มนึกถึงการถอนตัว  ผู้คนเหล่านี้ที่ไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงบางคนนั้นพอมีความรู้และจุดแข็งอยู่บ้าง และเนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง พวกเขาจึงรู้สึกไม่พึงพอใจและเริ่มพร่ำบ่น พวกเขาต้องการถอนตัวแต่ก็กลัวว่าตัวเองจะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการอวยพร แต่หากพวกเขาไม่ถอนตัว พวกเขาก็ยังจะไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอยู่ดี—พวกเขารู้สึกสองจิตสองใจ  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?  ถึงแม้ผู้คนเหล่านี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง บางคนในหมู่พวกเขาก็ค่อนข้างรักเรียนและมีแรงผลักดัน ไม่ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่อะไร พวกเขาก็เต็มใจขวนขวายหาความรู้เชิงวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง พวกเขาต้องการอยู่ตลอดเวลาที่จะให้พระนิเวศของพระเจ้าเลื่อนตำแหน่งให้ และพวกเขาก็ถวิลหาวันเวลาที่พวกเขาจะสามารถโดดเด่นขึ้นมา อันส่งผลให้พวกเขาได้รับสถานะรวมทั้งผลประโยชน์สารพัดตามที่ตนต้องการ  โดยผิวเผินนั้น ผู้คนจำพวกนี้ดูสงบเสงี่ยม ไม่เตะตาผู้คน อีกทั้งขยันขันแข็งและตั้งใจทำงานยามที่มีผู้อื่นแวดล้อม ทว่าในหัวใจของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี  คติประจำใจของพวกเขาคืออะไร?  โอกาสมีไว้สำหรับคนที่พร้อมรับ  โดยผิวเผินนั้น พวกเขาอยู่แบบไม่เตะตาผู้คนโดยสิ้นเชิง และไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ไม่แก่งแย่งหรือช่วงชิงสิ่งทั้งหลาย ทว่าในหัวใจของพวกเขามี “ความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใหญ่หลวง”  นั่นคือเหตุผลที่พอพวกเขาเห็นใครบางคนได้รับการเลื่อนตำแหน่ง อีกทั้งกลายเป็นหัวหน้าหรือคนทำงานในคริสตจักร พวกเขาก็ผิดหวังและเสียความรู้สึกมากขึ้นอีกนิด  ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง บ่มเพาะ หรือให้บทบาทสำคัญบางอย่าง นั่นเป็นเรื่องน่าตกใจผิดหวังสำหรับพวกเขาเสมอ  แม้แต่ในยามที่ใครบางคนได้รับความนับถืออย่างสูง ได้รับการสรรเสริญและเกื้อหนุนจากเหล่าพี่น้องชายหญิง ในหัวใจพวกเขาก็รู้สึกริษยาและไม่มีความสุข และพวกเขาบางคนก็ถึงกับแอบน้ำตาซึม ถามตัวเองบ่อยครั้งว่า “เมื่อไรฉันจะได้รับความนับถือและเสนอชื่อบ้าง?  เมื่อไรข้างบนถึงจะรู้จักฉัน?  เมื่อไรผู้นำถึงจะมองเห็นจุดแข็งของฉัน ความดีความชอบของฉัน ของประทานและความสามารถพิเศษของฉัน?  เมื่อไรฉันจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและบ่มเพาะ?”  พวกเขารู้สึกหมองเศร้าและคิดลบ แต่ก็ไม่ต้องการเป็นแบบนี้ต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงแอบหนุนใจตัวเองให้ไม่คิดลบ ให้มีพลังใจในการพากเพียร ไม่สะทกสะท้านกับการติดขัดและไม่มีวันถอดใจ  พวกเขาเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่า “ฉันเป็นคนที่มีความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่  ฉันต้องไม่เต็มใจเป็นคนปกติธรรมดา  ฉันต้องไม่เต็มใจที่จะปลงใจกับชีวิตพื้นๆ ที่ยุ่งวุ่นวาย  ความเชื่อในพระเจ้าของฉันต้องโดดเด่นและสร้างผลสัมฤทธิ์อันยิ่งใหญ่  ถ้าฉันขืนใช้ชีวิตที่สงบเงียบและธรรมดาทั่วไปแบบนี้ต่อไป ก็จะเป็นการใช้ชีวิตอย่างขี้ขลาดและเป็นที่น่าอึดอัดมาก!  ฉันจะเป็นคนประเภทนั้นไม่ได้  ฉันจะทำงานหนักเป็นสองเท่า ใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่า อ่านและท่องพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ขวนขวายหาความรู้และศึกษาวิชาชีพนี้ให้มากขึ้น  ฉันต้องสำเร็จลุล่วงในสิ่งที่ผู้อื่นทำได้ และฉันต้องสามารถสามัคคีธรรมสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นสามารถสามัคคีธรรมได้”  หลังจากทำงานหนักไปได้สักพัก ก็มีการเลือกตั้งของคริสตจักรเข้ามา แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ได้รับเลือกอยู่ดี  ทุกครั้งที่คริสตจักรกำลังมองหาใครสักคนเพื่อมาบ่มเพาะ เลื่อนตำแหน่ง และมอบบทบาทที่สำคัญให้ พวกเขาก็ไม่ถูกเลือก ทุกคราวที่พวกเขาคิดว่าตัวเองมีหวังที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ผิดหวัง และทุกความผิดหวังก็เป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกหดหู่และคิดลบ  พวกเขาเชื่อว่าการได้รับการอวยพรในความเชื่อในพระเจ้าของตนนั้นช่างห่างไกลกับตัวเองอย่างมาก และดังนั้นแนวคิดของการถอนตัวจึงผุดขึ้นในจิตใจของพวกเขา  อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่เต็มใจที่จะถอนตัว แต่กลับต้องการเพียรพยายามอย่างหนักและดิ้นรนต่อสู้อีกครั้งแทน  ยิ่งพวกเขาเพียรพยายามหนักขึ้นและดิ้นรนต่อสู้ในหนทางนี้มากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งถวิลหาให้ใครบางคนมาเสนอชื่อพวกเขา ถวิลหาที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง  พวกเขารู้สึกถวิลหาเช่นนี้มากขึ้นทุกที และสิ่งที่พวกเขาได้คืนมาในที่สุดก็ยังเป็นความผิดหวังอยู่ดี และความหลงตัวเองกับความอยากได้รับการอวยพรก็ทรมานพวกเขาแบบนี้นี่เอง  ทุกความผิดหวังทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเผาจนหลอมละลายอยู่ในกองไฟ  พวกเขาไม่อาจได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ พวกเขาก็ต้องการถอนตัวแต่ก็รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ พวกเขาไม่อาจคว้าในสิ่งที่ตนต้องการคว้าไว้ จนพวกเขาหลงเหลือแต่ความผิดหวัง ความหดหู่ และการรอคอยอันไม่รู้จบ  พวกเขาต้องการถอนตัวแต่ก็กลัวการสูญเสียพรอันยิ่งใหญ่ และยิ่งพวกเขาต้องการเกาะกุมพรเอาไว้มากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสามารถคว้ากุมพรเหล่านั้นไว้ได้น้อยลงเท่านั้น  ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ก็คือ พวกเขาตกสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างความหวังที่จะได้รับพรกับความทรมานจากความผิดหวังเสมอ และนี่ทำให้หัวใจของพวกเขาเจ็บปวดอย่างใหญ่หลวง  แต่พวกเขาจะอธิษฐานต่อพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  ไม่ พวกเขาจะไม่อธิษฐาน  พวกเขาคิดว่า “การอธิษฐานจะให้อะไรดีหรือ?  พี่น้องชายหญิงไม่สรรเสริญฉันและผู้นำก็ไม่ยกย่องฉัน แล้วพระเจ้าสามารถสร้างข้อยกเว้นและให้บทบาทที่สำคัญกับฉันได้หรือ?”  พวกเขารู้ว่าการฝากความหวังไว้กับผู้อื่นจะนำพาความผิดหวังมาสู่ตน และไม่ปลอดภัยเช่นกันที่จะฝากความหวังไว้กับการได้รับการอวยพรจากพระเจ้า  เพราะพวกเขาได้เห็นพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไม่อาจบรรลุความรอด” พวกเขารู้สึกหดหู่และผิดหวัง  ไม่มีใครในคริสตจักรให้ความสนใจพวกเขา และพวกเขาก็มองไม่เห็นความหวังอันใด  ยามที่พวกเขามองหน้าตัวเอง พวกเขายังคงมองไม่เห็นความหวังใดที่จะได้รับพร และคิดว่า “ฉันควรถอนตัวหรืออยู่ต่อ?  ฉันไม่มีหวังที่จะได้รับการอวยพรจริงหรือ?”  พวกเขาลังเลและไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหลายปีผ่านไป และพวกเขาก็ยังคงไม่สามารถได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือได้รับการจัดวางในตำแหน่งที่สำคัญ  พวกเขาต้องการแก่งแย่งเพื่อสถานะ แต่ก็รู้สึกว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกควรหรือสมเหตุผลมากนักที่จะทำ พวกเขารู้สึกตะขิดตะขวงที่จะทำสิ่งนั้น แต่หากพวกเขาไม่แก่งแย่งเพื่อสถานะ เมื่อใดพวกเขาจึงจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและได้รับบทบาทสำคัญ?  พวกเขานึกถึงผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าเคียงข้างกับพวกเขาซึ่งเข้าร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ร่วมกันกับพวกเขา  คนเหล่านั้นมากมายได้รับการเลื่อนตำแหน่งและได้รับบทบาทที่สำคัญ โดยที่ตัวพวกเขาเองไม่สามารถได้รับบทบาทสำคัญเลยไม่ว่าพวกเขาพยายามอย่างหนักเพียงใด และพวกเขารู้สึกงุนงงสับสนและมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า  พวกเขาไม่เคยสามัคคีธรรมหรือเปิดอกกับใครอื่นเกี่ยวกับแนวคิด สภาวะ ความคิดและทัศนะ ความเบี่ยงเบนและความขาดตกบกพร่องของตน—พวกเขาปิดตัวเองโดยสิ้นเชิง  พวกเขาดูพูดจาค่อนข้างสมเหตุสมผล และดูเหมือนปฏิบัติตนในหนทางที่ค่อนข้างมีเหตุผล กระนั้นความทะเยอะทะยานและความอยากได้อยากมีภายในตัวพวกเขานั้นกลับแรงกล้ามาก  พวกเขาเพียรพยายามอย่างหนักและดิ้นรน สู้ทนความทุกข์และจ่ายราคาเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความทะเยอทะยานกับความอยากของตน และพวกเขาสามารถสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความหวังที่ว่าตนจะได้รับการอวยพร  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาไม่อาจมองเห็นผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการสัมฤทธิ์ พวกเขาก็เต็มไปด้วยความเป็นอริและความโกรธต่อพระเจ้า ต่อพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นต่อทุกคนในคริสตจักร  พวกเขาเกลียดทุกคนที่ไม่เห็นว่าพวกเขาพยายามอย่างหนักเพียงใด ไม่เห็นจุดแข็งและข้อดีของพวกเขา และพวกเขาก็เกลียดพระเจ้าด้วยที่ไม่ทรงให้โอกาสพวกเขา ที่ไม่ทรงเลื่อนตำแหน่งหรือทรงมอบบทบาทสำคัญให้พวกเขา  ด้วยความริษยากับความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขาอย่างท่วมท้นเช่นนั้น พวกเขาสามารถรักเหล่าพี่น้องชายหญิงของตนได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถปล่อยวางความทะเยอทะยานและความอยากเพื่อที่จะยอมรับความจริง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีโดยมั่นคงอยู่กับความเป็นจริงและเหตุผล และเป็นคนธรรมดาได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถตั้งปณิธานประเภทนี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาไม่เพียงไม่มีความแน่วแน่แบบนี้ แต่พวกเขาถึงกับไม่มีความอยากที่จะกลับใจด้วยซ้ำ  หลังจากปกปิดตัวเองในหนทางนี้มานานหลายปี ความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อพระนิเวศของพระเจ้า ต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง และแม้แต่ต่อพระเจ้าก็กลับแรงกล้าขึ้นทุกที  ความเกลียดชังของพวกเขากลับกลายเป็นแรงกล้าเพียงใดหรือ?  พวกเขาหวังให้เหล่าพี่น้องชายหญิงไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดี พวกเขาหวังว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าจะมาถึงจุดหยุดนิ่ง และแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าจะไม่เกิดผลลัพธ์อะไรเลย และพวกเขาถึงกับหวังว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงจะถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับตัว  พวกเขาเกลียดเหล่าพี่น้องชายหญิงของตน และเกลียดพระเจ้าด้วย  พวกเขาพร่ำบ่นว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม พวกเขาสาปแช่งโลกที่ขาดผู้ช่วยให้รอด และโฉมหน้าเยี่ยงปีศาจของพวกเขาก็ถูกเปิดโปง  โดยปกติแล้ว คนประเภทนี้มักปกปิดตนเองอย่างมิดชิด และพวกเขาเก่งมากในการรักษาภาพลักษณ์ แสร้งทำเป็นถ่อมตน อ่อนโยน และเปี่ยมรัก แต่ที่จริงพวกเขาคือสุนัขจิ้งจอกในคราบแกะ  พวกเขาไม่เคยเผยความประสงค์ร้ายในใจออกมา ไม่มีผู้ใดสามารถรู้เท่าทันพวกเขา และไม่มีผู้ใดรู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นอย่างไร หรือพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่  บรรดาผู้ที่คบหาสมาคมกับพวกเขามาสักระยะหนึ่งสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาเป็นคนที่มีความริษยาอย่างมาก พวกเขาแข่งขันกับผู้อื่นและผลักดันตัวเองให้เป็นจุดสนใจอยู่ตลอดเวลา พวกเขากระวนกระวายมากที่จะทำให้เกินหน้าผู้อื่น และพวกเขาต้องการจริงๆ ที่จะเป็นที่หนึ่งในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนทำ  นี่คือสิ่งที่พวกเขาถูกมองเห็นจากภายนอก แต่นี่คือสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงๆ หรือ?  ในข้อเท็จจริงแล้ว ความอยากของพวกเขาที่มีต่อพรนั้นแรงกล้ากว่านั้นด้วยซ้ำ พวกเขาหวังว่า ในขณะที่ตัวเองกำลังทำงานหนัก สละตัวเอง และจ่ายราคาอยู่อย่างเงียบเชียบ ผู้อื่นก็สามารถมองเห็นข้อดีและความสามารถในการทำงานของพวกเขา และเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็สามารถได้รับบทบาทสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า  แล้วผลลัพธ์ของการที่พวกเขาได้รับบทบาทสำคัญคืออะไร?  นั่นก็คือพวกเขาสามารถได้รับความนับถืออย่างสูงจากทุกคน และทำให้ความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาเป็นจริงได้ในที่สุด พวกเขาสามารถเป็นบุคคลสำคัญโดดเด่นท่ามกลางผู้อื่น เป็นใครบางคนที่ทุกคนนับถืออย่างสูงและเคารพยกย่อง อีกทั้งการทำงานหนักมาตลอดหลายปี การจ่ายราคา และการเพียรพยายามของพวกเขาจะคุ้มค่า—เหล่านี้คือความทะเยอทะยานและความอยากที่ผู้คนเหล่านี้เก็บงำอยู่ในส่วนลึกสุดของหัวใจตน

ผู้คนจำพวกนี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง กระนั้นพวกเขาก็ยังคงต้องการอยู่ตลอดเวลาให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และได้บทบาทสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า  ในหัวใจของพวกเขาเชื่อว่ายิ่งคนคนหนึ่งมีความสามารถในงานมากเท่าใด ยิ่งพวกเขาได้รับตำแหน่งสำคัญมากเท่าใด ยิ่งพวกเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งและการนับถือในพระนิเวศของพระเจ้ามากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้นที่จะได้รับพร มงกุฎ และบำเหน็จรางวัล  พวกเขาเชื่อว่าหากใครบางคนไม่มีความสามารถในงานมากเป็นพิเศษ หรือไม่มีความถนัดพิเศษ เช่นนั้นคนเหล่านั้นก็ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการอวยพร  พวกเขาคิดว่าของประทาน ความถนัด ความสามารถ ทักษะ ระดับการศึกษา ความสามารถในงาน และแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าจุดแข็งกับข้อดีภายในความเป็นมนุษย์ของพวกเขาที่ถูกให้ค่าในโลกภายนอก อาทิ ความแน่วแน่ของพวกเขาที่จะทำได้ดีกว่าผู้อื่นและท่าทีแบบไม่ยอมลงให้ใครนั้นสามารถใช้เป็นต้นทุนสำหรับการได้รับพรและบำเหน็จรางวัลได้  นี่เป็นมาตรฐานจำพวกใด?  นี่เป็นมาตรฐานที่สอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  (ไม่สอดคล้อง)  นี่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานของความจริง  ดังนั้นนี่คือตรรกะของซาตานไม่ใช่หรือ?  นี่คือตรรกะของยุคที่เลวและของกระแสนิยมเลวๆ ทางโลกไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อตัดสินจากตรรกะ วิธีการ และเกณฑ์ที่ผู้คนแบบนี้ใช้เพื่อประเมินสิ่งทั้งหลาย ร่วมกับท่าทีและแนวทางเข้าหาสิ่งเหล่านี้ของพวกเขา นั่นจะดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินหรือได้อ่านพระวจนะ ว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง  แต่ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขากำลังฟัง กำลังอ่าน และกำลังอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในทุกๆ วัน  แล้วเหตุใดมุมมองของพวกเขาจึงไม่เคยเปลี่ยน?  มีอยู่สิ่งหนึ่งที่แน่แท้—ไม่ว่าพวกเขาฟังหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้ามากสักเท่าได้ ในหัวใจของพวกเขาก็จะไม่มีวันแน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และพระวจนะเหล่านั้นเป็นเกณฑ์สำหรับประเมินวัดทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาจะไม่เข้าใจหรือยอมรับข้อเท็จจริงนี้ออกมาจากหัวใจ  นั่นคือเหตุผลที่ไม่ว่าทัศนคติของพวกเขาอาจไร้สาระและมีอคติเพียงใด พวกเขาก็จะยึดติดอยู่กับทัศนคตินั้นตลอดกาล และไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกต้องเพียงใด พวกเขาก็จะปฏิเสธและกล่าวโทษพระวจนะเหล่านั้น  นี่คือธรรมชาติอันชั่วร้ายของศัตรูของพระคริสต์  ทันทีที่พวกเขาพลาดการได้รับบทบาทสำคัญ และความอยากกับความทะเยอทะยานของพวกเขาไม่เป็นอันลุล่วง เขี้ยวเล็บของพวกเขาก็ถูกเผยออกมา ธรรมชาติอันชั่วร้ายของพวกเขาแสดงตัวตนออกมา และพวกเขาก็ต้องการปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า  ตามที่จริงนั้น พวกเขาปฏิเสธว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงก่อนปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระองค์เสียอีก  แน่ชัดว่าเป็นเพราะแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาปฏิเสธความจริง และไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นเกณฑ์ที่ใช้ประเมินวัดทุกสิ่งทุกอย่าง แน่ชัดว่าพวกเขาสามารถมองพระเจ้าด้วยความเป็นปรปักษ์ในหนทางนี้ และคิดที่จะไม่ยอมรับ ทรยศ และปฏิเสธพระเจ้า รวมทั้งไปจากพระนิเวศของพระเจ้าเมื่อพวกเขายังคงไม่ถูกวางในตำแหน่งสำคัญภายหลังการคำนวน การวางแผน และการทำงานหนักของพวกเขาทั้งหมดนั้น  แม้ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้กำลังต่อสู้กับผู้อื่นเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ หรือกำลังทำไปตามหนทางของตัวเอง หรือกำลังจัดตั้งอาณาจักรอิสระของตัวเอง หรือกำลังบริหารจัดการสถานะของตัวเอง แต่พวกเราก็สามารถมองเห็นได้จากแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์อย่างถ้วนทั่ว  พวกเขาคิดว่าทุกการไล่ตามไขว่คว้าของตนนั้นถูกต้อง และไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวสิ่งใด พระวจนะเหล่านี้ก็ไม่คู่ควรแก่การที่พวกเขาจะเอ่ยถึงหรือรับฟัง อีกทั้งไม่คุ้มค่าที่จะนำมาใช้  ผู้คนแบบนี้เป็นขยะประเภทใดกัน?  พระวจนะของพระเจ้าไม่มีผลกับพวกเขาแต่อย่างใดเลย พระวจนะไม่ดลใจพวกเขา และไม่ทำให้พวกเขาซาบซึ้งใจหรือโน้มน้าวใจพวกเขา  แล้วพวกเขาให้ค่ากับอะไรเล่า?  ของประทาน ความสามารถพิเศษ ความสามารถ ความรู้ และกลยุทธ์ทั้งหลายของผู้คน ตลอดจนความทะเยอทะยาน และแผนการอันอลังการกับการประกอบกิจการของพวกเขา  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขาให้ค่า  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดคืออะไร?  สิ่งเหล่านี้ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงให้ค่าหรือ?  ไม่ใช่  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ผู้เสื่อมทรามเคารพและนับถือ และเป็นสิ่งที่ซาตานก็นับถือและเคารพบูชาเช่นกัน  แน่แท้ว่าพวกเขาเดินสวนทางกับทางของพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดต่อประชากรที่พระองค์ทรงช่วยให้รอด  แต่ผู้คนแบบนี้ไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของซาตาน ว่าสิ่งเหล่านี้เลวและขัดต่อความจริง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับทะนุถนอมหวงแหนสิ่งเหล่านี้ และพวกเขาเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งเหล่านี้อย่างหนักแน่นและมั่นคง รวมทั้งมองสิ่งเหล่านี้ว่าอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งมวล และใช้สิ่งเหล่านี้มาแทนที่การไล่ตามเสาะหาและการยอมรับความจริง  นั่นเป็นกบฏอย่างอุกอาจมิใช่หรือ?  และสุดท้ายแล้ว จุดจบเดียวของความเป็นกบฏแบบอุกอาจ ของการไม่มีเหตุผลของพวกเขาจะเป็นสิ่งใด?  นั่นก็คือการที่ผู้คนเหล่านี้จะอยู่เกินกว่าการช่วยให้รอด และไม่มีใครที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้  พวกเขาถูกลิขิตให้พบจุดจบประเภทนี้  จงบอกเราทีว่าผู้คนเหล่านี้กำลังแอบสร้างจุดแข็งของตัวเองและรอจังหวะไม่ใช่หรือ?  หลักธรรมที่พวกเขายึดปฏิบัติก็คือว่า ทองคำย่อมเปล่งประกายไม่ช้าก็เร็ว ว่าพวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะแอบสร้างจุดแข็งของตัวเอง รอจังหวะ และรอให้สบโอกาสเหมาะ อีกทั้งทำการตระเตรียมและวางแผนการเพื่ออนาคต รวมทั้งเพื่อความปรารถนาและความฝันของตนไปพลาง  เมื่อตัดสินจากหลักธรรมที่พวกเขายึดปฏิบัติ หลักธรรมเพื่อความอยู่รอดของพวกเขา เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาถวิลหาอยู่ในแก่นแท้ภายในของตน ผู้คนเหล่านี้คือศัตรูของพระคริสต์อย่างถ้วนทั่ว  คนบางคนพูดว่า “แต่พวกศัตรูของพระคริสต์จัดตั้งอาณาจักรอิสระของตัวเอง และต่อสู้เพื่อสถานะไม่ใช่หรือ?”  เอาเถิด ผู้คนแบบนี้สามารถสถาปนาอาณาจักรอิสระขึ้นมาหลังจากที่ตนได้มีอำนาจหรือไม่?  พวกเขาสามารถทรมานผู้คนได้หรือไม่?  (ได้)  ครั้นพวกเขาครองอำนาจ พวกเขาจะมีความสามารถในการทำสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่?  พวกเขาจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  พวกเขาจะสามารถนำพาผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่?  (ไม่สามารถ)  จะเกิดอะไรขึ้นหากมอบตำแหน่งสำคัญให้กับผู้คนแบบนี้?  พวกเขาจะเลื่อนตำแหน่งให้กับผู้คนที่มีของประทาน พูดจาดี และมีความรู้ โดยไม่สำคัญว่าผู้คนเหล่านั้นสามารถทำงานนั้นได้หรือไม่ พวกเขาจะเลื่อนตำแหน่งให้กับผู้คนที่เหมือนกับตัวเอง ในขณะเดียวกันก็กดข่มบรรดาผู้คนที่ถูกต้องทั้งหมดซึ่งมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ไล่ตามเสาะหาความจริง และซื่อสัตย์เอาไว้  เมื่อเกิดสถานการณ์จำพวกนี้ขึ้น แก่นแท้แบบศัตรูของพระคริสต์ของผู้คนแบบนี้ก็ถูกเปิดเผยไม่ใช่หรือ?  นั่นไม่กลายเป็นเห็นได้ชัดอย่างมากหรอกหรือ?  มีผู้คนบางคนที่ไม่ได้เข้าใจตอนที่เราพูดตั้งแต่แรกว่า ผู้คนทั้งหมดที่ต้องการถอนตัวยามที่ตนไม่ได้รับบทบาทสำคัญและไม่มีความหวังที่จะได้รับการอวยพรนั้นล้วนเป็นศัตรูของพระคริสต์  แต่ตอนนี้เจ้าสามารถมองเห็นหรือไม่ว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์?  (สามารถมองเห็น)

เมื่อคนบางคนถูกปลดจากตำแหน่งในฐานะผู้นำ และได้ยินเบื้องบนพูดว่าพวกเขาจะไม่ได้รับการบ่มเพาะหรือถูกใช้อีก พวกเขาก็รู้สึกเศร้าอย่างเหลือเชื่อ และพวกเขาก็ร่ำไห้อย่างขมขื่นราวกับตัวเองกำลังถูกกำจัด—นี่เป็นปัญหาอะไร?  การที่พวกเขาไม่ได้รับการบ่มเพาะหรือถูกใช้อีกหมายความว่าพวกเขากำลังถูกกำจัดหรือ?  นั่นหมายความว่า จากนั้นพวกเขาก็ไม่อาจบรรลุความรอดหรือ?  ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะสำคัญต่อพวกเขามากจริงหรือ?  หากพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นพวกเขาก็ควรทบทวนตัวเองยามที่พวกเขาสูญสิ้นชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ แล้วรู้สึกสำนึกผิดอย่างแท้จริง พวกเขาควรเลือกเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง กลับเนื้อกลับตัว และไม่เสียความรู้สึกมาก หรือร่ำไห้มากมายนัก  หากพวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าตนเองถูกพระนิเวศของพระเจ้าปลดก็เพราะตนเองไม่ทำงานจริงและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง อีกทั้งได้ยินพระนิเวศของพระเจ้าพูดว่าพวกเขาจะไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอีก เช่นนั้นพวกเขาก็ควรรู้สึกละอาย รู้สึกว่าตนติดหนี้พระเจ้า และได้ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง พวกเขาก็ควรรู้ว่าตัวเองไม่สมควรถูกพระเจ้าใช้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถได้รับการพิจารณาว่าพอมีเหตุผลอยู่เล็กน้อย  อย่างไรก็ตาม พวกเขากลายเป็นคิดลบและเสียความรู้สึกยามที่ได้ยินว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่บ่มเพาะหรือใช้พวกเขาอีก และนี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ อีกทั้งพวกเขาไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ความอยากที่พวกเขามีต่อพรรุนแรงถึงเพียงนี้ และพวกเขาทะนุถนอมหวงแหนสถานะมากเพียงนี้ และไม่ทำงานจริง ดังนั้นพวกเขาจึงสมควรถูกปลด และพวกเขาควรทบทวนรวมทั้งมาเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง  พวกเขาควรรู้ว่าตนกำลังเดินตามไปบนเส้นทางที่ผิด รู้ว่าตนกำลังเดินไปบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์โดยการไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ รู้ว่าพระเจ้าไม่เพียงจะไม่เห็นชอบในตัวพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังจะล่วงเกินอุปนิสัยของพระองค์อีกด้วย และรู้ว่าหากพวกเขาก่อความชั่วทุกรูปแบบ พวกเขาก็จะถูกพระเจ้าทรงลงโทษเช่นกัน  พวกเจ้าก็มีปัญหานี้ด้วยไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าจะไม่มีความสุขใช่หรือไม่ หากเราพูดว่าพวกเจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ?  (ใช่)  เมื่อคนบางคนได้ยินผู้นำระดับบนพูดว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่สามารถเข้าใจความจริง ว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการพวกเขาอย่างแน่นอน ว่าพวกเขาไม่มีความหวังที่จะได้รับการอวยพร กระนั้นทั้งที่พวกเขารู้สึกเศร้าใจ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถทำหน้าที่อย่างเป็นปกติเช่นเดียวกับผู้คนซึ่งมีเหตุผลเล็กน้อยได้  เมื่อคนบางคนได้ยินใครบางคนพูดว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ พวกเขากลายเป็นคิดลบ และไม่ปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป  พวกเขาคิดว่า “คุณพูดว่าฉันไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ—นั่นก็หมายความว่าฉันไม่มีความหวังที่จะได้รับการอวยพรไม่ใช่หรือ?  ในเมื่อฉันจะไม่ได้รับพรอันใดในภายหน้า ฉันจะยังเชื่ออยู่เพื่ออะไร?  ฉันจะไม่ยอมรับการถูกให้ทำงานรับใช้  ใครจะตรากตรำเพื่อพวกคุณถ้าพวกเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย?  ฉันไม่เบาปัญญาขนาดนั้น!”  ผู้คนเช่นนั้นมีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  พวกเขาชื่นชมยินดีกับพระคุณมากมายยิ่งนักจากพระเจ้า กระนั้นพวกเขากลับไม่รู้จักตอบแทน หนำซ้ำพวกเขายังไม่ต้องการแม้แต่จะทำงานรับใช้อีกด้วย  ผู้คนเช่นนี้จบเห่แล้ว  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะทำงานรับใช้จนถึงปลายทาง และพวกเขาไม่มีความเชื่ออันแท้จริงในพระเจ้า พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  หากพวกเขามีหัวใจที่จริงใจสำหรับพระเจ้า และมีความเชื่ออันแท้จริงในพระเจ้า เช่นนั้นไม่ว่าพวกเขาถูกประเมินอย่างไร นี่ก็เพียงแต่จะทำให้พวกเขาสามารถรู้จักตัวเองได้อย่างแท้จริงมากขึ้นและถูกต้องแม่นยำขึ้นเท่านั้นเอง—พวกเขาควรเข้าหาเรื่องนี้อย่างถูกต้องและไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อการติดตามพระเจ้าหรือการทำหน้าที่ของตน  ต่อให้พวกเขาไม่อาจได้รับพร พวกเขาก็ควรยังคงเต็มใจทำงานรับใช้แด่พระเจ้าจนถึงปลายทาง และมีความสุขที่จะทำเช่นนั้นโดยปราศจากการพร่ำบ่น อีกทั้งพวกเขาควรยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงพวกเขาในสิ่งทั้งมวล—ถึงตอนนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะเป็นใครบางคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล  การที่คนคนหนึ่งได้รับพรหรือทนทุกข์กับหายนะนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือการนี้ และนี่ไม่ใช่บางสิ่งที่ผู้คนสามารถร้องขอหรือสามารถพยายามทำเพื่อให้ได้มา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การนี้ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นสามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับความจริง และทำหน้าที่ของตนให้ดีตามข้อกำหนดของพระเจ้าได้หรือไม่—พระเจ้าจะทรงตอบแทนแต่ละคนไปตามความประพฤติของพวกเขา  หากใครบางคนมีความจริงใจสักเล็กน้อยเช่นนี้ และพวกเขาอุทิศเรี่ยวแรงกำลังทั้งหมดที่ตัวเองสามารถรวบรวมได้ให้กับหน้าที่ที่ตนควรทำ เช่นนั้นก็พอแล้ว และพวกเขาจะได้มาซึ่งความเห็นชอบและพรของพระเจ้า  ในทางกลับกัน หากใครบางคนไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างเพียงพอ และถึงกับก่อความชั่วทุกรูปแบบ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะได้รับพรจากพระเจ้า เช่นนั้นการที่พวกเขาปฏิบัติตนในหนทางนี้นั้นช่างขาดเหตุผลยิ่งนักไม่ใช่หรือ?  หากเจ้ารู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีพอ ว่าเจ้าได้สละความพยายามไปอย่างมหาศาล แต่ก็ยังคงไม่สามารถรับมือกับเรื่องทั้งหลายด้วยหลักธรรมได้อยู่ดี และเจ้ารู้สึกติดหนี้พระเจ้า กระนั้นพระองค์กลับทรงอวยพรเจ้าและทรงแสดงพระคุณกับเจ้า นั่นหมายความว่า พระเจ้ากำลังทรงแสดงความโปรดปรานต่อเจ้าไม่ใช่หรือ?  หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะอวยพรเจ้า ก็ไม่มีผู้ใดพรากพรนั้นไปจากเจ้าได้  เจ้าอาจคิดว่าตัวเองทำได้ไม่ดีมากนัก แต่ในการประเมินของพระเจ้า พระองค์ตรัสว่าเจ้าจริงใจและได้มอบทั้งหมดที่เจ้ามีไปแล้ว และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะแสดงพระคุณและพระพรแก่เจ้า  สิ่งที่พระเจ้าทรงทำไม่มีสิ่งใดผิด และเจ้าต้องสรรเสริญความชอบธรรมของพระองค์  ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด นั่นก็ถูกต้องเสมอ และต่อให้เจ้าเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ เชื่อว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่คำนึงถึงความรู้สึกของมนุษย์ ไม่ตรงกับความชอบของเจ้า เจ้าก็ยังคงควรสรรเสริญพระเจ้าอยู่ดี  เหตุใดเจ้าจึงควรทำเช่นนี้?  พวกเจ้าไม่รู้เหตุผลว่าทำไม ถูกหรือไม่?  ตามที่จริงเรื่องนี้อธิบายได้ง่ายมากว่า นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า และเจ้าก็คือมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เจ้าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกร้องให้พระเจ้าทรงกระทำในบางหนทาง หรือให้พระองค์ปฏิบัติต่อเจ้าในบางหนทาง ในขณะที่พระเจ้าทรงมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะตั้งข้อประสงค์กับเจ้า  พร พระคุณ บำเหน็จรางวัล มงกุฎ—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดถูกมอบให้ด้วยวิธีใดและมอบให้แก่ใครนั้นขึ้นอยู่กับพระเจ้า  เหตุใดจึงขึ้นอยู่กับพระเจ้า?  สิ่งเหล่านี้เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่สินทรัพย์ที่มนุษย์กับพระเจ้าเป็นเจ้าของร่วมกันซึ่งสามารถแจกจ่ายระหว่างกันอย่างเท่าเทียมได้  สิ่งเหล่านี้เป็นของพระเจ้า และพระเจ้าประทานให้กับบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะประทานให้  หากพระเจ้าไม่ทรงสัญญาที่จะประทานให้เจ้า เจ้าก็ยังคงควรนบนอบพระองค์  หากเจ้าเลิกเชื่อในพระเจ้าเพราะเหตุผลนี้ นั่นจะแก้ปัญหาข้อใดบ้างหรือ?  เจ้าจะเลิกเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือ?  เจ้าสามารถหลบอธิปไตยของพระเจ้าพ้นหรือ?  พระเจ้ายังทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และนี่เป็นข้อเท็จจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้  พระอัตลักษณ์ พระสถานะ และแก่นแท้ของพระเจ้าไม่อาจมีวันเสมอเหมือนอัตลักษณ์ สถานะ และแก่นแท้ของมนุษย์ อีกทั้งสิ่งเหล่านี้ก็จะไม่มีวันก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงอันใด—พระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าตลอดกาล และมนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์ตลอดกาล  หากคนคนหนึ่งสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นพวกเขาควรทำสิ่งใด?  พวกเขาควรนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า—นี่เป็นหนทางอันสมเหตุผลที่สุดที่จะดำเนินการกับสิ่งทั้งหลาย และนอกจากนี้แล้วก็ไม่มีเส้นทางอื่นให้เลือก  หากเจ้าไม่นอบน้อม เช่นนั้นเจ้าก็เป็นกบฏ และหากเจ้าลองดีและโต้เถียง เช่นนั้นเจ้าก็กำลังเป็นกบฏอย่างอุกอาจ และเจ้าก็ควรถูกทำลาย  การสามารถนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีเหตุผล นี่คือท่าทีที่ผู้คนต้องมี และท่าทีนี้เท่านั้นที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้ามีสุนัขหรือแมวตัวน้อย—แมวหรือสุนัขนั่นมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกร้องให้เจ้าซื้ออาหารรสอร่อยหรือของเล่นสารพัดประเภทให้มันหรือไม่?  มีสุนัขหรือแมวตัวใดหรือไม่ที่ไร้เหตุผลเสียจนตั้งข้อเรียกร้องกับเจ้าของ?  (ไม่มี)  และมีสุนัขตัวใดหรือไม่ ที่จะเลือกไม่อยู่กับเจ้าของของมันหลังจากที่เห็นว่าสุนัขตัวหนึ่งในบ้านของใครอื่นอีกคนมีชีวิตที่ดีกว่ามัน?  (ไม่มี)  สัญชาตญาณธรรมชาติของพวกมันก็คือการคิดว่า “เจ้าของของฉันให้อาหารและที่พักแก่ฉัน ดังนั้นฉันก็ต้องเฝ้าบ้านให้เจ้าของของฉัน  ต่อให้เจ้าของของฉันไม่ให้อาหารฉัน หรือให้อาหารที่ไม่ใช่ชั้นดีนักกับฉัน ฉันก็ยังคงต้องเฝ้าบ้านให้พวกเขาอยู่ดี”  สุนัขไม่มีความคิดอันไม่ถูกควรของการทำเกินสถานะ  ไม่ว่าเจ้าของนั้นดีกับมันหรือไม่ เจ้าสุนัขก็มีความสุขเหลือหลายยามที่เจ้าของกลับมาบ้าน หางของมันกระดิกระรัวอย่างมีความสุขเท่าที่จะทำได้  ไม่ว่าเจ้าของจะชอบมันหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าของจะซื้อสิ่งเลิศรสให้มันกินหรือไม่ มันก็ปฏิบัติตนแบบเดิมกับเจ้าของเสมอ และมันก็ยังคงเฝ้าบ้านให้เจ้าของอยู่ดี  เมื่อตัดสินบนพื้นฐานนี้ ผู้คนนั้นแย่กว่าสุนัขไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าและกบฏต่อพระองค์เสมอ  อะไรคือรากเหง้าของปัญหานี้?  นั่นก็คือ ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาไม่อาจอยู่ในที่ทางของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ และดังนั้น พวกเขาจึงสูญสิ้นสัญชาตญาณของตนและกลายเป็นเหล่าซาตาน สัญชาตญาณของพวกเขาแปรไปเป็นสัญชาตญาณเยี่ยงซาตานที่ต่อต้านพระเจ้า ปฏิเสธความจริง ทำความชั่ว และไม่นบนอบพระเจ้า  จะฟื้นคืนสัญชาตญาณมนุษย์ของพวกเขาได้อย่างไร?  ต้องทำให้พวกเขามีมโนธรรมและเหตุผล ให้ทำสิ่งทั้งหลายที่คนคนหนึ่งพึงทำ ทำหน้าที่ที่ตนพึงทำ  นั่นก็เหมือนกับวิธีที่สุนัขพิทักษ์บ้านเรือน และแมวจับหนู—ไม่ว่าเจ้าของปฏิบัติต่อพวกมันอย่างไร พวกมันก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่ตนมีเพื่อทำสิ่งเหล่านี้ พวกมันทุ่มตัวเองให้กับกิจเหล่านี้ อีกทั้งพวกมันก็อยู่ในที่ทางของตัวเอง และใช้สัญชาตญาณของตนให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ และดังนั้นเจ้าของจึงชื่นชอบพวกมัน  หากผู้คนสามารถบริหารจัดการให้ทำเช่นนี้ได้ เช่นนั้นพระเจ้าก็จะไม่จำเป็นต้องตรัสพระวจนะทั้งหมดนี้หรือดำรัสความจริงทั้งหมดนี้  ผองมนุษย์นั้นช่างถูกทำให้เสื่อมทรามลึกเหลือเกิน พวกเขาปราศจากเหตุผลและมโนธรรม อีกทั้งพวกเขาก็มีความสัตย์สุจริตต่ำ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อน ถูกเผยในตัวพวกเขา มีอิทธิพลต่อตัวเลือกและการคิดอ่านของพวกเขาเสมอ ทำให้พวกเขากบฏต่อพระเจ้าและไม่อาจนบนอบพระองค์ได้ จนทำให้พวกเขามีความปรารถนา แนวคิด และการเลือกชอบของตนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ อีกทั้งทำให้ความจริงไม่เคยสามารถเป็นใหญ่ภายในตัวพวกเขา รวมทั้งไม่อาจกลายเป็นชีวิตของพวกเขาได้  ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำไมพระเจ้าจึงต้องทรงพิพากษาพวกเขา ทดสอบพวกเขา และถลุงพวกเขาด้วยพระวจนะของพระองค์—นี่ก็เพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอด  อีกแง่หนึ่งนั้น ศัตรูของพระคริสต์ปฏิบัติบทบาทที่เป็นลบอยู่ท่ามกลางผู้คนตลอดเวลา  พวกเขาคือพวกปีศาจและเหล่าซาตานอย่างถ้วนทั่ว  พวกเขาไม่เพียงไม่ยอมรับความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่ยอมรับรู้ว่าตัวเองมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีกด้วย อีกทั้งพวกเขายังละโมบโลภมากอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ต้องการได้มาซึ่งพรทั้งหลาย มงกุฎ และบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน  พวกเขาดิ้นรนไปไกลถึงไหนกันแล้ว?  ถึงจุดที่ไร้ความละอายอย่างสิ้นเชิงและไร้เหตุผลโดยบริบูรณ์  หากว่าหลังจากทำสิ่งที่ชั่วทุกจำพวกแล้วพวกเขาถูกเผยและถูกกำจัด พวกเขาก็จะเก็บความอาฆาตแค้นเอาไว้ในหัวใจ  พวกเขาจะสาปแช่งพระเจ้า สาปแช่งเหล่าผู้นำและคนทำงาน และเกลียดคริสตจักรกับเหล่าผู้เชื่อเที่ยงแท้ทั้งหมด  นี่ตีแผ่โฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทั้งมวลออกมาอย่างหมดเปลือก

ประการที่สิบสองของการสำแดงนานัปการของศัตรูของพระคริสต์ก็คือ พวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะหรือไม่มีหวังที่จะได้รับพร  พวกเราจะพูดโดยใช้ศัพท์ง่ายๆ เกี่ยวกับความหมายของการถอนตัว  ความหมายตามตัวอักษรของการถอนตัวก็คือการถอนตัวออกจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง—นี่คือสิ่งที่รู้กันว่าเป็น “การถอนตัว”  ตลอดเวลาในพระนิเวศของพระเจ้านั้น มีคนบางคนที่ไม่รักความจริงซึ่งสมัครใจที่จะไปจากพระนิเวศของพระเจ้าและไปจากเหล่าพี่น้องชายหญิงเพราะพวกเขารังเกียจการเข้าร่วมการชุมนุมและการฟังคำเทศนา อีกทั้งไม่เต็มใจทำหน้าที่ของตน—นี่เรียกว่าการถอนตัว  นี่คือการถอนตัวในความเข้าใจตามตัวอักษรของคำนี้  กระนั้นก็ตาม เมื่อใครบางคนถูกให้คำจำกัดความอย่างแท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้าว่าได้ถอนตัวไปแล้ว ตามที่จริงนั้น นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการที่พวกเขาได้ไปจากพระนิเวศของพระองค์ ไม่ใช่การที่ไม่มีใครเห็นพวกเขาอีกต่อไป หรือการที่พวกเขาถูกถอดออกจากสมาชิกภาพของคริสตจักรแล้วเท่านั้น  ข้อเท็จจริงก็คือ หากคนคนหนึ่งไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขามีความเชื่ออันอลังการเพียงใด และไม่สำคัญว่าพวกเขาตระหนักหรือไม่ว่าตนเองเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า นั่นก็พิสูจน์ว่า ในหัวใจของพวกเขาไม่ยอมรับรู้ว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง หรือว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริง  สำหรับพระเจ้าแล้ว คนผู้นั้นได้ถอนตัวไปเรียบร้อยแล้ว และไม่นับเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระองค์อีกต่อไป  พวกที่ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าก็คือคนจำพวกหนึ่งซึ่งได้ถอนตัวไปแล้ว  ผู้คนอีกชนิดก็คือผู้ที่ไม่เคยมีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร และผู้ที่ไม่เคยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทั้งหลายที่สัมพันธ์กับชีวิตคริสตจักร อาทิ เมื่อเหล่าพี่น้องชายหญิงขับร้องเพลงนมัสการ อ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า และร่วมกันสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจส่วนตัวที่พวกเขาได้จากประสบการณ์  พระเจ้าทรงทอดพระเนตรว่าผู้คนเหล่านี้ได้ถอนตัวไปเรียบร้อยแล้ว  มีอีกจำพวกคือ พวกที่ไม่ยอมทำหน้าที่ของตน  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าร้องขอสิ่งใดก็ตามจากพวกเขา งานประเภทใดก็ตามที่พระนิเวศจะให้พวกเขาทำ หน้าที่ใดก็ตามที่พระนิเวศจะให้พวกเขาทำ ไม่ว่าในเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็เหมือนกัน แม้แต่ในบางสิ่งที่เรียบง่ายอย่างการให้พวกเขาส่งต่อข่าวสารในบางวาระโอกาส—พวกเขาก็ไม่ต้องการทำ พวกเขาที่ประกาศตนเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะทำกิจทั้งหลายที่อาจสามารถหาผู้ไม่มีความเชื่อมาช่วยทำได้ด้วยซ้ำ  นี่เป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงและไม่ยอมทำหน้าที่  ไม่ว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงเตือนสติพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ปฏิเสธและไม่ยอมรับคำเตือนสตินั้น เมื่อคริสตจักรจัดการเตรียมหน้าที่บางอย่างให้พวกเขาทำ พวกเขาก็เพิกเฉยและให้ข้อแก้ตัวแบบน้ำท่วมทุ่งเพื่อปฏิเสธไม่รับหน้าที่นั้น  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่ยอมทำหน้าที่  สำหรับพระเจ้าแล้ว ผู้คนเช่นนั้นได้ถอนตัวไปแล้ว  การถอนตัวของพวกเขาไม่ใช่เรื่องที่พระนิเวศของพระเจ้าได้เอาตัวพวกเขาออกไป หรือได้ปลดพวกเขาออกจากสมาชิกภาพ ในทางกลับกัน นั่นคือการที่ตัวพวกเขาเองไม่มีความเชื่อที่แท้จริง—พวกเขาไม่ยอมรับรู้ว่าตัวเองเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า  ผู้ใดก็ตามที่เข้ากันพอดีกับหนึ่งในสามหมวดหมู่นี้คือใครบางคนที่ถอนตัวไปเรียบร้อยแล้ว  นี่คือคำจำกัดความอันถูกต้องแม่นยำใช่หรือไม่?  (ใช่)  หากเจ้าไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า เจ้านับว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าไม่ดำเนินชีวิตคริสตจักร หากเจ้าไม่มีปฏิสัมพันธ์หรือคลุกคลีกับพี่น้องชายหญิงของตน เจ้านับว่าเป็นผู้เชื่อหรือไม่?  ยิ่งแทบไม่ได้เลย  นอกจากนั้น หากเจ้าไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง และไม่แม้แต่จะลุล่วงภาระผูกพันของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เช่นนั้นยิ่งร้ายแรงมากขึ้นไปอีก  ผู้คนสามประเภทนี้คือพวกที่พระเจ้าทอดพระเนตรว่าได้ถอนตัวไปเรียบร้อยแล้ว  นั่นไม่ใช่ว่าพวกเขาถูกขับไล่หรือถูกเอาตัวออกไปจากพระนิเวศของพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับถอนตัวออกไปโดยสมัครใจ และเลิกล้มโดยสมัครใจ  พฤติกรรมของพวกเขาเผยจนหมดเปลือกว่าพวกเขาไม่รักหรือยอมรับความจริง และพวกเขาเป็นตัวอย่างตามแบบฉบับของผู้คนที่ตั้งใจจะกินขนมปังจนเต็มอิ่มและหวังที่จะได้รับพรแค่นั้นเอง

17 ตุลาคม ค.ศ. 2020

ก่อนหน้า:  ประการที่สิบเอ็ด: พวกเขาไม่ยอมรับการตัดแต่ง ทั้งพวกเขายังไม่มีท่าทีแห่งการกลับใจใหม่เมื่อพวกเขากระทำการสิ่งที่ผิดอันใด แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดและตัดสินพระเจ้าอย่างเปิดเผย

ถัดไป:  บทความเสริม สี่ สรุปลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นนิสัยของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger