ประการที่สี่: พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับให้ตัวเอง

ส่วนเสริม การล่าหนู

เราได้ยินเรื่องใหม่เมื่อเร็วๆ นี้  จงฟังและคิดดูว่าเรื่องนี้สัมพันธ์กับพฤติกรรมและอุปนิสัยของผู้คนอย่างไร เรื่องราวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และเรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาประเภทใด  หลังจากคนจีนบางคนมายังอเมริกา นอกจากได้เห็นว่าสภาพแวดล้อมและบรรยากาศทางสังคมที่นี่แตกต่างจากประเทศจีนอย่างมีสาระสำคัญแล้ว ยังมีสิ่งอื่นที่พวกเขาพบว่าน่าสนใจมากอีกด้วย  นั่นก็คือในประเทศนี้ ไม่เพียงแต่ผู้คนเป็นอิสระเท่านั้น แต่สิ่งมีชีวิตและสัตว์ทุกรูปแบบก็เป็นอิสระมากเช่นกัน และไม่มีใครทำอันตรายพวกมัน  แน่นอนว่าอิสรภาพของมนุษย์เป็นผลิตผลจากระบบสังคม แล้วสิ่งใดนำอิสรภาพมาสู่สิ่งมีชีวิตและสัตว์ทุกรูปแบบ?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับระบบสังคมหรือไม่?  (เกี่ยวข้อง)  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิธีที่ระบบสังคมและนโยบายรัฐบาลให้ความคุ้มครองและจัดการกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทั้งหมด  ที่นี่ สัตว์ป่ามีอยู่ทุกหนแห่งและเห็นได้ทุกที่  ตัวอย่างเช่น คนเราอาจเห็นห่านป่ากินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าข้างถนนหลวง และมีสวนสาธารณะ ทุ่งหญ้า และป่าบางแห่งที่คนเราอาจเห็นกวาง หมี หรือหมาป่าบางชนิด ตลอดจนไก่งวง ไก่ฟ้า รวมทั้งนกและสัตว์ป่าอื่นๆ ทุกจำพวก  ผู้คนมีภาพจำแรกแบบใดเวลาที่พวกเขาเห็นภาพเช่นนี้?  (พวกเขารู้สึกว่าตนได้เห็นธรรมชาติ)  แล้วพวกเขามีความรู้สึกแบบใดเวลาที่พวกเขาเห็นธรรมชาติ?  พวกเขาจะไม่พูดหรอกหรือว่า “ดูประเทศนี้ของพวกเขาสิ  ไม่เพียงแต่ผู้คนเป็นอิสระเท่านั้น ที่นี่แม้แต่สัตว์ก็เป็นอิสระ  การได้เกิดเป็นสัตว์ในสถานที่แห่งนี้คงจะดีกว่าการดำรงชีวิตอย่างคนในประเทศจีน เพราะที่นี่แม้แต่สัตว์ก็เป็นอิสระ และไม่มีใครรังแกพวกมัน”?  พวกเขาไม่มีความรู้สึกดังกล่าวหรอกหรือ?  (พวกเขามีความรู้สึกดังกล่าว)  สำหรับบรรดาผู้ที่อยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องสามัญ และไม่ผิดปกติเลยแม้แต่น้อย พวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติมาก  แต่สำหรับบางคน หลังจากพวกเขาได้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแบบนี้มากขึ้นแล้ว ความคิดที่กระตือรือร้นบางอย่างก็เริ่มปรากฏขึ้นในตัวพวกเขา กล่าวคือ “สัตว์เหล่านี้ล้วนเป็นอิสระมาก และไม่มีใครดูแลหรือคอยเฝ้าพวกมัน แล้วฉันจับพวกมันกินได้ไหม?  คงจะเป็นเรื่องดีมากหากฉันกินพวกมันได้ แต่ฉันจะทำเช่นนั้นอย่างไม่แยกแยะไม่ได้ เผื่อว่าพวกมันได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย  ฉันต้องตรวจสอบเรื่องนี้”  หลังจากตรวจสอบข้อมูลแล้ว พวกเขาเห็นว่ากฎหมายระบุอย่างชัดแจ้งว่าสัตว์ป่าทั้งหลายล้วนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแห่งชาติ และผู้คนไม่สามารถล่าและฆ่าสัตว์ป่าเหล่านี้ได้ตามที่พวกเขาพอใจ  หากผู้คนต้องการล่าสัตว์ พวกเขาต้องทำเช่นนั้นภายในเขตล่าสัตว์ซึ่งได้รับคำสั่งจากรัฐ พวกเขายังจำเป็นต้องมีใบอนุญาตอีกด้วย และอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับสัตว์ที่พวกเขาจับได้  สรุปสั้นๆ ก็คือ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าเหล่านี้และมีข้อกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับสัตว์ป่าดังกล่าว  บางคนไม่สามารถเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสัตว์ป่า และพวกเขาก็ไตร่ตรองว่า “มีอาหารป่าทั้งหมดนี้อยู่ แต่ถึงกระนั้นรัฐบาลก็ไม่อนุญาตให้พวกเราจับสัตว์ป่าเหล่านี้มากินได้ตามที่พวกเราพอใจ  เป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ!  ในประเทศจีน ไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้ ‘หากไม่มีใครรายงานเรื่องนี้ ทางการก็จะไม่ตรวจสอบ’  คุณสามารถจับสัตว์มากินได้ ตราบที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้  แต่คุณไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ในประเทศประชาธิปไตย  ที่นี่มีข้อบังคับตามกฎหมาย และฉันก็ไม่สามารถทำทุกสิ่งที่ฉันต้องการบนแผ่นดินของคนอื่นได้  แต่สัตว์เหล่านี้ล้วนเป็นสัตว์ป่า เป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ ที่พวกเราทำได้แค่เพียงมองดูพวกมันแล้วก็ไม่กินพวกมัน!  ฉันจำเป็นต้องคิดถึงทางออกของปัญหา  ฉันจะกินสัตว์ป่านี้ได้อย่างไรโดยไม่มีใครสังเกตเห็นและโดยไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย?”  บางคนคิดถึงเล่ห์เหลี่ยมแล้วก็พูดว่า “หากฉันทำกรงแล้ววางอาหารที่มีรสชาติไว้ในนั้นสักหน่อยเพื่อดึงดูดสัตว์ จับสัตว์ตัวเล็กๆ สักสองสามตัวเช่นกระต่ายป่า จากนั้นก็หาที่ที่เปลี่ยวสักแห่งเพื่อฆ่าและกินพวกมัน ฉันคงจะไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายหรอกใช่ไหม?  สัตว์ตัวเล็กๆ เหล่านั้นไม่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐ และกฎหมายก็ไม่มีข้อกำหนดเงื่อนไขเฉพาะเกี่ยวกับพวกมัน  หากฉันทำเช่นนี้ ฉันก็สามารถกินสัตว์ป่าได้แล้วยังมั่นใจได้อีกด้วยว่าฉันไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย  นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองโลก”  หลังจากมีแนวคิดนี้พวกเขาก็ประกอบกรงขึ้นมาอันหนึ่งแล้วก็เริ่มล่า  ผ่านไปยังไม่พ้นสองวันก็มีหนูตัวหนึ่งเข้ามาในกรง แล้วพวกเขาก็รีบฆ่ามันกิน โดยรู้สึกว่านี่เป็นสัตว์ป่าที่แท้จริง!  พวกเขาได้บทสรุปอะไรหลังจากกินมันแล้ว?  “สัตว์ป่ามีรสชาติดี  ตั้งแต่นี้ไปฉันจะคิดถึงวิธีที่จะกินสัตว์ป่าประเภทอื่นๆ เพิ่มอีก  ฉันไม่กลัวที่จะกินพวกมันตราบที่ฉันไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย”  เรื่องราวนี้จบลงตรงนี้

บางคนถามว่า “นี่เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น?”  ตอนนี้จงอย่ากังวลไปเลยว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น รวมทั้งจงอย่ากังวลไปเลยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่  จงคิดแค่ว่ามีอะไรผิดกับคนที่ทำสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ บนพื้นฐานของเรื่องราวนี้  การทำเรื่องแบบนี้เป็นความผิดพลาดที่หนักหนาสาหัสหรือไม่?  เรื่องนี้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายหรือไม่?  เรื่องนี้ถือว่าไม่มีศีลธรรมหรือไม่?  (เรื่องนี้ถือว่าไม่มีศีลธรรม)  เรื่องนี้ขัดกับศีลธรรม หรือขัดกับความเป็นมนุษย์ หรือขัดกับสิ่งอื่น?  ก่อนอื่น จงบอกเราที พฤติกรรมประเภทนี้คู่ควรกับการสรรเสริญหรือการประณาม?  พวกเจ้าเลือกข้างไหน?  (การประณาม)  ไม่ว่าเรื่องนี้จะขัดกับศีลธรรม ขัดกับกฎหมาย หรือขัดกับความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าในกรณีใดพฤติกรรมประเภทนี้ย่อมไม่ดี และย่อมไม่ใช่พฤติกรรมของคนที่มีความเป็นมนุษย์  แล้วนี่เป็นพฤติกรรมแบบใด?  อุปนิสัยหรือพฤติกรรมแบบนี้เป็นปัญหาร้ายแรงหรือไม่?  พวกเจ้าจะตัดสินเรื่องนี้ตามมาตรฐานของตัวเองอย่างไร?  ในชีวิตประจำวันและท่ามกลางคนทุกกลุ่ม พฤติกรรมแบบนี้พบได้ทั่วไปหรือไม่?  (พบได้ทั่วไป)  พฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดแกมโกงหรือชั่วอย่างไม่มีขอบเขต แต่พฤติกรรมแบบนี้ไม่เหมาะสมและไม่ใช่การสำแดงซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี  นี่เป็นการสำแดงประเภทใดกันแน่?  จงดำเนินการจำแนกชั้นการสำแดงนี้ได้เลย  นี่เป็นพฤติกรรมแบบใดกัน?  ควรส่งเสริมพฤติกรรมนี้หรือไม่?  (ไม่ควร)  พฤติกรรมนี้ไม่คู่ควรกับการส่งเสริมและผู้คนก็ไม่สรรเสริญพฤติกรรมนี้ ดังนั้นพฤติกรรมนี้จึงควรถูกประณามและถูกดูหมิ่น  พฤติกรรมแบบนี้พบได้ทั่วไป มักจะปรากฏท่ามกลางคนทุกกลุ่มและในชีวิตประจำวัน เป็นที่สังเกตเห็นอยู่เป็นนิจ และมีคนที่ทำเรื่องแบบนี้อยู่เสมอๆ  เช่นนั้นแล้ว การเลือกเฉพาะพฤติกรรมนี้มาเสวนา ด้วยการนั้นจึงเป็นการช่วยให้แต่ละคนสามารถมีคำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับเรื่องนี้ และถ้าจะให้ดีอยู่ห่างจากพฤติกรรมแบบนี้ได้ ไม่คู่ควรหรอกหรือ?  นั่นจะไม่ดีหรอกหรือ?  (ดี)  เช่นนั้นพวกเรามาให้คำนิยามพฤติกรรมแบบนี้กันเถอะ—นี่เป็นพฤติกรรมประเภทใดกัน?  ใช่พฤติกรรมอันโอหังหรือไม่?  ใช่พฤติกรรมอันดื้อแพ่งหรือไม่?  ใช่พฤติกรรมอันหลอกลวงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ใช่พฤติกรรมอันเลวร้ายหรือไม่?  (เล็กน้อย)  ใกล้เคียงกับพฤติกรรมดังกล่าวอยู่บ้าง  ในบรรดาถ้อยคำที่พวกเจ้าได้เรียนรู้และเข้าใจ มีถ้อยคำใดบ้างหรือไม่ที่สามารถให้นิยามพฤติกรรมประเภทนี้ได้?  (ต่ำช้า)  ต่ำช้า พฤติกรรมประเภทนี้มีคุณสมบัตินี้อยู่เล็กน้อย  ถ้อยคำนี้มีพฤติกรรมและแก่นแท้ประเภทนี้แต่ไม่ได้สรุปพฤติกรรมและแก่นแท้ดังกล่าวอย่างสิ้นเชิงและครบบริบูรณ์  พฤติกรรมนี้ไม่อาจพิจารณาได้ว่ามุ่งร้าย เนื่องจากหากการฆ่าหนูตัวหนึ่งเป็นความมุ่งร้าย เช่นนั้นการกำจัดพวกหนูให้หมดสิ้นย่อมจะเป็นสิ่งที่เป็นลบ  การกำจัดหนูให้หมดสิ้นเป็นสิ่งที่เป็นบวก หนูทำอันตรายผู้คน ดังนั้นการกำจัดพวกหนูให้หมดสิ้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง  แต่มีความแตกต่างระหว่างการกำจัดพวกหนูให้หมดสิ้นกับการกินพวกมันหรือไม่?  (มี)  เช่นนั้นจะสามารถสรุปพฤติกรรมนี้ได้อย่างไร?  พวกเจ้าสามารถคิดถึงถ้อยคำใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมแบบนี้?  (โสโครก)  (ลักษณะนิสัยที่ต่ำทราม)  ลักษณะนิสัยที่ต่ำทราม ต่ำช้า และโสโครก  ในชีวิตประจำวัน ถ้อยคำใดถูกใช้เพื่อสรุปพฤติกรรมที่ต่ำทรามและไม่ถูกต้องเหมาะสม?  (ชั้นต่ำ)  คำว่า “ชั้นต่ำ” สรุปพฤติกรรมประเภทนี้อย่างชัดเจนและเฉียบคม  เหตุใดพฤติกรรมประเภทนี้จึงถูกให้นิยามว่า “ชั้นต่ำ”?  หากกล่าวว่าพฤติกรรมประเภทนี้ต่ำช้า เห็นแก่ตัว หรือโสโครก นั่นเป็นแค่การสำแดงแบบหนึ่งซึ่งคนที่ชั้นต่ำเผยให้เห็นเท่านั้น  “ชั้นต่ำ” มีความหมายหลายอย่าง—การเป็นคนต่ำช้า ต่ำทราม โสโครก เห็นแก่ตัว ไม่มีศีลธรรม การประพฤติตนไม่เหมาะสม การเป็นคนไม่เปิดใจหรือไม่ตรงไปตรงมาในการกระทำของตน แต่กลับกระทำการในลักษณะที่หลบๆ ซ่อนๆ และทำแต่สิ่งที่ไม่ถูกควรเท่านั้น  นี่เป็นพฤติกรรมและการสำแดงต่างๆ ของคนที่ชั้นต่ำ  ตัวอย่างเช่น หากคนปกติธรรมดาต้องการทำบางสิ่ง ตราบที่สิ่งนั้นถูกควร พวกเขาย่อมจะเริ่มทำสิ่งนั้นในลักษณะที่เปิดเผย และหากสิ่งนั้นละเมิดกฎหมาย พวกเขาย่อมจะล้มเลิกและไม่ทำสิ่งนั้น  คนที่ชั้นต่ำไม่ใช่อย่างเดียวกัน พวกเขาจะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ และมีกลยุทธ์เพื่อเป็นมาตรการตอบโต้ข้อจำกัดของกฎหมาย  พวกเขาหลบเลี่ยงกฎหมายและแสวงหาหนทางที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน ไม่ว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นไปตามจริยธรรม ศีลธรรม หรือความเป็นมนุษย์หรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร  พวกเขาไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้เลย และเพียงแค่เสาะแสวงที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้  นี่คือการเป็นคน “ชั้นต่ำ”  คนที่ชั้นต่ำมีความสัตย์ซื่อหรือศักดิ์ศรีหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาเป็นคนที่สูงส่งหรือต่ำทราม?  (ต่ำทราม)  พวกเขาต่ำทรามอย่างไร?  (ไม่มีบรรทัดฐานทางศีลธรรมในการวางตัวของพวกเขา)  ถูกต้อง คนจำพวกนี้ไม่มีบรรทัดฐานหรือหลักธรรมในการวางตัวของพวกเขา พวกเขาไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา และเพียงแค่ทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ  พวกเขาไม่ใส่ใจกฎหมาย ไม่ใส่ใจศีลธรรม ไม่ใส่ใจว่ามโนธรรมของพวกเขาสามารถยอมรับการกระทำของพวกเขาได้หรือไม่ หรือมีใครประณาม ตัดสิน หรือกล่าวโทษพวกเขาหรือไม่  พวกเขาไม่แยแสทั้งหมดนี้ และไม่ใส่ใจตราบที่พวกเขาได้รับประโยชน์และมีความสำราญ  ลักษณะที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายนั้นทุจริต ความคิดของพวกเขาน่ารังเกียจ และทั้งสองอย่างนี้น่าละอาย  นี่เองคือความหมายของการเป็นคนชั้นต่ำ  คำว่า “ชั้นต่ำ” สามารถแทนที่ด้วยการสำแดงถึงอุปนิสัยหลายอย่างเหล่านั้นซึ่งพวกเราพูดถึงก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?  จริงๆ แล้วนั่นคงจะไม่เป็นผล  คำว่า “ชั้นต่ำ” ค่อนข้างพิเศษ แล้วคนที่ชั้นต่ำใช่คนจำพวกพิเศษหรือไม่?  ไม่ใช่  พวกเจ้ามีอะไรที่ชั้นต่ำอยู่ในตัวพวกเจ้าหรือไม่?  (มี)  อะไรคือการสำแดงพิเศษถึงเรื่องนี้?  (บางครั้งหลังจากผู้คนล้างหน้าแล้ว พวกเขาก็ทิ้งน้ำไว้ทั่วเคาน์เตอร์และไม่เช็ดออก  และเมื่อผู้คนกินเสร็จแล้ว พวกเขาก็ไม่เก็บกวาดเมล็ดข้าวและซุปผักจากโต๊ะ  เมื่อเสื้อผ้าของพวกเขาสกปรก พวกเขาก็แค่โยนหลบไว้ตรงไหนสักที่โดยไม่พับ  ข้าพระองค์คิดว่านี่ก็เป็นการสำแดงถึงการเป็นคนชั้นต่ำด้วย)  ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรายละเอียดเล็กน้อยของชีวิตประจำวัน และการเป็นคนไม่ถูกสุขลักษณะก็ไม่ใช่การเป็นคนชั้นต่ำอย่างแท้จริง แต่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในความเป็นมนุษย์ของคนเรา  หากคนเราไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเมื่ออยู่ในกลุ่ม และหากคนเราไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกควรหรือประพฤติตนไม่ดี รวมทั้งทำให้ผู้คนรำคาญและทำให้ผู้อื่นรังเกียจพวกเขา และไม่รู้จักยึดปฏิบัติตามกฎหรือระบบของสถานที่แห่งใดก็ตามที่พวกเขาไป อีกทั้งขาดพร่องการตระหนักรู้นี้ เช่นนั้นความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่ได้พลาดบางสิ่งหรอกหรือ?  (พลาดบางสิ่ง)  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาพลาดสิ่งใด?  พลาดเหตุผล  ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ขาดพร่องศักดิ์ศรีหรอกหรือ?  (ขาดพร่อง)  พวกเขาไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความสุจริต และถูกเลี้ยงดูมาไม่ดี  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบรรทัดฐานของการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ รวมทั้งการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  หากคนเราไม่สามารถแม้แต่จะทำให้ได้ตามมาตรฐานเหล่านี้ เช่นนั้นพวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถกระทำการตามหลักธรรมความจริงได้อย่างไร?  พวกเขาแทบจะทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลย  คนประเภทนี้ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล—การบริหารจัดการพวกเขาเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  การที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ง่าย  เช่นนั้นพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?  เรื่องนี้จะขึ้นอยู่กับทุกคนที่กำกับดูแล ยับยั้ง และกระตุ้นเตือนพวกเขา  ในกรณีที่ร้ายแรง ทุกคนต้องลุกขึ้นวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา  อะไรคือเป้าหมายของคำวิพากษ์วิจารณ์นี้?  คือการช่วยเหลือพวกเขา ช่วยให้พวกเขาประพฤติตัวดี และหยุดพวกเขาไม่ให้ทำสิ่งทั้งหลายที่ทำให้เสื่อมเสียและไม่เหมาะสม  แล้วการเป็นคนชั้นต่ำหมายถึงสิ่งใดกันแน่?  อะไรคืออาการและการสำแดงหลักๆ ของการเป็นคนชั้นต่ำ?  จงดูว่าบทสรุปของเราถูกต้องแม่นยำหรือไม่  คนที่ชั้นต่ำเทียบเท่ากับสิ่งใด?  พวกเขาเทียบเท่ากับสัตว์ป่าที่ไม่เชื่องและได้รับการเลี้ยงดูไม่ดี และการสำแดงหลักๆ ของเรื่องนี้ก็คือความโอหัง ความดุร้าย การขาดพร่องการยับยั้งชั่งใจ การกระทำการอย่างอย่างหุนหันพลันแล่น การไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย ตลอดจนการทำสิ่งใดก็ตามที่คนเราพอใจ การไม่รับฟังใครเลย หรือการเปิดโอกาสให้ใครก็ตามบริหารจัดการพวกเขา กล้าต่อต้านทุกคน และการไม่คำนึงถึงคนอื่น  จงบอกเราที การสำแดงต่างๆ ถึงการเป็นคนชั้นต่ำรุนแรงหรือไม่?  (รุนแรง)  อย่างน้อยที่สุดอุปนิสัยของความโอหัง การขาดพร่องเหตุผล และการกระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นก็รุนแรงมาก  ต่อให้คนเช่นนี้ดูเหมือนไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่ตัดสินหรือขัดขืนพระเจ้า แต่เพราะอุปนิสัยอันโอหังของพวกเขา จึงมีแววอย่างที่สุดว่าพวกเขาจะทำชั่วและขัดขืนพระองค์  การกระทำทั้งหมดของพวกเขาเป็นการเผยความเสื่อมทรามของพวกเขาออกมา  เมื่อคนคนหนึ่งกลายเป็นชั้นต่ำถึงระดับหนึ่ง พวกเขาย่อมกลายเป็นโจรและมาร และพวกโจรและมารย่อมจะไม่มีวันยอมรับความจริง—พวกเขามีแต่ถูกทำลายได้เท่านั้น

ในการพูดถึงเรื่องราวนี้มีคุณค่าหรือไม่?  (มี)  แม้เรื่องราวนี้ไม่สัมพันธ์กับแก่นแท้ธรรมชาติหรืออุปนิสัยของมนุษย์ แต่เรื่องราวนี้ก็เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งไม่แตกต่างจากแก่นแท้ของมนุษย์เท่าใดนักและไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของมนุษย์  ควรเรียกเรื่องราวนี้ว่าอย่างไร?  พวกเรามาตั้งชื่อเรื่องราวนี้กันเถิด โดยใช้คุณสมบัติในเชิงเปรียบเทียบอีกทั้งไม่ทำให้ชื่อเรื่องราวนี้ซื่อตรงเปิดเผยเกินไป  (การล่าหนู)  “การล่าหนู” เป็นชื่อเรื่องที่ค่อนข้างดี  ใครบางคนจับหนูได้ในลักษณะที่ “ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรมโดยแท้” แล้วพูดว่า “ฉันจะทำอะไรได้บ้าง?  มันวิ่งอยู่ในนี้แล้วฉันก็รู้สึกสงสารมัน  แล้วมันก็บาดเจ็บด้วย  หากมันกลับออกไป มันก็จะตาย จากนั้นสัตว์ตัวอื่นๆ ก็จะกินมันอยู่ดี แล้วทำไมฉันไม่กินมันเสียล่ะ?  นั่นน่าจะถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรมโดยแท้มิใช่หรือ?”  เพื่อที่จะกินหนูตัวนั้น พวกเขาปั้นแต่งข้ออ้างเหล่านั้นทั้งหมดและสร้างเหตุผลเหล่านั้นทั้งหมดขึ้นมา แล้วจึงกินมันด้วยมโนธรรมที่ชัดเจน  นี่คือการเป็นคนชั้นต่ำ  ไม่ใช่ว่าผู้คนในอเมริกาจะไม่สามารถกินเนื้อได้ ดังนั้นการยอมลำบากขนาดนั้นและทุ่มเทความพยายามขนาดนั้นเพื่อทำเรื่องเช่นนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่คุ้มค่า  นี่เป็นเรื่องแบบที่คนที่ชั้นต่ำทำ  คนปกติทำเรื่องแบบนี้หรือไม่?  คนที่มีความเป็นมนุษย์และความสุจริตทำเรื่องแบบนี้หรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทำเรื่องแบบนี้?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสุจริต  พวกที่เป็นขโมยซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ตามธรรมชาติขโมยและลักเล็กขโมยน้อยรวมทั้งทำสิ่งที่น่าละอายอยู่เสมอ  พวกเขาขาดพร่องบางสิ่งที่บ้านหรือไม่?  ไม่จำเป็น  เนื่องจากพวกเขาชั้นต่ำ พวกเขาจึงต้องขโมย พึ่งพาการขโมยเพื่อตอบสนองความชอบของตนเองและอุปนิสัยอันละโมบอย่างไม่รู้จักพอของตน  การทำเรื่องเหล่านี้นำพาความชูใจมาสู่หัวใจของพวกเขา  หากพวกเขาไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้ พวกเขาก็จะหงุดหงิด  นี่คือการเป็นคนชั้นต่ำ  ตอนนี้เราจะสรุปเรื่องราวนี้แล้วไปต่อกันที่หัวข้อหลัก

ก่อนที่เราจะพูดถึงหัวข้อหลัก ก่อนอื่นพวกเรามาไตร่ตรองเนื้อหาของสามัคคีธรรมครั้งล่าสุดของพวกเรากันเถิด  หน้าที่ซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรปฏิบัติสามารถแบ่งออกเป็นหกหมวดหมู่หลัก  พวกเราเสวนาหมวดหมู่แรกเสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่งก็คือคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  หมวดหมู่ที่สองคือบรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรที่ระดับต่างๆ  สมาชิกของหมวดหมู่นี้โดยแก่นสารแล้วสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก และครั้งล่าสุดพวกเราได้พูดถึงประเภทหนึ่งในสองประเภทนี้ กล่าวคือ ศัตรูของพระคริสต์  วิธีที่ศัตรูของพระคริสต์ทำงาน พวกเขามีการสำแดงแบบใดและพวกเขาทำเรื่องใดที่สามารถให้นิยามพวกเขาว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์—พวกเราได้จำแนกชั้นการสำแดงและอุปนิสัยเหล่านี้ของศัตรูของพระคริสต์ไว้แล้ว  มีประการเฉพาะใดบ้าง?  (ประการที่หนึ่ง: พวกเขาพยายามเอาชนะใจผู้คน ประการที่สอง: พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง ประการที่สาม: พวกเขากีดกันและโจมตีบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ประการที่สี่: พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง ประการที่ห้า: พวกเขาชักพาผู้คนให้หลงผิด ดึงผู้คนมาเข้าร่วม ข่มขู่ และควบคุมผู้คน)  ครั้งล่าสุดมีการสรุปห้าประการ และพวกเจ้าได้จดบันทึกทั้งห้าประการไว้แล้ว  ตอนนี้จงจดบันทึกประการถัดๆ ไป  ประการที่หก: พวกเขาประพฤติตนในหนทางที่ตลบตะแลง พวกเขาทำอะไรโดยพลการและเป็นเผด็จการ พวกเขาไม่สามัคคีธรรมกับผู้อื่นเลย และพวกเขาบังคับผู้อื่นให้เชื่อฟังพวกเขา ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นแลกกับความรุ่งโรจน์ส่วนตน ประการที่สิบ: พวกเขาดูหมิ่นความจริง ทำผิดหลักธรรมอย่างหน้าไม่อาย และเพิกเฉยต่อการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า ประการที่สิบเอ็ด: พวกเขาไม่ยอมรับการตัดแต่ง ทั้งพวกเขายังไม่มีท่าทีแห่งการกลับใจใหม่เมื่อพวกเขากระทำการสิ่งที่ผิดอันใด แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดและทำการตัดสินพระเจ้าอย่างเปิดเผย ประการที่สิบสอง: พวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะหรือไม่มีหวังที่จะได้รับพร ประการที่สิบสาม: พวกเขาควบคุมการเงินของคริสตจักรตลอดจนควบคุมหัวใจของผู้คน ประการที่สิบสี่: พวกเขาปฏิบัติต่อพระนิเวศของพระเจ้าประหนึ่งแดนครอบครองส่วนบุคคลของพวกเขาเอง ประการที่สิบห้า: พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขาไม่ยอมรับแก่นแท้ของพระคริสต์  ทั้งหมดมี 15 ประการซึ่งล้วนชำแหละและเปิดโปงการสำแดงต่างๆ ของศัตรูของพระคริสต์  15 ประการเหล่านี้โดยแก่นสารแล้วสรุปพฤติกรรม การสำแดง และอุปนิสัยประเภทต่างๆ ที่ศัตรูของพระคริสต์มี  ภายนอกนั้นบางประการดูเหมือนเป็นพฤติกรรม แต่เบื้องหลังพฤติกรรมเหล่านี้คือแก่นแท้ในอุปนิสัยที่เป็นรากฐานของศัตรูของพระคริสต์  ในแง่ของความหมายตามตัวอักษร 15 ประการเหล่านี้ไม่ง่ายที่จะเข้าใจหรอกหรือ?  ทั้งหมดนี้ล้วนใช้ถ้อยคำด้วยภาษาที่เรียบง่าย และในแง่มุมหนึ่งทั้งหมดนี้ง่ายที่จะเข้าใจ ในขณะที่สิ่งที่แต่ละประการสรุปนั้นยังเกี่ยวข้องกับการสำแดง การเผย และแก่นแท้ของมนุษย์ด้วย  ทุกๆ ประการเป็นอุปนิสัยประเภทหนึ่ง ไม่ใช่พฤติกรรมหรือความคิดชั่วแล่น  อุปนิสัยคืออะไร?  คนเราจะอธิบายได้อย่างไรว่าอุปนิสัยคืออะไร?  อุปนิสัยคือเวลาที่ความคิด แนวคิด หลักธรรมสำหรับการทำสิ่งทั้งหลาย วิธีการในการปฏิบัติการของพวกเขา รวมทั้งเป้าหมายที่พวกเขากำลังไล่ตามเสาะหาไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะไปยังที่ใด  หากหนทางในการทำสิ่งทั้งหลายของคนคนหนึ่งปลาสนาการไปทันทีที่สภาพแวดล้อมของเขาเปลี่ยนแปลง นี่ย่อมไม่ใช่การเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา แต่กลับเป็นพฤติกรรมชั่วแล่น  อุปนิสัยที่แท้จริงหมายถึงสิ่งใด?  (อุปนิสัยที่แท้จริงสามารถครอบงำคนคนหนึ่งได้ในทุกที่และทุกเวลา)  ถูกต้อง อุปนิสัยที่แท้จริงสามารถครอบงำคำพูดและการกระทำของคนคนหนึ่งได้ไม่ว่าจะเป็นเวลาและสถานที่ใด โดยปราศจากการควบคุมหรืออิทธิพลมาเป็นเงื่อนไข นั่นคือแก่นแท้  แก่นแท้คือสิ่งที่ใครบางคนพึ่งพาเพื่อมีชีวิตรอด แก่นแท้จะไม่เปลี่ยนแปลงโดยขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา สถานที่ หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ  นี่คือแก่นแท้ของคนเรา  บางคนพูดว่า “โดยประมาณแล้วข้าพระองค์มีการสำแดงของศัตรูของพระคริสต์ที่พระองค์ทรงสรุปมาทั้ง 15 ประการนี้ แต่ข้าพระองค์ไม่ได้ไล่ตามไขว่คว้าสถานะและข้าพระองค์ก็ไม่ได้ถือกำเนิดมาพร้อมความทะเยอทะยานใดๆ  นอกจากนี้ข้าพระองค์ก็ไม่ได้แบกรับความรับผิดชอบใดๆ ในขณะนี้  ข้าพระองค์ไม่ใช่ผู้นำหรือคนทำงาน และข้าพระองค์ก็ไม่ชอบเป็นจุดสนใจของผู้คน ดังนั้นแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับข้าพระองค์มิใช่หรือ?  หากไม่เกี่ยวข้อง เช่นนั้นการที่ข้าพระองค์ไม่จำเป็นต้องรับฟังสามัคคีธรรมเหล่านี้หรือยกตัวเองมาเปรียบเทียบกับสามัคคีธรรมเหล่านี้ไม่เป็นความจริงหรอกหรือ?”  สิ่งทั้งหลายเป็นอย่างนี้หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นคนเราควรจัดการกับการสำแดงเหล่านี้ของศัตรูของพระคริสต์อย่างไร?  คนเราควรจัดการกับความจริงซึ่งได้รับการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการสำแดงเหล่านี้อย่างไร?  คนเราต้องเข้าใจความจริงและรู้จักตัวเองภายในสามัคคีธรรมเหล่านี้ จากนั้นจึงค้นหาเส้นทางที่ถูกต้อง และมามีหลักธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและการรับใช้พระเจ้าของตน  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถหลุดพ้นจากเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์และเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการได้รับการทำให้เพียบพร้อม  หากพวกเจ้าสามารถเชื่อมโยงการสำแดงเหล่านี้ของศัตรูของพระคริสต์กับตัวเองได้ เช่นนั้นนี่ย่อมจะเป็นการเตือน สิ่งเตือนใจ และการเปิดโปง และเป็นการพิพากษาสำหรับพวกเจ้า  หากพวกเจ้าไม่สามารถเชื่อมโยงการสำแดงเหล่านี้กับตัวเองได้ แต่สามารถรับรู้ได้ว่าพวกเจ้าก็มีสภาวะที่คล้ายกันด้วย เช่นนั้นพวกเจ้าก็ควรพยายามทบทวนและรู้จักตัวเองให้มากขึ้น และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสภาวะเหล่านั้น  ในหนทางนี้พวกเจ้ายังสามารถค่อยๆ ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าและหลีกเลี่ยงการเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ได้อีกด้วย

การชำแหละวิธีที่พวกศัตรูของพระคริสต์ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง

สามัคคีธรรมในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับประการที่สี่ของการสำแดงต่างๆ ของพวกศัตรูของพระคริสต์ กล่าวคือ การยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง  การยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง อวดตน พยายามทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาตนเอง—มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้  นี่คือวิธีที่ผู้คนแสดงปฏิกิริยาไปตามสัญชาตญาณเมื่อพวกเขาถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาครอบงำ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งปวง  ผู้คนมักจะยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองกันอย่างไร?  พวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาพวกเขาได้อย่างไร?  พวกเขาเป็นพยานยืนยันว่าตนเองได้ทำงานไปมากมายเพียงใด ทนทุกข์ไปมากมายขนาดไหน สละตนไปมากมายเท่าใด และจ่ายราคาเป็นอะไรไปบ้างแล้ว  พวกเขายกชูตนเองด้วยการกล่าวถึงต้นทุนของตน ซึ่งทำให้พวกเขามีที่ที่สูงขึ้น หนักแน่นขึ้น และมั่นคงขึ้นในจิตใจของผู้คน เพื่อให้มีผู้คนซาบซึ้ง ยกย่อง เลื่อมใส และถึงกับเคารพบูชา ยอมรับนับถือ และติดตามพวกเขาในจำนวนที่มากขึ้น  เพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้ ผู้คนจึงทำสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าเมื่อดูจากภายนอก แต่ในแก่นแท้กลับยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง  การกระทำเช่นนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?  พวกเขาพ้นวิสัยของความเป็นเหตุเป็นผลและไม่มีความละอาย กล่าวคือ พวกเขาเป็นพยานยืนยันอย่างหน้าไม่อายถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปเพื่อพระเจ้าและว่าพวกเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายเพียงใดเพื่อพระองค์  พวกเขาถึงขั้นโอ้อวดพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ และทักษะพิเศษของตน กลวิธีอันชาญฉลาดในการดำรงชีวิตทางโลก วิธีการที่พวกเขาใช้ปั่นหัวผู้คนเล่น และอื่นๆ  วิธีการของพวกเขาในการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองก็คือ การโอ้อวดตัวพวกเขาเองและดูแคลนผู้อื่น  พวกเขายังกลบเกลื่อนและทำให้ตัวเองดูดีด้วยเช่นกัน โดยซ่อนเร้นความอ่อนแอ ข้อเสีย และข้อบกพร่องของตนจากผู้คน เพื่อให้ผู้คนมองเห็นแต่ความปราดเปรื่องของพวกเขาตลอดเวลา  พวกเขาไม่แม้กระทั่งกล้าที่จะบอกผู้คนอื่นๆ เมื่อพวกเขารู้สึกคิดลบ พวกเขาขาดพร่องความกล้าที่จะเปิดกว้างและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด พวกเขาก็ทำอย่างสุดความสามารถในการที่จะปกปิดสิ่งที่ผิดนั้นและปิดบังสิ่งที่ผิดนั้น  พวกเขาไม่เคยเอ่ยถึงความเสียหายที่พวกเขาก่อให้เกิดแก่งานของคริสตจักรในครรลองของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมแบ่งปันเล็กน้อยอยู่บ้างหรือได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จเล็กน้อยอยู่บ้าง พวกเขาก็รีบร้อนที่จะโอ้อวดการนั้น  พวกเขาไม่สามารถรอเพื่อให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาสูงเพียงใด พวกเขายอดเยี่ยมเพียงใด และพวกเขาดีกว่าผู้คนปกติมากเพียงใด  นี่ไม่ใช่หนทางของการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองหรอกหรือ?  การยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองนั้นใช่สิ่งที่คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลทำกันหรือไม่?  ไม่เลย  ดังนั้นแล้ว อุปนิสัยใดเล่าที่มักจะถูกเผยออกมาในยามที่ผู้คนทำการนี้?  ความโอหัง  นี่คือหนึ่งในอุปนิสัยหลักที่ถูกเผยให้เห็น ตามมาด้วยความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นไปได้เพื่อทำให้ผู้คนอื่นๆ นับถือพวกเขาว่าสูงส่ง  คำพูดของพวกเขารัดกุมอย่างสมบูรณ์และบรรจุแรงจูงใจและกลอุบายอย่างชัดเจน พวกเขากำลังอวดตัว แต่ก็อยากซุกซ่อนข้อเท็จจริงนี้ไว้  สิ่งที่พวกเขาพูดส่งผลให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาเก่งกว่าผู้อื่น ว่าไม่มีผู้ใดเลยที่เทียบเท่าพวกเขา ว่าคนอื่นทุกคนด้อยกว่าพวกเขา  ผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมสัมฤทธิ์ด้วยวิธีการที่ไม่ซื่อมิใช่หรือ?  อุปนิสัยใดที่อยู่เบื้องหลังวิธีการเช่นนี้?  และมีความเลวร้ายอันใดบ้างหรือไม่?  (มี)  นี่คืออุปนิสัยที่เลวร้ายประเภทหนึ่ง  สามารถเห็นได้ว่า วิธีการซึ่งพวกเขาใช้เหล่านี้ถูกชี้นำโดยอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง—ดังนั้นแล้ว เหตุใดเล่าเราจึงพูดว่าอุปนิสัยนั้นเลว?  การนี้มีความเชื่อมโยงใดกับความเลว?  พวกเจ้าคิดอย่างไรเล่า คิดว่า  พวกเขาสามารถเปิดกว้างเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพวกเขาในการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองได้หรือไม่?  พวกเขาไม่สามารถ  แต่มีความอยากได้อยากมีอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาอยู่เสมอ และสิ่งที่พวกเขาพูดและทำก็เป็นการช่วยเอื้อต่อความอยากได้อยากมีนั้น และจุดมุ่งหมายและแรงจูงใจเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ จึงถูกเก็บเป็นความลับมิดชิด  ตัวอย่างเช่น พวกเขาจะนำการชี้นำที่ผิดหรือกลวิธีอันมีเลศนัยบางอย่างมาใช้เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายเหล่านี้  การมีความลับเช่นนั้นไม่เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกโดยธรรมชาติหรอกหรือ?  ความเคี้ยวคดเช่นนั้นไม่สามารถเรียกได้ว่าเลวหรอกหรือ?  (ได้)  จริงๆ แล้วความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเช่นนั้นสามารถเรียกได้ว่าเลว และนั่นซึมลึกยิ่งกว่าความหลอกลวง  พวกเขาใช้หนทางหรือวิธีการบางอย่างเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน  อุปนิสัยนี้คือความหลอกลวง  อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานและความอยากลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาในการต้องการให้ผู้คนติดตาม ยกย่องบูชา และเคารพบูชาพวกเขาเสมอชี้นำให้พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองอยู่เนืองนิจ รวมทั้งทำสิ่งเหล่านี้อย่างไม่มีหลักศีลธรรมและไร้ยางอาย  อุปนิสัยนี้คืออะไร?  นี่ขึ้นสู่ระดับของความเลว  ความเลวเป็นมากกว่าแค่ความใจแคบธรรมดาหรือการเป็นคนหลอกลวงและโกหก  หากคนคนหนึ่งสามารถก้าวขึ้นจากความเสื่อมทรามธรรมดาสู่ระดับของความเลว นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกมากขึ้นหรอกหรือ?  (หมายความว่าเช่นนั้น)  เช่นนั้นจงบรรยายระดับของความเลว—หนทางที่เหมาะสมที่จะพูดถึงเรื่องนี้เป็นอย่างไร?  เหตุใดคนคนหนึ่งจึงก้าวขึ้นจากความเสื่อมทรามธรรมดาสู่ความเลว?  พวกเจ้าสามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนหรือไม่?  อะไรคือความแตกต่างระหว่างความหลอกลวงกับความเลว?  ในแง่ของวิธีที่สิ่งเหล่านี้สำแดงออกมา ความเลวและความหลอกลวงมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด แต่ความเลวรุนแรงกว่า—ความเลวก็คือความหลอกลวงที่ถึงขีดสุด  หากกล่าวกันว่าคนเรามีอุปนิสัยอันเลว เช่นนั้นคนคนนี้ย่อมไม่ใช่คนหลอกลวงธรรมดาสามัญทั่วไป เนื่องจากการหลอกลวงธรรมดาสามัญทั่วไปอาจแค่หมายความว่าพวกเขาเป็นคนโกหกเป็นนิสัยหรือไม่ซื่อสัตย์มากนักในการกระทำของตน ในขณะที่ความเลวรุนแรงกว่าและอยู่ในระดับที่ลึกกว่าความหลอกลวง  ความหลอกลวงของคนที่มีอุปนิสัยที่เลวมีมากกว่าและรุนแรงกว่าความหลอกลวงของบุคคลปกติทั่วไป และวิถีทางและวิธีการในการทำสิ่งทั้งหลายของพวกเขา รวมทั้งการวางอุบายเบื้องหลังการกระทำของพวกเขา ล้วนฉลาดแกมโกงและเป็นความลับมากกว่า และคนส่วนใหญ่ไม่สามารถมองสิ่งเหล่านี้ออก  ความเลวเป็นอย่างนี้นี่เอง

ศัตรูของพระคริสต์ที่ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองแตกต่างจากบุคคลปกติทั่วไปที่ทำอย่างเดียวกันอย่างไร?  บุคคลปกติทั่วไปมักจะอวดตัวและโอ้อวดเพื่อทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา และจะมีการสำแดงถึงอุปนิสัยและสภาวะเหล่านี้ด้วย แล้วศัตรูของพระคริสต์ที่ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองแตกต่างจากคนปกติธรรมดาที่ทำอย่างเดียวกันอย่างไร?  ความแตกต่างอยู่ตรงไหน?  เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน—จงอย่าเหมารวมการสำแดงทั้งหมดถึงการยกย่องตัวเองหรือการอวดตัวเป็นครั้งคราวไว้ภายใต้หมวดหมู่ของศัตรูของพระคริสต์  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดเชิงแนวคิดหรอกหรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นจะสามารถจำแนกความแตกต่างเรื่องนี้อย่างชัดเจนได้อย่างไร?  ความแตกต่างอยู่ตรงไหน?  หากเจ้าสามารถระบุเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เจ้าย่อมสามารถเข้าใจได้อย่างถ้วนทั่วว่าแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์คืออะไร  จงลองระบุความแตกต่างที่ว่านี้  (หนทางในการทำสิ่งทั้งหลายของศัตรูของพระคริสต์มีเลศนัยมากกว่า พวกเขาใช้วิถีทางบางอย่างที่ดูถูกควรมากเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด  พวกเขาดูเหมือนพูดถึงเรื่องที่ถูกควร แต่ก่อนที่เจ้าจะรู้ตัว พวกเขาก็เริ่มยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง โดยไม่มีใครตระหนักรู้  วิถีทางของพวกเขาค่อนข้างมีเลศนัย)  วิถีทางที่ค่อนข้างมีเลศนัย—นี่เป็นการจำแนกความแตกต่างระหว่างพวกเขาผ่านทางหนทางในการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองของพวกเขา  มีสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่?  จงบอกเราที อะไรคือความแตกต่างในธรรมชาติระหว่างการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองโดยรู้ตัวกับการทำเช่นนั้นโดยไม่รู้ตัว?  (เจตนานั้นแตกต่างกัน)  ความแตกต่างอยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อบุคคลปกติทั่วไปที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามยกย่องตัวเองและอวดตน นั่นเป็นไปเพื่อการโอ้อวด  ทันทีที่พวกเขาโอ้อวดแล้ว เรื่องก็จบแค่นั้น และพวกเขาก็ไม่ใส่ใจว่าคนอื่นจะยกย่องนับถือพวกเขาหรือดูถูกดูหมิ่นพวกเขา  ความตั้งใจของพวกเขาไม่ชัดเจน นั่นเป็นเพียงแค่อุปนิสัยที่คอยควบคุมพวกเขา เป็นการเผยอุปนิสัยออกมา  ทั้งหมดก็เท่านั้นเอง  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยประเภทนี้เป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  หากคนที่กำลังพิจารณากันอยู่นี้ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมจะสามารถค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเมื่อพวกเขาเผชิญกับการถูกตัดแต่ง พิพากษา และตีสอน  พวกเขาจะค่อยๆ มีสำนึกถึงความละอายและความมีเหตุผลมากขึ้น และพวกเขาจะแสดงพฤติกรรมแบบนี้น้อยลงเรื่อยๆ  พวกเขาจะกล่าวโทษพฤติกรรมประเภทนี้ และจะยับยั้งชั่งใจและบังคับตัวเอง  นี่คือการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว  แม้อุปนิสัยที่บรรจุอยู่ภายในการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองโดยรู้ตัวและการทำเช่นนั้นโดยไม่รู้ตัวจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ธรรมชาติของทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกัน  ธรรมชาติของทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร?  การยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองโดยรู้ตัวนั้นทำด้วยความตั้งใจ  คนที่ทำเช่นนี้ไม่ได้พูดไปอย่างเรื่อยเปื่อย—แต่ละครั้งที่พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง พวกเขากำลังเก็บงำเจตนาบางอย่างและจุดมุ่งหมายที่ซ่อนเร้นเอาไว้ และพวกเขาทำเรื่องแบบนี้ด้วยความทะเยอทะยานและความอยากเยี่ยงซาตาน  ภายนอกนั้นดูเหมือนเป็นการสำแดงแบบเดียวกัน  ในทั้งสองกรณี ผู้คนกำลังยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง แต่พระเจ้าทรงให้นิยามการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองโดยไม่รู้ตัวอย่างไร?  ทรงให้นิยามว่าเป็นการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา  แล้วพระเจ้าทรงให้นิยามการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองโดยรู้ตัวอย่างไร?  ทรงให้นิยามว่าเป็นใครบางคนที่ต้องการชักพาผู้คนให้หลงผิด ตั้งใจที่จะให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา ยกย่องบูชาพวกเขา แล้วก็ติดตามพวกเขา  การกระทำของพวกเขาเป็นการชักพาให้หลงผิดโดยธรรมชาติ  ดังนั้นทันทีที่พวกเขามีความตั้งใจที่จะชักพาผู้คนให้หลงผิดและได้มาซึ่งผู้คน เพื่อที่ผู้คนเหล่านั้นจะได้ติดตามและเคารพบูชาพวกเขา พวกเขาจะเริ่มนำวิถีทางและวิธีการบางอย่างมาใช้ในยามที่พูดและกระทำการ ซึ่งสามารถชักพาพวกที่ไม่เข้าใจความจริงและขาดพร่องรากฐานอันลึกซึ้งให้หลงผิดรวมทั้งนำพวกเขาเหล่านั้นให้หลงผิดได้อย่างง่ายดาย  ผู้คนดังกล่าวไม่เพียงแค่ขาดพร่องวิจารณญาณเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม พวกเขาคิดว่าสิ่งที่คนคนนี้พูดนั้นถูกต้อง และพวกเขาอาจยกย่องบูชาและยกย่องนับถือพวกเขา และเมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาจะเคารพบูชาและแม้กระทั่งติดตามพวกเขา  ปรากฏการณ์ที่พบบ่อยที่สุดในชีวิตประจำวันก็คือใครบางคนดูเหมือนเข้าใจคำเทศนาค่อนข้างดีหลังจากได้ยินคำเทศนาดังกล่าว แต่ต่อมาภายหลังเมื่อบางสิ่งบังเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาไม่รู้วิธีแก้ไขสิ่งนั้น  พวกเขาไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหา แต่การทำเช่นนี้ไม่เกิดผล และในท้ายที่สุดพวกเขาต้องไปหาผู้นำของพวกเขาเพื่อไต่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้และขอวิธีแก้ปัญหาจากพวกเขา  ทุกครั้งที่บางสิ่งบังเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาต้องการขอให้ผู้นำของพวกเขาแก้ไขสิ่งนั้น  นั่นก็เป็นเหมือนวิธีที่การสูบฝิ่นกลายเป็นการเสพติดและรูปแบบสำหรับบางคน และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเขาจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่สูบฝิ่น  ดังนั้นศัตรูของพระคริสต์ที่ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองจึงกลายเป็นยาเสพติดแบบหนึ่งโดยไม่อาจรู้สึกได้สำหรับพวกที่มีวุฒิภาวะน้อย ไม่รู้จักแยกแยะ โง่เขลา และไม่รู้ความ  เมื่อใดก็ตามที่สิ่งใดก็ตามบังเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาจะไปถามศัตรูของพระคริสต์เกี่ยวกับสิ่งนั้น และหากศัตรูของพระคริสต์ไม่ออกคำสั่ง พวกเขาก็ไม่อาจหาญที่จะดำเนินการสิ่งอันใด ต่อให้ทุกคนพูดคุยเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้วและบรรลุฉันทามติในเรื่องนี้แล้วก็ตาม  พวกเขากลัวว่าจะต่อต้านเจตจำนงของศัตรูของพระคริสต์และจะถูกกดข่ม ดังนั้นกับทุกเรื่องพวกเขาจึงไม่อาจหาญที่จะลงมือดำเนินการหลังจากศัตรูของพระคริสต์ได้พูดแล้ว  แม้ในยามที่พวกเขาเข้าใจหลักธรรมความจริงอย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจหาญที่จะตัดสินใจหรือรับมือกับเรื่องนี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับรอจากคำตัดสินและการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจาก “เจ้านาย” ที่พวกเขายกย่องบูชา  หากเจ้านายของพวกเขาไม่พูดอะไรเลย ใครก็ตามที่กำลังรับมือกับเรื่องนี้อยู่ย่อมจะรู้สึกไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรที่จะทำสิ่งใด  คนเหล่านี้ไม่ได้ถูกวางยาพิษแล้วหรอกหรือ?  (พวกเขาถูกวางยาพิษแล้ว)  นี่คือความหมายของการถูกวางยาพิษแล้ว  การที่พวกเขาจะถูกวางยาพิษอย่างดิ่งลึกยิ่งนักนั้น ศัตรูของพระคริสต์ต้องทำงานมากแค่ไหน และศัตรูของพระคริสต์จำเป็นต้องแอบเอายาพิษให้พวกเขามากแค่ไหน?  หากศัตรูของพระคริสต์ชำแหละตัวเองและได้รู้จักตัวเองอยู่เนืองนิจ และทำให้ความอ่อนแอ ข้อผิดพลาด และการฝ่าฝืนของตนเป็นที่รู้กันทั่วในที่สาธารณะให้ผู้คนได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เช่นนั้นทุกคนจะยังเคารพบูชาพวกเขาเช่นนี้อยู่หรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด  ดูเหมือนว่าศัตรูของพระคริสต์ทุ่มเทความพยายามมากมายให้กับการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงประสบ “ความสำเร็จ” เช่นนั้น  นี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการ  หากปราศจากพวกเขา คงจะไม่มีใครรู้วิธีทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม และทุกคนคงจะประสบความสูญเสียโดยสิ้นเชิง  เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าศัตรูของพระคริสต์แอบเอายาพิษมากมายให้พวกเขาและทุ่มเทความพยายามมากมายในขณะที่ควบคุมคนเหล่านี้!  หากพวกศัตรูของพระคริสต์พูดเพียงแค่ไม่กี่คำ คนเหล่านี้จะยังถูกพวกศัตรูของพระคริสต์ตีกรอบเช่นนี้อยู่หรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด  เมื่อศัตรูของพระคริสต์สัมฤทธิ์เป้าหมายของตนในการที่จะทำให้ผู้คนเคารพบูชาพวกเขา และยกย่องบูชาพวกเขา และใส่ใจพวกเขาในทุกเรื่องได้สำเร็จ เมื่อนั้นพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมายและกล่าวคำพูดมากมายที่ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองไปแล้วหรอกหรือ?  จุดจบที่พวกเขาสัมฤทธิ์จากการทำเช่นนี้เป็นอย่างไร?  นั่นก็คือว่าผู้คนคงจะขาดพร่องเส้นทางและไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยปราศจากพวกศัตรูของพระคริสต์—ราวกับท้องฟ้าคงจะถล่มและแผ่นดินโลกคงจะหยุดหมุนหากปราศจากพวกศัตรูของพระคริสต์ และการเชื่อในพระเจ้าคงจะไม่มีคุณค่าหรือความหมายอันใด และการรับฟังคำเทศนาคงจะไร้ประโยชน์  แต่นั่นก็คือว่าผู้คนรู้สึกว่าตนมีความหวังในชีวิตอยู่บ้างเช่นกันหากศัตรูของพระคริสต์วนเวียนอยู่ใกล้ๆ และคงจะสูญสิ้นความหวังทั้งหมดหากศัตรูของพระคริสต์จะตายไป  คนเหล่านี้ยังไม่ถูกซาตานจับเป็นเชลยแล้วหรอกหรือ?  (พวกเขาถูกซาตานจับเป็นเชลยแล้ว)  แล้วคนเช่นนี้ไม่สมควรกับเรื่องดังกล่าวหรอกหรือ?  (พวกเขาสมควรกับเรื่องดังกล่าว)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าพวกเขาสมควรกับเรื่องดังกล่าว?  พระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่เจ้าเชื่อ แล้วเหตุใดเจ้าจึงเคารพบูชาและติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์ ปล่อยให้พวกเขาตีกรอบและควบคุมเจ้าในทุกโอกาส?  นอกจากนี้ ไม่ว่าคนเราทำหน้าที่อะไร พระนิเวศของพระเจ้าได้จัดเตรียมหลักธรรมและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนไว้ให้ผู้คนแล้ว  หากมีความลำบากยากเย็นที่คนเราไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง พวกเขาควรแสวงหาจากคนที่เข้าใจความจริง และแสวงหาจากเบื้องบนในเรื่องที่ร้ายแรงมากกว่า  แต่ไม่เพียงแต่เจ้าไม่แสวงหาความจริงเท่านั้น ในทางกลับกัน เจ้าเคารพบูชาและยกย่องบูชาผู้คน เชื่อในสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้พูด  ดังนั้นเจ้าจึงได้กลายเป็นขี้ข้าของซาตาน แล้วเจ้าย่อมจะได้แต่โทษตัวเองเท่านั้นมิใช่หรือ?  เจ้าไม่สมควรกับสิ่งนี้หรอกหรือ?  การยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองเป็นพฤติกรรมและการสำแดงที่มีร่วมกันท่ามกลางพวกศัตรูของพระคริสต์ และเป็นการสำแดงที่พบมากที่สุดอย่างหนึ่ง  ลักษณะเฉพาะหลักเกี่ยวกับวิธีที่พวกศัตรูของพระคริสต์ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองเป็นอย่างไร?  วิธีดังกล่าวของพวกศัตรูของพระคริสต์แตกต่างจากวิธีที่บุคคลปกติทั่วไปยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองในหนทางใด?  นั่นก็คือว่าพวกศัตรูของพระคริสต์มีความตั้งใจของตนเองเบื้องหลังการกระทำนี้ และแน่นอนที่สุดว่าไม่ได้ทำเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัว  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเก็บงำความตั้งใจ ความอยาก และความทะเยอทะยานเอาไว้ และผลที่ตามมาจากการที่พวกเขาให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองในหนทางนี้น่าสยดสยองเกินกว่าจะใคร่ครวญได้—พวกเขาสามารถควบคุมผู้คนและชักพาผู้คนให้หลงผิด

เราขอยกตัวอย่างสักหนึ่งเรื่อง  พวกเจ้าสามารถคิดตามว่าการสำแดงและอุปนิสัยแบบนี้เกี่ยวข้องกับการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองหรือไม่?  ครั้งหนึ่งมีผู้นำคนหนึ่งที่ทำงานของคริสตจักร ณ สถานที่เฉพาะแห่งหนึ่งเป็นเวลาสองหรือสามปี  เขาได้เดินท่ามกลางคริสตจักร จากนั้นในท้ายที่สุดเขาก็ตั้งรกรากที่นั่น  การที่เขาตั้งรกรากหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าคนส่วนใหญ่รู้จักเขาและยกย่องนับถือเขา และเขาค่อนข้างเป็นที่รู้จักในสถานที่นั้น  ทันทีที่ผู้คนเห็นเขา พวกเขาจะต้อนรับเขา เสนอที่นั่งของตนให้กับเขา และมอบบางสิ่งที่ดีให้เขากิน  ไม่มีเสียงที่เห็นต่าง ไม่มีคนที่ต่อต้านเขา ทุกคนค่อนข้างคุ้นเคยกับผู้นำคนนี้ และลึกลงไปแล้วพวกเขาล้วนค่อนข้างเห็นชอบกับวิธีที่เขาทำสิ่งทั้งหลายและยอมรับความเป็นผู้นำของเขา  ผู้นำคนนี้ทำงานที่นั่นมากแค่ไหน เขาพูดมากแค่ไหน หรือเขาพูดถึงสิ่งใดเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน รายละเอียดเหล่านี้ไม่เป็นที่รู้จัก แต่โดยสรุปสั้นๆ ก็คือ คนส่วนใหญ่ค่อนข้างเห็นชอบกับความเป็นผู้นำของเขา  หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผู้นำคนนี้ก็พูดว่า “พี่น้องชายหญิงที่นี่ล้วนเชื่อฟังและนบนอบ และสิ่งทั้งหลายก็กำลังเป็นไปด้วยดีในคริสตจักรด้วยประการทั้งปวง  น่าเสียดายที่มีสิ่งหนึ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจโดยครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งก็คือ สภาพแวดล้อมที่นี่เลวร้าย  หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม พวกเราคงจะไปที่สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในวันดีๆ และแดดดีเพื่อจัดการชุมนุมขนาดใหญ่โดยมีคนหลายพันคนเข้าร่วม และพวกเราก็คงจะปลดปล่อยความจริงโดยใช้ไมโครโฟนและชุดลำโพงขนาดใหญ่ และให้คนจำนวนมากขึ้นเชื่อในพระเจ้า  เมื่อนั้นงานของพวกเราจะไม่เกิดผลหรอกหรือ?”  หลังจากได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็พูดว่า “อาเมน” และเห็นชอบกับเรื่องนี้  จงบอกเราที มีปัญหาหรือไม่กับวลีที่ว่า “พวกเราก็คงจะปลดปล่อยความจริง”?  (มี)  อะไรคือปัญหา?  (ผู้นำคนนี้กำลังปฏิบัติต่อตัวเองดังเช่นพระเจ้า)  พวกเจ้าล้วนรับรู้ว่ามีปัญหากับเรื่องนี้ แต่คนที่เลอะเลือนซึ่งอยู่ที่นั่นไม่ได้รับรู้  พวกเขาถึงขั้นตอบกลับประโยคนี้ด้วยคำว่า “อาเมน”!  ผู้นำคนนี้ปลดปล่อยความจริงหรือไม่?  เขาเป็นใคร?  เขาเป็นผู้นำธรรมดา เขาทำงานไม่กี่ปีจากนั้นก็เริ่มคิดว่าเขาเหนือกว่าทุกคนและลืมไปว่าเขาเป็นใคร และถึงขั้นต้องการแสดงความจริง—สำหรับเขาแล้วนั่นคงจะเป็นงานยากที่จะทำให้สำเร็จ  เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นสิ่งใด?  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และไม่รู้ว่าเขากำลังทำหน้าที่ใดอยู่  เนื่องจากเขามีอุปนิสัยแบบนี้ งานหรือการพูดตามปกติของเขามีส่วนใดเป็นไปตามความจริงหรือไม่?  งานหรือการพูดตามปกติของเขาแน่นอนว่าเต็มไปด้วยคำพูดที่เลอะเลือนและคำพูดเยี่ยงมาร และไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์จากการให้น้ำและจัดเตรียมให้กับคริสตจักรอย่างแน่นอนที่สุด  เขาไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร นับประสาอะไรที่จะรู้ว่าการแสดงความจริงหมายความว่าอย่างไร  หลังจากทำงานที่ไหนสักแห่งแค่สองหรือสามปี เขาก็รู้สึกว่ามีเกียรติยศและเงินทุนเล็กน้อย แล้วเขาก็ลืมไปว่าเขาเป็นใคร รู้สึกค่อนข้างดีเกี่ยวกับตัวเอง และต้องการแสดงความจริง  การมีความเข้าใจผิดเช่นนี้ไม่น่าขยะแขยงหรอกหรือ?  ความเข้าใจผิดนี้มาจากไหน?  เขามีความผิดปกติทางจิตใจหรือไม่ หรือนี่เป็นแรงผลักดันชั่วขณะ?  เขาทำงานเล็กน้อย ไม่มีใครในคริสตจักรในท้องถิ่นต่อต้านเขา และทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับเขา ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลลัพธ์มาจากงานที่เขาทำ และจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเขาสามารถได้รับความเชื่อถือจากเรื่องนี้  เขาคิดว่า “หากฉันสามารถทำงานที่มีนัยสำคัญดังกล่าวได้ ฉันไม่ใช่พระเจ้าหรอกหรือ?  และหากฉันเป็นพระเจ้า เช่นนั้นฉันก็ถูกสกัดกั้นอย่างเลวร้ายอยู่ในขณะนี้—หากสภาพแวดล้อมภายนอกดีกว่านี้ ฉันก็อาจแสดงความจริงได้!”  ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิดของเขาอย่างฉับพลันทันที  ไม่มีบางสิ่งผิดปกติกับความคิดของเขาหรอกหรือ?  (มี)  มีบางสิ่งผิดปกติกับความคิดของเขา  เขาขาดพร่องเหตุผลหรือไม่?  การกระทำและคำพูดของซาตานกับพวกศัตรูของพระคริสต์สามารถมีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้หรือไม่?  ไม่สามารถมีได้อย่างแน่นอนที่สุด  ผู้นำคนนี้ทำงานเล็กน้อยและได้รับผลลัพธ์บางอย่าง จากนั้นจู่ๆ ก็ลืมไปว่าเขาเป็นมนุษย์  การที่เขาสามารถพูดโพล่งคำพูดที่ไม่มีเหตุผลดังกล่าวออกมาไม่สัมพันธ์กับอุปนิสัยของเขาหรอกหรือ?  (สัมพันธ์)  สัมพันธ์อย่างไร?  ภายในอุปนิสัยของเขา เขาเต็มใจที่จะเป็นผู้ติดตามหรือไม่?  เขารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นเพียงผู้ติดตามพระเจ้าธรรมดาเท่านั้น?  แน่นอนที่สุดว่าเขาไม่รู้  เขาเชื่อว่าสถานะและอัตลักษณ์ของเขาน่านับถือและเหนือกว่าผู้อื่นทุกคนเหลือเกิน  พวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับพฤติกรรมแบบนี้และธรรมชาติของพฤติกรรมแบบนี้ใช่ไหม?  เหตุใดซาตานจึงถูกโยนลงกลางเวหา?  (มันต้องการที่จะอยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้า)  นั่นก็คือว่ามันต้องการที่จะอยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้า  เพราะซาตานไม่รู้ที่ของมันในจักรวาล ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร และไม่รู้เกณฑ์ประเมินของมันเอง เมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานเดินในพื้นที่เดียวกับพระองค์ ซาตานก็เริ่มคิดว่ามันเป็นพระเจ้า  มันต้องการทำสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงทำ มันต้องการเป็นตัวแทนพระองค์ แทนที่พระองค์ และปฏิเสธการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ และผลลัพธ์ก็คือ มันถูกโยนลงกลางเวหา  พวกศัตรูของพระคริสต์ทำเรื่องแบบเดียวกัน ธรรมชาติของการกระทำของพวกเขาเป็นอย่างเดียวกัน และพวกเขาก็มีต้นตอเดียวกับซาตาน  สำหรับศัตรูของพระคริสต์ การสำแดงเช่นนั้นไม่ใช่การเผยเป็นครั้งคราวหรือผลลัพธ์จากความคิดชั่วแล่น—แน่นอนที่สุดว่านี่เป็นการครอบงำของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาและการเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาตามธรรมชาติ  ธรรมชาติของการสำแดงของผู้นำที่เราเพิ่งพูดถึงเป็นอย่างไร?  (นั่นก็คือธรรมชาติของการสำแดงของศัตรูของพระคริสต์)  เหตุใดพวกเราจึงเสวนาการสำแดงนี้สำหรับประการเกี่ยวกับการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง?  ธรรมชาติของการสำแดงนี้เกี่ยวข้องกับการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองอย่างไร?  ธรรมชาติของคำว่า “ปลดปล่อยความจริง” ที่เขาพูดเป็นอย่างไร?  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าคำพูดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง?  (ผู้นำคนนี้เชื่อว่าเขาสามารถจัดเตรียมความจริงให้กับผู้คนได้)  เขาหมายความว่าอย่างนั้นนั่นเอง  เมื่อเขาพูดสิ่งทั้งหลายดังกล่าว คนที่ได้ยินเขาก็คิดว่า “คุณมีกิริยามารยาทที่น่าประทับใจจริงๆ และคุณก็สามารถพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นได้—นี่ไม่ใช่น้ำเสียงประเภทที่พระเจ้าควรตรัสหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่กิริยามารยาทที่น่าประทับใจและความใจกว้างประเภทที่พระเจ้าควรทรงมีหรอกหรือ?”  ผู้นำคนนี้ไม่ได้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองหรอกหรือ?  เขาได้ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกถึงความนับถือ การเคารพบูชา และความเลื่อมใสที่มีต่อเขาโดยไม่รู้ตัว  ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  (ใช่)  นี่คือรูปลักษณ์อันน่าเกลียดน่ากลัวของศัตรูของพระคริสต์ นี่คือศัตรูของพระคริสต์ที่แอบยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง

มีการสำแดงอื่นใดถึงการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าล้วนควรทบทวนตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้  พวกเจ้าจะทำสิ่งที่เป็นการให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองหรือไม่?  เจ้าสามารถถูกยับยั้งด้วยมโนธรรมและเหตุผลและป้องกันไม่ให้ตัวเองทำสิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียเช่นนั้นได้หรือไม่?  หากเจ้าสามารถยับยั้งตัวเองได้ เช่นนั้นนี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ามีความมีเหตุผล เจ้าแตกต่างจากพวกศัตรูของพระคริสต์  หากเจ้าไม่มีความมีเหตุผลนี้ และเจ้ามีความทะเยอทะยานและความอยากประเภทเหล่านี้ และยังสามารถทำสิ่งที่เป็นการให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองอีกด้วย เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นอย่างเดียวกับศัตรูของพระคริสต์  แล้วกรณีของพวกเจ้าเป็นอย่างไร?  พวกเจ้ากระทำการด้วยความยับยั้งชั่งใจหรือไม่?  หากเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า สำนึกละอายแก่ใจ และความมีเหตุผล เช่นนั้นแม้เจ้าปรารถนาที่จะทำสิ่งเหล่านี้ เจ้าย่อมจะคิดว่าพระเจ้าจะทรงเกลียดสิ่งเหล่านี้และสิ่งเหล่านี้จะล่วงเกินพระองค์ และเมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้และจะไม่อาจหาญที่จะให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง  หากเจ้ายับยั้งชั่งใจตัวเองครั้งหนึ่งแล้วก็เป็นสองครั้ง หลังจากผ่านไปสักพักแนวคิดเหล่านี้ เจตนารมณ์และความคิดเหล่านี้ ย่อมจะเริ่มที่จะลดน้อยถอยลงอย่างช้าๆ ไปทีละนิด  เจ้าจะมีวิจารญาณเกี่ยวกับแนวคิดเหล่านี้และรู้สึกว่าแนวคิดเหล่านี้น่าเหยียดหยามและน่าขยะแขยง แรงผลักดันและความอยากของเจ้าที่จะทำสิ่งทั้งหลายดังกล่าวจะลดน้อยถอยลง และเจ้าจะค่อยๆ สามารถบังคับตัวเองและควบคุมตัวเองได้ ถึงระดับที่แนวคิดเหล่านี้จะเกิดขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ อยู่เนืองนิจ  หากเจ้าตระหนักรู้ถึงแนวคิดเหล่านี้แต่ไม่สามารถยังยั้งตัวเองได้ และเจ้าเก็บงำความตั้งใจที่แรงกล้าเป็นพิเศษ แค่ต้องการที่จะทำให้ผู้คนเคารพบูชาเจ้า และเจ้ารู้สึกไม่พึงพอใจหากไม่มีใครเคารพบูชาเจ้าหรือติดตามเจ้า และกลายเป็นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และต้องการทำบางสิ่ง และสามารถให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองและโอ้อวดได้อย่างไม่มีหลักศีลธรรม—เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นศัตรูของพระคริสต์  กรณีของพวกเจ้าเป็นอย่างไร?  (เมื่อข้าพระองค์ตระหนักรู้ถึงแนวคิดเหล่านี้ ข้าพระองค์สามารถยับยั้งตัวเองได้)  เจ้าพึ่งพาสิ่งใดเพื่อยับยั้งตัวเอง?  (ข้าพระองค์พึ่งพาการมีความรู้บางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าและการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า)  หากคนเรามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาย่อมสามารถยับยั้งชั่งใจได้  การยับยั้งชั่งใจไม่ได้สัมฤทธิ์ด้วยการหน่วงเหนี่ยวตัวเองหรือขัดขวางตัวเอง แต่กลับเป็นผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์ผ่านทางการเข้าใจความจริงและยำเกรงพระเจ้า  คนเรายับยั้งตัวเองผ่านทางความมีเหตุผลและความคิดอ่าน และในเวลาเดียวกันคนเราก็ยับยั้งตัวเองเพราะตนมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเล็กน้อยและหวาดกลัวว่าจะล่วงเกินพระองค์  หากความมีเหตุผลของเจ้าไม่สามารถยับยั้งเจ้าได้ และเจ้าก็ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอีกด้วย และหากเจ้าไม่รู้สึกถึงความละอายแก่ใจเมื่อให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองและปรารถนาที่จะยืนกรานในการทำเช่นนั้น ไม่ละทิ้งจนกว่าเจ้าจะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของเจ้า เช่นนั้นธรรมชาติของการนี้ย่อมแตกต่างออกไป—เจ้าย่อมเป็นศัตรูของพระคริสต์

กลวิธีและการสำแดงต่างๆ ซึ่งพวกศัตรูของพระคริสต์มีสำหรับการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองมีสารพัดสารพัน  บางอย่างเกี่ยวข้องกับการที่พวกศัตรูของพระคริสต์ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองโดยตรง รวมทั้งพูดถึงคุณความดีทั้งหมดของพวกเขา ในขณะที่อย่างอื่นเกี่ยวข้องกับการที่พวกเขาหาทางที่จะใช้การใช้คำหรือวิธีการทางอ้อมเพื่อทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขาและสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการให้ผู้คนยกย่องบูชา เคารพบูชา และติดตามพวกเขา และแม้กระทั่งยึดครองที่ในหัวใจของผู้คน—นี่เป็นธรรมชาติของพฤติกรรมดังกล่าว  อุปนิสัยของการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองของพวกศัตรูของพระคริสต์แตกต่างจากอุปนิสัยดังกล่าวของผู้คนธรรมดาสามัญในแง่ของธรรมชาติของอุปนิสัยดังกล่าว จุดจบที่อุปนิสัยดังกล่าวส่งผลให้เกิด ตลอดจนหนทางที่อุปนิสัยดังกล่าวสำแดงออกมา รวมทั้งเจตนารมณ์และจุดมุ่งหมายที่เป็นรากฐานของอุปนิสัยดังกล่าว  ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองเพียงแค่พูดถึงคุณความดีทั้งหมดของตนหรือไม่?  บางครั้งพวกเขาก็พูดถึงด้านที่ไม่ดีของตนด้วย แต่ในเวลาที่พวกเขาทำเช่นนี้พวกเขากำลังชำแหละและพยายามที่จะรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงอยู่หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นคนเราค้นพบอย่างไรว่าการรู้จักตัวเองของตนไม่แท้จริง แต่กลับมีการปลอมปนและมีความตั้งใจเบื้องหลังเรื่องนี้?  คนเราสามารถเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ้วนทั่วได้อย่างไร?  จุดสำคัญในที่นี้ก็คือในเวลาเดียวกับที่พวกเขากำลังพยายามที่จะรู้จักตัวเองและเปิดโปงความอ่อนแอ ข้อตำหนิ ข้อบกพร่อง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอยู่นั้น พวกเขาก็กำลังมองหาข้ออ้างและเหตุผลที่จะปลดเปลื้องตัวเองจากความรู้สึกผิดด้วยเช่นกัน  พวกเขาแอบบอกกับผู้คนว่า “ทุกคนสามารถทำความผิดพลาดได้ ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้น  พวกคุณล้วนสามารถทำความผิดพลาดได้เช่นกัน  ความผิดพลาดที่ฉันทำไปนั้นเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้ นั่นเป็นความผิดพลาดเล็กน้อย  หากพวกคุณทำความผิดพลาดเดียวกันนี้ นั่นคงจะเป็นกรณีที่รุนแรงว่าของฉันมากมาย เพราะพวกคุณคงจะไม่ทบทวนและชำแหละตัวเอง  แม้ฉันทำความผิดพลาด แต่ฉันก็ดีกว่าพวกคุณๆ ทั้งหลายอีกทั้งมีความมีเหตุผลและความสัตย์ซื่อมากกว่า”  เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็คิดว่า “คุณพูดถูกโดยแท้  คุณเข้าใจความจริงมากมาย และมีวุฒิภาวะจริงๆ  เมื่อคุณทำความผิดพลาด คุณสามารถทบทวนและชำแหละตัวเองได้ คุณดีกว่าที่พวกเราเป็นมากมาย  หากพวกเราทำความผิดพลาด พวกเราไม่ทบทวนและไม่พยายามที่จะรู้จักตัวเอง และพวกเราก็ไม่อาจหาญที่จะชำแหละตัวเองด้วยความกลัวที่จะอับอาย  คุณมีวุฒิภาวะและความกล้ามากกว่าพวกเรา”  คนเหล่านี้ทำความผิดพลาดแต่พวกเขาก็ยังคงได้รับการเคารพนับถือจากผู้อื่นและขับร้องสรรเสริญตนเอง—นี่เป็นอุปนิสัยแบบใด?  พวกศัตรูของพระคริสต์บางคนเก่งกาจเป็นพิเศษในการเสแสร้ง ฉ้อโกงผู้คน และเสแสร้งปั้นฉากหน้า  เมื่อพวกเขาเผชิญกับคนที่เข้าใจความจริง พวกเขาก็เริ่มพูดถึงการรู้จักตัวเองของตน และยังพูดอีกด้วยว่าพวกเขาเป็นมารและซาตาน ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่ดี และพวกเขาคู่ควรกับการถูกสาปแช่ง  สมมติว่าเจ้าถามพวกเขาว่า “ในเมื่อคุณพูดว่าคุณเป็นมารและซาตาน คุณได้กระทำความชั่วใดหรือ?”  พวกเขาจะพูดว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ฉันเป็นมาร  และฉันก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่มาร ฉันยังเป็นซาตานด้วย!”  จากนั้นเจ้าก็ถามพวกเขาว่า “ในเมื่อคุณพูดว่าคุณเป็นมารและซาตาน คุณได้ทำการกระทำชั่วใดของมารและซาตาน และคุณได้ขัดขืนพระเจ้าอย่างไร?  คุณบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ชั่วร้ายที่คุณได้ทำได้หรือไม่?”  พวกเขาจะพูดว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรที่ชั่วร้ายเลย!”  จากนั้นเจ้าก็รุกต่อไปแล้วถามว่า “หากคุณไม่เคยทำอะไรที่ชั่วร้ายเลย เช่นนั้นเหตุใดคุณจึงพูดว่าคุณเป็นมารและซาตาน?  คุณกำลังพยายามที่จะสัมฤทธิ์สิ่งใดโดยการพูดเช่นนี้?” เมื่อเจ้าจริงจังกับพวกเขาขึ้นมาเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะไม่มีอะไรจะพูด  ที่จริงแล้ว พวกเขาได้ทำสิ่งที่ไม่ดีมากมาย แต่แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาจะไม่แบ่งปันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้กับเจ้า  พวกเขาก็แค่จะพูดคุยโตบ้างและพ่นคำสอนบางอย่างเพื่อพูดถึงการรู้จักตัวเองของตนในลักษณะที่กลวงเปล่า  เมื่อเป็นเรื่องของวิธีที่พวกเขาดึงผู้คนเข้ามาเป็นพิเศษ หลอกลวงผู้คน ใช้ประโยชน์จากผู้คนตามความรู้สึกของพวกเขา ล้มเหลวที่จะจริงจังกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ต่อต้านการจัดการเตรียมการงาน หลอกลวงเบื้องบน ปกปิดสิ่งทั้งหลายจากพี่น้องชายหญิง รวมทั้งพวกเขาสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ามากแค่ไหน พวกเขาจะไม่พูดสักคำเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเหล่านี้  นี่ใช่การรู้จักตัวเองที่แท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  ในการพูดว่าพวกเขาเป็นมารและซาตานนั้น พวกเขาไม่ได้กำลังแสร้งทำเป็นรู้จักตัวเองเพื่อที่จะยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่วิธีการที่พวกเขาใช้หรอกหรือ?  (ใช่)  บุคคลปกติทั่วไปไม่สามารถมองวิธีการนี้ออก  เมื่อผู้นำบางคนถูกปลด พวกเขาได้รับเลือกอีกครั้งไม่นานหลังจากนั้น และเมื่อเจ้าถามเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ บางคนก็พูดว่า “ผู้นำคนนั้นมีขีดความสามารถดี  พวกเขารู้ว่าพวกเขาเป็นมารและซาตาน  มีใครอีกไหมที่มีความรู้ระดับเช่นนั้น?  มีเพียงผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงเท่านั้นที่มีความรู้ที่ว่านั้น  ไม่มีใครในพวกเราสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวเองที่ว่านั้น บุคคลปกติทั่วไปไม่มีวุฒิภาวะที่ว่านั้น  ด้วยเหตุผลนี้ ทุกคนจึงคัดสรรพวกเขาอีกครั้ง”  เกิดอะไรขึ้นตรงนี้?  คนเหล่านี้ถูกชักพาให้หลงผิดไปแล้ว  ผู้นำคนนี้รู้ว่าตนเป็นมารและซาตานแต่ก็ยังได้รับคัดสรรจากทุกคน แล้วการที่พวกเขาพูดว่าพวกเขาเป็นมารและซาตานมีผลกระทบและผลที่ตามมาแบบใดกับผู้คน?  (นั่นทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา)  ถูกต้อง นั่นทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขามากขึ้น  ผู้ไม่มีความเชื่อเรียกวิธีการนี้ว่า “การล่าถอยเพื่อก้าวไปข้างหน้า”  นี่หมายความว่าเพื่อที่จะให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขามากขึ้น ก่อนอื่นพวกเขาจะพูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่าพวกเขาสามารถเปิดใจและรู้จักตัวเอง พวกเขามีความลึกซึ้งและความรู้ความเข้าใจเชิงลึก รวมทั้งการเข้าใจอันลุ่มลึก และเพราะการนี้ทุกคนจึงเคารพบูชาพวกเขามากขึ้น  แล้วผลลัพธ์จากการที่ทุกคนเคารพบูชาพวกเขามากขึ้นเป็นอย่างไร?  เมื่อถึงเวลาอีกครั้งที่จะคัดสรรผู้นำ พวกเขาก็ยังคงได้รับการพิจารณาว่าเป็นบุคคลที่เพียบพร้อมสำหรับบทบาทนี้  วิธีการนี้ไม่ค่อนข้างฉลาดแยบยลหรอกหรือ?  หากพวกเขาไม่ได้พูดถึงการรู้จักตัวเองของตนเช่นนี้และไม่ได้พูดว่าพวกเขาเป็นมารและซาตาน แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับแค่คิดลบ เมื่อผู้อื่นได้เห็นเรื่องนี้ พวกเขาคงจะพูดว่า “ทันทีที่คุณถูกปลดและสูญเสียสถานะของคุณ คุณก็กลายเป็นคิดลบ  คุณเคยสอนพวกเราไม่ให้คิดลบ และตอนนี้ความคิดลบของคุณรุนแรงกว่าของพวกเราด้วยซ้ำ  พวกเราจะไม่คัดสรรคุณ”  จะไม่มีใครยกย่องบูชาผู้นำคนนี้  แม้ทุกคนจะยังคงขาดพร่องวิจารณญาณเกี่ยวกับพวกเขา อย่างน้อยที่สุดทุกคนก็จะไม่คัดสรรพวกเขาให้เป็นผู้นำอีก และคนคนนี้จะไม่สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตนในการให้ผู้อื่นยกย่องบูชาเขา  แต่ผู้นำคนนี้มีความคิดริเริ่ม โดยพูดว่า “ฉันเป็นมารและซาตาน พระเจ้าอาจทรงสาปแช่งฉันและส่งฉันไปยังนรกระดับสิบแปดและไม่อนุญาตให้ฉันเกิดใหม่ไปชั่วกัลปาวสาน!”  เมื่อได้ยินเช่นนี้บางคนก็รู้สึกสงสารพวกเขาและพูดว่า “ผู้นำของพวกเราทนทุกข์มามากมาย  โอ พวกเขาช่างถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ!  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้พวกเขาเป็นผู้นำ เช่นนั้นพวกเราก็จะเลือกพวกเขา”  ทุกคนสนับสนุนผู้นำคนนี้ถึงระดับเช่นนั้น แล้วพวกเขาไม่ได้ถูกชักพาให้หลงผิดไปแล้วหรอกหรือ?  ความตั้งใจเดิมจากคำพูดของพวกเขาได้รับการยืนยันแล้ว เป็นการพิสูจน์ว่าจริงๆ แล้วพวกเขากำลังชักพาผู้คนให้หลงผิดในหนทางนี้  บางครั้งซาตานก็ชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยการ ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง และบางครั้งมันสามารถยอมรับความผิดพลาดของมันอ้อมๆ เมื่อมันไม่มีทางเลือกอื่น แต่นั่นล้วนเป็นฉากหน้า และจุดมุ่งหมายของมันคือการได้รับความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจจากผู้คน  มันจะพูดด้วยซ้ำว่า “ไม่มีใครเพียบพร้อม  ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและทุกคนสามารถทำความผิดพลาดได้  ตราบที่คนเราสามารถแก้ไขความผิดพลาดของตนได้ พวกเขาย่อมเป็นคนดี”  เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนี้พวกเขาก็รู้สึกเรื่องนี้ถูกต้อง และยังคงเคารพบูชาและติดตามซาตานต่อไป  วิธีการของซาตานคือการยอมรับความผิดพลาดของมันอย่างกระตือรือร้น และแอบยกย่องตัวมันเองและยกฐานะของมันในหัวใจของผู้คน เพื่อที่ผู้คนจะได้ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมัน—แม้กระทั่งข้อผิดพลาดของมัน—จากนั้นจึงให้อภัยข้อผิดพลาดเหล่านี้ ค่อยๆ ลืมข้อผิดพลาดเหล่านี้ไป และในท้ายที่สุดก็ยอมรับซาตานอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นจงรักภักดีต่อมันจนตาย ไม่ทิ้งหรือทอดทิ้งมันเป็นอันขาด และติดตามมันจนถึงที่สุด  นี่ไม่ใช่วิธีการในการทำสิ่งทั้งหลายของซาตานหรอกหรือ?  นี่คือวิธีที่ซาตานกระทำการ และพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ใช้วิธีการแบบนี้เมื่อพวกเขากระทำการเพื่อที่จะลุล่วงความทะเยอทะยานและจุดมุ่งหมายของตนในการให้ผู้คนเคารพบูชาและติดตามพวกเขาอีกด้วย  ผลที่ตามมาจากการนี้เป็นอย่างเดียวกัน และไม่แตกต่างจากผลที่ตามมาจากการที่ซาตานชักพาผู้คนให้หลงผิดและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามแม้แต่น้อย

เมื่อบางคนพูดถึงการรู้จักตัวเองของตน พวกเขาจงใจนำเสนอตัวเองว่าเป็นความยุ่งเหยิงไปหมดและเป็นคนไม่เอาไหน ถึงขั้นพูดว่าพวกเขาเป็นมารและซาตาน พวกเขาคู่ควรกับการถูกสาปแช่ง และพวกเขาจะไม่พร่ำบ่นหากพระเจ้าทรงกำจัดพวกเขาออกไป  อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับแก่นแท้ธรรมชาติหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และพวกเขาก็ไม่สามารถแบ่งปันสิ่งใดเกี่ยวกับรูปการณ์แวดล้อมที่แท้จริงของตนเลย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับพยายามที่จะใช้ฉากหน้าเพื่อชักพาผู้อื่นให้หลงผิด และใช้วิธีการและกลวิธีต่างๆ ในการยอมรับความผิดพลาดของตนอย่างกระตือรือร้นและ “ล่าถอยเพื่อก้าวไปข้างหน้า” เพื่อตบตาและหลอกลวงผู้คน จากนั้นจึงให้ผู้คนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับพวกเขาในทางที่ดี  นี่คือการปฏิบัติของพวกศัตรูของพระคริสต์  คราวหน้าที่พวกเจ้าเผชิญกับใครบางคนเช่นนี้ พวกเจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  (มองลึกลงไปในรายละเอียด)  ถูกต้อง พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะสืบค้นประเด็นปัญหานี้และมองลึกลงไปในรายละเอียด  แล้วพวกเจ้าควรสาวให้ลึกเพียงใด?  จงสาวลึกจนกว่าพวกเขาจะร้องขอความกรุณาและพูดว่า “ฉันจะไม่มีวันชักพาพวกคุณให้หลงผิดอีก  ต่อให้พวกคุณเลือกฉันเป็นผู้นำของพวกคุณ ฉันก็จะไม่เข้ารับบทบาทนั้น”  จงพูดกับพวกเขาว่า “พวกเราจะไม่มีวันถูกคุณชักพาให้หลงผิดหรือเลือกคุณเป็นผู้นำของพวกเราอีก ดังนั้นเลิกฝันไปได้เลย!”  ฟังดูเป็นอย่างไร?  พวกที่พูดถึงการรู้จักตัวเองของตนเกินจริงมาก และถึงขั้นสาปแช่งตัวเอง โดยการรู้จักตัวเองดังกล่าวไม่มีอันใดเลยที่ฟังดูแท้จริงแต่อย่างใด ล้วนเป็นคนหน้าซื่อใจคดและเป็นฝ่ายวิญญาณอย่างเทียมเท็จ และคำพูดทั้งหมดของพวกเขาก็ชักพาให้หลงผิด  มีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งและรายละเอียดเล็กน้อยเกี่ยวกับการพูดของผู้คนดังกล่าวที่เจ้าต้องสามารถแยกแยะได้  ตัวอย่างเช่น จงบอกเราที หากคนเราได้รับการร้องขอให้เขียนปฏิญญาสำหรับการเก็บรักษาของถวาย ประโยคแรกของปฏิญญานี้ควรกล่าวว่าอย่างไร?  คนที่มีความมีเหตุผลและความเป็นมนุษย์ควรเขียนอะไร?  พวกเขาจะใช้น้ำเสียงและการใช้ถ้อยวลีแบบใดเพื่อยืนในตำแหน่งที่ถูกควรและทำให้ท่าทีของพวกเขาเป็นที่รู้จัก?  เวลาที่บุคคลธรรมดาสามัญพูด ทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่าพวกเขากำลังพูดตามปกติ แต่ลูกหลานผู้ทะเยอทะยานของคนชั่วหรือพวกศัตรูของพระคริสต์มีน้ำเสียงเฉพาะเวลาที่พวกเขาพูด ซึ่งแตกต่างจากน้ำเสียงของบุคคลปกติทั่วไป  ตัวอย่างเช่น พวกเขาพูดว่า “หากฉันซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่รู้ชื่อยักยอกของถวายของพระเจ้าเป็นเงินหนึ่งสตางค์ ขอให้ฉันตายอย่างอนาถ—ขอให้ฉันถูกรถชน!”  นี่คือน้ำเสียงแบบใด?  พวกเขาเริ่มต้นด้วยคำว่า “ฉัน” เป็นการใช้น้ำเสียงที่ฟังดูสูงส่งที่สุด—แรงจูงใจเบื้องหลังน้ำเสียงและลักษณะการพูดของพวกเขาสามารถสังเกตเห็นได้ในคำพูดตามตัวอักษรที่พวกเขาใช้  คำแรกคือ “ฉัน”—พวกเขาใช้น้ำเสียงที่ฟังดูสูงส่งที่สุด รวมทั้งเสียงสูงเช่นนั้น—นี่ไม่ใช่ปฏิญญาที่ฟังดูสูงส่งหรอกหรือ?  ปฏิญญาแบบนี้เรียกว่าอะไร?  เรียกว่าฟังดูสูงส่งและหน้าซื่อใจคด  การเขียนปฏิญญาด้วยความก้าวร้าวดังกล่าว—นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่คือปฏิญญา แล้วเจ้ากำลังให้ปฏิญญานี้กับใคร?  เจ้ากำลังให้ปฏิญญานี้กับพระเจ้า แล้วบุคคลปกติธรรมดาควรพูดอย่างไรในกรณีนี้?  พวกเขาควรพูดอย่างถ่อมใจ ยืนในตำแหน่งที่ถูกควรของตน อธิษฐานถึงพระเจ้า และพูดจากหัวใจ  พวกเขาไม่ควรใช้คำพูดที่ฟังดูสูงส่งหรือแสดงความก้าวร้าว  ผู้คนดังกล่าวก้าวร้าวมากแม้ในยามที่ให้ปฏิญญา—อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขารุนแรงมาก!  เป็นเรื่องยากที่จะกล่าวว่าปฏิญญาของพวกเขาแท้จริงหรือเทียมเท็จ  สิ่งที่พวกเขาหมายถึงก็คือ “คุณไม่วางใจฉันหรือ?  คุณกลัวว่าฉันฉวยประโยชน์จากพระนิเวศของพระเจ้า กลัวว่าฉันขโมยของถวายใช่ไหม?  คุณใช้ฉันแต่ไม่วางใจฉัน และคุณก็ขอให้ฉันให้ปฏิญญา—เช่นนั้นฉันจะให้ปฏิญญา คุณก็แค่คอยดูก็แล้วกันว่าฉันอาจหาญที่จะให้ปฏิญญานี้หรือไม่!  ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะสามารถทำบางสิ่งเช่นนั้นได้”  นี่คือท่าทีแบบใด?  นี่เป็นความก้าวร้าวและความขัดต่อหลักศีลธรรม  พวกเขาถึงขั้นมีความกล้าที่จะทำการเรียกร้องจากพระเจ้า และใช้ปฏิญญาแก้ต่างให้ตัวเองและชักพาผู้คนให้หลงผิด  นี่ใช่การยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  ในเรื่องนี้ไม่มีความศรัทธาแม้แต่น้อย  คนประเภทนี้เป็นซาตานและเป็นศัตรูของพระคริสต์ พวกศัตรูของพระคริสต์พูดอย่างนี้  การให้ปฏิญญาโดยมีการเรียกร้องแฝงอยู่—นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  คนประเภทนี้ยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่?  พวกเจ้าเคยพบคนประเภทนี้มาก่อนหรือไม่?  พวกเจ้าไม่รู้วิธีแยกแยะการสำแดง การเผย หรืออุปนิสัยเหล่านี้ที่พวกเขาแสดงใช่ไหม?  บางคนถึงขั้นเชื่อว่าคนประเภทนี้คิดได้ชัดเจน มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ซื่อสัตย์ และจงรักภักดีต่อพระเจ้า  นี่ไม่โง่เขลาหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่การขาดพร่องวิจารณญาณหรอกหรือ?  พฤติกรรมและอุปนิสัยอันเลวร้ายนี้สามารถเห็นได้ในคำพูดตามตัวอักษรและการใช้ถ้อยวลีในปฏิญญาของพวกเขา แต่ผู้คนก็ยังคงคิดว่าศัตรูของพระคริสต์คนนี้ค่อนข้างดี  คนเหล่านี้เข้าใจความจริงหรือไม่?  ดูเหมือนทั้งหมดที่พวกเจ้าเข้าใจคือคำสอน พวกเจ้าสามารถทำได้เพียงพูดถึงคำสอนและกล่าวถ้อยคำที่ว่างเปล่า และพวกเจ้าไม่รู้จักแยกแยะเมื่อเป็นเรื่องของเรื่องและประเด็นปัญหาเฉพาะ  ในอนาคตหากพวกเจ้าเผชิญกับเรื่องแบบนี้ พวกเจ้าจะรู้จักแยกแยะหรือไม่?  (พวกเราจะรู้จักแยกแยะ)  คนที่เขียนปฏิญญาดังกล่าวล้วนเป็นสัตว์เดรัจฉานและล้วนขาดพร่องความเป็นมนุษย์  พวกเจ้าเคยเห็นปฏิญญาประเภทนี้มาก่อนหรือไม่?  พวกเจ้าเคยเขียนปฏิญญาเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?  (เคย)  ปฏิญญาดังกล่าวมีน้ำเสียงเดียวกันและตอนเริ่มต้นเดียวกันกับปฏิญญานี้หรือไม่?  (ปฏิญญาดังกล่าวไม่ตรงไปตรงมาเท่านี้)  แล้วธรรมชาติของมันเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่?  (เป็นอย่างเดียวกัน)  ธรรมชาติของมันเป็นอย่างเดียวกัน  การให้ปฏิญญาไม่เหมือนกับการเข้าสู่สนามรบ ซึ่งพึงต้องมีจิตวิญญาณแห่งการเสียสละตนเยี่ยงวีรบุรุษ  การให้ปฏิญญาไม่พึงต้องมีจิตวิญญาณแบบนั้น  เมื่อเจ้าให้ปฏิญญากับพระเจ้า เจ้าต้องคิดถึงเรื่องนี้อย่างถ้วนทั่ว และเข้าใจว่าทำไมเจ้าจึงจำเป็นต้องเขียนปฏิญญานี้ และเจ้ากำลังให้ปฏิญญานี้และปฏิญาณนี้กับใคร  สิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์คือท่าทีของคนคนหนึ่ง ไม่ใช่จิตวิญญาณประเภทหนึ่ง  จิตวิญญาณที่ว่าของเจ้านั้นก้าวร้าวและมีลักษณะเรียกร้อง เป็นการสำแดงถึงอุปนิสัยอันโอหังของซาตาน  นั่นไม่ใช่ความศรัทธาและไม่ใช่การสำแดงซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรที่จะมี นับประสาอะไรที่จะเป็นตำแหน่งซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรเข้ารับ  คนที่แสดงการสำแดงนี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากความเป็นวีรบุรุษของชาติหรอกหรือ?  นั่นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่?  ผู้คนถูกวางยาพิษอย่างดิ่งลึกเกินไป—ทันทีที่พวกเขาเขียนปฏิญญาหรือปฏิญาณ พวกเขาก็นึกถึงบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงตลอดหลายยุคหลายสมัยซึ่งจงรักภักดีต่อประเทศและประชากรของตน  บุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแก๊งซาตาน และพวกเขาก็กระทำการอย่างขัดต่อหลักศีลธรรมเพื่อที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นและเป็นพยานให้ตัวเอง และเพื่อที่จะยึดครองที่ในหัวใจของผู้คนและสร้างความมีหน้ามีตาอันดีให้กับตัวเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถได้รับการจดจำว่ามีความสำคัญในประวัติศาสตร์รวมทั้งมีชื่อเสียงที่ดีซึ่งจะคงอยู่ไปชั่วกัลปาวสาน  คนรุ่นถัดๆ มาประเมินว่าเรื่องนี้ก็คือการที่พวกเขามีการอุทิศตนอย่างมืดบอดต่อประเทศของตน เจ้าคิดว่าพวกเขามืดบอดอย่างแท้จริงหรือไม่?  ความมืดบอดนี้ที่จริงแล้วคืออะไร?  นี่เป็นการปฏิบัติที่คิดคดทรยศและเลวร้ายที่สุด และมีเจตนาส่วนบุคคลภายในตัวมันเอง  นี่ไม่ใช่ความมืดบอด และแน่นอนว่าไม่ใช่การอุทิศตน—นี่เป็นความเลวร้าย

พวกเราได้ดำเนินการสามัคคีธรรมเรื่องการที่พวกศัตรูของพระคริสต์ให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองมามากมายแล้ว  มีประเด็นปัญหาอื่นใดหรือไม่ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ซึ่งพวกเจ้ายังคงไม่เข้าใจอย่างถ้วนทั่ว?  บางคนให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองโดยใช้ภาษาและพูดคำบางคำซึ่งโอ้อวดตนเอง ในขณะที่คนอื่นใช้พฤติกรรมต่างๆ  การสำแดงของคนที่ใช้พฤติกรรมเพื่อให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองเป็นอย่างไร?  ภายนอกนั้น พวกเขาทำพฤติกรรมบางอย่างที่ค่อนข้างสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน ดึงดูดความสนใจจากผู้คน และผู้คนมองว่าพฤติกรรมดังกล่าวสูงส่งมากและค่อนข้างสอดคล้องกับมาตรฐานทางศีลธรรม  พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขามีเกียรติ พวกเขามีความสัตย์ซื่อ พวกเขารักพระเจ้าจริงๆ เคร่งศรัทธามาก และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าจริงๆ และพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขามักจะแสดงพฤติกรรมที่ดีภายนอกบางอย่างเพื่อที่จะชักพาผู้คนให้หลงผิด—เรื่องนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองด้วยหรอกหรือ?  โดยปกติแล้วผู้คนยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองผ่านทางคำพูด โดยใช้การพูดที่ชัดเจนเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาแตกต่างจากผองชนอย่างไรและพวกเขามีความคิดเห็นที่ชาญฉลาดกว่าผู้อื่นอย่างไร เพื่อที่จะทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขาและยกย่องบูชาพวกเขา  อย่างไรก็ตาม มีวิธีการบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพูดที่ชัดแจ้ง โดยที่ผู้คนใช้การปฏิบัติภายนอกเพื่อให้การเป็นพยานว่าพวกเขาดีกว่าผู้อื่นแทน  การปฏิบัติประเภทเหล่านี้ถูกคิดมาเป็นอย่างดี มีสิ่งจูงใจและเจตนาบางอย่างอยู่กับตัว และการปฏิบัติเหล่านี้ก็ค่อนข้างมีจุดประสงค์ทีเดียว  การปฏิบัติเหล่านี้ได้มีการสรุปและถูกส่งไปเข้าสู่กระบวนการเพื่อให้สิ่งที่ผู้คนเห็นเป็นพฤติกรรมและการปฏิบัติบางอย่างซึ่งเป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ สูงส่ง เคร่งศรัทธา และคล้อยตามความประพฤติที่ถูกทำนองคลองธรรมของธรรมิกชน และถึงขั้นรักพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้า และเป็นไปตามความจริง  เรื่องนี้สัมฤทธิ์เป้าหมายเดียวกันในการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองและให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาพวกเขา  พวกเจ้าเคยพบเห็นหรือเผชิญกับเรื่องเช่นนี้หรือไม่?  พวกเจ้ามีการสำแดงเหล่านี้หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้และหัวข้อนี้ซึ่งเรากำลังเสวนาอยู่นั้นแยกจากชีวิตจริงหรือไม่?  ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แยกจากชีวิตจริง  เราจะยกตัวอย่างประการหนึ่งที่เรียบง่ายมาก  เวลาที่บางคนทำหน้าที่ของตน ภายนอกนั้นพวกเขาดูเหมือนยุ่งอย่างที่สุด พวกเขายังคงทำงานต่อไปอย่างมีจุดประสงค์ในช่วงเวลาที่ผู้อื่นกำลังกินหรือนอน และเมื่อผู้อื่นเริ่มทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็ไปกินหรือนอน  จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการทำเช่นนี้คือสิ่งใด?  พวกเขาต้องการดึงดูดความสนใจและแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขายุ่งกับการทำหน้าที่ของตนมากจนกระทั่งไม่มีเวลากินหรือนอน  พวกเขาคิดว่า “จริงๆ แล้วพวกคุณไม่ได้แบกรับภาระ  พวกคุณแข็งขันมากเรื่องการกินและการนอนได้อย่างไร?  พวกคุณเป็นคนไม่เอาไหน!  ดูฉันสิ ฉันทำงานในขณะที่พวกคุณทุกคนกิน และฉันก็ยังคงทำงานในเวลาดึกตอนที่พวกคุณนอนหลับอยู่  พวกคุณจะสามารถทนทุกข์เช่นนี้ได้หรือ?  ฉันสามารถสู้ทนกับความทุกข์นี้ ฉันกำลังกำหนดตัวอย่างด้วยพฤติกรรมของฉัน”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับพฤติกรรมและการสำแดงจำพวกนี้?  คนเหล่านี้ไม่ได้จงใจทำเช่นนี้หรอกหรือ?  บางคนจงใจทำสิ่งเหล่านี้ แล้วนี่เป็นพฤติกรรมแบบใด?  คนเหล่านี้ต้องการเป็นพวกไม่ทำตามขนบ พวกเขาต้องการแตกต่างจากผองชนและแสดงให้ผู้คนเห็นว่าพวกเขายุ่งกับการทำหน้าที่ของตนตลอดคืน พวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ได้เป็นพิเศษ  ในหนทางนี้ทุกคนจะรู้สึกสงสารพวกเขาเป็นพิเศษและแสดงความเห็นอกเห็นใจพวกเขาเป็นพิเศษ คิดว่าพวกเขามีภาระอันหนักบนบ่าของตน ถึงระดับที่พวกเขางานยุ่งมากๆ และสาละวนวุ่นวายเกินกว่าจะกินหรือนอน  และหากพวกเขาไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นทุกคนย่อมจะเว้าวอนพระเจ้าให้พวกเขา ออดอ้อนพระเจ้าเพื่อพวกเขา และอธิษฐานให้พวกเขา  ในการทำเช่นนี้ คนเหล่านี้กำลังใช้พฤติกรรมและการปฏิบัติที่ดีซึ่งเป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ เช่น การสู้ทนความยากลำบากและการยอมลำบาก เพื่อตบตาคนอื่นและได้มาซึ่งความเห็นอกเห็นใจและการสรรเสริญจากพวกเขาด้วยการหลอกลวง  แล้วอะไรคือผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องนี้?  ทุกคนที่ได้พบเจอพวกเขาและได้เห็นพวกเขายอมลำบากย่อมจะพูดเป็นเสียงเดียวกันทุกคนว่า “ผู้นำของพวกเรามีสมรรถภาพมากที่สุด เป็นผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดที่จะสู้ทนความทุกข์และยอมลำบาก!”  เช่นนั้นพวกเขาไม่ได้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตนในการชักพาผู้คนให้หลงผิดแล้วหรอกหรือ?  จากนั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระนิเวศของพระเจ้าก็กล่าวว่า “ผู้นำของพวกคุณไม่ได้ทำงานที่เป็นจริง  พวกเขายุ่งวุ่นวายและทำงานโดยไม่มีจุดประสงค์ พวกเขากระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นและพวกเขาก็ทำอะไรโดยพลการและเป็นเผด็จการ  พวกเขาทำให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิง ไม่ทำงานอันใดที่พวกเขาควรที่จะทำ ไม่ปฏิบัติงานข่าวประเสริฐหรืองานสร้างภาพยนตร์ และชีวิตคริสตจักรก็ระส่ำระสายอีกด้วย  พี่น้องชายหญิงไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และพวกเขาก็ไม่สามารถเขียนบทความเกี่ยวกับคำพยานได้  เรื่องที่น่าเวทนาที่สุดก็คือพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะแยกแยะพวกผู้นำเทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ได้  ผู้นำประเภทนี้ไม่มีสมรรถภาพมากเกินไป พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ควรถูกปลด!”  ภายใต้สภาพการณ์เหล่านี้ การปลดพวกเขาจะเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  อาจจะยากลำบาก  เนื่องจากพี่น้องชายหญิงล้วนเห็นชอบพวกเขาและสนับสนุนพวกเขา หากมีใครพยายามปลดผู้นำคนนี้ พี่น้องชายหญิงย่อมจะยื่นประท้วงและเสนอแนะคำร้องขอต่อเบื้องบนเพื่อรักษาเขาไว้  เหตุใดจึงจะมีผลลัพธ์เช่นนี้?  เพราะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ใช้พฤติกรรมที่ดีภายนอก เช่น การสู้ทนความยากลำบากและการยอมลำบาก ตลอดจนคำพูดที่ฟังดูสูงส่ง เพื่อดลใจ เอาเงินฟาดหัว และชักพาผู้คนให้หลงผิด  ทันทีที่พวกเขาใช้รูปลักษณ์เทียมเท็จเหล่านี้เพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดแล้ว ทุกคนก็จะพูดแทนพวกเขาและไม่สามารถผละจากพวกเขาไปได้  พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าผู้นำคนนี้ไม่ได้ทำงานที่เป็นจริงมากมาย และเขาก็ไม่ได้ชี้นำผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้เข้าใจความจริงและได้รับการเข้าสู่ชีวิต แต่คนเหล่านี้ยังคงสนับสนุนเขา เห็นชอบกับเขา และติดตามเขา ไม่แม้แต่จะใส่ใจหากนี่หมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้รับความจริงและชีวิต  นอกจากนั้น เนื่องจากถูกผู้นำคนนี้ชักพาให้หลงผิด คนเหล่านี้ล้วนเคารพบูชาพวกเขา ไม่ยอมรับผู้นำคนใดนอกไปจากพวกเขา และไม่ต้องการพระเจ้าอีกต่อไปด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้นำคนนี้ดังเช่นพระเจ้าหรอกหรือ?  หากนิเวศของพระเจ้ากล่าวว่าคนคนนี้ไม่ได้ทำงานที่เป็นจริงอีกทั้งเป็นผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนในคริสตจักรย่อมจะประท้วงและลุกขึ้นต่อต้าน  จงบอกเราที ศัตรูของพระคริสต์คนนี้ชักพาผู้คนเหล่านั้นให้หลงผิดถึงระดับใดแล้ว?  หากนี่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นภาวะของผู้คนย่อมมีแต่จะดีขึ้นเท่านั้น และพวกเขาจะเข้าใจความจริงมากขึ้น กลายเป็นนบนอบพระเจ้ามากขึ้น มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขามากขึ้น และรู้จักแยกแยะพวกผู้นำเทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ได้ดียิ่งขึ้น  จากมุมมองนี้ สถานการณ์ที่พวกเราเพิ่งเสวนาไปนั้นไม่ใช่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอนที่สุด—มีเพียงพวกศัตรูของพระคริสต์และจิตวิญญาณชั่วเท่านั้นที่สามารถชักพาผู้คนให้หลงผิดถึงขั้นนี้ได้หลังจากทำงานเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง  คนมากมายถูกพวกศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ชักพาให้หลงผิดและควบคุม และในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขามีที่สำหรับพวกศัตรูของพระคริสต์เท่านั้น และไม่มีที่สำหรับพระเจ้า  นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายที่พวกศัตรูของพระคริสต์สัมฤทธิ์ด้วยการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองผ่านทางพฤติกรรมที่ดีภายนอก  พวกเขาใช้พฤติกรรมที่ดีภายนอกในการสู้ทนความยากลำบากและการยอมลำบากเพื่อยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์ใช้เพื่อควบคุมและชักพาผู้คนให้หลงผิด  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจนใช่ไหม?  ศัตรูของพระคริสต์ที่ใช้พฤติกรรมที่ดีภายนอกในการสู้ทนความยากลำบากและการยอมลำบากเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดไม่ใช่คนที่กลับกลอกและเคลือบแฝงมากหรอกหรือ?  แล้วพวกเจ้าไม่ทำสิ่งเหล่านี้เป็นบางครั้งด้วยหรอกหรือ?  บางคนดื่มกาแฟเพื่อเพิ่มพลังงานของตนในตอนเย็นเพื่อเตรียมตัวทำหน้าที่ของตนจนดึก  พี่น้องชายหญิงวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของพวกเขาและทำซุปไก่ให้พวกเขา  เมื่อพวกเขาดื่มซุปหมด คนเหล่านี้ก็พูดว่า “ขอขอบคุณพระเจ้า!  ข้าพระองค์ได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้า  ข้าพระองค์ไม่คู่ควรกับสิ่งนี้  ตอนนี้ฉันดื่มซุปไก่นี้หมดแล้ว ฉันต้องทำหน้าที่ของฉันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น!”  ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขายังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปในลักษณะเดียวกับที่พวกเขามักจะทำ โดยไม่เพิ่มประสิทธิภาพของพวกเขาแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่ได้เสแสร้งหรอกหรือ?  พวกเขาแสแสร้ง และพฤติกรรมประเภทนี้ยังเป็นการแอบยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองอีกด้วย จุดจบที่พฤติกรรมประเภทนี้สัมฤทธิ์คือการทำให้ผู้คนเห็นชอบกับพวกเขา ยกย่องบูชาพวกเขา และกลายเป็นผู้ติดตามพันธุ์แท้ของพวกเขา  หากผู้คนมีวิธีคิดแบบนี้ พวกเขาไม่ได้ลืมพระเจ้าไปแล้วหรอกหรือ?  พวกเขาไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาอีกต่อไป แล้วใครคือผู้ที่พวกเขานึกถึงทั้งวันทั้งคืน?  นั่นก็คือ “ผู้นำที่ดี” ของพวกเขา “ผู้ที่เป็นที่รัก” ของพวกเขา  ภายนอกนั้นศัตรูของพระคริสต์บางคนเปี่ยมรักมากต่อคนส่วนใหญ่ และพวกเขาก็นำกลวิธีต่างๆ มาใช้เมื่อพวกเขาพูด เพื่อที่ผู้คนจะได้เห็นว่าพวกเขาเปี่ยมรัก และเต็มใจที่จะเข้าใกล้พวกเขามากขึ้น  พวกเขายิ้มกว้างให้ใครก็ตามที่เข้าใกล้พวกเขาและเข้าร่วมกับพวกเขา และพวกเขาก็พูดกับผู้คนดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุภาพอ่อนโยนมาก  ต่อให้พวกเขาเห็นว่าพี่น้องชายหญิงบางคนไร้หลักธรรมในการกระทำของตน และการนั้นส่งผลเสียต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ตัดแต่งพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่เตือนสติ ชูใจ รวมทั้งหว่านล้อมพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นขณะที่พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นทำหน้าที่ของตน—พวกเขาเตือนสติผู้คนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งพวกเขานำทุกคนมาอยู่ต่อหน้าพวกเขา  ผู้คนถูกศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ค่อยๆ ดลใจ ทุกคนเห็นชอบกับหัวใจที่เปี่ยมรักของพวกเขาและเรียกพวกเขาว่าคนที่รักพระเจ้า  ในท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็เคารพบูชาพวกเขาและแสวงหาสามัคคีธรรมของพวกเขาในทุกเรื่อง บอกความคิดและความรู้สึกส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของตนกับศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ จนถึงจุดที่พวกเขาไม่แม้แต่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าอีกต่อไป  คนเหล่านี้ไม่ได้ถูกศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ชักพาให้หลงผิดไปแล้วหรอกหรือ?  มีวิธีการอีกอย่างที่พวกศัตรูของพระคริสต์ใช้เพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด  เมื่อพวกเจ้าทำพฤติกรรมและการปฏิบัติเหล่านี้ หรือเก็บงำเจตนาเหล่านี้เอาไว้ พวกเจ้าตระหนักรู้หรือไม่ว่ามีปัญหาภายในเรื่องนี้?  และเมื่อเจ้ากลายเป็นตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติของเจ้าได้หรือไม่?  หากเจ้าสามารถทบทวนตัวเองและรู้สึกสำนึกผิดอย่างแท้จริงเมื่อเจ้ากลายเป็นตระหนักรู้และตรวจสอบว่าพฤติกรรม การปฏิบัติ หรือเจตนาของเจ้าเป็นปัญหา นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเปลี่ยนวิถีทางของเจ้าแล้ว  หากเจ้าตระหนักรู้ถึงปัญหาของเจ้าแต่ไม่ทำอะไรกับปัญหาเหล่านั้นเลยและกระทำการตามความตั้งใจของตัวเอง ดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจ้าไปถึงจุดที่เจ้าไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้อีกต่อไป เช่นนั้นเจ้าย่อมยังไม่ได้เปลี่ยนวิถีทางของเจ้าและกำลังตั้งตนต่อต้านพระเจ้าโดยเจตนา ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง และไถลออกห่างจากหนทางที่แท้จริง  นี่คืออุปนิสัยใด?  นี่คืออุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์  นี่ร้ายแรงหรือไม่?  (ร้ายแรง)  ร้ายแรงแค่ไหน?  จุดจบของคนที่นำวิธีการที่เคลือบแฝงและหลอกลวงมากขึ้นมาใช้ โดยใช้การสู้ทนความยากลำบากและการยอมลำบากเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด พยายามที่จะทำให้ผู้คนเหล่านั้นเคารพบูชาและติดตามพวกเขา เป็นอย่างเดียวกับคนที่ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองอย่างเปิดเผย—จุดจบนี้มีธรรมชาติอย่างเดียวกัน  ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีการใดเพื่อยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการพูดที่ชัดเจนหรือพฤติกรรมบางอย่างที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่าดี ทั้งหมดนั้นมีธรรมชาติอย่างเดียวกัน  วิธีการดังกล่าวมีคุณสมบัติของศัตรูของพระคริสต์ รวมทั้งมีคุณสมบัติของการต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อแย่งชิงผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร  ไม่สำคัญว่าการสำแดงของเจ้ามีรูปแบบใดหรือเจ้าใช้วิถีทางใด ตราบที่เจตนาของเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงและผลที่ตามมาเป็นอย่างเดียวกัน เช่นนั้นทั้งหมดนั้นย่อมมีธรรมชาติอย่างเดียวกัน  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ชัดเจนว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ฉลาดแกมโกงอีกทั้งไม่รักและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถใช้การสู้ทนความยากลำบากและการยอมลำบากเป็นวิถีทางเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด—นี่เป็นความเลวร้ายของพวกศัตรูของพระคริสต์

บางคนพูดถึงทฤษฎีที่ไร้เหตุผลและการโต้แย้งที่เป็นนามธรรมบางอย่างเพื่อทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขามีเชาว์ปัญญาและมีความรู้ และการกระทำของพวกเขาก็ลุ่มลึกมาก และด้วยการนั้นจึงเป็นการสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการให้ผู้คนเคารพบูชาพวกเขา  กล่าวคือ พวกเขาต้องการอยู่เสมอที่จะมีส่วนร่วมและเสนอความคิดเห็นในทุกเรื่อง และแม้ในยามที่ทุกคนได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายแล้ว หากพวกเขาไม่พึงพอใจกับเรื่องนี้ พวกเขาจะพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งบางอย่างเพื่อโอ้อวด  นี่ไม่ใช่วิถีทางของการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองหรอกหรือ?  กับบางเรื่องนั้น อันที่จริงทุกคนได้พูดคุยหารือถึงสิ่งทั้งหลาย หารือกัน ค้นพบหลักธรรม และตัดสินใจเรื่องแผนดำเนินการกันแล้ว แต่พวกเขาไม่ยอมรับการตัดสินใจนั้นและขัดขวางสิ่งทั้งหลายอย่างไม่มีเหตุผล โดยพูดว่า “แบบนั้นใช้ไม่ได้  พวกคุณไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างครอบคลุม  นอกจากแง่มุมไม่กี่แง่มุมที่พวกเราพูดถึงไปแล้ว ฉันยังนึกถึงอีกแง่มุมหนึ่งด้วย”  โดยข้อเท็จจริงแล้ว แง่มุมที่พวกเขานึกถึงเป็นแค่ทฤษฎีที่ไร้เหตุผลบางอย่าง พวกเขาก็แค่คิดเล็กคิดน้อย  พวกเขาตระหนักรู้อย่างเต็มที่ว่าพวกเขาคิดเล็กคิดน้อยและทำให้สิ่งทั้งหลายลำบากยากเย็นสำหรับคนอื่น แต่พวกเขาก็ยังคงทำเช่นนั้น  จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการทำเช่นนี้คือสิ่งใด?  จุดมุ่งหมายคือการแสดงให้ผู้คนเห็นว่าพวกเขาแตกต่าง พวกเขาหลักแหลมกว่าผู้อื่น  สิ่งที่พวกเขาหมายถึงคือ “แล้วนี่ใช่ระดับที่พวกคุณทุกคนอยู่หรือไม่?  ฉันต้องแสดงให้พวกคุณเห็นว่าฉันอยู่ในระดับที่สูงกว่า”  พวกเขามักจะเพิกเฉยสิ่งใดก็ตามที่คนอื่นพูด แต่ทันทีที่มีการกล่าวถึงบางสิ่งที่สำคัญ พวกเขาก็เริ่มที่จะทำให้สิ่งทั้งหลายเสียหาย  คนจำพวกนี้เรียกว่าอะไร?  ในภาษาพูดเรียกพวกเขาว่าคนที่คอยจ้องจับผิดหรือคนนิสัยไม่ดี  แนวทางที่พบได้ทั่วไปของคนที่คอยจ้องจับผิดเป็นอย่างไร?  พวกเขาชื่นชมการพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งและการเข้าร่วมในการปฏิบัติบางอย่างที่สามานย์และคดโกง  หากเจ้าขอให้พวกเขานำเสนอแผนดำเนินการที่ถูกต้อง พวกเขาจะไม่สามารถทำแผนดำเนินการขึ้นมาได้ และหากเจ้าขอให้พวกเขารับมือกับบางสิ่งที่ร้ายแรง พวกเขาจะไม่สามารถทำได้  พวกเขาทำสิ่งที่สามานย์เท่านั้น และต้องการทำให้ผู้คน “ประหลาดใจ” และโอ้อวดความสามารถของตนอยู่เสมอ  วลีที่ว่านั้นกล่าวว่าอย่างไรหรือ?  “หญิงชราทาปาก—เพื่อให้อีกคนมีอะไรดู”  นี่หมายความว่าพวกเขาต้องการโอ้อวดความสามารถของตนอยู่เสมอ และไม่ว่าพวกเขาสามารถโอ้อวดความสามารถของตนได้ดีหรือไม่ก็ตาม พวกเขาย่อมต้องการให้ผู้คนรู้ว่า “ฉันโดดเด่นกว่าพวกคุณๆ ทั้งหลาย  พวกคุณล้วนไม่เอาไหน พวกคุณเป็นเพียงแค่มนุษย์ เป็นผู้คนธรรมดาสามัญ  ฉันพิเศษเหนือธรรมดาและเหนือธรรมชาติ  ฉันจะแบ่งปันแนวคิดของฉันเพื่อทำให้พวกคุณประหลาดใจ จากนั้นพวกคุณย่อมจะสามารถมองเห็นได้ว่าฉันเหนือกว่าหรือไม่”  นี่ไม่ทำให้สิ่งทั้งหลายเสียหายหรอกหรือ?  พวกเขาทำให้สิ่งทั้งหลายเสียหายด้วยความตั้งใจ  นี่เป็นพฤติกรรมแบบใด?  พวกเขาเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน  สิ่งที่พวกเขาหมายถึงก็คือ ฉันยังไม่ได้แสดงให้เห็นว่าฉันหลักแหลมเพียงใดในเรื่องนี้ ดังนั้นไม่สำคัญว่าผลประโยชน์ของใครได้รับความเสียหายและไม่สำคัญว่าความพยายามของใครสูญเปล่าไป ฉันจะบ่อนทำลายเรื่องนี้จนกว่าทุกคนจะเชื่อว่าฉันเหนือกว่า มีความสามารถ และเก่ง  เมื่อนั้นเท่านั้นฉันจึงจะปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่ถูกยับยั้ง  คนไม่ดีเช่นนี้มีอยู่จริงหรือไม่?  พวกเจ้าเคยทำสิ่งจำพวกเหล่านี้มาก่อนหรือไม่?  (เคย  บางครั้งผู้อื่นเสวนาเรื่องเรื่องหนึ่งเสร็จสิ้นและพบแผนการที่เหมาะสมแล้ว แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้แจ้งฉันในระหว่างกระบวนการตัดสินใจ ฉันจึงพบข้อผิดพลาดกับเรื่องนี้โดยเจตนา)  เมื่อเจ้าทำเช่นนี้ ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้ถูกหรือผิด?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าธรรมชาติของปัญหานี้ร้ายแรง ธรรมชาติของปัญหานี้เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน?  (ข้าพระองค์ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ในเวลานั้น แต่ผ่านทางการถูกตัดแต่งอย่างรุนแรงจากพี่น้องชายหญิงของข้าพระองค์ และจากการกินและดื่มพระวจนะแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นว่าปัญหานี้ร้ายแรงโดยธรรมชาติ ปัญหานี้ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร และเป็นพฤติกรรมเยี่ยงซาตานแบบหนึ่ง)  ในเมื่อเจ้ารับรู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด เมื่อสิ่งทั้งหลายที่คล้ายกันบังเกิดขึ้นกับเจ้าหลังจากนั้น เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงสักเล็กน้อยและมีการเข้าสู่บางอย่างในแง่ของแนวทางของเจ้าหรือไม่?  (สามารถ  เมื่อข้าพระองค์เผยความคิดและแนวคิดเช่นนี้ ข้าพระองค์ตระหนักว่านี่เป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ข้าพระองค์ไม่สามารถทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนั้นได้ และข้าพระองค์สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและขัดขืนความคิดและแนวคิดที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นได้โดยรู้ตัว)  เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่บ้าง  เมื่อเจ้ามีปัญหาเกี่ยวกับความเสื่อมทรามเช่นนั้น เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ยับยั้งชั่งใจ และอธิษฐานถึงพระเจ้า  เมื่อเจ้าคิดว่าผู้อื่นพิจารณาเจ้าด้วยความดูถูก พวกเขาไม่ยกย่องบูชาเจ้าหรือจริงจังกับเจ้า และดังนั้นเจ้าจึงปรารถนาที่จะเป็นเหตุให้เกิดการก่อกวน เมื่อเจ้ามีความคิดนี้ เจ้าต้องตระหนักรู้ว่าความคิดนี้ไม่ได้มาจากความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่กลับมาจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และหากเจ้าดำเนินต่อไปเช่นนี้ นั่นย่อมจะเป็นปัญหา และเจ้าย่อมจะมีแววที่จะก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  เจ้าต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจเสียก่อน จากนั้นจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานถึงพระองค์ และเปลี่ยนวิถีทางของเจ้า  เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ภายในความคิดของตนเอง ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ไม่มีสิ่งใดเลยที่พวกเขาทำที่เป็นไปตามความจริงหรือสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำปรปักษ์ต่อพระองค์  ตอนนี้พวกเจ้าสามารถรับรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ได้ใช่ไหม?  การต้องการต่อสู้ชื่อเสียงและผลตอบแทนอยู่เสมอ รวมทั้งการไม่ลังเลที่จะขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรเพื่อที่จะได้รับความมีหน้ามีตาและสถานะ เป็นการสำแดงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของพวกศัตรูของพระคริสต์  อันที่จริงแล้ว ทุกคนมีการสำแดงเหล่านี้ แต่หากเจ้าสามารถยอมรับและรับรู้ถึงเรื่องนี้ จากนั้นก็เปลี่ยนวิถีทางของเจ้า โดยเข้ารับท่าทีแห่งการกลับใจที่แท้จริงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเปลี่ยนแปลงแนวทาง พฤติกรรม และอุปนิสัยของเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นใครบางคนที่กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  หากเจ้าไม่ยอมรับปัญหาที่แท้จริงเหล่านี้ แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะไม่มีท่าทีแห่งการกลับใจ และเจ้าย่อมไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  หากเจ้ายืนกรานที่จะเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์และเดินตามเส้นทางนี้ไปจนถึงปลายทาง และเจ้าก็ยังคงคิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาและไม่เต็มใจที่จะกลับใจ ยืนกรานที่จะกระทำการในหนทางนี้และแข่งขันกับคนทำงานและผู้นำเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและผลตอบแทน ยืนกรานที่จะโดดเด่นกว่าผู้อื่น โดดเด่นจากฝูงชน และดีกว่าผู้อื่นไม่สำคัญว่าเจ้าจะอยู่ในกลุ่มไหน เช่นนั้น เจ้าก็กำลังตกที่นั่งลำบาก  หากเจ้าคอยไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะเรื่อยไปและปฏิเสธที่จะกลับใจอย่างดื้อด้าน เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นศัตรูของพระคริสต์และได้ถูกชี้ชะตากรรมให้ได้รับการลงโทษในท้ายที่สุด  พระวจนะของพระเจ้า ความจริง และมโนธรรมและเหตุผลไม่มีผลกระทบกับเจ้า และเจ้าจะพบจุดจบของพวกศัตรูของพระคริสต์อย่างแน่นอน  เจ้าไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด และเจ้าก็เกินจะช่วยได้!  การที่ผู้คนสามารถบรรลุความรอดและเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาแสดงให้เห็นการสำแดงถึงการกลับใจที่แท้จริงหลังจากทำความเข้าใจตนเอง รวมทั้งท่าทีซึ่งพวกเขาใช้ในการเข้าหาความจริง ตลอดจนเส้นทางที่พวกเขาเลือก  หากเจ้าไม่ทอดทิ้งเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเลือกที่จะตอบสนองความทะเยอทะยานและความอยากของตัวเอง เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงอย่างหน้าทน และตั้งตนต่อต้านพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมเกินจะช่วยได้  หากใครบางคนไม่รู้จักกลัว ไม่ว่าความผิดพลาดของพวกเขาจะมีขนาดอันมหึมาอย่างไรหรือพวกเขาทำความชั่วมากแค่ไหน อีกทั้งพวกเขาไม่รู้สึกผิด และคอยแก้ตัวอยู่เรื่อย โดยไม่รู้สึกสำนึกผิดเลยแม้สักเสี้ยว เช่นนั้นพวกเขาย่อมเป็นศัตรูของพระคริสต์แท้จริงและเป็นมาร  หากใครบางคนเพียงแค่มีการสำแดงต่างๆ ของพวกศัตรูของพระคริสต์ แต่พวกเขาสามารถยอมรับความผิดพลาดของตน หันกลับ และมีหัวใจแห่งการสำนึกผิด เช่นนั้นตามธรรมชาติแล้วนี่ย่อมแตกต่างกว่าพวกศัตรูของพระคริสต์และเรื่องอื่นทั้งสิ้น  ดังนั้น กุญแจสำคัญในเรื่องที่ว่าใครบางคนสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่นั้นจึงอยู่ที่ว่าพวกเขาสามารถทบทวนตัวเองได้หรือไม่ พวกเขามีหัวใจแห่งการกลับใจหรือไม่ และพวกเขาสามารถเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่

ประการที่สี่ การยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง เป็นแนวทางที่พวกศัตรูของพระคริสต์ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง  พวกเจ้าสามารถแยกแยะวิถีทาง หนทาง และวิธีการต่างๆ ที่เห็นได้ชัดซึ่งพวกศัตรูของพระคริสต์ใช้ในการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองได้ แต่พวกเจ้าสามารถแยกแยะพฤติกรรมและการสำแดงที่ซ่อนเร้นมากกว่าได้หรือไม่?  เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งทั้งหลายที่เห็นได้ชัดเจนดังเช่นการใช้ภาษาเพื่อยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง พวกเจ้าเผยสิ่งเหล่านี้ออกมา พวกเจ้าได้เห็นผู้อื่นเผยสิ่งเหล่านี้ออกมาเช่นกัน และพวกเจ้าก็สามารถแยะแยะสิ่งเหล่านี้ได้  แต่หากไม่มีการใช้ภาษาและมีเพียงการสำแดงเชิงพฤติกรรมเท่านั้น พวกเจ้าจะยังคงสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้อยู่หรือไม่?  อาจกล่าวได้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  เช่นนั้นแล้วอะไรคือลักษณะเฉพาะของพฤติกรรมที่พวกศัตรูของพระคริสต์ยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง?  พฤติกรรมของพวกเขาแน่นอนว่าเป็นไปตามมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ศีลธรรม มโนธรรม และความรู้สึกของมนุษย์  มีอะไรอีกไหม?  (พฤติกรรมของพวกเขาเก็บเกี่ยวความเห็นชอบและการเคารพบูชาของผู้คน)  พฤติกรรมของพวกเขาเก็บเกี่ยวความเห็นชอบและการเคารพบูชา นี่เป็นผลลัพธ์ที่พฤติกรรมดังกล่าวสร้างขึ้น  หากพวกเรามองดูพฤติกรรมดังกล่าวจากมุมมองของผลลัพธ์ พฤติกรรมนี้มีลักษณะในการชักพาให้หลงผิดอยู่ในตัวมันเองจริงๆ  จากมุมมองของธรรมชาติของการกระทำนี้ พฤติกรรมนี้มีจุดประสงค์เป็นอย่างยิ่ง  ตัวอย่างเช่น เมื่อใครบางคนล้มป่วย หากพวกเขาต้องการชักพาผู้คนให้หลงผิดและทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา เช่นนั้นพวกเขาจะกินยาต่อหน้าผู้คนหรือเมื่อไม่มีใครอยู่แถวนั้น?  (ต่อหน้าผู้คน)  ไม่มีเจตนาเบื้องหลังเรื่องนี้หรือ?  นี่หมายความว่าพวกเขาทำอะไรโดยมีจุดประสงค์เป็นอย่างยิ่ง  จุดมุ่งหมายที่จริงแท้ของพวกเขาในการกินยาเช่นนี้คืออะไร?  พวกเขาต้องการเอาความดีความชอบเข้าตัวด้วยการทำเช่นนี้ และบอกเจ้าว่า “ดูสิ ฉันเหน็ดเหนื่อยจากการทำหน้าที่ของฉันมากจนกระทั่งฉันล้มป่วย แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังไม่ได้พร่ำบ่นหรือหลั่งน้ำตาสักหยด  ฉันกำลังรักษาอาการเจ็บป่วยของฉันอยู่ แต่แม้ฉันจะต้องกินยา ฉันก็ยังคงทำหน้าที่ของฉันอยู่อย่างไม่ลดละ”  อันที่จริงแล้ว อาการเจ็บป่วยของพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาจากการตรากตรำทำหน้าที่ของตนหรือหลังจากพวกเขาได้มาเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาก็แค่กำลังพยายามที่จะใช้พฤติกรรมทุกแบบเพื่อสื่อสารถึงผู้คน ซึ่งก็คือว่าพวกเขากำลังสู้ทนความทุกข์และกำลังยอมลำบาก พวกเขาทนทุกข์ในสภาพแวดล้อมนี้มามากมายแต่ไม่ได้พร่ำบ่นสักครั้ง และยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขันมาก และพวกเขาก็มีเจตจำนงที่จะแบกรับความทุกข์  เรื่องนี้บอกความนัยอะไรแก่ผู้คน?  บอกว่าความจงรักภักดีต่อพระเจ้าของพวกเขานั้นไม่มีอะไรให้กังขา  สิ่งที่พวกเขาต้องการแสดงก็คือพวกเขาจงรักภักดีและเต็มใจที่จะยอมลำบาก  นี่ไม่ใช่การแอบยกย่องตัวเองรูปแบบหนึ่งหรอกหรือ?  หากพวกเขามีเหตุผล พวกเขาคงจะไม่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเขาคงจะอธิษฐานถึงพระเจ้าเมื่อไม่มีใครอยู่แถวนั้น โดยแสดงความตั้งใจแน่วแน่ของตนและพยายามที่จะรู้จักตัวเอง หรือพวกเขาคงจะแค่กินยาของตนไปตามปกติ  โดยสรุปสั้นๆ ก็คือ พวกเขาคงจะไม่ใช้พฤติกรรมภายนอกเหล่านี้เพื่อบอกกับผู้คนว่าพวกเขากำลังทนทุกข์ พวกเขากำลังทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี และพวกเขาควรได้รับบำเหน็จ  พวกเขาคงจะไม่ซุกซ่อนเจตนาเหล่านี้เอาไว้  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขากระทำการในหนทางที่เป็นการโอ้อวดเป็นพิเศษ ต้องการที่จะทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและสรรเสริญพวกเขา เช่นนั้นเรื่องนี้ย่อมมีจุดประสงค์เป็นอย่างยิ่ง  แล้วอะไรคือจุดประสงค์ของพวกเขา?  จุดประสงค์คือการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ของการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองผ่านทางสารที่พวกเขาสื่อไปยังผู้คน  หากพวกเขาจงรักภักดี พระเจ้าย่อมจะทรงรู้เรื่องนี้ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องอวดเรื่องนี้กับคนอื่นและทำให้ทุกคนรู้เรื่องนี้?  เป้าหมายของพวกเขาในการให้ทุกคนรู้เรื่องนี้คืออะไร?  เป้าหมายคือการทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา  หากพวกเขาไม่ได้มีเป้าหมายนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็คงจะกระทำการโดยปราศจากเจตนา และผู้อื่นก็คงจะไม่เห็นพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้  หากพวกเขาทำอะไรโดยมีจุดประสงค์เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาย่อมจะประเมินวัดระดับการกระทำของตน รวมทั้งทำให้เป็นเรื่องใหญ่และพิจารณาเวลาและสถานที่ คอยจนกระทั่งทุกคนอยู่แถวนั้นก่อนจะขอให้ใครสักคนนำยามาให้พวกเขา เป็นการเปิดเผยเรื่องนี้แก่คนทั่วไปและอย่างเอิกเกริกมาก  เรื่องนี้มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนอย่างยิ่ง  หากพวกเขาไม่ได้มีจุดมุ่งหมายนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็คงจะคอยจนกระทั่งไม่มีใครอยู่แถวนั้นก่อนที่จะกินยา  ความเต็มใจของเจ้าที่จะสู้ทนความทุกข์และยอมลำบากเกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้อื่นเข้าใจและรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน  หากเจ้าทำให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน พวกเขาสามารถให้อะไรเจ้าได้บ้าง?  นอกไปจากได้รับความเห็นอกเห็นใจและการสรรเสริญจากพวกเขาแล้ว มีอะไรอีกไหมที่เจ้าสามารถได้รับจากพวกเขา?  ไม่มี ไม่มีอะไรเลย  เมื่อเจ้าสู้ทนความทุกข์บางอย่างและยอมลำบากอยู่บ้างในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ในแง่มุมหนึ่ง นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำและคือสิ่งที่เจ้าเต็มใจที่จะทำ และเจ้าก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง  ในอีกแง่มุมหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นการสำแดงที่เจ้าควรแสดงต่อพระผู้สร้างในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แล้วเหตุใดเจ้าจึงควรป่าวประกาศสิ่งเหล่านี้?  เมื่อเจ้าป่าวประกาศสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ย่อมกลายเป็นน่าขยะแขยง ธรรมชาติของพฤติกรรมดังกล่าวกลายเป็นสิ่งใด?  กลายเป็นการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองรวมทั้งการชักพาผู้อื่นให้หลงผิด—ธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลง  ตัวอย่างเช่น บางคนเกาหนังศีรษะต่อหน้าผู้อื่น และเมื่อใครบางคนถามเรื่องนี้กับพวกเขา พวกเขาก็พูดว่า “ฉันไม่ได้สระผมมา 10 กว่าวันแล้ว—ฉันพบผู้รับข่าวประเสริฐคนแล้วคนเล่า  วันก่อนฉันพยายามหาเวลาสระผม แต่แล้วผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐก็มาหาฉันเพื่อสืบค้น และฉันก็ไม่อาจปลีกตัวออกมาได้”  ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาไม่สระผมโดยเจตนาเพื่อที่จะสร้างภาพประทับใจต่อผู้คนว่าพวกเขายุ่งมากกับการทำหน้าที่ของตน  นี่เรียกว่าการอวดตน  จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการอวดตนคือสิ่งใด?  จุดมุ่งหมายคือการทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา และธรรมชาติของพฤติกรรมนี้คือการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง  แม้กับเรื่องเล็กๆ เช่นนั้นอย่างเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่ปล่อยผ่าน ยังคงต้องการทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ เปลี่ยนเรื่องนี้ให้เป็นทรัพยากรที่มีค่าประเภทหนึ่งซึ่งพวกเขาสามารถใช้โอ้อวด ตอบสนองความทะเยอทะยานและความอยากของพวกเขา รวมทั้งสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาพวกเขา  นี่ไม่น่าละอายหรอกหรือ?  นี่เป็นเรื่องน่าละอายและน่าขยะแขยง  สิ่งทั้งหมดนี้มาจากไหน?  สิ่งเหล่านี้มาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน ซึ่งภายในนั้นมีการเสแสร้งแกล้งทำ การหลอกลวง ความเลวร้าย และความทะเยอทะยานอยู่  คนเช่นนี้คิดถึงภาพลักษณ์ สถานะ และความมีหน้ามีตาของตนตลอดเวลา  พวกเขาไม่ปล่อยมือจากสิ่งใดเลย พวกเขามองหาหนทางที่จะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้เป็นทุน เปลี่ยนเป็นทรัพยากรที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อทำให้ผู้คนยกย่องนับถือและเคารพบูชาพวกเขาอยู่เสมอ  ในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตน พวกเขาก็ทำเหมือนว่าตนไม่ได้สนใจเรื่องนี้  นี่ยังเป็นภาพลักษณ์ที่ลวงหลอกแบบหนึ่งอีกด้วย และภายในนั้นอันที่จริงแล้วพวกเขากำลังแอบเฉลิมฉลองและพอใจกับตัวเอง  นี่ไม่น่าขยะแขยงมากขึ้นไปอีกกระนั้นหรือ?  เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขามีสถานะสูงส่งมากอยู่แล้ว ทุกคนเคารพนับถือ ยกย่องบูชา เชื่อฟัง และติดตามพวกเขา แต่ภายนอกนั้นพวกเขายังคงเสแสร้งว่าพวกเขาไม่ชอบสถานะ  นี่เป็นเรื่องหน้าซื่อใจคดมากขึ้นไปอีก  ในท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็ถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิด และกล่าวว่าพวกเขาเกิดมาโดยปราศจากความทะเยอทะยานใดๆ พวกเขาเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ  ที่จริงแล้วการทดสอบเล็กน้อยก็สามารถเผยเรื่องนี้ได้ หากพวกเขาถูกปลดเปลื้องสถานะของตนออกไป พวกเขาย่อมจะหยุดทำหน้าที่ของตนทันที  เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเร็วขนาดนั้น เรื่องเล็กๆ หนึ่งเรื่องจะเผยความทะเยอทะยานของพวกเขา  นี่คือพฤติกรรมและแนวทางที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานทำให้เกิดขึ้นในตัวผู้คน ตลอดจนสภาวะที่น่าเกลียดต่างๆ ของผู้คน  จากการสำแดงเหล่านี้จะเห็นได้ว่าผู้คนชอบสถานะและต้องการยึดครองที่ในหัวใจของผู้อื่น  พวกเขาต้องการครองหัวใจของผู้อื่น เอาชนะใจผู้อื่น และให้ผู้อื่นเคารพบูชา ยกย่องบูชา และแม้กระทั่งติดตามพวกเขา ด้วยการนั้นจึงเป็นการแทนที่พระอุปนิสัยของพระเจ้าในหัวใจของคนอื่น  นี่เป็นความอยากที่ทุกคนมีตั้งแต่เกิด  แล้วเรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นสิ่งใด?  พิสูจน์ให้เห็นว่าในชีวิตของผู้คนนั้น สิ่งที่ควบคุมพวกเขาคืออุปนิสัยของซาตาน  ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม ไม่มีสักคนเดียวที่ไม่ชอบสถานะ—แม้แต่คนโง่เขลาก็ต้องการที่จะเป็นเจ้าหน้าที่ และแม้แต่คนปัญญาทึบก็ต้องการบริหารผู้อื่น  ทุกคนชอบสถานะ และทุกคนก็ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ และแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อให้ได้สถานะ  ทุกคนมีพฤติกรรมและแนวทางจำพวกเหล่านี้ ตลอดจนอุปนิสัยจำพวกนี้  ดังนั้นเมื่อพวกเราเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ซึ่งยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง พวกเราก็กำลังเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของทุกคนเช่นกัน  จุดมุ่งหมายของการเปิดโปงเรื่องนี้คือสิ่งใด?  จุดมุ่งหมายคือการทำให้ผู้คนเข้าใจว่าพฤติกรรมและการสำแดงถึงการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี แต่กลับเป็นการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและเรื่องที่เป็นลบและน่าชิงชังออกมา  ไม่สำคัญว่าวิธีการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองของเจ้าฉลาดหลักแหลมเพียงใด และไม่สำคัญว่าการกระทำของเจ้ามีลักษณะเคลือบแฝงเพียงใด สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี และพระเจ้าทรงเกลียด ทรงกล่าวโทษ และทรงสาปแช่งสิ่งทั้งหมดนี้  ดังนั้นทุกคนจึงควรวางแนวทางเหล่านี้ลงไว้ก่อน  การยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองไม่ใช่สัญชาตญาณที่พระเจ้าทรงสร้างให้มนุษย์—ตรงกันข้าม นี่เป็นการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานที่เป็นแบบฉบับเฉพาะมากที่สุดอย่างหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นี่เป็นอุปนิสัยและแนวทางที่เป็นแบบฉบับเฉพาะและเจาะจงที่สุดอย่างหนึ่งของแก่นแท้อันเสื่อมทรามของซาตาน

การสามัคคีธรรมเกี่ยวกับตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าในแง่ของการเข้าใจการสำแดงต่างๆ ถึงการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองหรือไม่ ไม่ว่าตัวอย่างเหล่านั้นจะเป็นลักษณะการพูดและการกระทำที่เห็นได้ชัดเจนหรือซ่อนเร้นมากกว่าก็ตาม?  (มีประโยชน์ การสามัคคีธรรมดังกล่าวมีประโยชน์)  การสามัคคีธรรมดังกล่าวช่วยเรื่องอะไร?  ช่วยให้ผู้คนแยกแยะตัวเองและผู้อื่น  สภาวะ การสำแดง และการเผยเหล่านี้ที่เรากำลังพูดถึงล้วนเป็นสิ่งที่พวกเจ้าแสดงให้เห็นอยู่เนืองนิจ และพวกเจ้าควรยกสภาวะของตัวเองมาเปรียบกับสิ่งเหล่านี้ ทำความเข้าใจว่าพวกเจ้าคือสิ่งใดกันแน่ ชีวิตที่พวกเจ้าพึ่งพาและวางใจเพื่อมีชีวิตรอดเป็นอย่างไรกันแน่ มีสิ่งใดกันแน่ที่บรรจุอยู่ภายในชีวิตนี้ อุปนิสัยเหล่านี้ทำให้ผู้คนทำสิ่งใดกันแน่ รวมทั้งอุปนิสัยเหล่านี้ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตตามสิ่งใด  ผ่านทางการเข้าใจพฤติกรรม การสำแดง แนวทาง และอุปนิสัยที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้ ผู้คนสามารถค่อยๆ ชำแหละและได้รู้จักตัวเอง แก่นแท้ของตนเอง และธรรมชาติของตนซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า และด้วยการนั้นจึงเป็นการปล่อยมือจากแนวทางเหล่านี้ มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกลับตัวอย่างแท้จริง รวมทั้งปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริงและใช้ชีวิตตามความจริง  บางคนพูดว่า “เนื่องจากการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองเป็นแนวทางหนึ่งที่ไม่เป็นไปตามความจริงและเป็นของซาตานและพวกศัตรูของพระคริสต์ หากฉันไม่พูดและไม่ทำอะไรเลย เช่นนั้นนั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ได้ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองหรอกหรือ?”  นี่ไม่ถูกต้อง  ดังนั้นการกระทำแบบใดที่ไม่ใช่การยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง?  ถ้าเจ้าอวดตนและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเองในเรื่องเรื่องหนึ่ง เจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ผลของการทำให้คนบางคนยกย่องนับถือและเคารพบูชาเจ้า  แต่ถ้าเจ้าตีแผ่ตนเองและแบ่งปันการรู้จักตนเองของเจ้าในเรื่องเดียวกัน ธรรมชาติของการนี้ย่อมต่างออกไป  นี่ไม่เป็นจริงหรอกหรือ?  การตีแผ่ตนเองเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเองเป็นสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ธรรมดาควรมี  นี่คือสิ่งที่เป็นบวก  ถ้าเจ้ารู้จักตนเองจริงๆ และพูดถึงสภาวะของตนอย่างถูกต้อง แท้จริง และแน่ชัด ถ้าเจ้าพูดถึงความรู้ตามพระวจนะของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ถ้าผู้ที่ฟังเจ้าเกิดความเจริญใจและได้ประโยชน์จากการนี้ และถ้าเจ้าเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระเจ้าและถวายพระสิริแด่พระองค์ นั่นก็คือการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระเจ้า  ถ้าเจ้าพูดถึงจุดแข็งของตนเองอย่างมากมาย ว่าเจ้าทนทุกข์ และยอมลำบาก รวมทั้งตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าอย่างไรผ่านการตีแผ่ตนเอง และผลที่ตามมาก็คือผู้คนยกย่องและเคารพบูชาเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง  เจ้าจำเป็นต้องสามารถระบุความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมทั้งสองนี้ให้ได้  ตัวอย่างเช่น การอธิบายว่าเจ้าอ่อนแอและคิดลบขนาดไหนเวลาเผชิญบททดสอบ และหลังจากอธิษฐานและแสวงหาความจริงแล้ว เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เกิดความเชื่อ และตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าในท้ายที่สุดได้อย่างไร นี่ก็คือการยกชูและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระเจ้า  นี่ไม่ใช่การโอ้อวดและไม่ใช่การให้การเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเจ้าเองเป็นแน่  เพราะฉะนั้น การที่เจ้าจะโอ้อวดและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเจ้าเองหรือไม่นั้นโดยมากแล้วขึ้นอยู่กับว่าเจ้ากำลังพูดถึงประสบการณ์จริงของเจ้าอยู่หรือไม่ และเจ้าสัมฤทธิ์ผลของการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่ ซึ่งจำเป็นต้องดูว่าเวลาที่เจ้ากล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของตนนั้น เจตนาและจุดมุ่งหมายของเจ้าคืออะไร  การทำเช่นนี้จะทำให้ง่ายต่อการใช้วิจารณญาณแยกแยะว่าเจ้ากำลังทำพฤติกรรมแบบใด  ในยามที่เจ้าเป็นพยานยืนยัน ถ้าเจ้ามีเจตนาที่ถูกต้อง เช่นนั้นต่อให้ผู้คนยกย่องและเคารพบูชาเจ้า นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเลย  ถ้าเจ้ามีเจตนาที่ผิด เช่นนั้นแล้วต่อให้ไม่มีใครยกย่องหรือเคารพบูชาเจ้า นั่นยังคงเป็นปัญหา—และถ้าผู้คนเกิดยกย่องและเคารพบูชาเจ้าจริงๆ เช่นนั้นยิ่งเป็นปัญหาเข้าไปใหญ่  เพราะฉะนั้นเจ้าไม่สามารถดูที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวเพื่อกำหนดว่าคนคนหนึ่งยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองหรือไม่  เจ้าต้องดูที่เจตนาของพวกเขาเป็นหลัก โดยวิธีที่ถูกต้องในการแยกแยะระหว่างพฤติกรรมทั้งสองอย่างนี้คือดูตามเจตนา  ถ้าเจ้าเพียงพยายามใช้วิจารณญาณแยกแยะความแตกต่างตามผลลัพธ์ เจ้าก็จะมีแนวโน้มที่จะกล่าวหาคนดีอย่างผิดๆ  คนบางคนแบ่งปันคำพยานที่จริงแท้โดยเฉพาะ และคนอื่นๆ ก็ให้การยกย่องและเคารพบูชาพวกเขาด้วยเหตุผลนี้—เจ้าสามารถกล่าวได้ไหมว่าผู้คนเหล่านั้นกำลังเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง?  เจ้าพูดไม่ได้  ผู้คนเหล่านั้นไม่มีปัญหา คำพยานที่พวกเขาแบ่งปันและหน้าที่ที่พวกเขาทำก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น และมีแต่คนที่ไม่รู้ความกับคนโง่เขลาที่มีความเข้าใจอันบิดเบี้ยวเท่านั้นที่เคารพบูชาคนอื่น  กุญแจสำคัญในการใช้วิจารณญาณแยกแยะว่าผู้คนกำลังยกชูและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตนเองหรือไม่นั้นคือดูที่เจตนาของผู้พูด  หากเจตนาของเจ้าคือการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าความเสื่อมทรามของเจ้าถูกเผยออกมาอย่างไร เจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และเพื่อให้ผู้อื่นได้ประโยชน์จากการนี้ เช่นนั้นแล้วคำพูดของเจ้าย่อมจริงจังและเป็นจริง อีกทั้งสอดคล้องกับข้อเท็จจริง  เจตนาดังกล่าวถูกต้อง และเจ้าไม่ได้โอ้อวดหรือเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง  หากเจตนาของเจ้าคือการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเจ้ามีประสบการณ์จริง เจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วและเจ้ามีความเป็นจริงความจริง เพื่อให้พวกเขายกย่องนับถือเจ้าและเคารพบูชาเจ้า เช่นนั้นแล้วเจตนาเหล่านี้ย่อมไม่ถูกต้อง  นั่นคือการโอ้อวดและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง  หากคำพยานจากประสบการณ์ที่เจ้ากล่าวนั้นเทียมเท็จ ปลอมปน และตั้งใจตบตาผู้คน ยับยั้งพวกเขาไม่ให้มองเห็นสภาวะที่แท้จริงของเจ้า และกีดกันไม่ให้เจตนา ความเสื่อมทราม ความอ่อนแอ หรือความคิดลบของเจ้าถูกเผยให้ผู้อื่นเห็น เช่นนั้นแล้วคำพูดดังกล่าวย่อมเต็มไปด้วยการหลอกลวงและชักพาให้หลงผิด  นี่คือคำพยานเทียมเท็จ นี่คือการลวงพระเจ้าให้หลงเชื่อและนำความเสื่อมเสียมาสู่พระเจ้า และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังมากที่สุด  มีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างสภาวะเหล่านี้ และสภาวะเหล่านี้ล้วนถูกแยกแยะได้โดยขึ้นอยู่กับเจตนา  หากเจ้าสามารถแยกแยะผู้อื่นได้ เจ้าย่อมจะสามารถมองออกถึงสภาวะของพวกเขา จากนั้นเจ้าย่อมจะสามารถแยกแยะตัวเองอีกทั้งมองออกถึงสภาวะของตนเองได้เช่นกัน

หลังจากรับฟังคำเทศนาทั้งหมดนี้แล้ว บางคนก็ยังคงยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองอย่างที่พวกเขาเคยทำก่อนหน้านี้ต่อไป  พวกเจ้าควรจัดการกับผู้คนดังกล่าวอย่างไร?  จงหยั่งรู้พวกเขา เปิดโปงพวกเขา และอยู่ห่างจากพวกเขาไว้  หากคำพูดของพวกเขามีค่าในฐานะจุดอ้างอิง เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถรับเอาคำพูดเหล่านั้นไว้ได้ แต่หากคำพูดเหล่านั้นไม่มีค่าอ้างอิงแต่อย่างใดเลย เจ้าก็ควรละทิ้งคำพูดเหล่านั้นและไม่ได้รับอิทธิพลจากคำพูดเหล่านั้น  หากผู้คนที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้เป็นผู้นำ เช่นนั้นจงเปิดโปงพวกเขา รายงานพวกเขา ละทิ้งพวกเขา และจงอย่ายอมรับความเป็นผู้นำของพวกเขา  จงพูดว่า “คุณเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองและยกย่องตัวเองเสมอ คุณทำให้พวกเราด้านชาและควบคุมพวกเราอยู่เป็นนิตย์ และคุณก็ชักพาพวกเราให้หลงผิด  พวกเราล้วนห่างไกลออกจากพระเจ้ามากขึ้นทุกที และในหัวใจของพวกเราก็ไม่มีพระเจ้าอยู่เลยด้วยซ้ำ—มีแต่คุณเท่านั้น  ตอนนี้พวกเราจะลุกขึ้นมาละทิ้งคุณ”  เจ้าต้องกระทำการในหนทางนี้ เจ้าต้องสอดส่องกันและกัน สอดส่องทั้งตัวเองและผู้อื่น  พวกเจ้าไม่ได้เกาศีรษะต่อหน้าผู้อื่นหรือบอกผู้คนว่าพวกเจ้างดอาหารไปหลายมื้อในเมื่อจริงๆ แล้วเจ้ากินของว่างมากมายลับหลังพวกเขาหรอกหรือ?  บางครั้งเมื่อสภาพแวดล้อมไม่อำนวย การที่ผู้คนไม่อาบน้ำเป็นเวลาหนึ่งเดือนหรืองดอาบน้ำหรืองดสระผมเพราะพวกเขายุ่งมากกับงานย่อมเป็นเรื่องปกติ  นี่ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่พบบ่อย และเป็นราคาที่ผู้คนควรจ่าย  นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่—จงอย่าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่  หากใครบางคนทำเรื่องดังกล่าวให้เป็นบางสิ่งที่ใหญ่กว่าที่เป็นอยู่จริงๆ โดยจงใจเกาศีรษะต่อหน้าผู้อื่นและพูดว่าพวกเขาไม่ได้สระผมมาหลายวันแล้ว จงใจกินยาต่อหน้าผู้อื่น หรือเสแสร้งว่าพวกเขาเหนื่อยล้าและอิดโรยมาก เช่นนั้นทุกคนก็ควรลุกขึ้นเปิดโปงพวกเขาและแสดงความไม่พอใจต่อพวกเขา  ในหนทางนี้ย่อมสามารถจำกัดห้ามคนที่ไร้ยางอายคนนี้ได้  พวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาอวดตนเพื่อให้คนอื่นเห็น แต่กระนั้นพวกเขาก็พยายามให้ผู้คนแสดงให้เห็นความเห็นชอบในพฤติกรรมของพวกเขา จับจ้องพวกเขาด้วยความอิจฉา ความเลื่อมใส และความชื่นชม  พวกเขาไม่ได้กำลังลวงผู้คนหรอกหรือ?  แนวทางเหล่านี้เป็นอย่างเดียวกับตอนที่พวกฟาริสีถือคัมภีร์ไว้และอธิษฐานถึงพระเจ้าตามมุมถนน  พวกเขาไม่แตกต่างจากคนพวกนี้เลย  ทันทีที่ใครบางคนกล่าวถึงพวกฟาริสีที่ถือคัมภีร์ไว้และยืนอ่านคัมภีร์หรืออธิษฐานตามมุมถนน คนเหล่านี้ก็คิดว่า “การทำอย่างนั้นเสื่อมเสียเกินไป  ฉันจะไม่ทำอะไรเช่นนั้น”  ถึงกระนั้นพวกเขาก็กินยาหรือเกาศีรษะต่อหน้าผู้อื่นโดยเจตนา โดยไม่ตระหนักรู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นั้นมีธรรมชาติอย่างเดียวกัน  พวกเขาไม่สามารถมองเรื่องนี้ออก  ต่อมาภายหลังเมื่อพวกเจ้าเผชิญกับเรื่องดังกล่าว พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะและเปิดโปงคนเช่นนี้ เปิดโปงความหน้าซื่อใจคดทั้งหมดของพวกเขา—เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะไม่อาจหาญที่จะกระทำการในหนทางเช่นนั้น  พวกเจ้าต้องกดดันพวกเขาเล็กน้อยและทำให้พวกเขาคิดว่าแนวทาง พฤติกรรม และอุปนิสัยดังกล่าวน่าละอายและถูกทุกคนรังเกียจมากๆ  หากผู้คนรังเกียจสิ่งเหล่านี้มากเหลือเกิน พระเจ้าทรงรังเกียจสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  พระองค์ทรงรังเกียจสิ่งเหล่านี้ยิ่งกว่า  โดยเนื้อแท้แล้วเจ้าไม่สำคัญอะไร  ต่อให้เจ้าไม่ยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง เจ้าก็น่าเวทนามากพอแล้ว แล้วหากเจ้าน่าเวทนามากและยังคงยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง นี่จะไม่ทำให้ผู้คนขยะแขยงหรอกหรือ?  เจ้าไม่เคยทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี เจ้าไม่เคยกระทำการโดยมีหลักการ และเจ้าก็ไม่เคยทำได้ตามข้อเรียกร้องของพระเจ้าในแง่มุมใดๆ  เจ้ากำลังตกที่นั่งลำบากอยู่แล้ว ดังนั้นหากเจ้ายังยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองอีกด้วย เช่นนั้นสิ่งทั้งหลายจะไม่ยากลำบากสำหรับเจ้าขึ้นไปอีกหรอกหรือ?  เจ้าจะอยู่ห่างไกลจากข้อเรียกร้องของพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก และมีระยะห่างที่จะไปถึงมาตรฐานสำหรับการบรรลุความรอดมากขึ้นไปอีก

จงบอกเราที ธรรมชาติของการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองเป็นอย่างไร?  ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามถึงระดับเช่นนั้นแล้ว ความเป็นมนุษย์และเหตุผลของพวกเขาไม่ปกติอีกต่อไปแล้วหรอกหรือ?  พวกเจ้าเคยแสดงให้เห็นการสำแดงถึงการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองในการปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  ใครสามารถพูดเรื่องนี้ได้?  (ข้าพระองค์เคยแสดงให้เห็นการสำแดงเช่นนี้แล้ว  เวลาที่ข้าพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์จนกระทั่งดึกดื่น ข้าพระองค์จะส่งสารไปยังกลุ่มชุมนุมเพื่อที่ผู้อื่นจะได้รู้ว่าข้าพระองค์ยังไม่ได้นอน ณ ชั่วโมงนี้ และเพื่อที่พวกเขาจะได้คิดว่าข้าพระองค์สามารถสู้ทนความทุกข์และยอมลำบากได้  ข้าพระองค์ทำเช่นนี้เองและยังเห็นผู้อื่นทำเช่นนี้อยู่เนืองนิจด้วย)  ดูเหมือนว่าคนเช่นนี้มีมากมายและพวกเขาก็ไม่ใช่คนส่วนน้อย  การทำเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องไม่จำเป็นกระนั้นหรือ?  ช่างโง่เขลาเสียจริง!  มีใครอื่นต้องการพูดอะไรอีกไหม?  (ข้าพระองค์เคยแสดงให้เห็นการสำแดงเช่นนี้แล้ว  เมื่อข้าพระองค์เห็นว่ามีปัญหาบางอย่างอยู่ในงานของคริสตจักร ข้าพระองค์จะลงมือแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยสร้างภาพประทับใจต่อผู้คนอย่างเทียมเท็จว่าข้าพระองค์กระตือรือร้นมาก แต่อันที่จริงโดยมากแล้วข้าพระองค์ไม่ทำสิ่งใดเลยหลังจากพูดขึ้นมาแล้ว  การกระทำของข้าพระองค์ไม่คืบหน้าและไม่มีประสิทธิผล และในท้ายที่สุดปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข และเรื่องนี้ก็ถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้ชำระสะสาง  ข้าพระองค์ใช้ความกระตือรือร้นอันผิวเผินของข้าพระองค์เพื่อตบตาผู้คนและปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าข้าพระองค์ไม่ปฏิบัติความจริง)  เจ้ากำลังกล่าวถ้อยคำที่ว่างเปล่า คุยโต และไม่ลงมือกระทำการจริงๆ อันใด  เจ้าให้ผู้คนเห็นความก้าวแกร่งของเจ้า ราวกับเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง แต่เมื่อถึงเวลาทำบางสิ่ง เจ้าไม่ตั้งใจลงมือทำสิ่งนั้นและตะโกนคำขวัญเท่านั้น  ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็เริ่มต้นอย่างอึกทึกครึกโครมแล้วก็จบด้วยเสียงร้องคร่ำครวญ ทิ้งเรื่องนี้ไว้ให้ไม่เสร็จสมบูรณ์  การสำแดงเช่นนี้ก็เป็นการชักพาให้หลงผิดเช่นกัน  และในอนาคตเมื่อบางสิ่งที่คล้ายกันบังเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าจะแยกแยะในเรื่องนี้หรือไม่?  (ตอนนี้ข้าพระองค์สามารถแยกแยะเรื่องนี้ได้อยู่บ้าง)  เช่นนั้นเจ้ามีสำนึกถึงทิศทางหรือไม่?  หากเรื่องเช่นนี้บังเกิดขึ้นกับเจ้าอีก เจ้าสามารถทำตามขั้นตอนสองขั้นตอนที่ต่างกัน กล่าวคือ ขั้นตอนแรกคือการตัดสินใจว่าที่จริงแล้วเจ้าสามารถดูแลเรื่องนี้ได้หรือไม่  หากเจ้าสามารถดูแลเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรเริ่มทำการนี้อย่างจริงจังและโดยสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ขั้นตอนที่สองคือการอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงนำเจ้าในเรื่องนี้ และเมื่อเจ้าลงมือดำเนินการ เจ้าจำเป็นต้องยอมรับการกำกับดูแลจากทุกคนขณะที่ในเวลาเดียวกันก็จำเป็นต้องปลงใจที่จะให้ความร่วมมือและทำงานร่วมกับทุกคนเพื่อทำงานให้เสร็จสิ้นเช่นกัน  หากเจ้าเรียนรู้ที่จะทำสิ่งทั้งหลายไปทีละขั้นและทำงานในลักษณะที่อยู่กับความเป็นจริง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะแก้ไขปัญหานี้ได้  หากเจ้ากล่าวคำพูดที่ว่างเปล่า คุยโต ปากพล่อยอยู่เสมอ เพียงแค่ทำอย่างขอไปทีอย่างผิวเผินเวลาที่เจ้าทำบางสิ่ง  และไม่อยู่กับความเป็นจริงแม้แต่น้อย เช่นนั้นเจ้าย่อมขี้โกง  เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าสามารถมองเห็นว่ามีปัญหาในงานของคริสตจักรและสามารถให้คำแนะนำวิธีที่ควรแก้ปัญหา นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าอาจมีศักยภาพและอาจมีความสามารถในการทำงานเพื่อยุติเรื่องนี้  สิ่งเดียวก็คือมีปัญหากับอุปนิสัยของเจ้า—เจ้ากระทำการอย่างใจร้อน ไม่เต็มใจที่จะยอมลำบาก และมุ่งเน้นไปที่การตะโกนคำขวัญที่ว่างเปล่าเท่านั้น  ทันทีที่เจ้าค้นพบปัญหา ก่อนอื่นจงดูว่าเจ้าสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้หรือไม่ และหากเจ้าสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ เช่นนั้นก็จงรับเอางานนี้ไว้และทำตามไปจนถึงที่สุด  แก้ไขปัญหานี้ ดำเนินการและลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้คำอธิบายในปัญหานี้กับพระเจ้า  นี่เองคือหมายความของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ารวมทั้งการกระทำการและประพฤติปฏิบัติตนในลักษณะที่อยู่กับความเป็นจริง  หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เช่นนั้นก็จงรายงานปัญหานี้กับผู้นำของเจ้า แล้วดูว่าใครเหมาะสมที่สุดที่จะรับมือกับเรื่องนี้  อันดับแรกเลยก็คือ เจ้าต้องลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าและยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว  หลังจากเจ้าค้นพบปัญหานี้ หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้แต่สามารถรายงานปัญหานี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมได้ลุล่วงความรับผิดชอบประการแรกของเจ้าแล้ว  หากเจ้ารู้สึกว่านี่เป็นหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติและเจ้าดีพอสำหรับงานนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรแสวงหาความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงของเจ้า โดยสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมและกำหนดแผนการเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงทำงานร่วมกันอย่างกลมเกลียวเพื่อทำเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น  นี่คือความรับผิดชอบประการที่สองของเจ้า  หากเจ้าสามารถรับเอาความรับผิดชอบทั้งอย่างนี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยดีแล้ว และเจ้าย่อมจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม  หน้าที่ของผู้คนประกอบด้วยเพียงสองแง่มุมนี้  หากเจ้าสามารถรับเอาสิ่งทั้งหลายที่เจ้ามองเห็นและสามารถทำได้ ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยดี เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า

มีการสำแดงอื่นใดที่เป็นการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองบ้างหรือไม่?  (ข้าพระองค์มีการสำแดงเช่นนี้เมื่อเร็วๆ นี้    ตอนที่ข้าพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์อยู่นั้น ข้าพระองค์ยุ่งวุ่นวายกับสิ่งทั้งหลายทั้งวัน และมีปัญหาบางอย่างในคริสตจักรที่ข้าพระองค์ไม่ได้แก้ไขอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่กลับรับมืออย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม บางคนเห็นว่าข้าพระองค์ยุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ทุกวัน ดังนั้นพวกเขาจึงยกย่องนับถือและเลื่อมใสข้าพระองค์  พฤติกรรมนี้ไม่มีองค์ประกอบของการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวข้าพระองค์เองด้วยหรอกหรือ?  ข้าพระองค์ไม่สามารถมองเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนและรู้สึกถูกตีกรอบเล็กน้อยอยู่เสมอ)  นี่ใช่การเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองหรือไม่?  หากเจ้ายุ่งกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน สามารถสู้ทนความทุกข์และไม่พร่ำบ่น และผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรยกย่องนับถือเจ้า นี่ย่อมเป็นเรื่องปกติและไม่ได้เกิดจากการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเจ้าเอง  เจ้าก็แค่ยุ่งกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนและไม่ได้อวดตนหรือโอ้อวด และเจ้าก็ไม่คอยพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆ ที่เจ้าได้ทนทุกข์มาเรื่อยไป ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเจ้าเอง  อย่างไรก็ตาม ภายนอกนั้นคนมากมายดูเหมือนยุ่งมากเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ในเมื่ออันที่จริงแล้วงานของพวกเขายังไม่ได้เกิดผลลัพธ์อันใดและพวกเขาก็ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาใดๆ เลย  พระเจ้าทรงเห็นชอบกับคนที่ยุ่งในหนทางนั้นหรือไม่?  หากเจ้ายุ่งทั้งวันกับปัญหาที่เรียบง่ายซึ่งคนที่เข้าใจความจริงและจับความเข้าใจหลักธรรมอาจจะแก้ไขได้ในสองชั่วโมง และเจ้าก็รู้สึกค่อนข้างเหนื่อยล้าทีเดียวและรู้สึกว่าเจ้าทนทุกข์มามากแล้ว เช่นนั้นเจ้าไม่เพียงแค่ไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับสิ่งใดเลย แค่วิ่งวุ่นไปทั่วโดยปราศจากจุดมุ่งหมาย ใช่หรือไม่?  เจ้าสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางนี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้ากำลังทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพเกินไป!  กับเรื่องนี้ เจ้าต้องแสวงหาหลักธรรมความจริง  บางครั้งผู้คนมีอะไรต้องทำมากมายและยุ่งอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่บางครั้งพวกเขาก็ไม่มีอะไรทำมากนักแต่ก็ยังคงยุ่งอยู่ดี  อะไรเป็นสาเหตุของเรื่องนี้?  สาเหตุหนึ่งก็คืองานของเจ้าไม่ได้มีการวางแผนและจัดการอย่างมีเหตุผล  เจ้าต้องเข้าใจหน้าที่ซึ่งเป็นงานหลัก วางแผนและจัดการหน้าที่เหล่านั้นอย่างมีเหตุผล และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยประสิทธิภาพที่มากขึ้น  การวิ่งวุ่นโดยไม่มีจุดประสงค์และยุ่งวุ่นวายโดยสูญเปล่าจะไม่ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  อีกสถานการณ์ก็คือเวลาที่เจตนาของเจ้าคือการทำให้ผู้คนคิดว่าเจ้ายุ่ง และเจ้าก็ใช้วิถีทางและภาพลักษณ์ที่ล่วงหลอกนี้เพื่อตบตาผู้อื่น  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาชุมนุม ผู้นำและคนทำงานบางคนไม่แก้ไขปัญหาที่เป็นจริง แต่กลับพูดอย่างไร้จุดหมาย ออกนอกเรื่องไม่หยุดและพูดไปเรื่อยโดยไม่เข้าประเด็นหลัก  การยุ่งในหนทางนี้—ไม่เพียรพยายามเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพหรือความคืบหน้า—เรียกว่าการไม่ยุ่งวุ่นวายกับสิ่งใดเลย  แล้วนี่เป็นท่าทีแบบใด?  นี่เป็นการทำอย่างขอไปทีในงานของตน เป็นการทำตัวสุกเอาเผากิน เป็นการฆ่าเวลา และในท้ายที่สุดก็ยังคงคิดว่า “ไม่สำคัญว่าคนอื่นคิดอย่างไรหรือพระเจ้าดำริอย่างไร ตราบที่มโนธรรมของฉันชัดเจน ฉันย่อมจะไม่เป็นไร  อย่างน้อยที่สุดฉันก็ไม่ได้เอ้อระเหย อย่างน้อยที่สุดฉันก็ไม่ได้ขอกินฟรี”  ภายนอกนั้นอาจดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้เอ้อระเหย เจ้าไม่ได้ขอกินฟรี ทุกวันที่ไม่ว่าเจ้าจะเข้าร่วมการชุมนุมหรือปฏิบัติหน้าที่ของตน และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักร แต่อันที่จริงแล้วลึกลงไปนั้นเจ้ารู้ว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำอยู่นั้นไม่มีประโยชน์หรือไม่มีค่าแม้แต่น้อย และรู้ว่าเจ้าทำอย่างขอไปที  เรื่องนี้เป็นปัญหา  แล้วเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดีเพียงใด?  เจ้ารู้ดีอย่างมากว่าเจ้ามีปัญหา แต่เจ้าไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานั้น—นี่เป็นการทำตัวสุกเอาเผากิน การเป็นคนด้านชา และการเป็นคนดื้อแพ่ง  ผลที่ตามมาจากการทำตัวสุกเอาเผากินและการผัดวันประกันพรุ่งเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจะเป็นอย่างไร?  แน่นอนว่าเจ้าจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า เพราะเจ้าไม่กระทำการตามหลักธรรมหรือประสิทธิภาพ และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเช่นนี้เป็นการลงแรงโดยแท้  หากเจ้าถูกตัดแต่งและได้รับการช่วยเหลือแต่ยังคงไม่กลับใจ และเจ้าถึงขั้นทำการร้องทุกข์รวมทั้งคิดลบและย่อหย่อนขณะทำงาน เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถถูกกำจัดออกไปเท่านั้น  ดังนั้นหากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการทำตัวสุกเอาเผากิน ไม่สำคัญว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามานานแค่ไหน นั่นย่อมจะไม่มีประโยชน์ และเจ้าย่อมจะห่างไกลจากมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยความจงรักภักดี  การทบทวนปัญหานี้เป็นเรื่องที่คู่ควร  พระเจ้าทรงเรียกร้องให้ผู้คนกระทำการตามหลักธรรม ให้พวกเขาปฏิบัติความจริง และให้พวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์  หากคนเราสามารถเข้าสู่ความจริงเหล่านี้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และขั้นต่ำที่สุดนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถกระทำการตามหลักธรรม  รากฐานและกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิผลของคนเราอยู่ตรงนี้นี่เอง  หากคนเราไม่มีหลักธรรมความจริง เช่นนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างติดพันเพียงใดและไม่สำคัญว่าพวกเขาทำงานในแต่ละวันนานเพียงใด พวกเขาย่อมจะมองไม่เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง  เมื่อทรงตัดสินว่าผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วยความจงรักภักดีหรือไม่ พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานานเพียงใด แต่กลับทอดพระเนตรผลลัพธ์ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงและประสิทธิภาพในงานของพวกเขา รวมทั้งทอดพระเนตรว่าพวกเขากระทำการตามหลักธรรมและโดยสอดคล้องกับความจริงหรือไม่  กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ พระองค์ทอดพระเนตรว่าผู้คนมีคำพยานจากประสบการณ์และการเข้าสู่ชีวิตที่แท้จริงในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือไม่  หากผู้คนไม่มีความเป็นจริงความจริงอันใด เช่นนั้นพวกเขาย่อมเป็นแค่คนลงแรง แต่หากพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงและกระทำการตามหลักธรรม เช่นนั้นนั่นย่อมเป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะประชากรของพระเจ้า  ผ่านทางการเปรียบเทียบนี้ อาจเข้าใจได้ว่ามีเพียงผู้ที่ทำได้ตามมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของตนเท่านั้นที่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นประชากรของพระเจ้า  พวกที่ทำไม่ได้ตามมาตรฐานซึ่งทำอย่างสุกเอาเผากินเสมอเป็นคนลงแรง  หากคนเราสามารถทำความเข้าใจความจริงและกระทำการตามหลักธรรม เช่นนั้นการปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ย่อมจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา และตราบที่พวกเขาคลำสะเปะสะปะอยู่ระยะหนึ่ง ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาย่อมจะทำได้ตามมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา  ส่วนพวกที่มีขีดความสามารถต่ำเกินไปหรือพวกที่ทำอย่างสุกเอาเผากินเสมอ การที่พวกเขาจะทำได้ตามมาตรฐานย่อมจะเป็นเรื่องยาก และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่การลงแรง  ส่วนคนที่เลอะเลือน คนโง่ และคนที่มีความเป็นมนุษย์อ่อนด้อยซึ่งไม่ทำงานอันถูกควร ไม่ยอมรับความจริงไม่ว่าจะมีการสามัคคีธรรมความจริงนั้นอย่างไร และยังคงกระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นต่อไป พวกเขาย่อมถูกกำจัดออกไปและถูกปล่อยให้เชื่อในพระเจ้าไปตามที่พวกเขาต้องการเท่านั้น  ดังนั้นหากคนเราไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหลักธรรมและวิ่งวุ่นไปทั่วโดยไม่มีจุดประสงค์และไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับสิ่งใดเลยในทุกวัน เช่นนั้นพวกเขาย่อมต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้และกระทำการตามหลักธรรมโดยเร็ว  พวกเขาควรสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติในทุกวันและไม่เพียงแค่พอใจเมื่อพวกเขาทำงานมาเป็นเวลานานแล้ว โดยให้ความสำคัญกับความมีประสิทธิภาพและการสร้างผลิตผล—มีเพียงผู้คนดังกล่าวเท่านั้นที่เป็นคนที่ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าและเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี

ทุกวันนี้มีคนมากมายที่ติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอยู่ แต่พวกเขาส่วนหนึ่งไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริง และเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็กระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นตามความปรารถนาของตนเองอยู่เสมอ ทำอะไรตามอำเภอใจ  พวกเขาไม่ทำความผิดพลาดใหญ่โต แต่พวกเขาทำความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาดูเหมือนยุ่งมากทุกวันในขณะที่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขายังไม่เคยจัดการเรื่องตามสมควรใดๆ และปล่อยเวลาของพวกเขาให้สูญเปล่า  คนเรายังสามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาทำงานของตนเพื่อให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น  คนเช่นนี้ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ?  หากคนเราปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนและปฏิบัติต่อพระบัญชาของพระเจ้าด้วยท่าทีที่ไม่เคารพเช่นนี้เสมอ ผลที่ตามมาจะเป็นแบบใด?  การทำงานอย่างไร้ประสิทธิผลและการถูกปลดจากหน้าของตนคือผลที่ตามมาสถานเบา—หากคนเราทำความประพฤติชั่วสารพัดอย่าง เช่นนั้นพวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไป และพระเจ้าย่อมจะทรงส่งมอบคนเช่นนั้นให้ซาตาน  การถูกส่งมอบให้ซาตานหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพระเจ้าจะไม่ทรงดูแลพวกเขาอีกต่อไป พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด และพวกเขาจะเริ่มเดินบนเส้นทางที่ผิดและจากนั้นก็จะถูกลงโทษ  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้มิใช่หรือ?  ขณะนี้คือเวลาที่พระเจ้าทรงเปิดเผยผู้คน และหากเจ้าไม่ได้กำลังเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องเป็นการชั่วคราว เช่นนั้นพระเจ้าย่อมจะทรงใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อประทานโอกาสให้เจ้ารับรู้ถึงปัญหาของตนเอง  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เจ้ารู้ว่าพระเจ้าได้ประทานเวลาให้เจ้าทบทวนบ้างแล้ว ว่าพระเจ้ากำลังทรงประทานโอกาสสุดท้ายให้เจ้า หากเจ้ายังคงไม่หันกลับและยังดื้อด้านปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสุกเอาเผากินต่อไป เช่นนั้นพระเจ้าย่อมจะทรงกระทำการ  เมื่อพระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำลายล้างเมืองนีนะเวห์ พระองค์ทรงทำเช่นนั้นทันทีหรือไม่?  ไม่เลย  เมื่อพระเจ้าทรงกระทำการ ขั้นตอนแรกของพระองค์คืออะไร?  พระองค์ทรงแจ้งโยนาห์เป็นอันดับแรก แล้วจึงตรัสบอกเขาอย่างชัดแจ้งว่ากระบวนการทั้งหมดจะเป็นไปอย่างไรและเจตนารมณ์ของพระองค์คือสิ่งใด  หลังจากนี้ โยนาห์ได้ไปยังนีนะเวห์และเดินประกาศแจ้งไปทั่วเมืองว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย” (โยนาห์ 3:4)  สารนี้ไปถึงหูทุกคน ชายหญิง คนหนุ่มสาวและคนชรา รวมทั้งผู้คนจากทุกหมู่เหล่าได้ยินสารนี้—ทุกครัวเรือนรับรู้สารนี้ และแม้แต่กษัตริย์ของพวกเขาก็ได้ยินข่าวนี้  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกระทำการด้วยวิธีการเช่นนี้?  ด้วยการมองดูเรื่องนี้ คนเราสามารถมองเห็นได้ว่าพระองค์กำลังทรงช่วยผู้คนให้รอด กำลังทรงเผยผู้คน หรือว่ากำลังทรงลงโทษผู้คนอยู่ วิธีการที่พระองค์ทรงใช้ปฏิบัติต่อผู้คนล้วนมีขั้นตอนและหลักธรรม  พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำการด้วยอารมณ์ชั่วแล่น ไม่ได้ทรงทำลายล้างใครในทันทีที่พระองค์ไม่โปรดรูปลักษณ์ของพวกเขา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงปล่อยให้เวลาผ่านไประยะหนึ่ง  จุดประสงค์ที่พระองค์ทรงให้เวลาระยะหนึ่งเช่นนี้คืออะไร?  (เพื่อให้ผู้คนกลับใจ)  จุดประสงค์คือการให้ประชาชนแห่งนีนะเวห์รู้ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใด รวมทั้งเปิดโอกาสให้พวกเขาทบทวนและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ทีละน้อยและค่อยๆ เริ่มกลับตัว  การที่ผู้คนจะรับรู้ถึงเรื่องนี้นั้นมีกระบวนการอยู่ และช่วงเวลา 40 วันนี้เป็นเวลาที่พระเจ้าประทานให้ผู้คนได้กลับตัว  หากหลังจากผ่านไป 40 วันแล้วพวกเขายังคงไม่กลับตัว และยังไม่ได้สารภาพบาปของตนกับพระองค์ เช่นนั้นพระเจ้าย่อมจะทรงเสร็จสิ้นเรื่องนี้ตามที่พระองค์ตรัสไว้ว่าจะทรงทำ  นี่เป็นเพราะว่าพระเจ้าตรัสคำไหนคำนั้น และพระองค์ทรงทำตามที่ตรัส—ในพระวจนะเหล่านี้ไม่มีความเทียมเท็จใดเลย  แล้วปฏิกิริยาของผู้คนแห่งนีนะเวห์เป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาได้รับข่าวนี้?  พวกเขาสวมผ้ากระสอบกับขี้เถ้าในทันทีหรือไม่?  ไม่ แต่มีกระบวนการอยู่  ในตอนต้นผู้คนอาจจะกังขาว่า “พระเจ้ากำลังจะทรงทำลายล้างพวกเรา พระองค์ตรัสเช่นนั้นจริงๆ หรือ?  พวกเราทำอะไรไปหรือ?”  หลังจากนี้ทุกบ้านต่างบอกต่อๆ กันไปและร่วมหารือกัน  พวกเขารู้สึกว่าวิกฤติมาถึงแล้วและพวกเขาหมิ่นเหม่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย  แล้วพวกเขาควรทำอย่างไร?  พวกเขาควรสารภาพและกลับใจ หรือควรกังขาและขัดขืน?  หากพวกเขาเลือกที่จะกังขาและขัดขืนอย่างแท้จริง ผลที่ตามมาย่อมจะเป็นว่าพวกเขาถูกทำลายล้างหลังจากผ่านไป 40 วัน แต่หากพวกเขาสารภาพบาปของตนและกลับตัว พวกเขาย่อมจะยังคงมีทางรอด  หลังจากหารือเรื่องนี้อย่างรอบด้านอยู่หลายวัน พลเมืองจำนวนน้อยนิดก็สามารถมีท่าทีที่จะสารภาพบาปและกลับตัว  พวกเขาสามารถก้มกราบนมัสการ ถวายเครื่องบูชา หรือแสดงให้เห็นพฤติกรรมและการสำแดงที่ดีบางอย่าง  แต่มีบุคคลสำคัญที่ขาดไม่ได้อย่างยิ่งยวดคนหนึ่งที่ช่วยเมืองนี้ให้รอด—บุคคลผู้นี้คือใคร?  พระองค์ก็คือกษัตริย์แห่งเมืองนีนะเวห์  กษัตริย์องค์นี้ทรงสั่งคนทั้งประเทศนับตั้งแต่กษัตริย์ลงมาจนถึงสามัญชนระดับต่ำที่สุดให้สวมผ้ากระสอบกับขี้เถ้า สารภาพบาปของตน และกลับใจต่อพระยาห์เวห์พระเจ้า  หลังจากทรงออกคำสั่งเช่นนี้แล้ว จะมีใครในเมืองกล้าไม่ทำตามได้หรือ?  กษัตริย์องค์หนึ่งมีอำนาจเช่นนี้  หากพระองค์ได้ใช้อำนาจที่มีทำสิ่งไม่ดีบางอย่าง เช่นนั้นประชาชนในประเทศย่อมจะประสบกับความวิบัติครั้งใหญ่ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์กลับใช้อำนาจนี้ทำสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นการนมัสการพระเจ้าและการหันกลับมาหาพระองค์ ซึ่งปกปักรักษาเมืองนี้เอาไว้ ประชาชนทั้งประเทศได้รับการช่วยให้รอด และพวกเขาก็มีความหวังที่จะได้รับการอภัยบาป  เรื่องนี้ไม่ได้ถูกตัดสินจากความคิดประการเดียวของกษัตริย์ผู้นี้หรอกหรือ?  หากพระองค์ตรัสว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าเต็มใจที่จะกลับใจหรือไม่ก็ตาม เราจะไม่ทำเช่นนั้น พวกเจ้าตัดสินใจกันเองเถิด  เราไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้ และเราก็ไม่เคยทำความชั่วใดๆ  ยิ่งกว่านั้น เรามีสถานะ แล้วพระเจ้าจะทรงสามารถทำอะไรเราได้?  พระองค์จะทรงสามารถห้ามเราไม่ให้ครองบัลลังก์ของเราได้กระนั้นหรือ?  หากเมืองนี้ถูกทำลาย ก็ให้มันเป็นไปตามนั้น  ถึงจะไม่มีสามัญชนเหล่านี้ เราก็จะยังคงเป็นกษัตริย์อยู่ดี เหมือนดังที่เราเคยเป็นก่อนหน้านี้!”  ถ้าหากพระองค์มีแนวคิดเช่นนี้ ความคิดอ่านเช่นนี้ล่ะ?  เช่นนั้นก็คงจะมีคนธรรมดาสามัญน้อยลงมากที่จะได้รับการช่วยให้รอด และในท้ายที่สุดพระเจ้าก็อาจทรงเลือกเฟ้นเอาคนที่เต็มใจที่จะกลับใจออกมา  หลังจากพระองค์ทรงนำคนเหล่านี้ออกมา พวกที่ยอมตายแทนที่จะกลับใจก็คงจะถูกทำลายล้างไปพร้อมกับเมืองนี้ และแน่นอนว่ากษัตริย์องค์นี้ก็คงจะรวมอยู่ในนั้นด้วย  ส่วนพวกที่เต็มใจจะกลับใจ พวกเขาคงจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หลังจากพระเจ้าทรงนำพวกเขาออกมาจากเมืองนี้  แต่สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือกษัตริย์แห่งเมืองนีนะเวห์สามารถทรงเป็นผู้นำในการสวมผ้ากระสอบกับขี้เถ้า แล้วยังตรัสบอกคนธรรมดาสามัญในเมืองนี้ด้วย ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นหญิงหรือชาย คนหนุ่มสาวหรือคนชรา—ไม่สำคัญว่าพวกเขาเป็นใคร ไม่สำคัญว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงแค่ไหนหรือเป็นชาวนาต่ำต้อยแค่ไหน—ตั้งแต่คนชั้นสูงจนถึงพลเรือนธรรมดาสามัญ ว่าพวกเขาทุกคนต้องสวมผ้ากระสอบกับขี้เถ้าและคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าเพื่อนมัสการ หมอบราบและสารภาพบาปของตน แสดงท่าทีว่าจะกลับตัว หันไปจากหนทางชั่วของตนและละทิ้งความชั่วในมือของตน กลับใจต่อพระเจ้า และอธิษฐานให้พระองค์ไม่ทรงทำลายล้างพวกเขา  กษัตริย์แห่งนีนะเวห์ทรงนำด้วยการกลับใจและสารภาพบาปของพระองค์ต่อพระเจ้า และในการทำเช่นนี้จึงได้ช่วยประชาชนทั้งหมดของเมืองนี้ไว้ โดยมีคนมากมายที่ได้รับประโยชน์ไปพร้อมกับพระองค์  ด้วยการทรงนำในการทำเช่นนี้ จึงกลายเป็นว่าอำนาจของพระองค์มีคุณค่า  การที่กษัตริย์องค์นี้นำประชาชนของพระองค์ให้หันกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นบางสิ่งที่พระเจ้าทรงรำลึกถึง

การสามัคคีธรรมเนื้อหาการยกย่องตัวเองและการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองของศัตรูของพระคริสต์โดยละเอียดเช่นนี้มีประโยชน์อันใดสำหรับพวกเจ้าหรือไม่?  การสามัคคีธรรมครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ การยกตัวอย่าง การบอกเล่าเรื่องราว การใช้วิธีการและคำศัพท์ต่างๆ เพื่ออธิบายและให้นิยามเรื่องนี้—หากผู้คนยังคงไม่เข้าใจ เช่นนั้นพวกเขาย่อมขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง และคนเช่นนี้ย่อมเกินจะช่วยได้  จุดมุ่งหมายในการสามัคคีธรรมโดยละเอียดเช่นนี้คือสิ่งใด?  ก็เพื่อให้มั่นใจว่าหลังจากผู้คนได้ยินคำพูดเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาเข้าใจและยอมรับไม่ใช่คำสอน ไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษร และไม่ใช่การแสดงออกบางอย่าง แต่กลับเป็นความจริงเกี่ยวกับหนทางที่สิ่งทั้งหลายเป็น รวมทั้งความจริงและหลักธรรมบางอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของผู้คน การดำรงอยู่ของพวกเขา และชีวิตของพวกเขา  หากพวกเจ้าสามารถยกคำกล่าวหรือตัวอย่างเหล่านี้ที่เราพูดถึงมาเปรียบกับสภาวะจริงของเจ้าเองหรือเปรียบกับสิ่งที่เจ้าเผยออกมาในชีวิตของเจ้าเอง เช่นนั้นพวกเจ้าย่อมสามารถเข้าใจความจริงและเป็นคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  การยกสิ่งเหล่านี้มาเปรียบเทียบหมายถึงการเชื่อมโยงตัวอย่างแต่ละตัวอย่างและเรื่องแต่ละเรื่องที่เสวนาไปกับสภาวะของเจ้า รวมทั้งการเชื่อมโยงความจริงแต่ละแง่มุมที่สามัคคีธรรมไปกับสภาวะของเจ้าเองและการเผยของเจ้าเอง  หากเจ้ารู้วิธีเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันและนำสิ่งนี้มาใช้ เช่นนั้นเจ้าย่อมมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ เจ้าย่อมมีความหวังที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และเจ้าย่อมสามารถเข้าใจความจริง  หากเจ้าไม่เข้าใจไม่สำคัญว่าสิ่งที่พูดไปคืออะไร หากเจ้าไม่สามารถเชื่อมโยงเรื่องเหล่านี้กับตัวเองได้ หากเจ้ารู้สึกว่าไม่สำคัญว่าเจ้าได้ยินสิ่งใด สิ่งนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่เจ้าเผยออกมาและแก่นแท้ธรรมชาติของตัวเจ้าเอง และหากเจ้าหาความเกี่ยวพันไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่รู้ความอย่างสิ้นเชิงและย่อมไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย เจ้าขาดพร่องความเจ้าใจฝ่ายวิญญาณ  คนที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเช่นนี้ดีสำหรับการลงแรงเท่านั้นและไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  คนที่ต้องการบรรลุความรอดต้องเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง คนเราต้องเข้าใจคำพูดเหล่านี้และเข้าใจเรื่องราวและสภาพการณ์เหล่านี้ที่เราพูดถึง ตลอดจนเข้าใจว่าเรื่องแต่ละเรื่อง การเผยแต่ละประเภท รวมทั้งแก่นแท้ของคนแต่ละประเภทและการสำแดงและสภาวะของพวกเขาคือสิ่งใด แล้วสามารถยกสิ่งทั้งหมดนี้มาเปรียบกับตัวเอง  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถเข้าใจความจริง หากพวกเขาไปไม่ถึงจุดนี้  เช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่สามารถเข้าใจความจริง  คล้ายกับเวลาที่ผู้คนเลี้ยงไก่—หากคนเราเลี้ยงไก่เป็นเวลาครึ่งปี และเจ้าไก่ยังคงไม่ออกไข่เลย จะพูดได้หรือไม่ว่าไก่ตัวนี้ไม่ออกไข่?  (ไม่)  หากเจ้าของเลี้ยงไก่ตัวนี้มาสามปีและให้ข้าวและผักกับมันเป็นอาหาร แต่ไม่ว่ามันจะกินอะไร มันก็ยังคงไม่ออกไข่ เช่นนั้นจะพูดได้หรือไม่ว่าไก่ตัวนี้ไม่ออกไข่?  (ได้)  แล้วเมื่อเป็นเรื่องของผู้คน พวกเขาบางคนไม่เข้าใจไม่ว่าพวกเขารับฟังคำเทศนาใดและไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร  นี่คือคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  มีคนอีกประเภทหนึ่ง ประเภทที่สามารถเข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้ยินมาแต่ไม่นำสิ่งนั้นไปปฏิบัติ ไม่กลับตัว  คนประเภทนี้จบเห่แล้ว และเป็นเหมือนกับคนจากเมืองโสโดม—ไม่แคล้วที่จะเป็นเป้าหมายของการทำลายล้าง  พวกศัตรูของพระคริสต์จัดอยู่ในคนจำพวกนี้ ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กลับตัว  นี่เป็นเพียงอุปนิสัยอันดื้อแพ่งหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขามีแก่นแท้ธรรมชาติที่เป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้าและเป็นอริต่อความจริง และการที่คนเช่นนี้จะเข้าใจความจริงย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  พวกเขาเป็นศัตรูกับความจริง เป็นปรปักษ์ต่อความจริงและพระเจ้า และเป็นอริต่อสิ่งที่เป็นบวก ดังนั้นเวลาที่เจ้าสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาจึงไม่ปฏิบัติต่อความจริงดังเช่นความจริง แต่เป็นดังเช่นทฤษฎี ความรอบรู้ทางวิชาการ หรือคำสอนจำพวกหนึ่ง  หลังจากพวกเขารับฟังการสามัคคีธรรม พวกเขาเตรียมหัวใจของพวกเขาให้พร้อมสรรพด้วยความจริงเพื่อที่หลังจากนี้พวกเขาจะได้สามารถโอ้อวดและได้รับผลประโยชน์ สถานะ ชื่อเสียง และผลกำไรของตนเอง  นี่คือจุดมุ่งหมายของพวกเขา  ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงอย่างไรและไม่สำคัญว่าเจ้าพูดคุยถึงตัวอย่างใด เจ้าก็ไม่สามารถดัดนิสัยพวกเขาได้ และเจ้าก็ไม่สามารถพลิกกลับเจตนารมณ์ทั้งหลายของพวกเขาหรือเปลี่ยนแปลงหนทางที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายได้  พวกเขาเป็นคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  คนที่ไม่ยอมรับและไม่ปฏิบัติความจริงหลังจากได้ยินความจริงนั้นไม่สามารถได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยความจริง และพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยคนเช่นนี้ให้รอด  พวกคนจำพวกนี้โดยแก่นสารแล้วอาจให้นิยามได้ว่าเป็นคนที่เป็นอริกับความจริง และหากพูดให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์  นี่คือความแตกต่างระหว่างพวกศัตรูของพระคริสต์กับคนธรรมดาสามัญ

ผู้คนบางคนมีอุปนิสัยแห่งศัตรูของพระคริสต์ และมักจะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางประการออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่ในขณะเดียวกันกับที่มีการเผยเช่นนั้น พวกเขาก็ทบทวนและทำความรู้จักตัวเองไปด้วย สามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้ และเมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็จะสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวพวกเขาได้  พวกเขาเป็นเป้าหมายแห่งความรอดที่เป็นไปได้  มีบรรดาผู้ที่ภายนอกนั้นดูเหมือนสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลาย สละตนเอง ประสบความทุกข์ยากและจ่ายราคา แต่ในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้น พวกเขารังเกียจและเกลียดความจริง  เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็รังเกียจความจริงนั้นและเป็นปรปักษ์  พวกเขาผล็อยหลับไปในระหว่างการชุมนุมและคำเทศนา  พวกเขาพบว่าสิ่งเหล่านี้น่าเบื่อ และต่อให้พวกเขาเข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังฟังอยู่จริงๆ พวกเขาก็ไม่นำสิ่งนั้นไปปฏิบัติ  มีผู้อื่นที่ดูเหมือนรับฟังคำเทศนาอย่างจริงจังตั้งใจ แต่หัวใจของพวกเขาไม่กระหายความจริงและท่าทีที่พวกเขามีต่อพระวจนะของพระเจ้าก็คือพวกเขาประเมินค่าว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความรู้หรือทฤษฎีฝ่ายวิญญาณประเภทหนึ่ง  และดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อมาแล้วกี่ปี หรือพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาแล้วมากแค่ไหน หรือพวกเขาได้ยินคำเทศนามาแล้วมากแค่ไหน ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเลยในทัศนะที่พวกเขามีต่อการไล่ตามไขว่คว้าสถานะและการสรรเสริญอำนาจ หรือในท่าทีของการรังเกียจความจริง การเกลียดชังความจริง และการขัดขืนพระเจ้าของพวกเขา  พวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ตามแบบฉบับ  หากเจ้าเปิดโปงพวกเขาด้วยการพูดว่า “สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่เป็นการพยายามเอาชนะใจผู้คน และเมื่อคุณยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง คุณกำลังชักพาผู้คนให้หลงผิดและแก่งแย่งสถานะกับพระเจ้า  นี่คือการกระทำของซาตานและพวกศัตรูของพระคริสต์” พวกเขาสามารถยอมรับการกล่าวโทษดังกล่าวได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  พวกเขาคิดอย่างไร?  “การที่ฉันทำตัวแบบนี้นั้นถูกต้องแล้ว ดังนั้นฉันจะทำตัวแบบนี้แหละ  ไม่ว่าคุณกล่าวโทษฉันอย่างไร ไม่ว่าคุณพูดอะไร และไม่ว่าสิ่งที่คุณพูดอาจดูถูกต้องเพียงใด ฉันจะไม่ล้มเลิกการทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ ความพึงปรารถนานี้ การไล่ตามไขว่คว้านี้”  เช่นนั้นก็เป็นที่กำหนดพิจารณาแล้วว่านี่คือพวกศัตรูของพระคริสต์  ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าพูดที่จะสามารถปรับเปลี่ยนทัศนะ ความตั้งใจ วาระซ่อนเร้น ความทะเยอทะยาน หรือความอยากของพวกเขา  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติตามแบบฉบับของพวกศัตรูของพระคริสต์ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ธรรมชาติเหล่านี้ได้  ไม่สำคัญว่าผู้คนสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร หรือพวกเขาใช้ภาษาหรือถ้อยคำใด ไม่สำคัญว่าจะเป็นเวลา พื้นที่ หรือบริบทใด ก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้  ไม่สำคัญว่าสภาพแวดล้อมของพวกเขาเปลี่ยนแปลงอย่างไร ไม่สำคัญว่าผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งรอบตัวพวกเขาเปลี่ยนแปลงอย่างไร และไม่สำคัญว่ากาลเวลาเปลี่ยนแปลงอย่างไร หรือพระเจ้าทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์อย่างยิ่งใหญ่เพียงใด พระเจ้าประทานพระคุณให้พวกเขามากเพียงใด หรือแม้กระทั่งพระเจ้าทรงลงโทษพวกเขาอย่างไร หนทางที่พวกเขามองสิ่งทั้งหลายและวาระซ่อนเร้นของพวกเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อีกทั้งความทะเยอทะยานและความอยากของพวกเขาที่จะยื้อแย่งอำนาจจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  หนทางที่พวกเขาวางตนและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และท่าที่ของการเกลียดชังความจริงและพระเจ้าของพวกเขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  เมื่อผู้อื่นชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่คือการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองและการพยายามชักพาผู้คนให้หลงผิด พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงลักษณะการพูดของพวกเขาให้เป็นลักษณะการพูดที่ผู้อื่นไม่สามารถจับผิดหรือหยั่งรู้ได้  พวกเขาใช้วิถีทางที่เจ้าเล่ห์ยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อดำเนินการบริหารจัดการของพวกเขาจนเสร็จสิ้นและสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายในการปกครองและควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรของพวกเขา  นี่คือสิ่งที่ถูกสำแดงในศัตรูของพระคริสต์ และมันถูกก่อให้เกิดโดยธาตุแท้ของศัตรูของพระคริสต์  ต่อให้พระเจ้าตรัสบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะถูกลงโทษ ว่าบทอวสานของพวกเขาได้มาถึงแล้ว ว่าพวกเขาได้ถูกสาปแช่ง นี่จะสามารถเปลี่ยนแปลงธาตุแท้ของพวกเขาได้หรือ?  มันจะสามารถเปลี่ยนท่าทีของพวกเขาต่อความจริงได้หรือ?  มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงความรักของพวกเขาต่อสถานะ ชื่อเสียง และผลตอบแทนได้หรือ?  มันไม่สามารถ  การแปรสภาพผู้คนที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วให้กลายเป็นผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติซึ่งนมัสการพระเจ้าเป็นพระราชกิจของพระเจ้า มันสามารถสัมฤทธิ์ผลได้  แต่เป็นไปได้ไหมที่จะแปรสภาพเหล่าผี ผู้คนที่แต่งกายด้วยผิวหนังมนุษย์ แต่มีธาตุแท้เยี่ยงซาตาน และผู้ที่ไม่เป็นมิตรกับพระเจ้าให้กลายเป็นผู้คนปกติ?  นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้  พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจประเภทนี้ ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้รวมอยู่ในบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด  เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงนิยามผู้คนเช่นนี้อย่างไร?  พวกเขาเป็นของซาตาน  พวกเขาไม่ใช่เป้าหมายแห่งการคัดสรรหรือความรอดของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงพึงประสงค์ผู้คนเช่นนี้  ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้เชื่อพระเจ้ามานานเท่าใดแล้ว พวกเขาได้ทนทุกข์มากมายเพียงใดแล้ว หรือพวกเขาได้ทำให้สิ่งใดสำเร็จลุล่วงแล้ว วาระซ่อนเร้นของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง  พวกเขาจะไม่ละทิ้งความทะเยอทะยานหรือความอยากได้อยากมีของพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะละทิ้งแรงจูงใจและความใฝ่หาของพวกเขาที่จะแย่งชิงสถานะและผู้คนกับพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้เป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ที่จริงแท้

บางคนพูดว่า “การที่พวกศัตรูของพระคริสต์สามารถทำชั่วและขัดขืนพระเจ้าไม่ใช่แค่การที่พวกเขาเลอะเลือนเพียงชั่วขณะหรอกหรือ?  หากพระเจ้าจะทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์บางอย่างหรือทรงลงโทษพวกเขาสักเล็กน้อย เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถมองเห็นพระเจ้า เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถรับรู้และนบนอบพระเจ้าได้ไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถยอมรับและรับรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงและไม่แก่งแย่งสถานะกับพระเจ้าอีกต่อไปไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไม่มีความเชื่อเพราะพวกเขายังไม่เคยเป็นประจักษ์พยานการที่พระเจ้าทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์อันใดและไม่เคยได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเจ้า และดังนั้นพวกเขาจึงอ่อนแอมากจากนั้นก็ถูกซาตานตบตาใช่หรือไม่?”  ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น  ความทะเยอทะยาน ความอยาก และแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะเฉพาะและแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการที่ใครบางคนถูกตบตาและโง่เขลาและไม่เข้าใจความจริงเพียงชั่วคราว  พวกศัตรูของพระคริสต์โดยเนื้อแท้แล้วมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน และพวกเขาก็รังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริงตั้งแต่เกิด  พวกเขาเป็นซาตานที่ไม่อาจปรองดองกับพระเจ้าได้ เป็นผู้ที่ขัดขืนพระเจ้าและแข่งขันกับพระเจ้าไปจนกระทั่งถึงปลายทาง และพวกเขาคือซาตานซึ่งมีชีวิตที่สวมผิวหนังมนุษย์  คนเช่นนี้ถูกนิยามว่าเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา แล้วพวกเขาสามารถแสดงบทบาทใดและพวกเขาสามารถทำสิ่งใดได้บ้างในพระนิเวศของพระเจ้า?  พวกเขาขัดขวาง ก่อกวน รื้อถอน และทำลายล้างพระราชกิจของพระเจ้า  คนเหล่านี้อดไม่ได้ที่จะทำสิ่งเหล่านี้ในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาเป็นคนแบบนี้ พวกเขามีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน และนี่ก็เป็นดังเช่นหมาป่าที่เข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงแกะ มีเจตนาที่จะสวาปามพวกแกะ—นี่คือจุดประสงค์หนึ่งเดียวของพวกเขา  หากพูดจากมุมมองอื่น เหตุใดพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้คนเหล่านี้ปรากฏในพระนิเวศของพระองค์?  นั่นก็เพื่อที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะได้สามารถมีวิจารณญาณมากขึ้น  ไม่มีใครเคยเห็นว่าซาตานผู้เป็นมารมีรูปลักษณ์อย่างไร แก่นแท้ของการกระทำของมันเป็นอย่างไร การเผยที่เฉพาะเจาะจงของมันเป็นอย่างไร หรือมันชักพาผู้คนให้หลงผิดและต่อต้านพระเจ้าในโลกนี้อย่างไร  เมื่อซาตานผู้เป็นมารถูกกล่าวถึง พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นนามธรรมและว่างเปล่า ไม่เป็นรูปธรรมมากพอ  พวกเขาถามว่า “ซาตานอยู่ที่ไหน?”  มีคำตอบว่า “ในอากาศ”  “เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วซาตานใหญ่แค่ไหน?  มันแสดงปาฏิหาริย์ใดเป็นพิเศษ?  มันต่อต้านพระเจ้าเป็นพิเศษอย่างไร?  แก่นแท้ธรรมชาติของมันเป็นอย่างไร?”  พวกเขารู้สึกว่าทั้งหมดนั้นเป็นนามธรรม คลุมเครือ และว่างเปล่ามาก  อย่างไรก็ตาม โดยผ่านทางการสำแดงและการเผยของพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาสามารถทำให้สิ่งเหล่านี้สอดคล้องต้องกันกับสิ่งที่ซาตานทำและแก่นแท้ธรรมชาติของมัน จากนั้นทั้งหมดนั้นก็กลายเป็นรูปธรรมและไม่เป็นนามธรรมหรือว่างเปล่าอีกต่อไป  ทันทีที่ทั้งหมดนั้นกลายเป็นรูปธรรม เมื่อนั้นผู้คนย่อมสามารถได้ยินมันพูด มองเห็นพฤติกรรมของมัน และแยกแยะแก่นแท้ธรรมชาติของมันได้อย่างจริงจังตั้งใจ  เช่นนั้นในหนทางนี้พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าแก่นแท้ของซาตานผู้เป็นมารซึ่งพระเจ้าตรัสถึงกลายเป็นรูปธรรมและเป็นจริงมากขึ้น รวมทั้งพวกเขาสามารถทำการเปรียบเทียบอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงได้หรอกหรือ?  บางคนมีวุฒิภาวะที่ไม่เป็นผู้ใหญ่และไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาก็ถูกพวกศัตรูของพระคริสต์ตบตาและชักพาให้หลงผิดเพราะความโง่เขลาบางชั่วขณะ ดังนั้นพวกเขาจึงผละจากไปเป็นเวลาประมาณหนึ่งปี  เมื่อพวกเขากลับคืนสู่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ตระหนักว่าการติดตามซาตานทำให้รู้สึกไม่ดี  เมื่อคนเหล่านี้เริ่มติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์ทีแรก พวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีเหตุผลเพียงพอและมีความเชื่อมั่นมาก โดยพูดว่า “เบื้องบนไม่ต้องการให้พวกเราติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์ แต่ไม่ว่าอย่างไรเสียพวกเราก็จะติดตามพวกเขา แล้ววันหนึ่งพวกเราจะได้รับการพิสูจน์ว่าคิดถูก!”  ผลลัพธ์จากการนี้ก็คือ หลังจากผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาได้สูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้ว พวกเขาไม่สามารถรู้สึกได้ถึงการยืนยันใดๆ ในหัวใจของตน  สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขารู้สึกราวกับว่าพระเจ้าไม่ได้สถิตกับพวกเขาอีกต่อไป ความเชื่อของพวกเขาได้สูญเสียความหมายและทิศทางไปแล้ว และพวกเขาก็ค่อยๆ เกิดวิจารณญาณเกี่ยวกับพวกศัตรูของพระคริสต์มากขึ้นทุกที  ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าพวกศัตรูของพระคริสต์เข้าใจความจริงจริงๆ และด้วยการติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาไม่สามารถเกิดการผิดพลาดในความเชื่อของตนได้ แต่ตอนนี้พวกเขาเห็นว่าพวกศัตรูของพระคริสต์มีปัญหาที่ร้ายแรง ว่าพวกศัตรูของพระคริสต์พูดราวกับว่าพวกเขาเข้าใจความจริง แต่พวกเขากลับไม่เคยปฏิบัติความจริงเลย—นี่คือข้อเท็จจริง  พวกเขาเห็นว่าพวกตนติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์มาเป็นเวลานานขนาดนั้นแต่ยังไม่ได้รับความจริงเลย และการยังคงติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์ต่อไปเป็นเรื่องที่เป็นภัยอันตรายมากจริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเสียใจ พวกเขาปฏิเสธพวกศัตรูของพระคริสต์ และพวกเขาก็ต้องการที่จะกลับคืนสู่พระนิเวศของพระเจ้า  ทันทีที่พระนิเวศของพระเจ้ารับผู้คนดังกล่าวกลับคืนแล้ว คนเหล่านั้นจะได้รับการร้องขอให้บอกเล่าประสบการณ์ของตน และพวกเขาก็จะพูดว่า “ศัตรูของพระคริสต์คนนั้นเก่งมากในการชักพาผู้คนให้หลงผิด  ย้อนกลับไปในตอนนั้น ไม่ว่าฉันคิดถึงพวกเขาอย่างไรก็ดูเหมือนพวกเขาคิดถูก แต่ผลลัพธ์ก็คือฉันไม่ได้รับอะไรเลย ไม่เข้าใจความจริงใดๆ และไม่มีแม้แต่ความเป็นจริงความจริงเลยสักนิดหลังจากติดตามพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า  ฉันเสียเวลาอันล้ำค่าไป  ฉันประสบความสูญเสียครั้งใหญ่จริงๆ!”  ประสบการณ์ความล้มเหลวนี้กลายเป็นความทรงจำที่สุดซึ้งที่สุดของพวกเขา  หลังจากพวกเขากลับคืนสู่พระนิเวศของพระเจ้า ยิ่งพวกเขารับฟังคำเทศนามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งเกิดความเข้าใจความจริงมากขึ้น และหัวใจของพวกเขาก็กลายเป็นสดใสมากขึ้นเท่านั้น  เมื่อพวกเขาคิดย้อนกลับไปถึงเวลาที่พวกเขาใช้ในการติดตามศัตรูของพระคริสต์คนนั้นและมองว่าพวกเขาประสบความสูญเสียอย่างไร พวกเขาเกิดความรู้สึกว่าพวกศัตรูของพระคริสต์จริงๆ แล้วเป็นพวกซาตานและโดยพื้นฐานแล้วปราศจากความจริง มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นความจริง และพวกเขาก็ไม่กล้าติดตามมนุษย์คนอื่นอีก  เมื่อถึงเวลาที่ต้องคัดสรรผู้นำอีกครั้ง พวกเขาลงคะแนนเสียงอย่างระมัดระวังมาก โดยคิดว่า “หากฉันลงคะแนนให้คนบางคน เช่นนั้นย่อมเป็นไปได้สูงที่ศัตรูของพระคริสต์จะได้รับเลือก  หากฉันไม่ลงคะแนนเสียงให้คนบางคน เช่นนั้นบางทีศัตรูของพระคริสต์อาจจะไม่ได้รับเลือก  ฉันต้องระมัดระวังและประเมินค่าคนตามหลักธรรม”  การกระทำของพวกเขาในตอนนี้มีพื้นฐานอยู่บนหลักธรรมและมาตรฐานมิใช่หรือ?  (ใช่ มี)  นี่เป็นสิ่งที่ดี  บางคนถูกพวกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและพูดว่า “เหตุใดเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นกับพวกเรา?  พระเจ้าทรงวางพวกเราไว้ก่อนหรือ?  พระองค์ไม่ใส่พระทัยพวกเราอีกต่อไปแล้วกระนั้นหรือ?”  ในสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าจะยินยอมหรือไม่หากพระเจ้าได้ตรัสบอกเจ้าไม่ให้ติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์?  ไม่ เจ้าจะไม่ยินยอม  เจ้าจะยังคงยืนกรานที่จะติดตามพวกเขา และทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสามารถทำได้ย่อมจะเป็นการทรงอนุญาตให้เจ้าทำเช่นนั้น จากนั้นก็ทรงสอนบทเรียนให้เจ้าโดยใช้ข้อเท็จจริงทั้งหลาย  หลังจากติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์เป็นช่วงเวลาหนึ่ง จู่ๆ เจ้าก็ได้สติและเห็นว่าเจ้าได้ประสบความสูญเสียในชีวิตแล้ว และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงรู้สึกสำนึกผิดและต้องการที่จะปฏิเสธพวกศัตรูของพระคริสต์และหวนคืนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้ง  โชคดีที่สำหรับเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงยอมผ่อนปรนและทรงเปี่ยมกรุณา และพระองค์ก็ยังคงต้องประสงค์เจ้า  หากพระองค์ไม่ได้ต้องประสงค์เจ้า เช่นนั้นเจ้าก็คงจะจบสิ้นแล้วอย่างสิ้นเชิง เจ้าคงจะไม่มีโอกาสที่จะบรรลุความรอดอีก—การติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่มีจุดจบที่ดีเลย

เจ้าต้องมองเห็นศัตรูของพระคริสต์อย่างชัดเจนและรู้จักพวกเขาอย่างถูกต้อง  เจ้าต้องรู้วิธีแยกแยะการสำแดงนานัปการของศัตรูของพระคริสต์ และในขณะเดียวกัน เจ้าก็ควรรู้อย่างชัดเจนว่าแก่นแท้ธรรมชาติของตัวเจ้าเองนั้นมีหลายสิ่งที่เหมือนกันกับศัตรูของพระคริสต์  นี่เป็นเพราะว่าพวกเจ้าล้วนเป็นส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์ซึ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และมีความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ บรรดาศัตรูของพระคริสต์นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตานโดยสมบูรณ์ และพวกเขาได้กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตานและพูดจาในนามของซาตาน  เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเช่นกัน แต่เจ้าก็สามารถยอมรับความจริงและมีความหวังว่าจะได้รับความรอด  อย่างไรก็ตาม มีหลายสิ่งหลายอย่างในแง่ของแก่นแท้ที่เจ้ามีเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ ตลอดจนวิธีการและวาระทั้งหลายของเจ้าก็เหมือนกัน  เพียงแต่ว่าเมื่อเจ้าได้ยินความจริงและได้ฟังคำเทศนาแล้ว เจ้าย่อมสามารถเปลี่ยนเส้นทางได้ และการสามารถเปลี่ยนเส้นทางได้นั้นเป็นสิ่งที่กำหนดว่าเจ้ามีความหวังที่จะได้รับความรอด—นี่คือความแตกต่างระหว่างเจ้ากับศัตรูของพระคริสต์  เพราะฉะนั้น เมื่อเรากำลังเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ เจ้าก็ควรเปรียบเทียบและตระหนักว่าเจ้ากับศัตรูของพระคริสต์มีสิ่งใดเหมือนกันบ้าง และเจ้ามีการสำแดง อุปนิสัย และแก่นแท้ในแง่มุมใดบ้างที่เหมือนกับพวกเขา  โดยการทำเช่นนี้ เจ้าจึงจะสามารถรู้จักตนเองได้ดีขึ้นมิใช่หรือ?  หากเจ้ารู้สึกเป็นปฏิปักษ์อยู่เนืองนิตย์ โดยเชื่อว่าตนไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ รู้สึกเกลียดชังศัตรูของพระคริสต์อย่างรุนแรง และไม่เต็มใจที่จะทำการเปรียบเทียบนี้หรือทบทวนตนเองและเข้าใจว่าเจ้ากำลังเดินตามเส้นทางใดอยู่ เช่นนั้นแล้วผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?  ด้วยการมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เจ้าก็มีแววอย่างมากว่าจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์  นี่เป็นเพราะไม่มีศัตรูของพระคริสต์คนใดตั้งใจแสวงหาที่จะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์แล้วจึงกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ การนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และในเรื่องของเส้นทาง พวกเขาก็ลงเอยด้วยการเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  บรรดาผู้ที่อยู่ในโลกแห่งศาสนาซึ่งไม่รักความจริงล้วนเป็นศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  ทุกๆ คนที่ไม่ทบทวนตนเองและไม่เข้าใจแก่นแท้ธรรมชาติของตนเอง และเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา ก็คือศัตรูของพระคริสต์  เมื่อเจ้าออกเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์แล้ว เมื่อเจ้าได้รับสถานะ และผนวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้ามีของประทานและการเรียนรู้บางอย่าง และทุกคนเลื่อมใสเจ้า จากนั้นเมื่อเวลาที่เจ้าใช้ไปในการทำงานยาวนานขึ้น เจ้าก็เริ่มครองที่ทางในหัวใจของผู้คน  เมื่องานที่เจ้ารับผิดชอบมีขอบเขตกว้างขึ้น เจ้าก็เริ่มเป็นผู้นำของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าได้รับต้นทุนมากขึ้นเรื่อยๆ และจากนั้นเจ้าก็กลายเป็นเปาโลโดยแท้จริง  ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าใช่หรือไม่?  เจ้าไม่มีแผนการที่จะเดินตามเส้นทางนี้ แต่เพราะเหตุใดเจ้าจึงออกเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์โดยไม่รู้ตัว?  เหตุผลที่สำคัญประการหนึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็คือ หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าย่อมจะไล่ตามไขว่คว้าสถานะและเกียรติยศอย่างแน่นอนที่สุด เจ้าจะยุ่งอยู่กับธุรกิจของตนเอง จนกระทั่งในที่สุด เจ้าก็จะเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์โดยไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้เลย  หากผู้คนซึ่งกำลังเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ไม่เปลี่ยนเส้นทางให้ทันเวลา เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเขาได้รับสถานะ ก็มีความเป็นไปได้อยู่ไม่น้อยที่พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์—ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  หากพวกเขาไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้ชัดเจน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมตกอยู่ในอันตราย เพราะทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและทุกคนรักความมีหน้ามีตาและสถานะ หากพวกเขาไม่รักความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีความโน้มเอียงอย่างมากที่จะล้มลงเนื่องจากความมีหน้ามีตาและสถานะ  หากไม่ได้รับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้า ทุกคนก็จะเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์และล้มลงเนื่องจากความมีหน้ามีตาและสถานะ และนี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้  เจ้ากล่าวว่า “ฉันมีการเผยเหล่านี้เป็นครั้งคราวเท่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการสำแดงออกมาชั่วคราวเท่านั้น  แม้ว่าฉันจะมีแก่นแท้เหมือนกันกับศัตรูของพระคริสต์ แต่ฉันก็ยังคงแตกต่างจากศัตรูของพระคริสต์เพราะฉันไม่มีความทะเยอทะยานมากมายอย่างที่พวกเขามี  อีกทั้งในขณะที่ฉันกำลังทำหน้าที่ ฉันก็ทบทวนตนเอง รู้สึกสำนึกผิด และแสวงหาความจริงอย่างสม่ำเสมอ และฉันก็ปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  เมื่อตัดสินจากพฤติกรรมของฉันแล้ว ฉันไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์และฉันก็ไม่ปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ฉันจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้”  ตอนนี้เจ้าอาจไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ แต่เจ้าสามารถมั่นใจได้หรือไม่ว่าเจ้าจะไม่เดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์และไม่กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์?  เจ้าสามารถรับประกันเช่นนั้นได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถทำได้  แล้วเจ้าจะสามารถรับประกันเช่นนั้นได้อย่างไร?  มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำการนี้ได้คือการไล่ตามเสาะหาความจริง  เช่นนั้นแล้วเจ้าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร?  เจ้ามีหนทางที่จะทำการนี้หรือไม่?  ก่อนอื่นเจ้าต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้ามีแก่นนิสัยเหมือนกันกับศัตรูของพระคริสต์  แม้ว่าตอนนี้เจ้าไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ก็ตาม สิ่งที่ร้ายแรงและอันตรายที่สุดสำหรับเจ้าคืออะไร?  นั่นก็คือเจ้ามีแก่นแท้ธรรมชาติเหมือนกันกับศัตรูของพระคริสต์  นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเจ้าหรือไม่?  (ไม่ดี)  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน  นี่เป็นสิ่งที่ร้ายแรงสำหรับเจ้า  เพราะฉะนั้น ขณะที่เจ้ากำลังฟังคำเทศนาเหล่านี้ซึ่งเปิดโปงการสำแดงนานัปการของศัตรูของพระคริสต์ จงอย่าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า นี่เป็นการมีท่าทีที่ไม่ถูกต้อง  แล้วเช่นนั้น เจ้าควรมีท่าทีประเภทใดเพื่อที่จะยอมรับข้อเท็จจริงและการสำแดงเหล่านี้?  จงเปรียบเทียบตัวเจ้าเองกับพวกเขา จงยอมรับว่าเจ้ามีแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ แล้วจากนั้นก็ตรวจสอบตนเองเพื่อค้นหาว่าเจ้ามีการสำแดงและการเผยใดบ้างที่เหมือนกับที่ศัตรูของพระคริสต์มี  ก่อนอื่นจงยอมรับข้อเท็จจริงนี้—จงอย่าพยายามอำพรางตนเองหรือห่อหุ้มตนเองไว้  เส้นทางที่เจ้าเดินอยู่นั้นเป็นเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ ดังนั้นการกล่าวว่าเจ้าเป็นศัตรูของพระคริสต์นั้นจึงสอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพียงแต่ว่าพระนิเวศของพระเจ้ายังไม่ได้ระบุว่าเจ้าเป็นเช่นนั้นและกำลังให้โอกาสเจ้าในการกลับใจเท่านั้นเอง  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  ก่อนอื่นจงยอมรับและรับรู้ข้อเท็จจริงนี้ แล้วจากนั้นสิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทูลขอให้พระองค์ทรงบ่มวินัยและควบคุมเจ้า  จงอย่าไปจากความสว่างแห่งการสถิตอยู่ของพระเจ้าหรือไปจากการคุ้มครองของพระองค์ และในหนทางนี้เจ้าจะถูกควบคุมโดยมโนธรรมและเหตุผลของเจ้าในยามที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลาย และเจ้าก็ยังจะมีพระวจนะของพระเจ้าที่ให้ความกระจ่างแก่เจ้า นำเจ้า และคอยควบคุมเจ้าด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นำเจ้า จัดการเตรียมการผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้าเพื่อทำหน้าที่เป็นคำเตือนให้เจ้าและบ่มวินัยเจ้า  พระเจ้าทรงเตือนเจ้าอย่างไร?  พระเจ้าทรงกระทำในหลายหนทาง  บางครั้งพระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความรู้สึกที่เด่นชัดในหัวใจของเจ้า ซึ่งอำนวยให้เจ้าตระหนักได้อย่างแจ่มชัดว่าเจ้าจำเป็นต้องถูกควบคุม เจ้าไม่สามารถปฏิบัติตนอย่างเอาแต่ใจได้ หากเจ้ากระทำผิด เช่นนั้นเจ้าย่อมจะนำความอับอายมาสู่พระเจ้าและทำให้ตนเองขายหน้า และด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงยับยั้งตนเอง  นี่คือการที่พระเจ้าทรงคุ้มครองเจ้ามิใช่หรือ?  นี่คือหนทางหนึ่ง  บางครั้งพระเจ้าจะทรงตำหนิเจ้าภายในตัวเจ้าเองและทรงแสดงพระวจนะที่ชัดเจนแก่เจ้าเพื่อบอกให้เจ้ารู้ว่าการกระทำในหนทางนั้นน่าละอาย พระองค์ทรงรังเกียจการกระทำนั้น การกระทำนั้นน่าสาปแช่ง นั่นก็คือพระองค์ทรงใช้พระวจนะที่ชัดเจนในการตำหนิเจ้าเพื่อให้เจ้าเปรียบเทียบกับตนเอง  พระเจ้าทรงมีจุดประสงค์ใดในการตำหนิเจ้าในหนทางนี้?  พระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพื่อให้มโนธรรมของเจ้ารู้สึกถึงบางอย่าง และเมื่อเจ้ารู้สึกถึงบางอย่าง เจ้าจะคำนึงถึงผลกระทบ ผลที่ตามมา และสำนึกของความละอายของตนเอง และเจ้าก็จะมีความยับยั้งชั่งใจอยู่บ้างในการกระทำและการปฏิบัติของเจ้า  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์เช่นนี้มาหลายครั้ง เจ้าจะพบว่าถึงแม้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จะหยั่งรากลึกภายในตัวผู้คน แต่เมื่อผู้คนสามารถยอมรับความจริงและมองเห็นความจริงเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างชัดเจน พวกเขาก็สามารถขัดขืนเนื้อหนังของตนเองได้อย่างเด็ดเดี่ยว เมื่อผู้คนกลายเป็นคนที่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาย่อมถูกชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงไป  อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำลายไม่ได้หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้—เมื่อเจ้าสามารถยอมรับความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติได้ อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าจะถูกทำลายและถูกแทนที่ไปตามธรรมชาติ  เมื่อเจ้าได้ลิ้มรสว่าการนำความจริงไปปฏิบัตินั้นหอมหวานเพียงใด เจ้าจะคิดว่า “เมื่อก่อนฉันช่างไร้ยางอายเหลือเกิน  ไม่ว่าคำพูดของฉันจะหน้าไม่อายเพียงใดหรือฉันจะเชิดชูตนเองเพื่อให้คนอื่นบูชาฉันอย่างไร ฉันก็ไม่รู้สึกละอายใจและไม่มีความตระหนักใดๆ หลังจากนั้นเลย  ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าการปฏิบัติตนในหนทางนั้นไม่ถูกต้องและฉันขายหน้า และฉันก็รู้สึกราวกับว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ฉัน”  นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  พระองค์ประทานความรู้สึกให้เจ้า และเจ้าจะรู้สึกราวกับว่าเจ้ากำลังตำหนิตนเอง และจากนั้นเจ้าก็จะไม่ทำความชั่วหรือยึดติดกับเส้นทางของตนเอง  โดยไม่รู้ตัว หนทางของเจ้าในการยกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเองก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ เจ้าย่อมยับยั้งชั่งใจตนเองมากขึ้น และเจ้าก็รู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการปฏิบัติตนในหนทางนี้ทำให้หัวใจของเจ้ารู้สึกสบายและมโนธรรมของเจ้ามีสันติสุข—นี่คือการใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลใจหรือใช้คำโกหกหรือคำพูดอันไพเราะเพื่ออำพรางตนเองอีกต่อไป  ในอดีตเจ้าโกหกและต้องพูดคำโกหกต่อไปทุกวันเพื่อปกป้องความมีหน้ามีตาของเจ้า  ทุกครั้งที่เจ้าพูดปด เจ้าก็ต้องโป้ปดต่อไป โดยกลัวมากว่าความลับของเจ้าอาจถูกเปิดเผย  ผลลัพธ์ของการนี้ก็คือเจ้าพูดโกหกมากขึ้นเรื่อยๆ และต่อมาก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากและเค้นสมองอย่างหนักเพื่อที่จะโกหกต่อไป เจ้ากำลังใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกับชีวิตของทั้งมนุษย์และปีศาจ และช่างน่าเหนื่อยล้าเหลือเกิน!  ตอนนี้เจ้ากำลังแสวงหาที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และเจ้าก็สามารถเปิดหัวใจของตนและพูดสิ่งทั้งหลายที่เป็นเรื่องจริงได้  ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะต้องพูดปดและคอยโกหกต่อไปทุกวัน เจ้าไม่ถูกตีกรอบด้วยคำโกหกอีกต่อไป เจ้าทนทุกข์น้อยลงมาก เจ้าใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย มีเสรี และเป็นอิสระมากขึ้น ในส่วนลึกที่สุดในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าสุขสำราญกับความรู้สึกสันติสุขและความชื่นบานยินดี—เจ้ากำลังลิ้มรสความหอมหวานของชีวิตนี้  และในขณะที่เจ้ากำลังลิ้มรสความหอมหวานของชีวิตนี้ โลกภายในของเจ้าก็ไม่หลอกลวง เลวร้าย หรือเทียมเท็จอีกต่อไป  ตรงกันข้าม ตอนนี้เจ้ากลับเต็มใจที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงเมื่อเจ้ามีประเด็นปัญหา เจ้าสามารถหารือเรื่องนี้กับผู้อื่นได้เมื่อเจ้ามีประเด็นปัญหา และเจ้าไม่กระทำการแต่ฝ่ายเดียวหรือกระทำการตามอำเภอใจอีกต่อไป  เจ้ารู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าหนทางที่เจ้าเคยทำสิ่งทั้งหลายนั้นน่าเหยียดหยามและเจ้าไม่ต้องการทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เจ้ากลับปฏิบัติตนในหนทางใดก็ตามที่ตรงตามความจริง เหตุผล และเจตนารมณ์ของพระเจ้า หนทางที่เจ้าปฏิบัติตนได้เปลี่ยนไปแล้ว  เมื่อเจ้าสามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้ นั่นย่อมหมายความว่าเจ้าออกไปจากเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์แล้วมิใช่หรือ?  และเมื่อเจ้าได้ออกจากเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์แล้ว นั่นหมายความว่าเจ้าได้ออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการบรรลุความรอดแล้วมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าได้ออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการบรรลุความรอดและมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้งแล้ว ท่าที เจตนา มุมมอง เป้าหมายชีวิต และทิศทางในชีวิตของเจ้าย่อมไม่ต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไป เจ้าเริ่มรักสิ่งที่เป็นบวก และเจ้าก็เริ่มรักความยุติธรรม ความชอบธรรม และความจริง  เมื่อการนี้เกิดขึ้น ส่วนลึกที่สุดในหัวใจและความคิดของเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  เมื่อเจ้าได้ออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการบรรลุความรอดแล้ว เจ้ายังคงสามารถกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้อีกหรือไม่?  เจ้ายังคงสามารถต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถทำได้ และตอนนี้เจ้าก็พ้นจากอันตรายแล้ว  ผู้คนจะสามารถเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้าได้โดยการเข้าสู่สภาวะนี้เท่านั้น และพวกเขาจะสามารถทิ้งเรื่องเดือดร้อน การควบคุม รวมถึงการก่อกวนที่เกิดจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานและธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ของตนได้โดยการแสวงหาและการยอมรับความจริงในหนทางนี้เท่านั้น  ตอนนี้เจ้าออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตของการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้วหรือยัง?  หากเจ้ายังไม่ได้ทำเช่นนั้น จงรีบเร่งและเพียรพยายามอย่างหนักเพื่อก้าวไปสู่เส้นทางนั้น  หากเจ้าไม่สามารถก้าวไปสู่เส้นทางในการไล่ตามเสาะหาความจริงได้ เจ้าย่อมจะยังคงใช้ชีวิตอยู่ในอันตราย—บรรดาผู้ที่เดินไปในเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ล้วนตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกำจัดออกไปได้ทุกเมื่อ

คนส่วนใหญ่กำลังต่อสู้กับอุปนิสัยแบบศัตรูของพระคริสต์ของตนเองขณะที่ทำหน้าที่ของตน เหนื่อยล้าจากการต่อสู้เพื่อให้ได้ความมีหน้ามีตา สถานะ เงินทอง และผลประโยชน์ เหนื่อยหน่ายทั้งกายและใจ  แล้วเมื่อใดจึงจะแก้ไขปัญหานี้ได้?  มีเพียงการไล่ตามเสาะหาความจริงและการสามารถยอมรับความจริงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถค่อยๆ ทิ้งข้อจำกัดและพันธะจากแก่นแท้ธรรมชาติเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ของเจ้าและเป็นเหตุให้อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าค่อยๆ อ่อนแอลงและอันตรธานไป และในการทำเช่นนี้เจ้าย่อมจะมีความหวังที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากอำนาจของซาตาน  พวกเจ้าแอบร่ำไห้เพราะสิ่งเหล่านี้ รู้สึกว่าพวกเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย ไม่สามารถรักความจริงได้เลย และไม่สามารถรับมือกับสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริงได้เลย รวมทั้งเกลียดชังตัวเองมากจนกระทั่งพวกเจ้าตบหน้าตัวเองและหลั่งน้ำตาอันขมขื่นหรือไม่?  พวกเจ้าทำเช่นนี้มาแล้วหลายครั้งหรือไม่?  หากใครบางคนไม่ได้ทำเช่นนี้เป็นอันมาก นั่นไม่ทำให้พวกเขาด้านชาหรอกหรือ?  คนเช่นนี้ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตนเสื่อมทราม และพวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าตนทำงานได้ดี พวกเขามีขีดความสามารถและความสามารถพิเศษ พวกเขาเข้าใจความจริงมากมาย และพวกเขาสามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ มากมายตามหลักธรรม รู้สึกมั่นใจมาก—คนเช่นนี้ด้านชา พวกเขาคิดว่าตนยิ่งใหญ่ และนี่เป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับพวกเขา!  ตอนนี้พวกเจ้าสามารถรับรู้ได้จริงๆ หรือไม่ว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าน้อยเกินไป พวกเจ้าห่างไกลจากการทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้า และพวกเจ้ายังคงอยู่ในเขตอันตราย?  คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่มีการรับรู้นี้ คนที่ปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เช่นกัน  คนส่วนใหญ่งุนงงและเลอะเลือน คิดว่าตราบที่พวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและไม่ทำชั่ว เช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่ได้กำลังเดินตามเส้นทางแห่งพวกศัตรูของพระคริสต์ และตราบที่พวกเขาไม่ทำความชั่วทุกรูปแบบ เช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่ใช่พวกศัตรูของพระคริสต์  เพราะเหตุนี้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจึงอยู่ในสภาวะของความด้านชา มักจะรู้สึกพอใจกับตัวเอง คิดว่าตนยิ่งใหญ่และจะบรรลุความรอดในไม่ช้า และเส้นทางแห่งพวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา  คำอธิษฐานประจำวันของพวกเจ้าสามารถใช้ประเมินวัดได้ว่าเจ้าอยู่ในสภาวะนี้หรือไม่  พวกเจ้าอธิษฐานสิ่งใดเมื่อพวกเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในทุกๆ วัน?  หากในทุกๆ วันเจ้าพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รักพระองค์!  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบพระองค์!  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะลุล่วงพระบัญชาที่พระองค์ประทานให้ข้าพระองค์!  ข้าพระองค์สามารถทำหน้าที่ของข้าพระองค์อย่างจงรักภักดี และข้าพระองค์ก็ปลงใจแน่วแน่ที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัยและได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระองค์  ไม่สำคัญว่าข้าพระองค์มีการสำแดงเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์แบบใดหรือข้าพระองค์รู้จักตัวเองน้อยเพียงใด พระองค์ก็ยังคงทรงรักข้าพระองค์และทรงปรารถนาที่จะช่วยข้าพระองค์ให้รอด” เช่นนั้นนี่คือการสำแดงใด?  นี่คือความด้านชา เจ้าแสดงเพียงความมุ่งมั่นเท่านั้น และเจ้าก็ไม่มีการเข้าใจเกี่ยวกับแก่นแท้ธรรมชาติของตัวเองแต่อย่างใด  เจ้าอยู่ในช่วงระยะที่กระตือรือร้น และเจ้าก็ห่างไกลจากการมีความเป็นจริงความจริงมาก  เวลาผ่านไปมากแค่ไหนก่อนที่พวกเจ้าจะสามารถกล่าวคำอธิษฐานที่แท้จริงได้หนึ่งคำ พูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเจ้ากับพระเจ้า บอกสถานการณ์ที่เป็นจริงของพวกเจ้ากับพระองค์ รู้สึกถึงสันติสุขและความชื่นบานยินดีในหัวใจของพวกเจ้า และรู้สึกว่าพวกเจ้ากำลังใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง?  จงบอกเราที เวลาผ่านไปมากแค่ไหนก่อนที่พวกเจ้าจะสามารถทำเช่นนี้ได้สักครั้งหนึ่ง?  หนึ่งเดือน สองเดือน หกเดือน หรือหนึ่งปี?  หากพวกเจ้าไม่เคยกล่าวคำอธิษฐานที่แท้จริงเลยสักคำและยังคงอธิษฐานดังเช่นที่ผู้คนอธิษฐานในโลกศาสนา โดยพูดเสมอว่าพวกเจ้ารักพระเจ้า แสดงความมุ่งมั่นของพวกเจ้าอยู่เป็นนิตย์ พูดวลีที่กำหนดตายตัวเดิมๆ อยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นพวกเจ้าย่อมขาดพร่องเกินไปและไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด  โดยทั่วไปแล้ว คนที่เชื่อในพระเจ้ามาแล้วสามถึงห้าปีจะไม่พูดสิ่งทั้งหลายแบบเด็กๆ และไม่รู้ความเช่นนั้นเมื่อพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพราะพวกเขาแน่ใจว่าพวกเขาจะติดตามพระเจ้า และพวกเขายังมีความเชื่ออีกด้วย และพวกเขาก็เข้าใจความจริงของนิมิตเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า เจตนารมณ์ของพระเจ้า แผนการบริหารจัดการของพระเจ้า รวมทั้งจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว  ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาอธิษฐานเพื่อให้ได้สิ่งใดเมื่อพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า?  สิ่งหนึ่งก็คือการรู้จักตัวเอง และอีกสิ่งคือการกล่าวคำพูดที่แท้จริงบางคำ ซึ่งก็คือ ข้าแต่พระเจ้า วันนี้ข้าพระองค์มีความลำบากยากเย็นบางอย่าง ข้าพระองค์ทำบางสิ่งที่ทำให้ข้าพระองค์เป็นหนี้พระองค์ ข้าพระองค์ขาดตกบกพร่องในบางเรื่อง และข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองข้าพระองค์ และทรงนำทาง ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงให้ความกระจ่างข้าพระองค์  คนคนนี้เริ่มพูดบางสิ่งที่ค่อนข้างแท้จริงซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงความจริง และพวกเขาก็ไม่กล่าวบรรดาคำพูดเกี่ยวกับความมุ่งมั่นรวมทั้งคำขวัญซึ่งผู้คนที่กระตือรือร้นเหล่านั้นซึ่งเพิ่งจะเริ่มที่จะเชื่อเป็นผู้กล่าวอีกต่อไป  เหตุใดพวกเขาจึงไม่กล่าวสิ่งเหล่านี้?  พวกเขารู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ในการกล่าวสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ สิ่งทั้งหลายเช่นนี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการภายในที่จะได้รับความจริงหรือความต้องการที่จะได้รับการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  ไม่ว่าเจ้าเชื่อมาแล้วกี่ปีก็ตาม ไม่ว่าเจ้าทำอย่างขอไปทีหรือมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างจริงใจเมื่ออธิษฐานถึงพระองค์หรือไม่ก็ตาม ในสิบวันเจ้ากล่าวถ้อยคำที่ว่างเปล่าและวลีเด็ดเหล่านั้นกี่วัน?  ใครบางคนอาจพูดว่าหนึ่งวัน แล้วในอีกเก้าวันพวกเขาอธิษฐานสิ่งใด?  หากคำอธิษฐานของพวกเขาเกี่ยวข้องกับหน้าที่และการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา เช่นนั้นนั่นย่อมดีอยู่แล้ว และนี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังแบกรับภาระต่อความจริง ต่อพระวจนะของพระเจ้า และต่อหน้าที่ของตนเองอยู่บ้าง และพวกเขาไม่ด้านชานักอีกต่อไป  เราหมายถึงสิ่งใดหรือกับวลีที่ว่า “พวกเขาไม่ด้านชานักอีกต่อไป”?  เราหมายถึงว่าเมื่อเรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและมีการกล่าวถึงสภาวะต่างๆ พวกเขารู้สึกถึงบางสิ่งและมีการตระหนักรู้ และพวกเขาก็สามารถเข้าใจได้เช่นกัน  พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจและการจับใจความ และพวกเขาก็เข้าใจเรื่องเหล่านี้ไม่ว่ามีการอธิบายเรื่องเหล่านี้อย่างไร และเกือบจะเห็นด้วยกับเรื่องเหล่านี้—นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้รับวุฒิภาวะบ้างแล้ว  คนที่ด้านชาแสดงให้เห็นการสำแดงแบบใด?  พวกเขาใช้ชีวิตเช่นนั้นทุกวัน ไม่เพียรพยายามและไม่ก้าวหน้า และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงพูดสิ่งเก่าๆ เดิมๆ อยู่เสมอเมื่อพวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า  พวกเขาไม่เข้าใจการเข้าสู่ชีวิตแม้แต่น้อย พวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ พวกเขาไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลย พวกเขาไม่แสดงปฏิกิริยาใดเลยไม่ว่าพวกเขารับฟังคำเทศนามากแค่ไหนและไม่ว่าจะมีการสามัคคีธรรมความจริงอย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกว่าทั้งหมดนั้นซ้ำซากจำเจและทั้งหมดนั้นหมายถึงสิ่งเดียวกัน  แล้วพวกเขามีอะไรจะพูดกับพระเจ้าบ้างหรือไม่?  สิ่งที่ผู้คนจะอธิษฐานและพูดเมื่อพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าขึ้นอยู่กับคำพูดในหัวใจของพวกเขาที่พวกเขาต้องการพูดกับพระเจ้า และพวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาต้องพูดสิ่งเหล่านี้กับพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด  ในหัวใจของเจ้า อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องมีความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับข้อกำหนดของพระเจ้า ความลำบากยากเย็นที่เจ้าเผชิญ และวิธีที่เจ้าควรทำให้ได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า  หากในหัวใจของเจ้าไม่มีอะไรเลย และทั้งหมดที่เจ้าทำได้คือกล่าวคำพูดบางคำที่ฟังเสนาะหูรวมทั้งคำขวัญและคำสอนบางอย่าง และแค่ทำอย่างขอไปที เช่นนั้นนั่นย่อมไม่ใช่คำอธิษฐาน  หากเจ้าได้ให้ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นแต่ยังไม่เคยทำสิ่งใดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแม้แต่น้อย และในท้ายที่สุดเจ้าก็ยังคงหมิ่นเหม่ไปในทางที่จะทรยศพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า และถอนตัวได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นนี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าปราศจากวุฒิภาวะ  ในตอนนี้เมื่อพวกเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน หากพวกเจ้าสามารถรักษาสัมพันธภาพของพวกเจ้ากับพระเจ้าให้สัมพันธ์กับข้อกำหนดของพระเจ้าและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเจ้าเองได้เป็นส่วนใหญ่ เช่นนั้นสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าย่อมจะได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่เดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ และนี่ย่อมหมายความว่าเจ้าจะเริ่มเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระเจ้าแล้ว

ตอนนี้พวกเจ้ามีความชัดเจนเกี่ยวกับการสำแดงต่างๆ ของพวกศัตรูของพระคริสต์ที่ยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง ตลอดจนคำนิยามเกี่ยวกับธรรมชาติของพฤติกรรมดังกล่าวแล้วหรือไม่?  มีความแตกต่างใดหรือไม่ระหว่างการสำแดงของพวกศัตรูของพระคริสต์กับการสำแดงถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนธรรมดาสามัญ?  พวกเจ้าสามารถทำการเปรียบเทียบในยามที่เผชิญกับประเด็นปัญหาอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถคำนึงถึงว่าการสำแดงของพวกศัตรูของพระคริสต์เป็นการสำแดงของคนธรรมดาสามัญที่เสื่อมทรามหรือในทางกลับกันได้หรือไม่?  พวกเจ้าควรจำแนกความต่างระหว่างสองสิ่งนี้อย่างไร?  การตัดสินอุปนิสัยของคนคนหนึ่งผ่านทางการสำแดงและการเผยอันสม่ำเสมอของพวกเขารวมทั้งการตัดสินแก่นแท้จากอุปนิสัยของพวกเขาเป็นหนทางที่ถูกต้องแม่นยำในการให้คำนิยามเกี่ยวกับพวกเขา  พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงและไม่ยกย่องพระเจ้า พวกเขาก็แค่ยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองเท่านั้น  การสำแดงนี้เห็นได้ชัดเจนและโดดเด่นยิ่งนัก อีกทั้งถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาครอบงำอย่างสิ้นเชิง  แม้คนธรรมดาสามัญก็ยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองเช่นกัน แต่เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาสามารถยอมรับสามัคคีธรรมดังกล่าวและรับรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง และพวกเขาก็สามารถยอมรับความจริงได้ เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหรือง่ายดายมากสำหรับพวกเขา—นี่คือความแตกต่างระหว่างพวกศัตรูของพระคริสต์กับคนธรรมดาสามัญ  ทีนี้เมื่อได้พูดเช่นนี้ไปแล้ว การแยกแยะระหว่างพวกเขากลายเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  พวกศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะเฉพาะอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือ เมื่อพวกเขาไม่รักความจริงและปฏิเสธความจริง พวกเขาปฏิเสธความจริงโดยตรงหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขานำวิธีการใดมาใช้ในการปฏิเสธความจริงเพื่อให้เจ้าเห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริง?  พวกเขาจะยุ่งอยู่กับการใช้เหตุผลอันชาญฉลาดเพื่อหักล้างเจ้า โดยพูดว่าสิ่งที่เจ้ากำลังสามัคคีธรรมอยู่ไม่ใช่ความจริง และมีเพียงสิ่งที่พวกเขาสามัคคีธรรมเท่านั้นที่เป็นความจริง  ตัวอย่างเช่น พวกเขาเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองและใครบางคนเปิดโปงพวกเขา แล้วหลังจากนั้นพวกเขาแสดงให้เห็นการสำแดงใดบ้างที่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นยืนยันว่าพวกเขาไม่รักหรือไม่ยอมรับความจริง?  การยุ่งอยู่กับการใช้เหตุผลอันชาญฉลาดและการพยายามแก้ต่างให้กับตัวเองคือการสำแดงหนึ่ง และยังมีการปกปิดความจริงที่เป็นข้อเท็จจริงอีกด้วย และวาระซ่อนเร้นของพวกเขาก็คือความจริงที่ว่านั้นเอง  วาระซ่อนเร้นของพวกเขาคือการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นเคารพนับถือพวกเขาอย่างสูงส่ง  พวกเขาจะไม่ปล่อยให้เจ้ารู้วาระซ่อนเร้นของพวกเขา พวกเขาก็จะแค่พูดสิ่งทั้งหลายที่เทียมเท็จและฟังดูรื่นหู ยุ่งอยู่กับการใช้เหตุผลอันชาญฉลาด ตบตาเจ้า ทำให้เจ้าสับสน เพื่อที่ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะได้พูดว่าพวกเขาไม่ได้กำลังเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง จากนั้นพวกเขาก็จะได้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตนแล้ว  พวกเขากล่าวสิ่งทั้งหลายที่เทียมเท็จและฟังดูรื่นหู ยุ่งอยู่กับการใช้เหตุผลอันชาญฉลาด ตบตาผู้คน พวกเขาไม่ยอมรับว่าพวกเขากำลังเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง พวกเขาไม่ยอมรับการที่เจ้าเปิดโปงพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับการตำหนิของเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเขาจะยอมรับการถูกนิยามในข้อเท็จจริงนี้  พวกเขาไม่ยอมรับเรื่องนี้แม้แต่น้อย และถึงขั้นคิดหาข้ออ้างต่างๆ โดยพูดว่า “นั่นไม่ใช่ตัวฉันที่เป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง  มีเหตุผลและบริบทในการที่ฉันพูดเช่นนั้น  การพูดสิ่งที่ไม่เหมาะสมไม่กี่อย่างในสถานการณ์นั้นเป็นเรื่องปกติทั้งสิ้นและไม่ใช่ปัญหา  เรื่องนี้นับว่าเป็นการเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองได้หรือไม่?  ยิ่งกว่านั้น ฉันทำงานทั้งหมดนี้แล้วและแม้ฉันยังไม่ได้รับความดีความชอบใดเลย ฉันก็ยังคงทนทุกข์ที่จะทำงานนี้  หากบางคนจะเคารพนับถือฉันอย่างสูงส่งและเคารพบูชาฉันย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่”  พวกเขาไม่คิดว่าพฤติกรรมที่ทำให้เสื่อมเสียเช่นนี้ การกระทำที่น่าขยะแขยงเช่นนี้เป็นเรื่องใหญ่—นี่ใช่ท่าทีของการยอมรับความจริงหรือไม่?  พวกเขาไม่รู้สึกถึงความละอายแก่ใจเนื่องจากความประพฤติชั่วเหล่านี้ และถึงขั้นคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่—นี่คือแก่นแท้ของคนชั่ว  พวกศัตรูของพระคริสต์เชื่อว่าการยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองเหมาะสมทั้งสิ้นและเป็นสิ่งที่พวกเขาควรทำ  พวกเขาคิดว่า “ฉันทำสิ่งนี้เพราะฉันมีความสามารถนี้—คนอื่นคู่ควรกับการทำสิ่งนี้ไหม?  ฉันได้รับการสนับสนุนจากทุกคน ฉันสร้างคุณูปการให้คริสตจักรไปมากเหลือเกิน ฉันมีส่วนร่วมแบ่งปันต่อพระนิเวศของพระเจ้ามากเช่นนั้นและแบกรับความเสี่ยงมากเหลือเกิน!  หากคุณไม่ให้บำเหน็จและไม่ให้ผลประโยชน์แก่ฉันเลยเป็นเรื่องที่เป็นธรรมหรือไม่?  พระเจ้าทรงชอบธรรมมิใช่หรือ?  พระองค์ไม่ทรงตอบแทนแต่ละคนตามการกระทำของพวกเขาหรอกหรือ?  เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วฉันไม่คู่ควรกับการสนับสนุนจากทุกคนเนื่องจากการได้สร้างคุณูปการทั้งหมดนี้และแบกรับความเสี่ยงทั้งหมดนี้หรอกหรือ?”  พวกเขาคิดว่าพวกเขาต้องได้บางสิ่งตอบแทนสำหรับการทำหน้าที่ของตน และบำเหน็จขั้นต่ำก็ควรเป็นการสนับสนุนจากทุกคนรวมทั้งการสามารถชื่นชมความจงรักภักดี เกียรติยศ และผลประโยชน์ที่พวกเขาสมควรได้รับ  นี่ใช่ท่าทีของการยอมรับความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วในที่นี้อะไรคือความจริง?  ตัวอย่างเช่น เจ้าพูดกับพวกเขาว่า “ไม่ว่าผู้คนทนทุกข์มากเพียงใด พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพวกเขาก็ควรทนทุกข์เพราะพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  การทนทุกข์ขณะที่ทำหน้าที่ของตนเป็นเพียงแค่หนทางหนึ่งซึ่งผู้คนทนทุกข์  ไม่ว่าพวกเรามีความสามารถเพียงใดหรือพวกเรามีพรสวรรค์ใด พวกเราไม่ควรคาดหวังบำเหน็จใดๆ และไม่ควรพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า”  นี่ไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ?  นี่คือความจริงที่เป็นรากฐานที่สุดซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรเข้าใจ  อย่างไรก็ตาม ความจริงนี้พบได้ในปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกรวมทั้งในความคิดและทัศนะของพวกเขาหรือไม่?  (ไม่ได้)  เมื่อพวกเขาได้ยินความจริงนี้พวกเขายอมรับความจริงนี้หรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่ยอมรับ  ท่าทีของพวกเขาเป็นอย่างไร?  พวกเขาเชื่อว่าการอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าก็เป็นดังเช่นการอยู่ในโลก พวกเขาต้องได้รับบำเหน็จตามการลงแรงของพวกเขา พวกเขาต้องได้รับบางสิ่งสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และหากพวกเขาแบกรับความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่นนั้นพวกเขาก็ควรรับผลประโยชน์และพระคุณที่พวกเขาสมควรได้รับ  การปฏิบัติหน้าที่ของคนเราเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของคนทุกคน และค่าตอบแทนไม่สำคัญในเรื่องนี้  พวกศัตรูของพระคริสต์ยอมรับความจริงนี้หรือไม่?  ท่าทีของพวกเขาเป็นอย่างไร?  พวกเขาเต็มไปด้วยการสบประมาทและเป็นปรปักษ์ โดยพูดว่า “พวกคุณน่ะพวกปัญญาอ่อน แม้แต่เรื่องนี้พวกคุณก็ยอมรับ!  นั่นใช่ความจริงหรือไม่?  นั่นไม่ใช่ความจริง นั่นเป็นเพียงแค่การหลอกผู้คนให้หลงกล  ความเที่ยงธรรมและความเท่าเทียมกันท่ามกลางผู้คน—นั่นต่างหากคือความจริง!”  จะกล่าวได้ว่านี่คือสิ่งประเภทใด?  นี่คือตรรกะกับความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของซาตาน  แล้วสิ่งเหล่านี้สามารถชักพาพวกที่ไม่เข้าใจความจริงให้หลงผิดได้หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้สามารถชักพาพวกคนเหล่านั้นให้หลงผิดได้อย่างง่ายดายมาก!  บางคนอ่อนแอ พวกเขาไม่เข้าใจความจริงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา อีกทั้งพวกเขาก็ขาดพร่องขีดความสามารถและความสามารถในการทำความเข้าใจ และพวกเขาก็ไม่มีความเชื่อมากนัก และเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกว่าสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ฟังเข้าทีมาก และพวกเขาก็คิดว่า “ใช่แน่นอน  ฉันโง่เง่าขนาดนี้ได้อย่างไร?  ในที่สุดแล้ววันนี้ฉันก็ได้พบคนที่เข้าใจ  สิ่งที่พวกเขาพูดถูกต้อง!”  คนเหล่านี้รับฟังและยอมรับสิ่งทั้งหลายที่ฟังดูมีเหตุผลและเป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาไม่ปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าตามหลักธรรมที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะตรงตามความรู้สึกของผู้คน ตรงตามการคิดและตรรกะของผู้คน ตรงตามขนบธรรมเนียมและความเคยชินหรือวัฒนธรรมดั้งเดิมของผู้คนหรือไม่ พระวจนะของพระเจ้าย่อมเป็นที่สิ้นสุด และพระวจนะเหล่านี้ทุกวจนะก็คือความจริงตั้งแต่ต้นจนจบ  พระวจนะของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องมีใครมาตั้งคำถามหรือวิเคราะห์ และไม่ว่ามวลมนุษย์ทั้งปวงจะเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกหรือผิดก็ตาม และไม่ว่าจะมีใครสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่ พระวจนะของพระเจ้าย่อมเป็นความจริงไปตลอดกาล  พระวจนะของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องทนทานต่อการทดสอบแห่งกาลเวลา และพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมีมวลมนุษย์มาตรวจสอบยืนยันผ่านทางประสบการณ์—พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  นี่ใช่สิ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์คิดหรือไม่?  พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าทรงต้องมีเหตุผล!  ความชอบธรรมของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  ไม่ใช่ว่าพวกที่ทนทุกข์มากมายและมีความสามารถอย่างยิ่งได้รับบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ และพวกที่ทนทุกข์เล็กน้อยที่ไม่มีความสามารถมากนักกับพวกที่ไม่สร้างคุณูปาการได้รับบำเหน็จเล็กน้อยหรอกหรือ?”  พระเจ้าตรัสเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าไม่ตรัสเช่นนี้  พระเจ้าตรัสสิ่งใดหรือ?  พระเจ้าตรัสว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราเป็นอาชีวะของคนทุกคน การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรามาพร้อมกับหลักธรรมของตัวเอง ทุกคนควรปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหลักธรรมความจริง และนี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ  ในที่นี้มีการกล่าวถึงค่าตอบแทนใดบ้างหรือไม่?  มีการกล่าวถึงบำเหน็จใดบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีการกล่าวถึงค่าตอบแทนหรือบำเหน็จ—นี่คือภาระผูกพัน  “ภาระผูกพัน” หมายความว่าอย่างไร?  ภาระผูกพันเป็นบางสิ่งที่ผู้คนควรทำ เป็นบางสิ่งซึ่งใช้ไม่ได้กับการได้รับบำเหน็จตามการลงแรงของคนเรา  พระเจ้าไม่เคยทรงระบุเงื่อนไขว่าคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนมากควรได้รับบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ และคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนน้อยหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวในลักษณะที่ไม่เป็นประโยชน์ควรได้รับบำเหน็จเล็กน้อย—พระเจ้าไม่เคยตรัสสิ่งเช่นนี้  แล้วพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่าอย่างไร?  พระเจ้าตรัสว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราเป็นอาชีวะของคนทุกคน และเป็นบางสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ—นี่คือความจริง  พวกศัตรูของพระคริสต์เข้าใจเรื่องนี้อย่างนี้หรือไม่?  พวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าอย่างไร?  พวกเขาจะปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านี้ในลักษณะที่แตกต่างออกไป  จากมุมมองด้านผลประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาจะมีการตีความพระวจนะของพระเจ้าอย่างบิดเบือน  กล่าวให้แน่ชัดก็คือสิ่งที่พวกเขาทำคือปลอมแปลงพระวจนะของพระเจ้า โดยใช้วิถีทางและความเข้าใจของตัวเองในการแปรเปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้าและความจริงให้เป็นการตีความอีกอย่าง  แล้วธรรมชาติของการตีความเช่นนั้นเป็นอย่างไร?  การตีความเช่นนั้นเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา สามารถชักพาผู้คนให้หลงผิดได้ อีกทั้งสามารถยั่วยุและชักนำผู้คนได้  พวกเขาเปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นการพูดในลักษณะของตน ราวกับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงที่พวกเขากำลังแสดง และหลังจากพระเจ้าตรัสบางสิ่งแล้ว พวกเขาต้องเปลี่ยนแปลงวิธีที่พระเจ้าตรัสสิ่งนั้นรวมทั้งหลักธรรมแห่งพระวจนะของพระเจ้าเป็นวิธีของตนเอง  หลังจากพวกเขาเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นเป็นวิธีของตนเองแล้ว นั่นยังคงเป็นความจริงอยู่หรือไม่?  ไม่ ไม่ใช่—นั่นคือความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติ  พวกเจ้าสามารถแยกแยะเรื่องนี้ได้หรือไม่?  (ได้ ถึงระดับหนึ่ง)  หลังจากรับฟังคำเทศนามากมายยิ่งนัก บางคนก็เกิดวิจารณญาณขึ้นมาบ้าง  แล้วแก่นแท้ของการต่อต้านและการปฏิเสธความจริงของพวกศัตรูของพระคริสต์คืออะไร?  (คือการปลอมแปลงพระวจนะของพระเจ้าและตีความพระวจนะของพระเจ้าอย่างบิดเบือน)  แล้วเจตนาของพวกเขาในการปลอมแปลงพระวจนะของพระเจ้าและตีความพระวจนะของพระเจ้าอย่างบิดเบือนคืออะไร?  เพื่อที่ผู้คนจะได้ไม่ยอมรับความจริงและยอมรับความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของพวกเขาแทน  พวกเขาแสดงความจริงแบบผิดๆ ตามการคิดและตรรกะของตนเอง ผลประโยชน์และทัศนะรวมทั้งมโนคติอันหลงผิดของตน  เช่นนั้นนี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา และพวกเขาก็สามารถยั่วยุและชักพาบางคนที่โง่เขลาและไม่รู้ความรวมทั้งผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงให้หลงผิดได้เช่นกัน  สำหรับเจ้าแล้วคำพูดของพวกเขาอาจดูเหมือนถูกต้องเมื่อเจ้าได้ยินคำพูดเหล่านี้เป็นครั้งแรก แต่หากเจ้าวิเคราะห์คำพูดเหล่านี้อย่างระมัดระวัง เจ้าย่อมจะพบความทะเยอทะยานและกลอุบายของซาตานที่แฝงเร้นอยู่ภายในคำพูดเหล่านี้  จุดประสงค์ของความทะเยอทะยานและกลอุบายของพวกเขาคืออะไร?  จุดประสงค์ของพวกเขาคือการทำประโยชน์ให้ตัวเอง ทำให้วิธีการในการทำสิ่งทั้งหลายและพฤติกรรมของพวกเขาเองธำรงคงไว้ได้ ให้ผู้คนทำการประเมินพวกเขาในทางที่ดี เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่แย่และชั่วของพวกเขาเป็นพฤติกรรมและวิธีการในการทำสิ่งทั้งหลายที่ถูกควรซึ่งตรงตามความจริง  ในหนทางนี้ พวกเขาเชื่อว่าผู้คนจะไม่ปฏิเสธพวกเขา และพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษพวกเขา  บางทีพวกเขาอาจจะสามารถชักพาผู้อื่นให้หลงผิดเพื่อให้ผู้คนไม่ปฏิเสธพวกเขา แต่พวกเขาสามารถให้พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษพวกเขาได้หรือไม่?  มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกศัตรูของพระคริสต์โง่เง่าที่สุดตรงนี้นี่เอง  พวกเขาต้องการใช้ลิ้นทองและ “สมองอันฉลาดหลักแหลม” ของตนขบคิดความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติจำพวกที่จะปลอมแปลงความจริง เพื่อให้คำกล่าวของพวกเขาสามารถธำรงคงไว้ได้ และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการบอกปฏิเสธถ้อยดำรัสของพระเจ้าและปฏิเสธการดำรงอยู่ของความจริง—นี่ไม่ใช่การที่พวกเขาคิดโดยสำคัญผิดหรอกหรือ?  พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  บางคนถามว่าจะทำสิ่งใดได้บ้างเมื่อศัตรูของพระคริสต์ชักพาบางคนให้หลงผิด  หากคนเช่นนี้ถูกชักพาให้หลงผิดจริงๆ และไม่สามารถเปลี่ยนเส้นทางได้ เช่นนั้นนี่ย่อมหมายความว่าพวกเขาถูกเผยให้เห็นและถูกกำจัดออกไปแล้ว และสมควรที่จะเป็นเช่นนั้นแล้ว  นี่ก็คือการที่พวกเขาจบสิ้นแล้วและไม่สามารถหลีกหนีได้ พวกเขาได้ถูกชี้ชะตากรรมว่าจะต้องตาย และพระเจ้าก็ไม่เคยทรงวางแผนที่จะช่วยคนเช่นพวกเขาให้รอด  พวกเขาเข้าสู่คริสตจักรภายใต้การเสแสร้งแกล้งทำอันเทียมเท็จ ลงแรงเล็กน้อยและได้ชื่นชมพระคุณอยู่บ้าง และเมื่อพระเจ้าไม่ต้องประสงค์พวกเขาอีกต่อไป พระองค์ก็ประทานพวกเขาให้ซาตาน  บังเอิญจริงๆ ที่พวกเขาได้ยินความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติ และเมื่อได้ยินเช่นนี้พวกเขาก็ปรบมือและเห็นชอบกับเรื่องนี้ จากนั้นพวกเขาก็ออกไปติดตามซาตาน  นี่คืออะไร?  นี่คือการใช้ซาตานให้ทำงานรับใช้ มีข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งในหนังสือวิวรณ์ที่กล่าวว่า “จงให้คนอธรรมประพฤติการอธรรมต่อไป จงให้คนโสมมประพฤติการโสมมต่อไป จงให้คนชอบธรรมทำการชอบธรรมต่อไปและจงให้คนบริสุทธิ์เป็นคนบริสุทธิ์ต่อไป” (วิวรณ์ 22:11)  นี่หมายความถึงการที่ผู้คนถูกแยกตามประเภทของตนเอง  เมื่อเป็นเรื่องของคนเหล่านั้นที่ติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์ นี่เป็นเพียงแค่พวกเขาประมาทเลินเล่อชั่วขณะหรือไม่?  เป็นเพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงคอยเฝ้าระวังหรือไม่?  นี่คือการที่พวกเขาถูกชี้ชะตากรรมว่าจะต้องตาย!  หลังจากคบหาสมาคมกับคนเช่นนี้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ เจ้าจะได้เห็นว่าพวกเขาไม่คู่ควรกับการได้รับการช่วยให้รอด—พวกเขาต่ำช้าเกินไป!  เมื่อตัดสินจากลักษณะนิสัยของและการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขา ธรรมชาติของพวกเขาเลวร้ายและรังเกียจความจริง และพวกเขาก็ไม่คู่ควรกับการได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาไม่คู่ควรกับการได้รับสืบทอดพระคุณอันมหาศาลเช่นนั้นจากพระเจ้า  หากพระเจ้าไม่ประทานพระคุณนี้แก่พวกเขา เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะไม่ได้รับพระคุณนี้ และดังนั้นคำสามคำอันเป็นหนทางสรุปพวกเขาได้เที่ยงตรงที่สุดก็คือ “ไม่พ้นความตาย”

การยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองเป็นการสำแดงหลักของพวกศัตรูของพระคริสต์ และการให้นิยามแก่นแท้ของพวกเขาตามการสำแดงนี้ก็เหมาะสมและเป็นรูปธรรมอย่างยิ่ง—นี่ไม่ใช่คำนิยามที่ว่างเปล่า  ด้วยการมองวาระซ่อนเร้น ความทะเยอทะยาน การเผยแก่นแท้ของพวกเขา รวมทั้งจุดมุ่งหมายที่ดำเนินต่อเนื่องในการกระทำของพวกเขา คนเราย่อมสามารถเห็นได้ว่าการยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองคือการสำแดงอันเป็นลักษณะเฉพาะของพวกศัตรูของพระคริสต์  มีพวกศัตรูของพระคริสต์คนใดบ้างหรือไม่ที่ไม่เคยยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง?  (ไม่มี)  เหตุใดจึงไม่มี?  เพราะความทะเยอทะยานและความอยากของพวกเขาเหลือคณานับยิ่งนัก และพวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้  ไม่ว่าพวกเขาใช้ชีวิตท่ามกลางกลุ่มคนใด หากไม่มีใครยกย่องและเคารพบูชาพวกเขา พวกเขาย่อมรู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่าหรือความหมาย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงกระหายร้อนรนที่จะยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองเพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตน  พวกเขาใช้ชีวิตเพื่อเป็นเลิศกว่าผู้อื่น และต้องการให้ผู้คนเคารพบูชาและติดตามพวกเขา และต่อให้คนเหล่านั้นเป็นดังเช่นแมลงวันที่น่ารำคาญและน่ารังเกียจหรือแก๊งขอทาน พวกเขาก็ไม่ถือสา  ตราบที่มีคนที่เคารพบูชาและติดตามพวกเขา เช่นนั้นพวกเขาย่อมรู้สึกผ่อนคลาย  หากพวกเขาสามารถได้รับเสียงปรบมืออันบ้าคลั่งจากแฟนๆ ดังเช่นที่นักร้องที่มีชื่อเสียงได้รับ เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะรู้สึกมีความสุขมากๆ พวกเขาชอบการได้ชื่นชมสิ่งนี้—นี่คือธรรมชาติของพวกศัตรูของพระคริสต์  ไม่ว่าผู้คนประเภทใดติดตามหรือเคารพบูชาพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์ชอบผู้คนเหล่านั้นทั้งหมด  ต่อให้คนที่ติดตามพวกเขาเป็นผู้ที่ต่ำช้าและน่ารังเกียจที่สุด ต่อให้คนเหล่านั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตราบที่คนเหล่านั้นยกย่องพวกเขาและตอบสนองความทะเยอทะยานและความอยากที่จะได้สถานะของพวกเขา เช่นนั้นพวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่ถือสา  แล้วพวกศัตรูของพระคริสต์สามารถหยุดยั้งตัวเองไม่ให้ยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองรวมทั้งไม่โอ้อวดทุกหนทุกแห่งที่พวกเขาไปได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นี่คือแก่นแท้ของพวกเขา  จงบอกเราที บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริงคือคนประเภทใด?  ในบรรดามวลมนุษย์ มีคนประเภทหนึ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จะคัดสรรและช่วยให้รอด และคนเหล่านี้ก็มีมโนธรรม เหตุผล และความละอายแก่ใจอย่างขั้นต่ำที่สุด  บรรดาผู้ที่ดีกว่านี้เล็กน้อยสามารถรักความจริง รักสิ่งที่เป็นบวก และรักความเที่ยงธรรมและความชอบธรรมของพระเจ้า พวกเขาสามารถเกลียดชังความเลวร้าย พวกเขารู้สึกแค้นเคืองเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมหรือเลวร้าย และต่อให้พวกเขาไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้เลย พวกเขาก็ยังคงเกลียดชังสิ่งเหล่านี้—คนเหล่านี้เป็นขั้นต่ำที่สุดที่พระเจ้าต้องประสงค์  ส่วนพวกที่ไม่มีความเป็นมนุษย์หรือแก่นแท้นี้ พระเจ้าไม่ต้องประสงค์พวกเขา ไม่สำคัญว่าพวกเขาพูดถึงความดีงามของพระเจ้ามากเพียงใดหรือพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เพียงใด  ตัวอย่างเช่น ชาวฟาริสีในศาสนายกย่องพระเจ้าและเป็นพยานให้พระเจ้าด้วยทฤษฎีว่างเปล่าและคำพูดผิวเผินเก่าๆ เดิมๆ และพวกเขาก็ไม่เบื่อที่จะพูดสิ่งเหล่านี้แม้หลังจากผ่านไปสองพันปีแล้ว  ตอนนี้พระเจ้ากำลังทรงแสดงความจริงมากมายเหลือเกิน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นความจริงเหล่านี้ได้ พวกเขาเพิกเฉยต่อความจริงเหล่านี้ และบางคนถึงขั้นกล่าวโทษและหมิ่นประมาทความจริงเหล่านี้  เรื่องนี้เผยพวกเขาออกมาอย่างสิ้นเชิง และพระเจ้าก็ทรงให้นิยามพวกเขาว่าเป็นชาวฟาริสีหน้าซื่อใจคดมานานแล้ว ซึ่งพวกเขาทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งของซาตาน พระเจ้าทรงกำหนดว่าพวกเขาเป็นพวกปีศาจและซาตาน เป็นสุกรและสุนัข  เมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์มาถึงยังกลุ่มคนเช่นนี้และเห็นว่ามีน้อยคนนักในบรรดาคนกลุ่มเช่นนี้ที่สามารถเข้าใจความจริง ไม่มีพวกเขาคนใดมีวิจารณญาณหรือความสามารถพิเศษใดๆ พวกเขาก็เร่งรีบในการฉวยประโยชน์ที่จะโอ้อวดจากโอกาสนี้  บางคนอวดตัวว่าครั้งหนึ่งตนได้รับการยอมรับให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยระดับโลกสองแห่งในเวลาเดียวกัน และในท้ายที่สุดก็ไม่ได้ไปเพราะพวกเขามาเชื่อในพระเจ้าและยอมรับพระบัญชาของพระองค์  หลังจากได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ บางคนเริ่มที่จะเคารพนับถือพวกเขาอย่างสูงส่งมาก  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง และหากสิ่งทั้งหลายที่เจ้ารักและโลกทัศน์ของเจ้าเป็นอย่างเดียวกับสิ่งทั้งหลายและโลกทัศน์ของผู้คนทางโลก เจ้าจะเคารพบูชาคนเช่นนี้ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์พูดสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ เจ้าจะถูกพวกเขาหลอกและชักพาให้หลงผิด  พวกศัตรูของพระคริสต์แอบยกย่องตัวเองอย่างนี้ และคนโง่เขลาเหล่านั้นที่ไม่มีวิจารณญาณก็ถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิด  พวกศัตรูของพระคริสต์ลงเอยด้วยการรู้สึกมีความสุขมาก คิดว่าไม่มีใครที่อยู่ภายใต้พวกเขาปกติธรรมดา ในเมื่อในข้อเท็จจริงแล้วคนเหล่านั้นล้วนเป็นแค่คนเลอะเลือนและคนไม่เอาไหนกลุ่มหนึ่ง  พวกที่ไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงล้วนถูกพวกซาตานและพวกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดได้ทั้งนั้น  เมื่อพวกเขาได้ยินพวกซาตานและพวกศัตรูของพระคริสต์พูด พวกเขารู้สึกว่านั่นตรงกับความคิดและรสนิยมของตนเองจริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงชื่นชมการรับฟังสิ่งนั้น  พวกเขาไม่สามารถใช้การคิดปกติทำการตัดสินเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังรับฟัง และพวกเขาก็จะไม่พบคนที่เข้าใจความจริงที่จะช่วยให้พวกเขาแยกแยะสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ ตราบที่พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขากำลังรับฟังอยู่นั้นฟังดูมีเหตุผล พวกเขาย่อมจะเต็มใจที่จะยอมรับสิ่งนั้น และดังนั้นพวกเขาจึงถูกชักพาให้หลงผิดโดยไม่ตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ  หากบรรดาผู้ที่มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณได้ยินพวกศัตรูของพระคริสต์พูด พวกเขาจะรู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังพยายามที่จะชักพาผู้อื่นให้หลงผิดและพวกเขาจะปฏิเสธคนเหล่านั้น  คนเลอะเลือนเหล่านั้นที่ขาดพร่องวิจารณญาณจะเชื่อว่าพวกศัตรูของพระคริสต์มีการเรียนรู้ มีขีดความสามารถดี และมีจุดหมายปลายทางในอนาคต  พวกเขาจะมองสิ่งทั้งหลายอย่างนี้ และจะถูกปรากฏการณ์บางอย่างที่ผิวเผินชักพาให้หลงผิด พวกเขาจะไม่รู้ว่าหลักธรรมความจริงคืออะไร และพวกเขาจะออกไปติดตามพวกซาตาน  คนเช่นนี้ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดการทำลายล้างของตนเองเนื่องจากความโง่เขลาและการไม่รู้ความของตนหรอกหรือ?  เป็นอย่างนี้นี่เอง  หากเจ้ามีวิจารณญาณเกี่ยวกับการสำแดงต่างๆ ของพวกศัตรูของพระคริสต์ซึ่งยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองอยู่เนืองนิจ หรือหนทางต่างๆ ของพวกเขาในการทำเช่นนั้น และเจ้าก็สามารถตัดสินจุดประสงค์และวาระซ่อนเร้นเบื้องหลังคำพูดของพวกเขาได้ เช่นนั้นย่อมจะเป็นเรื่องง่ายที่เจ้าจะมองแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ออก และเมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสามารถปฏิเสธและสาปแช่งพวกเขาได้ทันที และไม่ได้เห็นพวกเขาอีกเลย  เหตุใดเจ้าจึงจะทำเช่นนี้?  เพราะเวลาที่เจ้าเห็นพวกศัตรูของพระคริสต์พูดและกระทำการ เจ้าย่อมจะรังเกียจและเกลียดชังพวกเขา เจ้าจะรู้สึกขยะแขยงราวกับเจ้ากำลังมองดูแมลงวัน และจะจำเป็นต้องขับพวกเขาออกไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ดังนั้นทันทีที่เจ้ามีวิจารณญาณเกี่ยวกับการกระทำและพฤติกรรมของพวกศัตรูของพระคริสต์ เจ้าควรเปิดโปงพวกเขาทันทีเพื่อให้ผู้อื่นสามารถแยกแยะพวกเขาได้ จากนั้นจึงขับไล่พวกเขาออกจากคริสตจักรตามหลักธรรม  พวกเจ้ากล้าที่จะทำเช่นนี้หรือไม่?  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าวุฒิภาวะของพวกเขาเติบโตขึ้นแล้ว และพวกเขาย่อมสามารถแสดงการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและพิทักษ์งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณ พวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะไม่มีฐานที่มั่นในคริสตจักรหรือในพระนิเวศของพระเจ้าอีกต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นโอกาสใด ตราบที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีโอกาสเหมาะ พวกเขาย่อมจะโอ้อวดและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง และตราบที่มีผู้คนที่เคารพบูชาพวกเขาและพิจารณาพวกเขาด้วยสายตาที่เลื่อมใส อิจฉา และเคารพ พวกเขาย่อมจะมีความสุข—พวกเขาไม่ใส่ใจว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร  พวกเขามีมาตรฐานที่พวกเขากำหนดจากพวกที่ติดตาม เคารพบูชา และยกย่องบูชาพวกเขาหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นพวกปัญญาอ่อน ผู้ที่วิกลจริต คนชั่ว หรือผู้ไม่เชื่อหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด รวมถึงกระทั่งคนที่ควรถูกเอาตัวออกไปและกำจัดออกไป ตราบที่คนเหล่านั้นสามารถติดตาม เคารพบูชา และยกย่องพวกเขา เช่นนั้นพวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมยอมรับคนเหล่านั้น พวกศัตรูของพระคริสต์ชอบคนเหล่านั้นมาก และเอาชนะใจคนเหล่านั้นให้มาอยู่ข้างเดียวกับพวกเขาและคุ้มครองคนเหล่านั้น  พวกศัตรูของพระคริสต์คำนึงถึงว่าคนเหล่านั้นเป็นแกะของพวกเขา เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขา และพวกเขาไม่อนุญาตให้คนอื่นโยกย้ายคนเหล่านั้น เปิดโปงคนเหล่านั้น หรือจัดการกับคนเหล่านั้น  ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะประจบประแจงและเอาอกเอาใจพวกศัตรูของพระคริสต์อย่างไร ไม่ว่าพวกเขาจะพูดสิ่งที่น่าคลื่นเหียนและน่าผะอืดผะอมแบบใด พวกศัตรูของพระคริสต์จะชื่นชมทั้งหมดนั้น ตราบที่คนเหล่านั้นประจบสอพลอพวกเขา ทั้งหมดนั้นย่อมดีอยู่แล้วสำหรับพวกศัตรูของพระคริสต์  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกศัตรูของพระคริสต์พูดและทำก็เพื่อให้คนอื่นเคารพนับถือพวกเขาอย่างสูงส่ง ชอบพวกเขา และติดตามพวกเขา และไม่ว่าคนที่ติดตามพวกเขาทำสิ่งที่แย่มากแค่ไหน พวกศัตรูของพระคริสต์จะไม่ตรวจสอบคนเหล่านั้น และพวกศัตรูของพระคริสต์จะไม่ถือสาไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้จะเคลือบแฝงและมุ่งร้ายเพียงใด  ตราบที่คนเหล่านั้นติดตามและเคารพบูชาพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะชอบคนเหล่านั้น และตราบที่คนเหล่านั้นสามารถรักษาอำนาจและสถานะของพวกศัตรูของพระคริสต์ไว้ได้ รวมทั้งไม่ขัดแย้งหรือต่อต้านพวกเขา เช่นนั้นพวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะรู้สึกพึงพอใจเหลือเกิน—พวกศัตรูของพระคริสต์เป็นอย่างนี้นี่เอง  ในทางตรงกันข้าม พวกศัตรูของพระคริสต์ปฏิบัติอย่างไรต่อคนเหล่านั้นที่เปิดโปงพวกเขาและขัดขวางไม่ให้พวกเขายกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองอยู่เสมอ รวมทั้งผู้ที่ดูถูกเหยียดหยามพวกเขาจากการที่ทำเช่นนั้น ตลอดจนบรรดาผู้ที่สามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาซึ่งสามารถมองแก่นแท้ของปัญหาของพวกเขาออกและมีวิจารณญาณอันจริงแท้เกี่ยวกับพวกเขา?  พวกเขาโกรธขึ้นมาจากความละอายแก่ใจในทันที และพวกเขาก็เฝ้าระวัง กีดกัน และโจมตีคนเหล่านั้น ในท้ายที่สุดก็คิดหาหนทางที่จะแยกบรรดาผู้ที่สามารถแยกแยะและต่อต้านพวกเขาได้ออกไป  อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังการที่พวกเขาทำเช่นนี้?  เป็นเพราะเมื่อพวกเขายกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง พวกเขาคิดเสมอว่าคนเหล่านั้นเป็นสิ่งบาดตาและหนามในเนื้อ และคนเหล่านั้นจะแยกแยะและปฏิเสธพวกเขา เปิดโปงพวกเขา รวมทั้งพังทลายสิ่งที่ดีที่พวกเขาได้เริ่มทำ  ชั่วขณะที่ได้เห็นคนเหล่านั้น ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกศัตรูของพระคริสต์จะรู้สึกไม่สบายใจและต้องการที่จะจัดการกับคนเหล่านั้นอยู่เสมอ คิดว่าตราบที่พวกเขาสามารถจัดการกับคนเหล่านั้นได้ เช่นนั้นเวลาที่พวกเขายกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองอีก ย่อมจะไม่มีใครเปิดโปงหรือขัดขวางพวกเขา และพวกเขาย่อมจะสามารถทำความชั่วได้อย่างครึกโครม  นี่คือหลักการซึ่งพวกศัตรูของพระคริสต์ใช้ในการกระทำการ  ไม่ว่าคนประเภทใดจะประจบสอพลอ สรรเสริญ หรือยกย่องพวกเขา ไม่ว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นพูดจะตรงตามข้อเท็จจริงหรือไม่ก็ตาม ต่อให้พวกเขาโกหก พวกศัตรูของพระคริสต์ก็จะเต็มใจที่จะยอมรับพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์จะเพลิดเพลินกับการรับฟังพวกเขา และพวกศัตรูของพระคริสต์จะชอบคนเหล่านั้นจากก้นบึ้งของหัวใจของตน  พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใส่ใจว่าคนเหล่านั้นมีปัญหาใด และต่อให้พวกเขาค้นพบประเด็นปัญหาเกี่ยวกับคนเหล่านั้น พวกเขาก็จะปกปิดและปิดบังประเด็นปัญหาดังกล่าว และไม่ปริปากถึงประเด็นปัญหาดังกล่าวแม้แต่คำเดียว  ตราบที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีคนเหล่านั้นอยู่เคียงข้างพวกเขา ติดตามและประจบสอพลอพวกเขา พวกเขาย่อมจะเพลิดเพลินกับการประจบสอพลอนั้น  พวกศัตรูของพระคริสต์ทำสิ่งทั้งหลายอย่างนี้นี่เอง  พวกเจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำได้หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าพวกเจ้าเป็นผู้นำและคนทำงานในคริสตจักร เป็นคนที่มีสถานะและจุดยืนท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  หากพี่น้องชายหญิงจะเคารพนับถือเจ้าอย่างสูงส่ง ประจบสอพลอเจ้า ประจบประแจงเจ้า และสรรเสริญเจ้าอยู่เนืองนิจ โดยพูดว่าเจ้าเทศนาได้ดี เจ้าดูดี และสำหรับพวกเขาแล้วเจ้าเป็นผู้นำที่ดีที่สุด เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าจะสามารถหยั่งรู้เจตนาเบื้องหลังคำพูดของพวกเขาได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถปฏิเสธและหลบเลี่ยงคนเช่นนี้ได้หรือไม่?  หากไม่แล้ว เช่นนั้นเจ้าย่อมตกอยู่ในอันตราย  เจ้ารู้อย่างชัดเจนว่าเจ้าไม่ได้ดูดีขนาดนั้น เจ้าไม่สามารถสามัคคีธรรมความเป็นจริงความจริงได้ แต่กระนั้นเจ้ากลับยังคงรู้สึกมีความสุขเมื่อเจ้าได้ยินผู้คนประจบสอพลอเจ้าอย่างนี้ อีกทั้งต้องการเข้าใกล้และส่งเสริมคนเช่นนี้อยู่เสมอ นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังตกที่นั่งลำบากหรอกหรือ?  นี่หมายความว่าเจ้ากำลังตกที่นั่งลำบาก

เมื่อผู้นำและคนทำงานกำลังทำงาน บางครั้งพวกเขาได้รับการให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาย่อมสามารถพูดถึงประสบการณ์ที่แท้จริงบางอย่าง และโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาย่อมจะมีผู้คนเคารพนับถือพวกเขาอย่างสูงส่งและเคารพบูชาพวกเขา โดยธรรมชาติแล้วย่อมจะมีผู้คนติดตามพวกเขา แยกจากพวกเขาไม่ออกดังเช่นเงาตามตัว—ในคราวต่างๆ ที่เป็นเช่นนี้ พวกเขาควรจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  ทุกคนมีความชื่นชอบของตัวเอง ทุกคนถือดี หากผู้คนได้ยินใครบางคนพูดถึงพวกเขาโดยเห็นพ้องด้วยและประจบสอพลอ พวกเขาจะชื่นชมการนี้อย่างยิ่ง  นี่เป็นสิ่งปกติธรรมดาที่จะรู้สึกและไม่ใช่เรื่องใหญ่  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาส่งเสริมใครบางคนที่สามารถสรรเสริญเยินยอพวกเขามากเกินจนขอบเขตและประจบสอพลอพวกเขา อีกทั้งพวกเขานำคนเช่นนี้ไปใช้ในงานที่สำคัญบางอย่าง เช่นนั้นนั่นย่อมเป็นอันตราย  นี่เป็นเพราะคนที่ชอบประจบสอพลอและสรรเสริญเยินยอผู้อื่นมากเกินขอบเขตล้วนกลิ้งกลอกและหลอกลวงเหลือเกิน และพวกเขาก็ไม่ซื่อสัตย์และไม่จริงใจ  ทันทีที่คนเช่นนี้ได้รับสถานะ พวกเขาย่อมไม่มีประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรืองานของคริสตจักร  คนเหล่านี้ฉลาดแกมโกง และพวกเขาสามารถทำให้สิ่งต่างๆ ยุ่งเหยิงได้มากที่สุด  คนเหล่านั้นที่ค่อนข้างเที่ยงธรรมไม่สรรเสริญเยินยอผู้อื่นมากเกินขอบเขตเป็นอันขาด  ต่อให้ในหัวใจของพวกเขานั้นพวกเขาเห็นชอบกับเจ้า พวกเขาก็จะไม่พูดออกมาดังๆ และหากพวกเขาค้นพบว่าเจ้ามีข้อตำหนิหรือเจ้าทำบางสิ่งที่ผิด เช่นนั้นพวกเขาก็จะชี้ให้เจ้าเห็นเรื่องนั้น  อย่างไรก็ตาม บางคนไม่ชอบคนที่ซื่อตรงเปิดเผย และเมื่อใครบางคนชี้ให้เห็นถึงข้อตำหนิของพวกเขาหรือตำหนิพวกเขา พวกเขาก็จะกดขี่และกีดกันคนคนนั้น และจะถึงขั้นฉวยเอาประโยชน์จากข้อตำหนิและข้อบกพร่องของคนคนนั้นมาตัดสินและกล่าวโทษคนเหล่านั้นอยู่เป็นนิตย์  ด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้กำลังกดขี่และทำร้ายคนดีหรอกหรือ?  การทำสิ่งทั้งหลายเช่นนี้และการข่มเหงคนดีเช่นนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจมากที่สุด  การข่มเหงคนดีเป็นสิ่งชั่วช้าที่จะทำ!  และหากใครบางคนข่มเหงคนดีมากมายมหาศาล เช่นนั้นพวกเขาย่อมเป็นมาร  ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรมและด้วยความรัก และพวกเขาก็ควรรับมือกับเรื่องทั้งหลายตามหลักธรรม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้ามีคนที่ประจบสอพลอและประจบประแจงเจ้า วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้อง ช่วยเหลือพวกเขาด้วยความรัก และให้พวกเขาปฏิบัติงานที่ถูกควรของพวกเขาอีกทั้งไม่ประจบสอพลอผู้คนดังเช่นผู้ไม่มีความเชื่อทำ ระบุตำแหน่งและมุมมองของเจ้าอย่างชัดเจน ทำให้พวกเขารู้สึกอัปยศอดสูและละอายแก่ใจเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ทำเช่นนั้นอีก  หากเจ้าสามารถยึดมั่นในหลักธรรมและปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรม เช่นนั้นตัวตลกและคนประเภทเยี่ยงซาตานที่น่าเหยียดหยามเหล่านี้จะไม่รู้สึกละอายแก่ใจหรอกหรือ?  นี่ย่อมจะทำให้ซาตานรู้สึกละอายแก่ใจ และย่อมจะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  พวกที่ชอบประจบสอพลอผู้อื่นเชื่อว่าผู้นำและคนทำงานล้วนรักคนที่ประจบสอพลอพวกเขา และเมื่อใดก็ตามที่มีใครกล่าวสิ่งใดที่ประจบสอพลอหรือประจบประแจงกับพวกเขา ความถือดีและความอยากได้สถานะของพวกเขาก็จะพอใจอย่างยิ่ง  คนที่รักความจริงไม่ชอบเรื่องทั้งหมดนี้ และพวกเขารังเกียจเรื่องทั้งหมดนี้มากๆ และขยะแขยงเรื่องทั้งหมดนี้  มีเพียงผู้นำเทียมเท็จเท่านั้นที่ชื่นชอบการถูกประจบสอพลอ  พระนิเวศของพระเจ้าอาจไม่สรรเสริญหรือปรบมือให้พวกเขา แต่หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนั้นสรรเสริญและปรบมือให้พวกเขา พวกเขาย่อมรู้สึกพอใจมากและพวกเขาก็ชื่นชมเรื่องนี้อย่างมาก และในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้รับความชูใจจากเรื่องนี้อยู่บ้าง  ศัตรูของพระคริสต์ชื่นชมการถูกประจบสอพลอมากขึ้นไปอีก และสิ่งที่พวกเขาชื่นชมมากที่สุดก็คือเวลาที่ผู้คนเช่นนี้เข้าใกล้พวกเขาและวนเวียนอยู่กับพวกเขา  นี่ไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ?  ศัตรูของพระคริสต์เป็นเช่นนี้นี่เอง พวกเขาชอบการมีผู้คนสรรเสริญและปรบมือให้พวกเขา เคารพบูชาและติดตามพวกเขา ในขณะที่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและผู้ที่ค่อนข้างเที่ยงธรรมไม่ชอบอะไรเช่นนี้เลย  เจ้าต้องเข้าใกล้คนที่สามารถพูดกับเจ้าตามความจริง การมีคนเช่นนี้อยู่เคียงข้างเจ้าเป็นข้อดีอย่างยิ่งกับเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีคนดีอยู่รอบๆ ตัวเจ้าดังเช่นบรรดาผู้ที่มีความกล้าที่จะตำหนิเจ้าและเปิดโปงเจ้าเวลาที่พวกเขาค้นพบปัญหาเกี่ยวกับเจ้านั้น สามารถป้องกันไม่ให้เจ้าออกนอกลู่นอกทางไป  พวกเขาไม่สนใจว่าสถานะของเจ้าคืออะไร และชั่วขณะที่พวกเขาค้นพบว่าเจ้าทำบางสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักธรรมความจริง เมื่อนั้นพวกเขาก็จะตำหนิและเปิดโปงเจ้าหากจำเป็น  มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นคนที่เที่ยงธรรม คนที่มีสำนึกถึงความยุติธรรม และไม่สำคัญว่าพวกเขาเปิดโปงและตำหนิเจ้าอย่างไร นั่นล้วนเป็นประโยชน์ต่อเจ้า และล้วนเป็นเรื่องของการกำกับดูแลเจ้าและผลักดันเจ้าไปข้างหน้า  เจ้าต้องเข้าใกล้คนเช่นนี้ เมื่อมีคนเช่นนี้เคียงข้างเจ้าและช่วยเหลือเจ้า เจ้าย่อมมีความปลอดภัยมากขึ้นทีเดียว—นี่เองคือการมีการคุ้มครองจากพระเจ้า  การมีคนที่เข้าใจความจริงและค้ำจุนหลักธรรมเคียงข้างเจ้าทุกวันคอยกำกับดูแลเจ้านั้นเป็นประโยชน์มากต่อการที่เจ้าทำหน้าที่และงานของเจ้าให้ดี  แน่นอนที่สุดว่าเจ้าต้องไม่มีคนกลิ้งกลอกและหลอกลวงเหล่านี้ซึ่งเลียแข้งเลียขาเจ้าและประจบสอพลอเจ้าเป็นผู้ช่วยของเจ้า การมีคนเช่นนี้ติดอยู่กับเจ้าเป็นเหมือนการมีแมลงวันที่ส่งกลิ่นเหม็นบนตัวเจ้า เจ้าจะได้สัมผัสแบคทีเรียและไวรัสมากมายเหลือเกิน!  คนเช่นนี้หมิ่นเหม่ที่จะก่อกวนเจ้าและส่งผลต่องานของเจ้า พวกเขาสามารถเป็นเหตุให้เจ้าตกไปอยู่ในการทดลองและออกนอกลู่นอกทางไป และพวกเขาก็สามารถนำความวิบัติและหายนะมาสู่เจ้า  เจ้าต้องอยู่ห่างจากพวกเขา ยิ่งห่างยิ่งดี และหากเจ้าสามารถแยกแยะได้ว่าพวกเขามีแก่นแท้ของผู้ไม่เชื่อและให้พวกเขาถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร เช่นนั้นก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก  ทันทีที่คนที่เที่ยงธรรมซึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงมองเห็นว่าเจ้ามีปัญหา พวกเขาจะบอกความจริงกับเจ้าไม่ว่าสถานะของเจ้าจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร และต่อให้เจ้าจะปลดพวกเขาก็ตาม  พวกเขาจะไม่มีวันพยายามปิดบังความจริงดังกล่าวหรือเลี่ยงที่จะพูดความจริง  การมีคนเช่นนี้จำนวนมากขึ้นรอบๆ ตัวเจ้ายังเป็นประโยชน์มากอีกด้วย!  เมื่อเจ้าทำบางสิ่งที่ขัดกับหลักธรรม พวกเขาจะเปิดโปงเจ้า แสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาของเจ้า และชี้ให้เห็นปัญหาและความผิดของเจ้าอย่างจริงใจเปิดเผยและซื่อสัตย์ พวกเขาจะไม่พยายามช่วยเจ้ารักษาหน้า และพวกเขาไม่แม้แต่จะให้โอกาสแก่เจ้าในการหลีกเลี่ยงความน่าอับอายต่อหน้าคนมากมาย  เจ้าควรปฏิบัติต่อคนเช่นนี้อย่างไร?  เจ้าควรลงโทษพวกเขาหรือเข้าใกล้พวกเขา?  (เข้าใกล้พวกเขา)  ถูกต้อง  เจ้าควรเปิดหัวใจของเจ้าและสามัคคีธรรมกับพวกเขาโดยกล่าวว่า “ประเด็นปัญหานั้นที่ฉันมีซึ่งคุณได้ชี้ให้ฉันเห็นนั้นถูกต้อง  ในเวลานั้นฉันเต็มไปด้วยความถือดีและความคิดเกี่ยวกับสถานะ  ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นผู้นำมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปี กระนั้นไม่เพียงแต่คุณไม่พยายามช่วยฉันรักษาหน้าเท่านั้น แต่คุณยังชี้ให้เห็นปัญหาของฉันต่อหน้าคนมากมายเหลือเกิน ดังนั้นฉันจึงไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันเห็นว่าสิ่งที่ฉันทำจริงๆ แล้วขัดแย้งกับหลักธรรมและความจริง และฉันก็ไม่ควรทำเช่นนั้นเลย  การมีตำแหน่งผู้นำมีนัยสำคัญอะไร?  นี่ไม่ใช่หน้าที่ของฉันเท่านั้นหรอกหรือ?  พวกเราล้วนกำลังทำหน้าที่ของพวกเราและพวกเราก็ล้วนมีสถานะเท่าเทียมกัน  ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือฉันแบกรับภาระความรับผิดชอบมากกว่าเล็กน้อย ทั้งหมดก็เท่านั้นเอง  หากคุณค้นพบปัญหาใดๆ ในอนาคต เช่นนั้นก็จงพูดสิ่งที่คุณควรที่จะพูด แล้วระหว่างพวกเราก็จะไม่มีความขุ่นแค้นฝังใจส่วนบุคคลใดๆ  หากพวกเราแตกต่างกันในการจับใจความเกี่ยวกับความจริง เช่นนั้นพวกเราก็สามารถสามัคคีธรรมร่วมกันได้  ในพระนิเวศของพระเจ้าและเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าความจริง พวกเราควรจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เหินห่างกัน”  นี่คือท่าทีของการปฏิบัติและการรักความจริง  เจ้าควรทำอย่างไรหากเจ้าปรารถนาจะทิ้งระยะห่างจากเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์?  เจ้าควรริเริ่มที่จะเข้าใกล้คนที่รักความจริง คนที่เที่ยงธรรม เข้าใกล้คนที่สามารถชี้ให้เจ้าเห็นประเด็นปัญหาทั้งหลาย ผู้ที่สามารถพูดตามความจริงและตำหนิเจ้าในยามที่ค้นพบปัญหาของเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สามารถตัดแต่งเจ้าในยามที่พวกเขาค้นพบปัญหาของเจ้า—นี่คือคนที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้ามากที่สุด และเจ้าก็ควรทะนุถนอมพวกเขา  หากเจ้ากีดกันและกำจัดคนดีเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสูญเสียการคุ้มครองจากพระเจ้า และความวิบัติก็จะค่อยๆ มาสู่เจ้า  ด้วยการเข้าใกล้คนดีและคนที่เข้าใจความจริง เจ้าย่อมจะมีสันติสุขและความชื่นบานยินดี และเจ้าย่อมจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความวิบัติได้ ด้วยการเข้าใกล้คนสามานย์ คนที่ไร้ยางอาย และคนที่ประจบสอพลอเจ้า เจ้าย่อมจะตกอยู่ในอันตราย  ไม่เพียงแต่เจ้าจะถูกลวงและหลอกให้หลงกลอย่างง่ายดายเท่านั้น แต่ความวิบัติยังอาจมาถึงเจ้าได้ตลอดเวลาอีกด้วย  เจ้าต้องรู้ว่าคนประเภทใดสามารถทำให้เจ้าได้รับประโยชน์มากที่สุด—นั่นก็คือบรรดาผู้ที่เตือนเจ้าเมื่อเจ้าทำบางสิ่งที่ผิด หรือเมื่อเจ้ายกย่องและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด นั่นสามารถทำให้เจ้าได้รับประโยชน์มากที่สุด  การเข้าใกล้คนเช่นนี้คือเส้นทางเดินที่ถูกต้อง  พวกเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้หรือไม่?  หากใครบางคนกล่าวบางสิ่งที่สร้างความเสียหายต่อความมีหน้ามีตาของเจ้าและเจ้าใช้ชีวิตที่เหลือของเจ้าไปกับการขุ่นเคืองพวกเขาโดยกล่าวว่า “เหตุใดคุณจึงเปิดโปงฉัน?  ฉันไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อคุณ  เหตุใดคุณจึงต้องทำสิ่งทั้งหลายให้ลำบากยากเย็นสำหรับฉันอยู่เสมอ?” และเจ้าก็มีความขุ่นแค้นฝังใจในหัวใจของเจ้า ความแตกร้าวเปิดกว้างขึ้น และเจ้าคิดอยู่เสมอว่า “ฉันเป็นผู้นำ ฉันมีอัตลักษณ์และสถานะนี้ และฉันจะไม่อนุญาตให้คุณพูดอย่างนั้น” เช่นนั้นนี่คือการสำแดงประเภทใด?  นี่ไม่ใช่การยอมรับความจริงและเป็นการตั้งตนเป็นปรปักษ์กับผู้อื่น นี่คือการไม่รับรู้เหตุผลอยู่ในที  นี่ไม่ใช่ความคิดเกี่ยวกับสถานะของเจ้าที่ก่อความทุกข์ยากลำบากหรอกหรือ?  นี่แสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าร้ายแรงเกินไป  พวกที่เก็บงำความคิดเกี่ยวกับสถานะเอาไว้อยู่เสมอคือคนที่มีอุปนิสัยที่ร้ายแรงของศัตรูของพระคริสต์  หากพวกเขาก็กระทำชั่วเช่นกัน เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะถูกเผยออกมาและกำจัดออกไปอย่างรวดเร็วมาก  การที่ผู้คนปฏิเสธและไม่ยอมรับความจริงเป็นอันตรายมาก!  การมีความอยากที่จะแย่งชิงสถานะและต้องการละโมบประโยชน์แห่งสถานะอยู่เสมอเป็นสัญญาณของภาวะอันตราย  เมื่อหัวใจของคนเราถูกสถานะตีกรอบอยู่เสมอ คนเรายังสามารถปฏิบัติความจริงและรับมือกับสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมได้หรือไม่?  หากคนเราไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติและกระทำการเพื่อประโยชน์แห่งชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะเสมอ รวมทั้งใช้อำนาจของตนในการทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นพวกเขาไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ที่ชัดเจนซึ่งแสดงธาตุแท้ของพวกเขาหรอกหรือ?

การสำแดงดังเช่นการยกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองเป็นการสำแดงทั่วไปที่พบมากที่สุดของพวกศัตรูของพระคริสต์  ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตประจำวันหรือในหนทางที่พวกเขาประพฤติตนโดยสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือไม่ว่าจะเป็นในชีวิตคริสตจักร การสำแดงเหล่านี้สามารถเห็นได้เสมอ เพราะการสำแดงเหล่านี้เป็นการเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ตัวอย่างเช่น ความจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีที่คนเราจัดการกับหน้าที่ของตน วิธีที่คนเราปฏิบัติต่อผู้อื่น รวมทั้งวิธีที่คนเราแยกแยะผู้อื่นคือความจริงทั้งหลายที่พวกเราได้กินความครอบคลุมมาในสามัคคีธรรม  เป็นเพราะพวกเจ้ารู้จักการสำแดงที่เป็นรูปธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ในชีวิตปกติธรรมดาของพวกเจ้าแต่พวกเจ้าไม่สามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาใช่หรือไม่?  หรือเป็นเพราะพวกเจ้ายังไม่ได้เริ่มการเข้าสู่บนพื้นฐานของปัญหาที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้?  หากพวกเจ้าไม่เริ่มต้นด้วยอุปนิสัย หรือบางครั้งพวกเจ้าแสดงการสำแดงเหล่านี้แต่ไม่รู้ว่าการสำแดงเหล่านี้คือปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยหรือไม่ และดังนั้นพวกเจ้าจึงเพิกเฉยการสำแดงเหล่านี้ เช่นนั้นพวกเจ้าย่อมไม่ใกล้เคียงกับการสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเลย  หากเจ้าไม่สามารถตระหนักได้ว่าการสำแดงเหล่านี้ก็คือการที่เจ้ายกย่องตัวเองและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเอง หากเจ้าไม่รู้ว่าการสำแดงเหล่านี้ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าควบคุม และเจ้าพิจารณาว่าการสำแดงเหล่านี้เป็นบุคลิกลักษณะประเภทหนึ่งหรือเป็นสันดานในการคิดอ่านหรือในการทำสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งไม่ให้ความสำคัญกับการสำแดงเหล่านี้มากนัก และเจ้าก็ไม่พิจารณาว่าการสำแดงเหล่านี้เป็นการเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมจะพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่มีความเกี่ยวข้อง  สิ่งที่ผู้คนสามารถตระหนักได้ว่าเกี่ยวข้องกับอุปนิสัย ไม่ว่าจะเป็นหนทางในการทำสิ่งทั้งหลายหรือสภาวะที่พวกเขาอยู่  ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมภายนอกหรือการพูดและคำกล่าวของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความคิดและทัศนะหรือความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับบางเรื่อง ตราบที่สิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับแก่นนิสัย เช่นนั้นพวกเขาก็ควรคำนึงถึงสิ่งนั้นว่าเป็นรูปจำแลงหรือการเผยให้เห็นแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์เสมอ และในหนทางนี้ความเข้าใจของพวกเขาจะไม่ถูกขยายให้กว้างขึ้นหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ควรแค่ทำความเข้าใจเรื่องใหญ่ๆ เช่นว่าคนเราขัดขืนพระเจ้า ไม่รักความจริง ละโมบสถานะ หรือคนเราชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยสิ่งทั้งหลายที่ตนพูด แต่กลับควรทำความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เรื่องเล็กๆ เช่น แนวคิดและเจตนาที่เฉพาะเจาะจง ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่น การโต้แย้งหรือคำกล่าว  รวมกันแล้วเราเพิ่งกล่าวถึงหกสิ่ง ซึ่งในบรรดาสิ่งเหล่านี้ก็คือความคิดและทัศนะ ตลอดจนความเข้าใจของคนเราเกี่ยวกับบางเรื่อง  ความคิดและทัศนะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในจิตสำนึกและความคิดของคนเรา ความเข้าใจเป็นสิ่งที่ได้รับการตระหนักรู้แล้วและเป็นสิ่งที่สามารถนำมาสร้างเป็นคำพูดและคำกล่าวที่เป็นรูปธรรมได้ จากนั้นก็มีพฤติกรรมและภาษา  นี่รวมกันแล้วเป็นสี่สิ่ง  นอกจากนี้ก็ยังมีคำกล่าวและการโต้แย้ง  คำกล่าวและการโต้แย้งตรงกันข้ามกับสิ่งใด?  (เจตนาและแนวคิด)  แนวคิดค่อนข้างเป็นสิ่งที่คลุมเครือซึ่งเกิดขึ้นในความรู้สึกนึกคิดโดยไม่รู้ตัว  แนวคิดยังไม่ได้ถูกนิยามว่าถูกหรือผิด เจ้าก็แค่นึกถึงแนวคิด และแนวคิดก็ยังไม่ได้เป็นรูปร่างขึ้นภายในใจเจ้า ในขณะที่การโต้แย้งที่พูดออกมานั้นเป็นรูปร่างขึ้นแล้ว  รวมกันแล้วก็มีสามกลุ่มและหกสิ่ง  จงพิจารณาว่าหกสิ่งนี้เป็นเส้นทางสู่การชำแหละแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าและการสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจงเริ่มการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเจ้าเองจากหกสิ่งนี้ และในหนทางนี้พวกเจ้าจะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง

พวกเจ้าต้องการเวลาบ้างหรือไม่หลังจากรับฟังสามัคคีธรรมในวันนี้เพื่อย่อยสิ่งที่พวกเจ้าได้ยินไปแล้ว?  เมื่อพวกเจ้าชุมนุมร่วมกัน พวกเจ้าสามารถสามัคคีธรรมความสว่างบางส่วนหรือทำการเปรียบเทียบกับตัวเองบนรากฐานนี้ได้หรือไม่?  นี่คือกุญแจสำคัญ และนี่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเจ้าที่สุด  เมื่อพวกเจ้าชุมนุมร่วมกัน พวกเจ้าจำเป็นต้องสามัคคีธรรม แลกเปลี่ยนแนวคิด และเสวนาประสบการณ์และการตระหนักรู้ของพวกเจ้า—นี่มีประสิทธิผลมากที่สุด  ก่อนหน้านี้พวกเราใช้คำว่า “ไตร่ตรอง” อยู่เสมอ ในภาษาพูด พวกเรากล่าวว่า “คิดทบทวน”  นี่หมายถึงการอ่านให้มากขึ้น อ่านอธิษฐานให้มากขึ้น คิดให้มากขึ้น และแสวงหาให้มากขึ้น พิจารณาสิ่งที่เจ้าเข้าใจในเวลานั้น ตลอดจนสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจและคำนึงถึงว่าเป็นคำสอน ประเด็นสำคัญ ประเด็นซึ่งทุกคนได้เข้าใจผิดไป และประเด็นซึ่งเจ้ายังไม่ได้เข้าใจ อีกทั้งมุ่งความสนใจไปที่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดในสามัคคีธรรม—นี่คือความหมายของคำว่า “คิดทบทวน”  ในหนทางนี้ความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับรายละเอียดของความจริงเหล่านี้ ความแตกต่างนานาประการระหว่างความจริงทั้งหลาย รวมทั้งคำนิยามของความจริงแต่ละประการจะกลายเป็นชัดเจนและถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเจ้าคิดว่าความจริงนานาประการที่พวกเจ้าเข้าใจและนำไปปฏิบัติในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากลายเป็นกำกวมมากขึ้นหรือชัดเจนมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน?  (ชัดเจนมากขึ้น)  และตลอดหลายปีมานี้มีการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ใดบ้างหรือไม่ในเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้า ทิศทางซึ่งพวกเจ้าวางตน รวมทั้งเจตนา แรงจูงใจ และแรงกระตุ้นแต่เดิมเบื้องหลังการทำหน้าที่ของพวกเจ้า?  (หลังจากก้าวผ่านการสั่งสอนและการบ่มวินัยจากพระเจ้ามาบ้าง รวมทั้งการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างแล้ว)  ที่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงแล้วนั้นถูกต้อง และนี่คือสิ่งที่ควรที่จะเกิดขึ้น  บางคนไม่แยแสตลอดเรื่อยมาและไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยหลังจากรับฟังคำเทศนามามากมายแล้ว  พวกเขาไม่ได้รับการดลใจในหัวใจส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของพวกเขา กล่าวคือ ไม่มีการชุมนุมหรือสามัคคีธรรมใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางซึ่งพวกเขากำลังไปได้—พวกเขาด้านชาและปัญญาทึบมาก!  ตอนนี้เส้นทางสู่การบรรลุความรอดควรเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และบรรดาผู้ที่มีประสบการณ์ก็มองเห็นหนทางซึ่งพระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดรวมทั้งจุดประสงค์ของพระองค์ในการทำเช่นนั้นอย่างชัดเจนและกระจ่างแจ้ง  หลังจากเชื่อในพระเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หากเจ้ายังคงไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไรรวมทั้งพระองค์ทรงชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์จากความเสื่อมทรามอย่างไร เช่นนั้นนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงแต่อย่างใดและไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าแม้แต่น้อย  คนเช่นนี้ล้วนเลอะเลือนในความเชื่อของตนมิใช่หรือ?

20 มีนาคม ค.ศ. 2019

ก่อนหน้า:  ประการที่สาม: พวกเขากีดกันและโจมตีบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง

ถัดไป:  ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และหลอกลวง (ภาคที่สอง)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger