วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์

จะรู้จักธรรมชาติของคนเราได้อย่างไร?  สิ่งใดบ้างประกอบกันเป็นธรรมชาติของคนคนหนึ่ง?  เจ้ารู้จักแต่ข้อบกพร่อง ข้อเสีย เจตนา มโนคติอันหลงผิด ความคิดลบ และความเป็นกบฏของมนุษย์ แต่เจ้าไม่สามารถค้นพบสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในธรรมชาติของมนุษย์  เจ้ารู้แต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น โดยไม่สามารถค้นพบต้นกำเนิดของมันได้ และนี่ไม่ก่อให้เกิดการรู้จักธรรมชาติของมนุษย์  บางคนยอมรับความขาดตกบกพร่องและความคิดลบของตน โดยกล่าวว่า “ฉันเข้าใจธรรมชาติของฉัน ดูสิ ฉันยอมรับรู้ความโอหังของตัวเอง  นั่นไม่ใช่การรู้จักธรรมชาติของตนหรอกหรือ?”  ความโอหังเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์ นั่นแท้จริงมาก  อย่างไรก็ตาม การรับรู้เรื่องนี้ในความหมายเชิงคำสอนย่อมไม่เพียงพอ  การรู้จักธรรมชาติของตนเองคืออะไร?  จะรู้จักธรรมชาติของตนเองได้อย่างไร?  จะรู้จักจากแง่มุมใดได้บ้าง?  ควรรับรู้ธรรมชาติของคนเราเป็นการเฉพาะจากสิ่งที่คนเราเผยออกมาอย่างไร?  ก่อนอื่น เจ้าจะมองเห็นธรรมชาติของคนคนหนึ่งได้จากความสนใจของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนมีความชื่นชูเป็นพิเศษในตัวคนดังที่มีผู้นับหน้าถือตา บ้างก็รักพวกนักร้องหรือดาราภาพยนตร์เป็นพิเศษ และบ้างก็ชื่นชอบการเล่นเกมเป็นพิเศษ  จากความชอบเหล่านี้ พวกเราสามารถมองเห็นว่าอะไรคือธรรมชาติของผู้คนเหล่านี้  ต่อไปนี้คือตัวอย่างง่ายๆ กล่าวคือ บางคนอาจจะหลงใหลได้ปลื้มนักร้องบางคน  พวกเขาหลงใหลได้ปลื้มไปถึงขั้นใด?  ถึงขั้นที่พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับทุกการเคลื่อนไหว รอยยิ้ม และคำพูดของนักร้องคนนี้  พวกเขาฝังใจอยู่กับนักร้องคนนี้และถึงกับถ่ายรูปทุกสิ่งทุกอย่างที่นักร้องสวมใส่ แล้วก็เลียนแบบสิ่งเหล่านั้น  การหลงใหลได้ปลื้มบุคคลหนึ่งในระดับนี้แสดงให้เห็นปัญหาใด?  แสดงให้เห็นว่าคนเช่นนี้มีแต่เรื่องของผู้ไม่มีความเชื่ออยู่ในหัวใจของพวกเขาเท่านั้น และแสดงว่าพวกเขาไม่มีความจริง พวกเขาไม่มีสิ่งที่เป็นบวก และพวกเขายิ่งไม่มีพระเจ้าในหัวใจของตน  สิ่งต่างๆ ที่คนคนนี้นึกถึง รัก และไล่ตามเสาะหานั้นเป็นของซาตานทั้งสิ้น  สิ่งเหล่านี้ยึดครองหัวใจของคนคนนี้ ซึ่งถูกยกให้กับสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว  พวกเจ้าบอกได้หรือไม่ว่าแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาคืออะไร?  หากรักบางสิ่งอย่างสุดขั้ว เช่นนั้นแล้ว สิ่งนั้นสามารถกลายมาเป็นชีวิตของใครบางคนและยึดครองหัวใจของพวกเขาได้ อันเป็นการพิสูจน์อย่างเต็มที่ว่า บุคคลนั้นเป็นผู้เคารพบูชาบุคคลต้นแบบคนหนึ่งผู้ซึ่งไม่ต้องการพระเจ้า และกลับรักมารตนหนึ่งแทน  เพราะฉะนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า ธรรมชาติของบุคคลเช่นนั้นเป็นธรรมชาติที่รักและเคารพบูชามารตนหนึ่ง ไม่รักความจริง และไม่ต้องการพระเจ้า  นี่ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องในการให้ทรรศนะต่อธรรมชาติของใครบางคนหรือ?  นี่คือหนทางที่ถูกต้องอย่างครบบริบูรณ์  นี่คือวิธีที่ควรใช้ชำแหละธรรมชาติของมนุษย์  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาชอบที่จะกล่าวสุนทรพจน์และทำงานภายนอก พวกเขาชอบที่จะจัดการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และโคจรอยู่รอบตัวพวกเขา  พวกเขาชอบที่จะมีที่ทางในหัวใจของผู้อื่น และพวกเขาชอบให้ผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ  พวกเรามาชำแหละธรรมชาติของพวกเขาตามพฤติกรรมเหล่านี้กันเถิด  อะไรคือธรรมชาติของพวกเขา?  หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน  ว่าพวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าเลย และว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาสถานะที่สูงขึ้นและต้องการที่จะมีอำนาจเหนือผู้อื่น ครอบครองพวกเขา และมีที่ทางในหัวใจของพวกเขาก็ย่อมเพียงพอ  นี่คือภาพลักษณ์ตามแบบฉบับของซาตาน  แง่มุมที่โดดเด่นเป็นพิเศษในธรรมชาติของพวกเขาก็คือพวกเขาโอหังและทะนงตน พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้า และพยายามที่จะทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาพวกเขา  พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถทำให้เจ้าเห็นเรื่องธรรมชาติของพวกเขาได้อย่างชัดเจนมาก  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนชอบเอาเปรียบในเรื่องต่างๆ อย่างไม่เป็นธรรม และผู้คนเหล่านี้พยายามบรรลุผลประโยชน์ของพวกเขาเองในทุกเรื่อง  ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดก็ต้องให้ผลประโยชน์แก่พวกเขา มิฉะนั้นพวกเขาก็จะไม่ทำ  พวกเขาไม่สนใจสิ่งใด เว้นแต่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้พวกเขามีข้อได้เปรียบบางอย่าง และมีสิ่งจูงใจแอบแฝงเบื้องหลังการกระทำของพวกเขาเสมอ  พวกเขาพูดในทางที่ดีถึงใครก็ตามที่ให้ผลประโยชน์แก่พวกเขา และพวกเขาก็ส่งเสริมใครก็ตามที่ยกยอปอปั้นพวกเขา  แม้ในคราที่บรรดาคนโปรดของพวกเขามีปัญหา พวกเขาก็จะพูดว่าผู้คนเหล่านั้นถูกต้องและพยายามอย่างมากที่จะปกป้องและแก้ตัวแทนคนเหล่านั้น  ผู้คนเช่นนี้มีธรรมชาติใด?  เจ้าสามารถมองเห็นธรรมชาติของพวกเขาได้อย่างชัดเจนยิ่งจากพฤติกรรมเหล่านี้  พวกเขาเพียรพยายามที่จะฉกฉวยข้อได้เปรียบจากสิ่งต่างๆ อย่างไม่เป็นธรรมผ่านทางการกระทำของตน โดยทำพฤติกรรมเชิงแลกเปลี่ยนในทุกสถานการณ์อยู่เนืองนิตย์ และเจ้าสามารถมั่นใจได้ว่าธรรมชาติของพวกเขาคือธรรมชาติของการละโมบผลกำไรอย่างสุดใจ  พวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหาประโยชน์ให้กับตัวเอง  พวกเขาจะไม่ตื่นแต่เช้าเว้นเสียแต่ว่าการทำเช่นนั้นจะให้ประโยชน์กับพวกเขา  พวกเขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด และพวกเขาก็ไม่รู้จักพอโดยสิ้นเชิง  ธรรมชาติของพวกเขาจึงแสดงออกผ่านทางความรักที่พวกเขามีต่อผลกำไรและการไม่มีความรักให้กับความจริง  ผู้ชายบางคนหลงเสน่ห์ผู้หญิง เกี้ยวพาราสีพวกเธอเสมอในทุกที่ที่พวกเขาไป  ผู้หญิงสวยเป็นเป้าหมายของการรักใคร่เอ็นดูของผู้คนเช่นนั้นและถือครองความชื่นชมสูงสุดในหัวใจของพวกเขา  พวกเขาเต็มใจที่จะมอบชีวิตของพวกเขาและพลีอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงสวย ผู้หญิงคือสิ่งที่เติมเต็มหัวใจของพวกเขา  อะไรคือธรรมชาติของพวกผู้ชายเหล่านี้?  ธรรมชาติของพวกเขาคือการรักผู้หญิงสวย การบูชาผู้หญิงเหล่านั้น และรักในความเลว  พวกเขาจึงเป็นผู้มักมากในกามที่มีธรรมชาติอันเลวร้ายและโลภ  เหตุใดเราจึงกล่าวว่านี่คือธรรมชาติของพวกเขา?  เพราะเหล่านี้คือการสำแดงของความโลภที่ได้กลายเป็นธรรมชาติของคนคนหนึ่ง  พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่แค่การกระทำผิดเป็นครั้งคราว และผู้คนเช่นนั้นไม่เพียงแย่กว่าผู้คนธรรมดาเท่านั้น แต่พวกเขากลับถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำอย่างสิ้นเชิง ซึ่งได้กลายเป็นธรรมชาติและแก่นแท้จริงๆ ของพวกเขา  ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นการเผยให้เห็นธรรมชาติของพวกเขา  ส่วนประกอบของธรรมชาติของบุคคลคนหนึ่งเผยตัวมันเองออกมาอยู่เป็นนิตย์  อะไรก็ตามที่คนคนหนึ่งทำ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม ย่อมสามารถเผยให้เห็นธรรมชาติของบุคคลนั้นได้  ผู้คนมีเหตุจูงใจและจุดประสงค์ของพวกเขาเองในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ และไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมการต้อนรับขับสู้ การประกาศข่าวประเสริฐ หรืองานประเภทอื่นใด พวกเขาสามารถเผยส่วนทั้งหลายของธรรมชาติของพวกเขาออกมาโดยปราศจากความรู้สึกตัวอันใดถึงธรรมชาตินั้น เพราะธรรมชาติของคนคนหนึ่งก็คือชีวิตของพวกเขา และผู้คนถูกขับเคลื่อนโดยธรรมชาติของพวกเขาเป็นเวลานานตราบที่พวกเขามีชีวิตอยู่  ธรรมชาติของบุคคลคนหนึ่งไม่ได้ถูกเผยแค่ในบางโอกาสหรือโดยเหตุบังเอิญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ธรรมชาติของบุคคลหนึ่งสามารถเป็นตัวแทนแก่นแท้ของคนคนนั้นได้อย่างบริบูรณ์  ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลั่งไหลออกมาจากภายในกระดูกและเลือดของผู้คนแสดงถึงธรรมชาติและชีวิตของพวกเขา  ผู้คนบางคนรักสตรีที่สวยงาม  บางคนรักเงินทอง  บ้างก็รักสถานะโดยเฉพาะ  บ้างก็ให้ค่าภาพพจน์และภาพลักษณ์ส่วนตัวของพวกเขาเป็นพิเศษ  บ้างก็รักหรือสักการบูชารูปเคารพโดยเฉพาะ  และผู้คนบางคนโอหังและทะนงตนเป็นพิเศษ โดยไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้ใดเลยในหัวใจของพวกเขาและเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะ พวกเขาชอบที่จะโดดเด่นจากผู้อื่นและมีอำนาจเหนือพวกเขาเหล่านั้น  มีความหลากหลายอยู่ในธรรมชาติที่แตกต่างกัน  ธรรมชาติในหมู่ผู้คนจึงแตกต่างกันได้ แต่องค์ประกอบทั่วไปของพวกเขาคือการต้านทานและการทรยศพระเจ้า  ในหนทางนั้น พวกเขาล้วนเหมือนกันหมด

ส่วนจะรู้จักธรรมชาติของใครสักคนได้อย่างไรนั้น พวกเรามาดูตัวอย่างกันอีกสักสองสามตัวอย่าง  เช่น ความเห็นแก่ตัว  อาจกล่าวได้ว่าความเห็นแก่ตัวคือองค์ประกอบอย่างหนึ่งของธรรมชาติในตัวคน  ทุกคนมีองค์ประกอบนี้อยู่ในตัวเอง  บางคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด และพวกเขาคิดถึงแต่ตัวเองในทุกเรื่อง แสวงหาแต่ผลประโยชน์ให้ตัวเอง และพวกเขาถึงกับไม่คำนึงถึงผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย  ความเห็นแก่ตัวเช่นนั้นแสดงให้เห็นธรรมชาติของพวกเขา  ทุกคนค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่มีความแตกต่างอยู่อย่างหนึ่ง  เมื่อสมาคมกับคนอื่นๆ บางคนสามารถระมัดระวังและใส่ใจผู้อื่น พวกเขาสามารถกังวลสนใจในตัวผู้อื่น และคำนึงถึงผู้อื่นในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  อย่างไรก็ตาม บางคนก็ไม่เป็นเช่นนี้  ผู้คนเหล่านี้เห็นแก่ตัวเป็นพิเศษและใจแคบเสมอเวลาเป็นเจ้าภาพต้อนรับพี่น้องชายหญิง  พวกเขาจัดหาอาหารที่ดีที่สุดให้ครอบครัวของตนกินอย่างเต็มที่ แล้วพวกเขาก็จัดหาแต่อาหารที่ไม่ค่อยน่ากินให้แก่พี่น้องชายหญิงในปริมาณที่น้อยกว่า  เมื่อญาติพี่น้องของพวกเขามา พวกเขาก็จัดการเตรียมการให้ญาติพี่น้องได้รับความสะดวกสบายอย่างยิ่ง  อย่างไรก็ตาม เมื่อพี่น้องชายหญิงแวะมาเยี่ยมเยียน พวกเขากลับจัดให้พี่น้องนอนกับพื้น  พวกเขาคิดว่าดีพอแล้วที่ยอมให้พี่น้องชายหญิงที่มาเยี่ยมเยียนพักค้างคืนด้วย  เมื่อพี่น้องชายหญิงเจ็บป่วยหรือมีความยากลำบากอื่นๆ บางอย่าง บุคคลดังกล่าวก็ไม่นึกถึงพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ทำเหมือนไม่ได้สังเกตเห็น  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใส่ใจหรือรู้สึกกังวลเรื่องคนอื่นเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาใส่ใจแต่เรื่องของตนเองและญาติพี่น้องของตนเท่านั้น  ธรรมชาติอันเห็นแก่ตัวของพวกเขานี้คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่เต็มใจที่จะใส่ใจผู้อื่น  พวกเขารู้สึกว่าการใส่ใจคนอื่นๆ เกี่ยวข้องกับการทนทุกข์กับความสูญเสียและเป็นปัญหามาก  ผู้คนบางคนอาจกล่าวว่า “บุคคลที่เห็นแก่ตัวไม่รู้ว่าจะคำนึงถึงคนอื่นอย่างไร”  นั่นไม่ถูกต้อง  หากพวกเขาไม่รู้ว่าจะคำนึงถึงผู้อื่นอย่างไร เช่นนั้นแล้วเหตุใดผู้คนที่เห็นแก่ตัวจึงดีกับญาติพี่น้องของตนเองเหลือเกินและคำนึงถึงความต้องการของพวกเขาอย่างเต็มที่?  เหตุใดพวกเขาจึงรู้ว่าตัวพวกเขาเองขาดพร่องสิ่งใดและสมควรสวมใส่สิ่งใดหรือกินอะไรในเวลาที่เหมาะสม?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถทำเช่นนั้นกับคนอื่นๆ?  ในความเป็นจริง พวกเขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พวกเขาเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่น  ธรรมชาติของพวกเขาคือตัวกำหนดเรื่องนี้  ผู้ที่เห็นแก่ตัวย่อมไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรม ทั้งยังมีแง่มุมของความเลวร้ายอีกด้วย  พระนิเวศของพระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วว่าทุกคนที่ทำผิดประเวณีเป็นประจำต้องถูกเอาตัวออกไป  แต่สำหรับบางคนแล้ว นั่นเป็นเพียงการกระทำผิดชั่วครั้งชั่วคราว  พวกเขาควรได้รับการจัดการเหมือนพวกที่ทำผิดประเวณีอยู่ตลอดเวลาด้วยหรือไม่?  นี่เป็นเรื่องของหลักธรรม  พวกที่อาจทำผิดประเวณีเป็นครั้งคราวไม่สามารถถือได้ว่าเป็นคนที่มีธรรมชาติอันเลวร้าย  หากใครบางคนมักมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามเสมอไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม พวกเขาไร้ยางอาย และไม่มีศีลธรรมในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ นี่ก็คือคนเลว และธรรมชาติของพวกเขาก็คือธรรมชาติของความเลวร้าย  คนเช่นนี้จะเผยธรรมชาติของตนออกมาไม่ว่าพวกเขาจะกระทำการใดหรือทำงานอะไร  ธรรมชาติของพวกเขานั้นมิอาจควบคุมได้ และหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยสิ่งโสมมเหล่านี้  ไม่ว่าจะไปที่ใด พวกเขาก็เกี้ยวพาราสีเพศตรงข้าม และถึงแม้พวกเขาหยุดทำเช่นนั้นไประยะหนึ่ง พวกเขาก็หยุดเพราะสภาพแวดล้อมไม่เปิดโอกาสหรือเพราะไม่มีคนที่เหมาะสม  สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติของคนเราสามารถเผยให้เห็นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ไม่มีอะไรจะจำกัดสิ่งเหล่านี้เอาไว้ได้  บางคนหลงใหลในเรื่องเสื้อผ้า ความงาม และความฟุ้งเฟ้อเป็นพิเศษ พวกเขาไร้แก่นสารเอามากๆ  พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าวันละหลายๆ ครั้ง  พวกเขาเฝ้ามองว่าใครใส่เสื้อผ้าสวยและใครแต่งตัวดี หากพวกเขาไม่สามารถได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็จะนอนไม่หลับ และพวกเขาจะยืมเงินหรือยอมทำทุกทางเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มา  หากพวกเขาไม่สามารถได้สิ่งเหล่านี้มา พวกเขาก็อาจหมดความสนใจที่จะเชื่อในพระเจ้า เลิกอยากเข้าร่วมชุมนุม และหมดใจที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ยึดครองจิตใจของพวกเขา  พวกเขาไม่สามารถคิดถึงสิ่งอื่นได้  ผู้คนเช่นนี้ไร้แก่นสารเป็นพิเศษ ไร้แก่นสารยิ่งกว่าคนทั่วไปมากนัก  นี่คือสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติของพวกเขาและอยู่ในกระดูกของพวกเขา  ธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขานั้นไร้แก่นสาร  สิ่งที่อยู่ในธรรมชาติของคนคนหนึ่งไม่ได้เผยออกมาในช่วงเวลาที่อ่อนแอ แต่เป็นการสำแดงให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ  ไม่ว่าผู้คนจะทำสิ่งใด พวกเขาล้วนมีองค์ประกอบตามธรรมชาติของตนอยู่ด้วย  แม้ในยามที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนจากภายนอก แต่ก็ยังคงมีความไม่บริสุทธิ์อยู่ภายใน  ตัวอย่างเช่นเมื่อคนที่หลอกลวงพูดบางสิ่งที่จริงใจชั่วขณะ แท้จริงแล้วก็ยังคงมีความหมายแฝงเร้นอยู่เบื้องหลังคำพูดของพวกเขา  คำพูดของพวกเขายังคงปนเปื้อนไปด้วยการหลอกลวง  คนที่หลอกลวงย่อมหลอกลวงคนทุกคน แม้กระทั่งกับญาติพี่น้องของตนและกับลูกหลาน  ไม่ว่าเจ้าจะตรงไปตรงมากับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะหลอกลวงเจ้าอยู่ดี  นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา นี่คือธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขา ไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง และจะเป็นเช่นนี้เสมอ  บางครั้งคนที่ซื่อสัตย์ก็กล่าวคำพูดที่บิดเบือนและหลอกลวง แต่โดยปกติแล้วพวกเขามักจะซื่อสัตย์ กระทำการในลักษณะที่ค่อนข้างน่าไว้วางใจ เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร และไม่มีเจตนาทดสอบผู้อื่นเวลาพูดคุยกับคนเหล่านั้น  พวกเขาสามารถเปิดใจและสามัคคีธรรมกับผู้อื่นได้จากหัวใจ และทุกคนก็กล่าวว่าพวกเขาไร้เล่ห์มารยา  บางครั้งเวลาที่พวกเขากล่าวคำพูดหลอกลวง นี่ก็เป็นเพียงการเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเท่านั้น  นี่ไม่ได้แสดงถึงธรรมชาติของพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ใช่คนหลอกลวง  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องธรรมชาติของคน เจ้าต้องเข้าใจว่าธรรมชาตินั้นมีอะไรเป็นส่วนประกอบและอะไรคืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เจ้าต้องสามารถแยกแยะระหว่างสองอย่างนี้ให้ได้อย่างชัดเจน  คราวนี้เมื่อมีการขอให้ผู้คนชำแหละธรรมชาติของตนเอง บางคนจะบอกว่า “บางครั้งฉันก็พูดจารุนแรง” หรือ “ฉันเข้าสังคมไม่เป็นและไม่รู้จะวางตัวอย่างไร” หรือ “บางครั้งเวลาฉันปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองก็มีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ปนอยู่บ้าง” แต่พวกเขาไม่พูดถึงธรรมชาติของตนว่าเป็นเช่นไร หรือความเป็นมนุษย์ของตนนั้นดีหรือไม่  พวกเขาหลีกเลี่ยงอะไรอย่างนั้นเสมอ และเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถรู้จักตัวเองได้อย่างแท้จริง  การปกปิดและกลัวว่าจะเสียหน้าและอับอายอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้  สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติของเจ้าต้องถูกขุดออกมา  ถ้าขุดออกมาไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ และหากทำความเข้าใจไม่ได้ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  เจ้าต้องเข้มงวดให้มากเมื่อเป็นเรื่องของการทำความรู้จักตัวเอง  เจ้าต้องไม่หลอกตัวเอง และในเรื่องนี้ เจ้าจะทำแค่พอให้ผ่านไปไม่ได้

โดยเบื้องต้นนั้น การเข้าใจธรรมชาติของเจ้าเองเกี่ยวข้องกับการเข้าใจว่าจริงๆ แล้วเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด  บุคคลประเภทที่เจ้าเป็นนั้นบ่งชี้ว่าเจ้ามีธรรมชาติแบบใด  ตัวอย่างเช่น การพูดว่าใครบางคนเป็นคนเช่นนั้นเช่นนี้บ่งบอกธรรมชาติของพวกเขามากที่สุด  คนมีธรรมชาติแบบใดก็บ่งชี้ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด  ธรรมชาติของคนคนหนึ่งคือชีวิตของพวกเขา  เจ้าจะมองเห็นได้อย่างไรว่าธรรมชาติของคนคนหนึ่งเป็นเช่นไร?  เจ้าต้องพบปะพวกเขาอยู่เนืองๆ และใช้เวลาสังเกตดูว่าพวกเขาเป็นคนแบบใด  สิ่งใดก็ตามที่โดดเด่นที่สุดเกี่ยวกับพวกเขา และแสดงถึงแก่นแท้และลักษณะเฉพาะของพวกเขา ย่อมกล่าวได้ว่าเป็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  ส่วนประกอบเหล่านั้นในแก่นแท้ของพวกเขาก็ก่อเกิดเป็นธรรมชาติของพวกเขา  เมื่อกล่าวถึงการดูว่าจริงๆ แล้วใครคนหนึ่งเป็นบุคคลประเภทใด วิธีนี้ถูกต้องแม่นยำกว่า  แก่นแท้ของคนเป็นเช่นไร ธรรมชาติของพวกเขาก็เป็นเช่นนั้น  ธรรมชาติของคนคือเครื่องกำหนดว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด  ตัวอย่างเช่น หากใครคนหนึ่งชอบเงินทองเป็นพิเศษ เช่นนั้นก็สามารถสรุปธรรมชาติของพวกเขาได้ด้วยถ้อยคำไม่กี่คำว่า พวกเขารักเงิน  หากคุณสมบัติเฉพาะที่เด่นชัดที่สุดของใครคนหนึ่งคือ การมีความรักในสตรีเพศ และเขาเที่ยวข้องแวะกับผู้หญิงอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วคนคนนี้ก็รักความเลวร้ายและมีธรรมชาติที่เลวร้าย  ผู้คนบางคนรักการกินเป็นที่สุด  หากเจ้าให้สุราบ้างเนื้อบ้างแก่คนแบบนั้น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะทำตัวเข้าข้างเจ้า  ดังนั้นนี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าคนคนนี้มีธรรมชาติอันตะกละตะกลามเหมือนสุกรจริงๆ  ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและข้อเสียที่ร้ายแรงถึงชีวิต และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ควบคุมพวกเขาในชีวิตจริง  พวกเขาดำรงชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามนี้ และอุปนิสัยนี้ก็แสดงถึงธรรมชาติของพวกเขา  สามารถกล่าวได้ว่าธรรมชาติของพวกเขาคือส่วนหนึ่งของพวกเขาที่เป็นข้อเสียซึ่งร้ายแรงถึงชีวิต—ข้อเสียซึ่งร้ายแรงถึงชีวิตของพวกเขาก็คือธรรมชาติของพวกเขา  ผู้คนบางคนดูเหมือนว่าจะมีความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นที่ยอมรับได้และไม่แสดงข้อเสียใหญ่ๆ อันใดออกมาให้เห็นภายนอก แต่จุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของพวกเขาคือความเปราะบาง  พวกเขาไม่มีเป้าหมายหรือทิศทางในชีวิตในการไล่ตามเสาะหาของตน พวกเขาสักแต่มีชีวิตไปวันๆ เท่านั้น พอเกิดภาวะชะงักงันหน่อยก็ล้ม แล้วพอลำบากขึ้นมาก็คิดลบ  หากพวกเขาลงเอยด้วยการมีมโนคติอันหลงผิดจนถึงจุดที่พวกเขาไม่ต้องการที่จะมีความเชื่ออีกต่อไป เช่นนั้นแล้วจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของพวกเขาก็คือความเปราะบาง ธรรมชาติของพวกเขาย่อมเปราะบาง พวกเขาไม่มีค่าและไม่อาจได้รับความช่วยเหลือ  ผู้คนบางคนมีความอ่อนไหวอย่างที่สุด  ทุกวันพวกเขาดำรงชีวิตตามความรู้สึกของตนเองในทุกเรื่องที่พวกเขาพูดและในวิธีที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนและจัดการกับเรื่องต่างๆ  พวกเขามีความรู้สึกให้คนนี้แล้วก็คนนั้น และพวกเขาใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการให้ความสนใจเรื่องความสัมพันธ์และความรู้สึก  ในทุกสิ่งที่พวกเขาพบเจอ พวกเขามีชีวิตอยู่ในโลกของความรู้สึก  ครั้นญาติพี่น้องที่ไม่มีความเชื่อของคนเช่นนั้นเสียชีวิต พวกเขาก็จะร้องไห้อยู่สามวันและไม่ยอมให้ฝังร่างนั้น  พวกเขายังคงมีความรู้สึกต่อผู้ตาย และความรู้สึกของพวกเขาก็แรงกล้าเกินไป  เจ้าอาจพูดได้ว่าความรู้สึกคือข้อเสียที่ร้ายแรงถึงชีวิตของคนผู้นี้  พวกเขาถูกความรู้สึกของตนเองตีกรอบในทุกเรื่อง พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริงหรือกระทำการตามหลักธรรม และพวกเขามีแนวโน้มที่จะกบฏต่อพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง  ความรู้สึกคือจุดอ่อนอันร้ายแรงที่สุดของพวกเขา เป็นข้อเสียที่ร้ายแรงถึงชีวิตของพวกเขา และความรู้สึกของพวกเขาก็สามารถพาให้พวกเขาล่มจมและทำลายล้างพวกเขาอย่างสิ้นเชิงได้  ผู้คนที่อ่อนไหวเกินไปย่อมไม่สามารถนบนอบพระเจ้าหรือนำความจริงไปปฏิบัติได้  พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับเนื้อหนัง พวกเขาโง่เขลาและเลอะเลือน  ธรรมชาติของคนแบบนั้นย่อมอ่อนไหวมาก และพวกเขาก็ดำรงชีวิตตามความรู้สึกของตน  ดังนั้น หากเจ้าต้องการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เจ้าก็ต้องรู้จักธรรมชาติของเจ้า  “เสือดาวเปลี่ยนลายของตนไม่ได้”  จงอย่าทึกทักเอาว่าจะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติได้  หากธรรมชาติของคนคนหนึ่งเลวร้ายเกินไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยหมายถึงสิ่งใด?  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยหมายถึงเมื่อคนที่รักความจริงยอมรับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้าและก้าวผ่านความทุกข์และกระบวนการถลุงทุกลักษณะในขณะที่กำลังได้รับประสบการณ์อยู่กับพระราชกิจของพระเจ้า  และได้รับการชำระให้สะอาดจากพิษทั้งหลายของซาตานภายในตัวพวกเขา ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไปโดยบริบูรณ์ และสามารถนบนอบต่อพระวจนะของพระเจ้าและการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการทั้งปวงของพระองค์ได้ อีกทั้งไม่มีวันกบฏหรือขัดขืนอีกเลย  นี่คือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  หากธรรมชาติของคนคนหนึ่งแย่มาก และหากพวกเขาเป็นคนชั่ว เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา  กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ นี่ก็เหมือนแพทย์รักษาคนไข้ตรงที่ว่า คนที่มีอาการอักเสบสามารถรักษาให้หายได้ แต่คนที่เป็นมะเร็งย่อมไม่สามารถช่วยให้รอดได้  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหมายความว่า เพราะคนคนหนึ่งรักและยอมรับความจริงได้  ในที่สุดพวกเขาจึงมารู้จักธรรมชาติของตนเองที่เป็นกบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านพระเจ้า  พวกเขาเข้าใจว่ามนุษย์นั้นถูกทำให้เสื่อมทรามมากเกินไป พวกเขาเข้าใจความไร้เหตุผลและความหลอกลวงของมวลมนุษย์ รวมทั้งสภาวะอันยากไร้และน่าเวทนาของมวลมนุษย์ และในที่สุดพวกเขาก็มาเข้าใจแก่นแท้ธรรมชาติของมวลมนุษย์  เมื่อรู้ทั้งหมดนี้แล้ว พวกเขาจึงสามารถปฏิเสธและขัดขืนเองได้อย่างสิ้นเชิง ดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และปฏิบัติความจริงในทุกสิ่ง  นี่คือใครคนหนึ่งซึ่งรู้จักพระเจ้า และอุปนิสัยของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  

มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และธรรมชาติของมนุษย์ก็คือการทรยศพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางพวกมนุษย์ผู้ที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มีบางคนที่สามารถนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าและยอมรับความจริงได้  นี่คือผู้คนที่สามารถได้มาซึ่งความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  ผู้คนบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ไหลไปตามกระแสแทน  พวกเขาเชื่อฟังและทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าบอกให้พวกเขาทำ พวกเขาสามารถละทิ้งสิ่งต่างๆ และสละตนเอง และพวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์อันใดก็ได้  ผู้คนเช่นนี้มีมโนธรรมและสำนึกน้อยนิด และพวกเขามีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดและมีชีวิตต่อไป แต่อุปนิสัยของพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาพอใจแต่กับการเข้าใจคำสอนเท่านั้น  พวกเขาไม่กล่าวหรือทำสิ่งที่ฝืนละเมิดมโนธรรม พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจริงใจ และสามารถยอมรับการสามัคคีธรรมถึงความจริงที่เกี่ยวกับปัญหาใดๆ ก็ได้  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้พยายามอย่างจริงจังเมื่อเป็นเรื่องความจริง จิตใจของพวกเขาสับสน และพวกเขาจะไม่มีวันสามารถเข้าใจแก่นแท้ของความจริง  นั่นจึงเป็นไปไม่ได้ที่อุปนิสัยของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลง  หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดจากความเสื่อมทราม และก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ต้องมีความรักให้กับความจริงและสามารถยอมรับความจริง  การยอมรับความจริงหมายถึงสิ่งใด?  การยอมรับความจริงหมายความว่าไม่ว่าเจ้าจะมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามจำพวกใด หรือมีพิษใดของพญานาคใหญ่สีแดง—พิษของซาตาน—อยู่ในธรรมชาติของเจ้า เมื่อพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็ควรยอมรับสิ่งเหล่านี้และนบนอบ เจ้าไม่สามารถมีตัวเลือกที่แตกต่างออกไป และเจ้าควรรู้จักตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า  นี่หมายถึงการสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริง  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใด ไม่ว่าพระดำรัสของพระองค์จะรุนแรงเพียงใด และไม่ว่าพระองค์จะใช้พระวจนะใด เจ้าก็สามารถยอมรับพระวจนะเหล่านั้นได้ตราบที่สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นเป็นความจริง และเจ้าสามารถยอมรับพระวจนะเหล่านั้นได้ตราบที่พระวจนะเหล่านั้นคล้อยตามความเป็นจริง  เจ้าสามารถนบนอบต่อพระวจนะของพระเจ้าไม่ว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นลึกซึ้งเพียงใดก็ตาม และเจ้าสามารถยอมรับและนบนอบต่อความสว่างจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าสามัคคีธรรมกัน  เมื่อบุคคลดังกล่าวได้ไล่ตามเสาะหาความจริงไปจนถึงจุดหนึ่ง พวกเขาย่อมสามารถได้มาซึ่งความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา  ต่อให้ผู้คนที่ไม่รักความจริงจะมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง สามารถทำสิ่งดีได้บ้าง สามารถละทิ้งและสละเพื่อพระเจ้า แต่พวกเขาก็สับสนเกี่ยวกับความจริงและไม่ปฏิบัติต่อความจริงอย่างจริงจัง ดังนั้นอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าเปโตรมีความเป็นมนุษย์ที่คล้ายคลึงกับสาวกคนอื่น แต่เขาโดดเด่นเพราะเขาไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างกระตือรือร้น  ไม่ว่าพระเยซูตรัสสิ่งใด เขาก็ไตร่ตรองสิ่งนั้นอย่างจริงจังตั้งใจ  พระเยซูตรัสถามว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย เจ้ารักเราไหม?”  เปโตรตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “ข้าพระองค์รักพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ทว่าข้าพระองค์ไม่ได้รักองค์พระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก”  ภายหลังเขาก็เข้าใจและคิดว่า “นี่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าบนแผ่นดินโลกทรงเป็นพระเจ้าในสวรรค์  นั่นไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียวกันทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกหรอกหรือ?  หากฉันรักพระเจ้าในสวรรค์เท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ความรักของฉันก็ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ฉันต้องรักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก เพราะเมื่อนั้นเท่านั้นความรักของฉันจึงจะสัมพันธ์กับชีวิตจริง”  ด้วยเหตุนี้ เปโตรจึงได้มาเข้าใจความหมายที่แท้จริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าจากสิ่งที่พระเยซูตรัสถาม  การที่จะรักพระเจ้า และเพื่อให้ความรักนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริง คนเราต้องรักพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลก  การรักพระเจ้าที่คลุมเครือและไม่ปรากฏแก่ตานั้นไม่เป็นจริงและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ในขณะที่การรักพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงและทรงปรากฏแก่ตาคือความจริง  จากพระวจนะของพระเยซู เปโตรได้รับความจริงและความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เป็นที่ชัดเจนว่า การเชื่อในพระเจ้าของเปโตรได้เพียงมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น  ในท้ายที่สุด เขาได้สัมฤทธิ์ความรักของพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง—พระเจ้าบนแผ่นดินโลก  เปโตรจริงจังตั้งใจเป็นพิเศษในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเขา  แต่ละครั้งที่พระเยซูได้ทรงให้คำชี้แนะแก่เขา เขาไตร่ตรองพระวจนะของพระเยซูอย่างจริงจังตั้งใจ  บางทีเขาก็ไตร่ตรองเป็นเวลาหลายเดือน หนึ่งปี หรือแม้กระทั่งหลายปีก่อนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานความรู้แจ้งแก่เขา และเขาได้เข้าใจแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้า  ในหนทางนี้ เปโตรจึงเข้าสู่ความจริง และเมื่อเขาเข้าสู่ความจริง อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงและเริ่มใหม่ หากคนคนหนึ่งไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจความจริง  เจ้าสามารถพูดถึงคำพูดและคำสอนนับหมื่นครั้ง แต่สิ่งเหล่านั้นจะยังคงเป็นแค่คำพูดและคำสอน  บางคนแค่พูดว่า “พระคริสต์ทรงเป็นความจริง เป็นหนทาง และชีวิต”  ต่อให้เจ้าทวนซ้ำคำพูดเหล่านี้นับหมื่นครั้ง นั่นก็จะยังคงไร้ประโยชน์อยู่ดี เจ้าไม่มีความเข้าใจในความหมายของถ้อยคำเหล่านี้  เหตุใดเล่าจึงกล่าวกันว่า พระคริสต์ทรงเป็นความจริง เป็นหนทาง และชีวิต?  เจ้าสามารถแสดงชัดถึงความรู้จากประสบการณ์ของเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  เจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง หนทาง และชีวิตหรือยัง?  พระเจ้าได้ดำรัสพระวจนะของพระองค์เพื่อให้พวกเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้นและได้รับความรู้  การพูดถึงคำพูดและคำสอนเท่านั้นย่อมไร้ประโยชน์  เจ้าสามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้เฉพาะเมื่อเจ้าได้เข้าใจและเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าแล้วเท่านั้น  หากเจ้าไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้  เจ้าจะมีวิจารณญาณได้ต่อเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงเท่านั้น  หากไม่เข้าใจความจริง เจ้าย่อมจะใช้วิจารณญาณแยกแยะไม่ได้  เจ้าสามารถมองเห็นเรื่องราวทั้งหลายได้อย่างชัดเจนต่อเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงเท่านั้น  หากไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็ไม่สามารถมองเห็นเรื่องราวได้อย่างชัดเจน  เจ้าสามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้ต่อเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงเท่านั้น  หากไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็ไม่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้  อุปนิสัยของเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อเจ้าได้รับความจริงแล้วเท่านั้น  หากปราศจากความจริง อุปนิสัยของเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  มีเพียงหลังจากที่เจ้าได้รับความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรับใช้ได้อย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หากไม่ได้รับความจริง เจ้าก็ไม่สามารถรับใช้โดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  มีเพียงหลังจากที่เจ้าได้รับความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนมัสการพระเจ้าได้  หากไม่เข้าใจความจริง ต่อให้เจ้านมัสการพระองค์ การนมัสการของเจ้าก็จะเป็นเพียงการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น  หากปราศจากความจริง ทุกสิ่งที่เจ้าทำย่อมไม่ใช่ความเป็นจริง  เมื่อได้รับความจริง ทุกสิ่งที่เจ้าทำย่อมเป็นความเป็นจริง  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการได้รับความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า  บางคนจะถามว่า “ที่จริงแล้ว การได้รับความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”  จำเป็นต้องถามจริงๆ หรือ?  ความจริงทั้งปวงล้วนแสดงโดยพระเจ้า และความจริงทั้งปวงก็อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  ไม่มีความจริงที่อยู่นอกพระวจนะของพระเจ้า  มีหลายคนที่เชื่อว่าการสามารถพูดถึงคำพูดและคำสอนคือการรู้ความจริง นี่เป็นเรื่องไร้สาระ  เจ้าไม่สามารถได้รับความจริงด้วยการกล่าวแค่คำสอนเท่านั้น  การสามัคคีธรรมถึงความหมายตามตัวอักษรในพระวจนะของพระเจ้ามีประโยชน์อันใด?  เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความหมายในพระวจนะของพระเจ้า ที่มาแห่งพระวจนะของพระเจ้า และผลลัพธ์ที่ประสงค์ให้พระวจนะสัมฤทธิ์  พระวจนะของพระเจ้าประกอบด้วยความจริง ชีวิต ความสว่าง หลักธรรม และเส้นทางเอาไว้  พระวจนะทุกคำของพระเจ้าบรรจุเนื้อหามากมายเอาไว้ การกล่าวเพียงความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะ จากนั้นก็เลิกรา ย่อมไม่เพียงพอ  เราจะยกตัวอย่างให้เจ้าฟัง  พระเจ้าตรัสว่า “จงเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ใช่คนหลอกลวง”  พระดำรัสนี้หมายความว่าอย่างไร?  บางคนบอกว่า “นี่คือการบอกให้ผู้คนเป็นคนที่ซื่อสัตย์และไม่หลอกลวงไม่ใช่หรือ?”  หากเจ้าถามพวกเขาว่ายังมีความหมายใดอีก พวกเขาก็จะตอบว่า “หมายความว่าคุณควรเป็นคนที่ซื่อสัตย์และไม่เป็นคนหลอกลวง  พระดำรัสกล่าวถึงสองสิ่งนี้เท่านั้น”  เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อาจจะถามว่า “ที่จริงแล้วการเป็นคนซื่อสัตย์หมายความว่าอย่างไร?  คนแบบใดจึงนับว่าเป็นคนซื่อสัตย์?  คนซื่อสัตย์มีพฤติกรรมเช่นไร?  คนหลอกลวงมีพฤติกรรมอย่างไร?”  พวกเขาก็จะตอบว่า “คนที่ซื่อสัตย์คือคนที่พูดจาซื่อตรง ไม่ผสมความเท็จลงไปในคำพูดของตน และไม่พูดปด  คนหลอกลวงคือคนที่พูดจาลดเลี้ยวไปมา ไม่พูดความจริง คำพูดของพวกเขาไม่บริสุทธิ์ และพวกเขาชอบพูดเรื่องโกหก”  พวกเขาพูดได้เพียงเท่านี้  การคิดอ่านของมนุษย์เรียบง่ายเกินไป  ด้วยการอธิบายถึงผู้คนที่ซื่อสัตย์อย่างง่ายดายเช่นนี้ เจ้าจะมีวันเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้กระนั้นหรือ?  พระวจนะของพระเจ้าพูดถึงผู้คนที่ซื่อสัตย์ว่าอย่างไร?  ประการแรกคือผู้คนที่ซื่อสัตย์ไม่เก็บงำความสงสัยในตัวผู้อื่น และประการที่สองคือผู้คนที่ซื่อสัตย์ยอมรับความจริงได้  นี่คือลักษณะที่สำคัญสองประการ  ตามที่กล่าวมานี้ พระเจ้าทรงหมายถึงอะไร?  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสเช่นนี้?  จากพระวจนะของพระเจ้า เจ้าสามารถเข้าใจนัยสำคัญที่อยู่ลึกลงไปว่าการเป็นคนซื่อสัตย์หมายความว่าอย่างไร อ้างอิงสิ่งใด และนิยามที่แท้จริงของการเป็นคนซื่อสัตย์คืออะไร  ทันทีที่เจ้าเข้าใจคำจำกัดความนี้อย่างถูกต้องแม่นยำแล้ว เจ้าก็จะสามารถมองเห็นในพระวจนะของพระเจ้าว่า คนซื่อสัตย์สำแดงออกเช่นไร และผู้คนที่หลอกลวงเป็นอย่างไร และอะไรคือการสำแดงของคนหลอกลวง  จากนั้นหากเจ้าประเมินสิ่งที่สำแดงออกมาเหล่านี้ เจ้าก็จะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าคนซื่อสัตย์เป็นเช่นไรและคนหลอกลวงเป็นเช่นไร แล้วผู้คนที่หลอกลวงปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร และปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร  ในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะมาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง และเจ้าจะรู้ว่ามโนคติที่ผู้คนมีต่อคนที่ซื่อสัตย์และคนหลอกลวงนั้นแตกต่างจากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวเอาไว้อย่างไร  เมื่อพระวจนะของพระเจ้าบอกเจ้าว่า “จงเป็นคนซื่อสัตย์ อย่าเป็นคนหลอกลวง” ในที่นี้ย่อมมีรายละเอียดอยู่มากมาย  เมื่อเจ้าเข้าใจความหมายของพระวจนะเหล่านี้อย่างแท้จริง เจ้าก็จะรู้ว่าคนซื่อสัตย์คืออะไรและคนหลอกลวงคืออะไร  เวลาเจ้าปฏิบัติ แน่นอนว่าเจ้าจะรู้จักปฏิบัติในหนทางที่แสดงให้เห็นลักษณะของคนที่ซื่อสัตย์ เจ้าจะมองเห็นเส้นทางปฏิบัติและหลักธรรมของการปฏิบัติเพื่อที่จะเป็นคนซื่อสัตย์อย่างชัดเจน ซึ่งย่อมรับประกันว่าเจ้าจะเข้าเกณฑ์มาตรฐานของพระเจ้า  หากเจ้าเข้าใจวจนะเหล่านี้จริงๆ และนำไปปฏิบัติ เจ้าจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่เข้าใจวจนะเหล่านี้ เจ้าย่อมจะไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ และเจ้าจะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าเลย  การเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างถ่องแท้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  จงอย่าคิดเด็ดขาดว่า “ฉันสามารถตีความความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าได้ และทุกคนบอกว่าการตีความของฉันดี และยกนิ้วให้กับฉัน ดังนั้นนี่จึงหมายความว่า ฉันเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า”  นั่นไม่ใช่เหมือนกับการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าได้รับความสว่างบางอย่างจากภายในพระดำรัสของพระเจ้า และเจ้าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะของพระองค์ และหากเจ้าสามารถแสดงเจตนาเบื้องหลังพระวจนะของพระองค์และผลที่พระวจนะเหล่านั้นจะสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุด—หากเจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหมดนี้—ก็ย่อมสามารถพิจารณาได้ว่าเจ้ามีความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าในระดับหนึ่ง  ดังนั้น การเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  แค่เพราะเจ้าสามารถอธิบายความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าอย่างสละสลวยและเกินจริงได้ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะเหล่านั้น  ไม่สำคัญว่าเจ้าสามารถอธิบายความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะเหล่านั้นได้มากเท่าใด การอธิบายของเจ้าก็ยังคงขึ้นอยู่กับจินตนาการของมนุษย์และวิธีคิดแบบมนุษย์อยู่ดี  ช่างไร้ประโยชน์นัก!  เจ้าสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไรกัน?  หัวใจสำคัญก็คือการแสวงหาความจริงจากภายในพระวจนะเหล่านั้น  เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  พระเจ้าไม่เคยตรัสพระวจนะที่ว่างเปล่า  แต่ละประโยคที่พระองค์ดำรัสมีรายละเอียดทั้งหลายที่แน่นอนว่าจะได้รับการเปิดโปงต่อไปในพระวจนะของพระองค์ และรายละเอียดเหล่านั้นอาจได้รับการแสดงออกมาอย่างแตกต่างกัน  มนุษย์ไม่สามารถหยั่งลึกถึงหนทางทั้งหลายที่พระเจ้าทรงแสดงความจริง  พระดำรัสของพระเจ้านั้นลุ่มลึกมากและไม่สามารถหยั่งลึกได้โดยง่ายด้วยการคิดอ่านแบบมนุษย์  ผู้คนสามารถค้นพบความหมายทั้งหมดของความจริงในทุกแง่มุมได้อย่างคร่าวๆ ตราบเท่าที่พวกเขาใช้ความพยายาม  การประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเพิ่มเติมรายละเอียดที่เหลืออยู่ให้แก่พวกเขาเมื่อพวกเขามีประสบการณ์ต่อไปข้างหน้า  ส่วนหนึ่งคือการไตร่ตรองและเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและการแสวงหาเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงด้วยการอ่านพระวจนะเหล่านั้น  อีกส่วนหนึ่งก็คือการเข้าใจความหมายในพระวจนะของพระเจ้าโดยการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้น และการได้มาซึ่งความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  โดยผ่านทางความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในสองแง่มุมนี้ เจ้าจะสามารถมาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าตีความพระวจนะตามตัวอักษรในระดับข้อเขียน หรือจากการคิดอ่านและความคิดฝันของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าอธิบายพระวจนะได้ด้วยการเติมแต่งที่สวยหรู เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง และทั้งหมดยังคงขึ้นอยู่กับการคิดอ่านและความคิดฝันของมนุษย์  นี่ไม่ได้เกิดจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้คนมีแนวโน้มที่จะตีความพระวจนะของพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน และพวกเขาอาจถึงกับตีความพระวจนะของพระเจ้าผิดไปจากบริบท ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะเข้าใจพระเจ้าผิดและตัดสินพระองค์ และนี่ก่อให้เกิดปัญหา  เพราะฉะนั้นความจริงส่วนใหญ่จึงได้มาจากการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและการได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  การสามารถเข้าใจและอธิบายความหมายตามตัวอักษรในพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้รับความจริงแล้ว  หากการเข้าใจความหมายตามตัวอักษรในพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริง เช่นนั้นเจ้าก็แค่จำเป็นต้องมีการศึกษาและมีความรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเจ้าจะต้องมีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปเพื่อเหตุใด?  พระราชกิจของพระเจ้าคือบางสิ่งที่ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์สามารถเข้าใจได้กระนั้นหรือ?  เพราะฉะนั้น การเข้าใจความจริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับมโนคติอันหลงผิดหรือความคิดฝันของมนุษย์  เจ้าจำเป็นต้องมีความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อที่จะมีความรู้จากประสบการณ์ที่เป็นจริง  นี่คือกระบวนการของการเข้าใจความจริงและได้รับความจริง และเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นอีกด้วย

เจ้าเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์อย่างไร?  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการแยกแยะธรรมชาติของมนุษย์จากมุมมองทางโลกทัศน์ของมนุษย์ ทรรศนะชีวิต และค่านิยมทั้งหลาย  พวกที่เป็นมารร้ายล้วนดำรงชีวิตเพื่อตัวเอง  โดยหลักแล้วทรรศนะชีวิตและคำคมทั้งหลายของพวกเขามาจากคติพจน์ของซาตาน อาทิ “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “มนุษย์ยอมตายเพื่อทรัพย์สมบัติ เหมือนนกยอมตายเพื่ออาหาร” และตรรกะวิบัติอื่นๆ ในทำนองนี้  คำกล่าวทั้งหมดนี้ของพวกราชามาร พวกผู้ยิ่งใหญ่ และนักปรัชญาทั้งหลายได้กลายมาเป็นชีวิตจริงของมนุษย์  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดส่วนใหญ่ของขงจื๊อผู้ซึ่งชาวจีนกล่าวขวัญว่าเป็น “ปราชญ์” นั้น ได้กลายมาเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ทั้งยังมีสุภาษิตที่มีชื่อเสียงของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า และมีวาจาอมตะที่ผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายมักจะกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกด้วย  เหล่านี้ล้วนเป็นบทสรุปของปรัชญาทั้งหลายของซาตานและธรรมชาติของซาตาน  สิ่งเหล่านี้ยังเป็นการแสดงตัวอย่างและคำอธิบายที่ดีที่สุดของธรรมชาติของซาตาน  พิษเหล่านี้ที่ถูกซึมซาบเข้าสู่หัวใจของมนุษย์ล้วนมาจากซาตาน และไม่ได้มาจากพระเจ้าแม้แต่น้อย  คำพูดเยี่ยงมารเช่นนั้นอยู่ในการต่อต้านพระวจนะของพระเจ้าโดยตรงเช่นกัน  มันชัดเจนอย่างสมบูรณ์ว่า ความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวกทั้งหลายนั้นล้วนมาจากพระเจ้า และสิ่งทั้งปวงที่เป็นลบซึ่งทำให้มนุษย์ถูกพิษนั้นมาจากซาตาน  เพราะฉะนั้น เจ้าสามารถแยกแยะธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง และแยกแยะได้ว่าพวกเขาเป็นของใคร โดยดูที่ทรรศนะและค่านิยมที่พวกเขามีต่อชีวิต  ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและผู้ยิ่งใหญ่  คำพูดเยี่ยงมารของพวกเขาได้กลายเป็นชีวิตและธรรมชาติของมนุษย์ไปแล้ว  “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” เป็นคำกล่าวของซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีและถูกปลูกฝังไว้ในตัวทุกคน และนี่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ยังมีปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกอื่นๆ ที่เป็นเช่นนี้ด้วย  ซาตานใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมของแต่ละชนชาติมาอบรมสั่งสอน ชักพาให้หลงผิด และทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้าง และถูกนรกที่ไร้พรมแดนนี้กลืนกิน และสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า  ผู้คนบางคนทำหน้าที่เป็นข้าราชการในสังคมมาหลายทศวรรษ  จงจินตนาการถึงการตั้งคำถามต่อไปนี้กับพวกเขาว่า “พวกคุณทำงานได้ดียิ่งในหน้าที่นี้ อะไรหรือคือคติพจน์หลักซึ่งมีชื่อเสียงที่พวกคุณใช้ดำรงชีวิต?”  พวกเขาอาจกล่าวว่า “สิ่งเดียวที่ฉันเข้าใจก็คือ ‘ข้าราชการไม่โขกสับพวกที่ให้ของกำนัล และพวกที่ไม่ประจบย่อมไม่สำเร็จลุล่วงอันใดเลย’”  นี่คือปรัชญาเยี่ยงซาตานที่พวกเขาใช้เป็นพื้นฐานของอาชีพการงาน  คำพูดเหล่านี้มิได้แสดงถึงธรรมชาติของผู้คนเหล่านี้หรอกหรือ?  การใช้วิถีทางใดก็ตามอย่างขาดหลักศีลธรรมเพื่อได้มาซึ่งตำแหน่งได้กลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา วงการข้าราชการและความสำเร็จในอาชีพการงานคือเป้าหมายของพวกเขา  ยังคงมีพิษซาตานอีกมากมายในชีวิต ในการประพฤติปฏิบัติตนและพฤติกรรมของผู้คน  ตัวอย่างเช่น ปรัชญาในการดำรงชีวิตทางโลกของพวกเขา หนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และคำคมสารพันล้วนเต็มไปด้วยพิษของพญานาคใหญ่สีแดง และทั้งหมดนี้ล้วนมาจากซาตาน  ด้วยเหตุนั้น สรรพสิ่งซึ่งไหลเวียนผ่านกระดูกและเลือดของผู้คนจึงเป็นของซาตาน  พวกข้าราชการทั้งหมด พวกที่กุมอำนาจ และพวกที่ประสบความสำเร็จนั้น มีเส้นทางและความลับในการที่จะประสบความสำเร็จของตัวพวกเขาเอง  ความลับทั้งหลายดังกล่าวไม่ใช่ตัวแทนอันสมบูรณ์แบบของธรรมชาติของพวกเขาหรอกหรือ?  พวกเขาได้ทำสิ่งใหญ่โตเช่นนั้นในโลก และไม่มีใครเลยที่สามารถมองทะลุกลอุบายและเล่ห์กลทั้งหลายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพวกเขาได้  นี่แสดงให้เห็นชัดว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นประสงค์ร้ายและเคลือบแฝงเพียงใด  มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึก  พิษของซาตานไหลเวียนอยู่ในเลือดของคนทุกคน และสามารถกล่าวได้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเสื่อมทราม เลวร้าย เป็นปฏิปักษ์ และต่อต้านพระเจ้า เต็มเปี่ยมไปด้วยปรัชญาและพิษของซาตาน จมจ่อมอยู่ในนั้น กลายเป็นแก่นแท้ธรรมชาติของซาตานจนหมดสิ้น  นี่คือเหตุผลที่ผู้คนต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า  ผู้คนสามารถรู้จักตัวเองได้อย่างง่ายดายหากธรรมชาติของพวกเขาสามารถถูกชำแหละได้ในหนทางนี้

เมื่อผู้คนมีความเข้าใจที่จริงแท้ในพระอุปนิสัยของพระเจ้า เมื่อพวกเขาสามารถมองเห็นได้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นจริง บริสุทธิ์อย่างแท้จริง และชอบธรรมอย่างแท้จริง และเมื่อพวกเขาสามารถสรรเสริญความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าจากหัวใจของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง และพวกเขาย่อมจะได้รับความจริงแล้ว  มีแต่ผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ในความสว่าง  ผลลัพธ์โดยตรงของการรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงก็คือการสามารถรักและนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  เมื่อผู้คนรู้จักพระเจ้าโดยแท้ เข้าใจความจริงและได้รับความจริง โลกทัศน์และทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิตย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ซึ่งหลังจากนั้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงย่อมจะเกิดขึ้นกับอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาด้วย  เมื่อผู้คนมีเป้าหมายที่ถูกต้องในชีวิต สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง และประพฤติปฏิบัติตนตามความจริง เมื่อพวกเขานบนอบพระเจ้าโดยสมบูรณ์และดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ เมื่อพวกเขารู้สึกมั่นคงและสว่างไสวอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ และหัวใจของพวกเขาก็เป็นอิสระจากความมืดมิด และเมื่อพวกเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างอิสระและเสรีอยู่ในการสถิตของพระเจ้าทุกประการ เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะได้รับชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ที่มีความจริงและมีความเป็นมนุษย์  นอกจากนี้แล้ว ความจริงทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจและได้มานั้นล้วนมาจากพระวจนะของพระเจ้าและมาจากพระเจ้าพระองค์เอง  มีเพียงเมื่อเจ้าได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าผู้ทรงสูงสุด—พระผู้สร้าง และพระองค์ตรัสว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐานและเจ้าใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์แล้วเท่านั้น ชีวิตของเจ้าจึงจะมีความหมายอย่างที่สุด  การได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหมายความว่าเจ้าได้มาซึ่งความจริงแล้ว และเจ้าคือใครบางคนที่ครองความจริงและความเป็นมนุษย์  ในโลกปัจจุบันนี้ที่ถูกซาตานครอบงำ และในประวัติศาสตร์อย่างน้อยหลายพันปีมานี้นั้น มีใครท่ามกลางมนุษยชาติทั้งหมดที่ได้รับชีวิตมนุษย์ที่แท้จริง?  ไม่มีผู้ใดเลย  เนื่องจากผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกและดำรงชีวิตตามปรัชญาของซาตาน และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เป็นปรปักษ์กับพระเจ้า และทุกถ้อยคำและทฤษฎีของพวกเขาล้วนเกิดจากความเสื่อมทรามของซาตานและเป็นปรปักษ์ต่อพระวจนะของพระเจ้าโดยตรง ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงเป็นผู้คนประเภทที่ต่อต้านพระเจ้าโดยแท้  หากพวกเขาไม่ยอมรับความรอดของพระเจ้า พวกเขาก็จะจมลงสู่ความพินาศและการทำลายล้าง โดยไม่มีชีวิตให้พูดถึงอีกเลย  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ แสวงหาที่จะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง และหวังที่จะ “ให้ชื่อของพวกเขาเป็นที่กล่าวขานกันไปอีกนานหลายรุ่นคน” หวังที่จะ “มีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์ตลอดไป”  เหล่านี้คือคำพูดเยี่ยงมาร และไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด  บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงทุกคน แท้จริงแล้วเป็นพวกของซาตาน และดำดิ่งอยู่ในนรกขุมที่สิบแปดเพื่อรับการลงโทษมานานแล้ว ไม่มีวันได้กลับมาเกิดใหม่อีก  เมื่อมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเคารพเทิดทูนผู้คนเหล่านี้ และยอมรับคำพูดเยี่ยงมารและเหตุผลวิบัติของพวกเขา มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามย่อมกลายเป็นเหยื่อของหมู่มารและซาตาน  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรนมัสการพระผู้สร้าง  นี่เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ เพราะพระเจ้าเท่านั้นคือความจริง พระเจ้าทรงควบคุมฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสิ่ง และทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง  ถ้าผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่นบนอบพระเจ้า พวกเขาย่อมไม่สามารถได้รับความจริง  หากเจ้าใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วในส่วนลึกของหัวใจของเจ้า เจ้าก็จะรู้สึกสว่างไสวและมั่นคง และเจ้ายังจะได้ชื่นชมความหวานอันมิอาจเปรียบเทียบได้ด้วยเช่นกัน  เมื่อการนี้เกิดขึ้น เจ้าย่อมจะได้รับชีวิตอย่างแท้จริง  ไม่ว่าความสำเร็จของนักวิทยาศาสตร์ของโลกจะยิ่งใหญ่เพียงใด ทันทีที่พวกเขาใกล้ถึงความตาย พวกเขาจะรู้สึกมือเปล่าและรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับอะไรเลย  แม้แต่ไอน์สไตน์และนิวตัน ปัญญาชนซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาเหล่านี้ก็ยังรู้สึกว่างเปล่า  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความจริง และเพราะพวกเขาไม่มีความเข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง  แม้พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็เพียงเชื่อในการมีอยู่ของพระองค์เท่านั้น แต่พวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเพียงแต่ต้องการพึ่งพาวิทยาศาสตร์และการวิจัยเพื่อที่จะค้นหาและพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาต่างก็ค้นคว้าวิจัยมาตลอดชีวิตโดยไม่ได้อะไรเลย และแม้พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามาทั้งชีวิต พวกเขาก็ไม่เคยได้รับความจริง  พวกเขาเพียงเสาะแสวงความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่พวกเขากลับไม่แสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้า  พวกเขาไม่ได้รับความจริง และพวกเขาไม่ได้รับชีวิตที่แท้จริง  เส้นทางที่พวกเจ้ากำลังเดินในวันนี้ไม่ใช่เส้นทางที่พวกเขาเคยเดิน  สิ่งที่พวกเจ้าแสวงหาคือการรู้จักพระเจ้า วิธีนบนอบพระองค์ วิธีนมัสการพระองค์ และวิธีใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย  ทั้งหมดนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่พวกเขาแสวงหา  แม้พวกเขาจะเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ได้มาซึ่งความจริง  บัดนี้พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ตรัสบอกความจริงในทุกแง่มุมแก่พวกเจ้า และได้ประทานหนทางแห่งความจริงและชีวิตแก่พวกเจ้าแล้ว  หากพวกเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นย่อมจะเป็นความโง่เขลาของพวกเจ้า

ตอนนี้พวกเจ้ายังเข้าใจความจริงไม่มากพอ  พวกเจ้าพูดได้แต่ทฤษฎีที่ว่างเปล่า  พวกเจ้ารู้สึกว่าตนเองยังคงห่างไกลจากมาตรฐานนักและพวกเจ้าไม่มั่นใจในงานใดๆ ที่พวกเจ้ารับผิดชอบ  นี่แสดงให้เห็นว่าการเข้าสู่ชีวิตของพวกเจ้ายังตื้นเขินเกินไป และพวกเจ้ายังไม่ได้รับความจริง  เมื่อพวกเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงและเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะมีกำลัง เป็นพละกำลังที่ไม่รู้จักหมดซึ่งจะมีอยู่เต็มร่างของเจ้า  เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะยิ่งรู้สึกสว่างไสว และยิ่งเจ้าเดินไปไกลเท่าใด เส้นทางก็จะยิ่งสว่างไสวขึ้นเท่านั้น  ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้ายังไม่ได้ก้าวเดินบนครรลองที่ถูกต้อง และยังไม่ได้มาเข้าใจความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงรู้สึกว่างเปล่าอยู่ภายใน รู้สึกว่าชีวิตคือความทุกข์ ว่าพวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำหน้าที่ของตน  นี่คือสิ่งที่บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าเป็นก่อนที่พวกเขาจะมีนิมิตในหัวใจของพวกเขา  ผู้คนยังไม่ได้มาซึ่งความจริงและยังไม่รู้จักพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่รู้สึกยินดีมากนัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเจ้าที่ล้วนเคยทนทุกข์กับการข่มเหงและมีประสบการณ์กับความลำบากยากเย็นในการคืนสู่บ้าน  เมื่อพวกเจ้าทนทุกข์ เจ้าย่อมคิดถึงความตายและความไม่เต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่  เหล่านี้คือความอ่อนแอของเนื้อหนัง  ผู้คนบางคนถึงกับคิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าควรเป็นสิ่งที่น่ายินดี  ในยุคพระคุณนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานสันติสุขและความชื่นบานแก่ผู้คน  บัดนี้มีสันติสุขและความชื่นบานน้อยเหลือเกิน และไม่มีความยินดีมากเท่าที่เคยมีในยุคพระคุณ  การเชื่อในพระเจ้าทุกวันนี้ชวนให้ทุกข์ใจอย่างมาก”  เจ้ารู้แต่เพียงว่าความยินดีของเนื้อหนังดีกว่าสิ่งอื่น  เจ้าไม่รู้ว่าทุกวันนี้พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจใด  พระเจ้าจำต้องยอมให้เนื้อหนังของพวกเจ้าทนทุกข์เพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเจ้า  ถึงแม้เนื้อหนังของพวกเจ้าจะทนทุกข์ แต่พวกเจ้าก็มีพระวจนะของพระเจ้า และพวกเจ้ามีพรของพระเจ้า  เจ้าไม่อาจตายได้ต่อให้เจ้าต้องการที่จะตาย เจ้าสามารถทำใจยอมรับการไม่รู้จักพระเจ้าและการไม่ได้มาซึ่งความจริงได้หรือ?  ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาซึ่งความจริง และพวกเขายังไม่มีชีวิต  พวกเขาอยู่ระหว่างการไล่ตามเสาะหาความรอด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทนทุกข์ในกระบวนการนี้บ้าง  ปัจจุบันนี้ทุกคนในโลกกำลังก้าวผ่านบททดสอบ แม้แต่พระเจ้าก็ทรงทนทุกข์อยู่ ดังนั้นเหมาะสมแล้วหรือที่พวกเจ้าจะไม่ทนทุกข์?  หากปราศจากการถลุงผ่านมหันตภัยใหญ่หลวง ก็ไม่อาจมีความเชื่อที่แท้จริงได้ และจะไม่สามารถได้มาซึ่งความจริงและชีวิต  การไม่มีบททดสอบและการถลุงย่อมจะไม่เหมาะสม  จงดูเปโตรสิ—ในที่สุดเขาต้องผ่านบททดสอบอยู่นานถึงเจ็ดปี (เมื่อเขาอยู่ในวัยห้าสิบสามปีแล้ว)  เขาได้รับประสบการณ์กับบททดสอบหลายร้อยครั้งตลอดระยะเวลาเจ็ดปีนั้น  เขาต้องเผชิญหนึ่งในบททดสอบเหล่านี้ทุกๆ สองสามวัน และหลังจากที่ผ่านบททดสอบสารพัดรูปแบบแล้วเท่านั้น เขาจึงได้มาซึ่งชีวิตและมีประสบการณ์กับความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา  เมื่อเจ้าได้มาซึ่งความจริงและมารู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าควรใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้า  หากเจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะเสียใจ เจ้าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเจ้าในความเสียใจอันขมขื่นและความสำนึกผิดสุดขั้ว  เจ้ายังตายไม่ได้  เจ้าต้องกำหมัดให้แน่นและมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป  เจ้าต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า  เมื่อผู้คนมีความจริงภายในตัวเอง พวกเขาย่อมมีปณิธานเช่นนี้และจะไม่มีวันอยากตายอีก  เมื่อความตายคุกคามเจ้า เจ้าจะพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะตาย  ข้าพระองค์ยังคงไม่รู้จักพระองค์เลย  ข้าพระองค์ยังไม่ได้ตอบแทนความรักของพระองค์  ข้าพระองค์จะตายไม่ได้จนกว่าจะได้รู้จักพระองค์เป็นอย่างดีเสียก่อน”  ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ตรงจุดนี้หรือไม่?  ยังเลยใช่ไหม?  บางคนพบเจอความเจ็บปวดในครอบครัว บ้างเผชิญความเจ็บปวดในชีวิตสมรส และบางคนก็ทนทุกข์จากการถูกข่มเหง ไม่มีแม้แต่ที่อยู่อาศัย  ไม่ว่าพวกเขาไปที่ไหน นั่นก็เป็นบ้านของคนอื่น และพวกเขารู้สึกเจ็บปวดอยู่ในหัวใจ  ความเจ็บปวดที่พวกเจ้าประสบอยู่ในตอนนี้คือความเจ็บปวดที่พระเจ้าทรงทนทุกข์อยู่มิใช่หรือ?  พวกเจ้ากำลังทุกข์ทนไปพร้อมกับพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงทนทุกข์เป็นเพื่อนมนุษย์  พวกเจ้าล้วนมีส่วนในความทุกข์เข็ญ ในราชอาณาจักร และในความอดทนอดกลั้นของพระคริสต์ในยุคนี้ และย่อมจะได้รับสง่าราศีในที่สุด!  ความทุกข์นี้มีความหมาย  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  เจ้าจะไร้ซึ่งความมุ่งมั่นนี้ไม่ได้  เจ้าต้องเข้าใจความหมายของความทุกข์ในวันนี้และเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงทนทุกข์มากถึงเพียงนี้  เจ้าต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และแล้วเจ้าก็จะมีความมุ่งมั่นที่จะทนทุกข์  หากเจ้าไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเจ้าเอาแต่คิดถึงความทุกข์ เช่นนั้นแล้วยิ่งเจ้าคิดมากเท่าใด ความทุกข์ก็จะยิ่งทำให้เจ้าอึดอัด และเจ้าก็จะยิ่งคิดลบมากขึ้น เหมือนกับเส้นทางชีวิตของเจ้ากำลังจะถึงจุดจบ  เจ้าจะเริ่มทุกข์ทรมานกับความตาย  หากเจ้าทุ่มเทหัวใจและความพยายามทั้งหมดของเจ้าให้กับความจริง และเจ้าสามารถเข้าใจความจริงได้ เช่นนั้นแล้วหัวใจของเจ้าก็จะสว่างไสว และเจ้าจะมีประสบการณ์กับความชื่นชมยินดี  ในชีวิตของเจ้า เจ้าจะได้พบสันติสุขและความชื่นบานภายในหัวใจ และเมื่อความเจ็บป่วยรุมเร้าหรือความตายใกล้เข้ามา เจ้าก็จะกล่าวว่า “ฉันยังไม่ได้มาซึ่งความจริง ดังนั้นฉันจะตายไม่ได้  ฉันต้องสละเพื่อพระเจ้าเป็นอย่างดี เป็นพยานยืนยันให้พระองค์เป็นอย่างดี และตอบแทนความรักของพระเจ้า  ฉันจะตายอย่างไรในท้ายที่สุดก็ไม่สำคัญ เพราะฉันย่อมจะมีชีวิตที่น่าพึงพอใจแล้ว  ไม่ว่าอย่างไร ฉันยังตายไม่ได้  ฉันต้องยืนหยัดและมีชีวิตอยู่ต่อไป”  ตอนนี้เจ้าต้องมีความชัดเจนในเรื่องนี้ และเจ้าต้องเข้าใจความจริงจากสิ่งเหล่านี้  เมื่อผู้คนมีความจริง พวกเขาย่อมมีความเข้มแข็ง  เมื่อพวกเขามีความจริง ร่างกายของพวกเขาย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่ไม่รู้จักหมด  เมื่อพวกเขามีความจริง พวกเขาย่อมมีความมุ่งมั่น  หากปราศจากความจริง ผู้คนย่อมอ่อนแอเหมือนผักเน่า เมื่อพวกเขามีความจริง พวกเขาย่อมเข้มแข็งและกล้าหาญ  ไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะขมขื่นเพียงใด พวกเขาก็จะไม่รู้สึกขมขื่นเลย  พวกเจ้าคิดว่าความทุกข์เล็กน้อยของพวกเจ้ามีความสำคัญอย่างไร?  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็ยังทรงทนทุกข์อยู่!  พวกเจ้าคือผู้คนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และธรรมชาติของพวกเจ้าก็คือการทรยศพระเจ้า  พวกเจ้าทำสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นการกบฏต่อพระเจ้าและต้านทานพระองค์โดยไม่รู้ตัว พวกเจ้าจึงสมควรถูกพิพากษาและตีสอน  ผู้คนที่เจ็บป่วยและต้องได้รับการรักษาก็เช่นเดียวกัน ควรแล้วหรือที่พวกเขาจะกลัวความทุกข์?  พวกเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดังนั้นพวกเจ้าคิดหรือว่าพวกเจ้าจะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนและมีชีวิตที่ปราศจากความเจ็บปวดได้?  ความทุกข์ของพวกเจ้าเกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง  นั่นเป็นสิ่งที่สมควรและต้องสู้ทน  ความทุกข์นั้นใช่ว่าไร้สาเหตุและไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้  ความทุกข์ที่พวกเจ้าสู้ทนอยู่ในตอนนี้มีมากกว่าการวิ่งวุ่นไปมาและทุ่มเททำหน้าที่ของพวกเจ้านิดเดียว  บางครั้งพวกเจ้าก็พบว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องผ่านการถลุงบ้าง  บางครั้งพวกเจ้าไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือรู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อยเมื่อพวกเจ้าอ่านพระวจนะ และพวกเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์แห่งการถลุงในพระวจนะของพระเจ้าอยู่บ้าง  หรือบางทีพวกเจ้าก็ทำงานของตนได้ไม่ดีและทำผิดพลาดในหน้าที่ของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเจ้าตำหนิดตัวเองและพวกเจ้าเกลียดชังตัวเองที่ไม่สามารถทำงานของตนได้ และนี่ก็ทำให้พวกเจ้าทนทุกข์อยู่บ้าง  บางทีพวกเจ้ามองเห็นความก้าวหน้าของผู้อื่นและรู้สึกว่าตัวเองก้าวหน้าช้าเหลือเกิน พวกเจ้าใช้เวลานานเกินไปกับความก้าวหน้าในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า มีความสว่างน้อยเกินไป และสิ่งเหล่านี้สร้างความทุกข์บางอย่างให้แก่พวกเจ้า  เนื่องจากการจับกุมและข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดง บางครั้งพวกเจ้าก็รู้สึกว่าถูกสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรกับพวกเจ้าคุกคาม ดังนั้นพวกเจ้าจึงรู้สึกกลัว กระสับกระส่าย และใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดหวั่นเสมอ และนี่ก็ทำให้พวกเจ้ามีความทุกข์  นอกจากความทุกข์นี้แล้ว พวกเจ้ายังมีประสบการณ์กับความทุกข์อื่นใดอีกบ้าง?  พวกเจ้าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานใช้แรงกายอย่างหนัก ไม่มีผู้บังคับบัญชาหรือเจ้านายคอยทุบตีและดุว่าพวกเจ้า และไม่มีใครปฏิบัติต่อพวกเจ้าเหมือนเป็นทาส  พวกเจ้าไม่ต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเช่นนั้น  อันที่จริง บรรดาความทุกข์ยากที่พวกเจ้าสู้ทนอยู่นี้ก็ไม่ใช่ความยากลำบากจริงๆ  จงคิดดู  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  พวกเจ้าต้องเข้าใจว่าอะไรคือนัยสำคัญของการละทิ้งครอบครัวของเจ้ามาสละเพื่อพระเจ้า และเจ้าทำเช่นนี้เพราะเหตุใด  หากเจ้าทำเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและชีวิต เพื่อลุล่วงหน้าที่ของเจ้าและตอบแทนความรักของพระเจ้าไปพร้อมกัน นี่ย่อมยุติธรรมโดยสมบูรณ์  นี่คือสิ่งที่เป็นบวก เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ และเจ้าจะไม่มีวันนึกเสียใจ  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเจ้า เจ้าก็สามารถปล่อยมือได้  หากเจ้าเข้าใจนัยสำคัญนี้อย่างถ่องแท้ เจ้าจะไม่มีความเสียใจ และเจ้าจะไม่คิดลบ  หากเจ้าไม่ได้สละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง และเจ้าบากบั่นเพียงเพื่อให้ได้รับพร เช่นนั้นนี่ก็ไร้ความหมาย  เมื่อเจ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ปัญหาก็จะหมดไป และเจ้าจะไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเรื่องครอบครัวของเจ้าอีก  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ถึงตอนนี้พวกเจ้าทุกคนย่อมได้รับประสบการณ์กับความทุกข์ที่มาจากบททดสอบมาบ้างแล้ว  บางคนได้รับความจริงบางอย่าง แต่บางคนก็เพียงแค่เข้าใจคำสอนบางประการเท่านั้น แต่ไม่ได้รับความจริงใดๆ  บางคนมีขีดความสามารถที่ดี จึงมีความเข้าใจที่ค่อนข้างลึกซึ้ง และบางคนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยก็มีความเข้าใจที่ค่อนข้างตื้นเขิน  ไม่ว่าความเข้าใจของเจ้าจะลึกซึ้งหรือตื้นเขิน ตราบเท่าที่เจ้าเข้าใจความจริงอยู่บ้างและสามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานของเจ้ายามที่เจ้ากำลังทนทุกข์จากบททดสอบ ตราบนั้นความทุกข์ของเจ้าย่อมมีความหมายและมีคุณค่า  หากเจ้าไม่สามารถยอมรับสิ่งต่างๆ จากพระเจ้า และเจ้ารับมือสิ่งทั้งหลายด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะทุกข์ทนมากเพียงใด เจ้าก็จะไม่มีวันมีคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริง  ความทุกข์ของเจ้าจะไม่มีค่า เพราะเจ้ายังไม่ได้รับความจริง

เจ้าควรแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในสรรพสิ่ง และเจ้าต้องแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง  ตัวอย่างเช่น เจ้าแสวงหาความจริงในเรื่องทั้งหลาย เช่น อาหาร เสื้อผ้า และเรื่องส่วนตัวในชีวิตอย่างไร?  มีความจริงให้แสวงหาในสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ไม่ว่าคุณจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ ความสุขก็คือการได้กินอาหารดีๆ ได้แต่งตัวดีๆ  หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ ทุกอย่างก็คือความทุกข์ยาก”  นั่นตรงกับความจริงหรือไม่?  มีหลายคนที่ใช้ชีวิตอย่างอุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมไปด้วยอาหารและเสื้อผ้าดีๆ พวกเขาละโมบในความหรรษาทางเนื้อหนัง  พวกเขาจะไม่ยอมรับความจริงหรือนำความจริงไปปฏิบัติโดยง่าย และยิ่งจะไม่ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างมาสละตนเพื่อพระเจ้า  คนแบบนั้นจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า และในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทั้งหมดจะตกอยู่ในมหันตภัย ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน  คนแบบนั้นจะสามารถมีความสุขที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงกระนั้นหรือ?  ผู้คนมากมายเกิดมาในครอบครัวกรรมกรหรือชาวนา และทนทุกข์มามากมายตั้งแต่เด็ก  หากพวกเขาสามารถเข้าใจความจริง พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะยอมรับและนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขาย่อมสามารถละทิ้งสิ่งต่างๆ และสละตนเพื่อพระเจ้าได้โดยไม่กลัวความทุกข์  พวกเขาสามารถอุทิศตนให้พระบัญชาของพระเจ้า และบางคนก็ไปไกลถึงขั้นถวายชีวิตของตนแด่พระเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าย่อมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของคนเช่นนี้  ผู้คนมากมายมุ่งเน้นความหรรษาทางเนื้อหนังมากเกินไป  พวกเจ้าคิดหรือว่าการมีอาหารและเสื้อผ้าดีๆ นั้นสำคัญอย่างแท้จริง?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  หากใครบางคนสามารถรู้จักพระเจ้าและได้รับความจริงอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว คนคนนั้นย่อมเป็นคำพยานให้พระเจ้าและทำให้พระเจ้าพอพระทัยในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ  ไม่ว่าคนเช่นนั้นจะกินหรือแต่งตัวแย่เพียงใด ชีวิตของพวกเขาก็ยังคงมีคุณค่า และพวกเขาสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่มีความหมายที่สุดมิใช่หรือ?  การกินดีและการสวมใส่เสื้อผ้าดีๆ ไม่ได้รับประกันว่าเจ้าจะได้รับพร  เจ้าจะยังคงถูกสาปแช่งหากเจ้ากบฏต่อพระเจ้าหรือใช้เส้นทางที่ผิด ในขณะเดียวกัน คนที่แต่งตัวซอมซ่อและกินไม่ดี แต่เป็นผู้ที่ได้รับความจริงแล้ว ก็จะได้รับการอวยพรจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ดังนั้นจึงมีความจริงให้แสวงหาในเรื่องที่ว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอย่างไร และยิ่งมีความจริงให้แสวงหามากขึ้นในเรื่องที่ว่าเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างไร  เรื่องที่ว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อพระบัญชาของพระเจ้าอย่างไรนั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด  นี่เป็นเรื่องที่จริงจังมาก  หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำนั้นแล้วเสร็จได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์และเจ้าก็ควรยอมรับการลงโทษของเจ้า  เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ที่มนุษย์จะทำให้พระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ตนทำนั้นครบบริบูรณ์  นี่คือความรับผิดชอบสูงสุดของมนุษย์ และมีความสำคัญเทียบเท่าชีวิตของเขาเองโดยแท้  หากเจ้าปฏิบัติต่อพระบัญชาของพระเจ้าอย่างไม่จริงจัง นี่ย่อมเป็นการทรยศพระเจ้าอย่างร้ายแรงที่สุด  ในเรื่องนี้ เจ้าน่าสังเวชยิ่งกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง  ผู้คนต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าควรปฏิบัติต่อพระบัญชาของพระเจ้าอย่างไร และอย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ต้องเข้าใจว่า พระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้มนุษย์คือการยกชูมนุษย์ของพระองค์ คือการแสดงพระคุณแก่มนุษย์เป็นพิเศษของพระองค์ นี่จึงเป็นสิ่งที่เปี่ยมสง่าราศีมากที่สุด  และสิ่งอื่นล้วนสามารถละทิ้งได้—แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง—แต่พระบัญชาของพระเจ้าต้องครบบริบูรณ์  จงดูเถิด มีความจริงให้แสวงหาในที่นี้มิใช่หรือ?  การสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับการแสวงหาความจริง!  หากเจ้าเข้าใจความจริงว่าเหตุใดผู้คนจึงมีชีวิตอยู่ และเจ้าควรมีทรรศนะกับชีวิตอย่างไร เช่นนั้นแล้วทรรศนะของเจ้าเกี่ยวกับชีวิตจะไม่เปลี่ยนไปหรอกหรือ?  ในที่นี้มีความจริงให้แสวงหามากยิ่งขึ้น  มีความจริงอันใดให้ค้นพบในการรักพระเจ้า?  เหตุใดพวกมนุษย์จึงต้องรักพระองค์?  สิ่งใดคือนัยสำคัญของการรักพระองค์?  หากคนคนหนึ่งมีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับความจริงของการรักพระเจ้า และพวกเขาสามารถรักพระองค์ได้จากส่วนลึกในหัวใจของพวกเขาและมีหัวใจที่รักพระเจ้าอยู่บ้าง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีชีวิตที่แท้จริงและอยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับพรมากที่สุด  ผู้ที่แสวงหาความจริงในทุกสิ่งย่อมก้าวหน้าในชีวิตได้เร็วที่สุด และสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้  แน่นอนว่าพระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงในสรรพสิ่ง  หากคนคนหนึ่งพึ่งพามโนคติที่หลงผิดและคำสอนทั้งหลายหรือทำตามข้อบังคับในสรรพสิ่ง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่ก้าวหน้า  พวกเขาจะไม่มีวันได้รับความจริง และไม่ช้าก็เร็วพวกเขาย่อมจะถูกกำจัดออกไป  พระเจ้าทรงรังเกียจบุคคลประเภทนี้มากที่สุด

ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1999

ก่อนหน้า:  สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา

ถัดไป:  โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger