วิธีรู้จักความเป็นจริง

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง กล่าวคือ พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริง พระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ตรัสล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริง และความจริงทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดงออกล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่พระวจนะของพระองค์คือสิ่งที่ว่างเปล่า ไม่มีอยู่จริง และไม่น่าเชื่อถือ  ทุกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประสงค์ที่จะนำทางผู้คนไปสู่พระวจนะของพระเจ้า  หากผู้คนไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ความเป็นจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องแสวงหาความเป็นจริง และรู้จักความเป็นจริง ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องมีประสบการณ์กับความเป็นจริง และดำเนินชีวิตตามความเป็นจริง  ยิ่งผู้คนรู้จักความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งสามารถหยั่งรู้มากขึ้นเท่านั้นว่าถ้อยคำของผู้อื่นเป็นจริงหรือไม่ ยิ่งผู้คนรู้จักความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งมีมโนคติอันหลงผิดน้อยลงเท่านั้น ยิ่งผู้คนมีประสบการณ์กับความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งรู้ถึงกิจการของพระเจ้าที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็จะยิ่งหลุดพ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ยิ่งผู้คนมีความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งรู้จักพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็จะยิ่งรังเกียจเนื้อหนังและรักความจริงมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งผู้คนมีความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งเข้ามาใกล้มาตรฐานตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ผู้คนที่พระเจ้าทรงรับไว้คือผู้ซึ่งครองความเป็นจริง คือผู้ที่รู้จักความเป็นจริง และผู้ที่ได้มารู้จักกิจการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับความเป็นจริง  ยิ่งเจ้าให้ความร่วมมือกับพระเจ้าในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และบ่มวินัยร่างกายของเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นเท่านั้น เจ้าก็จะยิ่งได้รับความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็จะยิ่งได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับกิจการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าก็จะกลายเป็นมากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าสามารถดำเนินชีวิตในความสว่างปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ เช่นนั้นแล้วเส้นทางปัจจุบันที่ไปสู่การปฏิบัติก็จะมีความชัดเจนต่อเจ้ามากขึ้น และเจ้าจะมีความสามารถมากขึ้นที่จะแยกตนเองออกมาจากมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา และการปฏิบัติเก่าแก่ในอดีต  ความที่เป็นอยู่จริงปัจจุบันนี้คือจุดสำคัญ กล่าวคือ ยิ่งผู้คนมีความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับความจริงก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น และความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับเจตนารมณ์พระเจ้าก็จะถ่องแท้ยิ่งขึ้นเท่านั้น  ความเป็นจริงสามารถเอาชนะคำพูดและคำสอนทั้งหมดได้ ความเป็นจริงสามารถเอาชนะทฤษฎีและความเชี่ยวชาญทั้งหมดได้ และยิ่งผู้คนจดจ่อกับความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และหิวกระหายพระวจนะของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าจดจ่อกับความเป็นจริงอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก มโนคติอันหลงผิดทางศาสนา และบุคลิกลักษณะตามธรรมชาติของเจ้า ก็ย่อมจะถูกลบล้างไปเองภายหลังพระราชกิจของพระเจ้า  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความเป็นจริง และไม่มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงเลยนั้น มีแนวโน้มที่จะไล่ตามเสาะหาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ และพวกเขาจะถูกกลลวงอย่างง่ายดาย  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปราศจากวิถีทางที่จะดำเนินพระราชกิจในผู้คนเช่นนั้น และดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่างเปล่า และรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาไม่มีความหมายเลย

พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถทรงพระราชกิจในเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อเจ้าฝึกฝนอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง แสวงหาอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง อธิษฐานอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเต็มใจที่จะทนทุกข์เพื่อเห็นแก่การแสวงหาความจริงเท่านั้น  พวกที่ไม่แสวงหาความจริงไม่มีอะไรเลยนอกจากคำพูดกับคำสอน และทฤษฎีที่ว่างเปล่าเท่านั้น และบรรดาผู้ที่ปราศจากความจริงย่อมมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นธรรมดา ผู้คนเช่นนี้ถวิลหารอคอยเพียงให้พระเจ้าทรงเปลี่ยนกายฝ่ายเนื้อหนังของพวกเขาให้เป็นกายจิตวิญญาณ เพื่อพวกเขาจะได้ขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นที่สามเท่านั้น  ผู้คนเหล่านี้ช่างโง่เขลาเบาปัญญานัก!  ทุกคนที่กล่าวสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า หรือเกี่ยวกับความเป็นจริงเลย ผู้คนเช่นนี้ไม่อาจสามารถร่วมมือกับพระเจ้าได้เลย และทำได้เพียงแต่รอคอยอย่างนิ่งเฉยเท่านั้น  หากผู้คนพร้อมจะเข้าใจความจริง และทราบความจริงอย่างชัดเจน และนอกจากนี้ หากพวกเขาพร้อมจะเข้าสู่ความจริง และนำความจริงมาปฏิบัติแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องฝึกฝนอย่างแท้จริง แสวงหาอย่างแท้จริง และหิวและกระหายอย่างแท้จริง  เมื่อเจ้าหิวและกระหาย และเมื่อเจ้าร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแท้จริง พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงสัมผัสเจ้าอย่างแน่นอน และจะทรงพระราชกิจภายในเจ้า ซึ่งจะนำพาความรู้แจ้งมาสู่เจ้ามากยิ่งขึ้น และมอบความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงแก่เจ้ามากยิ่งขึ้น และช่วยให้ชีวิตของเจ้าดีกว่าเดิมมากยิ่งขึ้น

หากผู้คนหมายจะรู้จักพระเจ้า พวกเขาต้องรู้เสียก่อนว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง และพวกเขาต้องรู้จักพระวจนะของพระเจ้า การทรงปรากฏในเนื้อหนังที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า และพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า  เฉพาะหลังจากที่รู้ว่าพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถร่วมมือกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และโดยผ่านเส้นทางนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเติบโตในชีวิตของเจ้าได้  พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงเลย ย่อมไม่มีวิถีทางที่จะได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเลย และติดบ่วงอยู่ในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ใช้ชีวิตอยู่ในความคิดฝันของพวกเขา และฉะนั้นเอง พวกเขาจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าเลย  ยิ่งเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็ยิ่งสนิทสนมกับพระองค์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเจ้าแสวงหาความคลุมเครือ สิ่งที่เป็นนามธรรม และคำสอนมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งไถลห่างจากพระเจ้าไปไกลขึ้นเท่านั้น และดังนั้น เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้านั้นเหนื่อยยากและลำบาก และรู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถเข้าสู่ได้มากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และก้าวสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องรู้จักความเป็นจริง และแยกตัวออกจากสิ่งทั้งหลายที่คลุมเครือและเหนือธรรมชาติ ซึ่งกล่าวได้ว่า ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร  ในหนทางนี้ หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจได้อย่างจริงแท้ถึงพระราชกิจซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงภายในมนุษย์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าจึงจะได้เข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องในการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า

ปัจจุบันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากความเป็นจริง  พระราชกิจของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุด และผู้คนสามารถสัมผัสได้ นี่เองคือสิ่งที่ผู้คนสามารถได้รับประสบการณ์ และสัมฤทธิ์ผลได้  ในผู้คนมีสิ่งมากมายที่คลุมเครือและเหนือธรรมชาติ ซึ่งหยุดยั้งพวกเขาจากการรู้จักพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้า  ฉะนั้น ในประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขามักเบี่ยงเบน และมักรู้สึกเสมอว่าสิ่งทั้งหลายนั้นยากลำบาก และการนี้ทั้งหมดล้วนมีสาเหตุมาจากมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  ผู้คนไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจหลักการทั้งหลายในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ พวกเขาไม่รู้จักความเป็นจริง และดังนั้น พวกเขาจึงมีความรู้สึกที่เป็นลบเสมอในการเข้าสู่ของพวกเขา  พวกเขามองไปที่ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าจากระยะไกล ไร้ความสามารถที่จะสัมฤทธิ์ผลตามข้อพึงประสงค์เหล่านั้นได้ พวกเขาเพียงแค่เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีอย่างแท้จริง แต่ไม่สามารถพบเส้นทางเพื่อการเข้าสู่ได้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจด้วยหลักการนี้ กล่าวคือ โดยผ่านความร่วมมือของผู้คน โดยผ่านการที่พวกเขาอธิษฐาน แสวงหา และเข้ามาใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้นอย่างกระตือรือร้น ผลลัพธ์ทั้งหลายจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ได้  และพวกเขาจึงจะสามารถได้รับความรู้แจ้ง และได้รับความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  ซึ่งไม่ใช่กรณีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินการโดยฝ่ายเดียว หรือที่มนุษย์ดำเนินการโดยฝ่ายเดียว  ทั้งสองฝ่ายต่างสำคัญอย่างขาดไม่ได้ และยิ่งผู้คนร่วมมือมากขึ้นเท่าใด และยิ่งพวกเขาไล่ตามเสาะหาการบรรลุถึงมาตรฐานตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น  มีเพียงความร่วมมืออย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้คนที่เพิ่มพูนให้กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ที่สามารถก่อให้เกิดประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และความรู้ที่เป็นแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้าได้  ในที่สุด บุคคลที่เพียบพร้อมจะค่อยๆ  ก่อเกิดขึ้นมา โดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้  พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ในมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พระเจ้าทรงเป็นผู้เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ และทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกระทำขึ้นโดยพระเจ้า—พร้อมด้วยผลลัพธ์ที่ผู้คนรอคอยอยู่อย่างนิ่งเฉย ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรืออธิษฐาน และเพียงแต่รอคอยการสัมผัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์  อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ที่มีความเข้าใจถูกต้องเชื่อเช่นนี้ว่า การดำเนินการของพระเจ้าสามารถไปได้ไกลเท่าที่ฉันให้ความร่วมมือเท่านั้น และผลกระทบที่พระราชกิจของพระเจ้ามีในตัวฉัน ขึ้นอยู่กับวิธีที่ฉันให้ความร่วมมือ  เมื่อพระเจ้าตรัส ฉันควรทำทุกสิ่งที่ฉันสามารถทำได้เพื่อแสวงหา และเพียรพยายามไปสู่พระวจนะของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ฉันควรจะสัมฤทธิ์

ในแบบอย่างของเปโตรและเปาโล พวกเจ้าสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเปโตรคือผู้ที่ให้ความสนใจมากที่สุดต่อความเป็นจริง  จากสิ่งที่เปโตรได้ก้าวผ่าน สามารถเห็นได้ว่าประสบการณ์ของเขาคือบทสรุปบทเรียนของบรรดาผู้ที่ได้เคยล้มเหลวในอดีต และสามารถเห็นได้ว่าเขาได้ซึมซับความแข็งแกร่งของบรรดาวิสุทธิชนในอดีต  จากการนี้สามารถเห็นได้ทีเดียวว่าประสบการณ์ของเปโตรสัมพันธ์กับชีวิตจริงเพียงใด โดยผู้คนสามารถเอื้อมออกไปสัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ และบรรลุประสบการณ์เหล่านั้นได้  อย่างไรก็ตาม เปาโลมีความแตกต่างไป กล่าวคือ ทั้งหมดที่เปาโลกล่าวถึงล้วนคลุมเครือและไม่สามารถมองเห็นได้ อาทิเช่น การไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม การขึ้นสู่บัลลังก์ และมงกุฎแห่งความชอบธรรม  เขามุ่งเน้นตรงสิ่งที่เป็นภายนอก นั่นคือ ตรงสถานะ และการอบรมสั่งสอนผู้คน ตรงการโอ้อวดถึงความมีอาวุโสของเขา การได้รับการสัมผัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และอื่นๆ  ไม่มีสิ่งใดที่เขาไล่ตามเสาะหาสมจริงเลย และส่วนมากแล้วเป็นความเพ้อฝัน และเช่นนั้นเอง จึงสามารถเห็นได้ว่าทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เช่น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสัมผัสผู้คนมากเพียงใด ความชื่นบานเหลือล้นที่ผู้คนชื่นชม การไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม หรือขอบเขตที่พวกเขาชื่นชมกับการฝึกฝนตามปกติ และขอบเขตที่พวกเขาชื่นชมกับการอ่านพระวจนะของพระเจ้า—ไม่มีสิ่งใดที่กล่าวมานี้สมจริงเลย  พระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นปกติธรรมดา และสมจริงมาก  เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าและอธิษฐาน ภายในจิตใจเจ้าสว่างไสวและมั่นคงแน่วแน่ โลกภายนอกไม่อาจรบกวนเจ้าได้ ภายในเจ้าเต็มใจที่จะรักพระเจ้า เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นแง่บวก และเจ้ารังเกียจโลกที่ชั่วร้าย  นี่คือการดำเนินชีวิตอยู่ภายในพระเจ้า  ไม่ใช่เป็นดังที่ผู้คนกล่าวว่า เป็นการรับประสบการณ์ความชื่นบานเหลือล้น—การพูดเช่นนั้นไม่สมจริง  ในปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างควรเริ่มต้นจากความที่เป็นจริง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำสัมพันธ์กับชีวิตจริง และในประสบการณ์ของเจ้า เจ้าควรให้ความสนใจกับการรู้จักพระเจ้าในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และกับการค้นหาฝีพระบาทแห่งพระราชกิจของพระเจ้า และวิถีทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสัมผัสและให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คน  หากเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และอธิษฐาน และร่วมมือในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น ด้วยการซึมซาบสิ่งดีๆ จากวันเวลาที่ผ่านไปแล้ว และการปฏิเสธสิ่งที่ไม่ดี เหมือนกับเปโตร หากเจ้ารับฟังด้วยหูของเจ้า และสังเกตดูด้วยตาของเจ้า และหมั่นอธิษฐาน และไตร่ตรองในหัวใจของเจ้า และทำทั้งหมดที่เจ้าสามารถทำได้ เพื่อร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมจะทรงนำเจ้าอย่างแน่นอน

ก่อนหน้า:  การรับใช้ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์พระเจ้า

ถัดไป:  เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger