ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18)

ส่วนเสริม: สามัคคีธรรมเพื่อชำแหละเหตุการณ์ร้ายแรงที่ศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เกิดเหตุไม่คาดฝันรุนแรงที่พวกศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนงานการแผ่ขยายข่าวประเสริฐ  พวกเจ้าทุกคนรู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  หลังเกิดเหตุไม่คาดฝันนี้ ก็ได้เริ่มมีการจัดระบบระเบียบงานข่าวประเสริฐแห่งพระนิเวศของพระเจ้าใหม่ และบางคนก็เริ่มถูกโยกย้ายหรือถูกมอบหมายงานใหม่ให้ อีกทั้งบางเรื่องที่สัมพันธ์กับงานก็ถูกปรับใหม่ ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เหตุการณ์ใหญ่ประเภทนี้ได้เกิดขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้าและพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ผุดขึ้นรอบตัวพวกเจ้า—พวกเจ้าสามารถเรียนรู้บทเรียนบางอย่างจากการเผชิญกับเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญเช่นนั้นได้หรือไม่?  พวกเจ้าได้แสวงหาความจริงหรือไม่?  พวกเจ้าได้มองเห็นแก่นแท้ของบางปัญหา และสามารถดึงบทเรียนบางอย่างออกมาจากเหตุการณ์ใหญ่ดังกล่าวได้หรือไม่?  เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่ก็แค่ดึงบทเรียนไม่กี่อย่างจากเหตุการณ์นั้นมาใช้และเข้าใจคำสอนไม่กี่อย่างแต่เพียงภายนอก โดยปราศจากการขุดลงไปในแก่นแท้ของเหตุการณ์นั้น และโดยปราศจากการเรียนรู้วิธีที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตนไปตามความจริงไม่ใช่หรือ?  มีผู้คนบางคนที่แค่ไตร่ตรองไปตามความรู้สึกนึกคิดและการคำนวนของตัวเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา  พวกเขาขาดหลักธรรมความจริงโดยสิ้นเชิง อีกทั้งพวกเขายังขาดภูมิปัญญาและสติปัญญาอีกด้วย  พวกเขาแค่สรุปบทเรียนไม่กี่อย่าง แล้วจากนั้นก็ตั้งปณิธานว่า “เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีกครั้งในภายหน้า ฉันจำเป็นต้องระมัดระวังและใส่ใจว่าอะไรที่ฉันพูดไม่ได้ อะไรที่ฉันทำไม่ได้ รวมถึงผู้คนประเภทใดที่ฉันควรระวังตัว และผู้คนจำพวกไหนที่ฉันควรใกล้ชิดเข้าไว้”  นี่นับเป็นการเรียนรู้บทเรียนและการได้รับประสบการณ์หรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นเมื่อสิ่งต่างๆ แบบนี้เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่าเป็นเหตุการณ์ใหญ่หรือเล็ก ผู้คนควรรับประสบการณ์ เข้าหาและเข้าไปสู่เหตุการณ์เหล่านั้นอย่างลึกซึ้งเพื่อที่พวกเขาอาจเรียนรู้บทเรียนและเข้าใจความจริงบางอย่าง ตลอดจนเติบโตในวุฒิภาวะในขณะที่กำลังเผชิญสภาวะแวดล้อมเหล่านี้อย่างไรหรือ?  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ ถูกต้องไหม?  (ถูกต้อง)  หากพวกเขาไม่ไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นพวกเขาใช่ผู้คนที่แสวงหาความจริงหรือไม่?  พวกเขาใช่ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเจ้าคิดว่าตนเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  บนพื้นฐานของสิ่งใดหรือ เจ้าจึงเชื่อว่าตัวเองไม่ใช่บุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  และบนพื้นฐานของสิ่งใดหรือ ที่ในบางโอกาสเจ้าจึงเชื่อว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เมื่อเจ้าสู้ทนความทุกข์เล็กน้อยและจ่ายราคาในหน้าที่เล็กน้อย อีกทั้งจริงจังเกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้ามากขึ้นเล็กน้อยในบางโอกาส หรือร่วมสบทบเงินนิดหน่อย หรือละทิ้งครอบครัวของเจ้า ลาออกจากการงานของเจ้า เลิกล้มการศึกษาของเจ้า และประกาศยกเลิกการสมรสเพื่อสละตนแด่พระเจ้า หรือละเว้นจากการติดตามกระแสนิยมทางโลก หรือหลีกเลี่ยงผู้คนชั่วที่เจ้าเผชิญ เป็นต้น—เมื่อพวกเจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ เจ้ารู้สึกว่าตัวเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงใช่หรือไม่?  พวกเจ้าคิดแบบนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ทีนี้ พวกเจ้าคิดแบบนี้บนพื้นฐานของสิ่งใดหรือ?  ใช่บนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้าและความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นั่นเป็นความคิดแบบมุ่งหวัง นั่นเป็นการที่พวกเจ้าตัดสินกันไปเอง  ยามที่เจ้าปฏิบัติตามกฎเกณฑ์บางอย่างเป็นครั้งคราวและทำสิ่งทั้งหลายตามตำรา อีกทั้งมีการสำแดงของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่บ้าง ยามที่เจ้าสามารถอดทนและยอมผ่อนปรน ยามที่เจ้าถ่อมตนภายนอก สงบเสงี่ยม ไม่อวดดี และไม่โอหัง รวมถึงยามที่เจ้าสามารถมีความแน่วแน่หรือมีวิธีคิดที่รับผิดชอบในงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าได้ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้วจริงๆ และคิดว่าตัวเองเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงจริงๆ  ดังนั้นการสำแดงเหล่านี้กอปรกันขึ้นเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พูดให้ชัดเจนก็คือ การกระทำ พฤติกรรม และการสำแดงภายนอกเหล่านี้ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง  ดังนั้น เหตุใดผู้คนจึงคิดอยู่เสมอว่าการสำแดงเหล่านี้คือการไล่ตามเสาะหาความจริง?  เหตุใดผู้คนจึงคิดอยู่เสมอว่าตนเองเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  (ในมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พวกเขาคิดว่า หากพวกเขาทุ่มเทและสละสักเล็กน้อย การสำแดงเหล่านี้ก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง  ดังนั้นเมื่อพวกเขาจ่ายราคาสักหน่อยหรือทนทุกข์สักเล็กน้อยในหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาก็คิดว่าตนเองเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขากลับไม่เคยแสวงหามาก่อนเลยถึงสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าจำต้องตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือวิธีที่พระเจ้าทรงพิพากษาว่าบุคคลหนึ่งกำลังไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่)  ผู้คนไม่เคยปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง และเมื่อเป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดพิจารณาว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ พวกเขาก็พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน รวมถึงการคิดอ่านที่เต็มไปด้วยความมุ่งหวังของตนเสมอ  เหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางนี้?  นั่นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกสบายใจยามที่พวกเขาคิดและกระทำในหนทางนี้ โดยเชื่อว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาจริงๆ เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง และเชื่อว่าพวกเขายังคงสามารถได้รับประโยชน์และได้รับการอวยพรในท้ายที่สุดหรอกหรือ?  มีอีกเหตุผลที่ว่า สิ่งที่เรียกว่าพฤติกรรมดีของผู้คน เช่น การประกาศตัดขาด การทนทุกข์ การจ่ายราคา และอื่นๆ ของพวกเขานั้นเป็นสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาสามารถสำเร็จลุล่วงและสัมฤทธิ์ได้ ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  เป็นการง่ายที่ผู้คนจะประกาศตัดขาดจากครอบครัวและการงานของตน แต่ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติความจริง หรือปฏิบัติตนบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงอย่างแท้จริง อีกทั้งไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้  ต่อให้เจ้าเข้าใจความจริงเล็กน้อย แต่ก็จะยากลำบากมากที่เจ้าจะขัดขืนแนวคิด มโนคติอันหลงผิด หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง และลำบากยากเย็นอย่างมากที่เจ้าจะยึดมั่นในหลักธรรมความจริง  หากเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เหตุใดในหลายปีที่เจ้าเชื่อในพระเจ้ามาจึงดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้สร้างความคืบหน้าใดเลยในแง่มุมนานัปการของความจริง?  ไม่สำคัญว่าเจ้าได้จ่ายราคาไปหรือไม่ หรือเจ้าได้ประกาศตัดขาดหรือละทิ้งอะไรไป ผลลัพธ์สุดท้ายที่เจ้าได้สัมฤทธิ์ก็คือสิ่งเหล่านั้นที่สัมฤทธิ์มาโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าได้จ่ายราคาไปมากเท่าใด เจ้าทนทุกข์มามากเพียงใด และเจ้าประกาศตัดขาดสิ่งทางเนื้อหนังไปมากเพียงใด สิ่งที่เจ้าได้มาในท้ายที่สุดคืออะไรหรือ?  เจ้าได้มาซึ่งความจริงแล้วหรือไม่?  เจ้าได้รับสิ่งใดที่เกี่ยวกับความจริงบ้างหรือไม่?  เจ้าได้สร้างความคืบหน้าในการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  เจ้าได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไปแล้วหรือไม่?  เจ้ามีการนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  พวกเราจะไม่พูดถึงบทเรียนหรือการปฏิบัติที่ลึกซึ้งอย่างการนบนอบพระเจ้า แต่พวกเราแค่จะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดแทน  เจ้าได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว ได้ทนทุกข์และจ่ายราคามานานหลายปีเหลือเกิน—เจ้าสามารถพิทักษ์ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์และผู้คนชั่วทำสิ่งที่ชั่วเพื่อก่อกวนงานของคริสตจักร เจ้าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ดำรงผลประโยชน์ของพวกคนชั่วเหล่านั้นและคุ้มครองตัวเจ้าเอง หรือเจ้ายืนอยู่ข้างพระเจ้า ดำรงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระองค์?  เจ้าได้ปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงหรือไม่?  หากเจ้าไม่ได้ปฏิบัติ เช่นนั้นการทนทุกข์ของเจ้าและราคาที่เจ้าจ่ายไปก็ไม่ต่างอะไรกับของเปาโล  สิ่งเหล่านั้นถูกทำไปเพื่อเห็นแก่การได้รับพระพร และสิ่งเหล่านั้นล้วนหาประโยชน์ไม่ได้  สิ่งเหล่านั้นก็เหมือนกับสิ่งที่เปาโลพูดเกี่ยวกับการได้สู้ในการต่อสู้ต่างๆ และเสร็จสิ้นครรลองที่เขาต้องทำ และการได้มาซึ่งพระพรและบำเหน็จรางวัลในท้ายที่สุด—ไม่มีความแตกต่างอะไรเลย  เจ้ากำลังเดินไปบนเส้นทางของเปาโล เจ้าไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าคิดว่าการประกาศตัดขาด การสละ การทนทุกข์ของเจ้า และราคาที่เจ้าได้จ่ายไปคือการปฏิบัติความจริง แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าได้เข้าใจความจริงไปมากมายเพียงใดแล้วหรือ?  เจ้ามีความเป็นจริงความจริงมากมายเพียงใด?  เจ้าได้พิทักษ์ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศน์ของพระเจ้าไปในกี่เรื่องแล้ว?  เจ้าได้ยืนอยู่ข้างความจริงและพระเจ้าไปในกี่เรื่องแล้ว?  เจ้าได้ละเว้นจากการทำชั่วหรือการทำตามเจตจำนงของตัวเองเพราะเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าไปในกี่การกระทำแล้ว?  เหล่านี้คือสรรพสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจและตรวจสอบ  หากพวกเขาไม่ตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นยิ่งพวกเขาเชื่อในพระเจ้านานขึ้นเท่าใด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิ่งพวกเขาปฏิบัติหน้าที่นานขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งคิดว่าตัวเองได้ทำการร่วมสมทบที่เป็นความดีความชอบ คิดว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน และคิดว่าพวกเขาเป็นของพระเจ้า  หากวันหนึ่งพวกเขาถูกปลด ถูกเปิดโปง และถูกกำจัด พวกเขาก็จะพูดว่า “ต่อให้ฉันไม่ได้ทำงานรับใช้ที่เป็นความดีความชอบ เช่นนั้นอย่างน้อย ฉันก็ทำงานหนักมามาก และต่อให้ฉันไม่ได้ทำงานหนัก เช่นนั้นอย่างน้อยฉันก็ทำงานจนเหนื่อยมาก  บนพื้นฐานของการที่ฉันทนทุกข์และจ่ายราคามาหลายปีเหลือเกิน พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ควรปลดฉันออกหรือปฏิบัติกับฉันแบบนี้  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ควรแค่โยนฉันออกไปหลังจากที่ฉันได้ทำงานให้แล้ว!”  หากเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง เจ้าก็ไม่ควรพูดสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าเป็นบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นกี่ครั้งกี่หนแล้วที่เจ้าได้นำการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาดำเนินให้เป็นผลอย่างถ้วนทั่วและเที่ยงตรง?  การจัดการเตรียมงานกี่งานที่เจ้าได้นำมาดำเนินการให้เป็นผลไปแล้ว?  เจ้าได้ติดตามผลการดำเนินงานไปแล้วกี่รายการ?  เจ้าได้ตรวจดูงานไปแล้วกี่รายการ?  ภายในขอบเขตความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้า และภายในข่ายที่ขีดความสามารถ ความสามารถในการจับใจความ และการทำความเข้าใจความจริงของเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้ เจ้าได้ทำดีถึงที่สุดไปมากเท่าไร?  หน้าที่ใดที่เจ้าทำได้ดี?  เจ้าได้ตระเตรียมความประพฤติดีไว้มากเท่าใด?  เหล่านี้คือมาตรฐานสำหรับการทดสอบว่าบุคคลหนึ่งเป็นผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  หากเจ้าสร้างปัญหายุ่งเหยิงให้กับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และไม่ได้ผลลัพธ์ใดออกมาเลย นั่นก็พิสูจน์ว่าเจ้าได้ทนทุกข์และจ่ายราคามาตลอดหลายปีนี้ด้วยความหวังที่จะรับพระพร และพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริงและกำลังนบนอบพระเจ้า กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นเป็นไปเพื่อตัวเอง เพื่อสถานะและพระพร และนั่นไม่ใช่การเดินตามทางของพระเจ้า  ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำไปคืออะไร?  จุดจบขั้นสุดท้ายสำหรับผู้คนแบบนี้ย่อมเหมือนกับของเปาโลไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่กำลังเดินไปตามเส้นทางของเปาโล จุดจบของพวกเขาจะเป็นเหมือนกับของเปาโลโดยธรรมชาติ  จงอย่าคิดว่าเจ้าได้ทำการร่วมสมทบที่เป็นความดีความชอบแค่เพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า และได้ประกาศตัดขาดการงาน ครอบครัวของเจ้า หรือแม้แต่บรรดาลูกน้อยของเจ้าในบางกรณี  เจ้าไม่ได้ทำการร่วมสมทบที่เป็นความดีความชอบอันใด เจ้าเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำก็เพื่อตัวเองและเป็นสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพึงทำ  หากนั่นไม่ใช่เพื่อเห็นแก่การรับพระพร เจ้าจะสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาหรือไม่?  เจ้าจะสามารถประกาศตัดขาดครอบครัวและเลิกล้มการงานของเจ้าได้หรือไม่?  จงอย่าปฏิบัติต่อการประกาศตัดขาดครอบครัวของเจ้า การละทิ้งการงานของเจ้า การทนทุกข์ และการจ่ายราคาเทียบเท่ากับการไล่ตามเสาะหาความจริงและการสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้า  นั่นเป็นแค่การหลอกตัวเจ้าเอง

พวกที่ไม่ยอมรับความจริงหรือการถูกตัดแต่งแต่อย่างใดเลยนั้น ถูกเปิดโปงและเอาตัวออกไปทีละคนทุกครั้งที่พระนิเวศของพระเจ้าดำเนินการชำระให้สะอาดครั้งใหญ่  คนบางคนที่มีปัญหาไม่ร้ายแรงได้รับอนุญาตให้ยังคงอยู่ภายใต้การสังเกตุการณ์ และพวกเขาได้รับการให้โอกาสที่จะกลับใจหลังจากที่พวกเขาถูกเปิดโปง  สำหรับคนอื่นๆ นั้น ปัญหาของพวกเขารุนแรงเกินไป พวกเขายังคงแก้ไขไม่ได้ทั้งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขาก็ยังทำสิ่งเดิมๆ และทำความผิดพลาดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า และพวกเขาก็ก่อกวน ขัดขวาง และทำลายงานของคริสตจักร ดังนั้นในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาย่อมถูกเอาตัวออกไปและขับไล่ไปตามหลักธรรม อีกทั้งไม่ได้รับโอกาสอีกต่อไป  คนบางคนพูดว่า “ฉันรู้สึกแย่แทนเลยที่พวกเขาไม่ได้รับโอกาสอีกแล้ว”  พวกเขาได้รับโอกาสมามากพอแล้วไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะฟังพระวจนะของพระองค์ เพื่อที่จะยอมรับการตีสอนและการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระองค์ หรือเพื่อยอมรับการชำระให้บริสุทธิ์และการช่วยให้รอดของพระองค์ พวกเขากำลังบริหารจัดการธุรกิจของพวกเขาเอง  หลังจากที่พวกเขาเริ่มเข้ารับภาระงานของคริสตจักรหรือปฏิบัติหน้าที่นานาสารพัน พวกเขาก็เริ่มการเข้าร่วมการทำผิด การก่อกวน และการขัดขวางทุกประเภท เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่องานของคริสตจักร รวมทั้งความสูญเสียร้ายแรงต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  หลังจากที่ให้โอกาสพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และค่อยๆ กำจัดพวกเขาออกจากกลุ่มปฏิบัติหน้าที่นานาสารพัน พระนิเวศของพระเจ้าก็จัดการเตรียมการให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนในทีมข่าวประเสริฐ แต่หลังจากผู้คนเหล่านั้นมาถึงตรงนั้น พวกเขาก็ไม่ทำงานหนักในหน้าที่ และพวกเขายังคงร่วมทำการกระทำผิดสารพัดประเภทโดยไม่มีการกลับใจหรือการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดเลย  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างไร หรือพระนิเวศทำการจัดการเตรียมงานประเภทใด และถึงแม้พระนิเวศให้โอกาส ให้การตักเตือนแก่ผู้คนเหล่านี้ และถึงกับตัดแต่งพวกเขา ทั้งหมดนี้ล้วนเปล่าประโยชน์  พวกเขาด้านชาเกินไป พวกเขาดื้อแพ่งเกินไป  แน่นอนว่าความดื้อแพ่งนี้กำลังพูดออกมาจากมุมมองของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  ในแก่นแท้ของพวกเขา พวกเขาไม่ใช่ผู้คน พวกเขาเป็นหมู่มาร  ในการเข้าสู่คริสตจักร นอกเหนือจากการทำตัวเหมือนซาตาน พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเลยที่เป็นคุณประโยชน์แก่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและงานของคริสตจักร  พวกเขาแค่ทำสิ่งไม่ดี พวกเขาแค่มาก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักร  หลังจากที่ได้รับผู้คนแค่ไม่กี่คนจากการประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีต้นทุน และรู้สึกว่าพวกเขาได้ทำการร่วมสบทบซึ่งเป็นความดีความชอบ และพวกเขาก็เริ่มพอใจกับความสำเร็จ คิดว่าตัวเองสามารถปกครองในฐานะกษัตริย์เหนือพระนิเวศของพระเจ้า ว่าพวกเขาสามารถออกคำสั่งและทำการตัดสินใจในแง่มุมใดก็ได้ของงาน และบังคับให้ผู้คนปฏิบัติและนำสิ่งเหล่านั้นมาดำเนินการให้เป็นผล  ไม่ว่าเบื้องบนสามัคคีธรรมถึงความจริงหรือการจัดการเตรียมงานอย่างไร ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่จริงจังกับการจัดการเตรียมงานนั้น  พวกเขาพูดสิ่งต่างๆ ที่ค่อนข้างน่าฟังต่อหน้าเจ้า ว่า “การจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าดีจังเลย เป็นอย่างที่พวกเราจำเป็นต้องมีพอดี การจัดการเตรียมงานเหล่านั้นได้แก้ไขสิ่งต่างๆ ทันเวลาพอดี ไม่อย่างนั้นพวกเราก็จะไม่รู้เลยว่าพวกเรายังอยู่ห่างไกลแค่ไหน”  พอพวกเขาหันหน้าไปทางอื่น พวกเขาก็เปลี่ยน และเริ่มแพร่กระจายแนวคิดของตัวเอง  จงบอกเราที ผู้คนแบบนี้ใช่มนุษย์จริงหรือ?  (ไม่ใช่)  หากพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็นสิ่งใดหรือ?  โดยผิวเผิน พวกเขาสวมใส่ผิวหนังมนุษย์อยู่ชั้นหนึ่ง แต่ในแก่นแท้ พวกเขาไม่ทำสิ่งที่เป็นมนุษย์—พวกเขาเป็นปีศาจ!  บทบาทที่พวกเขาเล่นในคริสตจักรนั้นเจาะจงเป็นพิเศษที่จะทำลายรายการงานสารพันในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาก่อกวนงานใดก็ตามที่พวกเขากำลังทำ พวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริงหรือหลักธรรม ไม่เคยใส่ใจการจัดการเตรียมงาน หรือกระทำไปตามการจัดการเตรียมงาน  ทันทีที่พวกเขามีอำนาจสักเล็กน้อย พวกเขาก็โอ้อวดและแสดงอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วต่อหน้าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาล้วนมีโฉมหน้าของปีศาจ และไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์  พวกเขาไม่เคยค้ำจุนผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาแค่พิทักษ์ผลประโยชน์และสถานะของตัวเอง  ไม่ว่าพวกเขารับใช้ในภาวะผู้นำอยู่ที่ระดับใด หรือพวกเขากำกับดูแลงานรายการใด ทันทีที่พวกเขาถูกไว้วางใจมอบหมายงานให้ งานนั้นก็กลายเป็นของพวกเขา พวกเขามีอำนาจชี้ขาด และผู้อื่นก็เลิกคิดถึงการตรวจสอบ การกำกับดูแล หรือการติดตามผลการทำงานนั้นไปได้เลย และยิ่งไม่ควรคิดถึงการเข้าไปสอดแทรกเลย  พวกนี้เป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ตัวจริงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  และผู้คนเหล่านี้ยังคงต้องการได้มาซึ่งพระพร!  เรามีสองคำสำหรับผู้คนเหล่านี้ก็คือ ไร้เหตุผลและไม่อาจไถ่ได้  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอาจสะดุดล้มลงตรงอุปสรรคขวางกั้นใดก็ได้ และพวกเขาก็จะไปได้ไม่ไกล  ในอดีตนั้น เราพูดกับพวกเจ้าเสมอว่า “หากเจ้าสามารถลงแรงจนถึงปลายทาง และเป็นคนลงแรงที่จงรักภักดี นั่นก็เป็นการดีเลยดีเดียวเช่นกัน”  คนบางคนที่ไม่รักความจริงและพวกเขาไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  เรื่องนี้ควรทำอย่างไร?  พวกเขาควรเป็นคนลงแรง  หากเจ้าสามารถทำงานหนักในการลงแรง และไม่เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน หรือทำความชั่วอันใดที่นำไปสู่การถูกเอาตัวออกไป และเจ้าก็สามารถรับประกันได้ว่าเจ้าจะไม่ทำความชั่ว และรักษาการลงแรงไปจนถึงปลายทาง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสามารถอยู่รอดได้  แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถได้รับพระพรอย่างมหาศาล แต่อย่างน้อยเจ้าก็จะได้ลงแรงในระหว่างช่วงเวลาของพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าจะเป็นคนลงแรงที่จงรักภักดี และในที่สุดพระเจ้าก็จะไม่ทรงปฏิบัติไม่ดีกับเจ้า  แต่ตอนนี้ มีคนลงแรงบางคนที่ไม่สามารถลงแรงได้จนถึงปลายทาง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะพวกเขาไม่มีจิตวิญญาณมนุษย์  พวกเขาจะไม่ตรวจสอบว่าภายในตัวพวกเขามีจิตวิญญาณประเภทใดอยู่ แต่อย่างน้อยที่สุดเมื่อมองที่พฤติกรรมของพวกเขาจากต้นจนจบ แก่นแท้ของพวกเขาเป็นแก่นแท้ของมารไม่ใช่ของบุคคล  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ยิ่งห่างไกลจากการไล่ตามเสาะหาความจริงเสียด้วยซ้ำ

เมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนที่ได้มีการสามัคคีธรรมถึงความจริงแต่ละแง่มุมในรายละเอียด ผู้คนไม่ได้เข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการรับมือกับสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงนั้นหมายถึงอะไร  คนบางคนปฏิบัติตนบนพื้นฐานของเจตจำนง ความคิดฝัน และมโนคติอันหลงผิดส่วนตน หรือทำตามกฎเกณฑ์  นี่ให้อภัยได้เพราะพวกเขาไม่เข้าใจ  แต่ปัจจุบันนี้สิบปีให้หลัง แม้ว่าการสามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวกับแง่มุมต่างๆ ของความจริงนั้นยังไม่ปิดจบลง แต่อย่างน้อยที่สุด ความจริงพื้นฐานนานัปการซึ่งสัมพันธ์กับผู้คนที่กำลังทำงานและทำหน้าที่อยู่ก็ได้ถูกอธิบายอย่างชัดเจนไปแล้วในแง่ของหลักธรรม  ไม่ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ประเภทใด ผู้คนซึ่งมีหัวใจและจิตวิญญาณ ผู้ซึ่งรักความจริงและสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงก็ควรสามารถปฏิบัติส่วนหนึ่งของหลักธรรมความจริงโดยการพึ่งพามโนธรรมและเหตุผลของตน  ผู้คนขาดตกบกพร่องและล้มเหลวที่จะเอื้อมถึงความจริงซึ่งลึกซึ้งขึ้นและสูงส่งขึ้น และพวกเขาก็ไม่สามารถรู้เท่าทันแก่นแท้ของบางปัญหา หรือแก่นแท้ทั้งหลายที่สัมพันธ์กับความจริง แต่พวกเขาก็ควรสามารถนำความจริงที่พวกเขาสามารถเอื้อมถึงและที่ได้ถูกระบุไว้อย่างชัดแจ้งมาปฏิบัติได้  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ควรสามารถยึดมั่นต่อการจัดการเตรียมงานที่พระนิเวศของพระเจ้าได้มีการระบุไว้อย่างชัดแจ้ง นำการจัดการเตรียมงานระบุไว้เหล่านั้นมาดำเนินการให้เป็นผล และแจกแจงการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นได้  อย่างไรก็ตาม พวกที่เป็นของปีศาจไม่สามารถแม้แต่จะทำสิ่งเหล่านี้  พวกเขาเป็นผู้คนประเภทที่ไม่สามารถแม้แต่จะลงแรงไปจนถึงปลายทางด้วยซ้ำ  เมื่อผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะลงแรงไปจนถึงปลายทาง นี่ก็หมายความว่าพวกเขาจะถูกโยนลงจากตู้รถไฟกลางทางระหว่างการเดินทาง  เหตุใดหรือพวกเขาจึงจะถูกโยนลงจากตู้รถไฟ?  หากพวกเขากำลังนั่งอย่างเงียบกริบอยู่ในตู้รถไฟ กำลังหลับใหล ไม่ไหวติง หรือแม้แต่กำลังทำอะไรฆ่าเวลา ตราบที่พวกเขาไม่ได้ก่อกวนทุกคน หรือทิศทางที่มุ่งไปข้างหน้าของรถไฟทั้งขบวน ใครหรือจะมีแก่ใจคิดโยนพวกเขาออกจากตู้รถไฟ?  ไม่มีใครจะทำแบบนั้นหรอก  หากพวกเขาสามารถลงแรงได้จริง พระเจ้าจะไม่ทรงโยนพวกเขาลงจากตู้รถไฟเช่นกัน  แต่การใช้ผู้คนเหล่านี้ลงแรงในตอนนี้คงนำมาซึ่งผลขาดทุนมากกว่าผลกำไร  งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในหลากหลายแง่มุมได้รับความเสียหายอย่างมหาศาลเกินไปอันเนื่องมาจากการก่อกวนของผู้คนเหล่านี้  พวกเขาเป็นต้นเหตุของความกังวลที่มากเกินไป!  พวกเขาไม่เข้าใจความจริง ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงนั้นอย่างไรก็ตาม และหลังจากนั้นพวกเขาก็ยังคงทำสิ่งไม่ดี  การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเหล่านี้หมายถึงการร่วมทำการเสวนาอันไม่รู้จบ และการรับประสบการณ์กับความโกรธอันไม่รู้จบ  ประเด็นสำคัญยิ่งยวดก็คือผู้คนเหล่านี้ได้ทำความชั่วไปมากเกินไป และเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียอันใหญ่หลวงเกินไปต่อการแผ่ขยายงานข่าวประเสริฐแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ในหน้าที่อันเล็กน้อยที่พวกเขาปฏิบัติ พวกเขาก็แค่เป็นเหตุของการขัดขวางและการก่อกวน และความสูญเสียที่พวกเขาก่อให้เกิดกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้นมิอาจซ่อมแซมแก้ไขได้เลย  ผู้คนเหล่านี้ทำสิ่งไม่ดีทุกชนิด  ในขณะที่อยู่ในหมู่สมาชิกสามัญในคริสตจักร พวกเขาทำไปตามความยินดีของตน พวกเขาผลาญของถวาย พวกเขาขยายขนาดจำนวนสมาชิกที่พวกเขาได้รับขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และพวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากผู้อื่นอย่างไม่เหมาะควร  พวกเขาใช้ผู้คนที่ชั่ว ผู้คนที่เหลวไหล และผู้คนที่เกะกะระรานทำสิ่งที่ชั่วบางคนโดยเฉพาะเท่านั้น  พวกเขาไม่รับฟังข้อเสนอแนะของผู้ใด และพวกเขาปราบปรามและลงโทษทุกคนที่แสดงความคิดเห็น  ภายใต้ข่ายอำนาจของพวกเขา พระวจนะ ข้อพึงประสงค์ และการจัดการเตรียมงานของพระเจ้าไม่ถูกนำมาดำเนินการให้เป็นผล แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านั้นกลับถูกละไว้  ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นอันธพาลและผู้มีอำนาจเจ้าถิ่น พวกเขากลายเป็นจอมเผด็จการ  จงบอกเราที ผู้คนเหล่านี้ควรถูกเก็บไว้หรือไม่?  (ไม่)  ปัจจุบันนี้ คนบางคนถูกปลดไปแล้ว และหลังจากถูกปลด พวกเขาก็พูดถึงเรื่อง “การนบนอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า” เพื่อแสดงว่าพวกเขาช่างสูงศักดิ์ยิ่งนัก ช่างนบนอบยิ่งนัก และช่างเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงยิ่งนัก  พวกเขาพูดแบบนี้เพื่อที่จะหมายความว่าพวกเขาไม่มีอะไรโต้แย้งเกี่ยวกับสิ่งใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าทำ และพวกเขาเต็มใจนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระนิเวศ  พวกเขาพูดว่าตัวเองเต็มใจนบนอบต่อการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า—แล้วเหตุใดเล่าพวกเขาจึงทำความชั่วมากมายซึ่งนำไปสู่การที่คริสตจักรปลดพวกเขาออก?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าใจเรื่องนี้?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่อธิบายเหตุผลของเรื่องนี้?  พวกเขานำพาความเดือดร้อนและความสูญเสียนานัปการมาสู่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในขณะที่พวกเขากำลังทำงาน—พวกเขาจำต้องเปิดอกและตีแผ่ตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้มิใช่หรือ?  แค่พวกเขาไม่เอ่ยถึง เรื่องนี้ก็เป็นอันปิดสำนวนอย่างนั้นหรือ?  พวกเขาพูดว่าพวกเขาต้องการนบนอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แสดงให้เห็นว่าพวกเขายิ่งใหญ่และสูงศักดิ์เพียงใด?  นี่เป็นการเสแสร้งและเล่ห์เหลี่ยมโดยทั้งหมดทั้งสิ้น!  หากพวกเขากำลังเรียนรู้ที่จะนบนอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เหตุใดพวกเขาจึงไม่นบนอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก่อนหน้านี้?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้นำการจัดการเตรียมการเหล่านั้นมาดำเนินการให้เป็นผล?  พวกเขาทำอะไรอยู่ในตอนนั้น?  ใครกันแน่ที่พวกเขาเชื่อฟังจริงๆ?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่บรรยายถึงเรื่องนี้?  ใครเป็นนายของพวกเขา?  พวกเขาได้ดำเนินงานแต่ละแง่มุมที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการไว้หรือไม่?  พวกเขาสัมฤทธิ์ผลหรือไม่?  งานของพวกเขาสามารถผ่านการตรวจสอบอันละเอียดละออไปได้หรือไม่?  พวกเขาจะชดเชยความสูญเสียที่มีต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอันเหตุมาจากการเกะกะระรานทำความชั่วของพวกเขาอย่างไร?  เรื่องนี้ควรค่าแก่การแสดงความเห็นหรือไม่?  พวกเขาแค่พูดว่าพวกเขากำลังจะนบบอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแค่นั้นก็ได้แล้วหรือ?  จงบอกเราที ผู้คนแบบนี้มีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาปราศจากเหตุผล มโนธรรม และความเป็นมนุษย์ และพวกเขาก็ไม่มีความละอาย!  พวกเขาไม่สำนึกว่าพวกเขาได้ทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน และเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียอันใหญ่หลวงเช่นนั้นต่อพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาได้เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนมากมายเหลือเกินโดยไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดอันใด ไม่มีสำนึกของความเป็นหนี้อันใด หรือความตระหนักรู้อันใดในเรื่องนี้  หากเจ้าพยายามให้พวกเขารับผิดชอบ พวกเขาจะพูดว่า “ฉันไม่ใช่คนเดียวที่ทำเรื่องนั้น”—พวกเขามีข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง  พวกเขาหมายความว่าไม่สามารถนำการลงโทษมาบังคับใช้ได้หากทุกคนเป็นผู้กระทำผิด และหมายความว่าเพราะทุกคนทำความชั่ว พวกเขาในฐานะปัจเจกบุคคลไม่ควรต้องรับผิดชอบ  นี่เป็นสิ่งที่ผิด  พวกเขาต้องอธิบายเหตุผลสำหรับความชั่วที่พวกเขาได้ทำไป—แต่ละปัจเจกบุคคลต้องอธิบายเหตุผลสำหรับความชั่วที่พวกเขาได้ทำไป  พวกเขาควรนบนอบการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และเข้ารับมือกับปัญหาของตนอย่างถูกต้อง  หากพวกเขามีท่าทีนี้ พวกเขาย่อมสามารถมีโอกาสอีกครั้งและคงอยู่ต่อไป แต่พวกเขาไม่สามารถทำความชั่วอยู่เสมอได้!  หากไม่มีความตระหนักรู้ในมโนธรรมของตน หากพวกเขาไม่อาจรู้สึกได้ว่าพวกเขาเป็นหนี้พระเจ้าในหนทางใด และพวกเขาก็ไม่กลับใจเอาเสียเลย จากมุมมองมนุษย์นั้น พวกเขาสามารถได้รับโอกาส ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ของตนต่อไปได้ และไม่ต้องรับผิดชอบ แต่พระเจ้าทอดพระเนตรเรื่องนี้อย่างไรหรือ?  หากผู้คนไม่กำหนดให้พวกเขารับผิดชอบ พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงกำหนดด้วยใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนและสรรพสิ่งทั้งผองด้วยหลักธรรม  พระเจ้าจะไม่ทรงประนีประนอมกับเจ้าและไม่ทรงกลบเกลี่ยสิ่งต่างๆ พระองค์จะไม่ทรงเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนเหมือนกับเจ้า  พระเจ้าทรงมีหลักธรรม พระองค์ทรงมีอุปนิสัยอันชอบธรรม  หากเจ้าละเมิดหลักธรรมและกฎการปกครองแห่งพระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าย่อมต้องจัดการกับเจ้าไปตามหลักธรรมและเงื่อนไขของกฎการปกครองแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  สำหรับผลที่ตามมาจากการที่เจ้าล่วงเกินพระเจ้านั้น ในข้อเท็จจริงแล้วเจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าพระเจ้าทอดพระเนตรเจ้าและทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร  หากเจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้าดั่งเป็นพระเจ้า เจ้าก็ควรมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เพื่อสารภาพ ยอมรับบาปของเจ้า และกลับใจ  หากเจ้าขาดท่าทีนี้ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นผู้ไม่เชื่อ เจ้าเป็นมาร เจ้าเป็นศัตรูของพระคริสต์ และเจ้าก็ควรถูกสาปแช่ง!  แล้วการฟังคำเทศนาของเจ้ามีประโยชน์อะไรเล่า?  เจ้าควรออกไป เจ้าไม่สมควรที่จะฟังคำเทศนา!  ความจริงถูกกล่าวเพื่อให้พวกมนุษย์ที่เสื่อมทรามปกติฟัง แม้ว่าผู้คนเช่นนั้นมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่พวกเขามีความแน่วแน่และเต็มใจที่จะยอมรับความจริง พวกเขาสามารถทบทวนตัวเองเมื่อใดก็ตามที่บางสิ่งเกิดแก่พวกเขา และพวกเขาก็สามารถสารภาพ กลับใจ และกลับตัวเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งผิด  ผู้คนเช่นนั้นสามารถได้รับการช่วยให้รอด และความจริงทั้งหลายถูกกล่าวออกมาเพื่อพวกเขานั่นเอง  ผู้คนที่ไม่มีท่าทีของการกลับใจใหม่ไม่ว่าสิ่งใดเกิดแก่พวกเขานั้นไม่ใช่พวกมนุษย์ที่เสื่อมทรามธรรมดา พวกเขาเป็นสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง แก่นแท้ของพวกเขาเป็นแก่นแท้ของมารไม่ใช่บุคคล  แม้พวกเขาอาจไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน โดยปกติแล้วพวกมนุษย์ที่เสื่อมทรามธรรมดาสามารถละเว้นจากการทำสิ่งที่ไม่ดีบนพื้นฐานมโนธรรมของตัวเอง ความละอายเล็กน้อยที่ความเป็นมนุษย์ปกติของพวกเขามี และเหตุผลเล็กน้อยที่พวกเขามี และพวกเขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนอย่างจงใจ  ภายใต้สภาพการณ์ปกติ ผู้คนเช่นนั้นสามารถลงแรงและติดตามไปจนถึงปลายทาง อีกทั้งสามารถที่จะอยู่รอดได้  อย่างไรก็ตาม มีผู้คนอยู่ประเภทหนึ่งผู้ซึ่งไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ผู้ซึ่งไม่มีสำนึกแห่งเกียรติหรือความละอายแต่อย่างใดเลย ผู้ซึ่งไม่มีหัวใจที่สำนึกผิดไม่ว่าพวกเขาทำความชั่วไปมากเท่าใด และผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างหน้าไม่อาย โดยยังคงหวังที่จะได้รับพระพรและยังคงไม่รู้จักที่จะกลับใจ  พอใครบางคนพูดว่า “คุณเป็นต้นเหตุของการขัดขวางและการก่อกวนโดยการทำสิ่งนั้น”  พวกเขาก็พูดว่า “จริงหรือ?  งั้นฉันก็ผิดพลาดไปแล้ว ฉันจะทำให้ดีขึ้นคราวหน้า”  บุคคลอื่นผู้นั้นจึงตอบว่า “เช่นนั้นคุณก็ควรมารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อทรามของคุณ” และพวกเขาก็พูดว่า “มารู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอะไรหรือ?  ฉันก็แค่ไม่รู้ความและโง่เขลา  ฉันก็แค่จะทำให้ดีขึ้นในคราวหน้า”  พวกเขาขาดความเข้าใจส่วนลึก และพวกเขาก็แค่ปัดความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง  ผู้คนซึ่งมีท่าทีนี้สามารถกลับใจได้หรือ?  พวกเขาไม่มีความละอายด้วยซ้ำ—พวกเขาไม่ใช่ผู้คน!  คนบางคนพูดว่า “ถ้าพวกเขาไม่ใช่ผู้คน พวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉานใช่หรือไม่?”  พวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่พวกเขาก็ต่ำกว่าสุนัขด้วยซ้ำ  ลองคิดถึงเรื่องที่เวลาสุนัขทำบางสิ่งที่ไม่ดีหรือประพฤติไม่ดี หากเจ้าว่ากล่าวมันไปครั้งหนึ่ง มันย่อมจะรู้สึกแย่ในทันที และมันก็จะเพียรทำดีกับเจ้าซึ่งนั่นมีความหมายว่า “ได้โปรดอย่าเกลียดหนูเลย หนูจะไม่ทำอีกแล้ว”  เมื่อบางสิ่งแบบนี้เกิดขึ้นอีก เจ้าสุนัขก็จะตั้งหน้าตั้งตาจ้องมองเจ้าเพื่อบอกเจ้าว่า “หนูจะไม่ทำ ไม่ต้องห่วงนะ”  ไม่ว่าจะเป็นการที่สุนัขกลัวถูกตีหรือการพยายามได้ความโปรดปรานจากเจ้านายของมัน ไม่สำคัญว่าเจ้ามองการนี้อย่างไร แต่เมื่อสุนัขรู้ว่านายของมันไม่ชอบหรือไม่อนุญาตบางสิ่ง สุนัขก็จะไม่ทำสิ่งนั้น  มันสามารถหักห้ามใจมันเองได้ มันมีสำนึกของความละอาย  แม้แต่สัตว์ก็ยังมีสำนึกของความละอาย แต่ผู้คนเหล่านี้ไม่มี  แล้วพวกเขายังคงเป็นผู้คนอยู่หรือ?  พวกเขาเป็นน้อยกว่าสัตว์เสียอีก  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความเป็นมนุษย์และเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต พวกเขาเป็นมารโดยแท้  พวกเขาไม่เคยทบทวนตัวเองหรือสารภาพไม่ว่าพวกเขาทำความชั่วมากเพียงใด และแน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้จักที่จะกลับใจ  มีผู้คนบางคนที่รู้สึกอับอายที่จะเผชิญหน้ากับพี่น้องชายหญิงเพราะพวกเขาทำความชั่วไปเล็กน้อย และหากพี่น้องชายหญิงเลือกพวกเขาในระหว่างการเลือกตั้ง พวกเขาก็จะพูดว่า “ฉันจะไม่รับทำหน้าที่นี้ ฉันไม่มีคุณสมบัติเหมาะสม  ในอดีตฉันเคยทำสิ่งโง่เขลาที่เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียต่องานของคริสตจักร  ฉันไม่สมควรได้รับตำแหน่งงานนี้”  ผู้คนแบบนี้มีสำนึกของความละอาย และพวกเขาก็มีมโนธรรมและเหตุผล  แต่ผู้คนชั่วพวกนั้นไม่มีสำนึกของความละอาย  หากเจ้าขอให้พวกเขากลายเป็นผู้นำ พวกเขาจะยืนขึ้นทันทีและพูดว่า “เห็นแล้วสินะ!  คุณคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?  พระนิเวศของพระเจ้าขาดฉันไม่ได้  ฉันเป็นคนสำคัญ ฉันมีความสามารถมาก!”  จงบอกเราที ไม่ลำบากยากเย็นหรอกหรือที่จะทำให้ผู้คนเหล่านี้รู้สึกละอาย?  ลำบากยากเย็นเพียงใดหรือ?  ลำบากยากเย็นกว่าการขยับขยายกำแพงด่านชานไห่ของจีนเสียอีก—พวกเขาไร้ยางอาย!  ไม่ว่าพวกเขาทำความชั่วมากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงลอยชายไปวันๆ อย่างไร้ยางอายอยู่ในคริสตจักร  พวกเขาไม่เคยถ่อมใจในการมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง พวกเขายังคงดำเนินชีวิตแบบที่พวกเขามีอยู่เสมอ และพวกเขาถึงกับคุยโวเกี่ยวกับ “การสัมฤทธิ์ผลอันยิ่งใหญ่” ของตน เกี่ยวกับการประกาศตัดขาด การสละ การทนทุกข์ในอดีตของตน รวมถึงราคาที่ตัวเองได้จ่ายไป และเกี่ยวกับ “ความรุ่งโรจน์และความยิ่งใหญ่” ในอดีตของตน  ทันทีที่มีโอกาส พวกเขาก็จะผลุดลุกขึ้นยืนโอ้อวดและคุยโวเกี่ยวกับตัวเอง พูดคุยเกี่ยวกับต้นทุนของตัวเองและอวดให้เห็นคุณสมบัติอันเหมาะสมของตัวเอง และถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยพูดคุยว่าตนเองได้ทำความชั่วไปมากเพียงใด ว่าพวกเขาผลาญของถวายของพระเจ้าไปมากมายเพียงใด หรือพวกเขาได้ให้เกิดความสูญเสียต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไปมากมายเพียงใด  พวกเขาไม่สารภาพด้วยซ้ำในเวลาที่พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าตามลำพังส่วนตัว และพวกเขาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาเพราะความผิดพลาดที่ตัวเองทำไป หรือเพราะความสูญเสียที่ตัวเองก่อให้เกิดแก่พระนิเวศของพระเจ้า  นั่นเองที่เป็นวิธีดื้อแพ่งและไร้ยางอายของพวกเขา  พวกเขาไร้เหตุผลและมิอาจไถ่ได้โดยสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขามิอาจไถ่ได้ และพวกเขาก็ไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด  ไม่ว่าเจ้าจะให้โอกาสกับพวกเขาอย่างไร นั่นก็เหมือนการพูดคุยกับกำแพงอิฐ หรือการเข็นครกขึ้นเขา หรือการขอให้หมู่มารและซาตานนมัสการพระเจ้า  ดังนั้น พอเป็นเรื่องผู้คนเหล่านี้ ในที่สุดแล้วท่าทีของพระนิเวศของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาก็คือถอดใจจากพวกเขา  หากพวกเขาเต็มใจปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาย่อมทำได้ พระนิเวศของพระเจ้าจะให้โอกาสพวกเขาเล็กน้อย  หากพวกเขาไม่เต็มใจปฏิบัติหน้าที่และพูดว่า “ฉันกำลังจะออกไปทำงานหาเงินและทำกิจวัตรประจำวันของฉัน ฉันกำลังจะออกไปบริหารจัดการธุรกิจของตัวเอง”  พวกเขาก็ไปได้เลย ประตูพระนิเวศของพระเจ้าเปิดอยู่ พวกเขาจงรีบออกไปได้เลย!  เราไม่ต้องการเห็นหน้าพวกเขาอีก พวกเขาช่างน่าขยะแขยงเหลือเกิน!  พวกเขากำลังเสแสร้งไปเพื่ออะไร?  การสู้ทนเล็กน้อยของพวกเขา ราคาเล็กน้อยที่พวกเขาได้จ่ายไป การประกาศตัดขาดและการสละของพวกเขาเป็นแค่เงื่อนไขเบื้องต้นที่พวกเขาตระเตรียมเพื่อให้ตัวเองสามารถทำความชั่วได้  หากพวกเขายังอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า งานรับใช้ประเภทไหนหรือที่พวกเขาทำให้กับพระนิเวศได้?  ผลประโยชน์ใดหรือที่พวกเขานำมาสู่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้?  เจ้าพอจะทราบหรือไม่ว่าความประพฤติชั่วและสิ่งไม่ดีที่คนชั่วคนหนึ่ง ศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งทำภายในระยะเวลาหกเดือนนั้นสามารถสร้างการขัดขวางและการก่อกวนต่องานของคริสตจักรได้มากเพียงใด?  จงบอกเราทีว่าพี่น้องชายหญิงกี่คนที่จะจำเป็นต้องทำงานเพื่อชดเชยให้กับการนั้น?  การใช้เจ้าคนชั่วนั่น ศัตรูของพระคริสต์นั่นทำงานรับใช้เล็กน้อยช่างไม่คุ้มกับความเดือดร้อนเลยไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเราจะไม่พูดถึงขอบข่ายของความสูญเสียที่ศัตรูของพระคริสต์เหล่าหนึ่งสามารถก่อให้เกิดได้จากการร่วมวงกันทำสิ่งไม่ดี แต่ตรรกะวิบัติและคำแถลงเยี่ยงมารข้อหนึ่งที่กล่าวโดยศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่ง หรือคำสั่งไร้สาระข้อหนึ่งที่ออกโดยศัตรูของพระคริสต์สามารถก่ออันตรายให้กับงานของคริสตจักรได้มากเท่าไรหรือ?  จงบอกเราที ผู้คนมากมายเพียงใดที่จะจำเป็นต้องทำงานและทำอยู่เป็นเวลานานเท่าใดเพื่อที่จะชดเชยให้กับการนั้น?  ใครจะรับผิดชอบความสูญเสียนี้?  ไม่มีใครสามารถทำได้!  ความสูญเสียนี้ชดเชยได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  คนบางคนพูดว่า “ถ้าพวกเราหาคนมาช่วยเพิ่มขึ้น และพี่น้องชายหญิงก็สู้ทนความทุกข์มากขึ้นเล็กน้อย พวกเราก็อาจสามารถชดเชยความสูญเสียนี้ได้”  แม้เจ้าอาจสามารถชดเชยความสูญเสียได้บ้าง แต่พระนิเวศของพระเจ้าจะจำเป็นต้องสละทรัพยากรทางวัตถุและกำลังคนมากเท่าใดเล่า?  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครเล่าที่สามารถชดเชยเวลาที่เสียไป และชดเชยความเสียหายที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทนทุกข์ในแง่ของการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา?  ไม่มีใครทำได้เลย  เพราะฉะนั้น ความผิดที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำนั้นไม่สามารถยกโทษได้!  คนบางคนพูดว่า “พวกศัตรูของพระคริสต์บอกว่า ‘พวกเราจะจ่ายชดเชยให้กับเงินที่เสียไป’”  แน่นอนอยู่แล้วที่พวกเขาต้องจ่ายชดเชยให้กับความสูญเสียนี้!  “พวกศัตรูของพระคริสต์บอกว่า ‘พวกเราจะพาคนเข้ามาเพิ่มเพื่อชดเชยสำหรับคนที่เสียไป’”  นั่นเป็นส่วนน้อยที่สุดที่พวกเขาทำได้  พวกเขาต้องชดเชยให้กับความชั่วที่พวกเขากระทำลงไป!  แต่ใครจะชดเชยให้กับเวลาที่เสียไปเล่า?  พวกเขาทำได้หรือ?  เป็นไปไม่ได้ที่จะชดเชยให้กับเวลาที่เสียไป  ดังนั้น ความผิดทั้งหลายที่ผู้คนพวกนี้ทำไปคือบาปที่เลวทรามที่สุด!  ความผิดเหล่านั้นไม่อาจได้รับการยกโทษให้ได้  จงบอกเราที นั่นเป็นกรณีนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)

เมื่อคนบางคนเห็นว่าพระนิเวศของพระเจ้ารับมือกับพวกศัตรูของพระคริสต์อย่างค่อนข้างรุนแรง—ไม่ให้โอกาสพวกเขาและไล่พวกเขาออกไปโดยตรง—พวกเขามีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “พระนิเวศของพระเจ้าพูดไว้ว่าให้โอกาสผู้คนไม่ใช่หรือ?  พอบุคคลหนึ่งทำความผิดพลาดเล็กน้อย พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ต้องการพวกเขาอีกต่อไปเลยหรือ?  พระนิเวศไม่ให้โอกาสพวกเขาสักครั้งเลยหรือ?  พระนิเวศควรให้โอกาสพวกเขาสักครั้ง พระนิเวศของพระเจ้าช่างไร้รักเกินไป!”  จงบอกเราที ผู้คนเหล่านั้นได้รับโอกาสไปกี่ครั้งแล้ว?  พวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากเท่าไรแล้ว?  พวกเขาได้รับโอกาสน้อยเกินไปหรือ?  ตอนที่พวกเขากำลังทำงาน พวกเขาก็รู้ไม่ใช่หรือว่าตัวเองกำลังปฏิบัติหน้าที่?  พวกเขารู้ไม่ใช่หรือว่าตัวเองกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐและกำลังทำงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า?  พวกเขารู้สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือ?  พวกเขากำลังดำเนินธุรกิจ บริษัท หรือโรงงานอยู่หรือ?  พวกเขากำลังบริหารจัดการวิสาหกิจของตัวเองอยู่หรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าให้โอกาสผู้คนเหล่านี้ไปกี่หนแล้ว?  พวกเขาทุกคนได้ชื่นชมยินดีกับโอกาสไปมากมายแล้ว  สำหรับบรรดาผู้ที่ถูกย้ายจากกลุ่มต่างๆ ไปยังฝ่ายข่าวประเสริฐ มีพวกเขาคนใดถูกปลดหลังจากที่อยู่ในฝ่ายข่าวประเสริฐเป็นเวลาเพียงสองวันเท่านั้นหรือไม่?  ไม่มีใครเลย เว้นเสียแต่ว่าความชั่วที่พวกเขาทำไปนั้นใหญ่โตเกินไป เช่นนั้นพวกเขาจึงถูกปลดไป  พวกเขาทุกคนได้รับโอกาสไปมากพอแล้ว นี่เป็นแค่การที่พวกเขาไม่รู้จักทะนุถนอมโอกาสเหล่านั้นหรือกลับใจ  พวกเขาทำไปตามหนทางของตัวเอง เดินไปตามเส้นทางของเปาโลเสมอ  พวกเขากล่าวคำพูดที่น่าฟังและชัดเจน แต่พวกเขาไม่ปฏิบัติตนเสมือนมนุษย์  ผู้คนแบบนี้ยังควรได้รับโอกาสอยู่หรือไม่?  (ไม่ควร)  เมื่อตอนที่พวกเขาได้รับการให้โอกาส พวกเขาได้รับการปฏิบัติเสมือนมนุษย์ตลอดเวลา แต่พวกเขาไม่ใช่มนุษย์  พวกเขาไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่เหล่ามนุษย์ทำ ขอโทษอย่างมากนะ ประตูพระนิเวศของพระเจ้าเปิดอยู่—พวกเขาสามารถออกไปได้เลย  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ใช้พวกเขาอีกต่อไป  พระนิเวศของพระเจ้ามีอิสรภาพในเรื่องของการใช้ผู้คน พระนิเวศมีสิทธิ์  จะเป็นอะไรหรือไม่หากพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช้พวกเขา?  หากพวกเขาต้องการเชื่อ พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้นอกพระนิเวศของพระเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ใช้พวกเขาไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม—พระนิเวศทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกเขาเป็นต้นเหตุของความกังวลมากเกินไป!  พวกเขาเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียต่อพระนิเวศมากมายเกินไป และไม่มีใครจ่ายชดเชยให้กับการนี้ได้—พวกเขามีไม่พอที่จะจ่ายได้!  ไม่ใช่ว่าพวกเขาโชคไม่ดี ไม่ใช่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ให้โอกาสพวกเขา ไม่ใช่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าไร้รักและเข้มงวดกับพวกเขาเกินไป และก็ไม่ใช่ว่าพระนิเวศของพระเจ้ากำลังกำจัดพวกเขาทิ้งหลังจากที่พวกเขาเสร็จงานแล้วอย่างแน่นอน  แต่เป็นเพราะว่าผู้คนเหล่านี้ทำเกินไป พวกเขาไม่สามารถได้รับการยอมทนได้อีกต่อไป และพวกเขาก็ไม่อาจอธิบายสิ่งทั้งหลายที่ตัวเองทำไปได้  พระนิเวศของพระเจ้าได้จัดเตรียมหลักธรรมของงานไว้ให้กับงานทุกรายการแล้ว และฟ้าเบื้องบนก็ได้ทรงจัดเตรียมการทรงนำ การตรวจดู และการแก้ไขด้วยพระองค์เอง  นั่นไม่ใช่แค่เรื่องที่พระนิเวศของพระเจ้ากับฟ้าเบื้องบนจัดการชุมนุมขึ้นสองหนหรือตรัสไม่กี่คำ พระนิเวศของพระเจ้ากับฟ้าเบื้องบนกล่าวคำพูดไปมากมายและจัดการชุมนุม ตักเตือนผู้คนอย่างตั้งใจจริงไปหลายหนแล้ว และสุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือเล่ห์กล อีกทั้งงานของคริสตจักรก็ถูกขัดขวางและก่อกวนจนกลายเป็นปัญหายุ่งเหยิงไปหมดในท้ายที่สุด  จงบอกเราที ใครจะยังคงเต็มใจให้โอกาสกับผู้คนเหล่านั้น?  ใครจะเต็มใจกักเก็บพวกเขาเอาไว้?  พวกเขาสามารถเกะกะระรานทำความชั่ว แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้หวงห้ามพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้รับมือกับพวกเขาไปตามหลักธรรม?  การรับมือกับพวกเขาในหนทางนี้ไม่ควรเรียกว่าการไร้รัก แต่ควรเรียกว่าการมีหลักธรรม  ความรักถูกมอบให้กับผู้คนที่สามารถถูกรักได้ ให้แก่คนไม่รู้ความซึ่งสามารถอภัยให้ได้ ไม่ใช่ให้กับพวกคนชั่ว มาร หรือพวกที่จงใจเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน ไม่ใช่ให้กับพวกศัตรูของพระคริสต์  พวกศัตรูของพระคริสต์สมควรถูกสาปแช่งเท่านั้น!  เหตุใดพวกเขาจึงสมควรถูกสาปแช่งเท่านั้น?  เพราะไม่ว่าพวกเขาทำความชั่วมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่กลับใจ สารภาพ หรือกลับตัว พวกเขาแข่งขันกับพระเจ้าจนสุดทาง  พวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพลางพูดว่า “เมื่อข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์ตายอย่างมีจุดยืน ข้าพระองค์ไม่ยอมจำนน  เมื่อข้าพระองค์มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ข้าพระองค์จะไม่คุกเข่าหรือโค้งคำนับ  ข้าพระองค์จะไม่น้อมรับความปราชัย!”  นี่เป็นสิ่งประเภทใด?  แม้แต่ตอนที่พวกเขาใกล้ตาย พวกเขาก็จะยังคงพูดว่า “ฉันจะขัดขืนพระนิเวศของพระเจ้าจนถึงปลายทาง  ฉันจะไม่สารภาพบาปของฉัน—ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด!”  เอาเถิด หากพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาก็ไปได้  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ใช้พวกเขา  จะเป็นการดีหรือไม่หากพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช้พวกเขา?  นั่นจะเป็นการดีโดยสมบูรณ์เลย!  บางคนพูดว่า “ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ใช้ฉัน เช่นนั้นพระนิเวศก็ใช้ใครไม่ได้เลย”  คนพวกนี้ควรมองดูว่าไม่มีใครเลยจริงๆ หรือ—งานใดในพระนิเวศของพระเจ้าหรือที่พึงพาผู้คน?  หากปราศจากพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และปราศจากการคุ้มครองจากประเจ้า ใครเล่าที่สามารถมาถึงที่ที่ตัวเองอยู่ในทุกวันนี้?  งานรายการใดหรือที่จะสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงบัดนี้?  ผู้คนเหล่านี้คิดว่าตัวเองอยู่ในโลกปุถุชนอย่างนั้นหรือ?  หากกลุ่มใดก็ตามในโลกปุถุชนสูญสิ้นการพิทักษ์จากฝ่ายปัจเจกบุคคลที่มีของประทานหรือพรสวรรค์ โลกปุถุชนก็คงไม่สามารถเสร็จสิ้นโครงการใดของตัวเองได้  งานในพระนิเวศของพระเจ้านั้นแตกต่างไป  เป็นพระเจ้าที่กำลังทรงพิทักษ์ ทรงนำทาง และทรงนำงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  จงอย่าคิดว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอาศัยการเกื้อหนุนของบุคคลใด  นี่ไม่ใช่กรณีนั้นและนี่เป็นมุมมองของผู้ไม่เชื่อ  พวกเจ้าคิดว่าเป็นการเหมาะควรหรือไม่ที่พระนิเวศของพระเจ้าจะละทิ้งผู้คนที่ชั่วอย่างพวกศัตรูของพระคริสต์และพวกผู้ไม่เชื่อ?  (เหมาะควร)  เหตุใดนั่นจึงเหมาะควร?  เพราะการใช้ผู้คนเหล่านั้นดำเนินงานก่อหายนะที่เป็นความสูญเสียใหญ่หลวงเกินไป ผู้คนเช่นนั้นผลาญทั้งกำลังคนและทรัพยากรทางการเงินโดยปราศจากความยับยั้งชั่งใจ และพวกเขาก็ไม่มีหลักธรรมแต่อย่างใดเลย  พวกเขาไม่ฟังพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ปฏิบัติตนบนพื้นฐานของความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตัวเองโดยทั้งหมดทั้งสิ้น  พวกเขาไม่เคารพพระวจนะของพระเจ้าหรือการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแต่อย่างใดเลย แต่เมื่อศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งพูดบางสิ่ง พวกเขาก็ให้ความเคารพคำพูดนั้นอย่างสูงสุดและปฏิบัติตามคำพูดนั้น  เราได้ยินมาว่าเคยมีคนโง่คนหนึ่งซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ในยุโรป แต่ทำกิจทั้งหลายซึ่งมีฐานที่ตั้งอยู่ในเอเชีย  พระนิเวศของพระเจ้าว่าจะย้ายเขาไปทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐในยุโรปเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องรับมือกับเวลาที่ต่างกัน แต่เขาไม่ยินยอมและไม่กลับไปทำงานกับกิจทั้งหลายในยุโรปแม้เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าได้จัดการเตรียมการเรื่องนี้ไปแล้ว ทั้งนี้เพราะศัตรูของพระคริสต์ที่เขาเคารพบูชานั้นอยู่ในเอเชีย และเขาไม่เต็มใจที่จะไปจากนายของเขา  เขาเป็นคนโง่ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  จงบอกเราที เขาคู่ควรกับการปฏิบัติหน้าที่ของเขาหรือไม่?  พวกเราต้องการเขาหรือไม่?  การจัดการเตรียมงานที่พระนิเวศของพระเจ้าได้ทำไปนั้นเหมาะควรแล้ว  ถ้าเจ้าอยู่ในยุโรป เช่นนั้นเจ้าก็ควรทำงานกับกิจทั้งหลายที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในยุโรปและไม่ใช่ในเอเชีย  ไม่ว่าเจ้าอยู่ในทวีปอะไร เจ้าก็ควรทำงานกับกิจทั้งหลายที่นั่น และในหนทางนั้นเจ้าสามารถหลีกเลี่ยงการจัดการกับความแตกต่างของเวลา—นั่นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม!  แต่ทว่าบุคคลผู้นี้ก็ไม่ยินยอม  คำพูดของพระนิเวศของพระเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับเขา  พระนิเวศของพระเจ้าไม่อาจโยกย้ายเขาได้ เขาจำเป็นต้องมีนายมาตัดสินใจให้  หากนายของเขาพูดว่า “กลับไปทำงานกับกิจในยุโรป” เขาก็จะกลับไปทำงานกับกิจเหล่านั้น  หากนายของเขาพูดว่า “เธอกลับไปทำงานกับกิจในยุโรปไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องให้เธอทำสิ่งต่างๆ ที่นี่” เขาก็จะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็กลับไปไม่ได้”  เขาทำงานรับใช้เพื่อใครหรือ?  (เพื่อนายของเขา)  เขาทำงานรับใช้เพื่อนายของเขา—ศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว เขาก็ควรถูกชำระออกไปพร้อมกับนายของเขาไม่ใช่หรือ?  เขาควรถูกเขี่ยทิ้งไปไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดเราจึงโกรธผู้คนแบบนี้ยิ่งนัก?  เพราะพวกเขาทำความชั่วมากเกินไป เป็นใครได้ยินก็ต้องเดือดดาล  ผู้คนเหล่านี้พยายามจะเล่นเล่ห์กับพระเจ้าทั้งที่รู้ว่าอาจต้องเจอกับปัญหาอะไร—นั่นช่างมุ่งร้ายเกินไป!  จงบอกเราที เหตุใดเราจึงโกรธผู้คนแบบนี้ยิ่งนัก?  (พวกเขาพูดว่าตนเองเชื่อในพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาฟังนายของตน  พวกเขาไม่ติดตามและนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง)  พวกเขาได้อุทิศตนให้กับการติดตามมารและซาตานโดยทั้งหมดทั้งสิ้น  การที่พวกเขาพูดว่าพวกเขาติดตามพระเจ้านั้นก็แค่ฉากหน้า  พวกเขาติดตามและรับใช้ซาตานภายใต้หน้ากากของการติดตามพระเจ้าและการสละตนเพื่อพระเจ้า และสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยังคงต้องการได้มาซึ่งบำเหน็จรางวัลและพระพรจากพระเจ้า  นั่นไร้ยางอายอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ?  นั่นไร้เหตุผลและมิอาจไถ่ได้โดยสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  จงบอกเราที พระนิเวศของพระเจ้าจะเก็บผู้คนแบบนี้ไว้หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นหนทางที่เหมาะควรในการรับมือกับพวกเขาคืออะไร?  (ชำระพวกเขาออกไปพร้อมกับนายของพวกเขา)  พวกเขาชอบติดตามนายของตนและหัวเด็ดตีนขาดพวกเขาก็จะทำงานจนตายเพื่อนายของตน พวกเขาไม่พิทักษ์ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาไม่ปฏิบัติหน้าที่ขณะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ พวกเขากำลังรับใช้นายของตนภายในหมู่คณะของพวกศัตรูของพระคริสต์—นี่คือแก่นแท้ของงานของพวกเขา  เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเขาทำอะไร นั่นจะไม่ได้รับการรำลึกถึง  ผู้คนแบบนี้ควรถูกชำระออกไป พวกเขาไม่คู่ควรที่จะทำงานรับใช้เลยด้วยซ้ำ!  แล้วพวกเจ้าคิดว่าผู้คนแบบพวกเขากลายเป็นแบบนี้ก็เพราะพวกเขาพบพานกับผู้คนที่ชั่ว หรือเพราะพวกเขาทำงานประเภทนี้เท่านั้นเองใช่หรือไม่?  พวกเขาได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมของพวกเขา หรือเพราะว่าผู้คนที่ชั่วชักพาให้พวกเขาหลงผิด?  (ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงเป็นแบบนี้?  (พวกเขาเป็นบุคคลประเภทนี้ในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา)  ผู้คนเหล่านี้มีแก่นแท้ธรรมชาติที่เหมือนกับนายที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ของตน  พวกเขาเป็นผู้คนประเภทเดียวกัน  พวกเขามีงานอดิเรก ความคิด และทัศนะที่เหมือนกัน รวมถึงวิถีทางและวิธีการสำหรับการทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาพูดภาษาเดียวกันและใช้เส้นทางเดียวกันของการไล่ตามเสาะหา อีกทั้งพวกเขาก็มีความอยากได้อยากมี สิ่งจูงใจ และวิธีการปฏิบัติในการทรยศพระเจ้าและการก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าที่เหมือนกัน  จงคิดถึงเรื่องนี้ พวกเขามีท่าทีเดียวกันเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งก็คือการโกหกผู้บังคับบัญชาและการซุกซ่อนสิ่งทั้งหลายจากพวกที่อยู่ต่ำกว่าพวกเขา  พวกเขามีนโยบายสำหรับพวกที่อยู่เหนือตัวเองและมีกลยุทธ์สำหรับพวกที่อยู่ต่ำกว่าตัวเอง  สำหรับพวกที่อยู่เหนือพวกเขา พวกเขาทำตัวเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์จากภายนอก และสำหรับพวกที่อยู่ต่ำกว่าพวกเขา พวกเขาเกะกะระรานทำความชั่ว  พวกเขามีหนทางและวิธีการที่เหมือนกัน  พอฟ้าเบื้องบนตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็พูดว่า “ฉันทำความผิด ฉันผิด ฉันไม่ดี ฉันเป็นกบฏ ฉันเป็นมาร!”  แล้วจากนั้นพวกเขาก็หันกลับมาและพูดว่า “พวกเราอย่านำการจัดการเตรียมงานจากเบื้องบนนั่นมาดำเนินการกันเลย!”  หลังจากนั้น พวกเขาก็แค่ทำสิ่งทั้งหลายไปตามหนทางของตัวเอง  ยามที่พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาแสร้งทำท่าพอเป็นพิธี พวกเขาเพิ่มจำนวนผู้คนจนเกินควร และใช้เล่ห์เหลี่ยมกับพระนิเวศของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการของหมู่คณะของพวกศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้  พวกเขาเข้ารับมือกับการจัดการเตรียมงานด้วยกลวิธีและวิธีการของตัวเอง—โฉมหน้าเยี่ยงปีศาจของพวกเขาถูกเผยออกมาแล้วไม่ใช่หรือ?  พวกเขาใช่ผู้คนหรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่ใช่ พวกเขาเป็นปีศาจ!  พวกเราไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพวกปีศาจ ดังนั้นพวกเรารีบนำพวกเขาออกไปจากที่นี่กันเถิด  เราไม่ต้องการเห็นโฉมหน้าเยี่ยงซาตานของพวกเขา พวกเขาควรออกไป!  บรรดาผู้ที่เต็มใจลงแรงสามารถถูกส่งไปที่กลุ่ม ข พวกที่ไม่เต็มใจลงแรงสามารถถูกขับไล่ออกไป  นี่เป็นครรลองของการดำเนินการที่ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  นี่เป็นครรลองของการดำเนินการที่เหมาะควรที่สุด!  พวกเขามีแก่นแท้แบบเดียวกัน ดังนั้นยามที่พวกเขากำลังพูดคุยหรือกระทำการอยู่ด้วยกัน พวกเขาทำอย่างราบรื่นมาก และยามที่พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ด้วยกันก็มีความเป็นกลุ่มก้อนอันเหลือเชื่อ อีกทั้งระหว่างพวกเขาก็มีความเข้าใจแบบไม่ต้องอาศัยคำพูด  ทันทีที่พวกนายเหล่านั้นเปิดปาก ไม่ว่าพวกเขาพูดสิ่งเยี่ยงมารอะไร เหล่าผู้ติดตามของพวกเขาก็จะขานรับทันที และในหัวใจของผู้ติดตามพวกนี้ก็จะถึงกับรู้สึกภาคภูมิใจพลางคิดว่า “ท่านพูดถูก พวกเรามาทำแบบนั้นกันเถอะ!  การจัดการเตรียมงานจากเบื้องบนนั่นพิถีพิถันเกินไป พวกเราทำสิ่งต่างๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก”  ไม่ว่าการจัดการเตรียมงานของฟ้าเบื้องบนนั้นจะถูกแจงอย่างดีหรือเฉพาะเจาะจงเพียงใด ผู้คนเหล่านี้ก็จะไม่นำมาดำเนินการให้เป็นผล และไม่ว่าสิ่งทั้งหลายที่หมู่มารและเหล่าซาตานจะบิดเบือนและไร้สาระเพียงใด พวกเขาก็จะฟังพวกมัน  เช่นนั้นพวกเขากำลังทำงานรับใช้ใครหรือ?  ผู้คนแบบนี้สามารถลงแรงในพระนิเวศของพระเจ้าจนสุดปลายทางได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเขาไม่สามารถลงแรงจนสุดปลายทาง  ไม่ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงให้เห็นความอดทนต่อบุคคลหรือต่อการกระทำของมารก็มีขีดจำกัดเสมอ  พระองค์ทรงแสดงให้เห็นความยอมผ่อนปรนต่อผู้คนในขอบข่ายที่ใหญ่หลวงที่สุดที่เป็นไปได้ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง พระองค์ก็จะทรงเปิดโปงพวกที่พึงต้องถูกเปิดโปง และกำจัดพวกที่พึงต้องถูกกำจัด  เมื่อถึงจุดนี้ ผู้คนเหล่านั้นย่อมจะได้ไปถึงปลายทางของถนนแล้ว  นั่นไม่เรียบง่ายเพียงการที่พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาหรือรักความจริง นั่นเป็นการที่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาไม่เป็นมิตรกับความจริง  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพูดถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก ความเข้าใจอันถ่องแท้ หรือหลักธรรมที่ตรงกับความจริง พวกเขาไม่ฟัง  ยิ่งคำพูดของเจ้าถ่องแท้มากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงเท่านั้น  ทันทีที่เจ้าเริ่มพูดคุยถึงหลักธรรมความจริง พวกเขาก็นั่งนิ่งไม่ได้ และพวกเขาก็หาทางสร้างข้อแก้ตัวที่จะหักเหให้การสนทนานั้นสะดุดตกร่อง เบนจุดสนใจ หรือไม่พวกเขาก็เพียงแค่เดินไปรินน้ำดื่ม  ทันทีที่เจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงหรือพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง พวกเขารู้สึกผลักไสและไม่ต้องการฟัง  หากพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ห้องน้ำ พวกเขาก็กระหายหรือหิว หรือไม่ก็ง่วงนอน หรือไม่พวกเขาก็จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์หรือดูแลอะไรสักอย่าง  พวกเขามีข้อแก้ตัวเสมอ และพวกเขาก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้  หากเจ้าใช้วิธีการของพวกเขา อีกทั้งพูดคุยเกี่ยวกับคำแถลงและวิธีเข้ารับมือของพวกเขาซึ่งเป็นต้นเหตุของการขัดขวางและการก่อกวนโดยเฉพาะ พวกเขาจะกลายเป็นกระฉับกระเฉงขึ้นมาและสามารถพูดคุยต่อไปได้เรื่อยๆ  หากเจ้าไม่ได้พูดจาภาษาเดียวกับพวกเขา พวกเขาจะรู้สึกรังเกียจเจ้าและหลีกเลี่ยงเจ้า  เหล่านี้คือหมู่มารตามแบบฉบับเลย!  มีคนบางคนที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่อาจรู้เท่าทันมารประเภทนี้ และคิดว่าผู้คนเหล่านี้ก็แค่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เหตุใดพวกเขาจึงโง่ทึ่มยิ่งนัก?  พวกเขาพูดสิ่งที่ไม่รู้ความเช่นนั้นได้อย่างไร?  ผู้คนเหล่านี้แค่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นใช่หรือไม่?  ไม่ใช่ พวกเขาเป็นพวกปีศาจชั่ว และพวกเขารังเกียจความจริงอย่างสุดขั้ว  ผู้คนเหล่านั้นประพฤติตัวค่อนข้างดีในการชุมนุม แต่นั่นล้วนจอมปลอม  ในความเป็นจริงนั้น  พวกเขาฟังเนื้อหาที่ถูกสามัคคีธรรมหรือพระวจนะของพระเจ้าที่ถูกอ่านในการชุมนุมจริงๆ หรือไม่?  พวกเขาฟังจริงกี่คำ?  พวกเขายอมรับกี่คำ?  พวกเขาสามารถนบนอบได้กี่คำ?  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนที่ถูกกล่าวอย่างทั่วไปที่สุดและเรียบง่ายที่สุดด้วยซ้ำ  เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนแบบนั้น ไม่ว่าพวกเขาทำงานให้มานานเท่าไร หรือพวกเขารับใช้ในฐานะหัวหน้าหรือผู้กำกับดูแลที่ระดับใด พวกเขาก็ไม่สามารถประกาศคำเทศนาหรือพูดเกี่ยวกับประสบการณ์ของตัวเองได้  หากใครบางคนพูดว่า “พูดคุยถึงความรู้ของคุณเกี่ยวกับบางสิ่งสักเล็กน้อยสิ  คุณไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งนั้น แค่พูดถึงความรู้และการจับใจความที่คุณมีต่อสิ่งนั้นก็พอ” พวกเขาก็จะไม่สามารถเปิดปากได้ นั่นจะเป็นราวกับว่าปากถูกปิดผนึกอยู่ และพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนบางอย่างได้  หากพวกเขาสามารถบริหารจัดการจนฝืนพูดบางคำออกมาได้จริงๆ คำพูดเหล่านั้นก็จะฟังดูตะขิดตะขวงและประหลาด  พี่น้องชายหญิงบางคนพูดว่า “ทำไมถึงเป็นว่าตอนที่ผู้นำบางคนกำลังประกาศคำเทศนา จึงฟังเหมือนพวกเขาเป็นคุณครูที่กำลังอ่านข้อความให้เด็กๆ ฟัง?  ทำไมนั่นจึงฟังดูตะขิดตะขวงและประหลาดเหลือเกิน?”  นี่เรียกว่าการไม่สามารถประกาศคำเทศนาได้  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถประกาศคำเทศนาได้?  นั่นเป็นเพราะพวกเขาขาดความเป็นจริงความจริง  เหตุใดพวกเขาจึงขาดความเป็นจริงความจริง?  เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง ในหัวใจของพวกเขารังเกียจความจริง และพวกเขาขืนต้านหลักธรรมหรือคำกล่าวใดก็ตามเกี่ยวกับความจริง  หากพูดว่าพวกเขาขืนต้าน ก็เป็นไปได้ว่าเจ้าจะไม่สามารถมองเห็นการนี้ได้จากภายนอก แล้วเจ้าจะสามารถบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาขืนต้าน?  ไม่สำคัญว่าพระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างไร ในหัวใจพวกเขาก็จะปฏิเสธและไม่ยอมรับ อีกทั้งผลักไสความจริงอย่างเหลือเชื่อ  ไม่ว่าผู้อื่นสามัคคีธรรมถึงความรู้ของตนเกี่ยวกับความจริงอย่างไร พวกเขาก็จะคิดว่า “คุณอาจเชื่ออย่างนั้น แต่ฉันไม่เชื่อ”  พวกเขามีมาตรวัดอย่างไรว่าบางสิ่งคือความจริงหรือไม่ใช่?  ตราบที่เป็นบางสิ่งซึ่งพวกเขาเชื่อว่าดีและถูกต้อง เช่นนั้นพวกเขาก็จะคิดว่านั่นคือความจริง  หากพวกเขาไม่ชอบคำแถลงหนึ่ง เช่นนั้นไม่ว่าคำแถลงนั้นถูกต้องเพียงใด พวกเขาก็จะไม่พิจารณาว่านั่นเป็นความจริง  เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเรามองไปที่รากเหง้าของเรื่องนี้ในห้วงลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาขืนต้านความจริง พวกเขารังเกียจความจริง และพวกเขาก็เกลียดความจริง  ความจริงไม่มีที่ทางในหัวใจพวกเขาเลย—พวกเขาดูหมิ่นความจริง  คนบางคนอาจไม่รู้เท่าทันเรื่องนี้และพูดว่า “โดยปกติแล้วฉันไม่เห็นพวกเขาพูดอะไรที่หยามหมิ่นพระเจ้า หมิ่นประมาทความจริง หรือละเมิดหลักธรรมความจริงเลย”  เช่นนั้นก็มีข้อเท็จจริงหนึ่งซึ่งพวกเขามองเห็นได้ กล่าวคือ ทุกรายละเอียดเฉพาะเจาะจงที่การจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าระบุไว้นั้นมีความจำเป็น และถูกยกมานำเสนอก็เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า ความก้าวหน้าในชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร กฎระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร และการแผ่ขยายปกติของงานข่าวประเสริฐ  จุดประสงค์ของการจัดการเตรียมงานในทุกช่วงเวลา และการเคลื่อนกำลังพล การจัดระบบ และการแก้ไขดัดแปลงงานแต่ละแง่มุมที่เฉพาะเจาะจงนั้นเป็นไปเพื่อคุ้มครองพัฒนาการปกติของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเพื่อช่วยให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจและเข้าสู่หลักธรรมความจริง  กล่าวให้ชัดขึ้นได้ว่า สิ่งเหล่านี้นำพาพี่น้องชายหญิงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและช่วยให้พวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทั้งหลาย ว่าสิ่งเหล่านี้นำทางและจูงทุกคนไปข้างหน้า กุมมือพวกเขาไว้พลางก็สอน เกื้อหนุน และจัดหาให้กับพวกเขา  เมื่อเป็นเรื่องของการนำการจัดการเตรียมงานไปดำเนินการให้เป็นผล ไม่สำคัญว่านั่นเป็นการดำเนินสามัคคีธรรมแบบเฉพาะเจาะจงถึงเรื่องนี้ในระหว่างการชุมนุม หรือเป็นการเผยแพร่โดยคำพูดปากต่อปาก จุดมุ่งหมายก็คือเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับการเข้าสู่ชีวิตที่แท้จริง และนั่นก็เป็นคุณประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเสมอ  ไม่มีการจัดการเตรียมการสักอย่างที่อาจส่งผลเสียต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร อีกทั้งไม่มีการจัดการเตรียมการใดเลยที่สร้างการขัดขวางหรือการก่อกวน  แต่ทว่าพวกศัตรูของพระคริสต์กลับไม่เคยเคารพหรือนำการจัดการเตรียมงานเหล่านี้มาดำเนินการให้เป็นผล  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับดูหมิ่นคิดว่าการจัดการเตรียมงานเหล่านี้เรียบง่ายเกินไปและไม่มีอะไรสำคัญ ว่าการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ไม่น่าประทับใจเท่ากับวิธีที่พวกเขาทำงานด้วยตัวเอง และคิดว่าพวกเขาจะไม่ได้รับประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าต่อเกียรติยศ สถานะ และความีหน้ามีตาของตนในขณะที่ทำงานนี้  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาไม่เคยฟังหรือยอมรับการจัดการเตรียมงาน นับประสาอะไรที่จะนำมาดำเนินการให้เป็นผล  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตัวเอง  บนพื้นฐานเช่นนี้ จงบอกเราที พวกศัตรูของพระคริสต์เพียงแค่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นหรือ?  เจ้าสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากประเด็นนี้ว่าพวกเขาเกลียดความจริง  หากพูดว่าพวกเขาเกลียดความจริง เจ้าย่อมจะไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งได้ในเรื่องนี้ แต่เจ้าจะสามารถได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องนี้ได้ก็โดยการมองตรงวิธีที่พวกศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นเข้ารับมือกับการนำการจัดการเตรียมงานมาดำเนินการให้เป็นผล  ชัดเจนมากว่าเมื่อเป็นเรื่องของวิธีที่พวกผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จเข้ารับมือกับการจัดการเตรียมงาน อย่างมากที่สุด พวกเขาก็แค่ทำท่าพอเป็นพิธี พูดคุยเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงานหนหนึ่งแล้วก็หมดแค่นั้น  พวกเขาไม่ดำเนินการติดตามผลงานและการสอดส่องดูแลที่สืบเนื่องตามมาหรือดำเนินงานที่เฉพาะเจาะจงอย่างถูกควร  พวกนี้คือผู้นำเทียมเท็จ  อย่างน้อยพวกผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงสามารถนำการจัดการเตรียมงานมาดำเนินการให้เป็นผล ทำท่าพอเป็นพิธีและดำรงการจัดการเตรียมงานไว้ได้  พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่สามารถแม้แต่จะดำรงการจัดการเตรียมงานไว้ได้ พวกเขาก็แค่ปฏิเสธไม่ยอมรับหรือนำการจัดการเตรียมงานมาดำเนินการให้เป็นผล และทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตัวเองแทนเท่านั้นเอง  พวกเขาคำนึงถึงอะไรกันแน่?  สถานะ ชื่อเสียง และเกียรติยศของพวกเขาเอง  พวกเขาคำนึงว่าฟ้าเบื้องบนซาบซึ้งในตัวพวกเขาหรือไม่ พี่น้องชายหญิงมากมายเท่าใดที่เกื้อหนุนพวกเขา พวกเขามีที่ทางอยู่ในหัวใจของผู้คนมากมายเท่าใด ผู้คนมากมายเท่าใดที่พวกเขามีอำนาจครองใจ ควบคุมผู้คนเหล่านั้น และพวกเขากุมผู้คนไว้ในมือมากเท่าใด  พวกเขาใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น  พวกเขาไม่เคยคำนึงถึงวิธีให้น้ำหรือจัดหาให้กับพี่น้องชายหญิงในการวางรากฐานไปบนหนทางที่แท้จริง และแน่นอนว่าพวกเขาไม่คำนึงว่าการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงกำลังดำเนินไปอย่างไร พี่น้องชายหญิงกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไร ว่านั่นเป็นการเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือหน้าที่ประเภทอื่น หรือว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมได้หรือไม่ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เคยใส่ใจเกี่ยวกับวิธีที่จะนำพาพี่น้องชายหญิงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น  ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั้งหมดถูกจัดวางอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้าไม่ใช่หรือ?  เหล่านี้เป็นการสำแดงที่พวกเจ้ามักจะมองเห็นได้ในพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ?  ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าผู้คนเหล่านี้เกลียดความจริงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ตลอดเวลานั้น สิ่งเดียวที่ศัตรูของพระคริสต์ใส่ใจก็คือสถานะ ชื่อเสียง และเกียรติยศ  สมมุติว่าเจ้าให้ศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งควบคุมดูแลชีวิตคริสตจักรเพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงดำเนินชีวิตคริสตจักรแบบถูกควร อีกทั้งเพื่อช่วยให้พวกเขามาเข้าใจความจริงและปูรากฐานของตนขณะดำเนินชีวิตคริสตจักร เพื่อมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และได้รับความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นเอกเทศไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด รวมทั้งได้รับความเชื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน  ในหนทางนั้น งานแผ่ขยายข่าวประเสริฐแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็คงจะมีกองกำลังหนุนหลังบ้าง และสามารถจัดเตรียมคนทำงานข่าวประเสริฐที่มีพรสวรรค์จำนวนมากขึ้นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการแผ่ขยายข่าวประเสริฐอย่างสม่ำเสมอ  ศัตรูของพระคริสต์นั่นจะคิดแบบนั้นหรือ?  พวกเขาจะไม่คิดแบบนี้โดยสิ้นเชิง  พวกเขาจะพูดว่า “ชีวิตคริสตจักรสำคัญยังไงหรือ?  ถ้าทุกคนดำเนินชีวิตคริสตจักรอย่างสุดหัวใจและอ่านพระวจนะของพระเจ้า แล้วถ้าพวกเขาทั้งหมดเข้าใจความจริง ใครจะฟังคำสั่งฉัน?  ใครจะใส่ใจเกี่ยวกับฉัน?  ใครจะให้ความสนใจฉัน?  ฉันปล่อยให้ทุกคนมุ่งเน้นที่ชีวิตคริสตจักรตลอดเวลาหรือกลายเป็นหมกมุ่นในเรื่องนั้นไม่ได้  ถ้าทุกคนเอาแต่อ่านพระวจนะของพระเจ้า และถ้าทุกคนได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า รอบตัวฉันจะเหลือใคร?”  นี่คือท่าทีของศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขามุ่งเน้นการจัดหาให้กับพี่น้องชายหญิงในการได้รับความจริงและชีวิต นี่จะส่งผลเสียต่อการไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศ ผลกำไรและสถานะของพวกเขา  พวกเขาคิดในใจว่า “ถ้าฉันมัวแต่ใช้เวลาทั้งหมดทำสิ่งต่างๆ ให้พี่น้องชายหญิง ฉันจะยังคงมีเวลาไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศ ผลกำไรและสถานะอยู่หรือ?  ถ้าพี่น้องชายหญิงทั้งหมดสรรเสริญพระนามพระเจ้าและติดตามพระเจ้า ก็จะไม่เหลือใครเชื่อฟังฉัน  นั่นคงน่ากระอักกระอ่วนสำหรับฉันเหลือเกิน!”  นี่คือโฉมหน้าของศัตรูของพระคริสต์  พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงล้มเหลวที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น พวกเขายังรังเกียจความจริงอย่างสุดขั้ว  ในสติสัมปชัญญะที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพวกเขานั้น พวกเขาไม่พูดว่า “ฉันเกลียดความจริง ฉันเกลียดพระเจ้า และฉันเกลียดการจัดการเตรียมงาน คำแถลง และการปฏิบัติทั้งหมดที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิง”  พวกเขาจะไม่พูดแบบนี้  พวกเขาแค่ใช้การเข้าหาและพฤติกรรมบางอย่างเพื่อขัดขืนการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้นแก่นแท้ของการเข้าหาและพฤติกรรมเหล่านี้ก็คือการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตัวเอง และการทำให้ผู้อื่นใส่ใจและเชื่อฟังพวกเขาทั้งหมด  ผลที่ตามมาก็คือ ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าทำสิ่งใด พวกเขาก็จะไม่เคารพสิ่งนั้น เป็นกรณีนี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ที่ผ่านมาพวกเราได้สามัคคีธรรมถึงการสำแดงเหล่านี้ของพวกศัตรูของพระคริสต์กันไปค่อนข้างมากแล้ว  พวกเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยและความเข้าใจความจริงของพวกเจ้าก็ตื้นเขิน พวกศัตรูของพระคริสต์ได้ทำความชั่วไปมากมายต่อหน้าต่อตาเจ้า แต่ทว่าพวกเจ้ากลับได้ล้มเหลวที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะการนี้  เจ้าโง่เขลาและน่าเวทนา ด้านชาและหัวทึบ อัตคัดขัดสนและมืดบอด  นี่คือการสำแดงที่แท้จริงของพวกเจ้าและวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้า  พวกศัตรูของพระคริสต์เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อนมากมายยิ่งนัก และเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียใหญ่หลวงเลยทีเดียวต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่ก็ยังคงมีผู้คนที่พูดว่าควรใช้พวกเขาทำงานรับใช้  การใช้พวกเขาก่ออันตรายมากกว่าผลดี แต่กระนั้นเจ้าก็ไม่รู้จักรับมือหรือปลดพวกเขาออก—จะอีกกี่ปีกว่าที่วุฒิภาวะนี้และแนวคิดเหล่านี้ของพวกเจ้าจะเปลี่ยนแปลง?  บางคนคุยโวอยู่เสมอว่า “ฉันเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง”  แต่พวกเขาก็ไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกศัตรูของพระคริสต์ได้ในยามที่พวกเขาเผชิญกับพวกศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้น และอาจถึงกับติดตามศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นด้วยซ้ำ—ตรงไหนหรือที่เป็นการสำแดงการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขา?  พวกเขาได้ฟังคำเทศนาไปมากมายแต่ก็ยังคงขาดวิจารณญาณ เอาเถิด เราจะยุติการสามัคคีธรรมของพวกเราในหัวเรื่องนี้ไว้ตรงนี้ ลำดับถัดไป พวกเราจะพูดถึงหัวข้อหลักของพวกเรา

แนวปฏิบัติแรกของการไล่ตามเสาะหาความจริง: การปล่อยมือ

II. ปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า ความใฝ่ฝัน และความอยากได้อยากมีของผู้คน

ค. ปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า ความใฝ่ฝัน และความอยากได้อยากมีที่เกิดจากครอบครัวของตน

3. ปล่อยมือจากภาระที่มาจากครอบครัวของตน
(ข) ปล่อยมือจากความคาดหวังที่มีต่อลูกๆ

ในการชุมนุมครั้งล่าสุดของพวกเรา พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงเนื้อหาที่สัมพันธ์กับความคาดหวังของพ่อแม่ภายในหัวข้อ “การปล่อยมือจากภาระที่มาจากครอบครัวของคนเรา”  พวกเราได้จบการสามัคคีธรรมลงตรงหลักธรรมที่เกี่ยวข้องและหัวข้อใหญ่ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้  ลำดับถัดไปพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงอีกแง่มุมหนึ่งของการปล่อยมือจากภาระที่มาจากครอบครัวของคนเรา—การปล่อยมือจากความคาดหวังที่มีต่อเชื้อสายของคนเรา  คราวนี้พวกเราจะเปลี่ยนบทบาท  เมื่อคำนึงถึงเนื้อหาที่เกี่ยวกับแนวทางรับมือความคาดหวังของพ่อแม่ มีบางสิ่งบางอย่างซึ่งผู้คนพึงทำจากมุมมองของเด็ก  เมื่อพูดถึงวิธีที่ลูกควรเข้าหาและรับมือกับความคาดหวังนานัปการที่พ่อแม่มีต่อพวกเขา และแนวทางสารพัดที่พ่อแม่ใช้กับพวกเขา อีกทั้งหลักธรรมใดบ้างที่พวกเขาควรปฏิบัติ นี่ก็เกี่ยวข้องกับการเข้าหาปัญหาต่างๆ ที่มาจากพ่อแม่อย่างถูกต้องจากมุมมองของเด็ก  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหัวข้อของ “การปล่อยมือจากความคาดหวังที่มีต่อเชื้อสายของคนเรา” ซึ่งเกี่ยวข้องการรับมือกับปัญหาสารพัดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับลูกของตัวเองจากมุมมองของพ่อแม่  มีบทเรียนที่ควรเรียนรู้และหลักธรรมที่ควรถือปฏิบัติอยู่ตรงนี้  เรื่องสำคัญที่สุดในฐานะของลูกก็คือ เจ้าควรเผชิญหน้ากับความคาดหวังของพ่อแม่อย่างไร เจ้าควรนำท่าทีประเภทใดมาใช้กับความคาดหวังเหล่านี้ รวมถึงเจ้าควรปฏิบัติตามหนทางใด และเจ้าพึงต้องมีหลักธรรมแห่งการปฏิบัติใดในสถานการณ์นี้  โดยธรรมชาติแล้ว ทุกตัวบุคคลมีโอกาสที่จะเป็นพ่อแม่ หรือไม่พวกเขาก็อาจเป็นพ่อแม่แล้ว นี่เกี่ยวพันถึงความคาดหวังและท่าทีที่ผู้คนมีต่อเชื้อสายของพวกเขา  ไม่ว่าเจ้าเป็นพ่อแม่หรือลูก เจ้าก็พึงต้องมีหลักธรรมที่แตกต่างกันไปสำหรับการจัดการกับความคาดหวังของอีกฝ่าย  ลูกมีหลักธรรมที่พวกเขาพึงถือปฏิบัติเมื่อเป็นเรื่องแนวทางรับมือความคาดหวังของพ่อแม่ของพวกเขา และโดยธรรมชาติแล้ว พ่อแม่ก็มีหลักธรรมความจริงที่พวกเขาพึงถือปฏิบัติสำหรับเป็นแนวทางรับมือความคาดหวังของลูกด้วยเช่นกัน  ดังนั้นก่อนอื่นจงคิดว่า หลักธรรมใดที่เจ้าสามารถมองเห็นหรือนึกถึงได้ในตอนนี้ ที่พ่อแม่ควรถือปฏิบัติในการปฏิบัติต่อลูกของตน?  หากพวกเราพูดเกี่ยวกับหลักธรรม นี่ก็อาจจะไกลตัวพวกเจ้าไปหน่อย และหัวข้อนี้ก็อาจจะกว้างและลึกเกินไป ดังนั้นพวกเรามาพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งซึ่งเป็นความคาดหวังที่เจ้าจะมีต่อเชื้อสายของตัวเองหากเจ้าเป็นพ่อแม่คนหนึ่งแทนกันเถิด  (ข้าแต่พระเจ้า หากข้าพระองค์จะต้องเป็นพ่อแม่ในสักวัน อันดับแรกสุดนั้น ข้าพระองค์ก็คงหวังว่าลูกจะมีสุขภาพแข็งแรงและสามารถเติบโตขึ้นอย่างมีสุขภาพดี  ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพระองค์คงหวังว่าพวกเขาสามารถมีความฝันเป็นของตัวเอง และหวังว่าพวกเขาจะทะเยอทะยานในเรื่องการลุล่วงความฝันของตนในชีวิตที่ตนเองจะมีโอกาสในอนาคตที่ดี  เหล่านี้คือสองสิ่งหลักที่ข้าพระองค์จะตั้งความหวัง)  เจ้าจะหวังว่าลูกของเจ้าจะกลายเป็นข้าราชการระดับสูงหรือกลายเป็นมั่งมีอย่างมากหรือไม่?  (ข้าพระองค์ก็จะหวังสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน  ข้าพระองค์หวังว่า อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถเจริญก้าวหน้าในทางโลก ดีกว่าผู้คนอื่น และได้รับการเคารพยกย่องจากผู้อื่น)  ข้อพึงประสงค์พื้นฐานที่สุดที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนก็คือว่า พวกเขาจะมีสุขภาพกายที่ดี ว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของตน และไต่เต้าขึ้นไปในทางโลก และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาเป็นไปด้วยดี  มีความคาดหวังอันใดซึ่งพ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตัวเองที่แตกต่างไปหรือไม่?  ใครก็ตามที่มีลูก พูดออกมาเลย  (ข้าพระองค์หวังว่าลูกของข้าพระองค์จะมีสุขภาพดี และหวังว่าสิ่งต่างๆ ในชีวิตพวกเขาเป็นไปอย่างราบรื่น และก็หวังว่าชีวิตของพวกเขาจะมีสันติสุขและปลอดภัย  ข้าพระองค์หวังว่าพวกเขาจะมีความสามัคคีในครอบครัวของตัวเอง อีกทั้งหวังว่าพวกเขาสามารถเคารพผู้ใหญ่และดูแลเอาใจใส่เด็กๆ)  มีอะไรอื่นอีกไหม?  (หากข้าพระองค์กลายเป็นพ่อแม่ในสักวัน นอกจากความคาดหวังที่เพิ่งพูดถึงกันไป ข้าพระองค์ก็ยังหวังว่าลูกของข้าพระองค์จะเชื่อฟังและมีเหตุผล หวังว่าพวกเขาจะแสดงความกตัญญูต่อข้าพระองค์ และหวังว่าข้าพระองค์จะสามารถมีพวกเขาเป็นที่พึ่งดูแลในวัยชราของข้าพระองค์)  ความคาดหวังนี้สำคัญยิ่งยวดทีเดียว  การที่พ่อแม่หวังว่าลูกของตัวเองจะแสดงความกตัญญูต่อพวกเขานั้นค่อนข้างเป็นความคาดหวังตามประเพณีที่ผู้คนมีอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและจิตใต้สำนึกของตน  นี่เป็นเรื่องที่นำเสนออย่างเป็นกลาง

“การปล่อยมือจากความคาดหวังที่มีต่อเชื้อสายของคนเรา” เป็นส่วนสำคัญมากของ “การปล่อยมือจากภาระที่มาจากครอบครัวของคนเรา”  พ่อแม่ทุกคนวางความคาดหวังบางอย่างไว้กับลูกของตน  ไม่ว่าความคาดหวังเหล่านี้ยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อย ใกล้ตัวหรือห่างไกล แต่ก็เป็นท่าทีอย่างหนึ่งที่พ่อแม่มีต่อการวางตัว การกระทำ ชีวิตของลูก หรือไม่ก็เป็นแนวทางที่ลูกของตนรับมือความคาดหวังเหล่านี้  ความคาดหวังเหล่านี้เป็นข้อพึงประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงประเภทหนึ่งเช่นกัน  จากมุมมองของลูกของพวกเขานั้น ข้อพึงประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลูกพึงทำ เพราะบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดทางประเพณีแล้ว ลูกไม่อาจขัดคำสั่งพ่อแม่ได้—หากลูกทำเช่นนั้น พวกเขาย่อมอกตัญญู  ผลที่ตามมาก็คือ ผู้คนมากมายแบกภาระอันหนักหนาและยิ่งใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้  ดังนั้นผู้คนจึงควรเข้าใจว่าความคาดหวังอันเฉพาะเจาะจงที่พ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตนนั้นสมเหตุผลหรือไม่ และเข้าใจว่าพ่อแม่ของตนพึงต้องมีความคาดหวังเหล่านี้หรือไม่ ตลอดจนเข้าใจว่าความคาดหวังเหล่านี้ข้อใดที่สมเหตุผล ข้อใดไม่สมเหตุผล ข้อใดถูกทำนองคลองธรรม และข้อใดเป็นการบังคับและไม่ถูกทำนองคลองธรรมไม่ใช่หรือ?  ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีหลักธรรมความจริงที่ผู้คนพึงต้องเข้าใจและถือปฏิบัติเมื่อเป็นเรื่องของแนวทางที่พวกเขาควรเรับมือความคาดหวังของพ่อแม่ วิธีที่พวกเขาควรยอมรับหรือปฏิเสธความคาดหวังเหล่านี้ รวมถึงท่าทีและมุมมองที่พวกเขาควรใช้มองและเข้าหาความคาดหวังเหล่านี้  เมื่อสิ่งเหล่านี้ยังไม่ถูกแก้ไข พ่อแม่ก็มักจะแบกรับภาระประเภทเหล่านี้โดยคิดว่านั่นเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตัวเองที่จะต้องมีความคาดหวังต่อลูกและเชื้อสายของตน และคิดไปตามธรรมชาติว่าความคาดหวังเหล่านั้นเป็นสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องมีมากขึ้นด้วยซ้ำ  พวกเขาคิดว่าหากตัวเองไม่มีความคาดหวังสำหรับเชื้อสายของตน นั่นก็จะเป็นเหมือนการไม่ลุล่วงหน้าที่หรือภาระผูกพันที่พวกเขามีต่อเชื้อสายของตัวเอง และเทียบเท่ากับการไม่ทำสิ่งที่พ่อแม่พึงทำ  พวกเขาคิดว่านี่จะทำให้พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี พ่อแม่ที่ไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง  เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงเรื่องของความคาดหวังที่ผู้คนมีต่อเชื้อสายของตน พวกเขาก็สร้างข้อพึงประสงค์นานาสารพันต่อลูกของตัวเอง พวกเขามีข้อพึงประสงค์คนละอย่างสำหรับลูกคนละคน ณ คนละเวลาและภายใต้สภาพการณ์คนละแบบ  เนื่องจากพ่อแม่มีทัศนะและภาระประเภทนี้เมื่อเป็นเรื่องของลูก พ่อแม่จึงได้แต่ทำสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพึงต้องทำไปตามกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเหล่านี้ ไม่ว่ากฎเกณฑ์เหล่านั้นถูกหรือผิด  พ่อแม่ตั้งข้อเรียกร้องต่อลูกของตน พลางก็ปฏิบัติต่อแนวทางเหล่านี้ราวกับเป็นภาระผูกพันประเภทหนึ่ง และราวกับเป็นความรับผิดชอบประเภทหนึ่ง และในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็บังคับใช้แนวทางแบบนั้นกับลูกของตน ทำให้ลูกของตนสัมฤทธิ์แนวทางเหล่านี้  พวกเราจะแยกเรื่องนี้ออกเป็นหลายช่วงระยะในการสามัคคีธรรมของพวกเรา แบบนั้นจะชัดเจนกว่า

ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกเล็ก

ก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่ พ่อแม่ก็กำหนดข้อพึงประสงค์นานัปการไว้ให้กับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว  แน่นอนว่าภายในข้อพึงประสงค์นานัปการเหล่านี้ พวกเขาปักหมุดความคาดหวังหลากหลายประเภทเอาไว้ด้วยเช่นกัน  ดังนั้นขณะที่พ่อแม่กำลังปักหมุดความคาดหวังต่างๆ ไว้ที่ลูกของพวกเขา พวกเขาจ่ายราคาสารพัดและสร้างแนวทางหลากหลายประเภทเพื่อที่จะทำให้ความคาดหวังเหล่านั้นเป็นจริงด้วยตัวเอง  เพราะฉะนั้นก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่ พ่อแม่จึงให้การศึกษาแก่พวกเขาในสารพัดหนทาง และมีข้อพึงประสงค์นานาสารพันต่อพวกเขา  ตัวอย่างเช่น จากวัยที่เด็กมาก พวกเขาบอกลูกของตัวเองว่า “ลูกจำเป็นต้องเรียนให้เก่งและเรียนให้มากขึ้น  ลูกจะดีกว่าผู้อื่นเท่านั้น และคนอื่นจะไม่ถูกดูแคลนหลังจากที่ลูกเรียนได้ดี”  มีพ่อแม่ที่สอนลูกของตัวเองว่าพวกเขาจำเป็นต้องแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่หลังจากโตขึ้นด้วยเช่นกัน จนถึงขั้นที่เมื่อลูกของตนเพิ่งอายุได้สองสามขวบ พวกเขาก็ถามลูกเสมอว่า “ลูกจะดูแลพ่อของลูกหลังจากโตขึ้นไหม?”  และลูกของพวกเขาก็ตอบว่า “ดูแล”  พวกเขาก็ถามว่า “ลูกจะดูแลแม่ไหม?”  “ดูแล”  “ลูกรักพ่อหรือแม่มากกว่ากัน?”  “หนูรักพ่อ”  “ไม่ใช่ ลูกต้องพูดก่อนว่าลูกรักแม่ แล้วค่อยพูดว่าลูกรักพ่อ”  เช่นนั้นลูกจึงเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากพ่อแม่ของตน  การให้การศึกษาของพ่อแม่ไม่ว่าจะเป็นโดยคำพูดหรือโดยตัวอย่างก็มีอิทธิพลที่ลึกซึ้งต่อจิตใจที่เยาว์วัยของลูก  แน่นอนว่าการศึกษาให้ความรู้พื้นฐานจำนวนหนึ่งแก่พวกเขา สอนพวกเขาว่าพ่อแม่ของตนเป็นคนที่รักและชื่นชมบูชาพวกเขาที่สุดในโลก และเป็นคนที่พวกเขาพึงต้องแสดงการเชื่อฟังและแสดงความกตัญญูด้วยมากที่สุด  เป็นธรรมดาที่แนวคิดที่ว่า “ในเมื่อพ่อแม่ของฉันเป็นคนที่ใกล้ชิดฉันที่สุดในโลก ฉันก็ควรเชื่อฟังพวกท่านเสมอ” ถูกปลูกเพาะเข้าไปในจิตใจอันเยาว์วัยของพวกเขา  ในเวลาเดียวกัน แนวคิดหนึ่งก็เกิดขึ้นในจิตใจอันเยาว์วัยของพวกเขา ซึ่งก็คือว่า ในเมื่อพ่อแม่เป็นคนที่ใกล้ชิดพวกเขาที่สุด เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ของพวกเขาทำก็ต้องเพื่อให้แน่ใจว่าลูกของตนสามารถมีชีวิตที่ดีกว่า  ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาคิดว่าพวกเขาควรยอมรับการกระทำของพ่อแม่อย่างไร้เงื่อนไข ไม่ว่าพ่อแม่ใช้วิธีการประเภทใด ไม่ว่าวิธีการเหล่านั้นมีมนุษยธรรมหรือไร้มนุษยธรรม ลูกก็เชื่อว่าตนเองพึงต้องยอมรับวิธีการเหล่านั้น  ในวัยที่พวกเขายังคงไม่มีความสามารถใดที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะระหว่างถูกและผิด การให้การศึกษาของพ่อแม่โดยผ่านทางคำพูดหรือทางตัวอย่างก็ปลูกเพาะแนวคิดประเภทนี้ลงในตัวพวกเขา  ภายใต้การชี้นำของแนวคิดประเภทนี้ พ่อแม่สามารถเรียกร้องให้ลูกของตนทำสิ่งต่างๆ นานาภายใต้หน้ากากของการต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อพวกเขา  แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นบางอย่างไม่ตรงกับความเป็นมนุษย์ หรือพรสวรรค์ ขีดความสามารถ หรือการเลือกชอบของลูก ภายใต้สภาพการณ์ที่ลูกไม่มีสิทธิกระทำไปตามความคิดริเริ่มของตัวเองหรือตามภาวะอิสระของตนเอง ลูกไม่มีทางเลือกและไม่มีความสามารถที่จะขัดขืนเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าความคาดหวังและข้อเรียกร้องของพ่อแม่  ทั้งหมดที่ลูกทำได้ก็คือเชื่อฟังทุกคำพูดของพ่อแม่ ปล่อยให้พ่อแม่กำหนดหนทางของตัวลูกเอง ฝากตัวเองไว้ในความกรุณาของพ่อแม่ และให้พ่อแม่กุมหางเสือไปตามเส้นทางใดก็ได้  เพราะฉะนั้นก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ทำ ไม่ว่าแบบไม่ตั้งใจหรือมีต้นตอมาจากเจตนารมณ์ที่ดีก็ย่อมจะมีผลกระทบเชิงบวกหรือลบต่อการวางตัวและการกระทำของลูกอยู่ไม่น้อย  นั่นก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำจะปลูกเพาะแนวคิดและทัศนะอันหลากหลายไว้ในตัวลูก และแนวคิดกับทัศนะเหล่านี้อาจถึงกับฝังลึกลงจิตใต้สำนึกของลูก เพื่อที่หลังจากลูกกลายเป็นผู้ใหญ่ แนวคิดและทัศนะเหล่านี้จะยังคงมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวิธีที่พวกเขามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตัวและปฏิบัติตน และแม้แต่ต่อเส้นทางที่ลูกเดินด้วยซ้ำ

ก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่ ลูกไม่มีวิถีทางที่จะขืนต้านสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต มรดกทกทอด หรือการศึกษาที่พ่อแม่ส่งต่อมาให้พวกเขาเพราะพวกเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่ และพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลายดีมากนัก  ตอนที่เราพูดถึงช่วงเวลาก่อนที่เด็กคนหนึ่งไปถึงวัยผู้ใหญ่ เรากำลังหมายถึงตอนที่เด็กไม่สามารถคิดหรือตัดสินถูกผิดได้โดยลำพัง  ภายใต้สภาพการณ์เหล่านี้ ลูกทำได้เพียงฝากตัวเองไว้ในความกรุณาของพ่อแม่  แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะพ่อแม่เป็นผู้ฟันธงเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่ลูกของตนจะถึงวัยผู้ใหญ่ ที่ในระหว่างยุคสมัยชั่วนี้ พ่อแม่จะรับเอาวิธีการศึกษา แนวคิด และทัศนะที่สอดรับกันมาใช้บนพื้นฐานของกระแสนิยมทางสังคมเพื่อกระตุ้นให้ลูกของตนทำบางสิ่ง  ตัวอย่างเช่น การแข่งขันในสังคมตอนนี้ดุเดือดมาก  พ่อแม่ได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศของกระแสนิยมและฉันทามติทางกลุ่มสังคมอันหลากหลาย พวกเขาจึงยอมรับข้อมูลข่าวสารนี้ที่ว่าการแข่งขันมีความดุเดือดและส่งต่อไปยังลูกของตนอย่างรวดเร็ว  สิ่งที่พวกเขายอมรับคือการที่ปรากฏการณ์และกระแสนิยมของการแข่งขันในสังคมนั้นดุเดือดอย่างมาก แต่สิ่งที่พวกเขารู้สึกก็คือแรงกดดันบางอย่าง  เมื่อพวกเขารู้สึกถึงแรงกดดัน พวกเขาก็รีบคิดถึงลูกของตัวเองพลางพูดว่า “การแข่งขันดุเดือดเหลือเกินในสังคมตอนนี้ ไม่เหมือนตอนที่พวกเรายังเด็ก  ถ้าลูกของพวกเราเรียนหนังสือ ทำงาน และเข้าหาสังคมรวมถึงผู้คนและสิ่งต่างๆ นานาในแบบเดียวกับที่พวกเราเคยทำ ลูกก็จะถูกสังคมกำจัดออกอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องอาศัยประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขายังเด็กอยู่ พวกเราจำเป็นต้องเริ่มทำงานกับพวกเขาตั้งแต่ตอนนี้—พวกเราปล่อยให้ลูกของเราแพ้ตั้งแต่ยกแรกไม่ได้”  ตอนนี้การแข่งขันในสังคมดุเดือดและผู้คนล้วนปักหมุดความหวังอันยิ่งใหญ่ไว้กับลูกของตัวเอง พวกเขาจึงรีบส่งต่อแรงกดดันประเภทนี้ต่อไปยังลูกของตน  แล้วลูกของพวกเขาตระหนักรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  เพราะพวกเขายังไม่ใช่ผู้ใหญ่ พวกเขาจึงไม่ตระหนักรู้ในเรื่องนี้เลย  พวกเขาไม่รู้ว่าแรงกดดันนี้ที่มาจากพ่อแม่ของตนนั้นถูกหรือผิด หรือว่าพวกเขาควรปฏิเสธหรือยอมรับ  เมื่อพ่อแม่เห็นลูกของตัวเองมีทีท่าแบบนี้ พวกเขาก็ว่ากล่าวลูกว่า “ลูกเบาปัญญาขนาดนี้ได้ยังไง?  การแข่งขันดุเดือดเหลือเกินในสังคมตอนนี้ แล้วลูกก็ยังคงไม่เข้าใจอะไรอีก  ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปโรงเรียนอนุบาลเลย!”  เด็กไปโรงเรียนอนุบาลตอนอายุเท่าไร?  เด็กบางคนเริ่มตอนสามหรือสี่ขวบ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  วลีที่กำลังแพร่สะพัดในสังคมตอนนี้ก็คือ คุณไม่อาจยอมให้ลูกแพ้ตั้งแต่ยกแรกได้ การศึกษาควรเริ่มต้นตั้งแต่อายุที่น้อยมาก  ดูเถิดเด็กที่อายุน้อยมากทนทุกข์และเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาลตอนสามหรือสี่ขวบ  และโรงเรียนอนุบาลประเภทใดหรือที่ผู้คนเลือก?  ในโรงเรียนอนุบาลธรรมดา บ่อยครั้งที่พวกครูเล่นเกมอย่างเช่น “นกอินทรีกับไก่” กับเด็กๆ ดังนั้นพ่อแม่จึงคิดว่าพวกเขาไม่สามารถเลือกโรงเรียนอนุบาลแบบนั้นได้  พวกเขาเชื่อว่าต้องเลือกโรงเรียนอนุบาลสองภาษาหรูหรา  และในความคิดของพวกเขา การเรียนรู้แค่ภาษาเดียวนั้นไม่เพียงพอ  ตอนที่เด็กยังคงพูดภาษาแม่ได้ไม่ดี พวกเขาก็ต้องเรียนภาษาที่สอง  นี่เป็นการทำให้สิ่งทั้งหลายลำบากยากเย็นสำหรับเด็กไม่ใช่หรือ?  แต่พ่อแม่ว่าอย่างไรเล่า?  “พวกเราปล่อยให้ลูกของเราแพ้ตั้งแต่ยกแรกไม่ได้  ตอนนี้มีเด็กอายุขวบเดียวกำลังถูกพี่เลี้ยงเด็กสอนอยู่ที่บ้าน  พ่อแม่เด็กพูดภาษาแม่ของตัวเองและพี่เลี้ยงเด็กพูดภาษาที่สอง สอนภาษาอังกฤษ ภาษาสเปน หรือภาษาโปรตุเกสให้เด็ก  ลูกของเราสี่ขวบแล้ว ค่อนข้างอายุมากไปหน่อย  ถ้าพวกเราไม่เริ่มสอนพวกเขาตอนนี้ก็จะสายเกินไป  พวกเราต้องเริ่มให้การศึกษาพวกเขาแต่เนิ่นๆ ที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และหาโรงเรียนอนุบาลที่สอนในสองภาษา ที่พวกครูมีปริญญาตรีและปริญญาโท”  ผู้คนพูดว่า “โรงเรียนประเภทนั้นแพงเกินไป”  พวกเขาตอบว่า “ไม่เป็นไร  พวกเรามีบ้านหลังใหญ่ พวกเราสามารถย้ายไปอยู่หลังเล็กลงได้  พวกเราจะขายบ้านสามห้องนอนของพวกเราและสลับกับบ้านสองห้องนอน  พวกเราจะประหยัดเงินส่วนนั้นไว้ใช้ส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาลที่หรูหรา”  การเลือกโรงเรียนอนุบาลที่ดีนั้นไม่พอ พวกเขาคิดว่าต้องมีครูสอนพิเศษมาช่วยลูกของตัวเองเรียนในเวลาว่างเพื่อการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก  ต่อให้ลูกของพวกเขาไม่ชอบการเรียนหนังสือมาแต่กำเนิด พวกเขาก็ยังคงต้องทำ และหากพวกเขาล้มเหลวในการศึกษาวิชานั้น เช่นนั้นพวกเขาก็จะศึกษาการเต้น  หากพวกเขาเต้นไม่เก่ง พวกเขาก็จะเรียนร้องเพลง  หากพวกเขาร้องเพลงไม่เก่งและพ่อแม่ของพวกเขามองเห็นว่าพวกเขามีโครงร่างดี อีกทั้งมีแขนขาที่ยาว เช่นนั้นบางทีพ่อแม่ก็จะคิดว่าพวกเขาสามารถกลายเป็นนายแบบนางแบบได้  เช่นนั้นพ่อแม่ก็จะส่งพวกเขาไปโรงเรียนศิลปะเพื่อศึกษาการเดินแบบ  เมื่อเป็นแบบนี้ ลูกจึงเริ่มถูกส่งไปโรงเรียนประจำตอนอายุสี่ห้าขวบ และบ้านของครอบครัวของพวกเขาเปลี่ยนจากบ้านสามห้องนอนไปเป็นบ้านสองห้องนอน จากบ้านสองห้องนอนไปเป็นบ้านหนึ่งห้องนอน จากบ้านหนึ่งห้องนอนไปสู่บ้านเช่า  คาบเรียนสอนพิเศษที่ลูกเข้าร่วมนอกโรงเรียนเริ่มเพิ่มปริมาณขึ้นทุกที และบ้านของพวกเขาก็เล็กลงอย่างต่อเนื่อง  มีกระทั่งพ่อแม่บางคนที่ย้ายทั้งครอบครัวไปทางใต้ ไปทางเหนือ ย้ายกลับไปกลับมา เพื่อให้ลูกสามารถไปโรงเรียนดีๆ และสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ ลูกของพวกเขาก็ไม่รู้ว่าบ้านเกิดของตัวเองอยู่ที่ใด และทั้งหมดนั่นเป็นปัญหายุ่งเหยิงใหญ่โต  พ่อแม่จ่ายราคาสารพัดก่อนที่ลูกของตนได้ไปถึงวัยผู้ใหญ่เพื่อเห็นแก่อนาคตของลูก เพื่อที่ลูกของพวกเขาจะไม่แพ้ตั้งแต่ยกแรก และเพื่อให้ลูกของพวกเขาสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมที่มีการแข่งขันเพิ่มขึ้นทุกที อีกทั้งมีการงานที่ดีและรายได้ที่มั่นคงในเวลาต่อมา  พ่อแม่บางคนมีความสามารถอย่างมาก พวกเขาดำเนินธุรกิจใหญ่โตหรือไม่ก็ทำหน้าที่ข้าราชการระดับสูง และพวกเขาก็ลงทุนในตัวลูกอย่างสูงมหาศาล  พ่อแม่บางคนไม่มีความสามารถขนาดนั้น แต่ก็ป็นเหมือนผู้คนอื่น พวกเขาต้องการส่งลูกไปโรงเรียนที่หรูหรา ไปชั้นเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนนานาสารพัน ชั้นเรียนเต้นรำ ชั้นเรียนศิลปะ ไปศึกษาภาษาต่างๆ และดนตรี ทำให้ลูกมีแรงกดดันและความเจ็บปวดอย่างมาก  เช่นนั้นลูกของพวกเขาจึงคิดว่า “เมื่อไรหนูจะได้รับอนุญาตให้เล่นบ้างสักนิด?  เมื่อไรหนูถึงจะโตและตัดสินใจได้เหมือนที่พวกผู้ใหญ่ทำ?  เมื่อไรหนูจะไม่ต้องไปโรงเรียนอีกต่อไปเหมือนพวกผู้ใหญ่?  เมื่อไรหนูจะดูโทรทัศน์ได้สักนิด ปล่อยให้จิตใจของหนูว่างและไปเดินเล่นลำพังที่ไหนสักแห่งโดยไม่มีพ่อแม่ของหนูคอยจูงไปทางนั้นทีทางนี้ที?”  แต่บ่อยครั้งที่พ่อแม่ของพวกเขาพูดว่า “ถ้าลูกไม่เรียน ในอนาคตลูกก็จะต้องไปขอทานสำหรับอาหาร  ดูสิว่าลูกมีหลักประกันน้อยนิดแค่ไหน!  ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะเล่น ลูกเล่นได้ตอนที่โตกว่านี้!  ถ้าลูกเล่นตอนนี้ ลูกจะไม่ประสบความสำเร็จในอนาคต ถ้าลูกเล่นหลังจากนี้ ลูกสามารถมีความสนุกสนานได้มากกว่าและดีกว่า ลูกสามารถเดินทางรอบโลกได้  ลูกไม่เห็นคนร่ำรวยเหล่านั้นในโลกหรือยังไง—ตอนพวกเขาเป็นเด็ก พวกเขาเล่นหรือ?  พวกเขาแค่เรียนหนังสือ”  พ่อแม่ก็แค่โกหกพวกเขา  พ่อแม่เห็นกับตาตัวเองหรือว่าผู้คนที่มั่งมีเหล่านั้นแค่เล่าเรียนและไม่เคยเล่นเลย?  พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?  คนรวยและมั่งมีที่สุดบางคนในโลกไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย—นั่นคือข้อเท็จจริง  บางครั้งตอนที่พ่อแม่พูด พวกเขากำลังใช้เล่ห์กลกับลูก  ก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ พ่อแม่พูดคำโกหกทุกชนิดเพื่อที่จะได้มาซึ่งอนาคตที่ดีกว่าของพวกเขา อีกทั้งควบคุมลูกของตัวเองและทำให้พวกเขาเชื่อฟัง  แน่นอนว่าพวกเขาสู้ทนความทุกข์ทุกชนิดและจ่ายราคาทุกประเภทเพื่อการนี้ด้วยเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ความรักของพ่อแม่อันควรค่าแก่การสรรเสริญ”

เพื่อที่จะทำให้ความคาดหวังสำหรับเชื้อสายของตนเป็นจริง พ่อแม่จึงฝากความหวังมากมายไปที่ลูกของตน  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาไม่เพียงให้การศึกษา แนะนำ และใช้คำพูดของตัวเองครอบงำลูก ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ใช้การกระทำที่เป็นรูปธรรมในการตั้งข้อบังคับกับลูกของตน เพื่อให้ลูกเชื่อฟังตน ปฏิบัติตัวและดำเนินชีวิตไปตามวิถีโคจรที่พวกเขาระบุเฉพาะไว้และทิศทางที่พวกเขาได้ตั้งไว้  ไม่สำคัญว่าลูกของพวกเขาเต็มใจที่จะทำสิ่งนี้หรือไม่ สุดท้ายแล้วพ่อแม่ก็แค่พูดอย่างเดียวว่า “ถ้าแกไม่ฟังฉัน แกจะต้องเสียใจ!  ถ้าแกไม่เชื่อฟังฉัน หรือเรียนหนังสืออย่างจริงจังตอนนี้ แล้ววันหนึ่งแกรู้สึกเสียดาย ก็อย่ามาหาฉัน อย่าพูดว่าฉันไม่ได้บอกแกเรื่องนี้!”  ครั้งหนึ่ง พวกเราไปที่อาคารแห่งหนึ่งเพื่อทำกิจธุระอย่างหนึ่ง และได้เห็นพวกคนขนย้ายกำลังสละความพยายามมากมายที่จะย้ายเครื่องเรือนบางชิ้นขึ้นไปชั้นบน  พวกเขาเจอกับแม่ที่กำลังเดินนำลูกชายลงบันไดมา  หากบุคคลปกติเห็นฉากเหตุการณ์นี้ พวกเขาคงพูดว่า “มีคนกำลังขนเฟอร์นิเจอร์ เราหลีกทางให้พวกเขากันเถอะลูก”  คนที่กำลังลงบันไดคงต้องรีบหลีกทางโดยไม่กระทบกระแทกเข้ากับบางสิ่งหรือทำให้พวกคนขนย้ายต้องยุ่งยาก  แต่เมื่อแม่คนนั้นเห็นฉากเหตุการณ์นี้ เธอถือโอกาสเริ่มปฏิบัติการสอนเชิงสถานการณ์บางอย่าง  เรายังจำสิ่งที่เธอพูดได้อย่างชัดเจนมาก  เธอพูดอะไรนะหรือ?  เธอพูดว่า “ดูสิ่งที่พวกเขากำลังขนย้ายสิว่าหนักแค่ไหน และนั่นน่าเหนื่อยแค่ไหน  พวกเขาไม่ได้เรียนหนังสืออย่างจริงจังตอนที่พวกเขาเป็นเด็ก แล้วตอนนี้พวกเขาก็หางานที่ดีไม่ได้ พวกเขาเลยต้องขนย้ายของและทำงานหนักมาก  ลูกเห็นไหม?”  ลูกชายดูเหมือนเข้าใจบางส่วน และเชื่อว่าที่แม่ของเขาพูดนั้นถูกต้องแล้ว  การแสดงความเกรงกลัวออกมาจากใจจริง ความพรั่นพรึง และความเชื่อปรากฏอยู่ในดวงตาของเขาและเขาก็พยักหน้ามองไปที่พวกคนขนย้ายอีกครั้ง  ผู้เป็นแม่ฉวยประโยชน์จากโอกาสนี้รีบอบรมสั่งสอนลูกชายของเธอโดยบอกเขาว่า “ลูกเห็นใช่ไหม?  ถ้าลูกไม่ตั้งใจเรียนตอนเป็นเด็ก พอลูกโตขึ้น ลูกก็จะต้องมาขนเฟอร์นิเจอร์และทำงานหนักมากอย่างนี้เพื่อเลี้ยงชีพ”  คำกล่าวเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  คำกล่าวเหล่านี้ผิดอย่างไร?  แม่คนนี้ถือโอกาสใดก็ตามเพื่ออบรมสั่งสอนลูกชายของตน—เจ้าคิดว่าลูกชายของเธอมีกรอบแนวคิดอย่างไรหลังจากได้ยินแบบนี้?  เขาได้สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะว่าคำกล่าวเหล่านี้ถูกหรือผิดหรือไม่?  (ไม่)  แล้วเขาคิดอะไร?  (“ถ้าฉันไม่ตั้งใจเรียน ฉันจะต้องทำงานหนักมากแบบนี้ในอนาคต”)  เขาคิดว่า “โอ ไม่นะ ทุกคนที่ต้องทำงานหนักไม่ได้ตั้งใจเรียน  ฉันต้องฟังแม่และเรียนให้ดี  แม่พูดถูก ทุกคนที่ไม่ตั้งใจเรียนต้องทำงานหนักมาก”  แนวคิดที่เขารับมาจากแม่ของเขากลายเป็นความจริงตราบชั่วชีวิตในหัวใจของเขา  จงบอกเราที แม่คนนี้โง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่ เธอโง่เขลา)  เธอโง่เขลาอย่างไร?  หากเธอใช้เรื่องนี้มากล่อมให้ลูกชายเรียนหนังสือ ลูกชายของเธอจะพัฒนาไปเป็นบางสิ่งหรือไม่?  นั่นรับประกันว่าเขาจะไม่จำเป็นต้องทำงานหนักมากหรืออาบเหงื่อในอนาคตหรือ?  นั่นเป็นสิ่งที่ดีหรือที่เธอใช้เรื่องนี้ ฉากเหตุการณ์นี้มาทำให้ลูกชายของเธอหวาดหวั่น?  (เป็นสิ่งที่ไม่ดี)  นั่นจะสยายเงาครอบงำลูกชายของเธอแบบชั่วชีวิต  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี  ต่อให้เด็กคนนี้ได้รับวิจารณญาณเล็กน้อยเกี่ยวกับคำพูดเหล่านี้หลังจากที่เขาโตขึ้น นั่นก็ยังคงยากลำบากที่จะขจัดทฤษฎีนี้ที่แม่ของเขาแสดงไว้ออกจากหัวใจของเขาและจากจิตใต้สำนึกของเขา  ทฤษฎีนี้จะพันธนาการและชักพาความคิดของเขาให้หลงผิดและกำหนดทิศทางของทัศนะที่เขามีต่อสิ่งทั้งหลายที่ระดับหนึ่ง  ความคาดหวังส่วนใหญ่ที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ก็คือว่าพวกเขาจะสามารถเล่าเรียนให้มาก พยายามให้มาก ขยันขันแข็งและไม่คลาดไปจากความคาดหวังของพวกเขา  เพราะฉะนั้นก่อนที่ลูกของพวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไร พ่อแม่ก็ทำทุกสิ่งเพื่อลูกของตน พวกเขาพลีอุทิศความอ่อนเยาว์ ขวบปี และเวลาของตน ตลอดจนสุขภาพส่วนตัวและชีวิตปกติของพวกเขาเอง และพ่อแม่บางคนถึงกับล้มเลิกการงานของตัวเอง ความใฝ่ฝันเดิมของตัวเอง หรือแม้แต่ความเชื่อเดิมของตัวเองเพื่อที่จะฝึกฝนลูกของตน หรือช่วยลูกเรียนหนังสือในขณะที่ลูกกำลังเข้าโรงเรียน  มีผู้คนในคริสตจักรหลายคนทีเดียวที่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับลูกของตัวเอง ฝึกฝนลูกให้สามารถอยู่เคียงข้างตัวเองได้เมื่อลูกเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ เพื่อให้ลูกของพวกเขาสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของตนและมีการงานที่มั่นคงในอนาคต และเพื่อที่สิ่งทั้งหลายจะเป็นไปอย่างราบรื่นในงานของลูก  พ่อแม่เหล่านี้ไม่ไปในการชุมนุมหรือปฏิบัติหน้าที่  พวกเขามีข้อเรียกร้องบางอย่างที่เกี่ยวกับความเชื่อของตัวเองในหัวใจ และพวกเขาก็มีความแน่วแน่และความใฝ่ฝันนิดหน่อย แต่เพราะพวกเขาไม่สามารถปล่อยมือจากความคาดหวังของตัวเองที่มีต่อลูกของตนได้ พวกเขาจึงลือกที่จะอยู่เป็นเพื่อนลูกในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ โดยละทิ้งหน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างและการไล่ตามเสาะหาของตัวเองในแง่ของความเชื่อ  นี่คือสิ่งที่น่าเศร้าสลดที่สุด  พ่อแม่บางคนจ่ายราคามากมายเพื่อฝึกฝนลูกของตนให้กลายเป็นดารา ศิลปิน นักเขียน หรือนักวิทยาศาสตร์ และเพื่อทำให้ลูกของพวกเขาสามารถสนองความคาดหวังของพวกเขาได้  พ่อแม่ทิ้งการงานของตัวเอง ละทิ้งอาชีพการงาน และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาละทิ้งความฝันและความสุขสำราญของตัวเองเพื่อที่จะอยู่เป็นเพื่อนลูก  มีกระทั่งพ่อแม่ที่เลิกล้มชีวิตสมรสเพื่อลูกของตน  หลังจากที่พวกเขาหย่ากัน พวกเขาก็เข้ารับเอาภาระหนักของการฟูมฟักและฝึกฝนลูกของตนลำพัง ฝากฝังชีวิตของตนไว้ที่ลูก และทุ่มเทอุทิศชีวิตของตนให้กับอนาคตของลูก เพื่อให้พวกเขาสามารถทำให้ความคาดหวังที่ตนฝากไว้กับลูกเป็นจริงขึ้นมา  มีพ่อแม่บางคนด้วยเช่นกันที่ทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ตนไม่ควรทำ จ่ายราคาที่ไม่จำเป็นมากมาย สละอุทิศเวลา สุขภาพกาย และการไล่ตามเสาะหาของตนก่อนที่ลูกของพวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่  เพื่อให้ลูกของพวกเขาสามารถเจริญก้าวหน้าในโลกได้ในอนาคต และตั้งตัวขึ้นในสังคม  ในแง่หนึ่งสำหรับพ่อแม่ สิ่งเหล่านี้เป็นการพลีอุทิศที่ไม่จำเป็นบางส่วน  ในอีกแง่หนึ่งสำหรับลูก การเข้าหาเหล่านี้ใส่แรงกดดันและภาระอันมหาศาลให้กับพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่  นี่เป็นเพราะพ่อแม่ของพวกเขาได้จ่ายราคาไปมากเกินไป เพราะพ่อแม่ของพวกเขาได้สละไปมากเกินไปไม่ว่าในแง่ของเงิน เวลา หรือพลังงาน  อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เด็กเหล่านี้จะไปถึงวัยผู้ใหญ่ และในขณะที่พวกเขายังคงขาดความสามารถที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะถูกหรือผิด พวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาทำได้เพียงยอมให้พ่อแม่กระทำแบบนี้  ต่อให้พวกเขามีความคิดบางอย่างในส่วนลึกของจิตใจพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงคล้อยตามการกระทำของพ่อแม่  ภายใต้สภาพการณ์แวดล้อมเหล่านี้ ลูกเริ่มคิดโดยไม่รู้ตัวว่าพ่อแม่ของตัวเองได้จ่ายราคาไปมหาศาลเพื่อฝึกฝนพวกเขา และตัวเองจะไม่สามารถจ่ายคืนหรือชดใช้คืนให้กับพ่อแม่ได้ครบถ้วนในชีวิตนี้  ผลลัพธ์ก็คือระหว่างช่วงเวลาที่พ่อแม่ของพวกเขากำลังฝึกฝนและอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา พวกเขาคิดว่าสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถดำเนินการเพื่อจ่ายคืนให้กับพ่อแม่ของตัวเองก็คือการทำให้พ่อแม่มีความสุข สัมฤทธิ์ผลในสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่เพื่อให้พ่อแม่พึงพอใจ อีกทั้งไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง  ในส่วนของพ่อแม่นั้น ระหว่างช่วงเวลาก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ หลังจากที่พวกเขาได้จ่ายราคาเหล่านี้ไป และเมื่อความคาดหวังของพวกเขาที่มีต่อลูกเริ่มยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที กรอบแนวคิดของพวกเขาค่อยๆ แปรไปเป็นข้อเรียกร้องต่อลูกของตน  นั่นก็คือ หลังจากที่พ่อแม่ได้จ่ายสิ่งที่เรียกว่าราคาเหล่านี้และได้ทำสิ่งที่เรียกว่าการสละเหล่านี้ พวกเขาก็เรียกร้องให้ลูกของตนต้องประสบความสำเร็จ สัมฤทธิ์สิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อจ่ายคืนให้พ่อแม่  เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าพวกเรากำลังมองการนี้จากมุมมองของพ่อแม่หรือลูก ภายในสัมพันธภาพนี้ของการ “สละให้” และ “การได้รับการสละให้” ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนก็เริ่มสูงขึ้นทุกที  “ความคาดหวังที่พวกเขามีต่อลูกเริ่มสูงขึ้นทุกที” เป็นการพูดเรื่องนี้ในแบบที่น่าฟัง  อันที่จริงแล้ว ในส่วนลึกของหัวใจพ่อแม่ ยิ่งพวกเขาสละและพลีอุทิศมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าลูกควรจ่ายคืนให้พวกเขาด้วยความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น และในเวลาเดียวกัน ยิ่งพวกเขาคิดว่าลูกของตัวเองติดหนี้พวกเขา  ยิ่งพ่อแม่สละมากเท่าไรและยิ่งพวกเขามีความหวังมากขึ้นเท่าไร ความคาดหวังของพวกเขาก็กลายเป็นสูงขึ้นเท่านั้น และความคาดหวังของพวกเขาในเรื่องที่ลูกจะจ่ายคืนให้ตนก็เติบโตมากขึ้นเท่านั้น  ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตนก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่เริ่มจาก “พวกเขาต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย พวกเขาแพ้ตั้งแต่ยกแรกไม่ได้” ไปจนถึง “หลังจากที่พวกเขาโตขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องเจริญก้าวหน้าไปในโลกและตั้งตัวขึ้นมาในสังคม” ค่อยๆ กลายเป็นข้อเรียกร้องประเภทหนึ่งที่พวกเขามีต่อลูกของตน  ข้อเรียกร้องนั้นก็คือ หลังจากที่เจ้าโตขึ้นและตั้งตัวขึ้นมาในสังคมแล้ว จงอย่าลืมรากเหง้าของตัวเอง จงอย่าลืมพ่อแม่ พ่อแม่ของเจ้าคือคนที่เจ้าต้องจ่ายคืนให้เป็นอันดับแรก เจ้าต้องแสดงความกตัญญูต่อพวกเขา และช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดี เพราะพวกเขาเป็นผู้มีพระคุณของเจ้าในโลกนี้ พวกเขาเป็นคนที่ฝึกฝนเจ้า การที่เจ้าตั้งตัวในสังคมได้ในตอนนี้ ตลอดจนทุกสิ่งที่เจ้าชื่นชมยินดีและทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีนั้นซื้อมาด้วยความพยายามอันอุตสาหะของพ่อแม่ ดังนั้นเจ้าควรใช้ชีวิตที่เหลือของเจ้าจ่ายคืนให้กับพวกเขา ชดใช้คืนให้กับพวกเขา และดีต่อพวกเขา  ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่—ที่พวกเขาจะตั้งตัวขึ้นในสังคมและก้าวหน้าไปในโลก—ค่อยๆ วิวัฒนาการไปเป็นสิ่งนี้ โดยเปลี่ยนจากความคาดหวังของพ่อแม่ที่ปกติมากไปเป็นข้อเรียกร้องและการร้องขอประเภทหนึ่งที่พ่อแม่มีต่อลูกของตน  สมมุติว่าในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาไปถึงวัยผู้ใหญ่ ลูกของพวกเขาไม่ได้ระดับคะแนนที่ดี สมมุติว่าลูกขัดขืน ลูกไม่ต้องการเล่าเรียนหรือเชื่อฟังพ่อแม่ของตน และพวกเขาไม่เชื่อฟังพ่อแม่  พ่อแม่ก็จะพูดว่า “แกคิดว่าฉันได้อะไรมาง่ายๆ หรือ?  แกคิดว่าฉันกำลังทำทุกอย่างนี้เพื่อใคร?  ฉันกำลังทำสิ่งนี้เพื่อให้ตัวแกเองได้ดีไม่ใช่หรือ?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำก็เพื่อแก แล้วแกก็ไม่ซาบซึ้ง  แกเบาปัญญาหรือยังไง?”  พวกเขาจะใช้คำพูดเหล่านี้ขู่เข็ญลูกของตัวเองและยึดลูกเป็นตัวประกัน  แนวทางแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  นั่นไม่ถูกต้อง  ส่วนที่ “สูงส่ง” ของพ่อแม่ก็คือส่วนที่น่าดูหมิ่นของพ่อแม่เช่นกัน  คำพูดเหล่านี้ผิดอะไรกันแน่?  (การที่พ่อแม่มีความคาดหวังต่อลูกและฝึกฝนลูกของตนนั้นเป็นความมานะพยายามแต่ฝ่ายเดียว  พวกเขาบังคับใช้แรงกดดันบางอย่างต่อลูกของตัวเอง ให้ลูกเรียนนี่เรียนนั่น เพื่อที่ลูกของตัวเองจะมีโอกาสในอนาคตที่ดี นำเกียรติยศมาประดับให้พ่อแม่และแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ในอนาคต  ในความเป็นจริงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ทำนั้นก็เพื่อตัวเอง)  หากพวกเราละข้อเท็จจริงที่ว่าพ่อแม่ทำเพื่อตัวเองและเห็นแก่ตัวไว้ก่อน และแค่พูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดที่พวกเขาใช้ฝังหัวลูกของตัวเองก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่กับแรงกดดันที่พวกเขาส่งต่อไปยังลูกโดยการเรียกร้องให้ลูกเรียนวิชานี่นั่น ให้ลูกทำอาชีพการงานนี่นั่นหลังจากโตขึ้น แล้วบรรลุความสำเร็จนี่นั่น—แนวทางเหล่านี้มีธรรมชาติเช่นไร?  สำหรับตอนนี้ พวกเราจะไม่ประเมินว่าเหตุใดพ่อแม่จึงกำลังทำสิ่งเหล่านี้ หรือว่าแนวทางเหล่านี้เหมาะควรหรือไม่  ก่อนอื่นพวกเราจะสามัคคีธรรมและชำแหละธรรมชาติของแนวทางเหล่านี้ และค้นหาเส้นทางการปฏิบัติที่แม่นยำกว่านี้บนพื้นฐานของการที่พวกเราชำแหละแก่นแท้ของการเข้าหาเหล่านี้  หากพวกเราสามัคคีธรรมกันต่อและมาเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงจากมุมมองนั้น นั่นจึงจะแม่นยำ

ก่อนอื่น ข้อพึงประสงค์และแนวทางเหล่านี้ที่พ่อแม่มีเกี่ยวกับลูกของตนนั้นถูกหรือผิด?  (ผิด)  ดังนั้นสุดท้ายแล้วเมื่อเป็นเรื่องของแนวทางเหล่านี้ที่พ่อแม่ใช้กับลูกของตัวเอง ตัวการหลักมีต้นตอมาจากที่ใดหรือ?  ไม่ใช่ความคาดหวังทั้งหลายที่พ่อแม่มีต่อลูกของตนหรอกหรือ?  (ใช่)  ภายในจิตสำนึกที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพ่อแม่ พวกเขาวาดมโนภาพ วางแผน และกำหนดสิ่งต่างๆ สารพัดเกี่ยวกับอนาคตของลูกของตน และผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาสร้างความคาดหวังเหล่านี้ขึ้นมา  ภายใต้การปลุกปั่นของความคาดหวังเหล่านี้ พ่อแม่เรียกร้องให้ลูกของตนเล่าเรียนทักษะสารพัด ให้ลูกเรียนการละครและเต้นรำ หรือศิลปะ เป็นต้น  พวกเขาเรียกร้องให้ลูกกลายเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ และให้พวกเขาเป็นผู้บังคับบัญชาและไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาในภายภาคหน้า  พวกเขาเรียกร้องให้ลูกของตัวเองกลายเป็นข้าราชการระดับสูงและไม่ใช่พวกทหารปลายแถว พวกเขาเรียกร้องให้ลูกกลายเป็นผู้จัดการ ประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูง ทำงานให้กับบริษัทชั้นนำติดหนึ่งใน 500 ของโลก เป็นต้น  เหล่านี้ล้วนเป็นแนวคิดที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพ่อแม่  ทีนี้ ลูกมีแนวความคิดใดหรือไม่เกี่ยวกับสาระของความคาดหวังของพ่อแม่ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่?  (ไม่มี)  ลูกไม่มีแนวความคิดใดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย  อะไรคือสิ่งที่เด็กน้อยทั้งหลายเข้าใจ?  พวกเขาเข้าใจเพียงการไปโรงเรียนเพื่อเรียนรู้ที่จะอ่าน การขยันเรียน และการเป็นเด็กดีที่ประพฤติดี  โดยลำพังแล้ว สิ่งนี้ค่อนข้างดี  การไปเข้าชั้นเรียนที่โรงเรียนตามตารางเวลาที่กำหนด และการกลับบ้านเพื่อทำการบ้านให้เสร็จ—เหล่านี้เป็นสิ่งที่เด็กทั้งหลายเข้าใจ ที่เหลือก็แค่การเล่น อาหาร จินตนาการ ความฝัน เป็นต้น  ก่อนพวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ เด็กทั้งหลายไม่มีแนวความคิดเลยเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่รู้บนเส้นทางชีวิตของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่วาดมโนภาพสิ่งใดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน  พ่อแม่เป็นผู้วาดมโนภาพและกำหนดสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเวลาหลังจากที่เด็กเหล่านี้โตเป็นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น ความคาดหวังอันผิดพลาดที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้นไม่ใช่เรื่องของลูกของพวกเขาเลย  ลูกเพียงจำเป็นต้องหยั่งรู้แก่นแท้ของความคาดหวังของพ่อแม่ของพวกเขา  ความคาดหวังเหล่านี้ของพ่อแม่มีพื้นฐานอยู่บนอะไร?  ความคาดหวังเหล่านี้มาจากไหน?  ความคาดหวังเหล่านี้มาจากสังคมและโลก  จุดประสงค์ของความคาดหวังจากทางพ่อแม่เหล่านี้ล้วนเป็นไปเพื่อทำให้ลูกสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและโลกนี้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโลกหรือสังคมกำจัดออกไป และเพื่อตั้งตัวในสังคม เพื่อให้ได้การงานที่มั่นคง ครอบครัวที่มีเสถียรภาพ และอนาคตที่แน่นอน ดังนั้นพ่อแม่จึงมีความคาดหวังที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งนานัปการต่อลูกหลานของตัวเอง  ตัวอย่างเช่นเดี๋ยวนี้การเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ค่อนข้างเป็นที่นิยม  คนบางคนพูดว่า “ลูกของฉันจะเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ในอนาคต  พวกเขาสามารถหาเงินได้มากมายในสาขานี้โดยการหอบคอมพิวเตอร์ติดตัวไปทุกที่ตลอดทั้งวันเพื่อทำวิศวกรรมคอมพิวเตอร์  นี่จะทำให้ฉันพลอยดูดีไปด้วย!”  ในสภาพการณ์เหล่านี้ที่เด็กทั้งหลายไม่มีแนวความคิดเกี่ยวกับสิ่งใดเลย พ่อแม่ของพวกเขาจึงจัดวางอนาคตของพวกเขา  นี่เป็นเรื่องที่ผิดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พ่อแม่ของพวกเขากำลังฝากความหวังไว้กับลูกของตนบนพื้นฐานของหนทางในการมองสิ่งทั้งหลายของผู้ใหญ่คนหนึ่งล้วนๆ รวมไปถึงทัศนะ มุมมองและการเลือกชอบของผู้ใหญ่คนหนึ่งมีต่อเรื่องทั้งหลายบนโลก  นี่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าจะพูดให้ฟังดูดี เจ้าสามารถพูดได้ว่านั่นเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่จริงๆ แล้วนั่นคืออะไร?  การเอาตัวเองเป็นที่ตั้งแบบนี้ตีความอีกอย่างได้ว่าอะไร?  นั่นคือความเห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือ?  นั่นคือการบีบบังคับไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าชอบการงานนี้นั้นและอาชีพการงานนี่นั่น เจ้าชื่นชมยินดีกับกับการเป็นที่ยอมรับ การใช้ชีวิตอันน่าหลงใหล การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะข้าราชการ หรือการมั่งมีอยู่ในสังคม เจ้าจึงให้ลูกของเจ้าทำสิ่งเหล่านั้นด้วย เป็นคนประเภทนั้นด้วย และเดินตามเส้นทางแบบนั้น—แต่พวกเขาจะชื่นชมยินดีกับการดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นและการเข้าทำงานนั้นในอนาคตหรือไม่?  พวกเขาเหมาะกับสิ่งนั้นหรือ?  โชคชะตาของพวกเขาคืออะไร?  การจัดการเตรียมการและการปกครองของพระเจ้าที่เกี่ยวกับพวกเขาคืออะไร?  เจ้ารู้สิ่งเหล่านี้หรือไม่?  คนบางคนพูดว่า “ฉันไม่สนใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นหรอก สิ่งที่สำคัญก็คือสิ่งทั้งหลายที่ฉันในฐานะพ่อแม่ของพวกเขาชอบ  ฉันจะฝากความหวังไว้ที่พวกเขาบนพื้นฐานของการเลือกชอบของตัวฉันเอง”  นั่นเห็นแก่ตัวมากไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน!  พูดให้ฟังดูดีได้ว่า นั่นเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง นั่นเป็นการฟันธงไปเองทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นคืออะไร?  นั่นเห็นแก่ตัวอย่างมาก!  พ่อแม่พวกนี้ไม่คำนึงถึงขีดความสามารถหรือพรสวรรค์ของลูก พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับการจัดการเตรียมการที่พระเจ้ามีสำหรับโชคชะตาและชีวิตของบุคคลแต่ละคน  พวกเขาไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็แค่บังคับให้ลูกรับเอาการเลือกชอบ เจตนารมณ์ และแผนการของตัวพวกเขาเองโดยผ่านทางการคิดแบบมุ่งหวัง  คนบางคนพูดว่า “ฉันจำต้องยัดเยียดสิ่งเหล่านี้ให้กับลูก  พวกเขาเป็นเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และพอถึงเวลาที่พวกเขาเข้าใจ นั่นก็จะสายเกินไป”  นั่นจริงหรือไม่?  (ไม่จริง)  หากนั่นสายเกินไปจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นชะตากรรมของพวกเขา ไม่ใช่ความรับผิดชอบของพ่อแม่  หากเจ้ายัดเยียดสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเข้าใจให้กับลูก พวกเขาก็จะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นเร็วขึ้นแค่เพราะเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  (ไม่)  ไม่มีสัมพันธภาพระหว่างวิธีที่พ่อแม่ให้การศึกษาลูกของตน กับเวลาที่เด็กเหล่านั้นมาเข้าใจเรื่องต่างๆ อย่างเช่น ควรเลือกเส้นทางชีวิตแบบใด ควรเลือกอาชีพการงานแบบใด และชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร  พวกเขามีเส้นทางของตัวเอง ย่างก้าวของตัวเอง และกฎของตัวเอง  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่เด็กยังเล็ก ไม่ว่าพ่อแม่ให้การศึกษาพวกเขาอย่างไร ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับสังคมก็ว่างเปล่าแบบสิ้นเชิง  พวกเขาจะรู้สึกถึงความเต็มไปด้วยการแข่งขัน ความสลับซับซ้อน และความมืดมิดของสังคม อีกทั้งสิ่งที่ไม่เป็นธรรมนานัปการในสังคมก็ต่อเมื่อความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นผู้ใหญ่  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่พ่อแม่สามารถสอนลูกตั้งแต่วัยเยาว์ได้  ต่อให้พ่อแม่สอนลูกนับจากวัยเยาว์ว่า “ลูกต้องเก็บซ่อนบางสิ่งไว้เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน” ลูกก็จะรับไว้ในฐานะคำสอนประเภทหนึ่งเท่านั้น  พวกเขาจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติตนบนพื้นฐานของการแนะแนวของพ่อแม่อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อพวกเขาเข้าใจการแนะแนวเหล่านั้นอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น  เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจการแนะแนวของพ่อแม่ ไม่ว่าพ่อแม่พยายามสอนพวกเขาอย่างไร นั่นก็ยังคงเป็นแค่คำสอนประเภทหนึ่งสำหรับพวกเขา  เพราะฉะนั้นแนวคิดที่พ่อแม่มีว่า “โลกช่างเต็มไปด้วยการแข่งขัน และผู้คนดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาล หากฉันไม่เริ่มสอนลูกของฉันตั้งแต่ยังเล็กมาก พวกเขาก็จะต้องสู้ทนความทุกข์และความเจ็บปวดในภายภาคหน้า” นั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?  (ไม่)  เจ้ากำลังทำให้ลูกแบกแรงกดดันไว้บนบ่าก่อนเวลาอันควร เพื่อที่ในภายภาคหน้า พวกเขาอาจจะทนทุกข์น้อยกว่า และพวกเขาจำต้องแบกแรงกดดันนั้นโดยเริ่มจากอายุที่พวกเขายังคงไม่เข้าใจสิ่งใดเลย—ในการทำเช่นนี้ เจ้ากำลังทำอันตรายลูกอยู่ไม่ใช่หรือ?  เจ้ากำลังทำเช่นนี้เพื่อเป็นการดีต่อตัวพวกเขาเองจริงหรือ?  ให้พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ยังดีเสียกว่า เช่นนั้นพวกเขาย่อมสามารถดำรงชีวิตอยู่ในหนทางที่สุขสบาย มีความสุข ผ่องแผ้วและเรียบง่ายสักสองสามปี  หากพวกเขาจะต้องเข้าใจสิ่งเหล่านั้นก่อนเวลา นั่นจะเป็นพรหรือโชคร้าย?  (นั่นจะเป็นโชคร้าย)  ใช่ นั่นจะเป็นโชคร้าย

สิ่งที่ผู้คนควรทำในแต่ละกลุ่มอายุนั้นขึ้นอยู่กับอายุและความเป็นผู้ใหญ่ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ไม่ใช่การศึกษาที่พวกเขาได้รับจากพ่อแม่  ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ เด็กทั้งหลายควรแค่เล่น เรียนรู้ความรู้ที่เรียบง่ายสักเล็กน้อยและรับการศึกษาในโรงเรียนขั้นพื้นฐานเล็กน้อย เรียนรู้สิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกันไป เรียนรู้วิธีที่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นและวิธีที่จะเข้ากันได้กับผู้ใหญ่ รวมถึงเรียนรู้วิธีจัดการกับบางสิ่งบางอย่างรอบตัวเองที่พวกเขาไม่เข้าใจ  ก่อนที่ผู้คนจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ พวกเขาไม่ควรทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่  พวกเขาไม่ควรแบกแรงกดดัน กฎเกณฑ์กติกา หรือสิ่งซับซ้อนอันใดที่ผู้ใหญ่พึงต้องแบก  สิ่งทั้งหลายดังกล่าวส่งผลเสียต่อจิตใจของผู้คนที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ และสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่พร  ยิ่งผู้คนเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของผู้ใหญ่เหล่านี้ก่อนเวลาอันควรมากขึ้นเท่าไหร่ ผลกระทบที่สิ่งนี้มีต่อจิตใจอันเยาว์วัยของพวกเขาก็ใหญ่โตขึ้นเท่านั้น  สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยผู้คนในชีวิตหรือการดำรงอยู่ของพวกเขาหลังจากไปถึงวัยผู้ใหญ่เท่านั้น ในทางตรงข้าม เพราะพวกเขาเผชิญและเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ก่อนเวลาอันควรเกินไป สิ่งเหล่านี้จึงแปรไปเป็นภาระประเภทหนึ่งหรือแผ่เงื้อมเงาที่มองไม่เห็นไปบนจิตใจที่อ่อนเยาว์ของพวกเขา จนถึงขั้นที่สิ่งเหล่านั้นอาจจะหลอกหลอนพวกเขาไปจนตลอดชีวิต  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเถิด ตอนที่ผู้คนยังเยาว์วัยมาก หากพวกเขาได้ยินบางสิ่งที่น่าพรั่นพรึง บางสิ่งซึ่งพวกเขาไม่สามารถยอมรับ เรื่องของผู้ใหญ่ที่พวกเขาไม่มีวันจินตนาการหรือเข้าใจได้ เช่นนั้นฉากนั้นหรือเรื่องนั้น หรือแม้แต่ผู้คน สิ่งทั้งหลาย และคำพูดทั้งหลายที่เกี่ยวข้องอยู่ในนั้นก็จะติดตามไปจนตลอดชีวิตของพวกเขา  นี่จะแผ่เงื้อมเงาประเภทหนึ่งลงบนตัวพวกเขา ส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพของพวกเขาและวิธีการสำหรับการประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น เด็กทั้งหลายล้วนซุกซนนิดหน่อยที่อายุหกหรือเจ็ดขวบ  สมมุติว่าเด็กคนหนึ่งถูกครูดุว่าในระหว่างชั้นเรียนเพราะการซุบซิบกับเพื่อนร่วมห้อง และครูคนนั้นไม่ได้แค่ดุว่าพวกเขาไปตามข้อเท็จจริง แต่ยังโจมตีพวกเขาในส่วนบุคคล ดุว่าพวกเขามีใบหน้าเหมือนพังพอนและดวงตาเหมือนหนู ถึงกับดุว่าพวกเขาด้วยการพูดว่า “ดูสิว่าเธอคาดหวังความสำเร็จได้น้อยแค่ไหน  เธอจะไม่ประสบความสำเร็จไปตลอดชีวิตของเธอเลย!  ถ้าเธอไม่ขยันเรียน เช่นนั้นเธอก็จะเป็นแค่คนลงแรง  ในอนาคตเธอจะต้องขอข้าวเขากิน!  เธอดูเหมือนขโมยเลยเธอจะโตไปเป็นขโมย!”  แม้ว่าเด็กคนนั้นไม่เข้าใจคำพูดเหล่านี้ และไม่รู้ว่าเหตุใดครูของพวกเขาจึงพูดสิ่งเหล่านี้ หรือว่าสิ่งเหล่านี้จริงแท้หรือไม่ คำพูดเหล่านี้ที่เป็นการโจมตีตัวบุคคลก็จะกลายเป็นกำลังบังคับชั่วที่มองไม่เห็นภายในหัวใจของพวกเขา ทิ่มแทงความเคารพในตนเองของพวกเขาและทำร้ายพวกเขา “หน้าเธอเหมือนพังพอน และตาก็เหมือนหนู หนำซ้ำหัวก็เล็กนิดเดียว!”—คำพูดโจมตีตัวบุคคลเหล่านี้ที่ครูพูดไว้จะติดตามพวกเขาไปชั่วชีวิต  ยามที่พวกเขาเลือกอาชีพการงาน ยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับผู้บังคับบัญชาและผู้ร่วมงานของพวกเขา และยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับพี่น้องชายหญิง คำพูดโจมตีตัวบุคคลเหล่านั้นที่ครูพูดไว้จะปะทุออกมาเป็นระยะๆ ส่งผลต่อภาวะอารมณ์และชีวิตของพวกเขา  แน่นอนว่าความคาดหวังอันไม่ถูกควรบางอย่างที่พ่อแม่ของเจ้ามีต่อเจ้า และภาวะอารมณ์ ข่าวสาร คำพูด ความคิด ทัศนะบางอย่าง และอื่นๆ ที่พวกเขาส่งต่อมาให้เจ้าก็แผ่เงื้อมเงาครอบคลุมจิตใจอันเยาว์วัยของเจ้าเช่นกัน  จากมุมมองของจิตสำนึกที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพ่อแม่ของเจ้า พวกเขาไม่ได้มีเจตนารมณ์ไม่ดีอันใด แต่เพราะความไม่รู้ความของพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นเหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทราม อีกทั้งพวกเขาไม่มีวิธีการอันถูกควรซึ่งตรงกับหลักธรรมสำหรับวิธีที่จะปฏิบัติต่อเจ้า พวกเขาเพียงสามารถติดตามกระแสนิยมของโลกในวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อเจ้า และผลลัพธ์สุดท้ายของการนี้ก็คือว่าพวกเขาส่งต่อข่าวสารและภาวะอารมณ์อันเป็นลบนานาสารพันมายังเจ้า  ภายใต้สภาพการณ์ที่เจ้าขาดวิจารณญาณใดๆ นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ของเจ้าพูด รวมทั้งแนวคิดอันผิดพลาดทั้งหมดที่พ่อแม่ของเจ้าส่งเสริมและฝังคำสอนในตัวเจ้าย่อมกลายมาเป็นครอบงำในใจเจ้าเพราะเจ้าสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นก่อนสิ่งอื่นใด  สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นเป้าหมายของการไล่ตามไขว่คว้าและการดิ้นรนตลอดชีวิตของเจ้า  แม้ความคาดหวังนานัปการที่พ่อแม่นำมาเสนอให้เจ้าก่อนที่เจ้าไปถึงวัยผู้ใหญ่นั้นเป็นเรื่องน่าตกใจและความแหลกลาญประเภทหนึ่งสำหรับจิตใจอันเยาว์วัยของเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ความคาดหวังของพ่อแม่ รวมทั้งภายใต้ราคาสารพันที่พวกเขาจ่ายเพื่อเจ้า โดยเข้าใจเจตจำนงของพวกเขา อีกทั้งยอมรับและขอบคุณสำหรับการกระทำที่ใจดีมีเมตตานานัปการของพวกเขา  หลังจากที่เจ้ายอมรับราคาสารพัดที่พวกเขาจ่ายและการพลีอุทิศสารพัดที่พวกเขาทำเพื่อเจ้า เจ้าย่อมรู้สึกเป็นหนี้พ่อแม่ของเจ้า และในส่วนลึกของหัวใจก็รู้สึกละอายยามเผชิญหน้ากับพวกเขา และเจ้าก็คิดว่าเจ้าจำต้องจ่ายคืนให้กับพวกเขาหลังจากที่เจ้าเติบโตขึ้น  จ่ายคืนอะไรหรือ?  จ่ายคืนความคาดหวังอันไร้เหตุผลที่พวกเขามีต่อเจ้านะหรือ?  จ่ายคืนความแหลกลาญที่พวกเขาก่อให้เกิดกับเจ้าก่อนที่เจ้าจะไปถึงวัยผู้ใหญ่นะหรือ?  นี่เป็นการสับสนระหว่างดำกับขาวไม่ใช่หรือ?  อันที่จริงเมื่อพูดเรื่องนี้จากรากเหง้าและแก่นแท้ของเรื่อง ความคาดหวังทั้งหลายที่พ่อแม่มีต่อเจ้านั้นก็แค่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ความคาดหวังเหล่านั้นเป็นแค่การคิดแบบมุ่งหวัง  สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งทั้งหลายที่เด็กคนหนึ่งควรมี ปฏิบัติ หรือใช้ชีวิตตามโดยสิ้นเชิง อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่บางสิ่งเด็กคนหนึ่งจำเป็นต้องมี  เพื่อที่จะติดตามกระแสนิยมของโลก เพื่อปรับตัวเข้ากับโลก เพื่อตามให้ทันความก้าวหน้าของโลก พ่อแม่ของเจ้าให้เจ้าทำตามพวกเขา พ่อแม่ให้เจ้าแบกรับแรงกดดันอย่างที่พวกเขาทำ อีกทั้งพ่อแม่ก็ทำให้เจ้ายอมรับและติดตามกระแสนิยมชั่วเหล่านี้  เพราะฉะนั้นภายใต้ความคาดหวังอันร้อนแรงของพ่อแม่ของพวกเขา เด็กมากมายทุ่มเทในการเล่าเรียนทักษะนานาสารพัน สารพัดหลักสูตร และความรู้สารพัดประเภท  พวกเขาเริ่มจากการพยายามสนองความคาดหวังของพ่อแม่ของตนไปสู่การไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายที่ตั้งใจตามความคาดหวังของพ่อแม่อย่างแข็งขัน  พูดอีกอย่างก็คือ ก่อนที่ผู้คนจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ พวกเขายอมรับความคาดหวังของพ่อแม่ของตนอย่างนิ่งเฉย และหลังจากที่พวกเขาค่อยๆ เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา พวกเขาก็ยอมรับความคาดหวังที่มาจากจิตสำนึกซึ่งเอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพ่อแม่อย่างกระตือรือร้น และเต็มใจยอมรับแรงกดดันประเภทนี้ รวมทั้งการชักพาให้หลงผิด การควบคุม และการผูกมัดนี้ที่มาจากสังคม  โดยสรุปก็คือ พวกเขาค่อยๆ เริ่มจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในการนี้แบบนิ่งเฉยจนไปสู่แบบแข็งขัน  ในหนทางนี้ พ่อแม่ของพวกเขารู้สึกพึงพอใจ  ลูกยังรู้สึกถึงสำนึกของสันติสุขภายใน และรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้ให้สิ่งที่พ่อแม่ต้องการ และว่าพวกเขาโตแล้ว—ไม่ใช่แค่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น แต่กลายเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในสายตาพ่อแม่ของตน และดำเนินชีวิตได้ตามความคาดหวังของพ่อแม่ของตน  แม้ว่าผู้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จในการเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในสายตาพ่อแม่ของตนหลังจากพวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งโดยผิวเผินนั้น ดูราวกับว่าราคาที่พ่อแม่จ่ายไปนั้นได้รับการจ่ายคืนแล้ว และราวกับว่าความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อพวกเขานั้นไม่ได้สูญเปล่า แต่ความเป็นจริงคืออะไรหรือ?  ลูกๆ เหล่านี้ได้ประสบความสำเร็จในการกลายเป็นหุ่นเชิดของพ่อแม่ พวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการติดหนี้พ่อแม่ของพวกเขาก้อนใหญ่ พวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อทำให้ความคาดหวังของพ่อแม่เป็นจริง เพื่อพยายามทำบางสิ่งให้พ่อแม่ นำพาความดีความชอบและเกียรติยศมาสู่พ่อแม่ และพวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการทำให้พ่อแม่พึงพอใจ กลายเป็นความภาคภูมิใจและความชื่นบานยินดีของพ่อแม่  ไม่ว่าพ่อแม่ของพวกเขาไปทางไหน พ่อแม่เหล่านั้นก็จะเอ่ยถึงลูกของตนว่า “ลูกสาวของฉันเป็นผู้จัดการของบริษัทนี่นั่น”  “ลูกสาวของฉันเป็นนักออกแบบสำหรับยี่ห้อดังนี่นั่น”  “ลูกสาวของฉันอยู่ที่ระดับนี่นั่นของภาษาต่างประเทศนี้ เธอพูดภาษานี้ได้อย่างคล่องแคล่ว เธอเป็นนักแปลให้กับภาษานี่นั่น”  “ลูกสาวของฉันเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์”  เด็กเหล่านี้ได้ประสบความสำเร็จในการกลายเป็นความภาคภูมิใจและความชื่นบานยินดีของพ่อแม่ และพวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการกลายเป็นเงาของพ่อแม่  นี่เป็นเพราะพวกเขาจะใช้วิธีการเดียวกันเพื่อให้การศึกษาและฝึกฝนลูกของตัวเอง  พวกเขาคิดว่าพ่อแม่ของตัวเองได้ประสบความสำเร็จในการฝึกฝนพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะลอกเอาวิธีการให้การศึกษาของพ่อแม่ไปฝึกฝนลูกของตัวเอง  ในหนทางนี้ ลูกของพวกเขาจำต้องแบกความยากลำเค็ญ ความทุกข์อันน่าสลด และความแหลกลาญแบบเดียวกันจากพวกเขาเหมือนกับที่พวกเขาได้รับจากพ่อแม่ของตัวเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ทำเพื่อให้ความคาดหวังที่ตนมีต่อลูกเป็นจริงก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่นั้นย้อนแย้งกับมโนธรรม เหตุผล และกฎธรรมชาติทั้งหลาย  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นั่นย้อนแย้งกับอธิปไตยและการทรงตั้งของพระเจ้า  ถึงแม้เด็กทั้งหลายไม่มีความสามารถที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะระหว่างถูกและผิด หรือที่จะคิดได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง แต่ชะตากรรมของพวกเขาก็ยังคงอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ถูกปกครองโดยพ่อแม่ของตัวเอง  เพราะฉะนั้นนอกจากการมีความคาดหวังต่อลูกของตนภายในจิตสำนึกของตัวเองแล้ว ทางด้านพฤติกรรมของพวกเขา พ่อแม่ที่โง่เขลายังดำเนินการกระทำ การพลีอุทิศ และการจ่ายราคามากขึ้นไปอีก โดยทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาต้องการและเต็มใจทำเพื่อลูกของตน ไม่สำคัญว่านี่เป็นการสละเงินทอง เวลา พลังงาน หรือสิ่งอื่น  แม้ว่าพ่อแม่ทำสิ่งเหล่านั้นไปโดยสมัครใจ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไร้มนุษยธรรม และก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วง  พ่อแม่เหล่านั้นได้ทำเกินขอบเขตความสามารถและความรับผิดชอบอันถูกควรของตนไปแล้ว  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะพ่อแม่เริ่มการพยายามที่จะวางแผนและควบคุมอนาคตของลูกก่อนที่ลูกจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ และยังพยายามที่จะกำหนดอนาคตของลูกของตนอีกด้วย  นั่นโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่นสมมุติว่า พระเจ้าได้ทรงตั้งว่า มนุษย์คนหนึ่งจะเป็นคนงานธรรมดา และในชีวิตนี้เขาก็จะสามารถหาเงินค่าจ้างพื้นฐานได้บ้างเพื่อหาอาหารการกินและเสื้อผ้าให้กับตัวเอง แต่พ่อแม่ของเขายืนกรานที่จะให้เขากลายเป็นคนเด่นดัง บุคคลที่มั่งมี ข้าราชการชั้นสูง วางแผนและจัดการเตรียมการสิ่งทั้งหลายเพื่ออนาคตของเขาก่อนที่เขาจะไปถึงวัยผู้ใหญ่ โดยจ่ายสิ่งที่เรียกว่าราคาหลากหลายประเภท พยายามที่จะควบคุมชีวิตและอนาคตของเขา  นั่นโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แม้ว่าลูกของเขาได้รับผลการเรียนที่ค่อนข้างดี เข้ามหาวิทยาลัย เรียนรู้ทักษะนานาสารพันหลังจากที่เขาไปถึงวัยผู้ใหญ่ และมีทักษะบางอย่าง แต่เมื่อสุดท้ายแล้วเขาไปหางานทำ ไม่ว่าเขาค้นหาอย่างไร เขาก็ยังคงจบลงตรงการเป็นคนทำงานธรรมดาอยู่ดี  อย่างมากที่สุด เขาก็โชคดีและกลายเป็นหัวหน้าคนงานซึ่งก็ดีอยู่แล้ว  สุดท้ายแล้วเขาก็หาเงินได้เพียงเงินเดือนขั้นพื้นฐานเท่านั้น และเขาก็ไม่มีวันสามารถหาเงินได้เป็นเงินเดือนข้าราชการชั้นสูงหรือเป็นคนมั่งมีเหมือนที่พ่อแม่ของเขาเรียกร้องไว้  พ่อแม่ของเขาต้องการให้เขาผงาดขึ้นมาในโลก ให้หาเงินได้มากๆ ให้กลายเป็นข้าราชการระดับสูง เพื่อให้พ่อแม่สามารถอิ่มอกอิ่มใจไปพร้อมกับลูก  พ่อแม่ไม่เคยคาดหวังว่าในชีวิตนี้เขาจะยังคงมีชะตากรรมเป็นคนทำงานธรรมดา แม้ว่าเขาได้ทำผลงานดีมากที่โรงเรียนและเชื่อฟังอย่างมาก แม้ว่าพ่อแม่ได้จ่ายราคาไปมากมายเพื่อเขา และแม้ว่าเขาได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาโตขึ้นก็ตาม  หากพวกเขาสามารถคาดการณ์ถึงเรื่องนี้ได้ พวกเขาก็คงไม่ทรมานตัวเองไปมากเหลือเกินในเวลานั้น  แต่พ่อแม่สามารถหลีกเลี่ยงการทรมานตัวเองได้หรือไม่?  (ไม่)  พ่อแม่ขายบ้าน ที่ดิน สมบัติพัสถานของครอบครัวตัวเอง อีกทั้งบางคนก็ถึงกับขายไตของตัวเองเพื่อให้ลูกของตนสามารถไปเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง  เมื่อลูกไม่เห็นด้วยกับการนี้ แม่ก็พูดว่า “แม่มีไตสองข้าง  ถ้าเสียไปข้างหนึ่ง แม่ก็ยังมีอีกข้าง  แม่อายุมากแล้ว แม่จำเป็นต้องมีไตข้างเดียวเท่านั้นเอง”  ลูกของนางรู้สึกอย่างไรหลังจากได้ยินแบบนี้?  “หนูยอมให้แม่ขายไตของแม่ไม่ได้ ต่อให้นั่นหมายถึงการที่หนูจะไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยก็ตาม”  และแม่ก็พูดว่า “ลูกจะไม่ไปหรือ?  ลูกเป็นเด็กอกตัญญูไม่เชื่อฟัง!  ทำไมแม่ถึงกำลังจะขายไต?  นี่ก็เพื่อให้ลูกสามารถประสบความสำเร็จในอนาคตไม่ใช่หรือ?”  ลูกรู้สึกสะเทือนใจหลังจากได้ยินแบบนี้และคิดว่า “ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไปขายไตของแม่ได้เลย หนูจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง”  สุดท้ายแล้วแม่ก็ทำจริงๆ –นางแลกเปลี่ยนไตข้างหนึ่งกับอนาคตของลูก—และสุดท้ายแล้ว ลูกก็กลายเป็นเพียงคนทำงานคนหนึ่งเท่านั้นเอง และไม่ได้จบลงตรงการประสบความสำเร็จ  ดังนั้นแม่คนนั้นขายไตข้างหนึ่งและทั้งหมดที่ได้รับเป็นการแลกเปลี่ยนก็คือคนทำงานหนึ่งคน—นั่นควรแล้วหรือไม่?  (ไม่)  สุดท้ายแล้วแม่ก็เข้าใจเรื่องนี้และพูดว่า “ลูกแค่ถูกกำหนดชะตากรรมให้เป็นคนทำงานคนหนึ่ง  ถ้าแม่รู้เรื่องนั้นเร็วกว่านี้ แม่คงไม่ขายไตไปและส่งลูกเข้ามหาวิทยาลัย  ลูกก็สามารถแค่เดินหน้าและกลายเป็นคนทำงานได้เลย ถูกไหม?  การเข้ามหาวิทยาลัยของลูกมีประโยชน์อะไร?”  นั่นสายไปเสียแล้ว!  ใครใช้ให้นางทำเรื่องโง่เขลาเหลือเกินไปก่อนหน้านั้นเล่า?  ใครให้นางชื่นชมยินดีกับแนวคิดของการที่ลูกของนางกลายเป็นข้าราชการระดับสูงและหาเงินได้มาก?  ความโลภทำให้นางตาบอด นางสมควรแล้วที่เป็นแบบนี้!  นางจ่ายราคาเพื่อลูกไปมากมายเหลือเกิน แต่ลูกติดหนี้อะไรนางหรือไม่?  ไม่  นางจ่ายราคาเหล่านั้นไปอย่างเต็มใจ และนางก็ได้รับสิ่งที่นางสมควรได้รับ!  ต่อให้นางขายไตไปสองข้าง นั่นก็จะเป็นโดยสมัครใจ  เพื่อส่งลูกของตนเข้ามหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ คนบางคนขายกระจกตาของตัวเอง บางคนขายเลือด บางคนพลีอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมี รวมทั้งขายสมบัติพัสถานของครอบครัว แล้วนั่นคุ้มค่าหรือไม่?  ราวกับพวกเขาคิดว่าการขายเลือดเล็กน้อยหรืออวัยวะสักชิ้นสามารถตัดสินอนาคตของบุคคลและเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้  นั่นสามารถเป็นไปได้หรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนช่างโง่เขลายิ่งนัก!  พวกเขากำลังมองหาการจ่ายคืนแบบรวดเร็ว เกียรติยศและผลกำไรทำให้พวกเขาตาบอด  พวกเขาคิดเสมอว่า “เอาเถิด ชีวิตฉันก็แค่เป็นแบบนี้เอง”  ดังนั้นพวกเขาจึงฝากความหวังของพวกเขาไว้ที่ลูกของตัวเอง  นั่นหมายความว่าชะตากรรมของลูกจะดีกว่าของพวกเขาอย่างแน่นอนหรือ?  ว่าลูกของพวกเขาจะสามารถผงาดขึ้นมาในโลกหรือ?  ว่าพวกเขาจะแตกต่างไปหรือ?  ผู้คนโง่เขลามากขนาดนี้ได้อย่างไร?  พวกเขาคิดว่าแค่เพราะตัวเองมีความคาดหวังสูงให้กับลูก ลูกก็จะเหนือกว่าคนอื่นและมีชีวิตตามความคาดหวังของพวกเขาอย่างแน่นอนหรือ?  ชะตากรรมของผู้คนไม่ได้ถูกตัดสินโดยพ่อแม่ของพวกเขา ชะตากรรมเหล่านั้นถูกตัดสินโดยพระเจ้า  แน่นอนว่าไม่มีพ่อแม่คนใดที่ปรารถนาที่จะเห็นลูกของตนกลายเป็นขอทาน  แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่ต้องยืนกรานให้ลูกของตัวเองผงาดขึ้นในโลกและกลายเป็นข้าราชการระดับสูงหรือผู้คนที่โดดเด่นในสังคมชั้นสูง  การอยู่ในสังคมชั้นสูงดีอย่างไรหรือ?  การผงาดขึ้นในโลกดีอย่างไรหรือ?  สิ่งเหล่านั้นคือปลักตม ไม่ใช่สิ่งที่ดี  การกลายเป็นคนเด่นดัง บุคคลสำคัญยิ่งใหญ่ ยอดมนุษย์ หรือบุคคลที่มีตำแหน่งและสถานะนั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือ?  ชีวิตนั้นสุขสบายที่สุดในฐานะบุคคลธรรมดา  การดำเนินชีวิตที่ยากจนกว่า ลำบากกว่า เหน็ดเหนื่อยกว่าเล็กน้อย มีอาหารและเสื้อผ้าที่แย่กว่าเล็กน้อยนั้นผิดปกติอะไรหรือ?  อย่างน้อยที่สุดก็รับประกันได้อย่างหนึ่งว่า ในเมื่อเจ้าไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางกระแสนิยมทางสังคมของสังคมชั้นสูง อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะทำบาปน้อยลงและทำสิ่งที่ขัดขืนพระเจ้าน้อยลง  ในฐานะบุคคลธรรมดา เจ้าจะไม่เผชิญกับการทดลองที่ใหญ่หลวงหรือถี่เช่นนั้น  แม้ชีวิตของเจ้าจะทรหดกว่าสักเล็กน้อย อย่างน้อยจิตวิญญาณของเจ้าก็จะไม่เหนื่อยล้า  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในฐานะคนทำงาน ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องกังวลนั้นคือการทำให้มั่นใจว่าเจ้าสามารถรับประทานได้วันละสามมื้อ  นั่นต่างไปเมื่อเจ้าเป็นข้าราชการ  เจ้าจำต้องต่อสู้ และเจ้าจะไม่รู้ว่าเมื่อใดจะถึงวันที่ตำแหน่งของเจ้าไม่มั่นคงปลอดภัยอีกต่อไป  และนั่นไม่จบแค่นั้น ผู้คนที่เจ้าล่วงเกินไปจะหาทางเอาคืนเจ้า และเจ้าก็จะถูกคนพวกนั้นลงโทษ  ชีวิตนั้นน่าเหน็ดเหนื่อยอย่างมากสำหรับพวกคนเด่นคนดัง ผู้ยิ่งใหญ่ และผู้คนที่มั่งมี  ผู้คนที่มั่งมีหวาดกลัวอยู่เสมอว่าตัวเองจะไม่มั่งมีเช่นนั้นในภายภาคหน้า และว่าพวกเขาจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้หากเกิดเรื่องนั้นขึ้น  พวกคนเด่นคนดังห่วงกังวลอยู่เสมอว่าพวกเขาจะหมดรัศมี และพวกเขาต้องการที่จะปกป้องรัศมีของตนอยู่เสมอ โดยเกรงว่าตัวเองจะถูกกระแสนิยมทั้งหลายและยุคสมัยนี้กำจัดออกไป  ชีวิตของพวกเขาช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน!  พ่อแม่ไม่เคยรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ และต้องการที่จะผลักดันลูกของตนเข้าสู่ใจกลางของการดิ้นรนนี้ ส่งพวกเขาไปอยู่ในถ้ำสิงโตและปลักตมเสมอ  พ่อแม่มีเจตนารมณ์ที่ดีจริงๆ หรือ?  หากเราพูดว่าพวกเขาไม่มีเจตนารมณ์ที่ดี พวกเจ้าย่อมจะไม่เต็มใจฟัง  หากเราพูดว่าความคาดหวังของพ่อแม่ของเจ้าส่งผลต่อพวกเจ้าอย่างเป็นลบในหลายทาง เจ้าเต็มใจที่จะยอมรับรู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ความคาดหวังเหล่านี้ทำร้ายเจ้าอย่างลึกซึ้งทีเดียวไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าบางคนไม่เต็มใจที่จะยอมรับรู้เรื่องนี้ เจ้าพูดว่า “พ่อแม่ของฉันต้องการสิ่งที่ดีสำหรับฉัน”  เจ้าพูดว่าพ่อแม่ของเจ้าต้องการสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า—เอาล่ะ สิ่งที่ดีเหล่านั้นอยู่ตรงไหนหรือ?  พ่อแม่ของเจ้าต้องการสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า แต่พวกเขาได้ทำให้เจ้าสามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นบวกได้มากมายเท่าใดหรือ?  พ่อแม่ของเจ้าต้องการสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า แต่พวกเขาได้แก้ไขความคิดและทัศนะที่ไม่ถูกต้องและไม่พึงประสงค์ของเจ้าไปมากเท่าใดหรือ?  (ไม่มีเลย)  แล้วตอนนี้เจ้าสามารถรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  เจ้าสามารถรู้สึกว่าความคาดหวังจากทางพ่อแม่นั้นไม่สมเหตุสมผล ใช่หรือไม่?

โดยผ่านทางการชำแหละแก่นแท้ของความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อลูกของตน พวกเราสามารถเห็นได้ว่าความคาดหวังเหล่านี้เห็นแก่ตัว ขัดกับความเป็นมนุษย์ และไม่เกี่ยวอะไรกับความรับผิดชอบของพ่อแม่  เวลาที่พ่อแม่ยัดเยียดความคาดหวังและความต้องการสารพัดอย่างให้กับลูกของตน พวกเขากลับเพิ่มความกดดันให้กับลูกเป็นอันมาก—นี่ไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของตน  ถ้าเช่นนั้น ความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วงมีอะไรบ้าง?  อย่างน้อยพวกเขาควรสอนลูกให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ พูดเรื่องจริง และทำสิ่งต่างๆ อย่างซื่อสัตย์ สอนให้มีจิตใจที่ดีและไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี ชี้แนะลูกในทิศทางที่เป็นบวก  สิ่งเหล่านี้คือความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานที่สุดของพวกเขา  นอกจากนี้ พวกเขาควรชี้แนะให้ลูกศึกษาหาความรู้ ทักษะ และอื่นๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ตามขีดความสามารถและภาวะของลูก  ถ้าพ่อแม่เชื่อในพระเจ้าและเข้าใจความจริง พวกเขาก็ควรให้ลูกๆ อ่านพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริง เพื่อให้ลูกมารู้จักพระผู้สร้าง และเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสร้างผู้คนขึ้นมาและมีพระเจ้าอยู่ในจักรวาลนี้ พวกเขาควรพาลูกๆ อธิษฐานถึงพระเจ้า กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ลูกเข้าใจความจริงบางอย่างได้ และเมื่อเติบโตขึ้นก็จะสามารถเชื่อในพระเจ้า ติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ แทนที่จะมัวไล่ตามกระแสนิยมทางโลก ติดอยู่ในกับดักที่เป็นสัมพันธภาพอันซับซ้อนระหว่างบุคคล และถูกกระแสนิยมต่างๆ อันชั่วของโลกนี้ชักจูง ทำให้เสื่อมทราม และทำลายเสีย  นี่คือความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วงโดยแท้  ความรับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วงตามบทบาทของพ่อแม่ก็คือให้การชี้แนะแก่ลูกในทางที่เป็นบวกและให้การช่วยเหลืออย่างเหมาะควรก่อนที่ลูกๆ จะโตเป็นผู้ใหญ่ รวมทั้งดูแลชีวิตทางด้านกายภาพของลูกให้ทันท่วงทีในเรื่องของปัจจัยสี่  ถ้าลูกป่วย พ่อแม่ก็ควรพาไปรักษาเมื่อจำเป็น ไม่ควรให้ลูกยังคงไปโรงเรียน และงดเว้นการรักษาเพราะเกรงว่าจะถ่วงการเรียนของลูก  เมื่อลูกจำเป็นต้องพักฟื้น ก็ต้องอนุญาตให้พักฟื้น และเมื่อลูกจำเป็นต้องพักผ่อน ก็ต้องอนุญาตให้พักผ่อน  การดูแลสุขภาพของลูกให้ดีเป็นสิ่งที่ต้องทำ ถ้าลูกเรียนตามเพื่อนไม่ทัน พ่อแม่ก็หาวิธีให้เรียนชดเชยภายหลังได้  นี่คือความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วง  ด้านหนึ่ง พวกเขาต้องช่วยให้ลูกๆ ของตนมีพื้นความรู้ที่แน่นพอ  อีกด้านหนึ่ง พวกเขาต้องชี้แนะและอบรมสั่งสอนลูกให้เดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง และดูแลให้ลูกมีสุขภาพจิตที่ดี จะได้ไม่ถูกกระแสนิยมที่ไม่ดีและแนวปฏิบัติอันชั่วของสังคมเข้าครอบงำ  ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องให้ลูกใส่ใจออกกำลังกายอย่างเหมาะสมอีกด้วยเพื่อให้ลูกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง  เหล่านี้คือสิ่งที่พ่อแม่พึงทำ ไม่ใช่ฝืนยัดเยียดความคาดหวังหรือความต้องการใดๆ ที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงให้กับลูก  พ่อแม่ต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตนทั้งในเรื่องของสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องมีทางฝ่ายวิญญาณและสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องมีในชีวิตทางกาย  พวกเขาควรบอกความรู้ทั่วไปบางอย่างแก่ลูก เช่น ลูกควรกินอาหารร้อนๆ ไม่กินอาหารที่เย็นชืด เมื่ออากาศหนาวก็ควรแต่งกายให้อบอุ่น จะได้ไม่เป็นไข้หนาวหรือเป็นหวัด ช่วยให้ลูกเรียนรู้ที่จะดูแลสุขภาพของตนเอง  นอกจากนี้ เมื่อความรู้สึกนึกคิดที่ยังเยาว์ของลูกเกิดแนวคิดแบบเด็กๆ ที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ในเรื่องอนาคตของตนหรือความคิดสุดโต่งบางอย่าง พ่อแม่ก็ต้องให้การชี้แนะที่ถูกต้องแก่ลูกทันทีที่พวกเขาพบเห็นเรื่องแบบนี้ แก้ไขความคิดเพ้อฝันแบบเด็กๆ และเรื่องที่สุดโต่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง เพื่อให้ลูกสามารถออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตได้  นี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่  ในแง่หนึ่ง การลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่หมายถึงการเอาใจใส่ดูแลชีวิตของลูก ส่วนอีกแง่หนึ่งหมายถึงการชี้แนะและแก้ไขความคิดอ่านของลูกให้ถูกต้อง ให้การชี้แนะที่ถูกต้องแก่ลูกในเรื่องความคิดอ่านและทัศนะของพวกเขา  อันที่จริงแล้วความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วงไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความคาดหวังที่พวกเขามีต่อเชื้อสายของตน  เจ้าสามารถหวังว่าลูกของเจ้าจะมีสุขภาพกายที่ดีและมีความเป็นมนุษย์ มีมโนธรรม และมีเหตุผลหลังจากที่พวกเขาโตขึ้น หรือเจ้าสามารถหวังว่าลูกของเจ้าจะแสดงความกตัญญูต่อเจ้า แต่เจ้าไม่ควรหวังว่าลูกของเจ้าจะกลายเป็นคนเด่นคนดังหรือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ประเภทนี้นั้นหลังจากที่โตแล้ว และเจ้ายิ่งไม่ควรบอกลูกอยู่เป็นนิจว่า “ดูสิว่าเสี่ยวหมิงที่อยู่บ้านถัดไปเชื่อฟังแค่ไหน!”  ลูกของเจ้าก็คือลูกของเจ้า—ความรับผิดชอบที่เจ้าพึงลุล่วงไม่ใช่การบอกลูกว่าเสี่ยวหมิงที่เป็นเพื่อนบ้านนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด หรือให้ลูกเรียนรู้จากเสี่ยวหมิงที่เป็นเพื่อนบ้านของพวกเขา  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่พ่อแม่ควรทำ  บุคคลทุกคนแตกต่างกัน  ผู้คนต่างกันในแง่ของความคิด ทัศนะ ความสนใจ งานอดิเรก ขีดความสามารถ บุคลิกภาพ รวมทั้งการที่แก่นแท้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นดีหรือเลวทราม  คนบางคนเกิดมาช่างพูดเป็นต่อยหอย ในขณะที่คนอื่นมีโลกส่วนตัวสูงมาแต่กำเนิด และจะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเลยหากพวกเขาผ่านวันทั้งวันไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ  เพราะฉะนั้นหากพ่อแม่ปรารถนาที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตน พวกเขาก็ควรพยายามเข้าใจบุคลิกภาพ อุปนิสัย ความสนใจ ขีดความสามารถ และสิ่งจำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ของลูกของตน  แทนที่จะแปรการไล่ตามไขว่คว้าทางโลก เกียรติยศ และผลกำไรแบบผู้ใหญ่ของตนไปเป็นความคาดหวังที่มีต่อลูก ยัดเยียดสิ่งเหล่านี้ที่เป็นเกียรติยศ ผลกำไร และโลกซึ่งมาจากสังคมให้กับลูกของตน  พ่อแม่เรียกสิ่งเหล่านี้ในชื่อที่ฟังดูดีว่า “ความคาดหวังที่มีต่อลูก” แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น  เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขากำลังพยายามผลักลูกของตนเข้าสู่กองเพลิงและส่งลูกเข้าไปในอ้อมแขนของหมู่มาร  หากเจ้าเป็นพ่อแม่ที่ดีพอจริงๆ เจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าที่เกี่ยวกับสุขภาพกายและใจของลูก แทนที่จะยัดเยียดเจตจำนงของเจ้าให้กับลูกก่อนที่พวกเขาจะถึงวัยผู้ใหญ่ บังคับจิตใจอันเยาว์วัยของลูกให้แบกสิ่งทั้งหลายที่ลูกไม่ควรต้องแบก  หากเจ้ารักและทะนุถนอมลูกจริงและเจ้าต้องการลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อลูกจริงๆ เช่นนั้นเจ้าก็ควรดูแลร่างกายของพวกเขา และทำให้มั่นใจว่าพวกเขามีสุขภาพกายที่ดี  แน่นอนว่าเด็กบางคนเกิดมาบอบบางและมีสุขภาพที่แย่  หากพ่อแม่ของเด็กเหล่านี้มีภาวะที่จะทำเช่นนั้นได้จริงๆ พวกเขาก็สามารถเพิ่มอาหารเสริมบางอย่างให้กับลูก หรือขอข้อมูลจากแพทย์แผนจีนหรือนักโภชนาการ อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการดูแลพิเศษเล็กน้อยต่อเด็กเหล่านี้  นอกจากนั้นแล้ว ในแต่ละวัยก่อนที่ลูกของตนจะถึงวัยผู้ใหญ่ ตั้งแต่วัยทารกและวัยเด็กสู่วัยรุ่น พ่อแม่ควรให้ความใส่ใจมากขึ้นสักหน่อยต่อการเปลี่ยนแปลงในบุคลิกภาพและความสนใจของลูก รวมถึงสิ่งที่จำเป็นต่อลูกในการค้นหาความเป็นมนุษย์ของตัวเอง แสดงความห่วงใยให้ลูกเห็นมากขึ้นสักหน่อย  พ่อแม่ควรให้คำแนะนำ การอนุเคราะห์ และการจัดเตรียมที่เป็นบวกและมีมนุษยธรรมบางอย่างแก่ลูกเช่นกันเมื่อเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและแนวความคิดที่ผิด รวมทั้งบางสิ่งที่ลูกยังไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมีในความเป็นมนุษย์ของตน โดยใช้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ประสบการณ์ และบทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงซึ่งตัวพ่อแม่เองเคยได้รับมาแล้วโดยการก้าวผ่านสิ่งเดียวกัน  จากนั้นพ่อแม่ก็ควรช่วยให้ลูกของตนเติบโตขึ้นอย่างราบรื่นในแต่ละวัย และหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางที่อ้อมหรือการเลี้ยวผิดทาง หรือการหันเหไปแบบสุดกู่  เมื่อจิตใจอันสับสนและเยาว์วัยของพวกเขาถูกทำร้ายหรือทนทุกข์กับเรื่องที่น่าตกใจผิดหวัง พวกเขาควรได้รับการรักษาและความห่วงใย ความรักใคร่เอ็นดู ความเอาใจใส่ รวมทั้งคำแนะนำจากพ่อแม่ของตนแบบทันท่วงที  เหล่านี้คือความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วง  ในส่วนของแผนการใดก็ตามที่ลูกของพวกเขามีสำหรับอนาคตของตัวเอง ไม่ว่าลูกปรารถนาจะเป็นครู ศิลปิน หรือข้าราชการ และอื่นๆ หากแผนการของพวกเขาสมเหตุผล พ่อแม่สามารถหนุนใจพวกเขา รวมทั้งให้การช่วยเหลือและการอนุเคราะห์ในระดับหนึ่งบนพื้นฐานของสภาพการณ์ การศึกษา ขีดความสามารถ ความเป็นมนุษย์ สภาพการณ์ทางครอบครัวของตน และอื่นๆ  อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ไม่ควรทำเกินขอบเขตความสามารถของตน พวกเขาไม่ควรขายรถยนต์ บ้าน ไต หรือโลหิตของตัวเอง  ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  พวกเขาแค่ควรให้การช่วยเหลือลูกของตนในระดับหนึ่งจนสุดความสามารถในฐานะพ่อแม่  หากลูกพูดว่า “หนูอยากเข้ามหาวิทยาลัย” พ่อแม่ก็สามารถพูดได้ว่า “ถ้าลูกอยากเข้ามหาวิทยาลัย แม่จะสนับสนุนลูกและแม่จะไม่ต่อต้านลูก แต่ครอบครัวของเราไม่ได้ฐานะดีนัก  จากนี้ไป แม่จะต้องออมเงินบางส่วนในแต่ละวันเพื่อที่จะจ่ายเป็นค่าติวเข้าวิทยาลัยของลูกหนึ่งปี  ถ้าถึงเวลานั้น แม่เก็บได้มากพอ ลูกก็ได้เข้าวิทยาลัย  ถ้าแม่เก็บได้ไม่พอ ลูกก็ต้องหาทางออกเอง”  พ่อแม่ควรทำข้อตกลงประเภทนี้กับลูกโดยเห็นพ้องต้องกันและสมานฉันท์ และจากนั้นก็แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องมีในแง่ที่เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขา  แน่นอนว่า หากพ่อแม่ไม่สามารถทำให้แผนการและเจตนารมณ์ที่ลูกมีต่ออนาคตของตัวเองเป็นจริงได้ พ่อแม่ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดโดยคิดว่า “ฉันทำให้ลูกผิดหวัง ฉันไร้ความสามารถ และลูกของฉันต้องทนทุกข์เพราะเหตุนี้  ลูกคนอื่นกินดี สวมเสื้อผ้ายี่ห้อดัง และขับรถยนต์โฉบไปมาในวิทยาลัย และตอนกลับบ้าน พวกเขาก็เดินทางโดยเครื่องบิน  ลูกของฉันจำต้องเดินทางโดยรถไฟบนที่นั่งแข็งกระด้าง—ฉันไม่มีเงินส่งพวกเขาขึ้นรถนอนด้วยซ้ำ  ฉันทำให้ลูกผิดหวัง!”  พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เหล่านี้เป็นสภาพการณ์ของลูก และต่อให้พ่อแม่ขายไตข้างหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่สามารถให้สิ่งเหล่านั้นได้ ดังนั้นลูกควรยอมรับชะตากรรมของตน  พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อมประเภทนี้ให้กับพวกเขา ดังนั้นพ่อแม่เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดต่อลูกของตนไม่ว่าในหนทางใดโดยพูดว่า “แม่ทำให้ลูกผิดหวัง  ถ้าลูกไม่แสดงความกตัญญูกับพ่อแม่ในอนาคต แม่จะไม่ว่าเลย  พ่อแม่ไร้สมรรถภาพและไม่ได้จัดเตรียมสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีให้กับลูก”  ไม่มีความจำเป็นที่พ่อแม่ต้องพูดแบบนี้  พ่อแม่แค่จำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตนด้วยมโนธรรมอันชัดเจน ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ และทำให้ลูกของตัวเองมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ  นั่นเพียงพอแล้ว  “สุขภาพ” ตรงนี้แค่หมายถึงการที่พ่อแม่ทำดีที่สุดเพื่อให้มั่นใจว่าลูกของตนมีความคิดที่เป็นบวก ตลอดจนมีความคิดและท่าทีที่แข็งขัน กล้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ และมองโลกในแง่ดีต่อชีวิตประจำวันและการดำรงอยู่ของพวกเขา  เมื่อบางสิ่งทำให้ลูกไม่ได้ดังใจ ลูกไม่ควรตีโพยตีพาย พยายามฆ่าตัวตาย สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อแม่ หรือด่าว่าพ่อแม่ที่เป็นคนไม่เอาไหนไร้ความสามารถในการหาเงินโดยพูดว่า “ดูพ่อแม่คนอื่นสิ  พวกเขาขับรถหรู อยู่อาคารชุด พวกเขาไปล่องเรือสำราญหรูหราและไปท่องเที่ยวยุโรป  ดูพวกเราสิ พวกเราไม่เคยออกไปจากบ้านเกิดหรือนั่งรถไฟความเร็วสูงด้วยซ้ำ!”  หากพวกเขาตีโพยตีพายเช่นนี้ เจ้าควรตอบสนองอย่างไร?  เจ้าควรพูดว่า “ลูกพูดถูก พ่อแม่มีสมรรถภาพแค่นี้เอง  ลูกเกิดมาในครอบครัวนี้และลูกก็ควรยอมรับชะตากรรม  ถ้าลูกมีความสามารถ ลูกย่อมหาเงินเองได้ในอนาคต  อย่าหยาบคายกับพ่อแม่เลย และอย่าเรียกร้องให้พ่อแม่ทำสิ่งต่างๆ เพื่อลูก  พ่อแม่ลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อลูกแล้ว และพ่อแม่ก็ไม่ได้ติดหนี้อะไรลูก  สักวันหนึ่งข้างหน้า ลูกจะกลายเป็นพ่อแม่และลูกก็จะต้องทำแบบนี้เหมือนกัน”  เมื่อพวกเขามีลูกเป็นของตัวเอง พวกเขาจะเรียนรู้ว่าไม่ง่ายนักที่พ่อแม่จะหาเงินมาเกื้อหนุนตนเองและทุกคนในครอบครัวทั้งเด็กและคนแก่  โดยสรุปก็คือ เจ้าควรสอนหลักธรรมบางอย่างแก่พวกเขาเกี่ยวกับวิธีวางตัว  หากลูกของเจ้าสามารถยอมรับการนั้นได้ เจ้าก็ควรสามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงการเชื่อในพระเจ้าและการเดินไปตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อสัมฤทธิ์ความรอด ตลอดจนความคิดและทัศนะที่ถูกต้องบางอย่างที่เจ้าได้เข้าใจจากพระเจ้า  หากลูกเต็มใจยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและเชื่อในพระเจ้าไปพร้อมกับเจ้า นั่นก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก  หากลูกของเจ้าไม่มีความจำเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็เพียงพอแล้วที่เจ้าแค่ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าที่มีต่อพวกเขา เจ้าไม่จำเป็นต้องคอยปากเปียกปากแฉะ หรือยกคำพูดและคำสอนบางอย่างที่เกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้ามาประกาศกับพวกเขา  ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำสิ่งนั้น  ต่อให้ลูกไม่เชื่อ ตราบที่พวกเขาเกื้อหนุนเจ้า พวกเจ้าก็ยังคงสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อีกทั้งพูดคุยและหารือเกี่ยวกับสิ่งใดก็ได้ด้วยกัน  เจ้าไม่ควรเป็นศัตรูกันหรือรู้สึกขุ่นเคืองในตัวพวกเขา  อย่างไรเสียพวกเจ้าก็มีความผูกพันทางสายเลือดระหว่างกัน  หากลูกของเจ้าเต็มใจที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาที่มีต่อเจ้า ที่จะแสดงความกตัญญูต่อเจ้า และที่จะเชื่อฟังเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็สามารถดำรงสัมพันธภาพทางครอบครัวของเจ้ากับพวกเขาเอาไว้ และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาตามปกติ  เจ้าไม่จำเป็นต้องสาปแช่งหรือดุว่าลูกของเจ้าอยู่เป็นนิจเพราะพวกเขามีความคิดเห็นและทัศนะที่แตกต่างจากของเจ้าในแง่ของความเชื่อ  ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น  เจ้าไม่จำเป็นต้องใจร้อน หรือคิดว่าการที่ลูกของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้านั้นเป็นเรื่องใหญ่โตราวกับว่าเจ้าได้สูญสิ้นชีวิตและดวงจิตของเจ้าไปแล้ว  นั่นไม่ร้ายแรงขนาดนั้น  หากพวกเขาไม่เชื่อ เช่นนั้นก็เป็นธรรมดาที่พวกเขามีเส้นทางของตัวเองที่พวกเขาได้เลือกแล้วที่จะเดิน  เจ้าเองก็มีเส้นทางที่เจ้าควรเดินและมีหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติเช่นกัน และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับลูกของเจ้า  หากลูกไม่เชื่อ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องยืนกรานในเรื่องนี้  นั่นอาจเป็นว่ายังไม่ถึงเวลาอันควร หรือพระเจ้าเพียงแต่ไม่ได้ทรงเลือกสรรพวกเขาเท่านั้นเอง  หากพระเจ้าเพียงแต่ไม่ได้ทรงเลือกพวกเขาและเจ้าก็ยืนกรานให้พวกเขาเชื่อ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่รู้ความและเป็นกบฏ  แน่นอนว่า หากพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรพวกเขา แต่เวลาที่ใช่ยังไม่มาถึง และเจ้าก็เรียกร้องให้พวกเขาเชื่อเดี๋ยวนี้ นั่นจะเร็วไปหน่อย  หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะกระทำ ก็ไม่มีบุคคลใดสามารถหลบพ้นอธิปไตยของพระองค์ได้  หากพระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้ลูกของเจ้าเชื่อ เช่นนั้นพระองค์ย่อมสามารถสัมฤทธิ์การนี้ในพระดำรัสเดียวหรือในพระดำริเดียว  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงจัดการเตรียมการให้พวกเขาเชื่อ พวกเขาก็จะไม่ได้รับการดลใจ และหากพวกเขาไม่ได้รับการดลใจ เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าพูดมากเท่าใด นั่นก็จะไม่มีประโยชน์  หากลูกของเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ไม่เป็นหนี้พวกเขา หากลูกของเจ้าเชื่อจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่ความดีความชอบของเจ้า  ใช่แบบนั้นหรือไม่?  (ใช่)  ไม่สำคัญว่าเจ้ามีเป้าหมายเดียวกันกับลูกของเจ้าในแง่ของความเชื่อหรือไม่ หรือว่าเจ้ามีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกับพวกเขาหรือไม่ในแง่นี้ แต่ไม่ว่าเป็นกรณีใด เจ้าก็แค่จำเป็นต้องลุล่วงหน้าที่ของเจ้าที่มีต่อพวกเขา  หากเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านี้แล้ว นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้แสดงความใจดีมีเมตตาต่อพวกเขา และหากลูกของเจ้าไม่เชื่อ นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นหนี้พวกเขา เพราะเจ้าได้ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าแล้ว และนั่นก็จบแล้วสำหรับการนั้น  สัมพันธภาพของพวกเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง และเจ้าก็สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับลูกของเจ้าต่อไปได้ดังที่เจ้าเคยทำมาก่อนหน้านี้  เมื่อลูกของเจ้าเผชิญกับความลำบากยากเย็น เจ้าก็ควรช่วยเหลือพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าสามารถทำได้  หากเจ้ามีปัจจัยทางวัตถุที่จะช่วยลูกของเจ้าได้ เจ้าก็ควรทำ หากเจ้าสามารถแก้ไขความคิดและทัศนะของพวกเขาในระดับความคิดหรือจิตใจ อีกทั้งสามารถให้คำแนะนำและการช่วยเหลือแก่พวกเขาในระดับหนึ่ง ทำให้พวกเขาสามารถออกมากจากสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตน เช่นนั้นนั่นก็ค่อนข้างดีทีเดียว  โดยสรุปแล้ว สิ่งที่พ่อแม่ควรทำก่อนที่ลูกของตนจะถึงวัยผู้ใหญ่ก็คือการลุล่วงหน้าที่ของพ่อแม่ เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ลูกต้องการทำ อีกทั้งสิ่งที่เป็นความสนใจและความใฝ่ฝันของลูก  หากลูกของพวกเขาต้องการที่จะฆ่าคน ที่จะจุดไฟเผาสิ่งต่างๆ และก่ออาชญากรรม เช่นนั้นพ่อแม่ของพวกเขาก็ควรบ่มวินัยพวกเขาหรือแม้แต่ลงโทษพวกเขาอย่างเอาจริงเอาจัง  แต่หากพวกเขาเป็นลูกที่เชื่อฟังและไม่ต่างอะไรกับเด็กธรรมดาคนอื่น อีกทั้งพวกเขาก็ประพฤติตัวดีที่โรงเรียน ทำสิ่งใดตามแต่ที่พ่อแม่บอกให้พวกเขาทำ เช่นนั้นพ่อแม่ก็แค่จำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตนที่มีต่อพวกเขา  นอกจากการลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว สิ่งเหล่านั้นที่เรียกว่าความคาดหวัง ข้อพึงประสงค์ และการคิดถึงอนาคตของลูกล้วนเกินความจำเป็น  เหตุใดเราจึงพูดว่าสิ่งเหล่านั้นเกินความจำเป็น?  พระเจ้าเป็นผู้ทรงลิขิตชะตากรรมของบุคคลทุกคน และพ่อแม่ของพวกเขาไม่อาจเป็นผู้กำหนดได้  ไม่ว่าพ่อแม่มีความคาดหวังใดต่อลูก ก็เป็นไปไม่ได้ที่สิ่งเหล่านั้นจะถูกทำให้เป็นจริงในภายภาคหน้าทั้งหมด  ความคาดหวังเหล่านี้ไม่สามารถกำหนดอนาคตหรือชีวิตของลูกของพวกเขาได้  ไม่ว่าความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด หรือว่าการพลีอุทิศหรือราคาที่พวกเขาสละให้กับความคาดหวังเหล่านั้นเป็นอะไร ทั้งหมดนั้นล้วนสูญเปล่า สิ่งเหล่านี้ไม่อาจส่งอิทธิพลต่ออนาคตและชีวิตของลูกของพวกเขา  เพราะฉะนั้น พ่อแม่ไม่ควรทำสิ่งที่โง่เขลา  พวกเขาไม่ควรทำการพลีอุทิศที่ไม่จำเป็นให้กับลูกของตัวเองก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่ และโดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาไม่ควรรู้สึกเครียดมากนักเกี่ยวกับเรื่องนี้  การฟูมฟักเลี้ยงดูลูกเป็นเรื่องของการที่พ่อแม่เรียนรู้พลางได้รับประสบการณ์นานาชนิดโดยการก้าวผ่านสภาพแวดล้อมต่างๆ กัน และจากนั้นก็ทำให้ลูกของตนสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากพวกเขาไปทีละน้อย  นั่นคือทั้งหมดที่พ่อแม่จำเป็นต้องทำ  ส่วนอนาคตและเส้นทางชีวิตในอนาคตของลูกนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความคาดหวังของพ่อแม่  กล่าวได้ว่า ความคาดหวังของพ่อแม่ของเจ้าไม่อาจตัดสินอนาคตของเจ้าได้  ไม่จริงเลยว่าการที่พ่อแม่ของเจ้ามีความคาดหวังสูงต่อเจ้าหรือคาดหวังสิ่งที่ยิ่งใหญ่จากเจ้าหมายความว่าเจ้าจะสามารถเจริญรุ่งเรืองและดำเนินชีวิตได้ดี และไม่จริงเลยว่าการที่พ่อแม่ของเจ้าไม่มีความคาดหวังต่อเจ้าหมายความว่าเจ้าจะกลายเป็นขอทาน  ไม่จำเป็นต้องมีสัมพันธภาพระหว่างสิ่งเหล่านี้  จงบอกเราทีเถิดว่า หัวข้อเหล่านี้ที่เราได้สามัคคีธรรมไปนั้นเข้าใจง่ายหรือไม่?  ผู้คนจะสำเร็จลุล่วงสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายดายหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้ลำบากยากเย็นหรือไม่?  พ่อแม่แค่จำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนที่มีต่อลูก เลี้ยงดูพวกเขาให้เติบใหญ่ และฟูมฟักพวกเขาจนไปสู่วัยผู้ใหญ่  พวกเขาไม่จำเป็นต้องฟูมฟักลูกของตนให้ไปเป็นคนที่มีพรสวรรค์  การนี้สัมฤทธิ์ได้โดยง่ายใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายดาย—เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกความรับผิดชอบใดเพื่ออนาคตหรือชีวิตของลูก หรือสร้างแผนการใดเพื่อพวกเขา หรือสันนิษฐานล่วงหน้าว่าลูกจะกลายเป็นคนประเภทใด ลูกจะมีชีวิตแบบใดในภายภาคหน้า ลูกจะไปอยู่ในวงสังคมใดหลังจากนี้ คุณภาพชีวิตของลูกในโลกนี้จะเป็นอย่างไรในภายภาคหน้า หรือพวกเขาจะมีสถานะแบบใดท่ามกลางผู้คน  เจ้าไม่ต้องสันนิษฐานล่วงหน้าหรือควบคุมสิ่งเหล่านี้ เจ้าเพียงต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเองในฐานะพ่อแม่เท่านั้น  นั่นง่ายดายเท่านั้นเอง  เมื่อลูกของเจ้าถึงวัยเข้าโรงเรียน เจ้าก็ควรหาโรงเรียนและลงทะเบียนให้พวกเขาเข้าเป็นนักเรียนที่นั่น จ่ายค่าเรียนพิเศษให้พวกเขาเมื่อจำเป็น และจ่ายค่าอะไรก็ตามที่ลูกจำเป็นในโรงเรียน  แค่ลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านี้ก็พอแล้ว  เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่พวกเขากินและสวมใส่ตลอดทั้งปี เจ้าก็แค่จำเป็นต้องดูแลร่างกายของพวกเขาโดยขึ้นอยู่กับสภาพการณ์  จงอย่าปล่อยให้ความเจ็บป่วยที่ไม่ได้รับการเยียวยาคงอยู่กับพวกเขาในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นยามที่พวกเขาไม่เข้าใจวิธีดูแลร่างกายของตัวเอง  จงแก้ไขข้อเสียและนิสัยที่ไม่ดีของลูกให้ทันท่วงที ช่วยพวกเขาพัฒนานิสัยในการดำเนินชีวิตที่ดี แล้วก็ให้คำปรึกษาและนำจิตใจของพวกเขา อีกทั้งทำให้มั่นใจว่าพวกเขาไม่หักเหไปสุดกู่  หากพวกเขาชอบสิ่งชั่วบางอย่างในโลก แต่เจ้าก็เห็นได้ว่าพวกเขาเป็นเด็กดี และเห็นว่าพวกเขาแค่ได้รับอิทธิพลจากกระแสนิยมชั่วของโลก เจ้าก็ควรแก้ไขพวกเขาให้ทันท่วงที และช่วยให้พวกเขาแก้ไขข้อเสียรวมทั้งนิสัยที่ไม่ดีของตัวเอง  เหล่านี้เป็นความรับผิดชอบที่พ่อแม่พึงลุล่วงและเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเขาพึงปฏิบัติ  พ่อแม่ไม่ควรผลักดันลูกไปหากระแสนิยมของสังคม และพ่อแม่ไม่ควรให้ลูกแบกแรงกดดันซึ่งผู้ใหญ่เท่านั้นที่ต้องแบกสารพัดประเภทเร็วเกินไปในยามที่ลูกยังไม่ถึงวัยผู้ใหญ่  พ่อแม่ไม่ควรทำสิ่งเหล่านี้  สิ่งเหล่านี้ช่างเรียบง่ายที่จะสัมฤทธิ์ผล แต่บางคนกลับไม่สามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งเหล่านี้ได้  เพราะผู้คนเหล่านั้นไม่สามารถปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าเกียรติยศและผลประโยชน์ทางโลก หรือกระแสนิยมชั่วของโลก และเพราะพวกเขาหวาดกลัวการถูกโลกกำจัดออกไป พวกเขาจึงให้ลูกของตัวเองกลืนเข้าไปในสังคมก่อนเวลาอันควรอย่างมากและให้ปรับตัวเข้ากับสังคมอย่างรวดเร็วมากในระดับจิตใจก่อนที่ลูกจะถึงวัยผู้ใหญ่  หากเด็กทั้งหลายมีพ่อแม่แบบนี้ พวกเขาก็อับโชค  ไม่ว่าพ่อแม่ของพวกเขาใช้วิธีการหรือข้ออ้างใดที่จะรัก ทะนุถนอม และจ่ายราคาเพื่อพวกเขา ก็ไม่จำเป็นว่าวิธีการหรือข้ออ้างเหล่านั้นคือสิ่งที่ดีสำหรับเด็กๆ ในครอบครัวแบบครอบครัวเหล่านี้—อาจพูดได้ด้วยซ้ำว่าวิธีการหรือข้ออ้างเหล่านั้นเป็นความวิบัติอยู่เหมือนกัน  นี่เป็นเพราะเบื้องหลังความคาดหวังของพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้น สิ่งที่พ่อแม่เหล่านั้นนำมาสู่จิตใจอันเยาว์วัยของลูกของตัวเองก็คือความวิบัติ  หรือพูดอีกอย่างว่า โดยข้อเท็จจริงแล้วความคาดหวังของพ่อแม่เหล่านั้นไม่เกี่ยวกับการที่ลูกของพวกเขามีสุขภาพดีทางร่างกายและจิตใจเลยจริงๆ สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ความคาดหวังว่าลูกของพวกเขาจะตั้งตัวขึ้นในสังคมและหลีกเลี่ยงการถูกสังคมกำจัดออกไป  จุดมุ่งหมายของความคาดหวังของพวกเขาก็เพื่อให้ลูกมีชีวิตที่ดีหรืออยู่เหนือผู้คนอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการกลายเป็นขอทาน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นเลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้ง อีกทั้งเพื่อกลืนเข้าสู่กระแสนิยมชั่วและกลุ่มผู้คนที่ชั่ว  เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่?  (ไม่)  เพราะฉะนั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรับความมุ่งหวังจากทางพ่อแม่ประเภทเหล่านี้มาไว้ในหัวใจ  หากพ่อแม่ของเจ้าเคยมีความคาดหวังประเภทเหล่านี้ต่อเจ้า หรือหากพวกเขาได้จ่ายราคาไปมากมายเพื่อทำให้ความคาดหวังที่ตัวเองมีต่อเจ้าเป็นจริง ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกเป็นหนี้พวกเขา และตั้งใจใช้ทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อจ่ายคืนให้กับราคาที่พวกเขาได้จ่ายไปเพื่อเจ้า—หากเจ้ามีแนวคิดหรือความพึงปรารถนาประเภทนี้ เจ้าก็ควรปล่อยมือจากแนวคิดหรือความพึงปรารถนานี้เสียวันนี้  เจ้าไม่ติดหนี้อะไรพวกเขา แต่เป็นพวกเขาต่างหากที่ทำให้เจ้าแหลกลาญและทุพพลภาพ  พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตนเองในฐานะพ่อแม่ ในทางกลับกัน พวกเขาได้ทำร้ายเจ้า ก่อให้เกิดการบาดเจ็บสารพัดกับจิตใจอันเยาว์วัยของเจ้า รวมทั้งทิ้งความทรงจำและรอยประทับที่เป็นลบไว้ข้างหลังเป็นวงกว้าง  พูดสั้นๆ ก็คือ พ่อแม่แบบคนเหล่านี้ไม่ใช่พ่อแม่ที่ดี  หากว่าในหนทางที่พ่อแม่ให้การศึกษา ส่งผลกระทบ และพูดกับเจ้าก่อนที่เจ้าได้มาถึงวัยผู้ใหญ่นั้น พ่อแม่หวังอยู่ตลอดเวลาให้เจ้าขยันเรียน ประสบความสำเร็จ และไม่จบลงตรงการเป็นคนลงแรง หวังว่าเจ้าจะมีโอกาสในอนาคตที่ดีในภายหน้า กลายเป็นความภาคภูมิใจและความชื่นบานยินดีของพวกเขา รวมทั้งนำพาเกียรติและสง่าราศีมาสู่พวกเขาอย่างแน่แท้ เช่นนั้นเมื่อถึงวันนี้ เจ้าก็พึงตัดขาดจากสิ่งที่เรียกว่าความใจดีมีเมตตาพวกเขาเสีย และไม่จำเป็นต้องรับสิ่งเหล่านั้นไว้ในหัวใจอีกต่อไป  นั่นถูกต้องไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เหล่านี้คือความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตนก่อนที่พวกเขาไปถึงวัยผู้ใหญ่

ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกที่เป็นผู้ใหญ่

พ่อแม่ยังคงมีธรรมชาติของความคาดหวังต่อลูกของตนแบบเดิมหลังจากที่ลูกกลายเป็นผู้ใหญ่  แม้ว่าลูกซึ่งเป็นผู้ใหญ่ของตนสามารถคิดได้ด้วยตนเอง อีกทั้งสื่อสาร พูดจา และหารือสิ่งทั้งหลายกับพวกเขาจากสถานะและมุมมองของผู้ใหญ่คนหนึ่งได้ แต่พ่อแม่ก็ยังคงเก็บงำความคาดหวังเดิมที่มีต่อลูกจากมุมมองของพ่อแม่คนหนึ่ง  ความคาดหวังของพวกเขาแปรจากความคาดหวังสำหรับลูกซึ่งยังไม่ถึงวัยผู้ใหญ่ไปเป็นความคาดหวังสำหรับผู้ใหญ่  แม้ว่าความคาดหวังจากทางพ่อแม่ที่มีต่อผู้ใหญ่นั้นต่างจากความคาดหวังเหล่านั้นที่มีต่อเด็กซึ่งยังไม่ถึงวัยผู้ใหญ่ แต่ในฐานะผู้คนที่เสื่อมทรามธรรมดา และสมาชิกของสังคมและโลก พ่อแม่ก็ยังคงเก็บงำความคาดหวังประเภทเดิมต่อลูกของตน  พวกเขาหวังว่าสิ่งทั้งหลายจะดำเนินไปอย่างราบรื่นสำหรับลูกของตนในที่ทำงาน หวังว่าลูกของตนจะมีการสมรสที่มีความสุขและครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ได้รับการขึ้นเงินเดือนและการเลื่อนตำแหน่ง ได้รับการเห็นคุณค่าจากเจ้านายของพวกเขา และหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดีเป็นพิเศษสำหรับพวกเขาในการงานของพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่ต้องเผชิญความลำบากยากเย็นอันใด  ความคาดหวังเหล่านี้มีประโยชน์อะไรหรือ?  (ความคาดหวังเหล่านี้ไม่มีประโยชน์)  ความคาดหวังเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ความคาดหวังเหล่านี้เกินจำเป็น  พ่อแม่คิดว่าพวกเขาสามารถอ่านจิตใจของเจ้าออกเพราะพวกเขาได้เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่และเกื้อหนุนเจ้า ผลที่ตามมาจึงเป็นว่า พวกเขาเชื่อว่าตัวเองรู้ทุกสิ่งทุกอย่างว่าเจ้ากำลังคิดอะไร เจ้าต้องการอะไร และบุคลิกภาพของเจ้าเป็นอย่างไร แม้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม  และแม้ว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นตัวของตัวเองแล้ว และเจ้าก็สามารถหาเงินมาเกื้อหนุนตนเองได้ แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขายังคงสามารถควบคุมเจ้า และรู้สึกว่าพวกเขายังคงมีสิทธิที่จะพูด เข้ามายุ่งเกี่ยว ตัดสินใน แทรกแซง หรือถึงกับครอบงำเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งใดก็ตามเกี่ยวกับตัวเจ้า  นั่นก็คือพวกเขาคิดว่าตัวเองสามารถเป็นผู้ชี้ขาด  ตัวอย่างเช่น เมื่อเป็นเรื่องของการสมรส หากเจ้ากำลังคบหาอยู่กับใครบางคน พ่อแม่ของเจ้าก็จะพูดทันทีว่า “นั่นไม่ดี เธอไม่ได้มีการศึกษาระดับเดียวกับลูก เธอไม่ได้หน้าตาสวยนัก และครอบครัวของเธอก็อาศัยอยู่ในชนบท  หลังจากลูกแต่งงานกับเธอ ญาติของเธอจากบ้านนอกก็จะยกโขยงกันมา พวกเขาจะใช้ห้องน้ำไม่เป็น และพวกเขาก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างโสโครกไปหมด  นั่นจะไม่ใช่ชีวิตที่ดีของลูกอย่างแน่นอน  นั่นไม่ดีเลย แม่ไม่ยินยอมให้ลูกแต่งงานกับเธอ!”  นี่คือการแทรกแซงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นเกินจำเป็นและน่าขยะแขยงไม่ใช่หรือ?  (นั่นเกินจำเป็น)  ลูกชายและลูกสาวยังต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่เมื่อพวกเขามองหาคู่  ผลที่ตามมาก็คือ ปัจจุบันนี้มีลูกบางคนไม่บอกพ่อแม่ของตัวเองด้วยซ้ำว่าพวกเขาเจอคู่แล้ว แค่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการแทรกแซงของพ่อแม่  เมื่อพ่อแม่ของพวกเขาถาม “ลูกมีคู่ไหม?” พวกเขาก็แค่พูดว่า “ไม่มีเลย ยังเร็วไปหน่อย ลูกยังเด็ก ไม่รีบ” แต่ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขามีคู่มาสองหรือสามปีแล้ว พวกเขาก็แค่ไม่ได้บอกพ่อแม่ของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่บอกพ่อแม่ของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้?  ก็เพราะพ่อแม่ต้องการแทรกแซงในทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อแม่เจ้ากี้เจ้าการมาก ดังนั้นลูกจึงไม่บอกพ่อแม่เกี่ยวกับคู่ของตน  เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะแต่งงาน พวกเขาก็แค่พาคู่ของตนตรงมาที่บ้านของพ่อแม่และถามว่า “พ่อแม่จะยินยอมไหม?  ลูกจะแต่งงานพรุ่งนี้  ลูกกำลังจัดการเรื่องนี้แบบนี้ไม่ว่าพ่อกับแม่จะยินยอมหรือไม่  ถ้าพ่อกับแม่ไม่ยินยอม พวกเราก็จะเดินหน้าต่อและมีลูกกันอยู่ดี”  พ่อแม่เหล่านี้แทรกแซงลูกของตัวเองมากเกินไป ถึงกับแทรกแซงการสมรสของลูก  ตราบที่คู่ซึ่งลูกของตนพบเจอนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาหวัง หากคู่ของลูกเข้ากันได้ไม่ดีกับพวกเขา หรือหากพวกเขาไม่ชอบคู่ของลูก พวกเขาก็จะพยายามทำให้ลูกกับคู่ของลูกแยกทางกัน  หากลูกของพวกเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ พ่อแม่ก็จะร่ำไห้ โหวกเหวกโวยวาย และขู่จะฆ่าตัวตาย จนถึงจุดที่ลูกไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี—พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  มีลูกชายและลูกสาวบางคนด้วยเช่นกันที่พูดว่าตัวเองอายุมากแล้วและไม่ต้องการแต่งงาน และพ่อแม่ของพวกเขาก็บอกพวกเขาว่า “นั่นไม่ดีเลย  แม่เคยหวังว่าลูกจะโตขึ้น แต่งงาน และมีลูก  แม่ได้เห็นลูกเติบโตแล้ว และตอนนี้แม่ก็อยากเห็นลูกแต่งงานและมีลูก  แม่จึงสามารถตายตาหลับได้  ถ้าลูกไม่แต่งงาน แม่คงจะไม่มีวันสมหวังในความปรารถนานี้ได้  แม่คงจะตายไม่ได้ และถ้าแม่ตาย แม่ก็จะตายตาไม่หลับ  ลูกต้องแต่งงาน รีบหาคู่เสียเถิด  ถึงลูกแค่หาคู่ชั่วคราวก็ไม่เป็นไรด้วยซ้ำ และขอให้แม่ได้เห็นคู่ของลูกนะ”  นี่เป็นการแทรกแซงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเป็นเรื่องของการที่ลูกในวัยผู้ใหญ่ของตนเลือกคู่สมรส พ่อแม่สามารถให้การแนะแนวที่เหมาะสม พวกเขาสามารถช่วยกระตุ้นเตือนลูกของตนหรือช่วยดูว่าคู่ของลูกเป็นอย่างไร แต่พวกเขาไม่ควรแทรกแซง พวกเขาไม่ควรช่วยลูกตัดสินใจ  ลูกของพวกเขามีความรู้สึกของตัวเองว่าพวกเขาชอบคู่ของตัวเองหรือไม่ ว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีหรือไม่ ว่าพวกเขามีความสนใจที่คล้ายคลึงกันหรือไม่ และว่าพวกเขาจะมีความสุขด้วยกันในอนาคตหรือไม่  พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องรู้สิ่งเหล่านี้ และต่อให้รู้ พ่อแม่ก็ทำได้เพียงให้ข้อเสนอแนะ พ่อแม่ต้องไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างโจ่งแจ้งหรือแทรกแซงเรื่องนี้อย่างจริงจัง  ถึงกับมีพ่อแม่บางคนพูดว่า “พอลูกชายหรือลูกสาวของฉันเจอคู่ คู่ของพวกเขาต้องมีจุดยืนทางสังคมที่เท่าเทียมกันกับครอบครัวฉัน  ถ้าไม่ใช่ และพวกเขามีสิ่งจูงใจบางอย่างในตัวลูกชายหรือลูกสาวของฉัน ฉันก็จะไม่ยอมให้พวกเขาแต่งงานกัน ฉันจะต้องขัดขวางแผนการของพวกเขา  ถ้าพวกเขาต้องการเข้าบ้านของฉัน ฉันก็จะไม่ยอม!” ความคาดหวังนี้เหมาะควรหรือไม่?  นั่นมีเหตุผลหรือไม่?  (นั่นไม่มีเหตุผล)  นี่เป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญในชีวิตของลูกของพวกเขา การที่พ่อแม่แทรกแซงเรื่องนี้ย่อมไม่มีเหตุผล  แต่จากมุมมองนี้ของพ่อแม่นั้น มีเหตุให้ต้องแทรกแซงเรื่องซึ่งมีนัยสำคัญในชีวิตของลูกมากกว่านี้ด้วยซ้ำ  หากลูกของพวกเขาเจอเพื่อนเพศตรงข้ามให้พูดคุยด้วยอย่างไม่จริงจัง พวกเขาจะไม่แทรกแซง แต่หากนั่นเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ของการสมรส พวกเขาก็จะคิดว่าตัวเองต้องแทรกแซง  ถึงกับมีพ่อแม่ที่ทุ่มความพยายามในการสอดแนมเกี่ยวกับลูก มองหาว่าเพศตรงข้ามรายใดที่ลูกมีรายละเอียดการติดต่อและข้อมูลอยู่ในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ สอดแทรกและสะกดรอยตามลูกจนถึงจุดที่ลูกหลังชนฝา ไม่อาจต่อสู้ โต้แย้ง หรือหลบลี้จากอุปสรรคขวางกั้นนี้  นี่ใช่หนทางอันเหมาะควรที่พ่อแม่คนหนึ่งจะกระทำหรือไม่?  (ไม่ใช่)  หากพ่อแม่ทำให้ลูกรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับพ่อแม่ นี่เรียกว่าการเป็นตัวสร้างความเดือดร้อนใช่หรือไม่?  สิ่งที่พ่อแม่ควรทำเพื่อลูกที่เป็นผู้ใหญ่ก็ยังคงเป็นการปฏิบัติความรับผิดชอบและภาระผูกพันทั้งหลายในฐานะพ่อแม่ การช่วยเหลือพวกเขาในเส้นทางชีวิตภายภาคหน้าของพวกเขา และการให้การแนะแนว การกระตุ้นเตือน และการตักเตือนที่มีคุณค่าและมีเหตุผลแก่พวกเขาบ้าง เพื่อให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงในที่ทำงานหรือเมื่อพวกเขาติดต่อสื่อสารกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งสารพัดประเภท รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางอ้อม การพบเจอความเดือดร้อนที่ไม่จำเป็น หรือแม้แต่การถูกฟ้องร้อง  พ่อแม่ควรใช้จุดยืนจากมุมมองของบุคคลหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ อีกทั้งให้จุดอ้างอิงและการแนะแนวซึ่งมีคุณค่าและมีเหตุผลแก่พวกเขาบ้าง  ส่วนการที่ลูกจะฟังพวกเขาหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องของลูก  สิ่งที่พ่อแม่พึงทำก็แค่ลุล่วงหน้าที่ทั้งหลายของตน  พ่อแม่ไม่อาจมีอิทธิพลต่อการที่ลูกของตนจะได้รับประสบการณ์กับความทุกข์มากเพียงใด ลูกจะสู้ทนกับความเจ็บปวดมากเพียงใด หรือลูกจะชื่นชมยินดีกับพระพรมากมายเพียงใด  หากลูกของพวกเขาต้องสู้ทนความทุกข์ลำบากบางอย่างในชีวิตนี้ และพ่อแม่ได้สอนสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต้องสอนให้กับลูกไปแล้ว แต่เมื่อบางสิ่งเกิดกับลูก ลูกก็ยังคงเอาแต่ใจอย่างมาก เช่นนั้นลูกก็ควรแล้วที่จะต้องทนทุกข์ นั่นเป็นชะตากรรมของลูก และพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องติเตียนตนเอง นั่นถูกต้องไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ในบางกรณี การสมรสของผู้คนเป็นไปได้ไม่ดี พวกเขาไม่สมานฉันท์กับคู่สมรสของตน และตัดสินใจหย่าร้าง และหลังจากที่พวกเขาหย่าร้างกันแล้ว ก็มีกรณีพิพาทว่าใครจะเป็นผู้ฟูมฟักเลี้ยงดูลูก  พ่อแม่ของคนเหล่านั้นหวังว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปด้วยดีสำหรับพวกเขาในการงานของพวกเขา ว่าพวกเขาจะมีการสมรสที่ผาสุกและมีความสุข อีกทั้งหวังให้ไม่มีรอยร้าวหรือปัญหาผุดขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นไปในหนทางที่พวกเขาต้องการให้เป็น  ผลที่ตามมาก็คือ พ่อแม่เหล่านี้เป็นกังวลเกี่ยวกับลูกของตน ร้องไห้พร่ำรำพันกับเพื่อนบ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ และช่วยลูกชายลูกสาวหาทนายมาต่อสู้เพื่ออำนาจปกครองบุตรของตัวลูกเอง  ถึงกับมีพ่อแม่บางคนที่เห็นว่าลูกสาวของตนถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและลุกขึ้นสู้ในนามของลูก โดยไปที่บ้านของสามีของลูกและตะโกนโหวกเหวกว่า “ทำไมเธอถึงไม่เป็นธรรมกับลูกสาวฉันแบบนี้?  ฉันจะไม่ยอมเพิกเฉยกับการหยามหมิ่นนี้!”  พวกเขาถึงกับพาครอบครัวใหญ่ของตัวเองไปด้วยเพื่อระบายความโกรธแทนลูกสาวของตน และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาก่อให้เกิดความอลหม่านกันยกใหญ่  หากทั้งครอบครัวไม่มาโหวกเหวกโวยวาย และความตึงเครียดระหว่างสามีกับภรรยาค่อยๆ สลายไป เช่นนั้นแล้วหลังจากที่สามีภรรยาใจเย็นลง ก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะไม่ได้หย่าร้างกัน แต่เพราะพ่อแม่เหล่านี้โหวกเหวกโวยวาย นั่นจึงแปรไปเป็นเรื่องใหญ่ การสมรสที่แตกหักไปแล้วของลูกไม่อาจแก้ไขคืนและรอยร้าวก็ก่อตัวขึ้น  สุดท้ายแล้วพ่อแม่ก็โหวกเหวกโวยวายมากเกินไปจนการสมรสของลูกตัวเองไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น และพ่อแม่เหล่านี้ก็ห่วงกังวลในเรื่องนี้เช่นกัน  จงบอกเราทีเถิดว่า นี่คุ้มค่ากับความเดือดร้อนหรือไม่?  การที่พวกเขาเข้าไปเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อะไรหรือ?  พ่อแม่ทุกคนคิดว่าตัวเองมีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสมรสหรืองานของลูก “ฉันต้องเกี่ยว ฉันจำเป็นต้องแกะรอยและสังเกตุการณ์เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด”  พวกเขาสังเกตการณ์ว่าการสมรสของลูกของตัวเองนั้นมีความสุขหรือไม่ ว่ามีปัญหาใดในด้านความรักใคร่ของพวกเขาหรือไม่ รวมทั้งสังเกตการณ์ว่าลูกชายหรือลูกเขยของตนกำลังนอกใจหรือไม่  พ่อแม่บางคนก้าวก่าย วิพากษ์วิจารณ์ หรือถึงกับคิดค้นกลอุบายเกี่ยวกับชีวิตของลูกในหลากหลายแง่มุมเพื่อสนองความคาดหวังที่ตนเองมีต่อการสมรสของลูกหรือสิ่งอื่นสารพัด และการนี้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบระเบียบที่ปกติของชีวิตและงานของลูก  พ่อแม่แบบนี้น่าชังไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  มีกระทั่งพ่อแม่บางคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของลูกและนิสัยในการดำเนินชีวิต และยามที่พวกเขาไม่มีอะไรทำ พวกเขาก็ไปที่บ้านของลูกเพื่อดูว่าลูกสะใภ้ของตนเป็นอย่างไร เพื่อตรวจดูว่าลูกสะใภ้แอบส่งของขวัญหรือเงินทองให้กับครอบครัวของตัวเองหรือไม่ หรือว่าพวกเธอกำลังเล่นชู้กับชายอื่นอยู่หรือไม่  ลูกของพวกเขาพบว่าการกระทำเหล่านี้น่ารังเกียจผลักไสและน่าเกลียดชัง  หากพ่อแม่เป็นแบบนี้ต่อไป ลูกก็จะรู้สึกว่านั่นน่าเกลียดชังและน่ารังเกียจผลักไส ดังนั้นจึงชัดเจนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่มีเหตุผล  แน่นอนว่าหากพวกเรามองจากอีกมุมมอง การกระทำเหล่านี้ยังไร้ศีลธรรมและขาดความเป็นมนุษย์อีกด้วย  ไม่ว่าพ่อแม่มีความคาดหวังประเภทใดต่อลูก พ่อแม่ก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวในการดำเนินชีวิตหรือวงการงานของลูก หรือครอบครัวของลูก และพ่อแม่ยิ่งไม่ควรพยายามแทรกแซงหรือควบคุมแง่มุมต่างๆ ของชีวิตลูกหลังจากที่ลูกถึงวัยผู้ใหญ่แล้ว  ถึงกับมีพ่อแม่บางคนที่รักเงินจริงๆ และพูดกับลูกว่า “ลูกจะจำเป็นต้องขยับขยายธุรกิจของลูกเพื่อทำเงินให้มากขึ้นเร็วๆ  ดูลูกของคนนั้นคนนี้สิ พวกเขาขยายธุรกิจของพวกเขาไปแล้ว—พวกเขาเปลี่ยนร้านเล็กๆ ของตัวเองไปเป็นร้านใหญ่ และพวกเขาก็เปลี่ยนร้านใหญ่นั่นไปเป็นแฟรนไชส์ และตอนนี้พ่อแม่ของพวกเขาก็ได้กินดื่มอย่างดีไปพร้อมกับพวกเขา  ลูกต้องหาเงินให้มากขึ้น  จงหาเงินให้มากขึ้นและเปิดร้านเพิ่มขึ้น แล้วพวกเราก็สามารถเสวยสุขในความรุ่งโรจน์ของลูกไปด้วยกัน”  ไม่สำคัญว่าลูกของตนมีความลำบากยากเย็นหรือมีความปรารถนาอะไร พวกเขาก็แค่ต้องการสนองการเลือกชอบและความยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเอง พวกเขาแค่ต้องการใช้ลูกของตนหาเงินให้มากเพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตัวพวกเขาเองในการสุขสำราญกับความยินดีทางเนื้อหนัง  เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรทำ  สิ่งเหล่านี้ไร้ศีลธรรมและขาดความเป็นมนุษย์ และพ่อแม่เช่นนั้นก็ไม่ได้กำลังลุล่วงหน้าที่ของตัวเอง  นี่ไม่ใช่ท่าทีที่พ่อแม่ควรมีต่อลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของตน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพ่อแม่เหล่านี้กำลังฉวยโอกาสจากความอาวุโสของตนเองแทรกแซงชีวิต งาน การสมรส และอื่นๆ ของลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของตนภายใต้หน้ากากของการแสดงความรับผิดชอบต่อลูก  ไม่สำคัญว่าลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของคนคนหนึ่งมีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขามีสถานะประเภทใดในสังคม หรือรายได้ของพวกเขาอาจเป็นอย่างไร นี่ก็คือชะตากรรมที่พระเจ้าทรงจัดไว้สำหรับพวกเขา—นั่นอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า  พ่อแม่ไม่ควรแทรกแซงชีวิตประเภทที่ลูกของตนดำเนินอยู่ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง หรือพวกเขากำลังทำผิดกฎหมาย อันเป็นกรณีที่พ่อแม่ควรบ่มวินัยพวกเขาอย่างเคร่งครัด  แต่ภายใต้สภาพการณ์ปกติที่ผู้ใหญ่เหล่านี้มีความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้อง และมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตและอยู่รอดได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง พ่อแม่ก็ควรถอยออกมาเพราะลูกของตนนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว  หากลูกของพวกเขาเพิ่งจะกลายเป็นผู้ใหญ่ และพวกเขาอายุ 20 หรือ 21 ปี แต่พวกเขายังคงไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์อันซับซ้อนนานาสารพันในสังคม หรือวิธีที่จะประพฤติปฏิบัติตนในชีวิต อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เข้าใจวิธีเข้าสังคม และพวกเขาก็มีทักษะในการอยู่รอดที่ไม่ดี เช่นนั้นพ่อแม่เหล่านี้ก็ควรให้การอนุเคราะห์อันเหมาะควรแก่พวกเขาบ้าง ช่วยให้พวกเขาค่อยๆ สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่จุดที่พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างพึ่งพาตัวเองได้ทีละน้อย  นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่  แต่ทันทีที่พ่อแม่ได้วางลูกลงบนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว และลูกของพวกเขาก็มีความสามารถที่จะอยู่รอดอย่างพึ่งพาตัวเองได้แล้ว พ่อแม่เหล่านี้ก็ควรถอนตัวออกไป  พวกเขาไม่ควรปฏิบัติต่อลูกต่อไปราวกับว่าลูกยังไม่เป็นผู้ใหญ่ หรือราวกับว่าลูกมีความบกพร่องทางจิต  พวกเขาไม่ควรมีความคาดหวังที่ไม่สมจริงอันใดต่อลูกของตน หรือแทรกแซงชีวิตส่วนตัวของลูกหรือท่าที มุมมอง และการกระทำของลูกในแง่ที่เกี่ยวกับงาน ครอบครัว การสมรส ผู้คน และเหตุการณ์ทั้งหลายภายใต้หน้ากากของการมีความคาดหวังอันใดต่อลูก  หากพวกเขาทำสิ่งใดในสิ่งเหล่านั้น พวกเขาก็ไม่ได้กำลังลุล่วงหน้าที่ของตน

เมื่อลูกชายและลูกสาวของพวกเขาสามารถอยู่รอดได้อย่างเป็นเอกเทศ สิ่งที่พ่อแม่พึงทำก็คือเพียงแค่แสดงให้ลูกเห็นความห่วงใยและความเอาใจใส่ที่จำเป็นเมื่อเป็นเรื่องของงาน ชีวิต และครอบครัวของพวกเขา หรือให้การอนุเคราะห์ที่เหมาะควรแก่พวกเขาบ้างในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่อาจสำเร็จลุล่วงหรือดูแลบางสิ่งได้โดยใช้ความสามารถของตนเองเท่านั้นเอง  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าลูกชายหรือลูกสาวของเจ้ามีลูกน้อย และทั้งลูกและคู่ครองก็งานยุ่งมาก  ลูกน้อยยังเล็กมากและบางคราวก็ไม่มีใครดูแล  ภายใต้สภาพการณ์เหล่านี้ เจ้าสามารถช่วยลูกของเจ้าดูแลลูกน้อยของพวกเขา  นี่เป็นความรับผิดชอบในฐานะพ่อแม่ เพราะถึงอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นเลือดเนื้อของเจ้า และการที่เจ้าดูแลลูกน้อยของพวกเขาย่อมจะปลอดภัยกว่าให้คนอื่นทำ  หากลูกของเจ้าไว้ใจให้เจ้าดูแลลูกน้อยของพวกเขา เช่นนั้นเจ้าก็ควรดูแลให้  หากลูกไม่รู้สึกสบายใจที่จะวางใจมอบลูกน้อยไว้กับเจ้าและไม่ต้องการให้เจ้าดูแล หรือหากพวกเขาจะไม่ยอมให้เจ้าดูแลลูกน้อยเพราะพวกเขาทะนุถนอมเจ้า เพราะพวกเขาคำนึงถึงเจ้า และพวกเขาเกรงว่าเจ้ามีสุขภาพกายที่ไม่ดีพอที่จะทำ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรจับผิดในเรื่องนี้  มีกระทั่งลูกชายและลูกสาวบางคนที่ไม่ไว้วางใจพ่อแม่ของตัวเองเอาเสียเลย พวกเขาคิดว่าพ่อแม่ไม่มีความสามารถที่จะดูแลเด็กเล็ก ว่าพ่อแม่เพียงรู้วิธีตามใจเด็กเท่านั้น และไม่รู้วิธีให้การศึกษาพวกเขา อีกทั้งพ่อแม่ไม่ระมัดระวังเรื่องอาหารการกินของเด็ก  หากลูกชายหรือลูกสาวไม่ไว้วางใจเจ้าและไม่ต้องการให้เจ้าดูแลลูกน้อยของพวกเขา นั่นยิ่งดีเสียกว่า เช่นนั้นเจ้าย่อมมีเวลาว่างมากขึ้น  นี่เรียกว่าการยินยอมร่วมกัน ทั้งพ่อแม่และลูกไม่แทรกแซงกันและกัน อีกทั้งพวกเขาก็แสดงความคำนึงถึงอีกฝ่ายไปในเวลาเดียวกัน  เมื่อลูกของพวกเขาจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ ความห่วงใย และการดูแล พ่อแม่ก็แค่จำเป็นต้องจัดเตรียมความเป็นห่วง ความเอาใจใส่ และการเกื้อหนุนทางการเงินในระดับอารมณ์หรือในด้านอื่นที่จำเป็นและเหมาะควรให้กับพวกเขา  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าพ่อแม่มีเงินออมอยู่บ้าง หรือมีการงานที่ดีและมีแหล่งรายได้  เมื่อลูกของตนต้องการเงินบ้าง พวกเขาก็สามารถช่วยลูกได้เล็กน้อยหากทำได้  หากไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาต้องยอมทิ้งสมบัติพัสถานทั้งหมด หรือยืมเงินจากเงินกู้นอกระบบเพื่อช่วยลูกของตน  พวกเขาแค่จำเป็นต้องทำอะไรก็ได้ในขอบเขตความสามารถของตนเพื่อลุล่วงความรับผิดชอบที่ตัวเองมีภายใต้กรอบของความเป็นเครือญาติกัน  ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องขายทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมี หรือขายไตหรือเลือดของตัวเอง หรือทำงานจนตัวตายเพื่อช่วยลูกของตน  ชีวิตของเจ้าเป็นของเจ้า พระเจ้าได้ทรงมอบให้กับเจ้า และเจ้าก็มีภารกิจเป็นของตัวเอง  เจ้ามีชีวิตนี้ก็เพื่อให้เจ้าสามารถลุล่วงภารกิจเหล่านั้น  ลูกของเจ้ามีชีวิตเป็นของตัวเองเช่นกันเพื่อให้พวกเขาสามารถจบสิ้นเส้นทางชีวิตของตนและทำภารกิจในชีวิตของตนให้เสร็จบริบูรณ์ ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาสามารถแสดงความกตัญญูได้  เพราะฉะนั้นไม่ว่าลูกของพวกเขาเป็นผู้ใหญ่หรือไม่ ชีวิตของพ่อแม่เป็นของตัวพ่อแม่เองเท่านั้น ไม่ได้เป็นของลูก  โดยธรรมชาติแล้ว พ่อแม่ไม่ใช่ทาสหรือพี่เลี้ยงเด็กแบบปลอดค่าจ้างของลูก  ไม่สำคัญว่าพ่อแม่มีความคาดหวังใดต่อลูกของตนก็ไม่จำเป็นที่พ่อแม่ต้องยอมให้ลูกสั่งให้พวกเขาทำอะไรต่ออะไรตามอำเภอใจโดยปราศจากการตอบแทนอันใด หรือที่พ่อแม่ต้องกลายเป็นคนรับใช้ คนทำงานบ้าน หรือทาสของลูก  ไม่ว่าเจ้ามีความรู้สึกใดต่อลูก เจ้าก็ยังคงเป็นบุคคลที่เป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับผู้ใด  เจ้าไม่ควรเข้าไปรับผิดชอบชีวิตผู้ใหญ่ของพวกเขาราวกับนั่นเป็นการถูกต้องอย่างสมบูรณ์ที่จะทำเพียงเพราะพวกเขาเป็นลูกของเจ้า  พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ เจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนในการฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว  ส่วนการที่พวกเขาจะดำเนินชีวิตได้ดีหรือไม่ดีในภายภาคหน้า ไม่ว่าพวกเขาจะร่ำรวยหรือยากจน หรือว่าพวกเขาจะดำรงชีวิตอย่างมีความสุขหรือไม่มี นั่นก็เป็นธุระของพวกเขาเอง  สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย  ตัวเจ้าในฐานะพ่อแม่ไม่มีภาระผูกพันที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น  หากชีวิตของพวกเขาไม่มีความสุข เจ้าก็ไม่ได้มีภาระผูกพันที่จะต้องพูดว่า “ลูกไม่มีความสุข—แม่จะคิดหาทางแก้ไขเรื่องนี้ แม่จะขายทุกอย่างที่แม่เป็นเจ้าของ แม่จะใช้พลังงานชีวิตทั้งหมดของแม่เพื่อทำให้ลูกมีความสุข”  ไม่จำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น  เจ้าแค่จำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าเท่านั้นเอง  หากเจ้าต้องการช่วยเหลือพวกเขา เจ้าอาจถามพวกเขาก็ได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่มีความสุข และให้การอนุเคราะห์พวกเขาในการทำความเข้าใจกับปัญหาบนระดับทฤษฎีและจิตวิทยา  หากพวกเขายอมรับการช่วยเหลือของเจ้า นั่นก็ยิ่งดีเสียอีก  หากพวกเขาไม่ยอมรับ เจ้าก็แค่จำเป็นต้องลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะพ่อแม่ แล้วก็หมดแค่นั้นเอง  หากลูกของเจ้าต้องการทนทุกข์ เช่นนั้นก็เป็นธุระของพวกเขาเอง  ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องเป็นกังวลหรือรู้สึกไม่ได้ดั่งใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือกินไม่ได้นอนไม่หลับตามที่ควร  การทำเช่นนั้นย่อมจะเกินจำเป็น  เหตุใดนั่นจึงจะเกินจำเป็น?  เพราะพวกเขาเป็นผู้ใหญ่  พวกเขาควรเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเผชิญในชีวิตตนด้วยตัวเอง  หากเจ้ารู้สึกห่วงใยพวกเขา นั่นก็แค่ความเสน่หา หากเจ้าไม่รู้สึกห่วงใยพวกเขา เช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไร้หัวใจ หรือหมายความว่าเจ้าไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ และผู้ใหญ่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาแบบผู้ใหญ่ อีกทั้งรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ใหญ่พึงรับมือ  พวกเขาไม่ควรพึ่งพาพ่อแม่ในทุกสิ่ง  แน่นอนว่า พ่อแม่ไม่ควรถือว่าการที่สิ่งทั้งหลายเป็นไปด้วยดีหรือไม่ในการงาน อาชีพการงาน ครอบครัว การสมรสของลูกนั้นเป็นความรับผิดชอบของตนหลังจากที่ลูกถึงวัยผู้ใหญ่  เจ้าสามารถรู้สึกห่วงใยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ และเจ้าก็สามารถซักถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้ แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแลรับผิดชอบสิ่งเหล่านี้แบบครบถ้วน ผูกลูกของเจ้ากระเตงข้างตัว พาพวกเขาไปด้วยทุกที่ที่เจ้าไป เฝ้าระวังพวกเขาทุกที่ที่เจ้าไป และนึกถึงพวกเขาว่า “วันนี้พวกเขากินอาหารดีหรือเปล่า?  พวกเขามีความสุขหรือเปล่า?  งานของพวกเขาไปได้ด้วยดีหรือเปล่า?  เจ้านายของพวกเขาซาบซึ้งคุณค่าในตัวพวกเขาหรือไม่?  คู่สมรสของพวกเขารักพวกเขาหรือไม่?  ลูกของพวกเขาเชื่อฟังหรือไม่?  ลูกของพวกเขาได้คะแนนดีหรือไม่?”  สิ่งเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า?  ลูกของเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเกี่ยวข้อง  เหตุใดเราจึงถามว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า?  โดยคำถามนี้ เราหมายความว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  เจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบที่ตัวเองมีต่อลูกของเจ้าแล้ว เจ้าได้ฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขาจนเข้าไปสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นเจ้าควรถอยออกมา  ครั้นเจ้าถอยออกมาแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่มีอะไรทำ  ยังมีสิ่งต่างๆ มากมายที่เจ้าพึงทำ  เมื่อเป็นเรื่องของภารกิจที่เจ้าต้องทำให้เสร็จสิ้นในชีวิตนี้ นอกจากการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกให้ไปสู่วัยผู้ใหญ่ เจ้าก็ยังมีภารกิจอื่นที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น  นอกเหนือจากการเป็นพ่อแม่ให้กับลูกของเจ้า เจ้าคือสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง  เจ้าควรมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับหน้าที่ของเจ้าจากพระองค์  หน้าที่ของเจ้าคืออะไร?  เจ้าทำเสร็จสิ้นหรือยัง?  เจ้าอุทิศตนเองเพื่อหน้าที่นั้นหรือยัง?  เจ้าได้เริ่มก้าวไปบนเส้นทางแห่งความรอดหรือยัง?  เหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าควรนึกถึง  ส่วนลูกของเจ้าจะไปที่ใดต่อไปหลังจากกลายเป็นผู้ใหญ่ ชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร สภาพการณ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร พวกเขาจะรู้สึกมีความสุขและร่าเริงหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย  ลูกของเจ้าเป็นเอกเทศแล้วทั้งภายนอกและทางจิตใจ  เจ้าควรปล่อยให้พวกเขาพึ่งพาตัวเอง เจ้าควรปล่อยมือ และเจ้าไม่ควรพยายามควบคุมพวกเขา  ไม่ว่าในแง่ภายนอกของสิ่งต่างๆ ความเสน่หา หรือความเป็นเครือญาติทางเนื้อหนัง เจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว และเจ้ากับลูกของเจ้าไม่มีสัมพันธภาพใดระหว่างกันอีกต่อไป  ไม่มีสัมพันธภาพใดระหว่างภารกิจของเจ้ากับภารกิจของลูก และไม่มีสัมพันธภาพใดระหว่างเส้นทางชีวิตที่พวกเขาเดินกับความคาดหวังของเจ้า  ความคาดหวังของเจ้าที่มีต่อพวกเขาและความรับผิดชอบของเจ้าที่มีต่อพวกเขานั้นได้มาถึงปลายทางแล้ว  โดยธรรมชาตินั้น เจ้าไม่ควรมีความคาดหวังต่อพวกเขา  พวกเขาก็คือพวกเขา และเจ้าก็คือเจ้า  หากลูกของเจ้าไม่แต่งงาน เช่นนั้นในแง่ของชะตากรรมและภารกิจของเจ้ากับลูกแล้ว เจ้ากับลูกก็เป็นบุคคลเอกเทศที่ไม่เชื่อมโยงกันโดยสิ้นเชิง  หากพวกเขาแต่งงานและเริ่มต้นครอบครัวจริงๆ เช่นนั้นครอบครัวของเจ้ากับลูกก็เป็นครอบครัวที่ไม่เชื่อมโยงกันโดยสิ้นเชิง  ลูกของเจ้ามีนิสัยในการดำเนินชีวิตและวิถีชีวิตของตัวเอง พวกเขามีความจำเป็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของพวกเขา และเจ้าก็มีนิสัยในการดำเนินชีวิตและความจำเป็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของเจ้า  เจ้ามีเส้นทางในชีวิตของเจ้าและพวกเขาก็มีเส้นทางในชีวิตของพวกเขา  เจ้ามีภารกิจของเจ้า และพวกเขามีภารกิจของเขา  แน่นอนว่าเจ้ามีความเชื่อของเจ้าและพวกเขาก็มีของพวกเขา  หากความเชื่อของพวกเขาอยู่ตรงเงินทอง เกียรติยศ และผลประโยชน์ เช่นนั้นเจ้ากับลูกก็เป็นผู้คนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  หากพวกเขามีความเชื่อเดียวกับเจ้า หากพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและเดินตามเส้นทางแห่งความรอด เช่นนั้นโดยธรรมชาติแล้ว เจ้ากับลูกก็ยังคงเป็นบุคคลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  เจ้าคือเจ้า และพวกเขาก็คือพวกเขา  เจ้าไม่ควรก้าวก่ายเมื่อเป็นเรื่องของเส้นทางที่พวกเขาเดิน  เจ้าสามารถเกื้อหนุน ช่วยเหลือ และจัดเตรียมให้กับพวกเขา เจ้าสามารถเตือนจำและเตือนสติพวกเขา แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องแทรกแซงหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง  ไม่มีใครสามารถกำหนดประเภทของเส้นทางที่อีกบุคคลหนึ่งจะเดิน พวกเขาจะดำรงชีวิตเป็นบุคคลประเภทใด หรือพวกเขาจะมีการการไล่ตามเสาะหาประเภทใด  จงคิดดูเถิดว่าเรากำลังนั่งอยู่ตรงนี้ พูดคุยกับพวกเจ้าและพูดกับพวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดบนพื้นฐานของสิ่งใด?  บนพื้นฐานของการที่พวกเจ้าเต็มใจที่จะฟัง  เรากำลังพูดเพราะพวกเจ้าเต็มใจที่จะฟังการเตือนสติอันตั้งใจจริงของเรา  หากพวกเจ้าไม่ได้เต็มใจฟัง หรือเจ้าผละจากไป เราก็คงไม่พูดอีกต่อไป  จำนวนคำที่เราพูดขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเต็มใจที่จะฟังหรือไม่ และว่าเจ้าเต็มใจใช้เวลาและพลังงานของเจ้าเพื่อทำเช่นนั้นหรือไม่  หากเจ้าจะพูดว่า ข้าพระองค์ไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์กำลังตรัส ขอพระองค์ทรงลงรายละเอียดมากขึ้นได้หรือไม่?  เช่นนั้นเราก็จะทำให้ดีที่สุดเพื่อลงรายละเอียดให้มากขึ้น ทำให้เจ้าสามารถเข้าใจและเข้าไปสู่วจนะของเรา  เมื่อเราได้วางเจ้าลงบนร่องครรลองที่ถูกต้อง พาเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าความจริงแล้ว อีกทั้งได้ทำให้เจ้าเข้าใจความจริงและเดินตามทางของพระเจ้า กิจของเราก็จะเป็นอันเสร็จสิ้น  อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องของการที่เจ้าจะเต็มใจปฏิบัติตามคำพูดของเราหรือไม่หลังจากที่เจ้าได้ฟังแล้ว หรือเจ้าจะเดินบนเส้นทางประเภทใด เจ้าจะเลือกชีวิตประเภทใด หรือเจ้าจะไล่ตามเสาะหาสิ่งใดนั้น เหล่านี้ไม่ใช่ธุระของเราเลย  หากเจ้าจะพูดว่า  “ข้าพระองค์มีคำถามเกี่ยวกับความจริงแง่มุมนั้น ข้าพระองค์ต้องการแสวงหาความจริงนั้น” เช่นนั้นเราก็จะตอบคำถามของเจ้าอย่างอดทน  หากเจ้าไม่ปรารถนาจะแสวงหาความจริงเลย เราจะตัดแต่งเจ้าเพราะเรื่องนี้หรือไม่?  เราจะไม่ทำ  เราจะไม่บังคับให้เจ้าแสวงหาความจริง หรือเย้ยหยันและล้อเล่นกับเจ้า อีกทั้งเราก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าด้วยท่าทีที่เย็นชาอย่างแน่นอน  เราจะปฏิบัติตนดังเช่นที่เราได้ปฏิบัติมาก่อนหน้า  หากเจ้าทำหน้าที่ผิดพลาด หรือจงใจก่อการขัดขวางหรือการก่อกวน เรามีหลักธรรมของเราและวิธีการของเราในการรับมือกับเจ้า  อย่างไรก็ตาม เจ้าอาจพูดว่า “ข้าพระองค์ไม่ต้องการฟังพระองค์ตรัสเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ และข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะยอมรับทัศนะเหล่านั้นของพระองค์  ข้าพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในหนทางที่ข้าพระองค์ได้ทำตลอดมา”  เช่นนั้นเจ้าก็จะต้องไม่ละเมิดหลักธรรมและกฎการปกครอง  หากเจ้าละเมิดกฎการปกครองจริง เช่นนั้นเราจะรับมือกับเจ้า  แต่หากเจ้าไม่ละเมิดกฎการปกครอง และเจ้าก็สามารถประพฤติตนอย่างถูกควรขณะดำรงชีวิตคริสตจักร เราจะไม่ก้าวก่ายเจ้า ต่อให้เจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เราจะไม่แทรกแซงเมื่อเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวของเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องการกิน สวมใส่ หรือผู้คนใดที่เจ้าต้องการมีปฏิสัมพันธ์ด้วย  เราอนุญาตให้เจ้ามีอิสรภาพในแง่เหล่านี้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เราได้พูดกับเจ้าไปชัดเจนแล้วเกี่ยวกับหลักธรรมทั้งหมดและสาระที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับทางเลือกอิสระของเจ้า  เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด นี่เห็นได้ชัด  หากเจ้าไม่ใช่บุคคลที่รักความจริง ใครจะสามารถบังคับให้เจ้ารักได้?  ในท้ายที่สุดแล้ว ทุกตัวบุคคลจะรับผิดชอบเส้นทางที่พวกเขาเดิน และผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องแบกรับ  เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบการนี้  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ทำโดยสมัครใจ  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ทำโดยสมัครใจเช่นกัน—ไม่มีใครเหนี่ยวรั้งเจ้า  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงจริงๆ ไม่มีใครที่จะหนุนใจเจ้าและเจ้าจะไม่ได้รับพระคุณพิเศษหรือพรทางวัตถุ  เราแค่กำลังปฏิบัติและลุล่วงความรับผิดชอบของเรา บอกความจริงทั้งหมดกับพวกเจ้าที่พวกเจ้าควรเข้าใจและจำเป็นต้องเข้าไปสู่  ส่วนวิธีที่พวกเจ้าใช้ชีวิตในส่วนตัวนั้น เราไม่เคยตั้งคำถามหรือสอดส่องเกี่ยวกับเรื่องนี้  นี่คือท่าทีที่เรามี  พ่อแม่ก็ควรปฏิบัติตนเช่นนี้ต่อลูกของพวกเขาเช่นกัน  ผู้ใหญ่มีความสามารถที่จะแยกแยะถูกผิด  ไม่ว่าพวกเขาเลือกถูกหรือผิด ไม่ว่าพวกเขาเลือกดำหรือขาว ไม่ว่าพวกเขาเลือกสิ่งที่เป็นบวกหรือสิ่งที่เป็นลบก็เป็นธุระของพวกเขา—การนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นภายในของพวกเขา  หากแก่นแท้ของบุคคลหนึ่งนั้นชั่ว พวกเขาก็จะไม่เลือกสิ่งที่เป็นบวก  หากบุคคลหนึ่งเพียรพยายามที่จะเป็นคนดีและพวกเขามีความเป็นมนุษย์ ความตระหนักในมโนธรรม และสำนึกของความละอาย พวกเขาย่อมจะเลือกสิ่งที่เป็นบวก ต่อให้พวกเขาทำเช่นนั้นช้าไปหน่อย แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  การนี้เลี่ยงไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้นพ่อแม่ควรมีท่าทีประเภทนี้ต่อลูกของตน และไม่แทรกแซงทางเลือกของลูก  พ่อแม่บางคนมีข้อพึงประสงค์ต่อลูกของตัวเองว่า “ลูกของพวกเราควรเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาควรเชื่อในพระเจ้า ละทิ้งโลกปุถุชน และล้มเลิกการงานของพวกเขา  ไม่อย่างนั้นพอพวกเราเข้าไปสู่ราชอาณาจักร พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าไปได้ และพวกเราก็จะถูกแยกจากพวกเขา  จะเป็นการวิเศษมากหากทั้งครอบครัวของพวกเราสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรไปด้วยกัน!  พวกเราสามารถอยู่ด้วยกันในสวรรค์เหมือนกับที่พวกเราอยู่ที่นี่บนแผ่นดินโลก  ขณะที่พวกเราอยู่ในราชอาณาจักร พวกเราต้องไม่ทิ้งกัน พวกเราต้องอยู่ด้วยกันตลอดทุกยุค!”  แล้วกลับกลายเป็นว่าลูกของพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และกลายเป็นว่าพวกเขากลับไล่ตามเสาะหาสิ่งทางโลกแทน และเพียรพยายามที่จะหาเงินให้ได้มากๆ และกลายเป็นมั่งมีอย่างมาก พวกเขาสวมใส่สิ่งใดก็ตามซึ่งเป็นที่นิยม พวกเขาทำและพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งใดก็ตามที่เป็นกระแสนิยม และพวกเขาไม่ลุล่วงความปรารถนาของพ่อแม่ของตน  ผลลัพธ์ก็คือพ่อแม่เหล่านี้รู้สึกไม่ได้ดั่งใจ พวกเขาอธิษฐานและอดอาหารเพราะการนี้ อดอาหารเป็นสัปดาห์ 10 วัน หรือสองสัปดาห์ และทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อเห็นแก่ลูกของตนในเรื่องนี้  บ่อยครั้งที่พวกเขาหิวโหยจนรู้สึกวิงเวียน และบ่อยครั้งที่พวกเขาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพลางร่ำไห้  แต่ไม่ว่าพวกเขาอธิษฐานอย่างไร หรือพวกเขาทุ่มความพยายามมากเพียงใด ลูกก็ไม่สะทกสะท้านและไม่รู้จักตื่น  ยิ่งลูกของพวกเขาไม่ยอมเชื่อ พ่อแม่เหล่านี้ก็ยิ่งคิดว่า “โอไม่นะ ฉันได้ทำให้ลูกไม่สมหวัง ฉันได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง  ฉันไม่ได้มีความสามารถที่จะเผยแพร่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขา และฉันไม่ได้พาพวกเขาขึ้นมาบนเส้นทางแห่งความรอดกับฉัน  พวกโง่เอ๋ย—นี่เป็นเส้นทางแห่งความรอดนะ!”  พวกเขาไม่ได้โง่เขลา พวกเขาแค่ไม่มีความจำเป็นนี้  พ่อแม่เหล่านี้ต่างหากที่เป็นคนโง่เพราะการพยายามบังคับลูกให้ขึ้นสู่เส้นทางนี้ ใช่หรือไม่?  หากลูกของพวกเขามีความจำเป็นนี้ พ่อแม่เหล่านี้จะจำเป็นที่จะต้องพูดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้หรือ?  ลูกของพวกเขาคงมาเชื่อด้วยตัวเอง  พ่อแม่เหล่านี้คิดเสมอว่า “ฉันทำให้ลูกผิดหวัง  ฉันหนุนใจพวกเขาให้ไปเข้าวิทยาลัยตั้งแต่อายุน้อย และในเมื่อพวกเขาเข้าวิทยาลัยแล้ว พวกเขาก็ไม่หันกลับมา  พวกเขาจะไม่หยุดไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลก และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขากลับมา พวกเขาก็แค่พูดคุยเกี่ยวกับงาน การทำเงิน เกี่ยวกับว่าใครได้รับการเลื่อนตำแหน่ง หรือได้ซื้อรถ ใครได้แต่งงานกับคนรวย ใครได้ไปเรียนต่อที่ยุโรปหรือเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน และพูดว่าชีวิตของคนอื่นกำลังเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่เพียงใด  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามาบ้าน พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น และฉันก็ไม่อยากฟังแต่ฉันก็ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย  ไม่ว่าฉันพูดอะไรเพื่อพยายามทำให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงไม่ฟังอยู่ดี”  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขามีปากเสียงกับลูก  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเจอกับลูก พวกเขาจะหน้าดำคร่ำเครียด เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพูดคุยกับลูก สีหน้าของพวกเขาบูดบึ้ง ลูกบางคนไม่รู้จะทำอย่างไร และพวกเขาก็คิดว่า  “ฉันไม่รู้พ่อแม่ฉันเป็นอะไร  ถ้าฉันไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นฉันก็แค่ไม่เชื่อในพระองค์  ทำไมพ่อแม่ถึงปฏิบัติกับฉันด้วยท่าทีแบบนี้เสมอเลย?  ฉันคิดว่ายิ่งใครบางคนเชื่อในพระเจ้ามากเท่าไร พวกเขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่ดีขึ้นเท่านั้น  เป็นไปได้อย่างไรที่พวกผู้เชื่อในพระเจ้าถึงมีความรักใคร่ให้ครอบครัวของตัวเองน้อยเหลือเกิน?”  พ่อแม่เหล่านี้เป็นกังวลเกี่ยวกับลูกของตนมากเสียจนเส้นโลหิตแทบแตก และพวกเขาก็พูดว่า “พวกเขาไม่ใช่ลูกของฉัน!  ฉันกำลังตัดสายสัมพันธ์กับพวกเขา ฉันกำลังบอกศาลาพวกเขา!”  พวกเขาพูดแบบนั้นแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขารู้สึกจริง  พ่อแม่แบบนี้โง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาต้องการที่จะควบคุมและยึดกุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เสมอ พวกเขาปรารถนาที่จะยึดกุมอนาคต ความเชื่อของลูก และเส้นทางที่ลูกเดินอยู่เสมอ  นี่ช่างโง่เขลานัก!  นี่ไม่เหมาะควร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีลูกบางคนที่ไล่ตามเสาะหาสิ่งทางโลก ผู้ซึ่งได้รับการเลื่อนขั้นไปสู่ตำแหน่งฝ่ายบริหารและทำเงินได้มากมาย  พวกเขานำโสมมัดใหญ่ ต่างหูทอง และสร้อยทองกลับมาเป็นของขวัญให้กับพ่อแม่ที่บ้าน และพ่อแม่ของพวกเขาก็พูดว่า “แม่ไม่ต้องการของพวกนี้หรอก แม่แค่หวังว่าพวกลูกจะสุขภาพแข็งแรง และเชื่อในพระเจ้าตามแม่  การเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ช่างวิเศษ!”  และลูกของพวกเขาก็พูดว่า “แม่อย่าเริ่มเรื่องนั้นเลย ลูกได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และแม่ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อแสดงความยินดีกับลูกด้วยซ้ำ  พอพ่อแม่คนอื่นได้ยินว่าลูกตัวเองได้เลื่อนขั้น พวกเขาก็เปิดแชมเปญ พากันออกไปกินข้าวมื้อใหญ่ แต่พอลูกซื้อสร้อยกับตุ้มหูให้ แม่ก็ไม่มีความสุข  ลูกทำให้แม่ผิดหวังตรงไหนหรือ?  พ่อกับแม่แค่กำลังโกรธขึ้งเพราะลูกไม่เชื่อในพระเจ้า”  ถูกต้องหรือไม่ที่พ่อแม่เหล่านี้โกรธขึ้งแบบนี้?  ผู้คนมีการไล่ตามเสาะหาที่แตกต่างกันไป พวกเขาเดินบนเส้นทางที่ต่างกัน และพวกเขาก็เลือกเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง  พ่อแม่ควรเข้ารับมือกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  หากลูกของเจ้าไม่ยอมรับรู้การดำรงอยู่ของพระเจ้า เจ้าไม่ควรเรียกร้องให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า—การบังคับสิ่งต่างๆ ไม่มีวันได้ผล  หากพวกเขาไม่ต้องการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาไม่ใช่คนประเภทนั้น เช่นนั้นยิ่งเจ้าเอ่ยถึงเรื่องนั้นมากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งทำให้เจ้ารำคาญมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็จะทำให้พวกเขารำคาญด้วย—ทั้งเจ้าและพวกเขาจะรู้สึกรำคาญ  แต่การที่เจ้าทั้งคู่รู้สึกรำคาญนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ—สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่าพระเจ้าจะทรงเกลียดชังเจ้า และพระองค์จะตรัสว่าความเสน่หาของเจ้านั้นรุนแรงเกินไป  ในเมื่อเจ้าสามารถจ่ายราคาอันใหญ่หลวงเช่นนั้นได้แค่เพราะลูกของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า และเจ้าก็หงุดหงิดยิ่งนักเกี่ยวกับการที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลก หากพระเจ้าจะทรงพรากพวกเขาไปในสักวัน แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?  เจ้าจะพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าหรือ?  หากในหัวใจของเจ้านั้น ลูกเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้า หากพวกเขาเป็นอนาคตของเจ้า ความหวังของเจ้า และชีวิตของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ยังคงเป็นใครคนหนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าจะไม่ทรงเกลียดชังการที่เจ้าปฏิบัติตนแบบนี้หรือไม่?  หนทางที่เจ้าปฏิบัติตนนั้นไร้ปัญญาเกินไป เข้ากับหลักธรรมไม่ได้ และพระเจ้าจะไม่ทรงพึงพอใจกับการนั้น  เพราะฉะนั้นหากเจ้ามีปัญญา เจ้าจะไม่ทำสิ่งประเภทนี้  หากลูกของเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นเจ้าก็ควรปล่อยมือจากเรื่องนี้  เจ้าได้ทำการโต้แย้งทั้งหมดที่เจ้าพึงทำและเจ้าได้พูดสิ่งที่เจ้าควรพูดไปแล้ว ดังนั้นจงปล่อยให้พวกเขาเลือกทางของตัวเอง  จงพยายามรักษาสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับลูกก่อนหน้านั้น  หากพวกเขาปรารถนาที่จะแสดงความกตัญญูต่อเจ้า หากพวกเขาต้องการทะนุถนอมและดูแลเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องปฏิเสธเรื่องนี้  หากพวกเขาต้องการพาเจ้าไปท่องเที่ยวยุโรป แต่นั่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าไม่ต้องการไป เช่นนั้นจงอย่าไป  แต่หากเจ้าต้องการไปจริงๆ และเจ้าก็มีเวลา เช่นนั้นก็จงไป  ไม่มีอะไรผิดที่เจ้าจะออกสู่โลกกว้าง  การนี้จะไม่ทำให้มือของเจ้าสกปรก และพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า  หากลูกของเจ้าซื้อสิ่งดีๆ บางอย่างให้เจ้า อาหารหรือเสื้อผ้าที่ดี และเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเหมาะควรที่ธรรมิกชนจะสวมใส่หรือใช้ เช่นนั้นก็จงชื่นชมยินดีไปกับสิ่งเหล่านั้น และพิจารณาว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นพระคุณจากพระเจ้า  หากเจ้าดูหมิ่นสิ่งเหล่านั้น หากเจ้าไม่ชื่นชมยินดีกับสิ่งเหล่านั้น หากเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านั้นสร้างความเดือดร้อนและน่าขยะแขยง และหากเจ้าไม่เต็มใจที่จะชื่นชมยินดีไปกับสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็สามารถปฏิเสธไม่ยอมรับได้โดยพูดว่า “แค่ได้เห็นลูกๆ แม่ก็มีความสุขแล้ว ลูกไม่จำเป็นต้องเอาของขวัญมาฝากแม่หรือใช้เงินเพื่อแม่ แม่ไม่อยากได้ของพวกนั้น  แม่แค่ต้องการให้พวกเจ้าปลอดภัยและมีความสุข”  นั่นแสนวิเศษมิใช่หรือ?  หากเจ้ากล่าวคำเหล่านี้และในหัวใจของเจ้าก็เชื่อในสิ่งเหล่านี้ หากเจ้าไม่พึงประสงค์ให้ลูกของเจ้าจัดเตรียมสิ่งชูใจทางวัตถุให้เจ้าจริงๆ หรือช่วยให้เจ้าอิ่มอกอิ่มใจในตัวพวกเขา เช่นนั้นลูกของเจ้าย่อมจะเลื่อมใสเจ้าใช่หรือไม่?   สำหรับความลำบากยากเย็นใดที่พวกเขาเผชิญในงานหรือชีวิตของพวกเขา ช่วยเหลือพวกเขาให้ดีที่สุดเมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถทำได้  หากการช่วยเหลือพวกเขาจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็สามารถปฏิเสธได้—นั่นเป็นสิทธิของเจ้า  เพราะเจ้าไม่ติดหนี้อะไรพวกเขาอีกแล้ว เพราะเจ้าไม่มีความรับผิดชอบอันใดต่อพวกเขา และพวกเขาก็เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องพึ่งพาใครแล้ว พวกเขาสามารถบริหารจัดการชีวิตของตัวเองได้  เจ้าไม่จำเป็นต้องรับใช้พวกเขาอย่างไร้เงื่อนไขหรือตลอดเวลา  หากพวกเขาขอความช่วยเหลือเจ้า และเจ้าไม่เต็มใจที่จะอนุเคราะห์พวกเขา หรือหากการทำเช่นนั้นจะขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็บอกปฏิเสธได้  นั่นเป็นสิทธิของเจ้า ถึงแม้เจ้ามีความผูกพันทางสายเลือดกับพวกเขา และเจ้าเป็นพ่อแม่ของพวกเขา  นี่เป็นเพียงสัมพันธภาพที่เป็นทางการ เป็นสายเลือด และเป็นความเสน่หา—ในแง่ความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าเป็นอิสระจากสัมพันธภาพที่มีกับพวกเขาแล้ว  ดังนั้นหากพ่อแม่มีปัญญา พวกเขาจะไม่มีความคาดหวัง ข้อพึงประสงค์ หรือมาตรฐานที่มีต่อลูกหลังจากที่ลูกถึงวัยผู้ใหญ่ และพวกเขาจะไม่พึงประสงค์ให้ลูกของตนปฏิบัติตนในบางหนทาง หรือให้ลูกทำบางอย่างจากมุมมองหรือตำแหน่งของพ่อแม่ เพราะลูกของพวกเขาเป็นเอกเทศแล้ว  เมื่อลูกของเจ้าเป็นเอกเทศ นั่นหมายความว่าเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหมดที่เจ้ามีต่อพวกเขาแล้ว  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดให้ลูกในยามที่สภาพการณ์อำนวย ไม่ว่าเจ้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยหรือความใส่ใจต่อพวกเขา นั่นเป็นเพียงแค่ความเสน่หาเท่านั้นเอง และนั่นเกินจำเป็น  หรือหากลูกขอให้เจ้าทำบางสิ่ง นั่นก็เกินจำเป็นเช่นกัน นั่นไม่ใช่บางสิ่งที่เป็นความผูกพันทางหน้าที่ให้เจ้าต้องทำ  เจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้  สิ่งเหล่านี้ชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)

สมมุติว่าพวกเจ้าสักคนจะพูดว่า “ฉันไม่มีวันปล่อยมือจากลูกของฉันได้  พวกเขาเกิดมาพร้อมสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ และพวกเขาก็ขี้กลัวและขลาดอายมาตั้งแต่เกิด  พวกเขาไม่มีขีดความสามารถที่ดีนักอีกด้วย และพวกเขาก็ถูกคนอื่นในสังคมกลั่นแกล้งเสมอ  ฉันปล่อยมือจากพวกเขาไม่ได้หรอก”  การที่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากลูกของเจ้าได้ไม่ได้หมายความว่าเจ้ายังไม่เสร็จสิ้นการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าที่มีต่อพวกเขา นั่นก็แค่ผลจากความรู้สึกของเจ้าเท่านั้นเอง  เจ้าอาจพูดว่า “ฉันเป็นกังวลและคิดอยู่เสมอว่าลูกได้กินดีหรือไม่ หรือว่าพวกเขามีปัญหาท้องไส้บ้างหรือเปล่า  ถ้าพวกเขาไม่กินตรงตามเวลาและเอาแต่สั่งอาหารประเภทซื้อกลับบ้านในระยะยาว พวกเขาจะเกิดปัญหาท้องไส้ขึ้นมาไหม?  พวกเขาจะเจ็บป่วยบางอย่างหรือเปล่า?  และหากพวกเขามีอาการป่วย จะมีใครดูแลพวกเขา แสดงความรักกับพวกเขาไหม?  คู่ครองของพวกเขาแสดงความห่วงใยพวกเขาและดูแลพวกเขาไหม?”  ความกังวลของเจ้าเกิดจากความรู้สึกของเจ้าและความผูกพันทางสายเลือดที่เจ้ามีกับลูกทั้งสิ้น แต่เหล่านี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า  ความรับผิดชอบที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพ่อแม่ก็แค่ความรับผิดชอบในการฟูมฟักเลี้ยงดูและดูแลลูกของตนก่อนที่ลูกไปถึงวัยผู้ใหญ่  หลังจากที่ลูกกลายเป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ไม่มีความรับผิดชอบอันใดต่อพวกเขาอีกแล้ว  นี่เป็นการมองที่ความรับผิดชอบซึ่งพ่อแม่ควรลุล่วงจากมุมมองแห่งการทรงตั้งของพระเจ้า  เจ้าเข้าใจตรงนี้หรือไม่?  (เข้าใจ)  ไม่ว่าความรู้สึกของเจ้าจะรุนแรงเพียงใด หรือเมื่อสัญชาตญาณแบบพ่อแม่ของเจ้าวูบเข้ามา นี่ก็ไม่ใช่การลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า นี่เป็นแค่เพียงผลจากความรู้สึกของเจ้าเท่านั้นเอง  ผลจากความรู้สึกของเจ้าไม่ได้มีจุดกำเนิดมาจากเหตุผลของความเป็นมนุษย์ หรือหลักธรรมที่พระเจ้าได้ทรงสอนมนุษย์ หรือการนบนอบความจริงของมนุษย์ และผลเหล่านั้นไม่ได้มีจุดกำเนิดมาจากความรับผิดชอบของมนุษย์อย่างแน่นอน แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผลเหล่านั้นมาจากความรู้สึกของมนุษย์—ผลเหล่านั้นเรียกว่าความรู้สึก  มีความรักแบบพ่อแม่และเครือญาติปะปนมาในการนี้นิดหน่อย  เพราะพวกเขาเป็นลูกของเจ้า เจ้าจึงเป็นกังวลเกี่ยวกับพวกเขาอยู่เป็นนิจ ฉงนฉงายว่าพวกเขากำลังทนทุกข์อยู่ข้างนอกโน้นหรือเปล่า หรือพวกเขากำลังถูกกลั่นแกล้งหรือไม่  เจ้าฉงนฉงายว่างานของพวกเขากำลังไปได้ดีหรือไม่ และว่าพวกเขากำลังกินอาหารแต่ละมื้อตามเวลาอันควรหรือไม่  เจ้าฉงนฉงายว่าพวกเขาได้เกิดป่วยเป็นโรคหรือเปล่า และว่าพวกเขาจะสามารถมีเงินพอจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือไม่หากพวกเขาป่วยจริงๆ  เจ้าคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้ง และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะพ่อแม่  หากเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากความห่วงใยเหล่านี้ นั่นพูดได้เพียงว่าเจ้ากำลังดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกของตัวเอง และไม่สามารถปลีกหนีจากความรู้สึกเหล่านั้นได้  เจ้าแค่ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกของตัวเอง เข้ารับมือกับลูกไปตามความรู้สึกของตัวเอง มากกว่าที่จะดำเนินชีวิตโดยคำจำกัดความแห่งความรับผิดชอบแบบพ่อแม่ที่พระเจ้าประทานไว้  เจ้าไม่ได้กำลังดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าแค่กำลังรู้สึก มอง และรับมือกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไปตามความรู้สึกของเจ้า  นี่หมายความว่าเจ้าไม่ได้กำลังเดินตามทางของพระเจ้า  นี่เห็นได้ชัด  ความรับผิดชอบแบบพ่อแม่—ตามที่พระเจ้าทรงสอนเจ้า—นั้นจบลงแล้วในอึดใจที่ลูกของเจ้าได้ไปถึงวัยผู้ใหญ่  วิธีการปฏิบัติที่พระเจ้าทรงสอนเจ้านั้นง่ายดายและเรียบง่ายไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าย่อมจะไม่ทำกิจกรรมที่ไร้ประโยชน์ และเจ้าย่อมจะกำลังให้อิสรภาพแก่ลูกในระดับหนึ่งและให้โอกาสพวกเขาพัฒนาตนเอง โดยไม่เพิ่มความเดือดร้อนหรือความยุ่งยากอันใดให้กับลูก หรือเพิ่มภาระให้กับพวกเขา  และในเมื่อพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ การทำเช่นนั้นจะเปิดโอกาสให้พวกเผชิญโลก เผชิญชีวิตของตัวเอง และปัญหาสารพันที่พวกเขาเผชิญในชีวิตประจำวันและการดำรงอยู่ของพวกเขา ด้วยมุมมองของผู้ใหญ่ วิธีการที่เป็นตัวของตัวเองของผู้ใหญ่สำหรับการรับมือสิ่งทั้งหลายและมองสิ่งทั้งหลาย รวมถึงโลกทัศน์ที่เป็นตัวของตัวเองของผู้ใหญ่  เหล่านี้คืออิสรภาพและสิทธิของลูกของเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าควรทำในฐานะผู้ใหญ่ และสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  หากเจ้าต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้เสมอ เช่นนั้นก็ค่อนข้างน่าสะอิดสะเอียน  หากเจ้าต้องการแทรกตัวเข้าไปในสิ่งเหล่านี้เสมออย่างจงใจและแทรกแซงสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะได้ก่อให้เกิดการก่อกวนและการทำลาย และสุดท้ายแล้ว ไม่เพียงสิ่งทั้งหลายจะกลับกลายเป็นตรงกันข้ามกับที่เจ้าปรารถนา ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เจ้าจะทำให้ลูกของเจ้ารู้สึกรังเกียจเจ้า และชีวิตของเจ้าก็จะค่อนข้างน่าเหน็ดเหนื่อยอีกด้วย  ในท้ายที่สุดเจ้าก็จะเต็มไปด้วยข้อข้องใจและพร่ำบ่นว่าลูกของเจ้าไม่กตัญญู ไม่เชื่อฟัง หรือไม่คำนึงถึงเจ้า เจ้าจะพร่ำบ่นว่าพวกเขาเป็นคนไม่รู้คุณคนซึ่งไม่สำนึกบุญคุณ ไม่มีการซาบซึ้งคุณค่า และไม่มีความใส่ใจ  มีพ่อแม่บางคนที่หยาบคายและไม่มีเหตุผลซึ่งจะร้องไห้ ตีโพยตีพาย และขู่จะฆ่าตัวตาย ใช้เล่ห์กลใดก็ตามที่พวกเขาทำได้  นี่ยิ่งน่าขยะแขยงมากขึ้นไปอีกใช่หรือไม่?  (ใช่)  หากเจ้ามีปัญญา เจ้าจะปล่อยให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามครรลองธรรมชาติ ดำเนินชีวิตตัวเองในลักษณะที่ผ่อนคลาย และแค่ลุล่วงความรับผิดชอบแบบพ่อแม่ของเจ้า  หากเจ้าพูดว่าเจ้าต้องการดูแลลูกและแสดงให้พวกเขาเห็นความห่วงใยบ้างเพื่อเห็นแก่ความเสน่หา เช่นนั้นการแสดงให้พวกเขาเห็นความห่วงใยที่จำเป็นเป็นอันอนุญาตได้  เราไม่ได้กำลังพูดว่าพ่อแม่แค่ควรตัดสายสัมพันธ์กับลูกของตนทันทีที่ลูกกลายเป็นผู้ใหญ่และพ่อแม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของตนแล้ว  พ่อแม่ไม่ควรละเลยลูกที่เป็นผู้ใหญ่ พวกเขาไม่ควรแค่บอกลูกให้ไปอยู่ลำพัง หรือเพิกเฉยต่อลูกไม่ว่าลูกเผชิญความลำบากยากเย็นใหญ่หลวงแค่ไหน—แม้แต่ในเวลาที่ความลำบากยากเย็นเหล่านั้นขับดันให้ลูกของพวกเขาไปสู่สถานการณ์เฉียดตาย—หรือไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือเมื่อลูกต้องการพ่อแม่  นี่ก็ผิดเช่นกัน—นี่สุดโต่งเกินไป  เมื่อลูกจำเป็นต้องปรับทุกข์กับเจ้า เจ้าก็ควรตั้งใจรับฟังและหลังจากฟังแล้ว เจ้าก็ควรถามลูกว่าพวกเขากำลังคิดอะไรและตั้งใจจะทำอะไร  เจ้าสามารถให้ข้อเสนอแนะของตัวเองด้วยเช่นกัน  หากพวกเขามีความคิดและแผนการเป็นของตนเอง และพวกเขาไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของเจ้า ก็แค่พูดว่า “ไม่เป็นไร ในเมื่อลูกตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าผลที่ตามมาของเรื่องนี้คืออะไรในภายหน้า ลูกก็จะต้องแบกรับตามลำพัง  นี่เป็นชีวิตของลูก  ลูกต้องเดินจนสุดเส้นทางชีวิตของลูกเอง  ไม่มีใครอื่นสามารถรับผิดชอบชีวิตของลูกได้  หากลูกตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นแม่ก็จะสนับสนุนลูก  ถ้าลูกจำเป็นต้องใช้เงิน แม่ให้ลูกได้นิดหน่อย  ถ้าลูกจำเป็นต้องให้แม่ช่วย แม่ช่วยลูกได้ในขอบเขตความสามารถของแม่  ยังไงเสียแม่ก็เป็นพ่อแม่ของลูก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก  แต่ถ้าลูกพูดว่าลูกไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือของแม่หรือเงินทองของแม่ และลูกแค่จำเป็นต้องให้แม่ตั้งใจฟัง แบบนั้นก็ยิ่งง่ายขึ้นด้วยซ้ำ”  เช่นนั้นเจ้าก็จะได้พูดสิ่งที่เจ้าต้องพูดแล้ว ลูกก็จะได้พูดในสิ่งที่ลูกต้องพูดแล้ว ข้อคับข้องใจทั้งหมดของพวกเขาก็จะถูกหลั่งรินออกมาแล้ว ความโกรธทั้งหมดของพวกเขาก็จะถูกระบายแล้ว  พวกเขาจะปาดน้ำตาทิ้งไป พวกเขาจะไปทำสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ และเจ้าก็จะได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะพ่อแม่แล้ว  นี่ทำไปเพื่อเห็นแก่ความเสน่หา นี่เรียกว่าความเสน่หา  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะในฐานะพ่อแม่ เจ้าไม่มีเจตนารมณ์ที่มุ่งร้ายอันใดต่อลูกของตัวเอง  เจ้าจะไม่ทำอันตรายพวกเขา วางแผนร้ายต่อพวกเขา หรือเย้ยหยันพวกเขา และแน่นอนว่าเจ้าจะไม่ล้อเล่นกับการที่พวกเขาอ่อนแอหรือไร้สมรรถภาพ  ลูกของเจ้าสามารถร้องไห้ ระบายอารมณ์ หรือพร่ำบ่นต่อหน้าเจ้าโดยไม่ต้องอดกลั้นราวกับพวกเขาเป็นเด็กน้อย พวกเขาสามารถเสียนิสัย โกรธขึ้ง หรือเอาแต่ใจก็ได้  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาระบายอารมณ์ รวมทั้งโกรธขึ้งและเอาแต่ใจแล้ว พวกเขาต้องทำสิ่งที่ตนพึงทำและรับมือกับสิ่งใดก็ตามที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา  หากพวกเขาสามารถสัมฤทธิ์การนั้นได้โดยที่เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อพวกเขาหรือให้การช่วยเหลืออันใดแก่พวกเขา นั่นย่อมดีเลยทีเดียว และเจ้าก็จะมีเวลาว่างมากขึ้นบ้าง ถูกต้องหรือไม่?  และในเมื่อลูกของเจ้าได้พูดสิ่งเหล่านั้นแล้ว เจ้าก็พึงต้องมีการตระหนักในตนเองบ้าง  ลูกของเจ้าโตแล้ว พวกเขาเป็นเอกเทศ  พวกเขาแค่ต้องการพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น พวกเขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเจ้า  หากเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าอาจจะคิดว่า “นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ  การที่ลูกบอกแม่เรื่องนี้แสดงว่าลูกเคารพแม่ แม่ก็ควรให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไม่ใช่หรือ?  แม่ควรช่วยลูกในการตัดสินใจไม่ใช่หรือ?”  นี่เรียกว่าการประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป  ลูกของเจ้าเพียงแค่กำลังพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่เจ้ากำลังปฏิบัติต่อตนเองราวกับเป็นบุคคลสำคัญจริงๆ  นี่ไม่เหมาะควร  ลูกบอกเรื่องนั้นกับเจ้าเพราะเจ้าเป็นพ่อแม่ของพวกเขา และพวกเขาเคารพและไว้ใจเจ้า  ในความเป็นจริงนั้น พวกเขามีแนวคิดของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าก็ยังต้องการแทรกสอดในเรื่องนี้  นั่นไม่เหมาะควร  ลูกของเจ้าไว้ใจเจ้าและเจ้าต้องคู่ควรกับความไว้ใจนั้น  เจ้าควรเคารพการตัดสินใจของพวกเขา และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายเรื่องนั้น  หากพวกเขาต้องการให้เจ้าเข้าไปเกี่ยว เจ้าย่อมทำได้  และสมมุติว่า เมื่อเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องจริง เจ้าตระหนักว่า “โอ นี่เป็นเรื่องเดือดร้อนเหลือเกิน!  นี่จะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน  ฉันเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า ฉันทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้”  เช่นนั้นเจ้าก็ควรรีบถอนตัวออกจากเรื่องนั้น  สมมุติว่าพวกเขายังคงต้องการให้เจ้ายื่นมือเข้าไปยุ่งและเจ้าคิดว่า “แม่จะไม่เข้าไปยุ่ง  ลูกควรรับมือเรื่องนี้ด้วยตัวเอง  ที่แม่รับฟังลูกระบายข้อคับข้องใจนี้และขยะทั้งหมดนี้ก็ใจดีมากพอแล้ว  แม่ลุล่วงหน้าที่แบบพ่อแม่แล้ว  แม่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง  นั่นคือกองไฟและแม่จะไม่กระโจนเข้าไปในนั้น  หากลูกต้องการก็กระโจนเข้าไปเองเลย”  นั่นเหมาะควรไม่ใช่หรือ?  นี่เรียกว่าการมีจุดยืน  เจ้าไม่ควรมีวันปล่อยมือจากหลักธรรมทั้งหลายหรือจุดยืนของเจ้า  เหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่พึงทำ  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้สามารถสัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  ในข้อเท็จจริงนั้น สิ่งเหล่านี้สัมฤทธิ์ได้โดยง่าย แต่หากเจ้ากระทำไปตามความรู้สึกเสมอ และหากเจ้าติดกับอยู่ท่ามกลางความรู้สึกทั้งหลายของเจ้าเสมอ นั่นย่อมจะลำบากยากเย็นมากที่เจ้าจะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้น  เจ้าจะรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นบีบคั้นหัวใจอย่างมาก ว่าเจ้าไม่สามารถทิ้งเรื่องนี้ และว่าเจ้าไม่สามารถแบกเรื่องนี้ไว้บนบ่าด้วยเช่นกัน หรือรู้สึกเรรวนกลับไปกลับมา  นี่บรรยายได้ด้วยคำว่าอะไร?  “ติดขัด”  เจ้าจะติดขัดอยู่ตรงนั้น  เจ้าปรารถนาที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติความจริง แต่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากความรู้สึกของตัวเอง เจ้ารักลูกของเจ้าอย่างสุดซึ้ง แต่รู้สึกว่าไม่เหมาะควรที่จะทำสิ่งนั้น ว่านั่นขัดต่อหลักคำสอนของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า—เจ้ากำลังเดือดร้อน  เจ้าต้องเลือก  เจ้าสามารถปล่อยมือจากความคาดหวังที่มีต่อเชื้อสายของตัวเองและไม่พยายามบริหารจัดการลูก ปล่อยให้พวกเขาโบยบินอย่างอิสระแทน เพราะพวกเขาคือผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเอกเทศ หรือเจ้าอาจติดตามพวกเขาก็ได้  เจ้าต้องเลือกหนึ่งในสองตัวเลือกเหล่านั้น  หากเจ้าเลือกเดินตามทางของพระเจ้าและฟังพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งเจ้าก็ปล่อยมือจากความกังวลและความรู้สึกที่มีต่อลูกของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรทำสิ่งที่พ่อแม่คนหนึ่งพึงทำ ยึดมั่นในจุดยืนของตนและหลักธรรมทั้งหลาย อีกทั้งละเว้นจากการทำสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงถือว่าน่าเกลียดชังและน่าขยะแขยง  เจ้าทำแบบนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  ในความเป็นจริงนั้นการทำสิ่งเหล่านี้นั้นง่ายดาย  ทันทีที่เจ้าปล่อยมือจากความเสน่หาที่เจ้าเก็บงำไว้สักเล็กน้อย เจ้าก็สามารถสำเร็จลุล่วงในสิ่งเหล่านี้  วิธีการที่เรียบง่ายที่สุดก็คือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของลูก และแค่ปล่อยให้ลูกทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ  หากพวกเขาต้องการพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับความลำบากยากเย็น ก็จงฟังพวกเขา  เจ้าแค่รู้ว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรก็พอแล้ว  หลังจากที่พวกเขาพูดจบ จงบอกพวกเขาว่า “แม่ฟังสิ่งที่ลูกพูด  มีอะไรอื่นที่ลูกอยากบอกแม่อีกไหม?  ถ้าลูกอยากกินอะไร แม่ทำอาหารให้ลูกได้นะ  ถ้าลูกไม่อยากกินก็กลับบ้านได้เลย  ถ้าลูกต้องการเงิน แม่ให้ลูกได้นิดหน่อย  ถ้าลูกต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง แม่จะทำอะไรที่ทำได้  ถ้าแม่ช่วยไม่ได้ ลูกจะต้องหาทางออกเองนะ”  หากลูกยืนกรานให้เจ้าช่วยพวกเขา เจ้าสามารถพูดว่า “พ่อกับแม่ลุล่วงหน้าที่ต่อลูกแล้ว  พ่อกับแม่มีความสามารถเหล่านี้เท่านั้น ลูกก็มองเห็นเรื่องนั้นได้นี่—พ่อกับแม่ไม่ได้มีทักษะอย่างลูก  ถ้าลูกต้องการแสวงหาความสำเร็จในโลก นั่นเป็นธุระของลูก อย่าพยายามเอาพ่อแม่ไปเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย  พ่อกับแม่ค่อนข้างแก่แล้วและเวลานั้นมันผ่านไปแล้วสำหรับพวกเรา  ความรับผิดชอบแบบพ่อแม่ของพวกเราก็คือฟูมฟักเลี้ยงดูลูกจนเป็นผู้ใหญ่  ส่วนการที่ลูกใช้เส้นทางประเภทใดและลูกทรมานตัวเองอย่างไร อย่าให้พ่อกับแม่เข้าไปมีส่วนเลย  พ่อกับแม่จะไม่ทรมานตัวเองไปพร้อมกับลูก  พ่อกับแม่ทำภารกิจของพวกเราในส่วนของลูกจนครบถ้วนแล้ว  พวกเรามีเรื่องของตัวเอง มีหนทางดำเนินชีวิตของตัวเองและภารกิจของตัวเอง  ภารกิจของพ่อแม่ไม่เกี่ยวกับการทำสิ่งต่างๆ เพื่อลูก และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องให้ลูกช่วยทำให้เสร็จ  พ่อกับแม่จะทำให้ภารกิจของพวกเราเสร็จสิ้นด้วยตัวเอง  อย่าขอให้พ่อกับแม่ไปเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันหรือการดำรงอยู่ของลูกเลยนะ  สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย”  จงแสดงตัวตนของเจ้าออกไปให้ชัดเจน และนั่นจะเป็นการจบเรื่องนี้ จากนั้นเจ้าก็สามารถติดต่อ สื่อสาร และถามไถ่สุขทุกข์ของพวกเขาเท่าที่จำเป็น  นั่นเรียบง่ายเช่นนั้นเอง!  การกระทำในหนทางนี้มีประโยชน์อะไร?  (นั่นทำให้ชีวิตง่ายมาก)  อย่างน้อยที่สุด เจ้าจะได้รับมือกับเรื่องของความรักแบบครอบครัวทางเนื้อหนังอย่างเหมาะควรและถูกต้องเหมาะสม  โลกฝ่ายวิญญาณและทางจิตใจของเจ้าจะสบาย เจ้าย่อมจะไม่ได้กำลังทำการพลีอุทิศอันไม่จำเป็นหรือจ่ายราคาเพิ่มเติมอันใด  เจ้าจะนบนอบอยู่ท่ามกลางการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และปล่อยให้พระองค์ทรงรับมือกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  เจ้าจะกำลังลุล่วงความรับผิดชอบทุกๆ อย่างที่ผู้คนพึงทำ และเจ้าจะไม่ได้กำลังทำสิ่งใดที่ผู้คนต้องไม่ทำ  เจ้าจะไม่ได้กำลังยื่นมือเข้าไปเกี่ยวในสิ่งที่ผู้คนต้องไม่ทำ และเจ้าจะกำลังดำเนินชีวิตอยู่ดังที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าทำ   หนทางที่พระเจ้าตรัสบอกให้ผู้คนดำเนินชีวิตนั้นเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด เส้นทางนั้นสามารถทำให้ผู้คนดำเนินชีวิตที่ผ่อนคลาย มีความสุข ชื่นบาน และเปี่ยมสันติสุขอย่างมาก  แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การดำเนินชีวิตในหนทางนี้จะไม่เพียงเหลือเวลาว่างและพลังงานให้เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ให้ดี และแสดงการอุทิศต่อหน้าที่ของตนเท่านั้น แต่เจ้ายังจะมีเวลาและพลังงานมากขึ้นเพื่อทุ่มเทความพยายามในด้านของความจริง  ในทางตรงข้ามหากพลังงานและเวลาของเจ้าถูกความรู้สึกของเจ้า เนื้อหนังของเจ้า ลูกของเจ้า และความรักสำหรับครอบครัวของเจ้าจับจองและพัวพัน เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่มีพลังงานใดเพิ่มเติมเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นไม่จริงหรอกหรือ?  (จริง)

เมื่อผู้คนทำอาชีพการงานในโลก ทั้งหมดที่พวกเขานึกถึงก็คือการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ อย่างกระแสนิยมทางโลก เกียรติยศ และผลประโยชน์ รวมทั้งความสุขสำราญทางเนื้อหนัง  การแสดงนัยของเรื่องนี้คืออะไร?  นั่นก็คือว่า พลังงาน เวลา และความเยาว์วัยของเจ้าล้วนถูกสิ่งเหล่านี้ยึดครองและผลาญไป  สิ่งเหล่านี้มีความหมายหรือไม่?  สุดท้ายแล้วเจ้าได้รับอะไรจากสิ่งเหล่านี้?  ต่อให้เจ้าได้รับเกียรติยศและผลประโยชน์ นั่นก็ยังคงไร้แก่นสารอยู่ดี  จะเป็นอย่างไรหากเจ้าเปลี่ยนหนทางการดำเนินชีวิตของเจ้า?  หากเวลา พลังงาน และจิตใจของเจ้าถูกครอบครองไว้โดยความจริงและหลักธรรมเท่านั้น และหากเจ้านึกถึงสิ่งที่เป็นบวกเท่านั้น อย่างเช่นวิธีที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และวิธีที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อีกทั้งหากเจ้าสละพลังงานและเวลาเพื่อสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าได้รับย่อมจะแตกต่างไป  สิ่งที่เจ้าได้รับจะเป็นคุณประโยชน์ซึ่งมีสาระสำคัญที่สุด  เจ้าจะรู้วิธีดำเนินชีวิต วิธีวางตัว วิธีเผชิญหน้ากับบุคคล เหตุการณ์ และสิ่งทุกประเภท  ครั้นเจ้ารู้วิธีเผชิญหน้ากับบุคคล เหตุการณ์ และสิ่งทุกประเภทในขอบเขตอันกว้างขวาง นี่ก็จะทำให้เจ้าสามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าไปโดยธรรมชาติ  เมื่อเจ้าสามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าไปตามธรรมชาติ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะกลายเป็นบุคคลประเภทที่พระเจ้าทรงยอมรับและรักไปโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเถิด นั่นเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ?  บางทีเจ้าอาจยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่ในกระบวนการแห่งการดำเนินชีวิตของเจ้า และแห่งการยอมรับพระวจนะของพระเจ้ากับหลักธรรมความจริง เจ้าจะมาดำรงชีวิตอยู่ มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวางตัวและปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้าไปโดยไม่ทันล่วงรู้เลย  นี่หมายความว่าเจ้าจะนบนอบพระวจนะของพระเจ้า นบนอบข้อพึงประสงค์ของพระองค์และสนองข้อพึงประสงค์เหล่านั้นโดยไม่รู้สึกตัว  เช่นนั้นเจ้าก็จะได้กลายเป็นบุคคลประเภทที่พระเจ้าทรงยอมรับ ไว้วางใจ และรักโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  นั่นยอดเยี่ยมไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้นหากเจ้าสละพลังงานและเวลาเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี สิ่งที่เจ้าได้รับในตอนท้ายย่อมจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด  ในทางกลับกัน หากเจ้าดำรงชีวิตอยู่เพื่อเห็นแก่ความรู้สึกของเจ้า เนื้อหนัง ลูกของเจ้า งานของเจ้า รวมถึงเกียรติยศและผลประโยชน์ หากเจ้าพัวพันอยู่ในสิ่งเหล่านี้เสมอ สุดท้ายแล้วเจ้าจะได้รับอะไร?  แค่ความว่างเปล่า  เจ้าจะไม่ได้รับสิ่งใดเลยและเจ้าจะไถลห่างจากจากพระเจ้าไกลออกไปทุกที และถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์อย่างถ้วนทั่วในท้ายที่สุด  เช่นนั้นชีวิตเจ้าก็จะจบเห่ และเจ้าก็จะสูญสิ้นโอกาสแห่งความรอดไปแล้ว  เพราะฉะนั้นพ่อแม่ควรปล่อยมือจากความกังวล ความผูกพัน และความพัวพันทางอารมณ์ของตนทั้งหมดในส่วนของลูกที่เป็นผู้ใหญ่ โดยไม่สำคัญว่าพวกเขามีความคาดหวังอะไรในตัวลูก  พวกเขาไม่ควรฝากความคาดหวังใดไว้กับลูกในระดับทางอารมณ์จากสถานะหรือตำแหน่งของพ่อแม่  หากเจ้าสามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งเหล่านี้ นั่นย่อมวิเศษไปเลย!  อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะได้ลุล่วงหน้าที่แบบพ่อแม่ของเจ้าแล้ว และเจ้าจะเป็นบุคคลที่พอใช้ได้—ผู้ที่แค่บังเอิญเป็นพ่อแม่คนหนึ่ง—ในสายพระเนตรของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้ามองการนี้จากมุมมองมนุษย์ใด สิ่งที่ผู้คนพึงทำ รวมทั้งมุมมองและจุดยืนที่พวกเขาพึงนำมาใช้นั้นก็มีหลักธรรม และพระเจ้าทรงมีมาตรฐานในแง่ของสิ่งเหล่านี้ ถูกต้องใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเรามายุติสามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวกับความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตนและหลักธรรมที่พวกเขาพึงปฏิบัติเมื่อลูกของตนถึงวัยผู้ใหญ่ลงตรงนี้กันเถิด  สวัสดี!

21 พฤษภาคม ค.ศ. 2023

ก่อนหน้า:  ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (17)

ถัดไป:  ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (19)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger