บทที่ 22 และ 23

วันนี้ ทุกคนเต็มใจที่จะทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและทำความรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถทำสิ่งที่พวกเขาเต็มใจที่จะทำนั้นให้เสร็จสิ้นได้ เหตุใดหัวใจของพวกเขาจึงขบถต่อพวกเขาอยู่เสมอและพวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งที่พวกเขาต้องการ  ผลก็คือ พวกเขาถูกความท้อแท้สิ้นหวังอันหนักอึ้งรุมเร้าอีกครั้ง กระนั้นพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเกรงกลัวด้วย  เมื่อไม่สามารถแสดงออกถึงอารมณ์ที่ขัดแย้งกันเหล่านี้ได้ พวกเขาก็ทำได้เพียงคอตกอยู่ในความโศกเศร้าและถามตัวพวกเขาเองอย่างไม่หยุดหย่อนว่า  “เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงลอบทิ้งฉันไปแล้ว?  บางทีคนอื่นทุกคนอาจจะสบายดี และพระเจ้าได้ทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขาทั้งปวงยกเว้นฉัน  เหตุใดฉันจึงรู้สึกไม่สงบอยู่เสมอเมื่อฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า—เหตุใดฉันจึงไม่เคยสามารถจับความเข้าใจในสิ่งใดได้เลย?”  ถึงแม้จะมีความคิดเช่นนี้อยู่ในจิตใจของผู้คน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าแสดงความคิดเหล่านี้ออกมา พวกเขาเพียงต่อสู้ดิ้นรนอยู่ภายในต่อไป  แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีผู้ใดเว้นแต่พระเจ้าที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระองค์หรือทำความเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระองค์ได้  กระนั้นพระเจ้าก็ทรงขอให้ผู้คนทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์อยู่เสมอ—การนี้ไม่เหมือนกับการพยายามบังคับให้เป็ดเกาะคอนหรอกหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงรู้เท่าทันข้อด้อยของมนุษย์กระนั้นหรือ?  นี่คือหัวเลี้ยวหัวต่อในพระราชกิจของพระเจ้า ซึ่งผู้คนล้มเหลวที่จะเข้าใจ และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงตรัสว่า  “มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความสว่าง กระนั้นเขาก็ไม่ตระหนักรู้ความล้ำค่าของความสว่าง  เขาไม่รู้เท่าทันแก่นแท้ของความสว่าง และแหล่งกำเนิดของความสว่าง และยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่รู้เท่าทันว่าความสว่างนั้นเป็นของผู้ใด”  ตามที่พระวจนะของพระเจ้าบอกแก่มนุษย์และสิ่งที่พระวจนะเหล่านั้นขอจากเขาแล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะรอดชีวิต เพราะไม่มีสิ่งใดในเนื้อหนังของมนุษย์ที่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้น การสามารถนบนอบพระวจนะของพระเจ้า ทะนุถนอมและโหยหาพระวจนะของพระเจ้า และการนำพระวจนะเหล่านั้นของพระเจ้าที่ชี้ให้เห็นถึงสภาวะของมนุษย์มาประยุกต์ใช้กับภาวะของพวกเขาเอง และการมารู้จักตัวพวกเขาเองด้วยผลแห่งการนั้น—นี่คือมาตรฐานสูงสุด  เมื่อราชอาณาจักรกลายเป็นจริงในที่สุด มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในเนื้อหนังก็จะยังคงไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และยังคงต้องมีการทรงนำที่พระองค์ทรงทำด้วยพระองค์เอง—กระนั้นผู้คนก็จะเพียงปราศจากการรบกวนของซาตานเท่านั้น และจะครอบครองชีวิตปกติของมนุษย์ นี่คือวัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการทำให้ซาตานพ่ายแพ้ ซึ่งโดยหลักแล้วพระองค์ทรงกระทำเพื่อที่จะฟื้นฟูเนื้อแท้ดั้งเดิมของมนุษย์ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมา  ในพระทัยของพระเจ้านั้น “เนื้อหนัง” อ้างอิงถึงสิ่งต่อไปนี้คือ  ความไม่สามารถที่จะรู้จักเนื้อแท้ของพระเจ้า ความไม่สามารถที่จะมองเห็นกิจธุระทั้งหลายแห่งอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ และยิ่งไปกว่านั้นคือความสามารถที่จะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม กระนั้นก็ยังสามารถรับการชี้นำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เช่นกัน  นี่คือแก่นแท้ของเนื้อหนังที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น  โดยธรรมชาติแล้วเนื้อหนังยังถูกคาดหวังให้หลีกเลี่ยงความอลหม่านในชีวิตของมวลมนุษย์ที่การขาดพร่องระเบียบแบบแผนอาจก่อให้เกิดขึ้น  ยิ่งพระเจ้าตรัสมากขึ้นเท่าใด และยิ่งพระองค์ตรัสอย่างหลักแหลมขึ้นเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น  ผู้คนเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว และใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างโดยไม่รู้ตัว และด้วยเหตุนี้ “เพราะความสว่าง พวกเขาจึงกำลังเติบโต และได้ออกจากความมืด”  นี่คือฉากเหตุการณ์ที่สวยงามของราชอาณาจักร และเป็น “การใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง การออกห่างจากความตาย” ที่มักจะมีการพูดถึงอยู่บ่อยๆ  เมื่อซีนิมกลายเป็นจริงขึ้นบนแผ่นดินโลก—เมื่อราชอาณาจักรเป็นจริงขึ้นมา—จะไม่มีสงครามบนแผ่นดินโลกอีก จะไม่มีวันมีการกันดารอาหาร ภัยพิบัติ และแผ่นดินไหวอีก ผู้คนจะหยุดผลิตอาวุธ ทุกคนจะใช้ชีวิตอยู่ในสันติสุขและเสถียรภาพ และจะมีการติดต่อไปมาหาสู่กันตามปกติระหว่างผู้คน และการติดต่อเจรจาตามปกติระหว่างประเทศ  แต่ปัจจุบันยังไม่มีสภาพเทียบเคียงการนี้  ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ล้วนอยู่ในความอลหม่าน และรัฐประหารค่อยๆ เริ่มเกิดขึ้นในแต่ละประเทศ  ผลจากถ้อยดำรัสของพระเจ้าคือ ผู้คนค่อยๆ เปลี่ยนแปลง และทุกประเทศเกิดการแบ่งแยกภายในอย่างช้าๆ  รากฐานที่มั่นคงแห่งบาบิโลนเริ่มสั่นสะเทือนเหมือนปราสาททราย และขณะที่เจตนารมณ์ของพระเจ้าแปรเปลี่ยน ความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ก็เกิดขึ้นในโลกโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น และหมายสำคัญทุกรูปแบบปรากฏขึ้นตลอดเวลา ซึ่งแสดงให้ผู้คนเห็นว่ายุคสุดท้ายของโลกมาถึงแล้ว!  นี่คือแผนการของพระเจ้า เหล่านี้คือขั้นตอนทั้งหลายที่พระองค์ใช้ในการทรงพระราชกิจ และแต่ละประเทศจะแตกแยกออกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน  โสโดมเก่าจะถูกทำลายล้างเป็นครั้งที่สอง และด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงตรัสว่า “โลกกำลังล่มจม!  บาบิโลนกำลังเป็นอัมพาต!”  ไม่มีผู้ใดเว้นแต่พระเจ้าพระองค์เองที่ทรงสามารถเข้าใจการนี้โดยบริบูรณ์ จะว่าไปแล้ว การตระหนักรู้ของผู้คนก็มีขีดจำกัดอยู่  ตัวอย่างเช่น รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายในทั้งหลายอาจจะรู้ว่ารูปการณ์แวดล้อมปัจจุบันไม่มั่นคงและวุ่นวาย แต่พวกเขาไม่สามารถจัดการแก้ไขรูปการณ์แวดล้อมเหล่านั้น  พวกเขาทำได้เพียงแล่นไปตามกระแส โดยหวังอยู่ในหัวใจของพวกเขาถึงวันที่พวกเขาสามารถเชิดหน้า ถึงวันข้างหน้าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกอีกครั้ง ฉายแสงไปทั่วแผ่นดิน และพลิกสภาวการณ์ที่ยากแค้นนี้  อย่างไรก็ตาม พวกเขาหารู้ไม่ว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นครั้งที่สอง การผงาดขึ้นมาของมันไม่ได้หมายที่จะฟื้นคืนระเบียบแบบแผนเก่าๆ—แต่คือการฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างทั่วถึง  เช่นนั้นคือแผนการของพระเจ้าสำหรับทั้งจักรวาล  พระองค์จะทรงนำมาซึ่งโลกใหม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์จะทรงฟื้นฟูมนุษย์ขึ้นมาใหม่เป็นอันดับแรก  วันนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพามวลมนุษย์เข้าสู่พระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่แค่เปิดโอกาสให้พวกเขาชื่นชมพระพรแห่งสถานะของตนเท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น ตามที่พระเจ้าตรัสว่า “ในราชอาณาจักร เราคือองค์กษัตริย์—แต่แทนที่จะปฏิบัติต่อเราในฐานะองค์กษัตริย์ของเขา มนุษย์กลับปฏิบัติต่อเราในฐานะ ‘พระผู้ช่วยให้รอดที่เสด็จลงมาจากสวรรค์’  ผลก็คือ เขาถวิลหาให้เรามอบทานแก่เขาและไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับเรา”  เช่นนั้นคือภาวะที่แท้จริงของผู้คนทั้งปวง  วันนี้ สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดคือการขจัดความละโมบอันไม่รู้จักพอของมนุษย์ให้หมดสิ้นไป อันเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้จักพระเจ้าโดยไม่ขอสิ่งใดด้วยผลแห่งการนี้ เช่นนั้นแล้วจึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่พระเจ้าตรัสว่า “หลายคนเหลือเกินออดอ้อนต่อหน้าเราเหมือนขอทาน หลายคนเหลือเกินเปิด ‘กระสอบ’ ของพวกเขาแก่เรา และเว้าวอนให้เรามอบอาหารแก่พวกเขาเพื่อการอยู่รอด”  สภาวะเช่นนี้บ่งบอกถึงความละโมบของผู้คน และแสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่ได้รักพระเจ้า แต่ทำการเรียกร้องต่อพระองค์ หรือพยายามที่จะได้ในสิ่งที่พวกเขาถวิลหา  ผู้คนมีธรรมชาติของหมาป่าที่หิวโหย พวกเขาล้วนเจ้าเล่ห์และละโมบ และด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงมีข้อพึงประสงค์แก่พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งบังคับให้พวกเขามอบถวายหัวใจอันละโมบของพวกเขาและรักพระเจ้าด้วยหัวใจที่จริงใจ  ในความเป็นจริงแล้ว จนถึงปัจจุบันนี้ผู้คนยังไม่ได้มอบหัวใจทั้งดวงของพวกเขาให้แก่พระเจ้า พวกเขาเหยียบเรือสองแคม โดยบางครั้งก็พึ่งพาตัวพวกเขาเอง บางครั้งก็พึ่งพาพระเจ้า หาได้วางใจในพระองค์โดยบริบูรณ์ไม่  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ผู้คนทั้งปวงจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความรักและความเชื่อที่แท้จริง และเจตนารมณ์ของพระเจ้าก็จะได้รับการตอบสนอง ด้วยเหตุนี้ ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าจึงไม่สูงเลย

ทูตสวรรค์ทั้งหลายเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางบรรดาบุตรและประชากรของพระเจ้าเป็นนิจ โดยรีบเร่งไปมาระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลก และลงมายังโลกมนุษย์หลังจากที่กลับไปยังอาณาจักรฝ่ายวิญญาณในแต่ละวัน  นี่คือหน้าที่ของพวกเขา และด้วยเหตุนี้ ในแต่ละวัน บรรดาบุตรและประชากรของพระเจ้าจึงได้รับการเลี้ยงดู และชีวิตของพวกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง  ในวันที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนรูปสัณฐานของพระองค์นั้น งานของทูตสวรรค์บนแผ่นดินโลกก็จะสิ้นสุดลงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และพวกเขาจะกลับไปยังอาณาจักรแห่งสวรรค์  วันนี้ บรรดาบุตรและประชากรทั้งปวงของพระเจ้าอยู่ในภาวะเดียวกัน  ขณะที่ทุกวินาทีผ่านพ้นไป ผู้คนทั้งปวงกำลังเปลี่ยนแปลง และบรรดาบุตรและประชากรของพระเจ้าค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่  เมื่อเทียบกันแล้ว กบฏทั้งปวงก็กำลังเปลี่ยนแปลงต่อหน้าพญานาคใหญ่สีแดงด้วย กล่าวคือ ผู้คนไม่จงรักภักดีต่อพญานาคใหญ่สีแดงอีกต่อไป และเหล่าปีศาจก็ไม่ติดตามการจัดการเตรียมการของมันอีกต่อไป  ในทางกลับกัน “ทุกสิ่งกระทำการตามที่พวกมันเห็นว่าเหมาะ และแต่ละสิ่งก็ทำไปตามหนทางของตัวเอง”  ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “ประเทศทั้งหลายบนแผ่นดินโลกจะไม่พินาศได้อย่างไร?  ประเทศทั้งหลายบนแผ่นดินโลกจะไม่ล่มจมได้อย่างไร?”  ฟ้าสวรรค์จึงกดต่ำลงมาในทันใด… เป็นราวกับว่าความรู้สึกสังหรณ์ที่ไม่ดีกำลังบอกเหตุล่วงหน้าถึงบทอวสานของมวลมนุษย์  หมายสำคัญอันเป็นเค้าลางไม่ดีนานัปการที่มีการเผยพระวจนะเอาไว้ในที่นี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงโดยแท้ และไม่มีผู้ใดบนแผ่นดินโลกจะสามารถหลีกหนีไปได้  เช่นนั้นคือการเผยพระวจนะในพระวจนะของพระเจ้า  วันนี้ผู้คนทั้งปวงมีความสังหรณ์ใจว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว และพวกเขาดูเหมือนจะรู้สึกว่าความวิบัติกำลังจะบังเกิดแก่พวกเขา—กระนั้นพวกเขาก็ไม่มีหนทางที่จะหลีกหนี และด้วยเหตุนั้นพวกเขาทั้งปวงจึงไม่มีความหวัง  พระเจ้าตรัสว่า “ขณะที่เราประดับประดา ‘ห้องพักชั้นใน’ แห่งราชอาณาจักรของเราวันแล้ววันเล่า ไม่มีผู้ใดเคยบุกเข้ามาใน ‘ห้องทำงาน’ ของเราอย่างกะทันหันเพื่อทำให้งานของเราหยุดชะงัก”  แท้จริงแล้ว ความหมายแห่งพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่แค่จะพูดว่าผู้คนอาจรู้จักพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์  เหนืออื่นใด พระวจนะเหล่านี้บ่งบอกว่าในแต่ละวัน พระเจ้าทรงจัดเตรียมพัฒนาการทุกรูปแบบทั่วทั้งจักรวาลเพื่อรับใช้พระราชกิจส่วนถัดไปของพระองค์  สาเหตุที่พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดเคยบุกเข้ามาใน ‘ห้องทำงาน’ ของเราอย่างกะทันหันเพื่อทำให้งานของเราหยุดชะงัก” ก็คือว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจในเทวสภาพ และผู้คนไม่สามารถมีส่วนร่วมในพระราชกิจของพระองค์ แม้ว่าพวกเขาอาจปรารถนาที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม  เราขอถามเจ้าว่า  เจ้าจะจัดเตรียมพัฒนาการทุกอย่างได้ทั่วทั้งจักรวาลหรือไม่?  เจ้าจะทำให้ผู้คนบนแผ่นดินโลกกล้าท้าทายบรรพบุรุษของพวกเขาได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถจัดการให้ผู้คนทั่วทั้งจักรวาลรับใช้น้ำพระทัยของพระเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าสามารถทำให้ซาตานอาละวาดได้หรือไม่?  เจ้าสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกว่าโลกนี้ช่างโดดเดี่ยวอ้างว้างและว่างเปล่าได้หรือไม่?  ผู้คนไม่มีความสามารถในการทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น  ในอดีต เมื่อ “ทักษะ” ของซาตานยังไม่ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ มันจะรบกวนพระราชกิจของพระเจ้าในแต่ละช่วงระยะอยู่เสมอ ในช่วงระยะนี้ ซาตานหมดสิ้นเล่ห์เหลี่ยมแล้ว และดังนั้นพระเจ้าจึงทรงเปิดโอกาสให้ซาตานแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของมัน เพื่อที่ผู้คนทั้งปวงอาจรู้จักมัน  นี่คือความจริงของพระวจนะที่ว่า “ไม่มีผู้ใดเคยทำให้งานของเราหยุดชะงัก”

ในแต่ละวัน ผู้คนในคริสตจักรทั้งหลายอ่านพระวจนะของพระเจ้า และในแต่ละวัน พวกเขาก้าวผ่านงานแห่งการชำแหละบน “โต๊ะผ่าตัด”  ตัวอย่างเช่น “การสูญเสียสถานะของพวกเขา” “การถูกไล่ออก” “ความกลัวของพวกเขาก็บรรเทาลงและความสงบสำรวมฟื้นคืนมาอีกครั้ง” “การทอดทิ้ง” และ “โดยไร้ซึ่ง ‘ความรู้สึก’”—คำพูดที่เย้ยหยันเช่นนั้น “ทรมาน” ผู้คน และทำให้พวกเขาเงียบงันด้วยความละอาย  เป็นราวกับว่าทั่วทั้งร่างกายของพวกเขา—ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จากภายในถึงภายนอก—ไม่มีส่วนใดที่ตรงตามความเห็นชอบของพระเจ้า  เหตุใดพระเจ้าจึงตีแผ่ชีวิตของผู้คนด้วยพระวจนะของพระองค์จนหมดเปลือกถึงเพียงนั้น?  พระเจ้าทรงจงใจที่จะทำให้สิ่งทั้งหลายลำบากยากเย็นสำหรับผู้คนหรือ?  เป็นราวกับว่าใบหน้าของผู้คนทั้งปวงถูกละเลงด้วยโคลนที่ไม่สามารถชำระล้างออกได้  ในแต่ละวัน พวกเขาก้มหน้าเล่าเรื่องความบาปของพวกเขาเหมือนศิลปินลวงโลก  ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมากเสียจนพวกเขาไม่ตระหนักรู้สภาวะที่แท้จริงของพวกเขาเองอย่างเต็มที่  แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว พิษของซาตานอยู่ในทุกส่วนของร่างกายของพวกเขา แม้กระทั่งในไขกระดูกของพวกเขา ผลก็คือ ยิ่งวิวรณ์ของพระเจ้าลุ่มลึกมากเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งกลายเป็นยำเกรงมากขึ้นเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ ผู้คนทั้งปวงจึงถูกทำให้รู้จักซาตานและมองเห็นซาตานในตัวมนุษย์ เพราะพวกเขาไม่สามารถมองเห็นซาตานด้วยตาเปล่าได้  และเนื่องจากทุกคนได้เข้าสู่ความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าจึงทรงเปิดโปงธรรมชาติของมนุษย์—กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ทรงเปิดโปงภาพลักษณ์ของซาตาน—และด้วยเหตุนี้จึงทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้เห็นซาตานตัวจริงที่สามารถจับต้องได้ ซึ่งล้วนทำให้พวกเขารู้จักพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ดียิ่งขึ้น  พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์รู้จักพระองค์ในเนื้อหนัง และพระองค์ทรงให้รูปทรงแก่ซาตาน อันเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์รู้จักซาตานตัวจริงที่สามารถจับต้องได้ในเนื้อหนังของผู้คนทั้งปวง  สภาวะนานาที่มีการพูดถึงอยู่นี้ล้วนเป็นการแสดงออกถึงความประพฤติของซาตาน  และดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ทุกคนที่มีเนื้อหนังล้วนเป็นรูปจำแลงแห่งภาพลักษณ์ของซาตาน  พระเจ้าทรงเข้ากันไม่ได้กับศัตรูของพระองค์—ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นปรปักษ์กัน และเป็นสองกำลังบังคับที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ปีศาจจึงเป็นปีศาจตลอดกาล และพระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้าตลอดกาล ทั้งสองนั้นเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับไฟ แยกจากกันเสมอเหมือนดังสวรรค์กับแผ่นดินโลก  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ผู้คนจำพวกหนึ่งมีวิญญาณของทูตสวรรค์ ในขณะที่อีกประเภทหนึ่งไม่มีวิญญาณ และด้วยเหตุนี้ประเภทหลังจึงถูกวิญญาณของปีศาจครอบครอง และดังนั้นพวกเขาจึงถูกเรียกว่าปีศาจ  ในท้ายที่สุดแล้ว ทูตสวรรค์ก็คือทูตสวรรค์ ปีศาจก็คือปีศาจ—และพระเจ้าก็คือพระเจ้า  นี่คือความหมายของแต่ละจำพวกตามประเภทของตน และดังนั้น เมื่อบรรดาทูตสวรรค์ปกครองแผ่นดินโลกและชื่นชมพระพร พระเจ้าก็ทรงกลับไปยังที่ประทับของพระองค์ และส่วนที่เหลือ—เหล่าศัตรูของพระเจ้านั้น—ก็กลายเป็นเถ้าธุลี  แท้ที่จริงแล้ว จากภายนอก ผู้คนทั้งปวงดูเหมือนรักพระเจ้า แต่รากเหง้านั้นอยู่ในเนื้อแท้ของพวกเขา—บรรดาผู้ที่มีธรรมชาติของทูตสวรรค์จะหลีกหนีจากพระหัตถ์ของพระเจ้าและร่วงหล่นลงสู่บาดาลลึกได้อย่างไร?  และพวกที่มีธรรมชาติของปีศาจจะมีวันสามารถรักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้อย่างไร?  แก่นแท้ของผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่แก่นแท้แห่งความรักพระเจ้าที่แท้จริง ดังนั้น พวกเขาจะมีวันมีโอกาสเข้าสู่ราชอาณาจักรได้อย่างไร?  ทั้งหมดได้ถูกพระเจ้าจัดการเตรียมการไว้แล้วเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสร้างโลกนี้ขึ้นมา ดุจดังที่พระเจ้าตรัสว่า “เรารุดหน้าไปท่ามกลางลมและฝน และใช้เวลาปีแล้วปีเล่าท่ามกลางมนุษย์ และได้มาถึงยุคปัจจุบันทันเวลา  เหล่านี้ไม่ใช่ขั้นตอนแห่งแผนการบริหารจัดการของเราโดยแท้หรอกหรือ?  ผู้ใดเคยได้เพิ่มเติมแผนการของเรา?  ผู้ใดสามารถแยกตัวออกจากขั้นตอนทั้งหลายในแผนการของเรา?”  เมื่อได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าต้องทรงผ่านประสบการณ์กับชีวิตของมนุษย์—นี่ไม่ใช่ด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรอกหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงซ่อนเร้นสิ่งใดจากมนุษย์ก็เพราะความอ่อนแอของมนุษย์ ในทางกลับกัน พระองค์ทรงแผ่วางความจริงแก่มนุษย์ ดุจดังที่พระเจ้าตรัสว่า “เราได้ใช้เวลาปีแล้วปีเล่าท่ามกลางมนุษย์”  แน่นอนว่าเป็นเพราะพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง พระองค์จึงทรงผ่านพ้นปีแล้วปีเล่าบนแผ่นดินโลก ด้วยเหตุนี้ มีเพียงหลังจากการก้าวผ่านกระบวนการทุกรูปแบบแล้วเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถได้รับการคำนึงถึงว่าทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และมีเพียงหลังจากนั้นเท่านั้นที่พระองค์จะสามารถทรงพระราชกิจในเทวสภาพภายในเนื้อหนังได้  ครั้นแล้วหลังจากที่ทรงเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหมดแล้ว พระองค์จะทรงเป็นอิสระที่จะเปลี่ยนรูปสัณฐานของพระองค์  นี่คืออีกแง่มุมหนึ่งของคำอธิบายถึงความไม่เหนือธรรมชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงบ่งชี้ไว้โดยตรง

จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำได้ตามมาตรฐานของพระวจนะแต่ละคำของพระเจ้า ไม่สุกเอาเผากิน—นี่คือพระบัญชาของพระเจ้า!

ก่อนหน้า:  บทที่ 21

ถัดไป:  บทที่ 24 และ 25

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger