1. ถนนกลับบ้านของบาทหลวงคนหนึ่ง
ครอบครัวของผมเป็นคาทอลิกมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ตอนอายุ 20 ปี ผมตัดสินใจอุทิศตนให้แก่องค์พระผู้เป็นเจ้าและใช้ชีวิตรับใช้พระองค์ หลังจากอบรมศาสนศาสตร์ระบบในโรงเรียนสอนศาสนาอยู่เจ็ดปี ผมก็เจิมถวายตัวให้กับพระเจ้าในฐานะบาทหลวงเมื่ออายุ 27 ปี พออายุ 30 ปี ผมก็ได้เลื่อนเป็นอธิการของอาราม ในตอนนั้น ผมค่อนข้างโอหัง ในด้านหนึ่ง ผมรู้สึกว่าได้มาเป็นอธิการอารามตอนอายุน้อยมาก แต่อีกด้านหนึ่ง หลังฟังบทเทศน์ของผม เหล่าพระสงฆ์และบาทหลวงต่างก็พูดว่าเป็นบทเทศน์ที่มีประโยชน์ ผมจึงรู้สึกว่าผมเข้าใจพระคัมภีร์และมีความรู้เรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้า รู้สึกว่าเมื่อพระองค์เสด็จมา พระเจ้าจะทรงเห็นชอบให้ผมเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์
เมื่อมิถุนายนปี 2001 ครับ มีอยู่คืนหนึ่ง สังฆานุกรหวังรีบรุดมาหาผม เพื่อบอกว่ามีคริสเตียนสองคนมาหา พวกเขาพูดถึงความเชื่อได้ลุ่มลึกมาก พอผมได้ยินว่าพวกเขาเป็นคริสเตียน ผมก็ไม่ให้ความใส่ใจแม้แต่นิดเดียว ผมคิดว่า พระศาสนจักรโรมันคาทอลิกคือคริสตศาสนจักรที่แท้จริง และมีความจริงอันสมบูรณ์เรื่องความรอดพ้นของพระเยซู ผมได้รับการอบรมด้านเทววิทยามาหลายปี ได้ศึกษาพระคัมภีร์แต่ละบทบรรทัดต่อบรรทัด แต่ในเมื่อพวกเขามาแล้ว ผมคิดว่าผมน่าจะพูดคุยถึงคำถามในเรื่องความเชื่อกับพวกเขาไปด้วยเลย และดูว่าผมจะสามารถเปลี่ยนพวกเขามาสู่ความเชื่อแบบคาทอลิกได้ไหม จากนั้น สังฆานุกรหวังก็นำผมไปพบพวกเขา คนหนึ่งชื่อว่าพี่น้องชายเช็ง อีกคนชื่อพี่น้องชายเกา หลังพบพวกเขา พอผมรู้ว่าพวกเขาเพิ่งเชื่อในพระเจ้ามาเพียงหกเจ็ดปีเท่านั้น ผมก็ยิ่งเป็นจริงเป็นจังกับพวกเขาน้อยลงอีก แต่เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมพระศาสนจักรคาทอลิก ผมจึงยังพูดคุยกับพวกเขาอย่างอดทนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์คาทอลิก ผมพูดกับพวกเขาด้วยว่า “ถ้าพวกคุณอยากเข้าอาณาจักรสวรรค์ พวกคุณก็ควรเข้าร่วมศาสนจักรที่แท้จริง ศาสนจักรคาทอลิก” แต่หลังจากพี่น้องชายทั้งสองได้ยิน พวกเขาไม่เพียงไม่อยากเปลี่ยนความเชื่อ แต่ยังสามัคคีธรรมกับผมเกี่ยวกับสภาวะของศาสนจักร พี่น้องเกาพูดว่า “สำหรับทั้งคาทอลิกและคริสเตียน ตอนนี้สภาวะของศาสนจักรอ้างว้าง ผู้ประกาศอ่านพระคัมภีร์ โดยขาดความสว่าง ไม่อาจเทศนา สิ่งใหม่หรือลุ่มลึกได้ และผู้ประกาศบางคนก็เริ่มไล่ตามสิ่งทางโลกและทิ้งเส้นทางแห่งการรับใช้ และผู้เชื่อ ก็รู้สึกคิดลบและอ่อนแอ หมดสิ้นความเชื่อ และระหว่างการนัดพบ พวกเขาพูดคุยเรื่องชีวิตทั่วไปหรือวิธีหาเงิน และแนะนำงาน และคู่รักชายหญิงให้กัน ผู้เชื่อหลายคนไล่ตามเสาะหากระแสทางโลก และบางคนถึงกับกลับไปสู่โลก สภาวะปัจจุบันของคริสตจักร ต่างจากสภาวะของวิหารในวันท้ายๆ ของยุคธรรมบัญญัติตรงไหน? เมื่อสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ วิหารอ้างว้างอย่างชัดเจน ผู้คนแลกเปลี่ยนเงินในวิหาร ซื้อขายวัวควาย แกะ และนกพิราบอย่างเปิดเผย และวิหารก็กลายเป็นถ้ำของพวกโจร พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงงานในวิหารอีกต่อไปแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงงานที่ไหน ตอนนั้น องค์พระเยซูเจ้าทรงเริ่มงานใหม่ภายนอกวิหาร และงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนสู่งานขององค์พระเยซูเจ้า มันก็เหมือนการมีเตาไฟอยู่ในห้องในฤดูหนาว ในห้องนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ถ้านำเตาไฟออกไป ห้องนั้นก็จะกลายเป็นหนาวเย็น คริสตจักรก็เหมือนกัน เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงงานในคริสตจักร พี่น้องชายหญิงมีความเชื่อ และไล่ตามเสาะหาอย่างกระตือรือร้น แต่ทันทีที่สูญเสียงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตจักรก็กลายเป็นอ้างว้าง คริสตจักรทุกหนแห่ง ก็อยู่ในสภาวะเดียวกันกับพระวิหารในวันท้ายๆ ของยุคธรรมบัญญัติ ล้วนอ้างว้างทั้งนั้น คุณได้พิจารณไหมครับว่างานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนไปแล้วหรือไม่? วันนี้ งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ที่ไหน?” หลังจากได้ยินพี่น้องคนนั้นพูด ผมก็ประหลาดใจมาก ไม่คาดคิด ว่าพวกเขาจะเชื่อมโยงความอ้างว้างของพระวิหารกับพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า ความเข้าใจนี้ใหม่สำหรับผม ศาสนจักรของเราไม่เคยเข้าใจสิ่งต่างๆ ในทางนี้ และผมก็เห็นด้วยกับสภาวะของศาสนจักรที่พวกเขาประเมิน แค่พิจารณาการอ่านพระคัมภีร์ และดำรงวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ สมาชิกวัดมากมายก็ไม่ทำสิ่งเหล่านั้นแล้ว พวกเขาเป็นเหมือนผู้ไม่เชื่อ ไล่ตามเงินและความสำราญทางโลก ผู้คนในวัดก็น้อยลงทุกที นี่คือข้อเท็จจริง ศาสนจักรถูกทิ้งร้างจริงๆ ผมเห็นว่าสามัคคีธรรมของพวกเขาสอดคล้องกับพระคัมภีร์และข้อเท็จจริง และมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งอยู่ ผมจึงคิดว่า “ฉันศึกษาพระคัมภีร์มาหลายปีมากโดยไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่พวกเขาเข้าถึงได้ หลังจากเชื่อมาเพียงไม่กี่ปี ดูเหมือนฉันประเมินพวกเขาต่ำไป” เมื่อผมเห็นว่าไม่สามารถหว่านล้อมพวกเขาได้ และไม่สามารถตอบคำถามของพวกเขาได้ เพื่อไม่ให้ตัวเองอับอาย ผมจึงเพียงแค่พูดอีกสองสามคำ ขอตัวลา และกลับบ้าน
แต่ผมคิดว่าพระจิตเจ้าคือวิญญาณของศาสนจักร ดังนั้นถ้าไม่ทรงงานในศาสนจักร พระองค์จะทรงงานที่ไหนได้อีก? ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ จึงไม่คิดถึงเรื่องนี้มากนัก ต่อมา พี่น้องทั้งสองก็มาหาผมอีกสองสามครั้ง ตามมาจากหัวข้อสุดท้ายของสามัคคีธรรม พวกเขาพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาปรากฏในรูปมนุษย์เพื่อแสดงพระวจนะใหม่ ทรงงานแห่งการพิพากษา และชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ ปลดปล่อยเราจากพันธนาการแห่งบาป และนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์” ผมขัดแย้งในใจอย่างมากเมื่อได้ยินเรื่องนั้น ผมคิดว่า “พวกคุณเข้าใจพระคัมภีร์จริงหรือเปล่า? องค์พระเยซูเจ้าได้สำเร็จพระราชกิจแห่งการไถ่แล้ว และจะทรงกลับมาในร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิตบนก้อนเมฆเพื่อกำหนดอวสานของผู้คน เป็นไปได้อย่างไรที่พระองค์จะเสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์อีกครั้งเพื่อทรงงานใหม่?” ในจังหวะนั้น จู่ๆ ผมก็จำได้ว่า มีใครบางคนบอกผมเมื่อไม่นานก่อนนั้น เกี่ยวกับผู้คนที่ประกาศฟ้าแลบจากทิศตะวันออก พวกเขาอ้างว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมารับธรรมชาติมนุษย์แล้วเพื่อทรงงานใหม่ และพวกเขากล่าวบทเทศน์ได้ลุ่มลึก ผมรู้สึกว่าพวกเขาอาจจะเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ผมรู้สึกว่าศาสนจักรจักรโรมันคาทอลิกคือคริสตจักรออร์โธดอกซ์ และในเมื่อไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมาก่อน จึงไม่น่าใช่คริสตจักรออร์โธดอกซ์ ในเมื่อไม่ใช่คริสตจักรออร์โธดอกซ์ บทเทศน์ของพวกเขาต้องผิดอย่างแน่นอน ผมจึง ขัดจังหวะพวกเขาแล้วถามขึ้นว่า “พวกคุณเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกไหม? พวกคุณพูดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมารับธรรมชาติมนุษย์แล้วและกำลังทรงงานใหม่ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เชื่อหรอก ถ้าคิดจะประกาศข่าวดีนี้กับผม ก็อย่าได้เสียเวลาเลย!” พี่น้องทั้งสองยังคงสามัคคีธรรมกับผมด้วยความใจเย็นอย่างยิ่ง แต่เพราะมโนคติอันหลงผิดของผมแข็งกล้าเกินไป ผมจึงไม่ฟังพวกเขาเลยสักนิดเดียว ผมบอกพวกเขาอย่างฉุนเฉียวมากว่า “สิ่งที่คุณประกาศขัดแย้งกับความเชื่อตามประเพณี ผมไม่อยากฟังอีกแล้ว!” ตอนนั้น พอพี่น้องทั้งสองเห็นท่าทีของผม พวกเขาก็เลิกสามัคคีธรรมกับผม ต่อมา พวกเขามาหาผมอีกสองครั้ง แต่เพราะความต่อต้านภายในที่ผมมีต่อพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะสามัคคีธรรมยังไง ทุกอย่างก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา สุดท้าย พวกเขาก็ทิ้งหนังสือ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ไว้ให้ผม และขอให้ผมสืบค้นหนังสือเล่มนั้น พอผมเห็นท่าทีเอาจริงเอาจังของพวกเขา ผมก็ลำบากใจเกินกว่าจะปฏิเสธ ผมจึงอนุญาตให้พวกเขาทิ้งหนังสือไว้
ตอนที่ผมได้รับหนังสือนั่นมาทีแรก ผมก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นนิดหน่อย และผมอยากดูว่าในนั้นเขียนอะไรไว้กันแน่ ดังนั้น ผมจึงเปิดหนังสือนั่น กวาดตาอ่านสารบัญ จากนั้นก็พลิกสุ่มอ่านสองสามหน้า แล้วผมก็พบงานเขียนบางส่วน อย่างเช่นตรีเอกภาพมีจริงหรือไม่ และอวสานและบั้นปลายของมวลมนุษย์ นั่นแตกต่างจากการสอนตามประเพณีของพวกเรา ผมจึงปิดหนังสือและไม่อ่านมันอีกเลย ผมคิดว่า ในฐานะอธิการของอาราม ผมมีหน้าที่ปกป้องฝูงแกะ ผมต้องบอกบรรดาบาทหลวงและพระสงฆ์ไม่ให้พวกเขาถูกหลอกลวง ดังนั้น ระหว่างการเข้าเงียบสามเณรครั้งหนึ่ง ผมพูดว่า “พวกเราอยู่ในยุคสุดท้าย มีพระคริสต์เทียมปรากฏขึ้นมากมาย เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมพบกับคนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออก พวกเขาพูดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมารับธรรมชาติมนุษย์แล้ว และกำลังทรงงานใหม่อยู่ เป็นไปได้เหรอครับ? ผมพลิกอ่านหนังสือของพวกเขาผ่านๆ สองสามหน้า และสิ่งที่สอนในนั้นแตกต่างจากความเชื่อตามประเพณีของเรา ผมมั่นใจว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่!” อีกอย่าง ผมกำชับพวกเขาให้ระมัดระวังและไม่ติดต่อกับพวกนั้น ไม่อ่านหนังสือของพวกเขา หรือฟังพวกเขาพูด และให้แน่ใจที่จะปกป้องสมาชิกวัดไม่ให้ถูกพวกนั้นหลอกลวง ตอนนั้น หลังจากได้ยินที่ผมพูด บรรดาบาทหลวงและพระสงฆ์ก็พูดว่า เราต้องช่วยวิญญาณทั้งหลายเป็นสำคัญ และเราต้องปกป้องสมาชิกวัด ในตอนนั้น ผมเห็นว่าหลังจากทุกคนฟังผมแล้วก็เชื่อฟังมาก และผมรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมจริงๆ หรืออย่างน้อยก็ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของอธิการที่จะปกป้องฝูงแกะ ดังนั้นผมจึงไม่ตระหนักว่าผมกำลังต่อต้านพระเจ้าเลยสักนิด
หลังจากเหตุการณ์นี้สองสามวัน พี่น้องเกาก็มาพบผม และถามผว่าได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือยัง ผมโพล่งตอบเขาอย่างทื่อๆ เลย ผมพูดว่า “พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่างจากคำสอนตามประเพณีของเรา ผมจะไม่สืบค้นหรอก และผมจะไม่ให้ใครอื่นสืบค้นพระวจนะพวกนั้นด้วย เพราะว่านี่เป็นเรื่องของความเชื่อ เราจะไม่มีวันทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการฟังการประกาศของคุณ” หลังจากพี่น้องเกาได้ยินแบบนี้ เขาก็สามัคคีธรรมกับผมอย่างใจเย็น เขาว่า “คุณยังไม่ได้อ่านพระวจนะ เพิ่งพบไม่กี่สิ่งที่แตกต่างจากการสอนตามประเพณีของคริสตจักรคุณ ก็เลยตัดสินใจว่านี่ไม่ใช่พระวจนะและงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่ยอมสืบค้น ไม่คิดว่าบุ่มบ่ามเกินไปหรอกหรือครับ? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘เราแนะนำให้พวกเจ้าก้าวย่างบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าด้วยความรอบคอบระมัดระวัง จงอย่าด่วนสรุป ยิ่งไปกว่านั้น อย่าทำตัวตามสบายและไร้ความคิดในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า พวกเจ้าควรรู้ว่าอย่างน้อยที่สุด บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรถ่อมใจและมีความเคารพ พวกที่เคยได้ยินความจริงทว่ากลับเชิดใส่ความจริงนั้นเป็นผู้ที่โง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน พวกที่เคยได้ยินความจริงทว่ายังด่วนสรุปหรือกล่าวโทษความจริงนั้นโดยประมาทเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความโอหัง ไม่มีผู้ใดเลยที่เชื่อในพระเยซูจะมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะสาปแช่งหรือกล่าวโทษผู้อื่นได้ พวกเจ้าทั้งหมดควรเป็นคนที่มีสำนึกรับรู้และผู้ที่ยอมรับความจริง’ (“ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พวกเราเห็นได้ว่า เพื่อเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องยำเกรงพระเจ้า เราไม่อาจหลับหูหลับตากล่าวโทษเมื่อเห็นว่าพระวจนะและงานของพระเจ้า ไม่ตรงกับที่เราเข้าใจ ถ้าเราไม่มีท่าทีของความถ่อมใจและการแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเราประเมินพระวจนะและงานใหม่ของพระเจ้าด้วยจินตนาการของตัวเอง ก็กระทำบาปใหญ่หลวงในการต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าได้ง่ายมาก นี่ก็เหมือนตอนองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน และพวกฟาริสีเห็นว่าพระวจนะและงานของพระองค์เกินกว่าธรรมบัญญัติ พวกเขาตั้งใจหาบางอย่างมาต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า กล่าวโทษพระองค์ และลวงฝูงชนให้ตรึงองค์พระเยซูเจ้าติดกับกางเขน นี่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างร้ายแรง และสุดท้ายพวกเขาก็ถูกสาปแช่งและลงโทษ บทเรียนนี้แลกมาด้วยเลือด วันนี้ ในเรื่องของการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องระมัดระวัง เพราะถ้าเรากล่าวโทษอย่างผิดๆ เราก็อาจจะหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ องค์พระเยซูเจ้าตรัสเมื่อนานมาแล้ว ‘มนุษย์จะได้รับการอภัยให้แก่บาปและการกล่าวดูหมิ่นพระเจ้าทุกชนิด แต่การกล่าวดูหมิ่นพระจิตจะไม่ได้รับการอภัย’ (มัทธิว 12:31) การกระทำบาปนี้จะเป็นเรื่องเลวร้ายมาก! ตั้งแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏและทรงงาน ผู้นำหลายคนจากคณะนิกายต่างๆ ก็กล่าวโทษงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างมืดบอด บางคนถึงกับให้ร้ายและหมิ่นประมาทพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ บรรดาหลายคนที่ต่อต้านอย่างรุนแรงถูกลงโทษ ถ้าพวกเราไม่ระมัดระวัง เราก็อาจจะเสียบั้นปลายของเราไปง่ายๆ”
ตอนนั้นผมคิดว่า “ฉันคำนึงถึงสมาชิกในวัดของฉันและกำลังปกป้องพวกเขาไม่ให้ถูกหลอก จะเป็นการล่วงเกินองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยังไง?” แต่พอผมคิดใคร่ครวญดูดีๆ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่พี่น้องคนนั้นพูดมีเหตุผล ผมไม่รู้เรื่องฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมากนักจริงๆ แต่กลับด่วนกล่าวโทษมันเร็วมาก และประกาศสิ่งเดียวกันแก่บาทหลวงและพระสงฆ์ ถ้าผมกล่าวโทษมันเพราะสำคัญผิดอย่างที่เขาพูด ก็จะเป็นการล่วงเกินพระเจ้า ซึ่งผลสืบเนื่องไม่อาจนึกถึง ดังนั้น ผมจึงพูดกับพี่น้องเกาว่า “สิ่งที่คุณพูดมา ผมไม่เคยคิดมาก่อน แต่ผมจะระมัดระวังในอนาคต” แต่แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้นในวัดของเราที่ทำให้ผมทบทวน มีครั้งหนึ่ง ผมพบมุขนายกของเรา และเขาพูดกับผมอย่างเศร้าๆ ว่า บาทหลวงมากมายในมุขมณฑลของเรากำลังมองหาข้ออ้างที่จะไม่ส่งมอบของถวายมาให้ และมีบาทหลวงบางคนที่หมกมุ่นในกาม และปฏิเสธที่จะกลับใจ บาทหลวงชราคนหนึ่งได้เปิดเผยเป็นการส่วนตัวว่า เขาแอบยักยอกของถวายไปให้คนอื่น ซึ่งจัดตั้งโรงงานแห่งหนึ่ง เมื่อผมได้ยินสิ่งเหล่านี้ ผมก็คิดว่า “ในฐานะบาทหลวง การฉ้อโกงและใช้จ่ายของถวายอย่างฟุ่มเฟือย อีกทั้งหมกมุ่นในกาม เป็นบาปมหันต์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า ‘หากท่านไม่สำนึกผิด ทุกท่านย่อมจะพินาศเช่นกัน’ (ลูกา 13:3) ถ้าเหล่าบาทหลวงใช้ชีวิตอยู่ในบาป ไม่เคยกลับใจ พวกเขาจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ยังไง? เมื่อก่อน บาทหลวงที่ทำแบบนี้มีไม่กี่คนเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ บาทหลวงเยอะเหลือเกินที่ได้ร่วงหล่นสู่ความเสื่อมทราม” ผมอดคิดไม่ได้ถึงความอ้างว้างในคริสตจักรที่น้องเกาได้บอกผม ผมคิดว่า “ในอดีต เมื่อพระจิตเจ้าทรงงานในศาสนจักร เมื่อเราทำบาป เราถูกพระจิตเจ้าบ่มวินัย แต่ปัจจุบัน บาทหลวงมากมายที่ทำบาปต่อพระเจ้า ทำไมจึงไม่มีการบ่มวินัยจากพระจิตเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงงานในคริสตจักรแล้วเหรอ?” ผมไม่อาจเข้าใจได้
ต่อมา หลังผ่านไปสักพัก พี่น้องเกาและคนอื่นๆ ก็มาหาผมอีกครั้ง ในเวลานั้น ผมยังต่อต้านพวกเขาอยู่บ้าง ผมคิดว่า “พวกคุณเป็นพยานยืนยันว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมารับธรรมชาติมนุษย์ ที่พูดแบบนี้มีพื้นฐานจากพระคัมภีร์ไหมครับ? ผมคิดว่าวันนี้ผมจะแค่ถามบางอย่างกับพวกคุณตรงๆ ถ้าพวกคุณตอบคำถามพวกนี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องคุยกันอีก” ดังนั้น ผมจึงถามพวกเขาว่า “ในพระคัมภีร์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมาในร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต แต่คุณเป็นพยานยืนยันว่าพระองค์ทรงกลับมารับธรรมชาติมนุษย์เพื่อทรงงานใหม่แล้ว คำพูดนี้เอาพื้นฐานมาจากไหนครับ?” พี่น้องเกาตอบกลับมาว่า “การกลับมาของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้นานแล้ว และมีหลักฐานที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ เช่น ลูกา บทที่ 17 ข้อที่ 24 ถึง 25 กล่าวว่า ‘เพราะเมื่อสายฟ้าแลบที่สาดแสงอยู่ใต้ฟ้า ส่องสว่างไปยังส่วนต่างๆ ที่อยู่ใต้สวรรค์ บุตรแห่งมนุษย์ก็ย่อมเป็นเช่นนั้นในวันของพระองค์ แต่ก่อนอื่นนั้น พระองค์จำต้องทนทรมานมากมาย และจำต้องถูกชนรุ่นนี้ปฏิเสธ’ ‘พวกท่านทั้งหลายก็เช่นกัน จงเตรียมพร้อมไว้ เพราะว่าบุตรมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่พวกท่านมิได้คาดหมาย’ (มัทธิว 24:44) ‘และยุคสมัยของโนอาห์เป็นเช่นไร การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์ย่อมจะเป็นเช่นนั้นด้วย’ (มัทธิว 24:37) อย่างที่คุณเห็น ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ล้วนเอ่ยถึง ‘บุตรมนุษย์’ ‘บุตรมนุษย์’ ตรงนี้อ้างถึงสิ่งใด? เราต่างรู้กันว่า องค์พระเยซูเจ้าคือบุตรมนุษย์ และพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ไม่มีข้อกังขาเลย บุตรมนุษย์อ้างอิงถึงพระวิญญาณที่สวมเนื้อหนังกลายเป็นมนุษย์สามัญ ซึ่งพูดได้ว่า คำนี้อ้างอิงถึงการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า ดังนั้น คำเผยพระวจนะ ‘การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์’ แสดงให้เห็นว่าเมื่อเสด็จมา จะทรงปรากฏในรูปมนุษย์เป็นเนื้อหนัง อีกอย่าง พระคัมภีร์กล่าวด้วยว่า ‘แต่ก่อนอื่นนั้น พระองค์จำต้องทนทรมานมากมาย และจำต้องถูกชนรุ่นนี้ปฏิเสธ’ ข้อพระคัมภีร์นั้นหมายถึงอะไร? ข้อนี้หมายถึงว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา ผู้คนจะไม่รู้จักหรือจดจำพระองค์ได้ และคนทั้งยุคจะกล่าวโทษและไม่ยอมรับพระองค์ ตรงนี้ แสดงว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบังเกิดเป็นบุตรมนุษย์เท่านั้น จึงทรงทนทุกข์สิ่งเหล่านี้ และถูกคนยุคนี้ไม่ยอมรับได้ หากพระองค์ทรงกลับมาในกายจิตวิญญาณ ด้วยพระฉายาของชาวยิว เปี่ยมบารมีและปรากฏต่อทุกคนในรัศมียิ่งใหญ่ ใครจะเห็นพระองค์แล้วไม่ค้อมหัวนมัสการล่ะ? แล้วพระองค์จะทนทุกข์หลายอย่างยังไง? พระองค์จะถูกคนยุคนี้ไม่ยอมรับยังไง? ดังนั้นแล้ว แน่นอนว่าพระองค์จะเสด็จมาอย่างบุตรมนุษย์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย”
หลังจากได้ยินสามัคคีธรรมนี้จากเขา ผมก็ตกตะลึง สามัคคีธรรมนี้สมเหตุผลและมีตรรกะทั้งหมด ไม่มีคนสำคัญฝ่ายวิญญาณ คนไหนในโลกศาสนาสามารถอธิบายคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้านี้ให้ชัดแจ้งได้ ล้วนพูดว่านี่คือความล้ำลึกขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ ผมศึกษาพระคัมภีร์มาหลายปีมาก แต่ทุกครั้งที่ผมเห็นข้อพระคัมภีร์นี้ ผมก็ไม่เข้าใจ ผมไม่รู้ว่าทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องทนทุกข์ ในเมื่อทรงเสด็จมาในรูปพระจิต ผมตกตะลึง ที่คนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอธิบายความล้ำลึกของการประกาศพระวจนะนี้ได้ การที่พวกเขาเห็นได้ชัดเจนมาก เปลี่ยนภาพที่ผมมองพวกเขาไปเลย! ผมนึกสงสัยว่า “หรือว่าพระองค์ทรงกลับมารับธรรมชาติมนุษย์แล้วจริงๆ?” ทว่า เมื่อผมคิดถึงการประกาศพระวาจาในพระคัมภีร์ที่ว่าจะทรงกลับมาบนก้อนเมฆ ผมก็ยังไม่เข้าใจดี ผมจึงได้ถามเขาไปว่า “พระวาจามากมายกล่าวว่า ในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาในรูปพระจิตเพื่อพิพากษาคนทั้งปวงอย่างเปิดเผย อย่างเช่น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘จากนั้นจะปรากฏเครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์ในท้องฟ้า และแล้วมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์บนแผ่นดินจะหวนอาลัย และพวกเขาจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆบนท้องฟ้า ทรงพระอานุภาพและพระบารมี’ (มัทธิว 24:30) ‘ดูเถิด พระองค์เสด็จมาพร้อมหมู่เมฆ และทุกคนจะมองเห็นพระองค์ รวมทั้งพวกที่เคยแทงพระองค์ด้วย และทุกชนเผ่าบนแผ่นดินจะร่ำไห้เสียใจเรื่องตนเองเพราะพระองค์’ (วิวรณ์ 1:7) ถ้าทรงกลับมาโดยการรับธรรมชาติมนุษย์จริงๆ การประกาศพระวาจาเหล่านี้จะลุล่วงได้ยังไง?”
พี่น้องเกาสามัคคีธรรมว่า “องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้จริงๆ ว่าเมื่อทรงกลับมาในยุคสุดท้าย จะเสด็จมาบนเมฆในรูปพระวิญญาณ ทำการพิพากษาอย่างเปิดเผย คำเผยพระวจนะเหล่านี้ต้องลุล่วงแน่นอน แต่พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์อย่างลับๆ ก่อน แล้วค่อยปรากฏบนเมฆอย่างเปิดเผย พูดอีกอย่างคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในสองทาง ทางแรกคือ เสด็จมาในเนื้อหนัง แสดงความจริง พิพากษา และชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ เพื่อสร้างผู้ชนะขึ้นมากลุ่มหนึ่ง จากนั้นมหาวิบัติก็มา และงานของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าก็เสร็จสมบูรณ์ หลังจากความวิบัติ พระเจ้าทรงปรากฏแก่ทุกคนในรัศมี ปูนบำเหน็จคนดี ลงโทษคนชั่ว ดังนั้น ช่วงระหว่างที่พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์และทรงงานลับๆ ผู้ที่ต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้า จากนั้นก็ไม่ยอมกลับใจ สูญเสียโอกาสได้รับความรอดอย่างสิ้นเชิง และสุดท้ายก็ร่ำไห้ขบเขี้ยวอยู่ในความวิบัติ นี่ทำให้คำเผยพระวจนะในหนังสือวิวรณ์ลุล่วง ‘ดูเถิด พระองค์เสด็จมาพร้อมหมู่เมฆ และทุกคนจะมองเห็นพระองค์ รวมทั้งพวกที่เคยแทงพระองค์ด้วย และทุกชนเผ่าบนแผ่นดินจะร่ำไห้เสียใจเรื่องตนเองเพราะพระองค์’ (วิวรณ์ 1:7)”
หลังจากได้ยินสามัคคีธรรมของเขา รู้สึกราวกับหัวใจของผมสว่างขึ้น การเสด็จมาครั้งที่สองไม่ใช่เพียงการเสด็จลงมาอย่างเปิดเผยบนเมฆ แต่ทรงมารับธรรมชาติมนุษย์อย่างลับๆ ก่อน แล้วค่อยเสด็จมาอย่างเปิดเผย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏในสองทางนี้ เมื่อก่อน ผมรู้เพียงทางเดียวที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปรากฏ ผมได้ตระหนักว่าผมเข้าใจเพียงด้านเดียว เห็นว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเปิดเผยธรรมล้ำลึกของการประกาศพระวาจา และคำอธิบายของพวกเขาก็สมเหตุผล ผมจึงรู้สึกว่ามันอาจจะมาจากพระเจ้า และคุ้มค่าที่จะสืบค้น หลังจากนั้น ผมก็ตั้งใจสามัคคีธรรมกับพวกเขา และอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โดยไม่ต่อต้าน หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่ช่วงหนึ่ง ผมก็รู้สึกแน่ใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมารับธรรมชาติมนุษย์ในเนื้อหนัง แต่ผมก็ยังคงสับสนอยู่ ผมแน่ใจเกี่ยวกับเรื่องการรับธรรมชาติมนุษย์ แต่ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา? ผมจำได้ว่าศาสนจักรโรมันคาทอลิกคือศาสนจักรแท้จริง มีความจริงโดยสมบูรณ์เรื่องความรอดพ้นของพระเยซู ผมรู้ว่าในนิกายคาทอลิกเท่านั้นที่เราเข้าสู่พระอาณาจักรได้ ถ้าผมยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และหลงทางในการเชื่อของผม ผมก็จะทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วผมจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้ายังไง? ผมไม่เข้าใจคำถามนี้ จึงยังรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย ผมได้ยินว่าบาทหลวงหยวนก็ยอมรับงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เช่นกัน ผมจึงอยากไปพบเขา เขาเคยเป็นคาทอลิกมาก่อน และการสอนและทรรศนะของพวกเราเคยเหมือนกัน ผมจึงอยากได้ยินว่าเขาเข้าใจประเด็นนี้ยังไง สองสามวันต่อมา ผมเจอบาทหลวงหยวน และบอกความห่วงกังวลของผมทั้งหมดแก่เขา
หลังจากฟัง พี่น้องหยวนก็สามัคคีธรรมกับผมว่า “ก่อนหน้านี้ผมก็เคยห่วงกังวลเรื่องเดียวกับคุณ กลัวว่าการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรยศองค์พระเยซูเจ้า แต่เมื่อคำนึงถึงคำถามนี้ สำคัญที่สุดคือต้องรู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับองค์พระเยซูเจ้าคือพระจิตเดียวกันหรือไม่ ทั้งสองคือพระเจ้าองค์เดียวกันหรือไม่ ในยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ทรงพระราชกิจ และในยุคพระคุณ เป็นองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงงาน แม้ว่าพระนามของพระเจ้าเปลี่ยนไปและพระราชกิจก็ต่างกัน เราพูดได้หรือว่าพระเยซูและพระยาเวห์ไม่ใช่พระเจ้าองค์หนึ่งเดียว? พูดได้ไหมว่าการเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าคือการทรยศพระยาห์เวห์? ไม่อย่างแน่นอน ดังนั้นแล้ว การระบุว่าทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันหรือไม่นั้น ไม่ขึ้นอยู่กับพระนาม ที่สำคัญคือให้ดูว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริง และทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่ ตราบที่ทรงแสดงความจริงและเสียงของพระเจ้า และทรงงานแห่งการช่วยให้รอดได้ เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็คือพระเจ้าพระองค์เอง พวกเราล้วนรู้ว่า ในยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ทรงประกาศใช้ธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ นำทางคนในการใช้ชีวิตบนโลก ให้พวกเขารู้ว่าบาปคืออะไร จะถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปยังไง และนมัสการพระเจ้ายังไง แต่ในตอนท้ายยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนกระทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ว่าของถวายมากเท่าไหร่ก็ลบล้างไม่หมด ทุกคนอยู่ในอันตรายที่จะถูกธรรมบัญญัติกล่าวโทษและประหาร ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงเปิดเผยผ่านผู้เผยพระวจนะว่า ‘ดูเถิด หญิงพรหมจารีจะมีเด็ก และจะให้กำเนิดบุตรชาย และพวกเขาจะให้นามบุตรนั้นว่า อิมมานูเอล’ (มัทธิว 1:23) ‘เพราะกุมารผู้หนึ่งมาเกิดแก่เรา และบุตรชายคนหนึ่งถูกประทานมาให้เรา และบ่าของเขาก็แบกการปกครองเอาไว้’ (อิสยาห์ 9:6) พระยาห์เวห์ทรงบอกคนอิสราเอลผ่านผู้เผยพระวจนะ ว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปที่ไถ่มวลมนุษย์ หลังจากนั้น พระเจ้าได้เสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์ในฐานะองค์พระเยซูเจ้าตามสัญญา และทรงงานการไถ่มนุษย์บนพื้นฐานของงานแห่งธรรมบัญญัติ องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดงความจริงและให้หนทางกลับใจแก่ผู้คน จากนั้นก็ถูกตรึงกางเขนเพื่อมนุษย์ในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาปนิรันดร์ เป็นการสำเร็จงานแห่งการไถ่ให้มวลมนุษย์ทั้งปวง จากนั้น ผู้คนเพียงแค่ต้องรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อทำบาป ก็แค่กลับใจต่อองค์พระเยซูเจ้า แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะอภัยบาปให้ พวกเขาจะไม่ถูกทำให้ตายเพราะล่วงละเมิดธรรมบัญญัติ และผู้คนยังมีคุณสมบัติที่จะมาภาวนาเฉพาะพระพักร์พระเจ้า เพื่อแสวงหาพระคุณและพระพรของพระเจ้า ดังนั้น งานขององค์พระเยซูเจ้าจึงลุล่วงคำประกาศพระวาจาในพันธสัญญาเดิม ปลดปล่อยผู้คนจากพันธะของธรรมบัญญัติ สิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ และนำมวลมนุษย์เข้าสู่ยุคพระคุณ นี่พิสูจน์ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระผู้ช่วยให้รอด ว่าพระเมสสิยาห์เสเด็จมา ว่าพระเยซูกับพระยาห์เวห์คือพระจิตและพระเจ้าหนึ่งเดียว ดังองค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เราอยู่ในองค์พระบิดา และพระบิดาก็สถิตอยู่ในเรา’ (ยอห์น 14:11) ‘เรากับพระบิดาคือหนึ่งเดียวกัน’ (ยอห์น 10:30) หลังจากองค์พระเยซูเจ้าทรงเสร็จสิ้นงานไถ่กู้ ผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการอภัยบาป แต่ธรรมชาติเปี่ยมบาปของผู้คนยังไม่ได้รับการแก้ไข พวกเขายังสามารถทำบาปและต่อต้านพระเจ้าได้ตลอดเวลา และไม่เป็นอิสระจากพันธนาการของบาปโดยสมบูรณ์ ลองพิจารณาสิว่าเรายังสามารถโกหกและหลอกลวงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เรายังสามารถริษยา เกลียดชัง และต่อสู้เพื่ออำนาจ เมื่อความเจ็บป่วยและภัยพิบัติมาถึง เรายังสามารถตำหนิพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า และทรยศพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ใครก็ตามที่ทำบาปย่อมเป็นผู้รับใช้บาป อนึ่ง ผู้รับใช้หาได้พำนักอยู่ในบ้านตลอดไปไม่ แต่บุตรพำนักอยู่ตลอดกาล’ (ยอห์น 8:34-35) ‘จงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเราศักดิ์สิทธิ์’ (เลวีนิติ 11:44) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการคือคนที่สามารถฟังพรวะจนะได้เต็มที่และสัมฤทธิ์ความบริสุทธิ์ แต่เรายังเปี่ยมบาป โสมม และเสื่อมทรามบ่อยครั้ง ไม่เป็นอิสระจากการผูกมัดของบาป ไร้คุณสมบัติเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่าจะเสด็จมาแสดงความจริง และทรงงานแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ช่วยเราให้รอดจากบาปและอิทธิพลของซาตาน และนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักร ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘เรายังมีอีกหลายอย่างที่จะบอกแก่พวกท่าน แต่เวลานี้พวกท่านยังรับไม่ไหว แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงสอนพวกท่านถึงความจริงทั้งปวง’ (ยอห์น 16:12-13) ‘และหากมนุษย์ผู้ใดได้ยินวาจาของเรา และไม่ปฏิบัติตาม เราไม่พิพากษาเขา เพราะเราไม่ได้มาเพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด ผู้ที่ดูหมิ่นเราและไม่ยอมรับวาจาของเรา ย่อมมีผู้พิพากษาเขา วาจาที่เราได้กล่าวไว้แล้ว จะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:47-48) ใน เปโตร ฉบับที่ 1 บทที่ 4 ข้อที่ 17 กล่าวว่า ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า’ ในยุคสุดท้าย องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาในเนื้อหนังในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตามสัญญา เพื่อแสดงความจริงที่จำเป็นเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และบนพื้นฐานงานขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงงานแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศ เพื่อแก้ไขธรรมชาติเปี่ยมบาปของผู้คน และนำมวลมนุษย์เข้าสู่ความจริงทั้งมวล นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง”
จากนั้น พี่น้องหยวนก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งให้ฟัง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) หลังจากอ่านพระวจนะ พี่น้องหยวนก็สามัคคีธรรมว่า “ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงงานแห่งการไถ่เพื่ออภัยบาปของผู้คน แต่นั่นเป็นแค่ครึ่งหนึ่งของงานแห่งความรอด งานพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คืองานที่ช่วยมวลมนุษย์อย่างสมบูรณ์ มีเพียงการยอมรับการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ชำระความเสื่อมทรามให้สะอาด เป็นอิสระจากบาป และไม่ถูกพวกมารควบคุมอีกต่อไปเท่านั้น ที่เราจะสามารถถูกช่วยให้รอดและมีคุณสมบัติเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์อย่างแท้จริง ดังนั้นแล้ว งานแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สานต่องานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า และยังเป็นงานที่สรุปจบยุคนั้นด้วย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับพระเยซูคือพระจิตและพระเจ้าองค์เดียว”
การสามัคคีธรรมของเขาเรื่องงานสามระยะสอดคล้องกับพระคัมภีร์และข้อเท็จจริง และหัวใจของผมรู้สึกสว่างขึ้นมาก ตอนนี้ เพื่อแก้ไขธรรมชาติเปี่ยมบาปของพวกเรา และช่วยเราให้รอดจากการผูกมัดของบาป ผมตระหนักว่าเราอยู่ในบาปและไร้อำนาจที่จะทำให้ตนเองหลุดพ้น เราทำบาป สารภาพ และหลังจากสารภาพ เราก็ทำบาปอีก เราใช้ชีวิตติดกับอยู่ในวัฏจักรอันไม่รู้จบ ไม่ใช่แค่ผู้เชื่อธรรมดาสามัญ แม้แต่บาทหลวงก็ไม่อาจหนีจากพันธนาการของบาปได้ นี่ไม่อาจปฏิเสธ เมื่อก่อน ผมไม่เคยเข้าใจเหตุผลเรื่องนี้ได้เลย แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว เราต้องการงานระยะสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ เพื่อชำระผู้คนให้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ในยุคสุดท้าย เรื่องที่งานพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีกำเนิดจากพระเจ้าฟังดูมีเหตุผลอย่างแท้จริง จากนั้น พี่น้องหยวนก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกบทตอนให้ผมฟัง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจของวันนี้ทำให้พระราชกิจของยุคพระคุณเดินหน้าต่อ กล่าวคือ พระราชกิจภายใต้แผนการบริหารจัดการทั้งหกพันปีได้เดินหน้าต่อ แม้ว่ายุคพระคุณได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่พระราชกิจของพระเจ้าก็ยังมีความก้าวหน้า เหตุใดกันเล่า เราจึงกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพระราชกิจระยะนี้ต่อยอดมาจากยุคพระคุณและยุคธรรมบัญญัติ? ก็เพราะพระราชกิจของวันนี้เป็นการสานต่อจากพระราชกิจที่แล้วเสร็จไปในยุคพระคุณ และเป็นความก้าวหน้าต่อจากพระราชกิจที่แล้วเสร็จไปในยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้เชื่อมโยงกันและกันอย่างแน่นแฟ้น โดยที่ข้อต่อแต่ละข้อในสายโซ่เชื่อมต่อกับข้อถัดไปอย่างสนิทแนบแน่น แล้วเหตุใดเราจึงกล่าวเช่นกันว่าพระราชกิจของช่วงระยะนี้จึงต่อยอดจากสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำจนแล้วเสร็จไป? สมมุติว่าพระราชกิจช่วงระยะนี้ไม่ได้ต่อยอดจากพระราชกิจที่พระเยซูทรงได้กระทำจนแล้วเสร็จไป จะต้องมีการตรึงกางเขนเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงระยะนี้ และจะต้องมีการดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่ของช่วงระยะก่อนหน้าใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง สิ่งนี้จะไร้ความหมาย และดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าพระราชกิจได้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ยุคได้เดินหน้าต่อ และระดับของพระราชกิจได้ยกสูงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจในช่วงระยะนี้สร้างขึ้นโดยใช้ยุคธรรมบัญญัติเป็นรากฐาน และต่อยอดจากพระศิลาของพระราชกิจของพระเยซู พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการสร้างขึ้นเป็นช่วงระยะ และช่วงระยะนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นใหม่ เพียงการผสานรวมกันของพระราชกิจสามระยะเท่านั้นที่อาจถือเป็นแผนการบริหารจัดการหกพันปี พระราชกิจในระยะนี้แล้วเสร็จโดยมียุคพระคุณเป็นรากฐาน หากพระราชกิจสองระยะนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน แล้วเหตุใดการตรึงกางเขนจึงไม่ถูกกระทำซ้ำในระยะนี้? เหตุใดเราจึงไม่ต้องแบกรับบาปของมนุษย์ แต่มาพิพากษาและตีสอนมนุษย์โดยตรงแทน? หากงานของเราในการพิพากษาและตีสอนมนุษย์ไม่ได้เกิดตามหลังการตรึงกางเขน ด้วยการมาของเราในตอนนี้ซึ่งไม่ได้นึกถึงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเราจะไม่มีคุณสมบัติที่จะพิพากษาและตีสอนมนุษย์เลย เรามาตีสอนและพิพากษามนุษย์โดยตรงได้ก็เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูนั่นเอง พระราชกิจในช่วงระยะนี้ทั้งหมดต่อยอดมาจากพระราชกิจในช่วงระยะก่อนหน้า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีเพียงพระราชกิจในลักษณะนี้เท่านั้นที่สามารถนำพามนุษย์มาสู่ความรอดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้ พระเยซูและเรามาจากวิญญาณหนึ่งเดียว แม้เราไม่มีความเกี่ยวข้องกันในเนื้อหนังมนุษย์ของเรา แต่วิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียว แม้เนื้อหาของสิ่งที่เราทำและงานที่เราดำเนินจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่เราก็มีแก่นแท้ที่เหมือนกัน เนื้อหนังมนุษย์ของเรามีรูปร่างแตกต่างกัน แต่นี่เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและข้อพึงประสงค์ที่ต่างกันออกไปในงานของเรา พันธกิจของเราไม่เหมือนกัน ดังนั้นงานที่เราทำให้เกิดขึ้นและอุปนิสัยที่เราเปิดเผยต่อมนุษย์จึงแตกต่างกันด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งที่มนุษย์มองเห็นและเข้าใจในวันนี้จึงไม่เหมือนกับในอดีต นั่นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์ทรงแตกต่างกันในเพศและรูปสัณฐานของเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสอง และที่พระองค์ทั้งสองจะไม่ได้ทรงกำเนิดในครอบครัวเดียวกัน และยิ่งไม่ได้ทรงกำเนิดในช่วงเวลาเดียวกัน แต่กระนั้น พระวิญญาณของพระองค์ทั้งสองก็เป็นหนึ่งเดียว…พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไม่ใช่พระบิดาของพระวิญญาณของพระเยซู และพระวิญญาณของพระเยซูไม่ใช่พระบุตรของพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ พระวิญญาณเหล่านี้เป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์ในวันนี้กับพระเยซูนั้นมิได้ทรงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน แต่พระองค์ทั้งสองทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่เป็นเพราะพระวิญญาณของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจแห่งความปรานีและความรักมั่นคง รวมทั้งพระราชกิจการพิพากษาอันชอบธรรมและการตีสอนมนุษย์ และพระราชกิจการสาปแช่งมนุษย์ และในท้ายที่สุด พระองค์จึงทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจในการทำลายโลกและการลงโทษคนชั่วได้ พระองค์ไม่ได้ทรงทำทั้งหมดนี้ด้วยพระองค์เองหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้าหรอกหรือ?” (“การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พี่น้องหยวนพูดต่อไปว่า “แม้ว่าเนื้องานของงานทั้งสามระยะที่พระเจ้าทรงทำนั้นแตกต่างกัน และพระนามของพระเจ้าก็แตกต่างกันในทุกยุค แต่ล้วนทำโดยพระจิตและพระเจ้าองค์เดียว งานทั้งสามระยะเชื่อมโยงกันแนบแน่น และแต่ละระยะก็สร้างบนงานของระยะก่อนหน้า ลึกขึ้นและสูงขึ้นกว่าครั้งก่อน จนกว่าจะช่วยให้คนรอดจากอำนาจครอบครองของซาตานและเข้าสู่ราชอาณาจักร ดังนั้นแล้ว การยอมรับงานใหม่ของพระเจ้า เป็นการที่เราไม่ทรยศองค์พระองค์ กลับกัน เรากำลังก้าวตามงานของพระองค์ให้ทัน”
หลังจากฟังสามัคคีธรรมของเขา หัวใจของผมก็รู้สึกสว่างขึ้นอีก งานทั้งสามระยะเชื่อมโยงกันแนบแน่น แต่ละระยะคืบหน้ากว่าครั้งก่อน และไม่มีงานระยะไหนเป็นอิสระจากระยะอื่น งานทั้งสามระยะนี้ไม่ได้กระทำโดยพระเจ้าองค์เดียวกันเลยหรอกหรือ? พระยาห์เวห์ องค์พระเยซูเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ดูเหมือนเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันอย่างแท้จริง ผมคิดมาตลอดว่า ศาสนจักรโรมันคาทอลิกคือศาสนจักรที่แท้จริง คาทอลิกเท่านั้นที่ช่วยวิญญาณให้รอดและนำเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ การทิ้งคาทอลิกเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าและเสียโอกาสแห่งความรอด ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าผมรักษาไว้เพียงแค่งานแห่งการไถ่ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำไว้ ถ้ายอมรับงานการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็จะเดินตามย่างพระบาทของลูกแกะ และผมไม่ได้ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า ทว่า ถ้าผมยังคงเป็นคาทอลิกและยึดติดกับความรอดขององค์พระเยซูเจ้า เช่นนั้นผมก็จะไม่ได้รับความรอดในยุคสุดท้ายของพระเจ้า และเข้าไม่เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ณ จุดนั้น ในห้วงลึกสุดของหัวใจ ผมแน่ใจว่า งานแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คืองานใหม่ในยุคสุดท้ายของพระเจ้า จากนั้น พี่น้องหยวนก็สามัคคีธรรมกับผมถึงความจริงของพระนามพระเจ้า เบื้องหลังพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงกำหนดอวสานและบั้นปลายของมวลมนุษย์ยังไง เป็นต้น หลังจากฟังสามัคคีธรรมของเขา ผมก็ตื้นตันใจมาก ผมเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีมาก แต่กลับไม่เคยฟังการประกาศที่ดีขนาดนี้ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมได้รับวันนั้นใหญ่หลวงนัก วันนั้นผมเข้าใจมากขึ้นกว่าหลายปีที่ผมเชื่อในองค์พรผู้เป็นเจ้ามาเสียอีก!
วันนั้น พี่หยวนอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ผมฟังมากมาย ผมเห็นว่าพระองค์ได้ทรงเปิดเผยความจริงและความล้ำลึกมากมาย และผมรู้สึกว่าพระวจนะของพระองค์คือเสียงของพระเจ้า วันนั้นหลังจากผมกลับถึงบ้าน ผมอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ไม่ใช่การยากที่จะสืบค้นเข้าไปในสิ่งเช่นนี้ แต่ก็จำเป็นที่พวกเราแต่ละคนต้องรู้ความจริงข้อนี้ กล่าวคือ พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน” (คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) จากบทตอนนี้ ผมเข้าใจว่า เพื่อตัดสินว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ ขั้นแรกผมต้องตรวจสอบพระวจนะที่พระองค์แสดงและงานที่พระองค์ทำ ถ้าทรงสามารถแสงความจริง และทรงงานช่วยผู้คนให้รอดและชำระให้บริสุทธิ์ได้ เช่นนั้นพระองค์ก็คือการทรงปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้าแน่นอน องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เราคือหนทาง และความจริง และชีวิต ไม่มีมนุษย์ผู้ใดมาเฝ้าพระบิดาได้ นอกจากผ่านทางเรา” (ยอห์น 14:6) ดังนั้นนอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครแสดงความจริงเพื่อช่วยผู้คนให้รอดได้ หลังจากนั้น ผมใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกวัน สองเดือนต่อมา ผมเข้าใจเพิ่มขึ้นหลายสิ่ง อย่างการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และพระนามพระเจ้า ความต่างระหว่างงานของพระเจ้าและมนุษย์ จะแยกแยะพระคริสต์แท้จริงจากเทียมเท็จยังไง เป็นต้น ผมเห็นว่าพระวจนะของพระองค์อุดมและหลากหลาย ซึ่งเปิดตาของผม ตอนนั้นผมคิดว่า “นอกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา ใครสามารถแสดงความจริงมากมาย และเปิดเผยความล้ำลึกมากมายขนาดนี้ได้? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงๆ และกำลังทรงงานใหม่แห่งการพิพากษาและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์” ตอนนี้ผมรู้แน่แก่ใจว่า งานพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คืองานใหม่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่กลับมา!
ผมเฝ้าหวังจะเห็น การเสด็จมาขององค์พระเยซูเจ้ามานาน และทรงกลับมาแล้วจริงๆ และผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้ยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า พี่น้องชายหญิงเหล่านี้ได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่ผมมาเกือบปี ระหว่างนั้น ผมต่อต้านและปฏิเสธมาตลอด และถ้าไม่เพราะความกรุณาและความรอดของพระเจ้า และพี่น้องชายหญิงที่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ผมครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็คงไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์เลย ผมจึงรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก แต่แล้วผมก็จำได้ว่ายังไม่ได้สืบค้นงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ผมตัดสินและกล่าวโทษอย่างมืดบอด และถึงกับสั่งห้ามในคริสตจักรเพื่อขัดขวางไม่ให้สมาชิกสืบค้น เมื่อผมคิดเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกเสียใจมาก เกลียดตัวเองที่มืดบอดเกินกว่า จะรู้จักพระเจ้า ไม่มีความยำเกรงพระเจ้า และต่อต้านพระเจ้า ผมเหมือนกับพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พรเยซูเจ้าเลยไม่ใช่เหรอ? แต่เดิม ผมคิดว่าในเมื่อผมเคยศึกษาเทววิทยามาหลายปีและได้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ผมรู้เรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าสองสามเรื่อง แต่ผมไม่คาดคิดจริงๆ ว่าผมจะ “ต้อนรับ” องค์พระผู้เป็นเจ้าแบบนี้ ชั่วขณะนั้น ผมรู้สึกไม่สบายใจมาก ผมต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าและทำบาปใหญ่หลวง พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อผมยังไง? ผมคุกเข่าลงอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อสารภาพบาป “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์โอหังเกินไป ข้าฯ ไม่รู้จักพระองค์ จึงต่อต้านและตัดสินงานของพระองค์ และข้าฯ ปิดผนึกคริสตจักร และจำกัดคนในโบสถ์ไม่ให้แสวงหาและสืบค้น ข้าพระองค์ทำเหมือนพวกฟาริสี และสมควรได้รับการลงโทษจากพระองค์ ข้าฯ ไม่คู่ควรกับความรอดของพระองค์จริงๆ!” หลายวันนั้น ผมอยู่ในสภาวะของความเสียใจและความวิตกกังวลตลอดเวลา ทุกครั้งที่ผมอ่านพระวจนะของพระองค์ที่เปิดโปงการต่อต้านพระเจ้าของผู้คน ผมรู้สึกเศร้าโศกมาก ผมรู้สึกว่าตนเองถูกกล่าวโทษและพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยผมให้รอด ต่อมา ผมเปิดใจกับพี่น้องชายหญิงถึงสภาวะของผม และพวกเขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ผมฟัง ซึ่งชูใจผมอย่างมาก พระเจ้าตรัสว่า “แต่ละบุคคลที่ได้นบนอบต่อการถูกพระวจนะของพระเจ้าพิชิตจะมีโอกาสเหมาะเกินพอที่จะได้รับความรอด ความรอดของพระเจ้าสำหรับผู้คนเหล่านี้แต่ละคนจะเป็นการให้ความกรุณาอันสูงสุดของพระองค์ กล่าวได้อีกนัยว่า พวกเขาจะมองเห็นการยอมผ่อนปรนอย่างถึงที่สุด ตราบเท่าที่ผู้คนหันหลังกลับจากเส้นทางที่ผิด และตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกลับใจได้ พระเจ้าจะประทานโอกาสให้พวกเขาได้รับความรอดของพระองค์ เมื่อพวกมนุษย์กบฏต่อพระเจ้าในครั้งแรก พระองค์ไม่ทรงพึงปรารถนาที่จะทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย แต่พระองค์กลับทรงทำทั้งหมดที่พระองค์สามารถทำได้เพื่อช่วยพวกเขาให้รอด หากใครบางคนไม่มีพื้นที่ว่างให้กับความรอดเลยจริงๆ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะปัดพวกเขาทิ้งไป เหตุผลที่พระเจ้าทรงลงโทษผู้คนบางคนช้า ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยทุกคนที่สามารถช่วยให้รอดได้ พระองค์ทรงพิพากษา ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำผู้คนด้วยพระวจนะเท่านั้น และไม่ใช้ไม้เรียวเพื่อทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย การนำพระวจนะมาใช้เพื่อนำพาความรอดมาสู่มนุษย์คือจุดประสงค์และนัยสำคัญของช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจ” (“เจ้าควรละวางพรเกี่ยวกับสถานะลงและทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษย์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) หลังจากพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พี่น้องชายคนหนึ่งพูดว่า “เราถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เราทุกคนมีอุปนิสัยเสื่อมทราม และเราไม่มีความยำเกรงพระเจ้า เมื่อเราเห็นว่าพระวจนะและพระราชกิจไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของตน เราจะกบฏ และต่อต้าน และปฏิเสธ กล่าวโทษอย่างง่ายดาย แต่เมื่อเราเข้าใจความจริง หันหลังจากเส้นทางที่ผิด และกลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ พระเจ้ายังทรงให้โอกาสเราได้รับความรอด แต่พวกที่ดื้อรั้น ไม่กลับใจ และต่อต้านพระเจ้าอย่างหัวชนฝา จะถูกพระเจ้ากล่าวโทษ และสุดท้าย พวกเขาก็จะได้รับการลงโทษ” พอผมได้ยินแบบนี้ ผมก็ตื้นตันใจมาก ผมคิดว่า “ฉันต่อต้านพระเจ้าและทำความชั่วใหญ่หลวง แต่พระเจ้าทรงมีความกรุณาและช่วยฉันให้รอด ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ! ในอนาคต ฉันต้องประกาศข่าวประเสริฐมากขึ้น และตอบแทนความรักของพระเจ้า และบอกข่าวดีที่น่าเชื่อถือเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่พวกเขาก็จะได้ยินเสียงของพระเจ้า และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า” ดังนั้นหลังจากนั้น ผมจึงเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐ มีครั้งหนึ่ง ผมเป็นพยานยืนยันเรื่องงานใหม่ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้สมาชิกโบสถ์คนหนึ่งฟัง ผมประหลาดใจเมื่อมุขนายกรู้เข้า เขาก็โทรมาเรียกให้ผมไปหาเขา
ผมจำได้ว่าตอนผมไปถึงคริสตจักร ผมเจออธิการ ซึ่งอยู่ในวัยแปดสิบ ที่ประตู เขาแอบกระซิบบอกผมว่า มุขนายกต่อต้านความเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกของผมมาก และหว่านล้อมให้ผมยอมรับความผิดพลาดกับมุขนายก กลับใจ และขอร้องให้เขาปรานีผม เมื่อผมได้ยินสิ่งที่เขาพูด ผมก็หัวเสียมาก จึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! วันนี้ข้าพระองค์เผชิญสภาพแวดล้อมนี้ และไม่รู้จะประจันมันยังไง โปรดทรงปกป้อง และทรงมอบความเชื่อและความแน่วแน่แก่ข้าฯ ไม่ว่านับจากนี้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ขอพระองค์ทรงนำข้าฯ เพื่อให้ข้าฯ ตั้งมั่นบนหนทางที่แท้จริงด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ผมรู้สึกว่าสามารถสงบจิตใจลงได้เล็กน้อย เมื่อผมพบมุขนายก ก่อนอื่นเขาถามผมว่าผมเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกหรือไม่ ผมตอบว่าใช่ เขาโมโหโทโสและพูดว่า “ผมได้ยินว่าคุณติดต่อกับคนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมานานแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ผมคิดว่าในเมื่อคุณเป็นบาทหลวง และผู้เชี่ยวชาญเทววิทยา คุณจะไม่มีวันยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ผมไม่อยากเชื่อว่าคุณยอมรับมันจริง!” ผมอธิบายสิ่งต่างๆ กับเขาอย่างใจเย็น ผมว่า “ผมไม่ได้หลับหูหลับตายอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกนะครับ ผมเจาะลึกมันมามากกว่าครึ่งปี และอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากมาย ถ้อยคำเหล่านี้เป็นความจริง เป็นสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดพูดได้ และพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา—” ทว่า ก่อนที่ผมจะทันพูดจบ มุขนายกก็หมดความอดทนไปแล้ว เขาพูดว่า “พระสันตปาปาเป็นผู้ตัดสินใจว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกคือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมาหรือไม่ ในเรื่องความเชื่อแล้วพระสันตปาปาไม่อาจผิดไปได้ หากพระสันตะปาปายอมรับมัน เราก็ด้วย ถ้าท่านไม่ยอมรับ และพูดว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกนอกรีต แบบนั้นเราก็เชื่อมันไม่ได้!” หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด ผมก็คิดว่า “พระสันตปาปาก็เป็นมนุษย์เสื่อมทราม ถ้าท่านไม่แสวงหา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ให้ความรู้แจ้งหรือความกระจ่างแก่ท่าน และท่านก็จะไม่เข้าใจงานใหม่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า คุณเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่คุณกลับหลับหูหลับตาฟังคนอย่างสันตปาปาแทนที่จะฟังพระวจนะของพระองค์ นี่เป็นการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไง? นี่เป็นแค่การเชื่อในมนุษย์ไม่ใช่เหรอ?” พอคิดแบบนี้ ผมก็เป็นพยานยืนยันงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป แต่ว่าเขาไม่ฟังผมเลยสักนิดเดียว เขาพูดว่า “ท่านไม่ได้พูดว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกคืองานในยุคสุดท้าย ดังนั้นเราจึงเชื่อมันไม่ได้ พระสันตปาปา เป็นผู้ตัดสินว่ามันคือหนทางที่แท้จริงหรือไม่!”
ถูกต้องครับ แต่เดิมแล้วนั้น ผมก็บูชาพระสันตปาปาครับ และคิดว่าท่านเป็นตัวแทนขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงต้องฟังพระสันตปาปาในทุกเรื่อง แต่ต่อมา ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่เปลี่ยนมุมมองของผมในเรื่องนี้ไปเลย ผมจำบทตอนหนึ่งได้ ซึ่งกล่าวไว้ดังนี้ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีศาสนาที่สำคัญมากมายในโลก และแต่ละศาสนาก็มีหัวหน้า หรือผู้นำของตัวเอง และบรรดาผู้ติดตามก็กระจายไปทั่วประเทศและภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เกือบจะทุกประเทศ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก มีศาสนาต่างๆ อยู่ภายในประเทศ อย่างไรก็ตามโดยไม่คำนึงถึงว่าจะมีกี่ศาสนาทั่วโลก ในท้ายที่สุดผู้คนทั้งปวงภายในจักรวาลก็จะดำรงอยู่ภายใต้การทรงนำของพระเจ้าองค์เดียว และการดำรงอยู่ของพวกเขาก็ไม่ได้นำโดยหัวหน้าหรือผู้นำทางศาสนา กล่าวคือมวลมนุษย์ไม่ถูกนำโดยหัวหน้าหรือผู้นำทางศาสนาคนใดคนหนึ่ง ตรงกันข้ามมวลมนุษย์ทั้งปวงได้รับการทรงนำทางโดยพระผู้สร้าง ผู้ที่ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง และผู้ที่ทรงสร้างมวลมนุษย์อีกด้วย—นี่คือข้อเท็จจริง แม้ว่าโลกจะมีศาสนาสำคัญมากมาย แต่โดยไม่คำนึงถึงว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ศาสนาเหล่านี้ทั้งหมดก็ดำรงอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง และไม่มีศาสนาใดสามารถเกินเลยวงเขตแห่งอำนาจครอบครองนี้ การพัฒนาของมวลมนุษย์ การแทนที่ของสังคม การพัฒนาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ—แต่ละเรื่องไม่สามารถแยกออกจากการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างได้ และพระราชกิจนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่หัวหน้าทางศาสนาใดสามารถทำได้ หัวหน้าทางศาสนาเป็นเพียงผู้นำของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนขององค์หนึ่งเดียว ผู้ที่ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งได้ หัวหน้าทางศาสนาสามารถนำทางพวกเขาทั้งหมดภายในศาสนาทั้งปวงได้ แต่พวกเขาไม่สามารถบังคับบัญชาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดใต้ฟ้าสวรรค์ได้—นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป หัวหน้าด้านศาสนาเป็นเพียงผู้นำ และไม่สามารถยืนเทียบเท่ากับพระเจ้า (พระผู้สร้าง) ได้ ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และในบทอวสานทุกสรรพสิ่งก็จะกลับสู่พระหัตถ์ของพระผู้สร้าง มวลมนุษย์ได้ถูกพระเจ้าทรงสร้าง และโดยไม่คำนึงถึงศาสนา บุคคลทุกคนจะกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า—การนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ พระเจ้าเท่านั้นทรงสูงส่งที่สุดท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และผู้ปกครองสูงสุดท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดที่จะต้องกลับสู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์เช่นกัน ไม่สำคัญว่าสถานะของมนุษย์ผู้หนึ่งจะสูงเพียงใด มนุษย์ผู้นั้นไม่สามารถนำพามวลมนุษย์ไปสู่บั้นปลายที่เหมาะสมได้ และไม่มีใครมีความสามารถที่จะจำแนกทุกสรรพสิ่งโดยสอดคล้องกับประเภทได้” (“การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ผมเข้าใจจากบทตอนนี้ว่า พระสันตปาปาเป็นแค่ผู้นำ สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่ใช่ตัวแทนของพระเจ้า พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระองค์ทรงสร้างทุกอย่างในโลก รวมถึงมนุษย์ด้วย และนำมวลมนุษย์มาถึงปัจจุบัน พระเจ้าเท่านั้นมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ และพระเจ้าเท่านั้นทรงสามารถแสดงความจริงเพื่อช่วยผู้คนให้รอด และนำเราเข้าสู่บั้นปลายอันงดงานได้ งานนี้ไม่อาจกระทำโดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดได้ แม้กระทั้งพระสันตปาปาหรือผู้นำคนไหน แม้ว่าพระสันตปาปาจะมีสถานะสูงส่ง พวกเขาก็เป็นมนุษย์เสื่อมทรามด้วย พวกเขาแสดงความจริงไม่ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงการทำงานช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ดังนั้นไม่ว่าสถานะของพวกเขาจะสูงส่งแค่ไหน พวกเขาก็เป็นตัวแทนของพระเจ้าไม่ได้ ถ้าพระเจ้าเสด็จมาทรงงานใหม่ และพวกเขาไม่แสวงหา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่พวกเขา สุดท้าย พวกเขาก็จะถูกพระเจ้าทอดทิ้งและขับออก พวกมหาปุโรหิตและฟาริสีในยุคโบราณ ก็มีสถานะที่สูงส่งเช่นเดียวกัน แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน พวกเขาก็ไม่สนใจแสวงหา ต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า และสุดท้าย พวกเขาก็ถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษ
จากนั้น มุขนายกก็สั่งผม ไม่ให้ติดต่อกับคนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอีก ผมไม่รับปาก ดังนั้น เขาจึงโกรธมาก และว่า “ถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้องพักงานอธิการของคุณเสียแล้ว ส่งมอบบัญชีต่างๆ ของวัดมา แล้วก็ไปทบทวนสิ่งที่คุณทำลงไปในห้องใต้ดินเถอะ” พอผมได้ยินเขาพูดแบบนั้น ผมก็ประหลาดใจมาก ผมไม่คาดคิดว่าเขาจะปลดผมออกเร็วขนาดนั้น ผมรู้สึกงุนงงเล็กน้อยครับ ตลอดหลายปีที่ผมเป็นอธิการมา ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ผมก็มีบาทหลวงและพระรายล้อมรอบตัว ฟังคำของผมและทำอะไรก็ตามที่ผมพูด แต่หลังจากมุขนายกปลดผมออก ผมรู้ว่ามันจะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมอีก ผมยังคิดด้วยว่าผมทุ่มเทไปมากแค่ไหนเพื่อกลายเป็นบาทหลวงและอธิการ ทันทีที่ผมเริ่มติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเลือกทางของผม ผมก็ไม่อาจเป็นบาทหลวงและอธิการได้อีกต่อไป แม้ว่าผมจะแน่ใจเรื่องงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายแล้ว ผมก็ยังไม่มีความกล้าที่จะตัดตัวเองออกจากคาทอลิกโดยสิ้นเชิง ผมคิดว่า “ทางเลือกนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ฉันต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจ” ต่อมา ผมไปที่ห้องใต้ดินตามที่มุขนายกสั่ง ที่นั่น ผมพบบาทหลวงจ้าว ซึ่งอยู่ที่นั่นเพื่อทบทวนการผิดประเวณีของเขา ผมบอกเขาว่า ผมถูกส่งมาเพราะยอมรับงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย พอเขาได้ยินเรื่องนี้ก็ประหลาดใจมาก เขาพูดว่าเขาทำบาปด้วยการผิดประเวณีในชั่วขณะที่อ่อนแอ แต่ถ้าเขาสารภาพบาปกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ยังได้รับความรอด เขาคิดว่าปัญหาของผมร้ายแรงกว่า และพูดว่ามันเป็นเรื่องความเชื่อ ว่าถ้าความเชื่อของเราผิดแปลก เราก็ไม่อาจเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้
หลังจากสองหรือสามวัน บาทหลวงหวังก็นำนักบัญชีมาที่ห้องใต้ดินเพื่อยืนยันความถูกต้องกับผม ผมเห็นสายตาดูถูกของบาทหลวงหวังตอนที่เขามองผม และเมื่อเขาถามเรื่องบัญชีต่างๆ ก็เหมือนเขากำลังสอบสวนนักโทษคนหนึ่ง ทั้งหมดนั้นรู้สึกอึดอัดมาก หลังจากพวกเขากลับออกไป ผมก็รู้สึกอับอายขายหน้าและทุกข์ใจเป็นพิเศษ ผมนอนบนเตียง คิดถึงตอนที่ผมดูแลวัดแห่งนี้ ทุกคนเต็มไปด้วยความเคารพผมเสมอ ไม่ว่าผมจะไปเยี่ยมครอบครัวเจ้าบ้านที่ไหน บาทหลวงและพระก็จะออกมาทักทายผมโดยไม่ต้องขอ และเจ้าบ้านก็จัดเตรียมผลไม้เพื่อบันเทิงผมอย่างกระตือรือร้น พวกบาทหลวงและพระตั้งตารอจะฟังคำประกาศของผมเสมอ และพวกเขามักจะรอให้ผมตัดสินใจเวลาหารือกันเรื่องงานใดๆ อีกอย่าง ผมจัดแจงงานของพวกเขาบ่อยๆ และพวกเขาต่างก็รับฟังและเชื่อฟังผม แต่ทว่าในเวลานี้ แค่หลังจากผมถูกปลดออก พวกเขาก็ดูแคลนผม และไม่เคารพผม และไม่มีใครพูดกับผมในห้องใต้ดินเลย ทำไมสิ่งต่างๆ ช่างแตกต่างจากตอนที่ผมเป็นอธิการขนาดนี้? แล้วผมก็คิดว่า ถ้าผมเลือกติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมจะไม่มีวันได้สำราญกับชีวิตของอธิการบดีคนหนึ่งอีก และสถานะและความรื่นรมย์ทั้งหมดที่ผมได้รับจากมันก็หมดไป ความคิดนั้นทำให้ผมผิดหวังเล็กน้อย แต่แล้วผมก็คิดว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาจริงๆ หากไม่ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อสถานะและความชื่นชมยินดี ฉันยังเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงอยู่หรือ? พระเจ้ายังจะช่วยฉันให้รอดได้หรือ?” ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมควรเลือกเส้นทางไหน และหัวใจของผมก็ทรมานมาก ผมคุกเข่าลงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำ เพื่อที่ผมจะไม่ถูกสถานะและชื่อเสียงครอบงำอีกต่อไป และสามารถติดตามย่างพระบาทของพระเจ้าได้ หลังจากอธิษฐาน ผมก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งที่พี่น้องชายหญิงอ่านให้ผมฟัง “พระเจ้าได้ถ่อมพระทัยพระองค์เองจนถึงระดับที่พระองค์ทรงพระราชกิจอยู่ในผู้คนที่โสมมและเสื่อมทรามเหล่านี้ และทรงทำให้ผู้คนกลุ่มนี้มีความเพียบพร้อม พระเจ้าไม่เพียงแค่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อดำรงชีวิตและกินอยู่ท่ามกลางผู้คน เพื่อเป็นผู้เลี้ยงให้กับผู้คน และเพื่อจัดเตรียมสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องมี ที่สำคัญกว่านั้นคือพระองค์ทรงพระราชกิจอันทรงฤทธิ์แห่งความรอดและการพิชิตชัยของพระองค์กับผู้คนที่เสื่อมทรามจนถึงขั้นมิอาจทนได้เหล่านี้ พระองค์ได้ทรงมาที่หัวใจของพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อช่วยผู้คนที่เสื่อมทรามที่สุดเหล่านี้ให้รอด เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจถูกเปลี่ยนแปลงและทำให้ใหม่ได้ ความยากลำบากมหึมาที่พระเจ้าทรงสู้ทนไม่ใช่เพียงแค่ความยากลำบากที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงสู้ทนเท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันคือการที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทนทุกข์กับการดูหมิ่นเหยียดหยามอันสุดขั้ว—พระองค์ถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้นพระองค์เองมากเสียจนพระองค์ทรงกลายเป็นบุคคลธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์และได้ทรงรูปทรงของเนื้อหนังเพื่อให้ผู้คนมองเห็นว่าพระองค์ทรงมีชีวิตมนุษย์ที่เป็นปกติและมีความจำเป็นทั้งหลายของมนุษย์ปกติ นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพระเจ้าถ่อมพระองค์เองลงในขอบข่ายที่ใหญ่ยิ่ง พระวิญญาณของพระเจ้าทรงได้รับการทำให้เป็นจริงในเนื้อหนัง พระวิญญาณของพระองค์ทรงสูงส่งและยิ่งใหญ่ยิ่งนัก แต่ทว่าพระองค์กลับยังทรงรูปทรงของมนุษย์ทั่วไป รูปทรงของมนุษย์ที่ถูกละเลยมองข้ามได้คนหนึ่ง เพื่อที่จะทรงพระราชกิจของพระวิญญาณของพระองค์ ขีดความสามารถ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก สำนึกรับรู้ สภาวะความเป็นมนุษย์ และชีวิตของพวกเจ้าแต่ละคนแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่ควรค่าจริงๆ ที่จะรับพระราชกิจประเภทนี้ของพระเจ้า พวกเจ้าไม่ควรค่าจริงๆ ที่จะปล่อยให้พระเจ้าสู้ทนความยากลำบากเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของเจ้า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน พระองค์ทรงสูงสุดเหลือเกิน และผู้คนก็ต่ำต้อยเหลือเกิน ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังคงทรงพระราชกิจกับพวกเขา พระองค์ไม่เพียงแค่ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์เพื่อทรงจัดเตรียมให้ผู้คน เพื่อตรัสกับผู้คน แต่พระองค์ยังถึงกับทรงใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน พระเจ้าถ่อมพระทัยเหลือเกิน ทรงควรค่าที่จะรักเหลือเกิน” (“เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) จริงครับ ไม่มีประเทศไหนต่อต้านพระเจ้ารุนแรงกว่าประเทศจีน พระเจ้าเสด็จมาประกฏในรูปมนุษย์ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อตรัสและทรงงาน แต่ทรงถูกพรรคคอมมิวนิสต์ข่มเหงและว่าร้าย ถูกวงศาสนากล่าวโทษและปฏิเสธ พระเจ้าทรงสูงสุด ทรงสูงส่งมาก แต่พระองค์ทรงทนการหยามเหยียดและเสด็จมาแผ่นดินโลก และทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำก็เพื่อช่วยเราให้รอด ผมได้เห็นว่าพระเจ้าถ่อมพระทัยและให้ความรักจริงๆ! แล้วผมก็คิดถึงการที่ผมต้องการเพียงสำราญกับประโยชน์ของสถานะ การที่ผมรื่นรมย์กับความยกย่องนับถือจากคนอื่น และการที่แม้ตอนที่ผมรู้ว่าผมพบงานของพระเจ้าแล้ว ผมก็ยังไม่เต็มใจละทิ้งสถานะและติดตามพระเจ้า นี่ไม่ใช่การรู้หนทางที่แท้จริงแต่จงใจต่อต้านหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การไม่มีสามัญสำนึกหรอกหรือ? เมื่อผมตระหนักเรื่องนี้ ผมรู้สึกผิดและละอายใจมาก ขณะเดียวกัน ผมก็เตรียมตัวปล่อยมือจากตำแหน่งของผม
สองสามวันต่อมา ลูกพี่น้องลูกของผมมาที่ห้องใต้ดินเพื่อโน้มน้าวผม ขอให้ผมทบทวน เขาพูดว่าถ้าผมไม่กลับใจ มุขนายกจะขับไล่ผมจากคริสตจักร พอผมได้ยินแบบนั้น ผมก็ตกใจมาก ผมไม่เคยได้ยินอะไรอย่างการตัดออกจากศาสนาที่คริสตจักรนี้มาก่อน ตอนนั้นผมคิดว่า “ถ้าหากฉันถูกขับไล่ คนของคริสตจักรที่ผมรู้จักและทั้งเขตการปกครองจะปฏิเสธฉัน” หลังจากเขากลับออกไป ผมก็คิดกลับไปกลับมาไม่หยุด ตั้งแต่ตอนที่ผมเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมไม่เคยนึกเลยว่าผมอาจจะถูกตัดออกจากศาสนาได้ ผมคิดถึงสิ่งเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอดหลายวันนั้น ทุกครั้งที่ผมเห็นคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์เกี่ยวกับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ผมนึกถึงพี่น้องชายหญิงที่เป็นพยานยืนยันเรื่องานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แก่ผม และพระวจนะบทตอนที่ผมอ่าน ฉากเหล่านี้ผุดขึ้นในใจผมราวกับมาจากภาพยนตร์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา และผมไม่อาจเลิกติดตามพระองค์ได้! แต่พอคิดเรื่องออกจากคริสตจักรหรือถูกขับไล่ ผมก็ตัดสินใจให้ขาดลงไปไม่ได้
ต่อมา มุขนายกก็มาที่ห้องใต้ดินแล้วถามผมว่าทบทวนไปถึงไหนแล้ว พอเห็นว่าผมยังคงเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขาก็ไม่พอใจมาก พูดว่า “การเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกไม่ใช่เรื่องเล็กๆ คุณต้องทบทวนตัวเองจริงๆ ถ้าคุณรู้จักตัวเองอย่างจริงใจ กลับใจ และปฏิเสธฟ้าแลบจากทิศตะวันออกได้ เราก็ลืมเรื่องความผิดพลาดของคุณได้ และคุณก็ยังสามารถดำรงตำแหน่งอธิการของคุณต่อไปได้” หลังจากมุขนายกกลับออกไป บาทหลวงจ้าวที่อยู่ตรงนั้นก็เข้ามาโน้มน้าวผมเช่นกัน เขาพูดว่า “คุณต้องเขียนบทสรุปการทบทวนนะ ถ้าคุณเขียนดี ก็เป็นอธิการบดีต่อไปได้ แต่ถ้าไม่เขียน มุขนายกจะไม่ปล่อยคุณไป!” หลังจากได้ยินเขาพูดแบบนั้น ผมก็รู้เลยว่า มุขนายกได้ยื่นคำขาดกับผม และถ้าผมไม่เขียนผลการทบทวนตัวเองของผม ผมก็จะหลุดจากตำแหน่งอธิการ และจะเผชิญการขับไล่จากคริสตจักร พอคิดเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกเศร้าใจนิดหน่อย แม้ผมจะรู้ว่าผมควรเลือกติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็ยังค่อนข้างไม่เต็มใจปล่อยมือจากสถานะของตัวเอง เป็นเวลาที่เจ็บปวด ผมจึงร้องหาพระเจ้าสุดใจ ผมพูดว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ วันนี้ข้าพระองค์เผชิญทางเลือกสุดท้าย โปรดทรงนำข้าพระองค์ และนำทางข้าพระองค์ให้เลือกทางที่ถูกด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ผมนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งที่พี่น้องชายหญิงอ่านให้ผมฟัง พระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าจะไม่เริ่มต้นใหม่อีกครั้งในที่อื่นใดอย่างแน่นอน พระเจ้าจะทรงสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงนี้ที่ว่า พระองค์จะทำให้ผู้คนทั้งหมดทั่วทั้งจักรวาลมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์และนมัสการพระเจ้าบนแผ่นดินโลก และพระราชกิจของพระองค์ในที่อื่นๆ จะยุติลง และผู้คนจะถูกบีบให้ต้องแสวงหาหนทางที่แท้จริง เหมือนดั่งโยเซฟ กล่าวคือ ทุกคนมาหาเขาเพื่ออาหาร และกราบไหว้เขาเพราะเขามีสิ่งต่างๆ ให้กิน เพื่อหลีกเลี่ยงกันดารอาหาร ผู้คนจะถูกบีบให้แสวงหาหนทางที่แท้จริง ชุมชนทางศาสนาทั้งหมดจะประสบทุกข์จากกันดารอาหารที่รุนแรง และมีเพียงพระเจ้าของวันนี้เท่านั้นที่เป็นน้ำพุของน้ำแห่งชีวิต ซึ่งมีน้ำพุที่ไหลรินตลอดเวลาจัดเตรียมไว้สำหรับความชื่นชมยินดีของมนุษย์ และผู้คนจะมาและพึ่งพาอาศัยพระองค์” (“อาณาจักรพันปีได้มาถึงแล้ว” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) จริงครับ ตอนนี้คริสตจักรทุกที่อ้างว้าง และขาดงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มุขนายกและบาทหลวงประกาศโดยไม่มีความสว่าง และพูดถึงได้แค่ทฤษฎีเทววิทยาและหลักคำสอนทางศาสนา หรือขอให้ผู้คนสังเกตพิธีกรรมทางศาสนาและกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่การยึดมั่นสิ่งเหล่านี้ไม่ให้เสบียงอาหารและการสั่งสอนในชีวิตผู้คนแม้แต่น้อย และทุกคนอยู่ในวงจรของการกระทำบาป สารภาพบาป และทำบาปอีกครั้ง ไม่ว่าเราพยายามหนักแค่ไหน เราก็แก้ปัญหาการทำบาปไม่ได้ แม้แต่พวกนักบวช ก็ไม่อาจระงับบาปที่ชัดแจ้งอย่างการขโมยของถวายและการผิดประเวณีได้ เหมือนอย่างบาทหลวงจ้าวที่อยู่ในห้องใต้ดินกับผม ซึ่งไม่ได้ละอายใจในบาปใหญ่หลวงที่ตัวเองกระทำเลย การเสื่อมถอยจนถึงระดับนั้นช่างน่าสมเพช คาทอลิกทุกวันนี้ไม่ใช่อะไรนอกจากบ่อน้ำนิ่ง! คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่างออกไป เราอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ทุกการชุมนุม ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจความจริง และให้เสบียงและเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเรา ถ้าผมไม่ก้าวให้ทันงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และไม่ได้รับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคสุดท้าย ผมจะไม่มีวันหนีจากบาป ติดกับอยู่ในบาปทุกวันอย่างหนีไม่รอด แล้วการได้รับการสนับสนุนจากทุกคนในศาสนาจะมีประโยชน์อะไร?
แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์ทรงเป็นประตูให้มนุษย์ไปสู่ราชอาณาจักรระหว่างยุคสุดท้าย และไม่มีใครที่สามารถอ้อมเลี่ยงพระองค์ได้ อาจไม่มีใครเลยที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเว้นแต่จะผ่านทางพระคริสต์ เจ้าเชื่อในพระเจ้า และดังนั้นเจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟังหนทางของพระองค์ เจ้าไม่สามารถคิดถึงเพียงแค่การได้รับพรเท่านั้นในขณะที่ไม่สามารถได้รับความจริงและไม่สามารถยอมรับการจัดเตรียมชีวิตได้ พระคริสต์เสด็จมาระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อที่ทุกคนซึ่งเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงอาจได้รับการจัดเตรียมชีวิตไว้ให้ พระราชกิจของพระองค์นั้นเป็นไปเพื่อการสรุปปิดตัวยุคเก่าและเข้าสู่ยุคใหม่ และพระราชกิจของพระองค์คือเส้นทางที่ทุกคนที่จะเข้าสู่ยุคใหม่จำต้องรับไว้ หากเจ้าไม่สามารถรับรู้พระองค์ได้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับกล่าวโทษ หมิ่นประมาท หรือกระทั่งถึงกับข่มเหงพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะถูกเผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์และจะไม่มีวันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เพราะพระคริสต์พระองค์นี้ทรงเป็นการแสดงออกด้วยพระองค์เองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นการแสดงออกของพระเจ้า ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่พระเจ้าได้มอบความไว้วางพระทัยให้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าหากเจ้าไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ บทลงโทษซึ่งพวกที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้รับนั้นประจักษ์ชัดในตัวของมันเองต่อทุกคน เรายังบอกเจ้าอีกว่าหากเจ้าต่อต้านพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย หากเจ้าเหยียดหยันพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย จะไม่มีใครอื่นอีกที่จะแบกรับผลสืบเนื่องแทนเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น นับจากวันนี้ไปเจ้าจะไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะได้รับการรับรองจากพระเจ้า ต่อให้เจ้าพยายามไถ่บาปให้แก่ตัวเจ้าเองก็ตาม เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้าอีกแล้ว เพราะสิ่งที่เจ้าต่อต้านนั้นไม่ใช่มนุษย์ สิ่งที่เจ้าเหยียดหยันนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ อ่อนแอบางอย่าง แต่เป็นพระคริสต์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลสืบเนื่องของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร? เจ้าจะไม่ได้ทำความผิดพลาดเล็กๆ แต่จะได้ก่ออาชญากรรมอันชั่วร้าย และดังนั้นเราจึงแนะนำทุกคนไม่ให้แสดงอาการแยกเขี้ยวข่มขู่เมื่ออยู่ต่อหน้าความจริง หรือทำการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ระมัดระวัง เพราะความจริงเท่านั้นที่สามารถนำชีวิตมาสู่เจ้าได้ และไม่มีอะไรเว้นแต่ความจริงที่สามารถเปิดโอกาสให้เจ้าเกิดใหม่และได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้าอีกครั้ง” (“พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงมอบความจริง หนทาง และชีวิตให้เรา ความจริงเหล่านี้เป็นหนทางเดียวที่เราจะถูกชำระให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดได้ การที่ผมยอมรับความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงวันนี้ได้ และมีหนทางเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเสื่อมทรามของผม เป็นการยกชูและพระคุณของพระเจ้าอย่างแท้จริง ถ้าผมเลือกที่จะอยู่ในนิกายคาทอลิก อยากได้ความรื่นรมย์ของสถานะ และไม่ยอมรับความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ผมจะถูกพระเจ้ากล่าวโทษตลอดกาล และเสียโอกาสได้รับความรอดอย่างสิ้นเชิง ผมจะเหมือนกับมหาปุโรหิตและฟาริสีเมื่อก่อน พวกเขามีสถานะสูงท่ามกลางคนยิว และสำราญกับการยกย่องและสนับสนุนของทุกคน แต่พอองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พวกเขาก็รู้ชัดว่าพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่เพื่อจะปกป้องสถานและรายได้ของตัวเอง พวกเขาไม่ยอมรับความรอดขององค์พระเยซูเจ้า และถึงกับตอกพระองค์กับกางเขน และสุดท้าย ก็ถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษตลอดกาล ถึงจุดนี้ ผมรู้ว่าผมไม่อาจเดินตามรอยเท้าของพวกฟาริสีได้! ผมได้ยอมรับงานใหม่ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ชื่นชมการให้น้ำและเสบียงของพระวจนะ ผมทบทวนตัวเองในพระวจนะและหาสาเหตุแห่งบาปของตัวเองได้ และผมเข้าใจว่าจะถูกชำระให้บริสุทธิ์จากความเสื่อมทรามยังไง ด้วยการติดตามเส้นทางนี้เท่านั้น ผมจึงสามารถสัมฤทธิ์ความรอดและได้รับความเห็นชอบของพระเจ้าได้ นั่นไม่มีคุณค่าและมีความหมายมากกว่าการมีสถานะสูงส่งหรอกหรือ? ผมคิดแบบนี้ หัวใจผมก็รู้สึกสว่างสไวมาก ผมเห็นชัดเจนว่าในศาสนาไม่มีอะไรควรค่าให้ยึดถือ และผมไม่จำเป็นต้องอยู่ในนั้นอีกต่อไป ดังนั้น ผมจึงปล่อยมือจากตำแหน่งบาทหลวงและอธิการ และตกลงใจแน่วแน่ที่จะออกมา
แม้ว่าผมจะทนทุกข์ความทุกข์ยากบ้างในช่วงสองสามวันที่อยู่ในห้องใต้ดิน การทรงนำและความเป็นผู้นำของพระวจนะ ก็ทำให้ผมเข้าใจว่าสถานะไม่ใช่สิ่งที่ผมควรไล่ตาม พระเจ้าก็ไม่ทรงเห็นชอบ และผมรู้สึกว่าเส้นทางข้างหน้านั้นชัดแจ้ง เมื่อก่อน ผมคิดว่าการเข้าใจความรู้ในพระคัมภีร์และเทววิทยาคือการรู้จักพระเจ้า ผมไม่ได้ตระหนักว่า ทฤษฎีทางเทววิทยาที่ผมเข้าใจล้วนเป็นมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับความจริงเลย พวกมันเป็นสิ่งกีดขวางที่ไม่อาจผ่านได้ ซึ่งทำให้ผมจำกัดพระเจ้าและต่อต้านงานของพระองค์ และยังทำให้ผมโอหังและคิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอยิ่งขึ้นไปอีก โดยไม่ถ่อมใจใดๆ ที่จะแสวงหาหรือยำเกรงพระเจ้า หากไม่ใช่ความรักและความกรุณาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะได้รับความรอดของพระองค์! อีกอย่าง เมื่อผมกระหายสถานะและความสำราญ และไม่รู้ว่าจะเลือกอะไร พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อให้ความรู้แจ้งและทรงนำผมหลายครั้ง และทรงนำผมให้วางตำแหน่งลงและก้าวตามงานของพระองค์ หากไม่ใช่ความห่วงใยและสนับสนุนของพระเจ้า ผมก็คงไม่ได้กลับไปหาพระองค์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผมรู้สึกว่าความรักของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริง