27. สิ่งที่ฉันได้รับจากการถูกตัดแต่ง

ฉันควบคุมดูแลงานผลิตวีดิทัศน์ในคริสตจักร ทุกวันฉันเต็มไปด้วยความเครียดเพราะปริมาณงานหนัก ฉันยุ่งกับการแก้ไขปัญหาทุกแบบและติดตามงานของคนอื่น ฉันปล่อยให้ตัวเองผ่อนคลายไม่ได้ เมื่อผ่านไปสักพัก พี่น้องหญิงเจนนิเฟอร์มักจะวิจารณ์วีดิทัศน์ของเราอยู่บ่อยครั้ง และบอกว่าปัญหาทั้งหมดเหล่านี้เกิดจากเราขาดความพยายามในหน้าที่ ฉันรู้สึกถึงการขัดขืนอย่างมากตอนที่เห็นข้อความเหล่านี้จากเธอ เราทำดีที่สุดแล้วเพื่อลดความผิดพลาด และการสัมฤทธิ์งานได้มากขนาดนั้นก็ถือว่าไม่เลวนัก เธอไม่ได้แค่ยืดเวลาขั้นตอนการทำงาน โดยการจับผิดเรื่องเล็กๆ ใช่ไหม? ฉันไม่เคยใส่ใจคำเสนอแนะของเธอเลย ด้วยคิดว่าเธอกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และทำให้งานของเราล่าช้า วันหนึ่ง ฉันนัดพบเจนนิเฟอร์เพื่อพูดคุย ฉันรวบรวมหลักธรรมบางประการเพื่อสามัคคีธรรมว่าการจับผิดของเธอนั้นกระทบกับความก้าวหน้าของงานเราอย่างไร ฉันรู้สึกประหลาดใจที่หลังจากสามัคคีธรรมแล้ว เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “นั่นเป็นแค่แง่มุมหนึ่งของหลักธรรมในเรื่องนี้ แต่ฉันขอเตือนคุณไว้นะ—อย่าคิดเอาหลักธรรมมาเป็นข้ออ้าง ให้พฤติกรรมสุกเอาเผากินและขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ของคุณ สองเรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกัน อย่าสับสน” เมื่อฉันได้ยินสิ่งที่เธอพูด แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ฉันก็เก็บไว้อยู่ในใจ ฉันคิดว่า “คุณหมายความว่าฉันทำงานสุกเอาเผากินและขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ใช่ไหม? เห็นๆ อยู่ว่าคุณช่างจับผิดและทำให้สิ่งทั้งหลายช้าลง แล้วยังจะมาวิจารณ์ฉันอีก!  ปัญหาเล็กๆ บางอย่างเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนกัน? ปัญหาพวกนั้นไม่ได้กระทบต่อคุณภาพของวีดิทัศน์เลยแม้แต่น้อย แล้วสิ่งที่เราบรรลุผลสำเร็จก็ดีพอควรอยู่แล้ว คุณไม่รู้ว่าเรามีปริมาณงานเยอะแค่ไหน แต่คุณแค่จับผิดปัญหาเล็กๆ แล้วก็ตัดแต่งฉันแบบนี้ คุณช่างโอหังเสียจริง!” หลังจากนั้นฉันก็ปฏิเสธที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเจนนิเฟอร์ ตราบใดที่เป็นปัญหาที่เธอชี้ให้เห็น ฉันก็เริ่มต่อต้าน และปล่อยให้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในการจัดการปัญหา

หลังจากเรื่องนี้เกือบทุกครึ่งเดือน เจนนิเฟอร์จะเตรียมสรุปผลตอบรับเกี่ยวกับปัญหาของงานให้เรา ครั้งหนึ่งเธอถึงกับแบ่งปันผลตอบรับนี้กับผู้นำด้วย พอได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกโกรธจัด พลางคิดในใจว่า “เราทำผิดพลาดบางอย่าง แต่ด้วยปริมาณงานมากเช่นนี้ทุกเดือน ก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีเรื่องเล็กๆ ที่ทำไม่ถูกต้องไม่ใช่เหรอ? นั่นจำเป็นจะต้องบอกผู้นำด้วยหรือ? คุณหมกมุ่นกับเรื่องเล็กๆ มาตรฐานของคุณสูงเกินไป คุณปฏิบัติกับเราพี่น้องชายหญิงเหมือนกับเครื่องจักรงั้นเหรอ? เราทำผิดพลาดไม่ได้เลยเหรอ?” ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกโมโหขึ้น เมื่อผู้นำมาคุยกับฉัน ฉันก็กล่าวโทษเจนนิเฟอร์โดยตรง บอกว่าเธอโอหังอย่างที่สุด เธอไม่ตระหนักรู้ตนเอง แต่กลับชี้ให้เห็นปัญหาของเรา ผู้นำเห็นว่าฉันไม่มีความตระหนักรู้ตนเอง และสามัคคีธรรมว่าฉันต้องปฏิบัติต่อเจนนิเฟอร์อย่างถูกควร เธอบอกฉันให้ทบทวนตัวเองและเรียนรู้บทเรียน แต่คำพูดของผู้นำกลับถูกเมินเฉย ฉันชะลอการแก้ไขปัญหาที่เจนนิเฟอร์กล่าวถึงในผลตอบรับของเธอ และไม่ได้ทุ่มเทความพยายามใดเพื่อคิดว่าจะหลีกเลี่ยงปัญหาที่คล้ายกันในอนาคตอย่างไร ฉันตระหนักรู้อย่างเลือนรางว่าไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง ฉันจึงแสวงหาพระเจ้าโดยการอธิษฐาน ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้เรียนรู้บทเรียนของฉันและได้ตระหนักรู้ตนเองในเรื่องนี้

วันหนึ่งระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบางส่วน ที่ช่วยให้ฉันได้รับการตระหนักรู้ถึงสภาวะของตัวเอง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “การชอบโต้เถียงเรื่องถูกผิดหมายถึงการพยายามชี้แจงว่าสิ่งใดถูกหรือผิดในทุกๆ เรื่อง ไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะมีการอธิบายเรื่องนั้นให้ชัดเจนและเข้าใจกันว่าใครถูกใครผิด ดื้อดึงที่จะจดจ่ออยู่กับเรื่องไร้ประโยชน์  การทำเช่นนี้มีประโยชน์อย่างไรกันแน่?  ท้ายที่สุดแล้วการโต้เถียงเรื่องถูกผิดนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูก)  ผิดตรงไหน?  มีความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องนี้กับการปฏิบัติความจริงหรือไม่? (ไม่มี)  เหตุใดพวกเจ้าจึงบอกว่าไม่มีความเชื่อมโยง?  การโต้เถียงเรื่องถูกผิดไม่ใช่การยึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง ไม่ใช่การเสวนาหรือสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริง แต่ผู้คนกลับคุยกันตลอดเวลาว่าใครถูกใครผิด ใครทำตัวถูกต้องและใครทำตัวผิดพลาด ใครเป็นฝ่ายถูกและใครไม่ใช่ ใครมีเหตุผลดีและใครไม่มี ใครแสดงคำสอนที่สูงส่งกว่า นี่คือสิ่งที่พวกเขาสืบสาวราวเรื่อง  เมื่อพระเจ้าทรงให้ผู้คนก้าวผ่านบททดสอบ พวกเขาก็พยายามอยู่เสมอที่จะโต้เถียงกับพระเจ้า อ้างเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งตลอดเวลา  พระเจ้าทรงหารือเรื่องดังกล่าวกับเจ้ากระนั้นหรือ?  พระเจ้าตรัสถามหรือไม่ว่าบริบทเป็นอย่างไร?  พระเจ้าตรัสถามหรือไม่ว่าต้นตอและเหตุผลของเจ้าเป็นเช่นใด?  พระองค์ไม่ได้ถาม  พระเจ้ากลับตรัสถามว่าเวลาที่พระองค์ทรงทดสอบเจ้า เจ้ามีท่าทีที่นบนอบหรือต้านทาน  พระเจ้าตรัสถามว่าเจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่ เจ้านบนอบหรือไม่  พระเจ้าตรัสถามเพียงเท่านี้ ไม่มีเรื่องอื่น  พระเจ้าไม่ตรัสถามว่าสาเหตุที่เจ้าไร้ความนบนอบคืออะไร พระองค์ไม่ทรงมองว่าเจ้ามีเหตุผลที่ดีหรือไม่—แน่นอนที่สุดว่าพระองค์ไม่ทรงคำนึงถึงเรื่องดังกล่าว  พระเจ้าทรงมองเพียงว่าเจ้านบนอบหรือไม่เท่านั้น  ไม่ว่าสภาพความเป็นอยู่ของเจ้าและบริบทจะเป็นเช่นใด พระเจ้าก็ทรงพินิจพิเคราะห์เพียงว่าหัวใจของเจ้ามีความนบนอบหรือไม่ เจ้ามีท่าทีที่นบนอบหรือไม่  พระเจ้าไม่ทรงโต้วาทีเรื่องถูกผิดกับเจ้า พระเจ้าไม่สนพระทัยว่าเหตุผลของเจ้าเป็นเช่นไร  พระเจ้าสนพระทัยเพียงว่าเจ้านบนอบจริงหรือไม่—นี่คือทั้งหมดที่พระเจ้าทรงถามเจ้า  นี่คือหลักธรรมความจริงข้อหนึ่งมิใช่หรือ?  ผู้คนประเภทที่ชอบโต้เถียงเรื่องถูกผิด ชอบต่อล้อต่อเถียง—พวกเขามีหลักธรรมความจริงในหัวใจหรือไม่?  (ไม่มี)  เหตุใดจึงไม่มี?  พวกเขาเคยสนใจหลักธรรมความจริงบ้างหรือไม่?  เคยไล่ตามเสาะหาหลักธรรมความจริงบ้างหรือไม่?  เคยแสวงหาหลักธรรมความจริงหรือไม่?  พวกเขาไม่เคยให้ความสนใจ หรือไล่ตามเสาะหา หรือแสวงหา และหัวใจของพวกเขาก็ไม่มีหลักธรรมความจริงโดยสิ้นเชิง  ผลก็คือพวกเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่แต่ในมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เท่านั้น หัวใจของพวกเขามีแต่เรื่องถูกผิด ทำตัวถูกต้องและไม่ถูกต้อง มีแต่ข้อแก้ตัว เหตุผล การใช้เหตุผลวิบัติ และข้อโต้เถียงเท่านั้น แล้วไม่นานต่อจากนั้นพวกเขาก็เล่นงาน ตัดสิน และกล่าวโทษกัน  อุปนิสัยของผู้คนเช่นนี้ชอบโต้วาทีเรื่องถูกผิด ชอบตัดสินและกล่าวโทษผู้คน  ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่มีความรักหรือการยอมรับความจริง โน้มเอียงที่จะพยายามโต้เถียงกับพระเจ้า ถึงกับตัดสินพระเจ้าและท้าทายพระเจ้า  ในที่สุดพวกเขาย่อมจะลงเอยด้วยการถูกลงโทษ(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (15))  จากการเปิดโปงในพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เห็นว่า ผู้คนที่พูดถึงความถูกผิดในเหตุการณ์หนึ่งเสมอ จะสืบค้นอย่างถ้วนทั่วก่อนว่า ใครถูก ใครผิด และใครมีเหตุผลอยู่ฝ่ายพวกเขา ถ้าพวกเขาพูดวกวนให้คนอื่นสับสนได้ พวกเขาก็จะเริ่มโต้เถียงเพื่อปกป้องความคิดเห็นของตัวเอง จับจ้องไปที่ผู้อื่น เริ่มไม่ปฏิบัติตาม ต่อต้าน และถึงขั้นโจมตีผู้อื่น โดยไม่ได้ค้นหาความจริงหรือทบทวนถึงปัญหาของตนเอง พวกเขาไม่นบนอบสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เพื่อพวกเขา ฉันคิดถึงตอนที่ฉันกระทำตัวแบบนี้ เมื่อเจนนิเฟอร์ชี้ให้เห็นปัญหาบางอย่างในงานของเรา ฉันก็รู้ว่าปัญหาเหล่านั้นมีอยู่จริง แต่ฉันกลับหาเหตุผลและข้ออ้างเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง โดยคิดว่าการสัมฤทธิ์ในงานได้มากขนาดนี้ก็นับเป็นผลสัมฤทธิ์ยิ่งใหญ่แล้วเมื่อคำนึงถึงปริมาณงานของเรา และปัญหาเล็กๆ เหล่านั้นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ฉันถึงกับพยายามโต้แย้งเธอด้วยหลักธรรมเพื่อหยุดเธอจากการชี้ให้เห็นปัญหา โดยคิดว่าข้อพึงประสงค์ของเธอนั้นสูงเกินไป ส่วนปัญหาเหล่านั้นก็ไม่สำคัญ และต่อให้ไม่ได้รับการแก้ไขก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เมื่อเจนนิเฟอร์วิจารณ์ฉันว่าเป็นคนสุกเอาเผากินและขาดความรับผิดชอบ นอกจากจะไม่ยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้าแล้ว ฉันยังเกิดอคติกับเธอขึ้นมาอีกด้วย และคิดว่าเธอกำลังจับผิด เมื่อเธอพูดอย่างเข้มงวด และคำพูดของเธอทำร้ายศักดิ์ศรีของฉัน ฉันก็ตราหน้าอุปนิสัยของเธอว่าโอหัง ถึงขนาดตัดสินเธอต่อหน้าผู้นำ วางแผนให้ผู้นำมาอยู่ฝ่ายฉันและมองเธอในแง่ร้าย เมื่อผู้นำช่วยฉัน ฉันก็ปฏิเสธที่จะฟัง ฉันไม่ยอมรับสถานการณ์จากพระเจ้าหรือทบทวนถึงปัญหาของตัวเอง แต่กลับหาข้ออ้างและโต้เถียงว่าใครถูกใครผิด สิ่งที่ฉันแสดงออกมามีเพียงความหัวร้อน โดยไม่มีท่าทีของการนบนอบเลยแม้แต่น้อย ฉันเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชื่อได้อย่างไร? ฉันทำตัวเหมือนผู้ไม่เชื่อ

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ฉันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “สิ่งใดก็ตามที่ผู้คนทำล้วนเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความจริงและการนำความจริงไปปฏิบัติ สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความจริงล้วนเกี่ยวกับคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ของผู้คน และท่าทีที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย  ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อผู้คนทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ปราศจากหลักธรรม นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านั้น  แต่หลายครั้ง ผู้คนก็ไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจหลักธรรมเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่ปรารถนาที่จะเข้าใจหลักธรรมด้วย  แม้ว่าพวกเขาอาจจะรู้เกี่ยวกับหลักธรรมบ้างเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ปรารถนาที่จะทำให้ดีขึ้น  มาตรฐานนี้ไม่ได้อยู่ในหัวใจของพวกเขา และข้อพึงประสงค์นี้ก็ไม่ได้อยู่ในนั้นเช่นกัน  ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายให้ดี และเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่เป็นไปตามความจริงและทำให้พระเจ้าพอพระทัย  กุญแจสำคัญที่บ่งบอกว่าผู้คนจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นที่ยอมรับได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาแสวงหาสิ่งใด พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และพวกเขารักสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่  หากผู้คนไม่รักสิ่งที่เป็นบวก ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะยอมรับความจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ลำบากมาก—แม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็แค่กำลังออกแรงทำงานเท่านั้น  ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงหรือไม่ และเจ้าจะสามารถจับความเข้าใจในหลักธรรมได้หรือไม่ หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนบนพื้นฐานของมโนธรรมของตน อย่างน้อยที่สุดเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ผลในระดับกลางๆ  เฉพาะการนี้เท่านั้นที่เป็นที่ยอมรับ  หากตอนนั้นเจ้าสามารถแสวงหาความจริงและทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถลุล่วงข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์และปฏิบัติตนได้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามีอะไรบ้าง?  (ให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลัง)  ควรเข้าใจ ‘การมอบหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา’ ว่าอย่างไร?  หากผู้คนอุทิศสุดจิตสุดใจของตนในการปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมกำลังมอบหัวใจทั้งหมดของตน  หากพวกเขาใช้ทุกอณูของพละกำลังที่พวกเขามีในการปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมกำลังมอบพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา  การมอบหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้าเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  การนี้ไม่ใช่เรื่องที่สัมฤทธิ์ได้ง่ายหากปราศจากมโนธรรมและเหตุผล  หากคนคนหนึ่งไม่มีหัวใจ หากพวกเขาขาดสติปัญญาและไม่มีความสามารถในการใคร่ครวญ และเมื่อเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหา หากพวกเขาไม่รู้ว่าจะแสวงหาความจริงอย่างไร และไม่มีหนทางหรือวิธีการที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถมอบหัวใจทั้งหมดของตนได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มนุษย์เป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า)  หลังจากไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์  พระเจ้าไม่ได้ทรงมีพระประสงค์ว่าผู้คนต้องสัมฤทธิ์หน้าที่ให้สมบูรณ์แบบ แต่พระองค์ทรงมองว่าพวกเขาพยายามอย่างเต็มที่หรือไม่ และท่าทีของพวกเขาเป็นการพยายามปรับปรุงหน้าที่ของตนเองหรือไม่ พระเจ้าทรงตรวจสอบหัวใจของผู้คน ฉันทบทวนท่าทีต่อหน้าที่ของตัวเองเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า ฉันรู้สึกเสมอว่าฉันมีงานปริมาณมาก ด้วยมีหลายสิ่งที่ให้คำนึงถึงและใส่ใจ และถือว่าการมีปัญหาเล็กๆ เกิดขึ้นในงานเป็นเรื่องปกติ บางครั้งต่อให้ฉันรู้ว่าปัญหาเหล่านั้นสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ฉันก็ไม่อยากทุ่มเทความพยายามเพื่อปรับปรุงสิ่งทั้งหลาย ซึ่งทำให้ปัญหาถูกยืดเยื้อและไม่ได้ถูกแก้ไข แต่ที่จริงแล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงประสงค์ให้ฉันไม่เคยทำผิดพลาดในหน้าที่เลย พระองค์เพียงรังเกียจท่าทีสุกเอาเผากินและขาดความรับผิดชอบของฉัน เจนนิเฟอร์ดึงความสนใจของฉันไปที่ปัญหาโดยการชี้ให้เห็น ซึ่งช่วยฉันแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและทำหน้าที่ของฉันได้ดี เมื่อฉันตระหนักถึงเรื่องนี้ สภาวะของฉันก็ดีขึ้นมาบ้าง หลังจากนั้น ฉันสามัคคีธรรมและสรุปกับคนอื่น แล้วคิดถึงวิธีเปลี่ยนแปลง ครั้งต่อมาที่มีคนชี้ให้เห็นปัญหา ฉันไม่ได้ขัดขืนและทำแบบสุกเอาเผากินเหมือนเดิม แต่ฉันแก้ไขปัญหาร่วมกับทุกคน

ต่อมา ฉันก็ได้ทบทวนตัวเอง ทำไมฉันถึงต่อต้านคำเสนอแนะของเจนนิเฟอร์ขนาดนี้? จากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง และได้รับความตระหนักรู้ตนเองบ้าง พระเจ้าตรัสว่า “ท่าทีอันเป็นแบบฉบับที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อการตัดแต่งคือปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายที่จะยอมรับหรือสารภาพผิด  ไม่ว่าพวกเขาจะทำความชั่วไปเท่าใด สร้างความเสียหายให้แก่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อยหรือรู้สึกว่าพวกเขาติดค้างอะไร  จากมุมมองนี้ พวกศัตรูของพระคริสต์มีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่มี  พวกเขาก่อให้เกิดความเสียหายสารพัดอย่างแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทำให้งานของคริสตจักรเสียหาย—ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถมองเห็นการนี้ได้อย่างชัดแจ้ง และสามารถมองเห็นความประพฤติชั่วที่ศัตรูของพระคริสต์ทำไว้อย่างต่อเนื่อง  กระนั้นพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ยอมรับหรือยอมรับรู้ข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาไม่ยอมรับว่าพวกเขาผิดพลาด หรือว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบ  นี่ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่าพวกเขารังเกียจความจริงหรอกหรือ?  ศัตรูของพระคริสต์รังเกียจความจริงถึงเพียงนี้—ไม่ว่าพวกเขาจะทำเรื่องไม่ดีไว้มากเท่าใด พวกเขาก็ดื้อรั้นไม่ยอมรับ และพวกเขายังคงไม่ยอมจำนนในท้ายที่สุด  นี่พิสูจน์ให้เห็นมากพอว่าศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยจริงจังกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือยอมรับความจริง  พวกเขาไม่ได้มาเพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาคือข้ารับใช้ของซาตาน มาเพื่อก่อกวนและทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก  ในหัวใจของศัตรูของพระคริสต์มีแต่ความมีหน้ามีตาและสถานะเท่านั้น  พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขายอมรับรู้ความผิดพลาดของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะต้องยอมรับผิดชอบ แล้วจากนั้นสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขาก็จะเสียหายอย่างร้ายแรง  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้านทานด้วยท่าทีที่ ‘ปฏิเสธจนตัวตาย’  ไม่ว่าผู้คนจะเปิดโปงหรือชำแหละพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ปฏิเสธอย่างสุดความสามารถ  ไม่ว่าการไม่ยอมรับของพวกเขาจะจงใจหรือไม่ สรุปแล้ว ในด้านหนึ่งนั้น พฤติกรรมเหล่านี้ก็เปิดโปงแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์ที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง  ในอีกด้านหนึ่ง นี่แสดงให้เห็นว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ชื่นชมสถานะ ความมีหน้ามีตา และผลประโยชน์ของตนเองว่าล้ำค่ามากเพียงใด  ในขณะเดียวกัน ท่าทีที่พวกเขามีต่องานและผลประโยชน์ของคริสตจักรเป็นเช่นไร?  เป็นท่าทีที่เหยียดหยามและไม่รับผิดชอบ  พวกเขาไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผลทั้งปวง  การบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของพวกศัตรูพระคริสต์แสดงให้เห็นปัญหาเหล่านี้มิใช่หรือ?  ในด้านหนึ่งนั้น การบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบพิสูจน์ให้เห็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นการไร้ซึ่งมโนธรรม เหตุผล และความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  ไม่ว่าการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงจะเสียหายมากเพียงใดเพราะการก่อกวนและการทำชั่วของพวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้สึกว่ามีคำติเตียนและจะไม่มีวันรู้สึกเสียใจเพราะเรื่องนี้ได้  นี่คือสิ่งทรงสร้างแบบไหนกัน?  แม้ว่าการยอมรับความผิดพลาดบางส่วนของตนจะนับได้ว่าพวกเขายังพอมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้าง แต่พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่มีความเป็นมนุษย์แม้ในส่วนนั้นด้วยซ้ำ  ดังนั้นแล้ว พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาคืออะไร?  พวกศัตรูพระคริสต์คือมารในแก่นแท้(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงว่าศัตรูของพระคริสต์จะไม่ยอมรับความจริง พวกเขารังเกียจต่อความจริงและเกลียดความจริงโดยธรรมชาติ เมื่อถูกตัดแต่งและถูกเปิดโปง พวกเขาจะเริ่มหาข้ออ้างให้ตัวเอง และไม่รู้สึกสำนึกผิดต่อให้พวกเขาก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่องานก็ตาม แม้แต่จะยอมรับความผิดพลาดของตนเองพวกเขาก็ไม่สามารถทำได้และดื้อแพ่งเป็นอย่างยิ่ง ฉันทบทวนหลังจากเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้า ฉันเป็นคนสุกเอาเผากินในหน้าที่อย่างชัดเจน มีการพลั้งเผลอและปัญหามากมาย แต่ฉันไม่รู้สึกผิดหรือสำนึกผิดเลย เมื่อเผชิญกับการถูกตัดแต่งและถูกเตือน ฉันก็ไม่ได้ยอมรับ ฉันหาเหตุผลเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองและทำเป็นไม่ใส่ใจอยู่เสมอ ฉันไม่เต็มใจยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ฉันคิดว่าการยอมรับความผิดพลาดจะทำให้ฉันดูไม่ดี และทำลายชื่อเสียง สถานะ และภาพลักษณ์ของตัวเอง ทำให้คนอื่นดูถูกฉัน ฉันช่างไม่มีเหตุผลอย่างสิ้นเชิง ฉันกำลังเผยอุปนิสัยที่รังเกียจต่อความจริง คนอื่นให้คำเสนอแนะแก่ฉัน เพี่อช่วยให้เห็นถึงข้อบกพร่องในหน้าที่ของฉัน เพื่อที่ฉันจะได้แก้ไขปัญหาให้ถูกต้องอย่างทันท่วงทีและทำหน้าที่ได้ดีขึ้น แต่ฉันไม่เคยยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้า และไม่เคยทบทวนตัวเอง ด้ังนั้นปัญหาของการเป็นคนสุกเอาเผากินในหน้าที่ก็ไม่เคยถูกแก้ไข และฉันก็ไม่เคยลุล่วงหน้าที่ของตัวเองในฐานะผู้ดูแล ทำให้คนอื่นเป็นคนสุกเอาเผากินในหน้าที่ของตนเองและทำผิดพลาดบ่อยครั้งเช่นกัน ในตอนนี้ฉันได้เห็นแล้วว่า การไม่แก้ไขอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่รังเกียจต่อความจริง ทำให้ฉันยอมรับความจริงและคำเสนอแนะของคนอื่นได้ยาก ถ้าฉันยังคงไม่กลับใจหรือไม่แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ต่อไป ปัญหาและข้อผิดพลาดในหน้าที่ของฉันจะเพิ่มขึ้น แล้วสุดท้ายฉันคงทำความชั่ว ต่อต้านพระเจ้า และถูกพระองค์รังเกียจและถูกกำจัด การตระหนักเรื่องนี้เป็นความเสียใจสำหรับฉันมาก และฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าในการกลับใจ เต็มใจจะปฏิบัติความจริงในหน้าที่ตั้งแต่นี้ไป และไม่ใช้ชีวิตอยู่ในความเสื่อมทราม

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ซึ่งได้มอบเส้นทางเพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่รังเกียจต่อความจริงให้แก่ฉัน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “หากมีใครบางคนให้ข้อเสนอแนะแก่เจ้าในยามที่เจ้าไม่เข้าใจความจริง และบอกเจ้าว่าควรกระทำการให้สอดคล้องกับความจริงอย่างไร เจ้าก็ควรยอมรับวิธีนั้นและเปิดโอกาสให้ทุกคนสามัคคีธรรมถึงวิธีนั้นก่อน ดูว่าเส้นทางนั้นถูกต้องหรือไม่ สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่  หากพวกเจ้ายืนยันว่าเส้นทางนั้นสอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วก็จงปฏิบัติตามนั้น หากพวกเจ้าตัดสินว่าเส้นทางนั้นไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วก็จงอย่าปฏิบัติตามนั้น  เรื่องราวก็ง่ายเช่นนั้นเอง  เมื่อพวกเจ้าแสวงหาความจริง พวกเจ้าควรแสวงหาจากผู้คนจำนวนมาก  หากใครมีบางสิ่งที่จะกล่าว เจ้าก็ควรรับฟังไว้ และจริงจังกับคำพูดทุกคำของพวกเขา  จงอย่าเมินหรือปฏิเสธพวกเขา เพราะนี่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหลายที่อยู่ในขอบข่ายหน้าที่ของเจ้าและเจ้าต้องปฏิบัติต่อการนี้อย่างจริงจัง  นี่คือท่าทีและสภาวะที่ถูกต้อง  เมื่อเจ้าอยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง และไม่เผยอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริงออกมา เมื่อนั้นการปฏิบัติแบบนี้ก็จะเข้ามาแทนที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  นี่คือการปฏิบัติความจริง  หากเจ้าปฏิบัติความจริงในหนทางนี้ ย่อมจะเกิดผลเช่นไร?  (พวกเราจะได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์)  การได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นแง่มุมหนึ่ง  บางครั้งเรื่องราวก็ง่ายมากและสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยใช้ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเอง หลังจากที่ผู้อื่นให้ข้อเสนอแนะแก่เจ้าจบแล้วและเจ้าเองก็เข้าใจ เจ้าย่อมจะสามารถแก้ไขสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องและกระทำการให้สอดคล้องกับหลักธรรมได้  ผู้คนอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับพระเจ้า นี่เป็นเรื่องใหญ่  เพราะเหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  เพราะเมื่อเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ สำหรับพระเจ้าแล้ว เจ้าก็คือคนที่สามารถปฏิบัติความจริงได้ เป็นคนที่รักความจริง และไม่รังเกียจความจริง—เมื่อพระเจ้าทรงมองเข้าไปในหัวใจของเจ้า พระองค์ย่อมทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยของเจ้าด้วย และนี่คือเรื่องใหญ่  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อเจ้าทำหน้าที่ของตนและกระทำการอยู่ในการสถิตของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตและแซ่ซ้องย่อมเป็นความเป็นจริงความจริงที่ผู้คนควรมีทั้งสิ้น  ท่าที ความคิด และสภาวะที่เจ้ามีในทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพระเจ้า และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงมีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยครั้งเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระองค์)  พระวจนะของพระเจ้าได้ชี้ให้เห็นเส้นทางของการปฏิบัติ เมื่อพี่น้องชายหญิงให้คำเสนอแนะหรือตัดแต่งฉัน ฉันก็ควรมีท่าทีของการยอมรับและการเชื่อฟังเป็นอันดับแรก เมื่อไม่รู้วิธีทำให้ลุล่วง ฉันก็ไม่ควรไม่ชอบหรือต่อต้านสิ่งนั้น แต่ควรยอมรับก่อน แล้วจึงแสวงหาสามัคคีธรรมจากคนที่เข้าใจความจริง แล้วนำไปปฏิบัติเมื่อฉันมีการจัดการเรื่องหลักธรรมอย่างถูกควร สิ่งนี้ทำให้หน้าที่ของฉันลุล่วงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันคิดถึงตอนที่คนอื่นสังเกตเห็นและชี้ให้เห็นปัญหาหรือข้อบกพร่องในงานของฉัน ตอนที่พวกเขาให้คำเสนอแนะและตัดแต่งฉัน นับว่าพวกเขารับผิดชอบต่องานของคริสตจักรโดยแท้จริง ไม่ใช่เลือกเฉพาะฉันหรือทำให้ฉันยากลำบาก ฉันควรยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้าและเชื่อฟัง ทบทวนปัญหาของตัวเอง แล้วเปลี่ยนแปลงและแก้ไขอย่างทันท่วงที นั่นเป็นหนทางเดียวที่ช่วยให้การทำงานของฉันดีขึ้นทีละน้อย และหลีกเลี่ยงไม่ให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันขัดขวางงานของคริสตจักร

วันหนึ่ง เจนนิเฟอร์ส่งข้อความมาเพื่อชี้ให้เห็นปัญหาบางอย่างในวีดิทัศน์ของเรา เมื่อเห็นข้อความ ฉันรู้สึกต่อต้านขึ้นมาครู่หนึ่ง ฉันหารือและจัดการปัญหาเหล่านี้กับคนอื่นแล้ว ทำไมเธอยังยกขึ้นมาพูดอีก? ฉันอยากพูดแก้ตัวอะไรสักอย่าง แต่เมื่อฉันหยุดคิดเรื่องนี้ ถ้าเธอชี้ให้เห็น ก็ต้องยังมีความพลั้งเผลอหรือข้อบกพร่องในงานอยู่ ดังนั้นฉันจึงเริ่มถามเจนนิเฟอร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในที่สุดฉันก็ตระหนักว่าฉันแค่หารือปัญหาเหล่านี้กับพี่น้องชายหญิง แต่ไม่ได้ติดตามงานของพวกเขาอย่างทันท่วงทีหลังจากนั้น ทำให้ปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกแก้ไขอย่างสมบูรณ์ ฉันยังตระหนักด้วยว่าฉันไม่กระตือรือร้นและรับผิดชอบต่องานของตัวเอง แต่ฉันแค่รอคอยอย่างนิ่งเฉยให้ผู้อื่นชี้ให้เห็นปัญหาก่อนจะแก้ไข ดังนั้น ฉันจึงเริ่มถามผู้อื่นว่าปัญหาที่ยังคงมีอยู่ในวีดิทัศน์ของเรามีอะไรบ้าง แล้วสามัคคีธรรมและแก้ไขอย่างทันท่วงที หลังจากเวลาผ่านไปก็เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาน้อยลงเรื่อยๆ ฉันรู้สึกสงบสุขและโล่งใจในหน้าที่ของตัวเอง ฉันยังรู้สึกในใจด้วยว่า เพียงแค่สามารถรับคำเสนอแนะของผู้อื่น แสวงหาความจริง และแก้ไขปัญหาของตัวเองได้ ก็สามารถทำให้ฉันทำหน้าที่ได้อย่างดี ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า:  26. ความรับผิดชอบคือกุญแจสำคัญของการประกาศข่าวประเสริฐให้ดี

ถัดไป:  28. อย่าให้ความอิจฉาริษยาไล่ทันคุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger