30. ไมตรีจิตถือเป็นหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมในการวัดความเป็นมนุษย์ที่ดีหรือไม่?

โดยแฟรงค์ ประเทศฟิลิปปินส์

สมัยผมยังเด็ก ผู้คนต่างก็พูดเสมอว่าผมมีเหตุผลและประพฤติตัวดี พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเด็กดี น้อยนักที่ผมจะโกรธคนอื่น แล้วก็ไม่เคยก่อปัญหาอะไรเลย หลังจากเข้าสู่ความเชื่อ ผมก็มีไมตรีจิตกับพี่น้องชายหญิงคนอื่นมาก ผมยอมผ่อนปรน อดทน และเปี่ยมรัก ผมจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่ผมสอนสมาชิกที่ค่อนข้างมีอายุให้ใช้คอมพิวเตอร์ ผมสอนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างอดทน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะเรียนรู้ช้าและผมจะหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ผมก็จะพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงความใจร้อน เพราะกลัวว่าคนอื่นจะพูดว่าผมขาดความรักความเมตตา ด้วยเหตุนี้ พี่น้องชายหญิงจึงมักจะพูดว่าผมมีความเป็นมนุษย์ที่ดี และผู้นำก็เลือกผมเป็นผู้ให้น้ำผู้มาใหม่ โดยบอกว่าเฉพาะคนที่มีความเมตตาและความอดทนเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นั้นได้ดี ผมรู้สึกพอใจในตัวเองมากเมื่อได้ยินอย่างนั้น และมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าการมีไมตรีจิตและมีเมตตาเป็นเครื่องหมายของความเป็นมนุษย์ที่ดี

ต่อมาผมได้ทำงานคู่กับพี่น้องชายหลี่หมิงในฐานะผู้นำในคริสตจักร หลังจากร่วมงานกันได้ระยะหนึ่ง ผมก็สังเกตว่าหลี่หมิงชอบทำตามใจตัวเอง และมีอารมณ์ร้อนอยู่บ้าง หากไม่ได้ดังใจ เขามักจะโกรธ นอกจากนี้ เขาไม่โปร่งใสในการทำงานและมักจะหลอกลวง เขาไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมและไม่ปกป้องงานของคริสตจักร ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขามักจะใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองติดต่อพี่น้องชายหญิง ผมรู้ว่าการทำแบบนี้อาจทำให้ตำรวจติดตามพวกเขาได้ และอาจก่อปัญหาให้คริสตจักร และผมก็คิดที่จะหยุดเขาหลายครั้ง แต่พอจะเอ่ยปาก ผมกลับยั้งตัวเอง ผมรู้สึกว่าถ้าผมชี้ให้เห็นปัญหาของเขาตรงๆ เขาอาจจะคิดว่าแม้ว่าภายนอกผมจะทำตัวเหมือนคนน่าคบ แต่ผมค่อนข้างไร้ความกรุณาในแง่คำพูดและการกระทำ เลยเข้ากับคนอื่นได้ยาก หลังจากคิดดูแล้ว ผมก็ตัดสินใจจะพูดอ้อมๆ และแค่ถามเขาว่าเขาใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อพี่น้องชายหญิงคนอื่นหรือเปล่า เมื่อเขาไม่ยอมรับว่าใช้ ผมก็รู้ว่าเขาโกหก แต่ผมก็ไม่เปิดโปงและห้ามเขา เพราะกลัวว่าจะทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างเรา และทำให้เขามองผมในแง่ดีน้อยลง ต่อมาผมสังเกตเห็นว่าปัญหาของหลี่หมิงร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งพี่น้องชายหญิงบางคนบอกผมว่า ภรรยาเขาเอาแต่พูดคำพูดและคำสอนตลอดเพื่อโอ้อวดระหว่างการชุมนุมโดยไม่ได้แก้ไขปัญหาที่แท้จริง และบอกคนอื่นว่าเธอทนทุกข์และพลีอุทิศในหน้าที่มามากแค่ไหน เพียงเพื่อให้พวกเขาชื่นชมเธอ หลังจากการสืบค้น มีการตัดสินว่าเธอไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำและควรถูกปลด เมื่อผมบอกหลี่หมิงเรื่องนี้ เขาก็เริ่มหงุดหงิดมาก บอกว่าการประเมินของพี่น้องชายหญิงเป็นเท็จและไม่ยุติธรรมกับภรรยาเขา เขาถึงกับถามว่า ทำไมเราไม่สืบค้นคนที่รายงานเรื่องนี้ แต่สืบค้นแค่ภรรยาเขา ผมตกใจมาก ไม่เคยคิดเลยว่าหลี่หมิงจะมีท่าทีที่แย่ขนาดนี้ เพื่อบรรเทาความตึงเครียด ผมเลยบอกเขาว่า “สงบใจและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในเรื่องนี้สิ พยายามอย่าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำคุณ” แต่เขาไม่ฟังเลยและไม่ยอมถอย เนื่องจากหลี่หมิงจงใจขัดขวาง ปัญหาของภรรยาเขาจึงไม่ได้รับการแก้ไข หลังจากนั้นหลี่หมิงก็ยังตำหนิพี่น้องชายหญิงระหว่างการชุมนุมด้วย และถึงกับสั่งสอนพี่น้องหญิงคนหนึ่งจนเธอร้องไห้ ผมรู้สึกว่าปัญหาของหลี่หมิงเริ่มจะร้ายแรงมาก คนอื่นประเมินภรรยาเขาอย่างเป็นกลางและยุติธรรม โดยยกข้อเท็จจริงขึ้นมาเท่านั้น แต่เพราะสิ่งนี้คุกคามผลประโยชน์ของเขา เขาเลยโกรธและพาลใส่คนอื่น เขามีความเป็นมนุษย์ที่ชั่วร้าย! ผมอยากจะรายงานปัญหาของเขาให้ผู้นำระดับสูงทราบ แต่แล้วผมก็คิดว่า “แบบนั้นจะไม่เป็นการฟ้องและแทงข้างหลังเขาหรอกหรือ? อีกอย่าง ถ้าฉันรายงานเรื่องเขา ผู้นำคนนั้นจะต้องเรียกเขาเข้าไปสามัคคีธรรมแน่ๆ ถ้าเขารู้ว่าฉันเป็นคนรายงานเรื่องเขา เขาจะคิดยังไงกับฉัน? เขาจะไม่ว่าฉันพูดถึงเขาในแง่ร้ายลับหลัง และว่าฉันมีความเป็นมนุษย์ที่แย่เหรอ?” เมื่อตระหนักอย่างนี้ ผมก็ยั้งใจไม่รายงานเรื่องเขา แต่ผมรู้สึก อึดอัดและทุกข์ใจเล็กน้อย

ต่อมา เนื่องจากมีคนอื่นรายงานปัญหาของเขา ในที่สุดหลี่หมิงก็ถูกปลด หลังจากเรื่องนั้น ผู้นำระดับสูงก็เปิดโปงผมโดยพูดว่า “แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่าคุณเข้ากับทุกคนได้ดี แต่คุณไม่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ทำไมคุณถึงไม่เปิดโปงและหยุดหลี่หมิงตอนสังเกตเห็นปัญหาของเขา? คุณไม่รายงานปัญหาสำคัญแบบนั้นได้ยังไง? คุณอยากปกป้องงานของคริสตจักรหรือเปล่า?” หลังจากถูกผู้นำตัดแต่งแล้วเท่านั้น ผมถึงได้รู้ตัวและเริ่มอธิษฐานถึงพระเจ้าและทบทวน ผมพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “การมีความเป็นมนุษย์ที่ดีจำต้องมีมาตรฐาน นี่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ทางสายกลาง การไม่ติดอยู่กับหลักการทั้งหลาย การอุตสาหะพยายามที่จะไม่ทำให้ใครก็ตามขุ่นเคือง การประจบประแจงในทุกหนแห่งที่เจ้าไป การลื่นไหลและแนบเนียนไปกับทุกคนที่เจ้าพบ และการทำให้ทุกคนพูดถึงเจ้าในทางที่ดี  นี่ไม่ใช่มาตรฐาน  ดังนั้น สิ่งใดคือมาตรฐาน?  คือการสามารถที่จะนบนอบ  พระเจ้าและความจริง  เป็นการมีท่าทีต่อหน้าที่ของคนเรา ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบตามหลักธรรมและสำนึกรับผิดชอบ  ทุกคนมองเห็นเรื่องนี้ได้ง่าย ทุกคนชัดเจนเกี่ยวกับการนี้ในหัวใจของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของผู้คน และทรงรู้ถึงสถานการณ์ของพวกเขาทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ก็ไม่มีผู้ใดหลอกลวงพระเจ้าได้ บางคนมักจะอวดตัวอยู่เสมอว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี ไม่เคยว่าร้ายผู้อื่น ไม่เคยทำให้ผลประโยชน์ของผู้อื่นเสียหาย  และอ้างว่าไม่เคยละโมบในทรัพย์สินของผู้อื่น  เมื่อมีการโต้เถียงเกี่ยวกับผลประโยชน์ พวกเขาก็ถึงกับเลือกที่จะทุกข์ทนกับการสูญเสียมากกว่าจะเอาเปรียบผู้อื่น และทุกคนก็คิดว่าพวกเขาเป็นคนดี  อย่างไรก็ตาม ขณะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเจ้าเล่ห์เพทุบายและลื่นไหล โดยสร้างอุบายเพื่อตัวพวกเขาเองเสมอ  พวกเขาไม่คิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเลย พวกเขาไม่ปฏิบัติเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วน หรือคิดอย่างที่พระเจ้าทรงดำริเลย และพวกเขาไม่สามารถวางผลประโยชน์ของพวกเขาเองไว้ก่อนเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเลย  พวกเขาไม่ละทิ้งผลประโยชน์ของพวกเขาเองเลย  แม้ในยามที่พวกเขาเห็นคนชั่วกำลังทำความชั่ว พวกเขาก็ไม่เปิดโปงคนเหล่านั้น พวกเขาไม่มีหลักธรรมแต่อย่างใด  นี่คือความเป็นมนุษย์เช่นใด?  นี่ไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ที่ดี  จงอย่าสนใจสิ่งที่ผู้คนเช่นนั้นพูด เจ้าต้องดูว่าพวกเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใด พวกเขาเปิดเผยสิ่งใด และท่าทีของพวกเขาเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน  ตลอดจนสภาวะภายในของพวกเขาเป็นอย่างไรและพวกเขารักสิ่งใด  หากความรักที่พวกเขามีต่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตนเองมีมากกว่าความจงรักภักดีต่อพระเจ้า หากความรักในชื่อเสียงและผลประโยชน์ของพวกเขาเองมีมากกว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือหากว่าความรักที่พวกเขามีต่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตนเองมีมากกว่าการคำนึงถึงพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ผู้คนดังกล่าวมีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  พวกเขาย่อมไม่ใช่คนที่มีความเป็นมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง)  จากพระวจนะของพระเจ้า ผมตระหนักว่า ความเป็นมนุษย์ของคนเรานั้นไม่อาจตัดสินได้จาก ลักษณะภายนอก อย่างเช่น พวกเขาใจเย็นไหม หรืออยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างปรองดองไหม แต่จะตัดสินจากท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและความจริง ว่าพวกเขารับผิดชอบในหน้าที่ไหม และยืนข้างพระเจ้าและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงหรือไม่เมื่อเผชิญกับปัญหา เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าผมมีความเป็นมนุษย์ที่พอใช้ได้ ภายนอกผมเป็นมีเมตตาและมีบุคลิกน่าคบ แต่เมื่อผมสังเกตเห็นว่าหลี่หมิงใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อพี่น้องชายหญิง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของคริสตจักร ผมกลับกังวลว่าการต่อว่าเขาตรงๆ อาจจะทำลายความสัมพันธ์ของเรา ผมเลยแค่เตือนเขาอย่างมีชั้นเชิงและแยบยล เมื่อเขาไม่ยอมรับพฤติกรรมของตัวเอง ผมก็ไม่ได้เปิดโปงหรือหยุดเขา ผมคิดในใจว่า “ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา เขาจะได้ไม่พูดว่าฉันไม่ได้เตือน” ผมคิดว่าการปฏิบัติแบบนี้จะไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของผมเสียหาย และผมจะไม่ต้องรับผิดชอบถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา ผมคิดถึงแต่ผลประโยชน์ สถานะ และภาพลักษณ์ของตัวเอง โดยไม่สนใจงานของคริสตจักรหรือความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง ผมช่างเห็นแก่ตัวและหลอกลวงจริงๆ! เมื่อผมเห็นว่าหลี่หมิงพาลใส่คนอื่นเรื่องปัญหาภรรยาเพราะความรักใคร่ที่เขามีต่อเธอ ผมก็ควรจะรายงานให้ผู้นำระดับสูงทราบทันที แต่ผมกลับกังวลว่าเขาจะคิดว่าผมแทงข้างหลังเขา ผมจึงเก็บเงียบ ผมนิ่งเฉยและปล่อยให้หลี่หมิงอาละวาด ซึ่งส่งผลกระทบที่เป็นลบต่องานของคริสตจักร และนำการโจมตีและอันตรายมาสู่พี่น้องชายหญิง ความเป็นมนุษย์ของผมอยู่ที่ไหนกัน? เมื่อไตร่ตรองการกระทำของตัวเองโดยอิงตามการพิพากษาและการเปิดโปงจากพระวจนะของพระเจ้า ผมก็รู้สึกผิดมาก ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองมีความเป็นมนุษย์ที่ดี แต่จากการเผยให้เห็นด้วยพระวจนะของพระเจ้าและการเปิดโปงด้วยข้อเท็จจริง ผมมองตัวเองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ภายนอกผมมีเมตตา แต่เบื้องหลังความเมตตานั้นมีเจตนาอันน่ารังเกียจ ผมสนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวและไม่ได้ปกป้องงานของคริสตจักรเลย ผมแสร้งทำเป็นมีความเมตตา และพยายามเอาใจทุกคน ผมเป็นคนที่แสร้งทำเป็นมีความเชื่อแรงกล้าและหลอกลวง ผมไม่กล้าสร้างภาพว่าตัวเองเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีอีกต่อไปแล้ว ต่อมาผมพบพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “แก่นแท้เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงาม เช่น การคุยด้วยง่ายและมีไมตรีจิต สามารถอธิบายได้ด้วยคำคำเดียวคือเสแสร้ง  พฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากพระวจนะของพระเจ้า และไม่ได้เป็นผลจากการปฏิบัติความจริงหรือกระทำการตามหลักธรรม  นี่คือผลผลิตของสิ่งใด?  นี่มาจากเหตุจูงใจและอุบายของผู้คน มาจากการที่พวกเขาเสแสร้ง เล่นละครตบตาและหลอกลวง  เมื่อผู้คนยึดติดพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ จุดมุ่งหมายย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่มีวันทำกับตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมในหนทางนี้ และจะไม่มีวันใช้ชีวิตตรงข้ามกับความอยากได้อยากมีของตนเอง  การใช้ชีวิตตรงกันข้ามกับความอยากได้อยากมีของตนเองหมายความว่ากระไร?  หมายความว่าธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขาไม่ได้ประพฤติดี ไร้เล่ห์เหลี่ยม อ่อนโยน ใจดี และมีคุณธรรมตามที่ผู้คนจินตนาการ  พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามมโนธรรมและสำนึก แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับมีชีวิตอยู่เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายหรือข้อเรียกร้องบางอย่าง  ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์เป็นเช่นไร?  เลอะเลือนและไม่รู้ความ  หากไม่มีธรรมบัญญัติและพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานมา ผู้คนจะไม่รู้เลยว่าบาปคือสิ่งใด  มวลมนุษย์เคยเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  ต่อเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติเท่านั้น ผู้คนจึงมีแนวคิดเกี่ยวกับบาปอยู่บ้าง  แต่พวกเขาก็ไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับความถูกต้องและความผิด หรือเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบอยู่ดี  และในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถตระหนักรู้หลักธรรมที่ถูกต้องของการพูดและการกระทำได้อย่างไร?  พวกเขาจะรู้ได้หรือไม่ว่าการกระทำในหนทางใด พฤติกรรมดีแบบใด ควรมีอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ?  พวกเขาจะรู้ได้หรือไม่ว่าสิ่งใดก่อกำเนิดพฤติกรรมที่ดีงามอย่างแท้จริง พวกเขาควรทำตามหนทางใดเพื่อใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์?  พวกเขาไม่สามารถรู้ได้  เพราะธรรมชาติเยี่ยงซาตานของผู้คน เพราะสัญชาตญาณของพวกเขา พวกเขาจึงทำได้เพียงเสแสร้งและเล่นละครเพื่อให้มีชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรี—ซึ่งก่อให้เกิดการหลอกลวงต่างๆ อาทิ เป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่าย เล่ห์เหลี่ยมและกลวิธีหลอกลวงเหล่านี้จึงอุบัติขึ้นด้วยประการฉะนี้  และทันทีที่สิ่งเหล่านี้อุบัติขึ้น ผู้คนก็เลือกที่จะยึดติดกับการหลอกลวงเหล่านี้สักอย่างหรือหลายอย่าง  บางคนเลือกที่จะเป็นผู้มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่าย บางคนเลือกที่จะเป็นผู้ที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท บางคนเลือกที่จะสุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ บางคนเลือกที่จะเป็นสิ่งทั้งหมดนี้  และถึงกระนั้นเราก็นิยามผู้คนที่มีพฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้ด้วยคำคำเดียว  คำนั้นคืออะไร?  ‘กรวดมน’  กรวดมนคืออะไร?  คือกรวดที่เกลี้ยงเกลาในแม่น้ำซึ่งถูกสายน้ำกัดเซาะและขัดเกลาขอบที่แหลมคมมาเป็นเวลานานหลายปี  และแม้การเหยียบกรวดเหล่านั้นอาจไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ แต่หากไม่ระวัง ผู้คนก็สามารถลื่นล้มได้  กรวดเหล่านี้สวยงามมากทั้งรูปลักษณ์และรูปทรง แต่ครั้นเจ้านำกลับบ้าน กรวดหินเหล่านี้กลับไร้ประโยชน์ยิ่ง  เจ้าไม่อาจโยนทิ้งได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บเอาไว้เช่นกัน—ซึ่งก็คือสิ่งที่ ‘กรวดมน’ เป็น  สำหรับเราแล้ว ผู้คนที่มีพฤติกรรมดีงามอย่างเห็นได้ชัดเหล่านี้ล้วนเฉื่อยชา  พวกเขาเสแสร้งให้เห็นภายนอกว่าดี แต่กลับไม่ยอมรับความจริงเลย พวกเขาพูดสิ่งที่เสนาะหู แต่ไม่ทำสิ่งใดที่เป็นจริง  พวกเขาเป็นได้เพียงกรวดมนเท่านั้น  ถ้าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงและหลักธรรมกับพวกเขา พวกเขาก็จะคุยเรื่องการทำตัวอ่อนโยน มีมารยาท และสุภาพอ่อนน้อมกับเจ้า  ถ้าเจ้าพูดกับพวกเขาเรื่องการใช้วิจารณญาณแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็จะพูดถึงการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลกับเจ้า  ถ้าเจ้าบอกพวกเขาว่าการวางตัวของคนเราต้องมีหลักธรรม คนเราต้องแสวงหาหลักธรรมในหน้าที่ของตนและไม่กระทำการตามใจชอบ ท่าทีของพวกเขาจะเป็นเช่นไร?  พวกเขาก็จะกล่าวว่า ‘การปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงนั้นเป็นคนละเรื่อง  ฉันแค่อยากเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล และอยากให้คนอื่นเห็นชอบกับการกระทำของฉัน  ตราบใดที่ฉันเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และได้รับความเห็นชอบจากคนอื่น นั่นก็พอแล้ว’  พวกเขาใส่ใจแต่พฤติกรรมอันดีงาม ไม่เน้นความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (3))  จากพระวจนะของพระเจ้า ผมตระหนักว่า การมีไมตรีจิตและเข้าถึงง่าย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ถือว่าดี ในวัฒนธรรมดั้งเดิม แท้จริงแล้วเป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้น ผู้ที่ทำตัวแบบนี้ก็เพียงโฆษณาตัวเอง สร้างภาพปลอมๆ เพื่อให้คนอื่นชื่นชมและหลอกลวงให้คนอื่นเคารพยกย่อง ทั้งหมดนี้เป็นการวางแผนร้ายและเล่ห์กล และการทำตัวแบบนี้ทำให้พวกเขาเป็นคนลวงโลก ผมได้ตระหนักอีกด้วยว่า เหตุผลที่ผมยังเห็นแก่ตัวและหลอกลวงมาก แม้ว่าจะพยายามทำตัวดีมาตลอดหลายปี ก็เป็นเพราะว่าสิ่งที่ผมทำทั้งหมดนี้มีเจตนาชั่วร้ายอยู่เบื้องหลัง ผมอยากทำให้คนอื่นประทับใจเพื่อที่พวกเขาจะได้เคารพยกย่องผม วัฒนธรรมดั้งเดิมปลูกฝังและอบรมสั่งสอนผมตั้งแต่เด็กให้เห็นคุณค่าของการประพฤติปฏิบัติที่ดี ผมคิดว่าการประพฤติปฏิบัติที่ดีจะช่วยให้ผมได้รับการยกย่องจากผู้คนรอบข้าง หลังจากเข้าสู่ความเชื่อ ผมยังคงพยายามเป็นคนที่มีไมตรีจิตและเข้าถึงง่าย และรักษาภาพลักษณ์และสถานะที่ดีในหมู่พี่น้องชายหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมได้ทำงานคู่กับหลี่หมิง ผมสังเกตเห็นว่าเขาใช้โทรศัพท์ของตัวเองติดต่อพี่น้องชายหญิงหลายครั้ง ซึ่งเป็นการละเมิดหลักธรรม ทำให้พี่น้องชายหญิงตกอยู่ในอันตราย และเพิกเฉยต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร และผมควรจะเปิดโปงและหยุดเขา แต่ผมกังวลว่าเขาจะมองผมในแง่ร้าย ผมจึงแค่ปล่อยผ่าน ผมเห็นชัดเจนว่าหลี่หมิงปกป้องภรรยาตัวเองและถึงกับกดข่มพี่น้องชายหญิง ว่านี่ไม่ได้เป็นแค่กรณีความเสื่อมทรามธรรมดาๆ ความเป็นมนุษย์ของเขานั้นชั่วร้าย เขาไม่เหมาะจะเป็นผู้นำ และควรถูกรายงานทันที แต่ผมกลับเลือกที่จะปิดปากเงียบอีกครั้ง เพื่อปกป้องสถานะและภาพลักษณ์ของตัวเอง ผมเนรคุณเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ตัวเอง ผมไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรเลย ผมเริ่มรู้ซึ้งว่า การพยายามมีไมตรีจิตและเข้าถึงง่ายนั้น ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยให้ผมเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง แต่อันที่จริง มันทำให้ผมเห็นแก่ตัวและหลอกลวงมากขึ้นเรื่อยๆ ผมมุ่งมั่นที่จะทำตัวดีแทนที่จะปฏิบัติความจริง สร้างภาพลักษณ์ปลอมเพื่อปกปิดเจตนาอันน่ารังเกียจของผม และทำให้ทุกคนคิดว่าผมมีความเป็นจริงความจริง ว่าผมเปี่ยมรักและมีเมตตา หลอกพวกเขาให้ไว้วางใจผม เคารพผม และยอมรับผม ผมเดินบนเส้นทางของพวกฟาริสีที่แสร้งทำเป็นมีความเชื่อแรงกล้าและต่อต้านพระเจ้า ผมจะถูกพระเจ้ากล่าวโทษและกำจัดหากยังคงทำแบบนั้นต่อไป

ต่อมาผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอนที่กล่าวว่า “และเมื่อผู้คนคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาพยายามปกป้องความเย่อหยิ่งและความถือดีของตนอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้น ผลสืบเนื่องคืออะไร?  คือการที่พวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต คือการที่พวกเขาขาดคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริง  และนี่ย่อมเป็นอันตรายมิใช่หรือ?  หากเจ้าไม่เคยปฏิบัติความจริง หากเจ้าไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป  ผู้คนที่ไม่มีคำพยานจากประสบการณ์มีประโยชน์อะไรหรือในพระนิเวศของพระเจ้า?  พวกเขาย่อมไม่แคล้วที่จะทำหน้าที่ใดได้ไม่ดี และไม่สามารถทำสิ่งใดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  พวกเขาเป็นเพียงขยะมิใช่หรือ?  หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี หากผู้คนไม่เคยปฏิบัติความจริง พวกเขาก็คือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาเป็นคนชั่ว  หากเจ้าไม่เคยปฏิบัติความจริง หากการฝ่าฝืนของเจ้าเพิ่มจำนวนครั้งมากขึ้นทุกที เช่นนั้นจุดจบของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว  เห็นได้ชัดว่าการฝ่าฝืนทั้งหมดของเจ้า เส้นทางผิดๆ ที่เจ้าใช้เดิน และการที่เจ้าไม่ยอมกลับใจ ล้วนก่อให้เกิดความประพฤติชั่วมากมาย และดังนั้นจุดจบของเจ้าก็คือว่าเจ้าจะไปนรก—เจ้าจะถูกลงโทษ  พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องไม่สลักสำคัญกระนั้นหรือ?  หากเจ้ายังไม่ถูกลงโทษ เจ้าจะไม่สำนึกว่านี่น่าหวาดกลัวเพียงใด  เมื่อวันนั้นมาถึงตรงที่เจ้าเผชิญหายนะเข้าจริงๆ และเจ้าเผชิญหน้าความตาย นั่นย่อมสายเกินไปที่จะเสียใจ  หากในความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าไม่ยอมรับความจริง และหากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้า ผลสุดท้ายย่อมเป็นว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป และถูกทอดทิ้ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  “ต่อเมื่อผู้คนกระทำการและวางตนตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีรากฐานที่แท้จริง  หากพวกเขาไม่วางตนตามพระวจนะของพระเจ้า และมุ่งเน้นเพียงการเสแสร้งว่าประพฤติดีเท่านั้น นี่จะส่งผลให้พวกเขาสามารถกลายเป็นคนดีได้กระนั้นหรือ?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้  คำสอนและพฤติกรรมอันดีงามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของเขาได้  มีเพียงความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ความคิด และข้อคิดเห็นอันเสื่อมทรามของผู้คน และกลายเป็นชีวิตของพวกเขาได้… สิ่งใดควรเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับการพูดและการกระทำของผู้คน?  พระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้นข้อกำหนดและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงมีต่อการพูดและการกระทำของผู้คนมีว่าอย่างไร?  (การพูดและการกระทำของผู้คนควรเป็นประโยชน์ต่อคนด้วยกัน)  ถูกต้อง  ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าต้องพูดความจริง พูดจาซื่อตรง และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  อย่างน้อยที่สุด คำพูดของเจ้าต้องทำให้ผู้คนเจริญใจ ไม่ลวงให้หลงกล ชักนำให้หลงผิด ล้อเล่นสนุกๆ เสียดสี เย้ย เยาะหยัน บีบบังคับพวกเขา เปิดเผยจุดอ่อนของพวกเขา หรือทำร้ายพวกเขา  นี่คือการแสดงความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมา  นี่เป็นคุณธรรมของความเป็นมนุษย์… นอกเหนือจากนี้ ในกรณีพิเศษบางกรณีก็จำเป็นต้องเปิดโปงข้อผิดพลาดของผู้อื่นโดยตรงและตัดแต่งพวกเขา เพื่อให้พวกเขารู้จักความจริงและอยากกลับใจ  เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผลอย่างที่ควรจะเป็น  การปฏิบัติเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างใหญ่หลวง  เป็นการช่วยเหลือพวกเขาอย่างแท้จริงและเป็นเรื่องสร้างสรรค์สำหรับพวกเขามิใช่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (3))  ผมตกใจกับพระวจนะของพระเจ้า และรู้สึกกลัว หากใครเลือกที่จะรักษาผลประโยชน์ของตัวเองในสถานการณ์ต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่เคยปฏิบัติความจริง พวกเขาจะสะสมการกระทำผิดมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็จะถูกพระเจ้าทรงเปิดโปงและกำจัดจนสิ้นซาก ผมนึกถึงตัวเอง เมื่อผมเห็นพี่น้องชายหญิงตกอยู่ในอันตรายและงานของคริสตจักรได้รับผลกระทบ ผมก็ไม่ยึดถือหลักธรรมและปกป้องงานของคริสตจักร แต่กลับพยายามเป็นสิ่งที่เรียกว่าคนดีอยู่เสมอ ต่อให้ผมได้รับความเคารพและการยอมรับจากคนอื่น แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผมก็เป็นคนทำชั่ว และท้ายที่สุดก็จะถูกพระองค์เดียดฉันท์และลงโทษ เมื่อตระหนักถึงผลที่ตามมาเหล่านี้ ผมก็หวาดกลัว และพร้อมที่จะแก้ไขการไล่ตามไขว่คว้าแบบผิดๆ ของตัวเองให้ถูกต้อง พระวจนะของพระเจ้ายังแสดงให้ผมเห็นเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย ต้องกระทำและพูดตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เราถึงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและสั่งสอนผู้อื่นได้ ไม่สำคัญว่าเราจะพูดยังไง ว่าเราจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างหรือนุ่มนวล หรือจะใช้คำพูดอย่างมีชั้นเชิงแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพูดในลักษณะที่สอนใจพี่น้องชายหญิง ตราบใดที่คนคนนั้นเหมาะสม ยอมรับความจริงได้ เราก็ควรช่วยเหลือพวกเขาด้วยความรัก หากพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและทำให้งานเสียหาย เราก็สามัคคีธรรมกับพวกเขาได้เพื่อให้คำชี้แนะและการเกื้อหนุน หากสามัคคีธรรมแล้วยังไม่ดีขึ้นจริง เราก็ตัดแต่งพวกเขาได้ โดยเปิดโปงแก่นแท้ของปัญหาพวกเขา แม้ว่าสิ่งนี้จะฟังดูรุนแรงหรือดูเหมือนจะเพิกเฉยต่อความรู้สึกของพวกเขา แต่การกระทำลักษณะนี้อาจเป็นประโยชน์และเกื้อหนุนพวกเขาได้อย่างแท้จริง หากพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือคนชั่วที่ขัดขวางงานของคริสตจักร เราก็ควรยืนหยัดเพื่อเปิดโปงและหยุดพวกเขา หรือรายงานเรื่องพวกเขาต่อผู้นำระดับสูง เพื่อค้ำจุนงานของคริสตจักร และปกป้องพี่น้องชายหญิงไม่ให้ถูกก่อกวนและชักพาให้หลงผิด ต้องทำแบบนี้เท่านั้น เราถึงจะปฏิบัติความจริงจริงๆ โดยแสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์และความเมตตาที่แท้จริง พระวจนะของพระเจ้าได้แก้ไขทัศนะที่ผิดพลาดของผมอีกด้วย ผมคิดว่าการรายงานว่าใครบางคนละเมิดหลักธรรม คือการฟ้อง แทงข้างหลัง หรือไม่จงรักภักดี นี่เป็นทัศนะที่ผิดพลาด อันที่จริงการทำแบบนั้นเป็นการปกป้องงานของคริสตจักรและเป็นความประพฤติดี หลี่หมิงมีปัญหาร้ายแรง ที่ส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร และจำกัดและทำร้ายพี่น้องชายหญิง และนี่เป็นปัญหาเรื่องหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักร ผมควรจะเอ่ยเรื่องนี้กับผู้นำระดับสูงทันทีหรือรายงานเรื่องเขาด้วยซ้ำ นี่จะไม่เป็นการแทงข้างหลัง แต่จะเป็นการปกป้องงานของคริสตจักร หลังจากตระหนักเรื่องนี้ ความกังวลหลายอย่างของผมก็หายไป และผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

ครั้งหนึ่งมีคนรายงานว่าพี่น้องชายคนหนึ่งอู้งานและหลบเลี่ยงความยากลำบากขณะปฏิบัติหน้าที่มาโดยตลอด และหลังจากที่คนอื่นชี้ให้เห็นเรื่องนี้และตัดแต่งเขาหลายครั้ง เขาก็ยังไม่ยอมรับสักนิด ตามหลักธรรมแล้ว เราตัดสินใจว่าเขาต้องถูกปลด และเราควรชำแหละปัญหาของเขาอย่างชัดเจนเพื่อให้เขาทบทวนตัวเองได้ ในตอนนั้น ผมคิดว่า “การชำแหละปัญหาของเจ้าตัวให้เขาฟังอาจเป็นการล่วงเกิน ฉันน่าจะปล่อยให้คู่ทำงานของฉันสามัคคีธรรมกับเขา ฉันจะได้ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะทำให้เขามองฉันในแง่ลบ” แต่แล้วผมก็ตระหนักทันทีว่า ผมพยายามปกป้องสถานะและภาพลักษณ์ตัวเองอีกแล้ว ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินเช่นไร หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนตน เหตุจูงใจ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตน  จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—อย่างน้อยที่สุดคนเราควรทำเช่นนี้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ผมเห็นเส้นทางแห่งการปฏิบัติ เมื่อเผชิญกับปัญหา เราต้องละทิ้งความอยากได้อยากมีและหน้าตาของเรา ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของคริสตจักรเป็นอันดับแรกและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า นี่เป็นวิธีปฏิบัติที่ตรงไปตรงมาเพียงวิธีเดียว และจะได้รับการชมเชยจากพระเจ้า เมื่อผมเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้า ผมก็รู้สึกมีแรงจูงใจ ผมจึงชำแหละพฤติกรรมของพี่น้องชายคนนั้นอย่างละเอียดตามพระวจนะของพระเจ้า ผมรู้สึกสบายใจมากหลังจากปฏิบัติแบบนี้ ผมตระหนักว่าเราจะบรรลุความสงบสุขและความสุขที่แท้จริงได้โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น

หลังจากประสบการณ์นี้ ผมก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างยิ่ง พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ผมเห็นว่า การมีไมตรีจิตและเข้าถึงง่ายที่วัฒนธรรมดั้งเดิมส่งเสริมนั้นไร้สาระแค่ไหน และสร้างความเสียหายอะไรกับผู้คนบ้าง นอกจากนี้ พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ผมได้มีประสบการณ์ ในการเป็นอิสระและการปลดปล่อยที่เกิดจากการพ้นจากข้อจำกัดและพันธนาการของวัฒนธรรมดั้งเดิม ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดของพระองค์!

ก่อนหน้า:  29. ทำไมฉันถึงเสแสร้งอยู่เสมอ?

ถัดไป:  31. ฉันไม่ต้องการการดูแลของคุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger