64. พระคัมภีร์ทั้งเล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้าหรือไม่?

โดยจ้าวกวง ประเทศจีน

ในปี 1998 ญาติของผมที่ชื่อหยางมาแบ่งปันข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้ากับผม เขาให้พระคัมภีร์แก่ผมเล่มหนึ่ง แล้วก็บอกผมว่า พระคัมภีร์ทั้งเล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้า ทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นคือพระวจนะของพระเจ้า และในนั้นมีเส้นทางไปสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าและชีวิตนิรันดร์ พอได้ยินว่าจะสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์ ผมก็สนใจขึ้นมาทันที หลังจากนั้น ผมก็อ่านพระคัมภีร์เมื่อมีเวลา ในไม่ช้า ผมก็รู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่มนุษยชาติ และผมก็ยอมรับพระองค์ เพราะผมมีใจมุ่งมั่นในการแสวงหาพระเจ้า ไม่นานผมก็ได้เป็นผู้ร่วมงาน แล้วเริ่มออกไปเผยแผ่และประกาศข่าวประเสริฐให้แก่คริสตจักร ผมเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าพระคัมภีร์คือรากฐานและแนวทางสำหรับความเชื่อของผม

แต่พอผ่านไปไม่กี่ปี คริสตจักรก็เริ่มแห้งเหือดลง และรู้สึกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ผู้เชื่อส่วนใหญ่เริ่มคิดลบและอ่อนแอ ความเชื่อของพวกเขาจืดจางลง และหลายคนถึงขั้นหันกลับไปสู่โลกปุถุชน เมื่อเผชิญกับเรื่องทั้งหมดนี้ ผมก็รู้สึกวิตกและหมดหนทาง อีกทั้งมีความอ่อนแอในหัวใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทอดทิ้งพวกเราไปแล้วหรือเปล่า?  แต่ทุกครั้งที่ผมนึกถึงพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า “ผู้ที่สู้ทนจนถึงที่สุดจะได้รับความรอด(มัทธิว 10:22)  หัวใจของผมก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ผมวางใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงทำไม่ดีต่อผู้ที่ติดตามพระองค์ด้วยหัวใจที่จริงใจ และยังคงสละตนเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างต่อเนื่อง ผมอธิษฐานในใจอยู่เสมอและขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเสริมกำลังความเชื่อของพวกเรา ในช่วงเวลานั้นเอง คริสตจักรหนึ่งที่ชื่อว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกก็ปรากฏขึ้น พวกเขาเป็นพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว กำลังทรงแสดงความจริง และทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย พี่น้องชายหญิงในองค์พระผู้เป็นเจ้าจำนวนมากเปลี่ยนไปเชื่อฟ้าแลบจากทิศตะวันออก และสิ่งนี้ทำให้ผมเจ็บปวดใจ สิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้เป็นพิเศษก็คือ การได้ยินว่าผู้คนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกพูดว่า พระคัมภีร์มีทั้งพระวจนะของพระเจ้าและคำพูดของมนุษย์ ผมคิดว่า “พระคัมภีร์ก็เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า’ (2 ทิโมธี 3:16)  ทุกสิ่งในพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสก็พูดอย่างนี้เสมอ แล้วสิ่งที่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกพูดมา ไม่เป็นการขัดกับพระคัมภีร์และเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ?” เพราะเหตุนี้ ผมจึงต่อต้านฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอย่างมาก จากนั้นเป็นต้นมา ในการประชุมส่วนใหญ่ของเรา เราจะพูดคุยกันเรื่องการป้องกันและสกัดกั้นฟ้าแลบจากทิศตะวันออก รวมถึงวิธีการปกป้องคริสตจักรไม่ให้สูญเสียฝูงแกะ เพื่อไม่ให้คนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมาแย่งฝูงแกะของเราไป ผมจึงบอกพี่น้องชายหญิงว่า “พระคัมภีร์ทั้งเล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้า และพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดก็อยู่ในพระคัมภีร์ ถ้าเราเชื่อในพระเจ้า ก็ต้องไม่หันเหไปจากพระคัมภีร์ หากหันเหไปจะถือเป็นความเชื่อนอกรีต” ผมทำแบบนี้ก็เพราะหวังจะกันไม่ให้พวกเขาไปตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย แต่พวกเขาก็ยังคงยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป

ครั้งหนึ่ง เมื่อผมกลับมาถึงบ้านหลังจากการชุมนุมที่คริสตจักร ผมก็เห็นภรรยากำลังนวดแป้งอยู่ และข้างๆ เธอก็มีหญิงวัยประมาณหกสิบปีนั่งอยู่ กำลังสามัคคีธรรมกับเธอ ผมเดาว่าหญิงคนนี้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมทำหน้าตึงแล้วพูดว่า “คุณปฏิเสธและละทิ้งพระคัมภีร์ แล้วแบบนี้ยังจะอ้างว่าเชื่อในพระเจ้าอยู่หรือ?  ออกไปจากที่นี่ซะ!” พี่น้องหญิงคนนั้นพูดกับผมอย่างใจเย็นว่า “น้องชาย อย่าเพิ่งโกรธไปเลย อย่าเพิ่งด่วนสรุปโดยไม่ไตร่ตรอง พวกเราก็เคยอ่านพระคัมภีร์มาก่อนเหมือนกัน และยึดข้อพระคัมภีร์ที่ว่า ‘พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า’ (2 ทิโมธี 3:16)  หมายความว่าพระวจนะทั้งหมดในพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า แต่ภายหลังเราถึงตระหนักได้ว่า การตีความแบบนี้ไม่ถูกต้อง” “แล้วคุณมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์?” ผมถามอย่างดูแคลน พี่น้องหญิงคนนั้นจึงกล่าวว่า “ตัวอย่างเช่น ข่าวประเสริฐของลูกาบอกไว้ว่า ‘เนื่องจากมีหลายคนอุตส่าห์เรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ซึ่งสำเร็จแล้วในท่ามกลางเรา ตามที่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็นกับตาเองตั้งแต่ต้นและเป็นผู้ประกาศพระวจนะนั้นแสดงให้เรารู้’ (ลูกา 1:1-2)  สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าข่าวประเสริฐของลูกาเขียนโดยลูกา ตามประสบการณ์และการตรวจสอบของเขาหรอกหรือ?  ลูกาเพียงแค่เขียนข้อเท็จจริงบางส่วนที่เขาเห็นและได้ยินในขณะนั้น นี่คือหนังสือที่มนุษย์เป็นคนเขียน แล้วเราจะพูดได้อย่างไรว่า ทั้งหมดนั้นคือพระวจนะของพระเจ้า?  สิ่งที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่มนุษย์เคยประสบพบเจอ หรือปะปนด้วยแนวคิดของมนุษย์ ทั้งสองสิ่งนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน” คำพูดของพี่น้องหญิงคนนั้นก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ผมสูดหายใจ แล้วปลายตาประเมินเธอพลางคิดว่า “เธอก็แก่แล้ว แถมดูเหมือนไม่ได้เรียนหนังสือมามากเท่าไร แต่กลับมีความเข้าใจได้ลึกซึ้งแบบนี้ เหลือเชื่อจริงๆ!” ผมนึกไม่ออกว่าจะตอบกลับสิ่งที่เธอพูดยังไงอยู่ครู่หนึ่ง และใบหน้าผมก็ร้อนผ่าว ผมกังวลว่าถ้ายังฟังเธอพูดต่อไปผมจะถูกชักพาให้หลงผิด จึงกระแอมแล้วพูดว่า “พอแล้ว เรามีความเชื่อต่างกัน อย่ามาที่นี่อีก” ผมพูดพลางดันพี่น้องหญิงคนนั้นออกประตูไป เธอแนะนำผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จะได้ตัดสินใจได้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วหรือไม่ แต่ผมก็ไม่เปิดใจรับฟัง ผมไม่อยากฟัง เธอพูดอย่างจริงจังทั้งน้ำตาว่า “น้องชาย ได้โปรดคิดเรื่องนี้ให้ดีก่อน!” เมื่อได้ยินความจริงใจในคำพูดของเธอ มองเห็นแววตาที่สะท้อนความจริงใจ และเห็นร่างที่บอบบางของเธอท่ามกลางลมหนาว หัวใจของผมก็เจ็บแปลบขึ้นมา และไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่ผมก็นึกถึงเรื่องที่ว่าทุกคำในพระคัมภีร์มาจากพระเจ้า และการเบี่ยงเบนไปจากพระคัมภีร์ ก็ไม่ถือว่าเป็นการเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาประกาศนั้นอยู่นอกเหนือพระคัมภีร์ แถมยังมาคริสตจักรของเราเพื่อแย่งฝูงแกะไปอีก ผมจะฟังพวกเขาประกาศไม่ได้ และต้องยืนหยัดมั่นคงในจุดยืนของตัวเอง หลังจากนั้น ผมก็ยังคงสบายใจกับความคิดและการกระทำของตัวเอง และทุ่มเทเต็มที่ในการ “ปกป้อง” ฝูงแกะ แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อไหร่ที่มีการพูดถึงใครบางคนจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็จะรู้สึกประหม่า การสามัคคีธรรมของพวกเขาฟังดูสมเหตุสมผลและยากที่จะหักล้าง สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือใช้แนวทางแข็งกร้าว และใช้นโยบายห้ามฟังพวกเขา ห้ามอ่านหนังสือของพวกเขา หรือติดต่อกับพวกเขา

ผมมารู้ตัวอีกทีก็ถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 2004 แล้ว ญาติของผมที่ชื่อหยางโทรมาหาผม บอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องการให้ไปหา ผมรีบไปทันที แล้วเขาก็แนะนำพี่น้องชายหวังฉวนหยางให้ผมรู้จัก เขาบอกว่าฉวนหยางเป็นผู้ประกาศ และชวนให้พวกเราพูดคุยกันเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมรู้สึกดีใจมาก หลังจากกล่าวทักทายกันเสร็จ ญาติของผมก็หยิบพระคัมภีร์ออกมาให้ผม แล้วก็หยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนาอีกสองเล่มออกมาด้วย ผมมองดู ที่ปกเขียนว่า “พระวจนะทรงปรากฏในเนื้อหนัง” หนังสือเหล่านี้เป็นของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก!  ผมลุกพรวดขึ้นแล้วพูดว่า “หยาง นี่นายยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแล้วเหรอ?” ญาติของผมหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ใช่แล้วล่ะ ที่ฉันชวนนายมาในวันนี้ก็เพราะอยากจะสามัคคีธรรมกับนาย หวังว่านายจะตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายนะ” ตอนนั้นเอง ผมก็นึกถึงสิ่งที่ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพูดเสมอว่า พระคัมภีร์ทั้งเล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้า และพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดก็อยู่ในนั้น หลักคำสอนของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเกินเลยไปจากพระคัมภีร์ และเบี่ยงเบนจากหลักคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ควรฟังพวกเขา วิธีรับมือที่ดีที่สุดของเราก็คือการหลบเลี่ยงพวกเขา ผมจึงอ้างว่ามีธุระต้องรีบกลับบ้าน แต่ญาติของผมก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ทำไมทุกครั้งที่เจอคนที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นายต้องหนีด้วยล่ะ?  ถ้านายรู้ความจริงอยู่แล้ว นายจะกลัวการถูกชักพาให้หลงผิดไปทำไม? ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ทำไมไม่สงบใจลงแล้วแสวงหาดูสักหน่อยล่ะ?” ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องกลับไปนั่งที่เดิม แต่ในใจผมกลับปั่นป่วนไม่หยุดว่า วันนี้ผมควรจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไงดี?  ผมอธิษฐานเงียบๆ ในใจถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า!  ข้าพระองค์วางใจมอบสถานการณ์นี้ไว้กับพระองค์ ขอทรงคุ้มครองและนำทางข้าพระองค์ด้วยเถิด” จากนั้น ญาติของผมก็หยิบหนังสือ “พระวจนะทรงปรากฏในเนื้อหนัง” ขึ้นมา แล้วอ่านบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “เราแนะนำให้พวกเจ้าก้าวย่างบนไปเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าด้วยความรอบคอบ  อย่าด่วนสรุปตามอำเภอใจ ยิ่งไปกว่านั้น อย่าเชื่อในพระเจ้าอย่างฉาบฉวยและมักง่าย  พวกเจ้าควรรู้ว่าอย่างน้อยที่สุด บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรมีความถ่อมใจและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  พวกที่เคยได้ยินความจริงแต่กลับเชิดหน้าใส่ความจริงนั้นคือผู้โง่เขลาและไม่รู้ความ  พวกที่เคยได้ฟังความจริงแต่ยังด่วนสรุปอย่างไม่ระมัดระวังหรือกล่าวโทษความจริงนั้นคือคนโอหัง  คนที่เชื่อในพระเยซูไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะสาปแช่งหรือกล่าวโทษผู้อื่น  พวกเจ้าทุกคนควรเป็นคนที่มีสำนึกและยอมรับความจริง  บางที เมื่อได้ฟังหนทางแห่งความจริงและได้อ่านพระวจนะแห่งชีวิตแล้ว เจ้าอาจจะเชื่อว่ามีพระวจนะเพียงหนึ่งใน 10,000 เท่านั้นที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์และมุมมองของเจ้า ดังนั้น ตัวเจ้าจึงควรแสวงหาพระวจนะหนึ่งใน 10,000 นั้นภายในพระวจนะเหล่านี้ต่อไป  เรายังคงแนะนำให้เจ้าถ่อมใจ อย่ามั่นใจเกินไป และอย่ายกย่องตัวเองให้สูงส่งจนเกินไป  ด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าซึ่งเจ้าพอจะมีอยู่บ้าง เจ้าย่อมจะได้รับความสว่างมากขึ้น  หากเจ้าตรวจดูอย่างถี่ถ้วนและไตร่ตรองพระวจนะเหล่านี้ซ้ำๆ เจ้าจะเข้าใจว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ และพระวจนะเหล่านี้คือชีวิตหรือไม่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว)  ผมนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่แสดงอาการใดๆ แต่ความจริงแล้ว คำพูดในหนังสือนั้นประทับใจผม ข้อเรียกร้องทั้งหมดเหล่านี้ก็สอดคล้องกับพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย(มัทธิว 5:3)  ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรมีท่าทีที่ถ่อมใจและแสวงหา แต่ผมกลับหลับหูหลับตาตัดสินและกล่าวโทษฟ้าแลบจากทิศตะวันออก โดยไม่แสวงหาหรือสืบค้น ผมช่างโอหังและคิดว่าตัวเองถูกเสียจริง ผมรู้สึกผิดและคิดในใจว่า “คำพูดเหล่านี้พิเศษจริงๆ คล้ายกับหลักคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือว่านี่จะเป็นพระวจนะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เสด็จกลับมาได้ดำรัสไว้?” ผมยังนึกถึงทุกครั้งที่ผมเคยติดต่อกับผู้คนจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ว่า พวกเขาสง่างามและเที่ยงธรรม เปี่ยมด้วยความรักในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ อดทนอดกลั้น และคำอธิบายของพวกเขาต่อคำถามต่างๆ ก็มีเหตุผลรองรับอย่างมั่นคงและน่าเชื่อถือเป็นพิเศษ พวกเขาจะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จด้วยตัวเองได้ยังไง หากไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์?  เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าหนทางของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นพิเศษแน่นอน หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จกลับมา และผมไม่แสวงหาหรือสืบค้น นั่นจะไม่เท่ากับว่าผมพลาดโอกาสในการรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า และสุดท้ายก็ถูกพระองค์ทรงปฏิเสธหรอกหรือ?  ผมคิดว่า “ฉันควรหยุดดื้อรั้นได้แล้ว ทำไมวันนี้ไม่ลองแสวงหาดูสักหน่อยล่ะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาจริงหรือเปล่า?  ฉันจะได้เข้าใจให้กระจ่าง” ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างแน่วแน่ว่า “พระวจนะที่พวกคุณอ่านมานั้นดีจริงๆ และก็พิเศษมาก แต่ผมไม่เข้าใจ พระคัมภีร์เป็นหลักของศาสนาคริสต์ นานกว่าสองพันปีแล้วที่โลกศาสนาเชื่อกันมาโดยตลอดว่า พระคัมภีร์ล้วนได้รับการดลใจจากพระเจ้าทั้งสิ้น และทุกสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นพระคัมภีร์จึงเป็นตัวแทนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันยึดถือตามนี้มาตลอดหลายปีที่เป็นคริสเตียน แต่ตอนนี้พวกคุณกลับบอกว่าพระคัมภีร์มีทั้งพระวจนะของพระเจ้าและคำพูดของมนุษย์ นั่นไม่ขัดกับพระคัมภีร์หรอกหรือ? นี่คือการปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรยศพระองค์ และเป็นการดูหมิ่นที่น่ารังเกียจ!” ฉวนหยางจึงพูดอย่างอดทนว่า “การพูดว่าพระคัมภีร์ทั้งหมดได้รับการดลใจจากพระเจ้า สอดคล้องกับความเป็นจริงหรือเปล่า? พระวจนะไหนจากองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ใช้เป็นหลักฐาน?  องค์พระเยซูเจ้าไม่เคยตรัสว่าพระคัมภีร์ทั้งหมดได้รับการดลใจจากพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ได้ทรงเป็นพยานยืนยันถึงสิ่งนี้เช่นกัน สิ่งที่เปาโลพูดเป็นเพียงความเข้าใจของเขาเองเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และไม่อาจเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้เลย” ผมถึงกับอึ้ง สิ่งที่เขาพูดมานั้นมีเหตุผล แล้วทำไมผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ?  จากนั้น ฉวนหยางก็ถามว่า “เปาโลกล่าวว่า ‘พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า’ (2 ทิโมธี 3:16)  ตอนที่เปาโลพูดว่า ‘พระคัมภีร์’ เขาหมายถึงพระคัมภีร์ทั้งหมดจริงๆ หรือแค่บางส่วนกันแน่?” ผมตอบอย่างมั่นใจเต็มที่ว่า “เขาก็หมายถึงพระคัมภีร์ทั้งหมดอยู่แล้ว” ฉวนหยางพูดต่อว่า “ที่จริงแล้ว เปาโลเขียนจดหมายถึงทิโมธีฉบับที่สองหลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาประมาณ 60 กว่าปี ซึ่งในเวลานั้น พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ยังไม่ได้รับการรวบรวม มีเพียงพันธสัญญาเดิมเท่านั้น ต่อมาอีก 90 กว่าปีหลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา ยอห์นก็ได้จดบันทึกนิมิตที่เขาเห็นบนเกาะปัทมอส ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นหนังสือคำวิวรณ์ หลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้ว 300 กว่าปี ที่การประชุมครั้งหนึ่งในเมืองนีเซีย ผู้นำศาสนาจากหลายประเทศได้คัดเลือกข่าวประเสริฐทั้งสี่เล่ม และจดหมายอื่นๆ บางฉบับของเหล่าสาวกจากจดหมายจำนวนมากมาย รวมถึงหนังสือคำวิวรณ์ของยอห์น แล้วจึงรวบรวมสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นพันธสัญญาใหม่ หลังจากนั้น จึงได้รวบรวมพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่เข้าด้วยกันเป็นเล่มเดียว ซึ่งก็คือพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ฉบับสมบูรณ์ที่เราอ่านกันอยู่ทุกวันนี้ พันธสัญญาใหม่ได้รับการรวบรวมหลังจากปี ค.ศ. 300 ขณะที่เปาโลเขียนจดหมายถึงทิโมธีฉบับที่สองหลัง ค.ศ. 60 ซึ่งเป็นเวลา 200 กว่าปี ก่อนการรวบรวมพันธสัญญาใหม่ จากจุดนี้เราจะเห็นได้ว่า ตอนที่เปาโลพูดว่า ‘พระคัมภีร์ทั้งหมดได้รับการดลใจจากพระเจ้า’ พระคัมภีร์ที่เขาหมายถึงไม่ได้รวมพันธสัญญาใหม่ไว้ด้วยเลย” พอผมได้ยินแบบนี้ ก็อดพยักหน้าไม่ได้ แล้วพูดว่า “ถ้าพระคัมภีร์ที่เปาโลพูดถึงไม่นับรวมพันธสัญญาใหม่ งั้นก็ต้องหมายถึงพันธสัญญาเดิมแน่ๆ” ฉวนหยางกล่าวว่า “ใช่ แต่แม้แต่พันธสัญญาเดิมเอง ก็ไม่ใช่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าทั้งหมด เดี๋ยวเราจะเห็นชัดเจนขึ้นเมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์”

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าต้องรู้ว่าพระคัมภีร์ประกอบด้วยกี่ส่วน พันธสัญญาเดิมมีหนังสือปฐมกาล อพยพ… และยังมีหนังสือการเผยพระวจนะที่บรรดาผู้เผยพระวจนะได้เขียนขึ้นอีกด้วย  ในท้ายที่สุด พันธสัญญาเดิมจบลงด้วยหนังสือมาลาคี… หนังสือคำเผยพระวจนะเหล่านี้แตกต่างอย่างยิ่งจากหนังสือเล่มอื่นๆ ในพระคัมภีร์  หนังสือเหล่านี้คือถ้อยคำทั้งหลายที่พูดหรือเขียนขึ้นโดยบรรดาผู้ที่เคยได้รับพระวิญญาณแห่งการเผยพระวจนะ—โดยบรรดาผู้ที่เคยได้รับนิมิตต่างๆ หรือพระสุรเสียงจากพระยาห์เวห์  นอกเหนือจากหนังสือเกี่ยวกับคำเผยพระวจนะเหล่านี้แล้ว สิ่งอื่นทุกอย่างในพันธสัญญาเดิมประกอบด้วยบันทึกต่างๆ ที่ผู้คนได้บันทึกหลังจากที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์แล้ว  หนังสือเหล่านี้ไม่สามารถแทนที่การพยากรณ์ที่พูดโดยบรรดาผู้เผยพระวจนะที่พระยาห์เวห์ทรงให้มีขึ้น เช่น หนังสือปฐมกาลและอพยพไม่สามารถถูกนำไปเปรียบเทียบกับหนังสืออิสยาห์และหนังสือดาเนียลได้  คำเผยพระวจนะต่างๆ ถูกพูดขึ้นก่อนที่จะมีการดำเนินพระราชกิจ ในขณะที่หนังสืออื่นๆ เขียนขึ้นหลังจากที่พระราชกิจได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถทำได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))  “สิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นบันทึกพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองเสมอไป  พระคัมภีร์เพียงบันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะก่อนหน้าของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นบันทึกการพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะ และส่วนหนึ่งเป็นประสบการณ์และความรู้ที่เขียนขึ้นโดยผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งานตลอดทั้งยุคสมัย  ประสบการณ์ของมนุษย์เจือปนไปด้วยความคิดเห็นและความรู้ของมนุษย์ และนี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในหนังสือหลายเล่มของพระคัมภีร์มีมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ อคติของมนุษย์ และการจับใจความอันบิดเบือนของมนุษย์  แน่นอนว่าข้อความส่วนใหญ่เป็นผลจากความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และข้อความเหล่านี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง—แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้ว่าข้อความเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความจริงอย่างถูกต้องแม่นยำทั้งหมด  ทรรศนะของท่านทั้งหลายเหล่านั้นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ส่วนตัว หรือความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  การพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะนั้นพระเจ้าเป็นผู้ให้คำแนะนำด้วยพระองค์เอง นั่นคือ  การเผยพระวจนะของผู้คนเช่นอิสยาห์ ดาเนียล เอสรา เยเรมีย์ และเอเสเคียลมาจากคำแนะนำโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้คนเหล่านี้คือผู้มองเห็น ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณแห่งการเผยพระวจนะ และท่านทั้งหมดเป็นผู้เผยพระวจนะของพันธสัญญาเดิม  ในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนที่ได้รับการดลใจจากพระยาห์เวห์เหล่านี้พูดการเผยพระวจนะมากมายซึ่งได้รับคำแนะนำโดยตรงจากพระยาห์เวห์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (3))  หลังจากนั้น ฉวนหยางก็สามัคคีธรรมว่า “พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ชัดเจนมาก คำเผยของผู้เผยพระวจนะนั้นได้รับการทรงสั่งโดยตรงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้เผยพระวจนะก็ถ่ายทอดสิ่งนั้นออกมา คำเหล่านี้คือพระวจนะของพระเจ้า และถ่ายทอดเจตนารมณ์ที่แน่ชัดของพระเจ้า ส่วนคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าก็จะมีการระบุไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์เสมอ อย่างเช่น ในตอนต้นของหนังสืออิสยาห์กล่าวว่า ‘นิมิตเกี่ยวกับยูดาห์และเยรูซาเล็มที่อิสยาห์บุตรอามอส’ (อิสยาห์ 1:1)  ตอนต้นของหนังสือเยเรมีย์ก็กล่าวว่า ‘พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงเยเรมีย์’ (เยเรมีย์ 1:2)  แค่คนเราใส่ใจดูให้ดีก็จะรู้แน่นอนว่า พระวจนะใดได้รับการดลใจจากพระเจ้า นอกเหนือจากพระวจนะของพระเจ้าและคำเผยของผู้เผยพระวจนะแล้ว ส่วนที่เหลือของพันธสัญญาเดิมก็เป็นบันทึกที่ผู้คนเขียนขึ้นหลังจากมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ส่วนใหญ่เป็นบันทึกจากความทรงจำ ประสบการณ์และคำพูดเหล่านี้ก็ล้วนมาจากผู้คน เราจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีแนวคิดของมนุษย์ปะปนอยู่ เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ใน 2 ซามูเอล บทที่ 24 ข้อ 1 ว่า ‘พระพิโรธของพระยาห์เวห์เกิดขึ้นต่ออิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง จึงทรงเร้าใจดาวิดต่อสู้พวกเขา ตรัสว่า “จงไปนับคนอิสราเอลและคนยูดาห์”’  แต่ใน 1 พงศาวดาร บทที่ 21 ข้อ 1 กลับกล่าวว่า ‘ซาตานยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอล และดลใจให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล’  ข้อพระคัมภีร์ทั้งสองตอนนี้ต่างก็พูดถึงเหตุการณ์ที่ดาวิดนับจำนวนประชาชนอิสราเอล ในที่หนึ่งกล่าวว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงดลใจให้ดาวิดนับประชาชน แต่ในอีกที่หนึ่งกลับบอกว่าเป็นซาตานที่ดลใจดาวิด ถ้าเรื่องนี้ได้รับการดลใจจากพระเจ้าจริง แล้วเหตุใดจึงมีความขัดแย้งกันมากขนาดนี้?  หากพันธสัญญาเดิมทั้งหมดได้รับการดลใจจากพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำผิดพลาดในการดลใจเรื่องเหตุการณ์เดียวกันอย่างนั้นหรือ?” หลังจากได้ฟังคำพูดของฉวนหยาง ความคิดของผมก็เปิดกว้างขึ้นมาก กำแพงแห่งความดื้อรั้นในใจผมเริ่มพังทลายลง ผมพูดว่า “ถ้าพันธสัญญาเดิมไม่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าทั้งหมด เราก็คงไม่อาจถือว่าพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดเป็นพระวจนะของพระเจ้าได้เช่นกัน เพราะทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบันทึกของเหล่าอัครทูตเท่านั้น” ฉวนหยางพูดขึ้นด้วยความยินดีว่า “ขอบคุณพระเจ้า คุณเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว จริงๆ แล้วในพันธสัญญาใหม่ มีเพียงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าและคำเผยพระวจนะในหนังสือวิวรณ์เท่านั้นที่เป็นพระวจนะของพระเจ้า ส่วนที่เหลือเป็นคำพูดของเหล่าสาวก พวกฟาริสี คนธรรมดาทั่วไป ทหาร และของมาร การที่บอกว่าทุกสิ่งในพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า ไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ?  นี่ไม่เป็นการดูหมิ่นพระเจ้าหรอกหรือ?”

หลังจากนี้ ฉวนหยางก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกบทตอนหนึ่ง “วันนี้ ผู้คนเชื่อว่าพระคัมภีร์คือพระเจ้า และพระเจ้าคือพระคัมภีร์  ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อเช่นกันว่าข้อความทั้งหมดในพระคัมภีร์เป็นพระวจนะทั้งหมดทั้งสิ้นที่พระเจ้าตรัส และว่าข้อความทั้งหมดนั้นพระเจ้าเป็นผู้ตรัส  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าคิดแม้กระทั่งว่า ถึงแม้ว่าหนังสือพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดหกสิบหกเล่มได้รับการเขียนขึ้นโดยผู้คน แต่หนังสือทุกเล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นบันทึกถ้อยดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่คือความเข้าใจที่บิดเบี้ยวของมนุษย์ และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างครบบริบูรณ์  อันที่จริงแล้ว นอกเหนือจากหนังสือการเผยพระวจนะแล้ว เนื้อหาส่วนใหญ่ของพันธสัญญาเดิมคือบันทึกทางประวัติศาสตร์  จดหมายฝากบางส่วนของพันธสัญญาใหม่มาจากประสบการณ์ของผู้คน และบางส่วนมาจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ตัวอย่างเช่น จดหมายฝากของเปาโลเกิดขึ้นจากงานของมนุษย์ จดหมายฝากเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผลจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทั้งหมดได้รับการเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักร และเป็นคำพูดเตือนสติและหนุนใจสำหรับพี่น้องชายหญิงของคริสตจักร  คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่พระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส—เปาโลไม่อาจพูดในนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ แล้วเขาก็ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรที่เขาจะมองเห็นนิมิตที่ยอห์นได้พบเห็น  จดหมายฝากของเขาเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักรเอเฟซัส โครินธ์ กาลาเทีย และคริสตจักรอื่นๆ ในเวลานั้น… หากผู้คนเห็นว่าจดหมายฝากหรือคำพูดเช่นของเปาโลเป็นถ้อยดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนมัสการคำพูดเหล่านั้นเป็นพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็สามารถพูดได้ว่าพวกเขาขาดวิจารณญาณแยกแยะมากเกินไปเท่านั้นเอง  หากพูดด้วยศัพท์ที่จริงจังขึ้นก็คือ นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การหมิ่นประมาทหรอกหรือ?  มนุษย์จะสามารถพูดแทนพระเจ้าได้อย่างไร?  แล้วผู้คนจะสามารถกราบไหว้ต่อหน้าบันทึกของจดหมายฝากของมนุษย์คนหนึ่ง และคำพูดที่เขาพูดเสมือนเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์หรือหนังสือจากสวรรค์ได้อย่างไร?  มนุษย์คนหนึ่งสามารถเปล่งพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไม่ต้องคิดมากหรือ?  มนุษย์จะสามารถพูดในนามของพระเจ้าได้อย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (3))  ยิ่งฟัง ผมก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น และผมก็คร่ำครวญว่า “ก่อนหน้านี้ ผมไม่เข้าใจบริบทที่เปาโลพูดคำเหล่านี้เลย ผมคิดว่าพระคัมภีร์ทั้งหมดได้รับการดลใจจากพระเจ้า และคำพูดทั้งหมดในนั้นคือพระวจนะของพระเจ้า และคิดว่าการเชื่อในพระคัมภีร์ก็คือการเชื่อในพระเจ้า การตีความแบบนั้นบิดเบี้ยวมาก!  ผมยืนกรานที่จะยึดคำพูดของผู้คนในพระคัมภีร์ว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า แล้วใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นรากฐานของความเชื่อ นั่นไม่ใช่การเบี่ยงเบนไปจากหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ?”

แล้วฉวนหยางก็สามัคคีธรรมว่า “พระคัมภีร์ก็เป็นเพียงหลักฐานแสดงถึงพระราชกิจของพระเจ้า เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ และเป็นบันทึกพระราชกิจของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ แล้วจะถูกยกขึ้นมาในระดับเดียวกับพระเจ้าได้ยังไงกัน?  ดังนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงตำหนิพวกฟาริสี โดยตรัสว่า ‘พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต(ยอห์น 5:39-40)  พระคัมภีร์ก็เป็นเพียงหลักฐานแสดงถึงพระเจ้าเท่านั้น ไม่ได้มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในนั้น มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ประทานชีวิตนิรันดร์ให้ผู้คนได้!” ผมจำได้ว่าญาติของผมก็ได้สามัคคีธรรมไว้ด้วยว่า จากการอ่านพระคัมภีร์ เราเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ เรารู้ว่าทุกสิ่งในจักรวาลถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงประกาศใช้ธรรมบัญญัติเพื่อนำมนุษยชาติ และเราควรดำเนินชีวิตบนโลกนี้อย่างไรและควรนมัสการพระเจ้าอย่างไร เรารู้ว่าบาปคืออะไร รู้ว่าผู้คนแบบไหนที่พระเจ้าทรงอวยพรหรือสาปแช่ง เรายังรู้ด้วยว่าเราควรสารภาพบาปและกลับใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไร รู้วิธีเป็นคนถ่อมใจ อดทน ให้อภัย และรู้วิธีแบกกางเขนและติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า เรามองเห็นความเมตตาและความรักไม่สิ้นสุดขององค์พระเยซูเจ้าที่มีต่อเรา และเข้าใจว่า มีเพียงการเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าและมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เท่านั้น ที่เราจะได้เพลิดเพลินในพระคุณและความจริงอันบริบูรณ์ของพระเจ้า แต่สำหรับเรื่องที่ว่าความจริงอะไรที่พระเจ้าจะทรงแสดงในยุคสุดท้าย พระเจ้าจะทรงพิพากษาและชำระความเสื่อมทรามของมนุษย์ให้บริสุทธิ์อย่างไร และจะแก้รากเหง้าของบาปในตัวเราอย่างไรนั้น พวกเราไม่รู้อะไรเลยสักนิด เพราะความจริงเหล่านี้ไม่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ บนรากฐานแห่งพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย ได้ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า ทรงแสดงความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ และทรงเผยอุปนิสัยและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามออกมา เพื่อที่ความเสื่อมทรามของเราจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และเราจะกลายเป็นผู้ที่รักและนบนอบพระเจ้า และทำให้เราตระหนักรู้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม และไม่อาจก้าวล่วงได้ พระวจนะเหล่านี้คือหนทางที่แท้จริงแห่งชีวิตนิรันดร์ และเป็นการลุล่วงถ้อยดำรัสขององค์พระเยซูเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบที่ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)  หนังสือ “พระวจนะทรงปรากฏในเนื้อหนัง” เล่มนี้ ก็คือพระวจนะที่ถูกเผยไว้ในวิวรณ์ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสแก่คริสตจักรทั้งมวล นี่คือม้วนหนังสือที่พระเมษโปดกทรงเปิดออก จากการได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้เชื่อแท้จริงในพระเจ้าจากโลกศาสนา จะจำพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ หันกลับมาหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และติดตามรอยพระบาทของพระเมษโปดก

หลังจากญาติของผมพูดเรื่องนี้ ฉวนหยางก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกบทตอนหนึ่ง “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ถาวรและเป็นนิรันดร์  ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  หากเจ้าไม่แสวงหาทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการเห็นชอบจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์  พวกที่ถูกควบคุมโดยข้อบังคับทั้งหลาย โดยคำพูด และโดยโซ่ตรวนแห่งประวัติศาสตร์จะไม่มีทางสามารถได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์  นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกยึดถือไว้มาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์  ผู้ที่ไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วยน้ำแห่งชีวิต จะยังคงเป็นซากศพ เป็นของเล่นของซาตาน และบุตรแห่งนรกไปตลอดกาล  เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะเห็นพระเจ้าได้อย่างไร?  เจ้าเพียงแค่พยายามยึดติดกับอดีต เพียงพยายามหยัดยืนและรักษาสิ่งต่างๆ อย่างที่เป็น และไม่พยายามเปลี่ยนสถานะปัจจุบันและละทิ้งประวัติศาสตร์ไปเสีย ดังนั้นเจ้าจะไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าตลอดเวลาหรอกหรือ? ขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้านั้นมากมายมหาศาลและมีฤทธานุภาพ ดั่งคลื่นที่ถาโถมและฟ้าที่ร้องคำรามต่อเนื่อง—กระนั้นเจ้าก็นั่งรอคอยการทำลายล้างอย่างนิ่งเฉย เกาะติดอยู่กับความโง่เขลาของเจ้าและไม่ทำอะไรเลย  อย่างนี้แล้ว เจ้าจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นใครสักคนที่ติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกได้อย่างไร?  เจ้าจะสามารถแก้ต่างให้พระเจ้าที่เจ้ายึดติดนั้นว่าเป็นพระเจ้าที่มีความใหม่และไม่เคยเก่าอยู่เสมอได้อย่างไร?  และคำพูดทั้งหลายจากบรรดาหนังสือที่เก่าจนเหลืองคร่ำคร่าของเจ้าจะสามารถหอบหิ้วเจ้าข้ามเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร?  คำพูดเหล่านั้นจะสามารถนำทางเจ้าในการแสวงหาขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร?  และคำพูดเหล่านั้นจะสามารถพาเจ้าขึ้นไปสู่สวรรค์ได้อย่างไร?  สิ่งที่เจ้าถือไว้ในมือของเจ้านั้นคือคำพูดที่สามารถให้ได้แต่เพียงการปลอบใจชั่วคราว ไม่ใช่ความจริงที่สามารถให้ชีวิตแก่เจ้าได้  คำพูดในบทคัมภีร์ทั้งหลายที่เจ้าอ่านสามารถประเทืองปลายลิ้นของเจ้าได้เท่านั้น และไม่ใช่คำพูดแห่งปรัชญาที่สามารถช่วยให้เจ้ารู้จักชีวิตมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับเส้นทางที่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความเพียบพร้อม  ความคลาดเคลื่อนนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุให้เจ้าพิจารณาไตร่ตรองหรอกหรือ?  มันไม่ได้ทำให้เจ้าตระหนักถึงความล้ำลึกต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายในหรอกหรือ?  เจ้าสามารถพาตัวเจ้าเองสู่สวรรค์เพื่อพบพระเจ้าด้วยตัวของเจ้าเองได้หรือ?  หากปราศจากการเสด็จมาของพระเจ้า เจ้าจะสามารถพาตัวเจ้าเองเข้าสู่สวรรค์เพื่อชื่นชมความสุขในครอบครัวกับพระเจ้าได้หรือ?  เจ้ายังคงฝันกลางวันอยู่ในขณะนี้หรือไม่?  เช่นนั้นแล้ว เราแนะนำให้เจ้าหยุดฝันแล้วมองดูว่าใครที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนี้ ดูว่าใครที่กำลังดำเนินงานในการช่วยมนุษย์ให้รอดระหว่างยุคสุดท้ายอยู่ในขณะนี้  หากเจ้าไม่ทำ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่มีวันได้รับชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)  หลังจากได้ยินพระวจนะเหล่านี้ ผมก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง พระราชกิจของพระเจ้านั้นมุ่งหน้าต่อไปอยู่เสมอ และพระวจนะของพระเจ้าก็ไร้ขอบเขต พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าไม่อาจถูกตีกรอบไว้แค่ในพระคัมภีร์ ถ้าผมยังยึดติดกับทรรศนะทางศาสนาของตัวเอง สุดท้ายคนที่จะสูญเสียก็คือผมเอง ผมนึกถึงเรื่องที่ตัวเองสั่งสมความรู้ในพระคัมภีร์ไว้มากมายตลอดหลายปีที่เป็นคริสเตียน แต่ผมแทบไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงหรือพระเจ้าเลย ในทางตรงกันข้าม ผมยิ่งกลายเป็นคนโอหังขึ้นเรื่อยๆ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว แต่ผมไม่เพียงไม่สืบค้น แต่ถึงกับใช้พระวจนะในพระคัมภีร์มาต่อต้านและตัดสินการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกด้วย ผมก็เหมือนกับพวกฟาริสีที่ไม่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้า ผมช่างตาบอดและไม่รู้จักพระเจ้าโดยแท้จริง!  ผมไม่เพียงแต่ยึดติดในมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง แต่ยังกีดกั้นไม่ให้คนอื่นสืบค้นอีกด้วย นั่นไม่ใช่การขัดขวางหรอกหรือ?  หากคนอื่นๆ ไม่อาจต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือเดินตามพระราชกิจใหม่ของพระองค์ พวกเขาก็จะสูญเสียโอกาสในการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ผมกำลังลากพวกเขาลงนรกและไม่ยอมรับพระเจ้า!  ผมได้ลงมือทำความชั่วไว้ขนาดนี้ แต่พระเจ้าก็ยังทรงแสดงความเมตตาแก่ผม และให้ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ นี่คือความรอดของพระเจ้าโดยแท้จริง!  หลังจากนั้น พวกเราก็สามัคคีธรรมเรื่องพระคัมภีร์กันต่อ เรายังพูดถึงเหตุผลที่คริสตจักรในยุคพระคุณแห้งเหือด พูดเรื่องวิธีที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษยชาติผ่านสามระยะของพระราชกิจ และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย

ในช่วงเวลาหลังจากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากมาย ยิ่งอ่านผมก็ยิ่งมั่นใจว่านี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา และทรงเป็นพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย แท้จริงแล้ว หนทางที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่อาจหาพบได้ในพระคัมภีร์ มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้นที่ประทานเส้นทางแห่งชีวิตนิรันดร์ให้มนุษย์ได้ ผมยินดียอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ต่อมาภรรยาของผมก็ยอมรับด้วย เราทั้งสองช่วยกันเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และนำสมาชิกที่ยึดมั่นในความเชื่อจากคริสตจักรของเราหลายคนเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า ขอบพระคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า:  63. รายงานที่ให้ผลคุ้มค่า

ถัดไป:  66. การกลับใจของคุณหมอ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger