92. การเติบโตในความล้มเหลวและอุปสรรค

โดยชีล่า ประเทศฟิลิปปินส์

ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในเดือนธันวาคม ปี 2020 ไม่กี่เดือนต่อมา ฉันก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร คริสตจักรมีงานมากมายที่ต้องทำและมีปัญหาหลายอย่างที่ต้องแก้ไข ฉันทุ่มเทให้กับงานนี้อย่างกระตือรือร้น หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็เริ่มคุ้นเคยกับงานของคริสตจักรมากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงประสบปัญหามากมาย ผู้มาใหม่จำนวนมากไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำ บางคนก็ได้รับผลกระทบจากข่าวลือทางอินเทอร์เน็ต บางคนก็ไม่เข้าใจความจริงของนิมิตอย่างชัดเจนและมีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข และบางคนก็ไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำได้เพราะยุ่งกับงานเกินไป เมื่อเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ฉันก็พยายามอย่างหนักที่จะสามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและช่วยแก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเขา แต่ปัญหาของพวกเขาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ฉันรู้สึกท้อแท้ใจ ฉันถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมงานหนักทั้งหมดของฉันถึงยังไม่เกิดผล ทำไมพระเจ้าไม่ทรงอวยพรคริสตจักรของเรา?  พี่น้องชายหญิงมีปัญหามากมาย และการสามัคคีธรรมของฉันกับพวกเขาก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า บางทีฉันอาจจะไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำก็ได้?  ฉันอดไม่ได้ที่จะตำหนิตัวเองว่า ฉันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าฉันรับผิดชอบและลาออก คนอื่นก็จะได้รับใช้ในฐานะผู้นำ และงานก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้น ฉันเริ่มรู้สึกคิดลบและเฉื่อยชาในหน้าที่ของตัวเอง เพียงเพื่อรอที่จะถูกปลด ฉันถึงกับคิดว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมความลำบากยากเย็นเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อเผยฉัน เพื่อทำให้ฉันล้มเหลว และพระองค์ก็อาจจะทรงทอดทิ้งฉันไปแล้ว ความคิดนั้นทำให้ฉันกลัว พระเจ้าทรงทอดทิ้งฉันไปแล้วจริงๆ หรือ?  ฉันอธิษฐานและแสวงหา แต่ก็ยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ความคิดที่ว่าพระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งฉันยังคงผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ฉันรู้สึกคิดลบ เหนื่อยล้า และอ่อนแออยู่ตลอดเวลา ฉันกลัวมาก และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว

ในเวลานั้น คริสตจักรขาดหัวหน้าทีมอยู่สองสามคน ผู้ดูแลจึงแนะนำผู้มาใหม่บางคนให้กับฉัน ฉันก็แค่แต่งตั้งพวกเขาโดยตรงโดยไม่ได้ตรวจสอบอะไรมากนัก ในตอนแรก ทุกคนบอกว่าอยากรับหน้าที่ แต่พอเริ่มอย่างเป็นทางการ คนหนึ่งก็บอกว่าต้องทำงานและยุ่งมาก จึงไม่เหมาะกับงานนี้ และอีกคนหนึ่งก็มาเข้าร่วมการชุมนุมสายเพราะเรื่องครอบครัว จึงไม่สามารถทำงานนี้ได้เช่นกัน สุดท้ายฉันจึงตัดสินว่าในตอนนี้พวกเขายังไม่เหมาะที่จะรับการบ่มเพาะให้เป็นผู้นำทีม และทำได้เพียงแค่เลือกคนอื่นมาทำงานเหล่านี้ ฉันพยายามอย่างหนักเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านี้ที่ฉันเผชิญในงาน แต่ก็ไม่เห็นผลใดๆ อยู่ช่วงหนึ่ง ในตอนนั้น ฉันไม่สามารถแบกรับความล้มเหลวทั้งหมดนี้ได้จริงๆ ฉันรู้สึกคิดลบ และถึงกับกลัวที่จะเผชิญหน้ากับวันใหม่ทุกวันที่กำลังจะมาถึง ฉันไม่อยากทำงานคริสตจักรอีกต่อไปแล้ว เพราะฉันทำงานมามาก แต่ทำอะไรไม่สำเร็จเลย ฉันคิดว่ากำลังเผชิญสถานการณ์นี้เพราะพระเจ้าทรงต้องการเผยตัวเองว่าไร้ความสามารถ แต่ฉันก็ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในสภาวะแบบนั้น ฉันไม่อยากถูกเผยและถูกกำจัดออกไปเพราะไม่เห็นผลในหน้าที่ของตัวเอง

ครั้งหนึ่งในการเฝ้าเดี่ยว ฉันบังเอิญเจอหัวข้อหนึ่งใน “65. หลักธรรมเกี่ยวกับการยอมรับความรับผิดชอบและการลาออก” จาก 170 หลักธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริง ที่กล่าวว่า “ผู้นำหรือคนทำงานเทียมเท็จคนใดที่ไม่ยอมรับความจริง ที่ไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และที่ได้สูญสิ้นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เป็นเวลานาน ต้องยอมรับความรับผิดชอบและลาออก”  พอได้อ่านข้อความนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกคิดลบ ฉันควรทำยังไงดี?  ฉันไม่ได้แก้ไขปัญหาใดๆ ของคริสตจักรเลย งั้นฉันก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันควรรับผิดชอบและลาออกเพื่อให้คนที่มีความสามารถมาเป็นผู้นำไหม?  ฉันทำงานคริสตจักรมาสามเดือนแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในคริสตจักร ยิ่งไปกว่านั้น ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและไม่มีความคืบหน้าใดๆ ฉันถึงกับเข้าใจพระเจ้าผิดไป ฉันกังวลว่าคนอื่นจะคิดว่าฉันคิดลบเกินไป และฉันก็กลัวว่าพวกเขาจะตำหนิฉันที่คิดจะลาออก

ครั้งหนึ่งในการชุมนุม ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “เจ้าเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง  เจ้าต้องผ่านความล้มเหลวมาหลายครั้ง ห้วงเวลาแห่งความฉงนสนเท่ห์มากหลาย การตัดสินที่ผิดพลาดมากมาย และความเบี่ยงเบนอีกมากมาย  นี่สามารถเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า จุดอ่อนและความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความไม่รู้เท่าทันและความเขลาของเจ้าอย่างเต็มที่ ทำให้เจ้าสามารถตรวจสอบตนเองอีกครั้งและรู้จักตนเอง ให้เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับมหิทธานุภาพและพระปัญญาอันเต็มเปี่ยมของพระเจ้า และพระอุปนิสัยของพระองค์  เจ้าจะได้รับสิ่งที่เป็นบวกจากพระองค์ และมาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง  เจ้าจะมีประสบการณ์มากมายที่ไม่เป็นไปตามที่เจ้าปรารถนา ซึ่งเจ้าจะรู้สึกว่าไร้พลังต่อต้าน  เมื่อพบเจอสิ่งเหล่านี้ เจ้าต้องแสวงหาและรอคอย เจ้าต้องได้รับคำตอบในแต่ละเรื่องจากพระเจ้า และเข้าใจแก่นแท้เบื้องหลังแต่ละเรื่องและแก่นแท้ของบุคคลแต่ละจำพวกจากพระวจนะของพระองค์  นี่คือวิธีที่บุคคลปกติธรรมดาประพฤติตน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า)  พระเจ้าทรงเปี่ยมพระปัญญาอย่างเหลือเชื่อ ฉันได้รับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ ฉันได้รู้ว่าทุกคนต้องผ่านความล้มเหลวและอุปสรรคในหน้าที่ของตัวเอง และเจตนารมณ์ของพระเจ้าคือให้ฉันแสวงหาความจริงผ่านเรื่องทั้งหมดนี้ เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน ฉันเผชิญความลำบากยากเย็นในหน้าที่และผ่านประสบการณ์ความล้มเหลว แต่ฉันก็ไม่ได้แสวงหาความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันเอาแต่คิดเรื่องลาออกอยู่ตลอด เพราะรู้สึกว่าไม่เห็นผลใดๆ ในหน้าที่ หรือไม่ได้ทำสิ่งที่ผู้นำควรทำ ฉันถึงกับไม่กล้าบอกคนอื่นเรื่องสถานการณ์ที่แท้จริงของตัวเอง ฉันช่างเขลาจริงๆ ฉันไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือว่าทำไมพระเจ้าถึงทรงปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับฉัน พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเห็นว่า ฉันเป็นเพียงคนธรรมดา จึงเป็นเรื่องปกติที่ฉันจะประสบความลำบากยากเย็นและความล้มเหลวในหน้าที่ เจตนารมณ์ของพระเจ้าก็อยู่ในนั้น ดังนั้น ฉันจึงเปิดใจกับพี่น้องชายหญิงเรื่องสภาวะล่าสุดของฉัน และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ฉันบอกพวกเขาด้วยว่าเคยมีความคิดที่จะรับผิดชอบและลาออก พวกเขาไม่ได้ดูถูกฉัน แต่กลับช่วยเหลือและให้กำลังใจฉัน โดยสามัคคีธรรมกับฉันถึงพระวจนะของพระเจ้า ฉันซาบซึ้งใจมาก

พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฉันฟังดังนี้  พระเจ้าตรัสว่า “ในระหว่างที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะล้มเหลว ล้มลง ถูกตัดแต่ง หรือถูกเผยตัวตนสักกี่ครั้งก็ตาม เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี  ไม่ว่าเจ้าจะถูกตัดแต่งอย่างไร หรือจะโดยผู้นำ คนทำงาน หรือพี่น้องชายหญิงของเจ้า เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งดี  เจ้าต้องจดจำไว้ดังนี้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะทนทุกข์มากเพียงใด แท้จริงแล้วเจ้ากำลังได้ประโยชน์  ผู้ใดก็ตามที่มีประสบการณ์ย่อมสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้  ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การถูกตัดแต่งหรือเผยตัวย่อมเป็นเรื่องดีเสมอ  นี่ไม่ใช่การกล่าวโทษ  นี่คือความรอดจากพระเจ้าและเป็นโอกาสดีที่สุดที่เจ้าจะได้รู้จักตัวเอง  นี่สามารถปรับเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตของเจ้า  หากไม่มีการตัดแต่งหรือเผยตัวเจ้าออกมา เจ้าจะไม่มีทั้งโอกาส ภาวะ อีกทั้งบริบทที่จะสามารถเข้าถึงความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเจ้า  หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง และสามารถขุดคุ้ยสิ่งเสื่อมทรามที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้าออกมาได้ หากเจ้าสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นการดี นี่ย่อมแก้ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตแล้ว และมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  การที่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้อย่างแท้จริงนั้น เป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะกลับตัวเสียใหม่และกลายเป็นคนใหม่ มันเป็นโอกาสเหมาะที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะได้มาซึ่งชีวิตใหม่  ทันทีที่เจ้ารู้จักตัวเจ้าเองอย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถเห็นได้ว่าเมื่อความจริงกลายเป็นชีวิตของคนเรา มันเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างแท้จริง และเจ้าจะกระหายความจริง ปฏิบัติความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริง  นี่ช่างเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้!  หากเจ้าสามารถคว้าโอกาสเหมาะนี้ และทบทวนตัวเจ้าเองอย่างจริงจังตั้งใจ และได้รับความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวกับตัวเจ้าเองเมื่อใดก็ตามที่เจ้าล้มเหลวหรือสะดุด เช่นนั้นแล้ว ในท่ามกลางความเป็นลบและความอ่อนแอ เจ้าจะสามารถกลับขึ้นมายืนได้  ทันทีที่เจ้าได้ข้ามธรณีประตูนี้ไปแล้ว เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะสามารถก้าวครั้งใหญ่ไปข้างหน้าและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว)  “ความรอดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์คือความรอดของบรรดาผู้ที่รักความจริง เป็นความรอดของส่วนที่มีเจตจำนงและความแน่วแน่ในตัวพวกเขา และความรอดของส่วนที่โหยหาความจริงและความยุติธรรมอยู่ในหัวใจของพวกเขา ความแน่วแน่ของคนคนหนึ่งคือหัวใจของพวกเขาในส่วนที่โหยหาความยุติธรรม ความดีงาม และความจริง อีกทั้งครองมโนธรรม  พระเจ้าทรงช่วยผู้คนส่วนนี้ให้รอด และโดยผ่านทางการนี้ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาอาจเข้าใจและได้รับความจริง เพื่อที่ความเสื่อมทรามของพวกเขาอาจได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาอาจได้รับการเปลี่ยนแปลง  หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายในตัวเอง เจ้าก็ไม่สามารถที่จะได้รับการช่วยให้รอดได้… เหตุใดจึงมีการกล่าวว่าเปโตรคือดอกผลหนึ่ง?  เพราะมีสิ่งทั้งหลายที่มีคุณค่าในตัวเขา สิ่งทั้งหลายที่คู่ควรแก่การทำให้เพียบพร้อม  เขาแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง มีปณิธาน และมีเจตจำนงที่มั่นคง เขามีเหตุผล เต็มใจที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก และในหัวใจของเขาก็รักความจริง เขาไม่ปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านเลยไป และเขาสามารถเรียนรู้บทเรียนจากทุกสิ่งทุกอย่าง  ทั้งหมดนี้คือจุดแข็ง  หากเจ้าไม่มีจุดแข็งเหล่านี้เลยย่อมหมายถึงความเดือดร้อน  การที่เจ้าจะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดย่อมจะไม่ง่าย  หากเจ้าไม่รู้วิธีรับประสบการณ์หรือหากเจ้าไม่มีประสบการณ์ เจ้าก็จะไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้อื่นได้  เนื่องจากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าได้ เจ้าไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าเสียความรู้สึกและพลันน้ำตาร่วงยามที่เจ้าเผชิญปัญหา และเจ้ากลายเป็นคิดลบและวิ่งหนีเมื่อเจ้าทนทุกข์กับการติดขัดเล็กน้อยบางอย่าง และเจ้าไม่สามารถปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะได้รับการเข้าสู่ชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  หลังจากอ่าน พี่น้องหญิงคนหนึ่งก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมกับฉันว่า “ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอุปสรรคและความล้มเหลวแบบไหน เราควรอธิษฐานและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่ใช่ละทิ้งความจริงและหน้าที่ของเรา การละทิ้งหน้าที่ไม่ใช่เส้นทางในการแก้ไขปัญหา ผ่านความลำบากยากเย็นและอุปสรรคที่เราเผชิญในหน้าที่เท่านั้น ความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของเราถึงจะถูกเผยออกมา และเราถึงจะรู้จักตัวเองได้อย่างแท้จริง หากปราศจากประสบการณ์เหล่านั้น ก็ไม่มีทางที่เราจะเห็นความเสื่อมทรามและสิ่งที่เราขาดไปได้ แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?  ดังนั้น การมีประสบการณ์กับความล้มเหลวหรืออุปสรรคจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย นั่นคือเวลาที่เราควรแสวงหาความจริงและรับบทเรียน เราจะเข้าใจพระเจ้าผิดไม่ได้ ถ้าเราแค่ลาออก แค่ละทิ้งหน้าที่เมื่อเราเผชิญกับความลำบากยากเย็น เราจะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความรอดได้อย่างไร?  เราจะมีคำพยานอะไร?  พระเจ้าไม่ได้ทรงขออะไรเรามากนัก ถ้าเรามีความตั้งใจแน่วแน่เมื่อเผชิญกับปัญหาและความยากลำบาก และอธิษฐานและแสวงหาความจริงอย่างแท้จริง พระเจ้าก็จะทรงชี้แนะและช่วยเหลือเรา” การอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วได้ฟังการสามัคคีธรรมของพี่น้องหญิงคนนั้นให้ความรู้แจ้งแก่ฉันมาก ฉันตระหนักว่าการมีประสบการณ์กับความล้มเหลวและอุปสรรคคือความรักของพระเจ้า และเป็นโอกาสที่ดีให้ฉันได้แสวงหาความจริงและรับบทเรียน ฉันนึกถึงการที่เปโตรได้รับประสบการณ์กับบททดสอบ การถลุง อุปสรรค และความล้มเหลวมากมายตลอดชีวิตของเขา บางครั้งเขาก็ทนทุกข์กับความอ่อนแอทางเนื้อหนัง แต่เขาก็ไม่เคยสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า เขายังคงไล่ตามเสาะหาความจริง แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และชดเชยสิ่งที่เขาขาดไป ในที่สุด เขาก็เข้าใจความจริงและรู้จักพระเจ้า และสามารภนบนอบพระเจ้าและรักพระเจ้า ฉันควรจะแข็งแกร่งและแน่วแน่เหมือนเปโตร อธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์เมื่อฉันเผชิญกับอุปสรรคและความล้มเหลว ทบทวนสิ่งที่ฉันขาดไป แทนที่จะเข้าใจพระเจ้าผิดและโทษพระองค์

ครั้งหนึ่งในการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ดีขึ้น  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจพระทัยของพระองค์  พวกเขาต้องไม่เข้าใจพระเจ้าผิด  อันที่จริงแล้วมีหลายกรณีที่ผู้คนเกิดความกังวลเนื่องจากผลประโยชน์ส่วนตัวของตนเอง  กล่าวโดยทั่วไปแล้วก็คือเป็นความกลัวว่าพวกเขาจะไม่มีจุดจบ  พวกเขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้นหากพระเจ้าทรงเผยฉันออกมา กำจัดฉันออกไป และปฏิเสธฉัน?’  นี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิด เหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดาด้านเดียวของเจ้าเท่านั้น  เจ้าต้องคิดให้ออกว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร  เมื่อพระองค์ทรงเผยผู้คนออกมา นั่นไม่ใช่เพื่อการกำจัดพวกเขาออกไป  ผู้คนถูกเผยออกมาเพื่อเปิดโปงข้อบกพร่องและความผิดพลาดของพวกเขา รวมทั้งแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา เพื่อทำให้พวกเขารู้จักตนเองและกลายเป็นสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง เพราะเหตุผลนี้ การเผยผู้คนออกมาจึงเป็นไปเพื่อช่วยให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต  หากไม่มีความเข้าใจอันถ่องแท้ ผู้คนก็มีแนวโน้มที่จะตีความพระเจ้าผิดไป อีกทั้งกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ  พวกเขาอาจถึงกับยอมจำนนให้แก่ความสิ้นหวัง  ในข้อเท็จจริงนั้น การถูกพระเจ้าทรงเผยออกมาไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป  นี่คือการช่วยให้เจ้ารู้จักความเสื่อมทรามของตัวเองและทำให้เจ้ากลับใจ  บ่อยครั้งเนื่องจากผู้คนเป็นกบฏ และไม่เสาะแสวงที่จะหาทางออกในความจริงเมื่อพวกเขาเผยความเสื่อมทรามออกมา พระเจ้าจึงต้องทรงใช้การบ่มวินัย  และดังนั้นบางครั้งพระองค์จึงทรงเผยผู้คนออกมา เปิดโปงความอัปลักษณ์และความน่าเวทนาของพวกเขา ทำให้พวกเขาได้รู้จักตนเอง ซึ่งช่วยให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต  การเผยผู้คนออกมามีความหมายโดยนัยที่แตกต่างกันอยู่สองประการคือ สำหรับคนชั่ว การถูกเผยออกมาย่อมหมายความว่าพวกเขาถูกกำจัด  สำหรับผู้ที่สามารถยอมรับความจริง การถูกเผยออกมาคือการเตือนใจและการตักเตือน ทำให้พวกเขาทบทวนตนเอง ให้เห็นสภาวะที่แท้จริงของตน เลิกเอาแต่ใจและวู่วาม เพราะการทำเช่นนี้ต่อไปย่อมจะอันตราย  การเผยผู้คนออกมาในหนทางนี้เป็นการเตือนใจของพวกเขา หาไม่แล้วยามที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็จะเกิดการเลอะเลือนและสะเพร่าไม่จริงจังกับสิ่งทั้งหลาย กลายเป็นพึงพอใจกับผลลัพธ์เพียงน้อยนิด และคิดไปว่าพวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามมาตรฐานที่ยอมรับได้แล้ว—ขณะที่ในข้อเท็จจริงนั้น หากโดยสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ พวกเขายังห่างไกลอยู่มาก แต่ทว่าพวกเขายังคงชะล่าใจและคิดไปว่าตัวเองกำลังทำได้ดี  ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงบ่มวินัย เตือนให้ระวัง และเตือนใจของผู้คน  บางครั้งพระเจ้าทรงเผยความอัปลักษณ์ของพวกเขาออกมา—ซึ่งใช้เป็นการเตือนใจอย่างชัดแจ้ง  ในช่วงเวลาเช่นนี้ เจ้าควรทบทวนตนเองว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเช่นนี้ยังไม่เพียงพอ มีความเป็นกบฏอยู่ภายในตัวเจ้า มีองค์ประกอบที่เป็นลบมากเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นสุกเอาเผากิน และหากเจ้ายังคงไม่กลับใจ เจ้าก็ควรถูกลงโทษ  เมื่อพระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้าหรือเผยเจ้าออกมา นี่ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป  เรื่องนี้ควรถูกจัดการอย่างถูกต้อง  ต่อให้เจ้าถูกกำจัดออกไป เจ้าก็ควรยอมรับและนบนอบการถูกกำจัดออกไป และรีบคิดทบทวนแล้วกลับใจ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า จุดประสงค์ของพระองค์ในการเผยผู้คนนั้นไม่ใช่เพื่อกำจัดพวกเขาออกไป แต่เพื่อให้พวกเขารู้ถึงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตน พวกเขาจะได้สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตนและก้าวหน้าในชีวิตได้เร็วขึ้น ฉันอดไม่ได้ที่จะทบทวนตัวเอง เมื่อฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นหรือปัญหาใดๆ ฉันไม่ได้คิดคำนึงหรือแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างขยันขันแข็ง และก็ไม่ได้ทบทวนตัวเองเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาของตัวเอง ฉันแค่คิดว่าพระเจ้าทรงใช้สถานการณ์เหล่านี้เพื่อเผยฉันและกำจัดฉันออกไป ว่าฉันไม่ใช่ผู้นำที่เหมาะสมและฉันควรรับผิดชอบและลาออก ฉันกำลังเข้าใจพระเจ้าผิด แล้วฉันก็ตระหนักว่า ปัญหาและความลำบากยากเย็นมากมายในงานของฉันยังไม่ได้รับการแก้ไข ส่วนใหญ่เป็นเพราะฉันไม่ได้ใส่ใจในหน้าที่ของตัวเอง ฉันรู้สึกเสมอว่ามีเรื่องมากมายที่ต้องทำ และฉันไม่มีทิศทางหรือเป้าหมายใดๆ ในขณะที่ทำงาน ฉันแค่ทำอะไรก็ตามที่นึกขึ้นมาได้โดยไม่ได้แสวงหาผลลัพธ์ใดๆ ผู้มาใหม่บางคนถูกข่าวลือชักพาให้หลงผิด และฉันก็ไม่ได้แสวงหาว่าควรสามัคคีธรรมความจริงด้านไหนเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะข่าวลือเหล่านั้นและตั้งมั่นในหนทางที่แท้จริงได้ เมื่อบ่มเพาะผู้คน ฉันไม่ได้แสวงหาหลักธรรมที่สอดคล้องกัน หรือทำความเข้าใจสภาพการณ์ที่แท้จริงของพวกเขาอย่างชัดเจน แต่แค่หลับหูหลับตาทำ ผลก็คือ ฉันไม่ประสบความสำเร็จอะไรในด้านนั้นเช่นกัน ในการให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันไม่ได้คิดล่วงหน้าว่าสามารถสามัคคีธรรมความจริงด้านไหนได้บ้างเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขา ฉันจึงไม่เห็นผลที่แท้จริงใดๆ ในงานนั้นเช่นกัน แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนว่าฉันทำงานหนัก แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจและไม่ได้สรุปปัญหาในการทำงานอย่างทันท่วงที ซึ่งหมายความว่าไม่มีอะไรสำเร็จเลย ยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่เพียงล้มเหลวในการทบทวนและเข้าใจตัวเอง แต่ฉันล้มเหลวในการแสวงหาความจริงที่ฉันควรเข้าสู่ด้วย ตรงกันข้าม ฉันกลับคาดเดาไปเองว่าพระเจ้าทรงตั้งใจเผยฉัน ทำให้ฉันดูแย่ ฉันบ่นอยู่เสมอ และไม่อยากเผชิญกับความล้มเหลวและอุปสรรค แต่แค่อยากจะทำงานสบายๆ อยากให้ทุกอย่างราบรื่นอยู่เสมอ ฉันเข้าใจพระเจ้าผิดและโทษพระองค์เมื่อพบความลำบากยากเย็นแม้เพียงเล็กน้อย ฉันจะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้อย่างไร?  ฉันช่างเป็นกบฏและไร้เหตุผลสิ้นดี นั่นไม่ใช่วิธีที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรกระทำ เมื่อตระหนักสิ่งนี้ ฉันก็รู้สึกเสียใจมาก และอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงจัดเตรียมสถานการณ์นี้ขึ้นมาเพื่อฝึกฝนข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์เติบโตในชีวิต แต่ข้าพระองค์กลับไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ เข้าใจพระองค์ผิดไป ข้าพระองค์ช่างเป็นกบฏเสียจริง โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและชี้แนะข้าพระองค์ และช่วยให้ข้าพระองค์เข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองด้วยเถิด”

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งที่ช่วยให้ฉันเข้าใจตัวเอง  พระเจ้าตรัสว่า “เรามีความพอใจในบรรดาผู้ที่ไม่ระแวงผู้อื่น และเราชอบบรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงอย่างไม่ลังเล เราแสดงความใส่ใจอย่างมากต่อผู้คนสองประเภทนี้ ด้วยเหตุที่ในสายตาของเราพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์  หากเจ้าเป็นคนหลอกลวง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะระมัดระวังและมีความระแวงในตัวผู้คนและเรื่องต่างๆ ทั้งมวล และด้วยเหตุนี้ความเชื่อของเจ้าในเราย่อมจะสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งความระแวง  เราไม่มีวันสามารถรับรู้ความเชื่อเช่นนั้นได้  เมื่อขาดความเชื่อที่แท้จริง เจ้าก็ยิ่งไร้ซึ่งความรักที่แท้จริงขึ้นไปอีก  และหากเจ้ามีแนวโน้มที่จะสงสัยในพระเจ้าและคาดเดาพระองค์ตามอำเภอใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าย่อมเป็นผู้ที่หลอกลวงที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งมวล  เจ้าคาดเดาว่าพระเจ้าสามารถเป็นเช่นมนุษย์ได้หรือไม่ กล่าวคือ มีบาปซึ่งไม่สามารถอภัยให้ได้ มีลักษณะนิสัยที่ใจแคบ ไร้ซึ่งความเที่ยงธรรมและเหตุผล ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรม หมกมุ่นในยุทธวิธีที่ชั่วร้าย ทรยศและเจ้าเล่ห์ พอใจในความชั่วและความมืด เป็นต้น  เหตุผลที่ผู้คนมีความคิดเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาไร้ซึ่งความรู้ในพระเจ้าแม้แต่เพียงเล็กน้อยหรอกหรือ?  ความเชื่อเช่นนั้นไม่ต่างอะไรจากบาป!  มีกระทั่งบางคนที่เชื่อว่าบรรดาผู้ที่ทำให้เราพอใจก็คือบรรดาผู้ที่ยกยอปอปั้นและเลียแข้งเลียขานั่นเอง และเชื่อว่าบรรดาผู้ที่ขาดทักษะต่างๆ เช่นนั้นจะไม่ได้รับการต้อนรับในพระนิเวศของพระเจ้า และจะสูญเสียที่ของพวกเขาที่นั่น  นี่คือความรู้เพียงอย่างเดียวที่พวกเจ้าได้รับเอาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือ?  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าได้รับไว้หรือ?  และความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับเราไม่ได้หยุดที่ความเข้าใจผิดต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือการที่พวกเจ้าหมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าและกล่าวร้ายสวรรค์  นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่า ความเชื่อเช่นเดียวกับของพวกเจ้านั้นมีแต่จะทำให้พวกเจ้าไถลห่างจากเรามากขึ้นและอยู่ในสภาวะของการต่อต้านเรามากขึ้นเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก)  เมื่อเผชิญกับการเผยจากพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ละอายใจมาก ฉันสงสัยและเข้าใจพระเจ้าผิดเมื่อเผชิญกับความล้มเหลวและอุปสรรค โดยคิดว่าพระองค์ทรงเย็นชาและไร้หัวใจเหมือนมนุษย์ ฉันคิดว่าเมื่อพระเจ้าทรงต้องการใช้ใครสักคน พระองค์จะทรงอนุญาตให้พวกเขาชื่นชมยินดีกับพระคุณของพระองค์ แต่ไม่เช่นนั้น พระองค์จะทรงกำจัดพวกเขาออกไป เขี่ยพวกเขาทิ้งและไม่สนใจพวกเขา ฉันคาดเดาและสงสัยพระเจ้าเพราะความคิดประเภทนี้ ฉันช่างหลอกลวงเสียจริง!  ฉันเป็นผู้เชื่อมาไม่นาน ความจริงที่ฉันเข้าใจก็มีจำกัด และฉันก็มีข้อบกพร่องมากมาย แต่คริสตจักรก็ยังคงบ่มเพาะฉันให้เป็นผู้นำ ให้โอกาสฉันได้ปฏิบัติ เพื่อที่ฉันจะได้เรียนรู้ความจริงให้เร็วที่สุด และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เมื่อฉันไม่ใส่ใจในหน้าที่มากพอ ซึ่งทำให้ขาดความสำเร็จ คริสตจักรก็ยังไม่ปลดฉัน คนอื่นๆ ก็ยังคงช่วยเหลือและให้กำลังใจฉัน พวกเขาสามัคคีธรรมกับฉันถึงพระวจนะของพระเจ้า ชี้แนะฉันให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและรู้ถึงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตัวเอง แต่ฉันกลับระแวดระวังพระเจ้า สงสัยพระองค์ นั่นแสดงถึงความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าหรือ?  ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง โดยทำตามคำพูดเยี่ยงมารของซาตานอยู่เสมอ เช่น “อย่าไว้ใจใคร เพราะแม้แต่เงาของเจ้าก็จะทิ้งเจ้าไปในความมืด” และ “อย่าคิดร้ายต่อผู้อื่น แต่จงระวังภัยที่พวกเขาอาจก่อกับเจ้าเสมอ” ฉันระแวดระวังทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กับพระเจ้า สิ่งนี้แสดงให้ฉันเห็นว่าอุปนิสัยที่หลอกลวงของฉันนั้นรุนแรงมากจริงๆ และทั้งหมดนี้คือที่มาของความสงสัยและความเข้าใจผิดที่ฉันมีต่อพระเจ้า เมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น ฉันก็คาดเดาและเข้าใจพระเจ้าผิด แต่พระเจ้าก็ยังทรงประทานความรู้แจ้งและทรงชี้แนะฉันให้เข้าใจความจริง ทรงทำให้ฉันเห็นปัญหาของตัวเอง ฉันสัมผัสได้ถึงความรักของพระเจ้า ว่าความรอดที่พระองค์ทรงประทานให้ฉันแท้จริงเพียงใด ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า พร้อมที่จะกลับใจ และเลิกใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่หลอกลวงของตัวเอง ที่สงสัยและเข้าใจพระเจ้าผิด

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “แม้ตอนนี้เจ้าอาจปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างเต็มใจ และเจ้าอาจละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองด้วยความเต็มใจ แต่หากเจ้ายังคงมีความเข้าใจผิด การคาดเดา ข้อกังขา หรือการพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า หรือแม้กระทั่งความเป็นกบฏและการต้านทานพระองค์ หรือหากเจ้าใช้แนวทางและกลวิธีนานาเพื่อต่อต้านพระองค์และปฏิเสธอธิปไตยที่พระองค์ทรงมีเหนือเจ้า—หากเจ้าไม่แก้ไขสิ่งเหล่านี้—เช่นนั้นแล้วก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ความจริงจะมีอำนาจเหนือเจ้า และชีวิตของเจ้าก็จะเหนื่อยล้า  บ่อยครั้งที่ผู้คนดิ้นรนต่อสู้และถูกทรมานในสภาวะที่เป็นลบเหล่านี้ ราวกับว่าพวกเขาได้จมลงไปในปลักตม และพวกเขาก็หมกมุ่นอยู่กับแนวคิดเรื่องถูกและผิดอยู่เสมอ  พวกเขาจะสามารถค้นพบและเข้าใจความจริงได้อย่างไร?  ในการแสวงหาความจริงนั้น คนเราต้องนบนอบเสียก่อน  จากนั้น หลังจากผ่านประสบการณ์ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถได้รับความรู้แจ้งบางอย่าง ซึ่ง ณ จุดนี้ ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจความจริง  หากคนเราพยายามที่จะไขคำตอบอยู่เสมอว่าสิ่งใดถูกและผิด และง่วนอยู่กับสิ่งที่แท้จริงและเทียมเท็จ พวกเขาย่อมไม่มีทางที่จะค้นพบหรือเข้าใจความจริงเลย  แล้วจะได้อะไรขึ้นมาหากคนเราไม่มีวันเข้าใจความจริงได้?  การไม่เข้าใจความจริงทำให้เกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อคนเรามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาย่อมมีแววว่าจะพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์  เมื่อการพร่ำบ่นเหล่านี้ระเบิดออกมา ก็ย่อมกลายเป็นการต่อต้าน การต่อต้านพระเจ้าก็คือการต้านทานพระองค์และเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง หากคนเราได้กระทำผิดมากมาย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมได้กระทำชั่วนานาประการ และสมควรถูกลงโทษ  นี่คือสิ่งที่เกิดจากการไม่สามารถเข้าใจความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าได้)  พอได้อ่าน ฉันก็กลัวอยู่บ้าง ถ้าฉันใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะคิดลบไปเรื่อยๆ ไม่แสวงหาความจริง ไม่เปิดใจกับพี่น้องชายหญิง ฉันก็จะยังใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่หลอกลวงของตัวเองไปเรื่อยๆ โดยเข้าใจพระเจ้าผิด จากนั้นฉันก็จะโทษพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ได้ง่ายๆ ซึ่งจะถือเป็นการกระทำผิด ฉันอาจจะถึงกับทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า นี่คงจะอันตรายเกินไป!  ในช่วงเวลาที่ฉันเข้าใจผิดและคาดเดาพระเจ้า สภาวะคิดลบของฉันก็ครอบงำฉันเกือบทั้งหมด ฉันกังวลอยู่เสมอว่าจะถูกเผยและถูกกำจัดออกไป ฉันไม่มีความรู้สึกเป็นอิสระเลย รู้สึกเหนื่อยล้ามาก ตอนทำหน้าที่ ฉันก็แค่พยายามทำงานให้เสร็จสิ้น ทันทีที่เกิดปัญหาใหม่ขึ้น ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเข้าใจพระเจ้าผิดและอยากจะลาออก เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ชี้แนะฉันให้เปิดใจกับคนอื่น แสวงหาความจริง และเรียนรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง มิฉะนั้น ฉันก็จะยังคงตีความพระเจ้าผิดไป และคงจะตัดสินใจละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง ผลที่ตามมาคงจะน่าสะพรึงกลัว

ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ที่ให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติแก่ฉันเมื่อฉันประสบปัญหาในงานคริสตจักร  พระเจ้าตรัสว่า “สำหรับปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในคริสตจักร จงอย่าเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจอันหนักอึ้งเช่นนั้น  ในครรลองของการสร้างคริสตจักรนั้น ความผิดพลาดเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้ แต่จงอย่าตื่นตระหนกเมื่อเจ้าพบเจอปัญหา ในทางกลับกัน จงสงบและสำรวม  ไม่ใช่ว่าเราได้เคยบอกพวกเจ้าไปแล้วหรอกหรือ?  จงมาเบื้องหน้าเราให้บ่อยและอธิษฐาน และเราจะแสดงเจตนาทั้งหลายของเราให้เจ้าเห็นโดยชัดเจน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  ฉันได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่า การพบความลำบากยากเย็นต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการทำงานคริสตจักรให้ลุล่วง เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง และพระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เมื่อเราเผชิญกับความลำบากยากเย็น ตราบใดที่เราอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์จะทรงชี้แนะเราไปข้างหน้า ผู้เชื่อใหม่บางคนที่เพิ่งยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ยังไม่เข้าใจความจริงของนิมิตอย่างถ่องแท้ และยังอาจถูกข่าวลือชักนำให้หลงทางได้ ฉันจำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้นและใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อเปิดโปงเล่ห์กลของซาตาน และช่วยผู้เชื่อใหม่วางรากฐานในหนทางที่แท้จริง หลังจากเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า แล้วกลับไปทำงานคริสตจักร ฉันก็ได้สรุปความเบี่ยงเบนและปัญหาที่มีอยู่ในงานก่อนหน้านี้ของเรา เพื่อตอบปัญหาที่ผู้เชื่อใหม่กำลังเผชิญ ฉันได้เสริมสร้างตัวเองด้วยความจริงที่เกี่ยวข้อง จากนั้นก็ช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นผ่านทางการสามัคคีธรรม ส่วนเรื่องการบ่มเพาะผู้คน ก่อนอื่นฉันแสวงหาหลักธรรมที่สอดคล้องกันและอธิษฐานด้วยหัวใจ ในการชุมนุม ฉันมุ่งเน้นไปที่การสังเกตว่าใครเหมาะสมกับหลักธรรมสำหรับการบ่มเพาะ การเลือกคนด้วยวิธีนี้ค่อนข้างจะแม่นยำกว่า

บางครั้งฉันยังคงประสบกับความลำบากยากเย็นและความล้มเหลวในหน้าที่ แต่ตอนนี้ฉันมองปัญหาเหล่านี้จากมุมมองที่แตกต่างออกไป ฉันถามตัวเองว่า บทเรียนอะไรที่พระเจ้าทรงต้องการให้ฉันได้รับจากสถานการณ์นี้?  ฉันอธิษฐาน อ่านพระวจนะของพระเจ้า และแสวงหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติอย่างมีสติ ฉันยังได้เรียนรู้วิธีขอความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ด้วย ถ้าคนอื่นชี้ให้เห็นปัญหาในงานของฉัน ฉันก็สามารถเห็นข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องของตัวเองได้ ฉันไม่เชื่ออีกต่อไปว่าพระเจ้าทรงพยายามทำให้ฉันดูแย่ แต่ฉันกลับรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ทบทวนตัวเอง เข้าใจตัวเอง และเติบโตในชีวิต พี่น้องหญิงคนหนึ่งเคยพูดกับฉันว่า “ฉันสังเกตเห็นว่าเธอใจเย็นมากขึ้นเมื่อให้น้ำผู้เชื่อใหม่ และเมื่อเธอประสบปัญหา เธอก็แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ดีกว่าเมื่อก่อน” ฉันซาบซึ้งใจมากที่ได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในส่วนของฉัน แต่ฉันก็ได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงว่าความรักและความรอดจากพระเจ้าต่อมวลมนุษย์นั้นเป็นของจริง พระเจ้าทรงชี้แนะฉันอยู่เสมอ และฉันก็มีความตั้งใจแน่วแน่มากขึ้นที่จะลุล่วงหน้าที่ของตัวเองและทำให้พระองค์พอพระทัย

ก่อนหน้า:  91. กบฏกลับใจ ตอนที่หนึ่ง

ถัดไป:  94. การพึ่งพาพระเจ้าเป็นปัญญาสูงสุด

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

โปรดกรอกคำค้นหาในช่องค้นหา

Connect with us on Messenger
เนื้อหา
การตั้งค่า
หนังสือ
ค้นหา
วิดีโอ