98. การข่มเหงที่ฉันได้ทนทุกข์เพราะความเชื่อ

หลังสองทุ่มของค่ำคืนหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ปี 2003 ฉันเพิ่งกลับมาถึงบ้านหลังจากทำหน้าที่ ตำรวจสามนายบุกเข้ามา คว้าแขนฉันแล้วใส่กุญแจมือ หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว หนึ่งในนั้นค้นตัวฉันและยึดเพจเจอร์ไป ฉันถามว่า “ฉันทำผิดกฎหมายข้อไหน? ทำไมถึงจับฉัน?” เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “รัฐไม่อนุญาตให้พวกแกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มันขัดต่อนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งหมายความว่าแกถูกจับแล้ว!” พวกนั้นผลักฉันเข้าไปในรถโดยไม่ให้คำอธิบายอะไรเพิ่มเติม ฉันถูกยัดไว้ที่เบาะหลัง ทั้งหวาดวิตกและหวั่นกลัว ไม่รู้เลยว่ามีความโหดร้ายอะไรบ้างรอฉันอยู่ ด้วยวุฒิภาวะที่ยังน้อย ฉันเป็นกังวลว่า ฉันจะทนการทรมานไม่ไหว จะเป็นเหมือนยูดาสและขายพี่น้องชายหญิง ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ขอให้พระองค์ทรงดูแลและประทานความเชื่อกับความแข็งแกร่งให้ฉัน จากนั้น ฉันก็นึกถึงบางสิ่งจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าควรรู้ว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งหมดของเจ้าล้วนมีเราเป็นผู้อนุญาตและจัดการเตรียมการ  จงชัดเจนในเรื่องนี้และทำให้เราพึงพอใจในสภาพแวดล้อมที่เรามอบให้เจ้า จงอย่ากลัวในเรื่องนั้นเรื่องนี้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงเป็นกำลังหนุนของพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26)  พระวจนะของพระเจ้าเสริมสร้างความเชื่อและความกล้าหาญของฉัน การถูกจับกุมเกิดขึ้นโดยที่พระเจ้าทรงอนุญาต และตำรวจพวกนั้นก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อมีพระเจ้าทรงสนับสนุน ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว เมื่อคิดไปในทางนั้น ฉันก็ไม่รู้สึกกลัวมากนัก ฉันแอบตั้งมั่นในใจว่า ไม่ว่าตำรวจจะทรมานฉันยังไง ฉันก็จะไม่มีวันขายพี่น้องชายหญิงหรือทรยศพระเจ้าเด็ดขาด

เมื่อเรามาถึงสถานีตำรวจ ตำรวจหญิงคนหนึ่งก็ให้ฉันถอดเสื้อผ้าเพื่อค้นตัว จากนั้นก็พาฉันไปอีกห้อง ใส่กุญแจมือฉันไว้กับท่อนำความร้อนด้านหลัง หลังจากห้าทุ่มสักพัก ตำรวจเจอหนังสือพระวจนะของพระเจ้าไม่กี่เล่มในบ้านฉัน รวมถึงเพจเจอร์อีกหลายเครื่อง หัวหน้าหลี่จากหน่วยสืบสวนคดีอาญาถามฉันขณะถือเพจเจอร์เหล่านั้นไว้ว่า “ใครให้ของพวกนี้แกมา?  แกได้ติดต่อกับใครบ้าง?” พอฉันไม่ตอบ เขาก็ตบหน้าฉันอย่างแรงสองครั้ง ฉันเห็นดาวและแสบหน้า จากนั้นเขาก็กระทืบหัวแม่เท้าของฉันทั้งสองข้าง มันเจ็บเหมือนโดนเข็มแทง ฉันเจ็บจนเหงื่อแตกท่วมตัว ฉันพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า “ฉันเป็นผู้เชื่อบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต นั่นผิดกฎหมายข้อไหน? กฎหมายจีนอนุญาตให้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนาไม่ใช่เหรอ? พวกคุณมีสิทธิ์อะไรถึงมาจับฉันและซ้อมฉัน?” ตำรวจนายหนึ่งพูดว่า “แกนี่มันไร้เดียงสามาก!  เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นฉากบังหน้าเพื่อเอาใจชาวต่างชาติ พรรคคอมมิวนิสต์ไม่เชื่อในพระเจ้า ประเทศนี้ก็เลยต้องการปราบปรามและกำจัดพวกผู้เชื่ออย่างแกไงล่ะ! ถ้าแกไม่บอกสิ่งที่แกรู้มาล่ะก็ พรุ่งนี้แกได้กลายเป็นศพแน่ แกอาจเดินเข้ามาที่นี่ด้วยสองเท้าของแก แต่แกจะได้นอนออกไป!” หลังจากนั้น พวกเขาก็ออกจากห้องไป ฉันคิดว่า ในเมื่อพวกเขาพบของหลายอย่างในบ้านฉันแล้ว คงไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยฉันไปง่ายๆ ฉันไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะลงโทษฉันด้วยการทรมานแบบไหนบ้างหากฉันยังคงนิ่งเงียบ พวกเขาถึงกับบอกว่าฉันจะกลายเป็นศพ พวกเขาจะฆ่าฉัน เรื่องนี้ทำให้ฉันวิตกกังวลอย่างมาก ฉันจึงอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าประทานความเชื่อและความแข็งแกร่งมาให้ เช้าวันถัดมา ตำรวจสี่นายเข้ามาพร้อมกับเก้าอี้เสือ เจ้าหน้าที่หลี่พูดด้วยสีหน้าอำมหิตว่า “ฉันจะแสดงให้แกดูว่าผลลัพธ์ของการไม่พูดคืออะไร! วันนี้แกจะได้ลิ้มรสเก้าอี้เสือ!” จากนั้นพวกเขาก็ดันตัวฉันลงไปบนเก้าอี้และใส่กุญแจมือฉันไว้ในห่วงเหล็ก โดยให้ฝ่ามือหงายขึ้น ฉันถูกจับให้นั่งบนเก้าอี้ในท่าที่เอนหลัง เท้าถูกยืดตึงไปข้างล่าง และกุญแจมือก็กดเข้าไปในข้อมืออย่างเจ็บปวด ไม่นานนัก มือของฉันก็บวมเหมือนลูกโป่ง กลายเป็นสีม่วง และชาไปหมด วันนั้นผ่านไป ตัวฉันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง และมือของฉันก็บวมขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มกังวลและหวาดกลัวมากขึ้นๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป มือฉันจะพิการไหม? แล้วถ้ามือพิการ หลังจากนี้ฉันจะใช้ชีวิตยังไง?  ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ใจ ฉันไม่รู้เลยว่าความทุกข์สาหัสนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ฉันอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทนทุกข์อย่างมาก โปรดประทานความแข็งแกร่งและการชี้แนะให้ข้าพระองค์สามารถยืนหยัดได้ด้วยเถิด” แล้วจากนั้นฉันก็นึกถึงบางอย่างที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “ขณะก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือไม่ชัดเจนในเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเส้นทางปฏิบัติ  แต่โดยภาพรวมแล้ว เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และเช่นเดียวกับโยบ เจ้าต้องไม่ปฏิเสธพระเจ้า… ผู้คนมีความจำเป็นต้องมีความเชื่อในระหว่างช่วงเวลาแห่งการทนทุกข์ และระหว่างช่วงเวลาแห่งการถลุง และเมื่อพวกเขามีความเชื่อ พวกเขาก็จะเผชิญกับการถลุง การถลุงและความเชื่อไม่สามารถแยกออกจากกันได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  พระวจนะของพระเจ้ามอบความแข็งแกร่งให้ฉัน ผ่านความเจ็บปวดและการทรมานนี้ ฉันต้องมีความเชื่อในพระเจ้า ตำรวจทรมานฉัน พยายามฉวยโอกาสจากความอ่อนแอทางเนื้อหนังของฉันเพื่อกดดันให้ฉันยอมจำนนและทรยศพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงใช้สถานการณ์นี้ด้วยเหมือนกัน เพื่อทำให้ความเชื่อและความแน่วแน่ของฉันเพรียบพร้อมในการทนต่อความทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์อย่างเบ็ดเสร็จ รวมถึงการที่มือของฉันจะถูกทำให้พิการหรือไม่ด้วย ฉันต้องมีความเชื่อในพระเจ้า และพึ่งพาพระองค์เพื่อตั้งมั่นในการเป็นพยานให้พระองค์ ความคิดนี้ทำให้ฉันรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น และมารู้ตัวอีกที ความเจ็บปวดในมือก็จางหายไปแล้ว ฉันขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ!

ตำรวจเริ่มสอบสวนฉันอีกรอบ ในเช้าของวันที่สาม หนึ่งในนั้นชี้มาทางฉันแล้วก็พูดว่า “อย่าคิดว่าเราไม่รู้อะไรนะ เราจับตาดูบ้านของแกมาสองเดือนกว่าแล้ว มีคนแวะเวียนมาหาแกไม่น้อยเลยนี่!” จากนั้นเขาก็ร่ายว่าผู้คนที่มาบ้านฉันใส่เสื้อผ้ายังไง สูงเท่าไร และปั่นจักรยานแบบไหนมา ฉันตะลึงไปเลย! พวกเขาจับตาดูบ้านของฉันมาสักพักแล้ว และผู้คนที่พวกเขาบรรยายมานั้น ล้วนเป็นผู้นำหรือมัคนายกในคริสตจักร ฉันไม่อาจขายพี่น้องชายหญิงคนไหนได้ แต่ตำรวจกลับรู้สถานการณ์ทั้งหมดเป็นอย่างดีอยู่แล้ว และหากฉันไม่พูดอะไรเลย พวกเขาก็คงไม่ปล่อยฉันไปแน่ ฉันไม่รู้เลยว่าพวกเขาเก็บวิธีการทรมานวิธีไหนไว้ใช้กับฉัน ฉันอาจจะควรพูดอะไรสักหน่อยนะ? ฉันถูกควบคุมตัวมาสามวันแล้ว บรรดาน้องสาวของฉันน่าจะรู้เรื่องนี้และพากันหลบหนีไปแล้ว ฉันคิดว่าตำรวจไม่น่าจะหาพวกเธอเจอ ฉันจึงพูดว่า “คนที่มาเป็นน้องสาวของฉันเอง” แล้วตำรวจนายหนึ่งก็ถามว่า “พวกนั้นเป็นผู้เชื่อหรือเปล่า?” ฉันตอบไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากว่า “พวกเธอไม่ใช่ผู้เชื่อแท้จริง” ทันทีที่ฉันพูดแบบนั้น ตำรวจก็ออกไปตามตัวน้องสาวของฉัน ฉันรู้สึกผิดมาก ฉันยอมรับไปได้ยังไงว่าพวกเธอเป็นผู้เชื่อ?  การขายพี่น้องของตัวเองเพื่อที่ฉันจะได้เจ็บปวดน้อยลง ก็เหมือนกับการเป็นยูดาสไม่ใช่เหรอ?  ถ้าพวกเธอถูกจับ แล้วพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ถูกลากให้มาติดร่างแหไปด้วย จะไม่เป็นการสร้างความเสียหายต่องานในคริสตจักรหนักขึ้นไปอีกเหรอ?  และต่อให้พวกเธอจะไม่ถูกจับได้ในครั้งนี้ ก็ไม่มีทางที่ตำรวจจะปล่อยพวกเธอไปง่ายๆ พวกเธอจะต้องใช้ชีวิตแบบหลบซ่อน ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ จากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา  ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม เราจำต้องบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าว่า ใครก็ตามที่ทำให้เราเสียใจจะไม่ได้รับความเมตตาผ่อนผันจากเราเป็นครั้งที่สอง และใครก็ตามที่สัตย์ซื่อต่อเราตลอดมาจะยังคงอยู่ในหัวใจของเราตลอดกาล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการพิพากษาทำให้ฉันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่อาจทนต่อการก้าวล่วง พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ผู้ที่ทรยศพระองค์ ฉันได้ขายน้องสาวสองคนของตัวเองไปแล้ว ทำตัวเหมือนยูดาสที่น่าอับอายและสูญเสียคำพยานของฉัน ฉันเกลียดตัวเองที่เป็นคนเห็นแก่ตัวและเลวทรามได้ขนาดนี้ ไม่มีความเป็นมนุษย์เอาเสียเลย ฉันอธิษฐานและกลับใจต่อพระเจ้าอยู่ในหัวใจ และสาบานว่าฉันจะไม่ขายพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ อีก ไม่ว่าตำรวจจะสอบสวนและทรมานฉันยังไงก็ตาม เย็นวันนั้น เจ้าหน้าที่หลี่นำภาพถ่าย 13 ใบมาให้ฉันระบุตัวคนในภาพ ฉันบอกว่าไม่รู้จักใครเลย จากนั้นเขาก็หยิบภาพถ่ายของพี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งขึ้นมาและพูดว่า “แกรู้จักคนนี้ใช่ไหม?  มันบอกว่ามันรู้จักแก” ฉันคิดว่า ต่อให้เธอบอกว่ารู้จักฉัน แต่ฉันก็ไม่สามารถบอกว่ารู้จักเธอได้ ฉันได้บอกเรื่องน้องสาวสองคนของฉันไปแล้ว ฉันเลยไม่อาจขายคนอื่น แล้วปล่อยให้พวกเขาถูกทรมานเหมือนฉันได้อีก ฉันจึงพูดอย่างหนักแน่นไปว่า “ฉันไม่รู้จักเธอ” เจ้าหน้าที่หลี่ตะคอกว่า “ถ้าแกไม่พูด พรุ่งนี้แกได้เจอดีแน่!”

บ่ายวันที่สี่ ตำรวจคนหนึ่งเข้ามาพร้อมกับไม้หน้าสามสี่ท่อน แต่ละอันหนานิ้วกว่าและยาวประมาณหนึ่งฟุต จากนั้นเขาก็ปิดตะแกรงตรงหน้าต่าง ทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรในห้องเลย หัวใจของฉันเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ชีพจรเต้นเร็วขึ้น และขาของฉันก็อ่อนแรง ฉันไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทรมานฉันด้วยวิธีไหน หรือฉันจะทนไหวหรือเปล่า ฉันร้องเรียกหาพระเจ้าอยู่ในหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองฉันเพื่อให้ฉันยืนหยัดได้ ไม่นานนัก ก็มีตำรวจหกนายเข้ามา พวกเขาปลดฉันออกจากเก้าอี้เสือและใส่กุญแจมือฉันไว้ด้านหลัง ตำรวจสองนายยืนอยู่ที่โต๊ะและใช้กุญแจมือยกฉันขึ้น ในขณะที่ตะโกนว่า “พูดมา!  ใครเป็นผู้นำของแก?” เท้าของฉันลอยอยู่เหนือพื้นและหัวก็ก้มลง ตัวฉันถูกแขวนอยู่กลางอากาศ ฉันกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด เมื่อพวกเขาเห็นว่าฉันไม่พูดอะไร ตำรวจสองนายก็เริ่มใช้ไม้หน้าสามขูดสีข้างของฉันแรงๆ ในขณะที่อีกสองนายใช้ไม้หน้าสามทุบตีแขนและขาของฉันอย่างหนัก ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกฉีกเนื้อออกจากซี่โครง และขาของฉันก็เหมือนกำลังถูกฉีกให้ขาดออกไป ฉันเจ็บปวดจนเหงื่อแตก ในขณะที่ทำแบบนี้ พวกเขาก็พูดว่า “เราจะฟาดแกให้หนักกว่านี้อีก ถ้าแกไม่ยอมปริปาก!” ฉันกัดฟันแน่นและไม่พูดอะไรเลย ตำรวจสองนายใช้อะไรแข็งๆ มาแทงเข้าไปในเล็บเท้าของฉัน มันเจ็บปวดเกินจะทานทน ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ส่องไฟสว่างจ้าใส่มือฉัน ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนเหมือนมือกำลังถูกไฟเผา เมื่อรู้สึกว่าร่างกายของฉันไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้พระองค์ประทานความแข็งแกร่งให้ฉัน พอพวกเขากระชากกุญแจมือเพื่อดึงตัวฉันขึ้นอีกรอบ ฉันก็ได้ยินเสียงแตกหักตรงแขนและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และตอนนั้นเองที่พวกเขาปล่อยฉันลง พวกเขาแขวนฉันไว้นานกว่าหนึ่งชั่วโมง หลังจากพวกเขาปล่อยฉันลง ฉันไม่มีความรู้สึกที่ขาเลย ฉันยืนไม่ได้ แขนขาของฉันมีรอยฟกช้ำและรอยไหม้ด้วยความเจ็บปวด เนื้อบริเวณซี่โครงของฉันก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟเผา และความเจ็บปวดนั้นก็แสนสาหัส ฉันทรุดตัวลงกับพื้น ไม่สามารถขยับตัวได้ รู้สึกเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือและเหมือนตัวฉันแหลกละเอียดไปหมดแล้ว มันทรมานที่สุด ความคิดที่ไม่รู้ว่าตำรวจจะทรมานฉันยังไงต่อไป หรือฉันจะทนได้หรือไม่นั้น ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดใจและอ่อนแอ ฉันอยากฆ่าตัวตายด้วยการกัดลิ้นตัวเองให้ขาด เพื่ออย่างน้อยฉันจะไม่ขายพี่น้องชายหญิง ฉันกัดแรงมาก แต่ความเจ็บปวดรุนแรงมาก จนฉันไม่สามารถทำได้สำเร็จ จากนั้นฉันก็คิดว่า บางทีฉันอาจจะดึงลิ้นไก่ออก จะได้พูดไม่ได้อีกต่อไป ฉันบอกพวกเขาว่าต้องไปเข้าห้องน้ำ ในห้องน้ำ ตำรวจที่คอยจับตาดูฉันได้ยินเสียงที่ฉันพยายามดึงลิ้นของตัวเองและสำลัก เขาพูดขึ้นว่า “อย่าทำอะไรโง่ๆ” จากนั้นก็พาฉันกลับไปและใส่กุญแจมือฉันไว้กับเก้าอี้เสืออีกครั้ง ในตอนนั้นเอง ฉันถึงได้ตระหนักว่าฉันเกือบจะทำสิ่งที่โง่เขลาอย่างมากไปแล้ว และฉันก็นึกถึงบางอย่างที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “ในยุคสุดท้าย พวกเจ้าจึงต้องเป็นคำพยานให้พระเจ้า  ไม่ว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าก็ควรเดินไปให้สุดทาง แม้จะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเจ้าก็ตาม พวกเจ้ายังคงต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้าและอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า  ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้น! เจ้าอยากให้พรมาถึงตัวเจ้าโดยง่ายมิใช่หรือ?  ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญบททดสอบอันขมขื่น  หากปราศจากบททดสอบเช่นนี้ หัวใจรักที่พวกเจ้ามีต่อเราก็จะไม่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา  ต่อให้บททดสอบเหล่านี้มีแต่รูปการณ์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าบททดสอบย่อมเข้มข้นแตกต่างกันไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  ฉันเข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้าว่า เมื่อเผชิญกับความโหดร้ายของพวกปีศาจ เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือ เพื่อทำให้ความเชื่อและการอุทิศตนของเราเพียบพร้อม และทำให้เราเห็นชัดเจนว่าพญานาคใหญ่สีแดงทำงานต่อต้านพระเจ้าและทารุณมนุษย์อย่างไร เพื่อที่เราจะได้เกลียดชังและปฏิเสธมันจากก้นบึ้งของหัวใจ และตั้งมั่นในการเป็นพยานให้พระเจ้าต่อหน้าซาตาน แต่ความเชื่อในพระเจ้าของฉันนั้นเล็กน้อยเกินไป และหลังจากทุกข์ทรมานเพียงเล็กน้อย ฉันก็อยากจะตายเพื่อหนีมันไป นั่นจะนับว่าเป็นคำพยานได้ยังไงกัน?  เมื่อคิดไปในทางนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจมากเท่าเดิมอีกต่อไป และฉันก็มีความเชื่อมากขึ้น ไม่ว่าพวกเขาจะทรมานฉันยังไง แม้กระทั่งลมหายใจสุดท้ายของฉัน ฉันก็อยากพึ่งพาพระเจ้า ตั้งมั่นเป็นพยานให้พระองค์ และทำให้ซาตานอับอาย ฉันจะไม่มีวันขายพี่น้องชายหญิงและทรยศพระเจ้า หลังจากที่ฉันแน่วแน่อย่างนั้นแล้ว ตำรวจก็ไม่มาสอบสวนฉันอีกเลย จากประสบการณ์นี้ ฉันได้เห็นอธิปไตยและมหิทธานุภาพของพระเจ้า และได้เห็นว่าพญานาคใหญ่สีแดงก็เป็นเพียงเบี้ยหมากรุกในพระหัตถ์ของพระเจ้า มันเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้ในการทำให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรเพียบพร้อม ฉันยังเห็นอีกด้วยว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉันตลอดการทรมานนี้ พระองค์ทรงอยู่กับฉันเสมอ ทรงชี้แนะและทรงช่วยฉันด้วยพระวจนะ ประทานความเชื่อและความแข็งแกร่งให้ฉัน ฉันสัมผัสได้ถึงความรักและการคุ้มครองของพระเจ้า และฉันขอบคุณพระองค์จากหัวใจ

พรรคคอมมิวนิสต์ตัดสินโทษให้ฉันใช้แรงงานเพื่อดัดสันดานเป็นเวลาสามปีด้วยข้อหา “ขัดขวางความสงบเรียบร้อยของสังคม” ฉันต้องทำงานหนักเป็นเวลา 12 ถึง 14 ชั่วโมงต่อวันในค่ายแรงงาน และต้องทำนานกว่านั้นหากยังทำงานไม่เสร็จ ฉันถูกมอบหมายให้ทำงานในโรงงานผลิตสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากฉันทนดมกลิ่นสารกำจัดศัตรูพืชไม่ได้ จึงปวดหัวและคลื่นไส้ทุกวัน ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงยื่นเรื่องขอเปลี่ยนไปทำงานในโรงงานอื่น แต่ตำรวจก็ไม่อนุมัติคำขอ ตอนนั้นฉันเจ็บปวดใจมาก พอคิดว่าฉันจะต้องใช้เวลาสามปีที่นั่น ซึ่งยาวนานกว่าพันวันพันคืน ฉันก็ไม่รู้เลยว่าจะผ่านไปได้ยังไง ทุกครั้งระหว่างเดินทางไปทำงาน และเห็นผู้คนข้างนอกใช้ชีวิตอย่างเสรีและสบาย ขณะที่ฉันเหมือนนกในกรง ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นพิเศษและอยากจะร้องไห้ พี่น้องหญิงอีกคนที่ทำงานในโรงงานเดียวกันมาสามัคคีธรรมกับฉัน แล้วเราก็ร้องเพลงนมัสการพระวจนะของพระเจ้าชื่อ “บทเพลงแห่งผู้ชนะ” ด้วยกันเงียบๆ ว่า “พวกเจ้าเคยยอมรับพรทั้งหลายที่ตระเตรียมไว้ให้พวกเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าเคยไล่ตามเสาะหาสัญญาทั้งหลายที่เคยให้ไว้แก่พวกเจ้าหรือไม่?  ภายใต้การนำแห่งความสว่างของเรา พวกเจ้าย่อมต้องฝ่าพ้นอำนาจกดขี่ของกองกำลังแห่งความมืด  พวกเจ้าย่อมต้องไม่สูญเสียการชี้นำแห่งความสว่างเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืด  พวกเจ้าย่อมต้องเป็นนายของสรรพสิ่ง  เป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตาน  เมื่อประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย พวกเจ้าย่อมต้องยืนหยัดท่ามกลางผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนในฐานะบทพิสูจน์แห่งชัยชนะของเรา  พวกเจ้าย่อมต้องตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวในแผ่นดินแห่งซีนิม  ด้วยความทุกข์ที่พวกเจ้าทนฝ่า พวกเจ้าย่อมจะสืบทอดพรของเรา และย่อมต้องฉายความสว่างแห่งสง่าราศีของเราไปทั่วจักรวาล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 19)  การร้องเพลงนมัสการเพลงนี้ทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้น การข่มเหงครั้งนี้ให้โอกาสฉันได้เป็นพยานให้พระเจ้า นี่เป็นเกียรติสำหรับฉัน พรรคคอมมิวนิสต์ต้องการทำลายทั้งร่างกายและจิตใจของฉัน เพื่อให้ฉันทรยศพระเจ้าเพราะไม่อาจสู้ทนต่อความทุกข์ได้ ฉันจะตกหลุมพรางของมันไม่ได้ ไม่ว่าจะยากลำบากหรือเจ็บปวดใจแค่ไหน ฉันก็ต้องพึ่งพาพระเจ้า ตั้งมั่น และทำให้ซาตานอับอาย จากนั้นมา ในตอนเย็น ฉันกับพี่น้องหญิงคนนั้นจะแอบฮัมเพลงนมัสการพระวจนะของพระเจ้าด้วยกัน และสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าทุกครั้งที่มีโอกาส ความรู้สึกเจ็บปวดใจมากมายก็หายไปทีละน้อยจนไม่เหลืออีกต่อไป

ต่อมา สามีของฉันมาเยี่ยม และฉันก็เห็นได้ว่าเขาสุขภาพไม่ดีตอนที่เห็นว่าเขาไม่สามารถขยับขาและเท้าได้อย่างอิสระ หลังจากที่ฉันถูกจับกุม สามีของฉันก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะกลัวว่าฉันจะถูกทรมาน สุดท้ายเขาก็เป็นโรคหลอดเลือดสมอง พอเขาไปหาหมอ หมอก็บอกว่าสมองส่วนซีรีเบลลัมฝ่อ ทำให้เขาเป็นอัมพาตบางส่วน เรื่องนี้ทำให้ฉันหัวใจสลาย และเกลียดพรรคคอมมิวนิสต์ ที่เป็นกลุ่มปีศาจนั่นอย่างสุดหัวใจ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาจับกุมและข่มเหงผู้เชื่อ ฉันคงไม่ถูกจับ และสามีของฉันก็คงไม่ล้มป่วย ไม่นานหลังจากนั้น พี่ชายสามีของฉันก็มาเยี่ยม และบอกฉันว่าสามีของฉันอาการทรุดหนักลง และกลายเป็นคนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก สิ่งเดียวที่ฉันคิดถึงก็คือเมื่อไหร่ฉันถึงจะได้ออกจากคุก เพื่อจะได้กลับไปดูแลเขาที่บ้าน แล้วในช่วงปลายปี 2004 ฉันก็ได้รับจดหมายจากครอบครัว บอกว่าสามีของฉันอาการทรุดหนักลงอีก และเสียชีวิตแล้ว พอได้รู้ข่าวนี้ ฉันก็รู้สึกเหมือนท้องฟ้าถล่ม ฉันเจ็บปวดทรมานมาก เสาหลักของครอบครัวเราจากไปแล้ว ลูกชายของเราก็ยังเรียนมหาวิทยาลัย และฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เพราะการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์ ครอบครัวที่ดีอยู่แล้วของเราจึงถูกทำลาย และสามีของฉันก็ต้องมาตายจากไป ฉันรู้สึกอ่อนแอมาก และมารู้ตัวอีกที ฉันก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมา ทำไมภัยพิบัติถึงเกิดขึ้นกับฉันตลอด?  ทำไมพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองฉัน?  ในความเจ็บปวดนี้ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “หากเจ้าตามใจความอ่อนแอทั้งหลายของเนื้อหนังและพูดว่าพระเจ้าทรงทำมากเกินไป เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาและเศร้าโศกอยู่เสมอ และเจ้าจะไม่เข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้า และจะดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นใจในความอ่อนแอของมนุษย์เลยแม้แต่น้อยและไม่ทรงตระหนักถึงความยากลำบากทั้งหลายของมนุษย์  และดังนั้นเจ้าจะรู้สึกน่าเวทนาและโดดเดี่ยวตลอดเวลา ราวกับว่าเจ้าได้ทนทุกข์กับความอยุติธรรมอันยิ่งใหญ่ และ ณ เวลานี้เจ้าจะเริ่มพร่ำบ่น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นสภาวะของฉัน ตอนที่สามีของฉันจากไป ฉันไม่ได้แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่กลับเอาใจเนื้อหนังของตัวเอง ฉันรู้สึกว่าหากไม่มีสามี ก็ไม่มีใครดูแลลูกของเรา แล้วฉันก็กล่าวโทษพระเจ้า ฉันช่างไม่มีมโนธรรมเอาเสียเลย! เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเพราะการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ทำให้ครอบครัวของฉันแตกแยก และทำให้สามีของฉันเสียชีวิต แต่ฉันกลับโยนให้พระเจ้าหมด ฉันกำลังบิดเบือนข้อเท็จจริงและเป็นคนไร้สิ้นเหตุผลอยู่ไม่ใช่เหรอ?  ในตอนนั้น ฉันเห็นว่าวุฒิภาวะของฉันช่างน้อยนิดจริง ๆ และไม่ได้มีการนบนอบหรือความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันอธิษฐานอยู่ในหัวใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า การถูกเปิดโปงแบบนี้ ทำให้ข้าพระองค์ได้เห็นว่าตัวเองเป็นกบฏมากแค่ไหน ข้าพระองค์เอาแต่คิดถึงเนื้อหนังของตัวเอง และไม่เข้าใจพระทัยของพระองค์เลย ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงชี้แนะให้ข้าพระองค์นบนอบผ่านสถานการณ์นี้ และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ด้วยเถิด” จากนั้นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ก็ผุดขึ้นในความคิดของฉันว่า “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย  หากเจ้าไม่นมัสการพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตภายในเนื้อหนังอันโสมมของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นเพียงสัตว์ป่าในคราบมนุษย์หรอกหรือ?  ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง!  เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร… พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น  พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม  นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2))  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่าการถูกจับกุมเพราะความเชื่อของฉัน และการทนทุกข์แบบนั้น คือการถูกข่มเหงเพื่อความชอบธรรม และมีความหมายอยู่ในความทุกข์นั้น ผ่านความยากลำบากนี้ ฉันได้เห็นถึงความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของตัวเอง รวมถึงวุฒิภาวะที่แท้จริงของฉัน ฉันได้รับวิจารณญาณแยกแยะแก่นแท้ปีศาจของพญานาคใหญ่สีแดง ว่ามันเกลียดชังและต่อต้านพระเจ้ายังไง นั่นคือความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อฉัน ฉันนึกถึงโยบที่เผชิญบททดสอบอันใหญ่หลวงเช่นนั้น ปศุสัตว์บนไหล่เขาและทรัพย์สมบัติทั้งหมดของครอบครัวเขาถูกขโมยไป ลูกๆ ของเขาเสียชีวิต และฝีร้ายก็ขึ้นทั่วตัวเขา แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวโทษพระเจ้า และไม่ได้พูดสิ่งใดที่เป็นบาป สิ่งที่เขาพูดในตอนท้ายคือ “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  โยบเป็นคำพยานอันกึกก้องให้พระเจ้า ฉันรู้สึกประทับใจอย่างมาก และตั้งปณิธานที่จะดำเนินตามแบบอย่างของโยบ จะตั้งมั่นเป็นพยานให้พระเจ้าไม่ว่าฉันจะทนทุกข์มากแค่ไหนก็ตาม เมื่อตระหนักได้อย่างนี้ ฉันก็มาเฉพาะพระพักต์พระเจ้าและอธิษฐานแสดงการนบนอบ พร้อมที่จะมอบทุกสิ่งเกี่ยวกับครอบครัวของฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์

ฉันได้รับการปล่อยตัวในช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี 2005 ลูกชายของฉันยังเรียนมหาวิทยาลัย และเราก็ยากลำบากกันมาก ดังนั้นฉันจึงหางานทำ แต่ผ่านไปประมาณเดือนกว่า นายจ้างของฉันก็บอกว่า “ตำรวจมาคุยกับฉัน และบอกว่าคุณเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า พวกเขาบอกฉันว่าต้องไล่คุณออก” พอได้ยินอย่างนั้น ฉันก็โกรธมาก แม้ฉันจะพ้นโทษมาแล้ว แต่พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังไม่ปล่อยให้ฉันได้อยู่อย่างสงบ พวกเขายังคงลิดรอนสิทธิในการดำรงชีวิตของฉัน พวกเขาช่างน่ารังเกียจและชั่วร้ายจริงๆ! ลูกชายของฉันควรจะได้สำเร็จการศึกษาในปี 2006 แต่เพราะฉันถูกตัดสินโทษให้ใช้แรงงานเนื่องจากความเชื่อของฉัน มหาวิทยาลัยจึงไม่ยอมออกประกาศนียบัตรให้เขา อ้างว่าเขาสอบตกในวิชาหนึ่ง แม้จะขาดไปเพียงไม่กี่คะแนน เขาจึงต้องเรียนซ้ำอีกหนึ่งปี แต่ในปีถัดมา มหาวิทยาลัยก็ยังไม่ยอมออกประกาศนียบัตรให้ โดยใช้ข้ออ้างเดิม เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่สอบตกสองหรือสามวิชา แต่ยังสำเร็จการศึกษาได้ ลูกฉันจึงไปถามครูเกี่ยวกับเรื่องนี้ ครูตอบว่า “เธอไม่รู้หรือว่าแม่เธอเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า?” เราเพิ่งจะรู้ในตอนนั้นเองว่ามหาวิทยาลัยจงใจหาข้ออ้างที่จะไม่ออกประกาศนียบัตรให้เขาเพราะความเชื่อของฉัน สุดท้ายมหาวิทยาลัยก็ออกเพียงใบรับรองการเข้าเรียนให้เขา การไม่มีประกาศนียบัตรทำให้เขาหางานได้ยาก และเขาก็รู้สึกหดหู่มาก เขามีแต่อยากอยู่บ้านตลอดเวลา และไม่อยากพูดคุยกับใครด้วยซ้ำ การเห็นลูกเจ็บปวดใจขนาดนั้นทำให้ฉันรู้สึกเสียใจอย่างมาก หลังจากเรียนมาหลายปี เขากลับต้องเดือดร้อนเพราะฉันที่เคยถูกจำคุก และในที่สุดก็ถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้รับประกาศนียบัตร และต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหางานทำ ลึกๆ แล้วฉันรู้สึกอ่อนแออยู่บ้าง ลูกชายของฉันเป็นก็ผู้เชื่อด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงอธิษฐานและอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยกัน และได้เห็นพระวจนะนี้ที่ว่า “พระราชกิจระยะนี้จำเป็นต้องได้รับความเชื่อและความรักสูงสุดจากพวกเรา หากประมาทแม้แต่น้อย พวกเราก็อาจจะสะดุดล้มได้ ด้วยว่าช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจแตกต่างไปจากช่วงระยะก่อนหน้านี้ทั้งหมด กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้ากำลังทำให้เพียบพร้อมก็คือความเชื่อของผู้คน ซึ่งทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้  สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือทรงแปลงพระวจนะเป็นความเชื่อ เป็นความรักและเป็นชีวิต  ผู้คนต้องไปให้ถึงจุดที่พวกเขาได้ทนฝ่ากระบวนการถลุงนับหลายร้อยครั้ง และครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าความเชื่อของโยบ ซึ่งทำให้พวกเขาต้องทนฝ่าความทุกข์ที่มากมายยิ่ง และการทรมานทุกลักษณะโดยไม่เคยจากพระเจ้าไปเลย  เมื่อพวกเขานบนอบตราบจนสิ้นชีพ และมีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้าก็จะครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (8))  เพราะฉันถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับกุมและข่มเหง สามีของฉันจึงเสียชีวิต และลูกชายของฉันไม่สามารถหางานทำได้ พรรคคอมมิวนิสต์ตัดแหล่งรายได้ของเรา และต้องการใช้สถานการณ์นี้เพื่อให้ฉันกล่าวโทษและทรยศพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ทรงใช้สถานการณ์นี้เพื่อทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม หากฉันยังคงสามารถติดตามและนบนอบพระเจ้า ท่ามกลางช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวดนี้ได้ ก็จะแสดงให้เห็นว่าฉันมีความเชื่อที่แท้จริง พรรคคอมมิวนิสต์อยากให้เราไม่มีหนทางใช้ชีวิต แต่ด้วยการพึ่งพาพระเจ้าในชีวิต และก้าวเดินต่อไป พร้อมกับการหล่อเลี้ยงและการชี้แนะของพระองค์ เราก็ยังสามารถอยู่ได้ หลังจากนั้น ฉันกับลูกชายมักอ่านและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าด้วยกันอยู่บ่อยๆ เขาสามารถก้าวพ้นจากสภาวะทุกข์ใจได้ทีละน้อย เขาบอกว่าเขาเห็นชัดว่าความเจ็บปวดใจทั้งหมดนี้เกิดจากพรรคคอมมิวนิสต์ ว่าเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิต ในขณะที่พระเจ้าทรงนำความกรุณาและความรอดมาให้ พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำแสงสว่างมาให้เราได้ และการติดตามพระเจ้านั้นเป็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต เขาบอกว่าอยากติดตามและเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงจัง หลังจากนั้น ฉันกับลูกชายก็เริ่มเก็บสมุนไพรป่าและเห็ดไปขายในตลาด เพื่อให้เราสามารถเข้าร่วมการชุมนุมและปฏิบัติหน้าที่ได้สะดวกขึ้น วิธีนี้ทำให้เรามีเงินเพียงพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทุ่มเทแรงกายมากนัก

หลังจากผ่านประสบการณ์การจับกุมและการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์ ฉันก็ได้เห็นแก่นแท้ปีศาจของมันอย่างเต็มที่ ว่ามันเกลียดชังและต่อต้านพระเจ้ายังไง พรรคนี้อ้างว่ารับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่กลับแอบจับกุมคริสเตียนจำนวนมาก ทรมานและตัดสินโทษจำคุกพวกเขา พร้อมกับกดขี่และข่มเหงคนในครอบครัวของพวกเขา ทำลายครอบครัวของคริสเตียนนับไม่ถ้วน ฉันมาถึงจุดที่เกลียดและต่อด้านมันจากส่วนลึกของหัวใจ และรู้ว่าฉันต่อต้านมันอย่างไม่มีวันผ่อนปรนได้ ฉันยังได้มีประสบการณ์กับความรักของพระเจ้าและสิทธิอำนาจของพระวจนะด้วยตนเองอีกด้วย ตอนที่ฉันถูกจับกุมและถูกตัดสินโทษจำคุก ตอนที่สามีของฉันเสียชีวิต ตอนที่ลูกชายของฉันไม่ได้รับประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัย และตอนที่ฉันใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากโดยไม่มีทางออก ก็เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่มอบความเชื่อและความแข็งแกร่งให้ฉัน และนำฉันให้เอาชนะความอ่อนแอของเนื้อหนังมาได้ หากไม่มีการดูแลและการคุ้มครองของพระเจ้า ฉันก็คงไม่มีทางมาถึงวันนี้ได้เลย ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับความรักและความรอดของพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าฉันจะเผชิญกับการกดขี่หรือความยากลำบากแบบไหนในอนาคต ฉันก็จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงที่สุด

ก่อนหน้า:  97. ผมเปลี่ยนแปลงนิสัยทะนงตนของตัวเองได้อย่างไร

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger