22. เรื่องราวของการประกาศแก่ศิษยาภิบาลคนหนึ่ง

ค่ำวันหนึ่งในเดือนเมษายนปีนี้ จู่ๆ ผู้นำคนหนึ่งก็บอกฉัน ว่าศิษยาภิบาลอาวุโสที่เชื่อมาห้าสิบกว่าปีต้องการสืบค้นพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า—ซึ่งก็คือศิษยาภิบาลเฉาจากหมู่บ้านเฉาเจีย ฉันต้องไปเป็นพยานแก่เขา ผู้นำบอกฉันว่าศิษยาภิบาลเฉาไปประกาศมาแล้วหลายประเทศ เขาไม่เคยละทิ้งพระเจ้าแม้แต่ตอนที่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับขังเพราะความเชื่อของเขา และเขาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจริง พอฉันได้ฟังทั้งหมดนี้ ฉันก็นึกถึงศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสหลายคนที่ฉันเคยพบระหว่างเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ส่วนใหญ่ยึดถือถ้อยคำในพระคัมภีร์และมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะตระหนักรู้พระสุรเสียงของพระเจ้าหรือยอมรับความจริง และพวกเขาให้ค่าสถานะและรายได้ของตนเองอย่างมาก บางคนได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และยอมรับว่าเป็นความจริง แต่ก็ไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ศิษยาภิบาลสูงอายุท่านนี้จะยอมรับความจริงได้จริงหรือ? หรือเขาจะยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาอย่างหัวชนฝาเหมือนคนอื่นๆ? ฉันยังค่อนข้างประหม่าอีกด้วย—ฉันทำอีกหน้าที่หนึ่งมาสองสามปีแล้ว และไม่ได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐมานาน ตอนนี้จู่ๆ ก็ต้องไปเจอศิษยาภิบาลเฒ่าคนนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความรู้ทางพระคัมภีร์และมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา ถ้าฉันไม่สามัคคีธรรมความจริงให้ชัดเจน และแก้ไขมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาของเขาไม่ได้ การทำหน้าที่ของฉันจะไม่ล้มเหลวหรือ? จากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้  เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องมีคือการมีความเชื่อและการมีทีท่าที่หนักแน่นและยืนหยัดเป็นพยาน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  “พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจด้วยหลักการนี้ กล่าวคือ โดยผ่านความร่วมมือของผู้คน โดยผ่านการที่พวกเขาอธิษฐาน แสวงหา และเข้ามาใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้นอย่างกระตือรือร้น ผลลัพธ์ทั้งหลายจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ได้  และพวกเขาจึงจะสามารถได้รับความรู้แจ้ง และได้รับความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  ซึ่งไม่ใช่กรณีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินการโดยฝ่ายเดียว หรือที่มนุษย์ดำเนินการโดยฝ่ายเดียว  ทั้งสองฝ่ายต่างสำคัญอย่างขาดไม่ได้ และยิ่งผู้คนร่วมมือมากขึ้นเท่าใด และยิ่งพวกเขาไล่ตามเสาะหาการบรรลุถึงมาตรฐานตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักความเป็นจริง)  จริงทีเดียว การพบปะผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐคนนี้เป็นการจัดการเตรียมการของพระเจ้า แม้ว่าฉันจะเคยล้มเหลวในการแบ่งปันข่าวประเสริฐแก่ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสมาก่อน แต่ฉันจะเหมารวมไม่ได้ว่าพวกเขาไม่สามารถยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันต้องมีความเชื่อในพระเจ้า และจ่ายราคาจริงๆ ด้วยการให้ความร่วมมือ แกะของพระเจ้าย่อมได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์—ตราบใดที่เขาโหยหาความจริง และเต็มใจสืบค้นหนทางที่แท้จริง ฉันก็มีหน้าที่เป็นพยานยืนยันพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าแก่เขา หากมีความหวังแม้สักนิด ฉันก็จะยอมแพ้ไม่ได้ ความรับผิดชอบของฉันคือการพึ่งพาพระเจ้าและสามัคคีธรรมด้วยความรักและอดทน—แล้วฉันก็จะไม่ติดค้างหรือเสียใจ ความคิดเหล่านี้ ให้ความเชื่อแก่ฉันในที่สุด

เมื่อฉันพบศิษยาภิบาลเฉา ฉันถามความเห็นของเขาเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาบอกฉันอย่างขึงขังว่า “ยี่สิบกว่าปีก่อน มีคนมาประกาศข่าวประเสริฐแก่ผมหลายครั้ง เป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ทรงแสดงความจริงและทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย พวกเขาพูดว่าพระคัมภีร์บันทึกพระวจนะและพระราชกิจในสมัยก่อนของพระเจ้า—ตอนนี้องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วและได้แสดงพระวจนะใหม่ๆ พวกเขาบอกว่าด้วยการอ่านและยอมรับพระวจนะใหม่ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จริงๆ เท่านั้น ผมจึงจะเข้าใจความจริง และได้รับความรอดจากพระเจ้า พอได้ฟังอย่างนั้น ผมก็ยอมรับไม่ได้—เปาโลพูดไว้ชัดเจนมากว่า ‘พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า’ (2 ทิโมธี 3:16)  นี่แปลว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า เป็นธรรมบัญญัติของคริสตชน ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ สวรรค์และแผ่นดินโลกย่อมจะผ่านพ้นไป ส่วนพระวจนะจะยังคงอยู่ ดังนั้นผู้เชื่อต้องอ่านพระคัมภีร์และยึดถือตามอยู่เสมอ ผมแน่ใจว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นผิด และไม่ต้องการฟังสามัคคีธรรมของพวกเขาอีก” ฉันจึงบอกเขาว่า “คุณเฉาคะ ฉันเข้าใจว่าทำไมคุณคิดแบบนั้น คนส่วนใหญ่ในโลกศาสนาเห็นว่าถ้อยคำทั้งหมดในพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า ตามที่เปาโลได้พูดไว้ แต่ว่าคำกล่าวนี้เข้ากันได้กับข้อเท็จจริงต่างๆ จริงหรือ?” แล้วศิษยาภิบาลเฉาก็ตอบว่า “เข้ากันได้แน่อยู่แล้ว” ฉันบอกเขาว่า “เรื่องที่ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดหรือไม่นั้น พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ให้คำตอบที่เที่ยงตรงไว้นานแล้ว พวกเรามาอ่านพระวจนะเหล่านั้นกันหน่อยไหม?” เขาดูเคร่งขรึม และลังเลก่อนที่จะพยักหน้า “ถึงขนาดนี้แล้ว ลองฟังดูก็ได้” ดังนั้น พวกเราจึงแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แก่เขา

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “วันนี้ ผู้คนเชื่อว่าพระคัมภีร์คือพระเจ้า และพระเจ้าคือพระคัมภีร์  ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อเช่นกันว่าข้อความทั้งหมดในพระคัมภีร์เป็นพระวจนะทั้งหมดทั้งสิ้นที่พระเจ้าตรัส และว่าข้อความทั้งหมดนั้นพระเจ้าเป็นผู้ตรัส  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าคิดแม้กระทั่งว่า ถึงแม้ว่าหนังสือพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดหกสิบหกเล่มได้รับการเขียนขึ้นโดยผู้คน แต่หนังสือทุกเล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นบันทึกถ้อยดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่คือความเข้าใจที่บิดเบี้ยวของมนุษย์ และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างครบบริบูรณ์  อันที่จริงแล้ว นอกเหนือจากหนังสือการเผยพระวจนะแล้ว เนื้อหาส่วนใหญ่ของพันธสัญญาเดิมคือบันทึกทางประวัติศาสตร์  จดหมายฝากบางส่วนของพันธสัญญาใหม่มาจากประสบการณ์ของผู้คน และบางส่วนมาจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ตัวอย่างเช่น จดหมายฝากของเปาโลเกิดขึ้นจากงานของมนุษย์ จดหมายฝากเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผลจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทั้งหมดได้รับการเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักร และเป็นคำพูดเตือนสติและหนุนใจสำหรับพี่น้องชายหญิงของคริสตจักร  คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่พระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส—เปาโลไม่อาจพูดในนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ แล้วเขาก็ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรที่เขาจะมองเห็นนิมิตที่ยอห์นได้พบเห็น  จดหมายฝากของเขาเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักรเอเฟซัส โครินธ์ กาลาเทีย และคริสตจักรอื่นๆ  และด้วยเหตุนี้ จดหมายฝากของเปาโลแห่งพันธสัญญาใหม่จึงเป็นจดหมายฝากที่เปาโลเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักร และไม่ใช่การดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งไม่ใช่ถ้อยดำรัสโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์  จดหมายฝากเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดเตือนสติ ความชูใจ และการหนุนใจ ซึ่งเขาเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักรในระหว่างที่งานของเขาดำเนินไป  ดังนั้น จดหมายฝากเหล่านี้จึงเป็นบันทึกเกี่ยวกับงานของเปาโลส่วนใหญ่ในขณะนั้นด้วยเช่นกัน  บันทึกเหล่านี้เขียนขึ้นเพื่อทุกคนที่เป็นพี่น้องชายหญิงทุกคนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้พี่น้องชายหญิงของคริสตจักรทั้งหลายในเวลานั้นเชื่อฟังคำแนะนำของเขาและเดินไปตามหนทางแห่งการกลับใจขององค์พระเยซูเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (3))  “สิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นบันทึกพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองเสมอไป  พระคัมภีร์เพียงบันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะก่อนหน้าของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นบันทึกการพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะ และส่วนหนึ่งเป็นประสบการณ์และความรู้ที่เขียนขึ้นโดยผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งานตลอดทั้งยุคสมัย  ประสบการณ์ของมนุษย์เจือปนไปด้วยความคิดเห็นและความรู้ของมนุษย์ และนี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในหนังสือหลายเล่มของพระคัมภีร์มีมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ อคติของมนุษย์ และการจับใจความอันไร้สาระของมนุษย์  แน่นอนว่าข้อความส่วนใหญ่เป็นผลจากความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และข้อความเหล่านี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง—แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้ว่าข้อความเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความจริงอย่างถูกต้องแม่นยำทั้งหมด  ทรรศนะของท่านทั้งหลายเหล่านั้นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ส่วนตัว หรือความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  การพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะนั้นพระเจ้าเป็นผู้ให้คำแนะนำด้วยพระองค์เอง นั่นคือ  การเผยพระวจนะของผู้คนเช่นอิสยาห์ ดาเนียล เอสรา เยเรมีย์ และเอเสเคียลมาจากคำแนะนำโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้คนเหล่านี้คือผู้มองเห็น ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณแห่งการเผยพระวจนะ และท่านทั้งหมดเป็นผู้เผยพระวจนะของพันธสัญญาเดิม  ในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนที่ได้รับการดลใจจากพระยาห์เวห์เหล่านี้พูดการเผยพระวจนะมากมายซึ่งได้รับคำแนะนำโดยตรงจากพระยาห์เวห์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (3))

ตอนที่พวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้า ศิษยาภิบาลเฉาฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าเป็นครั้งคราว จากนั้น ฉันก็สามัคคีธรรมว่า “พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ชัดเจนมาก พระคัมภีร์เพียงบันทึกงานของพระเจ้าสองระยะก่อน นอกจากพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าและองค์พระเยซูเจ้า กับพระวจนะของพระเจ้าที่ผู้เผยพระวจนะสื่อสารไว้แล้ว ที่เหลือเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์และประสบการณ์ของมนุษย์ พระคัมภีร์ไม่ได้มีแต่พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ยังมีถ้อยคำของมนุษย์และซาตานอีกด้วย พวกเราต้องแยกแยะถ้อยคำเหล่านี้ออกจากกัน ไม่เอามาปนเปกัน ก็เหมือนการที่พันธสัญญาเดิมบันทึกคำเผยพระวจนะของ ผู้เผยพระวจนะอย่างอิสยาห์ เอลียาห์ หรือเอเสเคียล จะมีการกล่าวอะไรบางอย่างนำหน้าถ้อยคำของพวกเขา เช่น ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า’ หรือ ‘พระยาห์เวห์ตรัสกับ’—พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าโดยตรง อย่างไรก็ตาม จดหมายฝากนั้นเป็นประสบการณ์ของมนุษย์ เป็นบันทึกของมนุษย์ จดหมายถึงคริสตจักรต่างๆ อย่างของเปาโล คือประสบการณ์และความเข้าใจของเขาเอง เมื่อพี่น้องชายหญิงในเวลานั้นได้รับจดหมายของเปาโล พวกเขาก็พูดว่า ‘จดหมายของเปาโลมาแล้ว’ ไม่เคยพูดว่า ‘พระวจนะของพระเจ้ามาถึงแล้ว’ ใช่ไหม? ดังนั้นจึงพูดไม่ได้ว่าจดหมายฝากเป็นพระวจนะของพระเจ้า การถือว่าถ้อยคำของมนุษย์และซาตานในพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า และอ้างอย่างนั้น ไม่ใช่การหมิ่นประมาทหรอกหรือ? นั่นแปลว่า ความเชื่อที่ว่า ‘พระคัมภีร์ล้วนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และล้วนเป็นพระวจนะของพระเจ้า’ ไม่มีมูลความจริงเลย”

เมื่อฉันพูดจบ เขาก็อึ้งไป  เขาบอกฉันอย่างตื่นเต้นว่า “ผมจำได้ว่าครูสอนศาสนศาสตร์ของผมบอกผมว่า ทุกอย่างในพระคัมภีร์ล้วนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นพระวจนะของพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่พวกเราพูดกันมาตลอดหลายปีนี้ หรือเปาโลจะเข้าใจเรื่องนั้นผิด?” พอได้ยินเขาตั้งคำถามแบบนี้ หัวใจของฉันก็หยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง ฉันเพิ่งเห็นเขาพยักหน้าเห็นด้วย และนึกว่าเขาเข้าใจแล้ว แต่เขาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ศิษยาภิบาลเฉาเหมือนผู้นำทางศาสนาคนอื่นๆ ที่ไม่อาจเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้หรือเปล่า? แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ศิษยาภิบาลเฒ่าคนนี้ยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดทางศาสนามาหลายสิบปี—เขาจะวางมันลงได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรือ? ฉันต้องสามัคคีธรรมอย่างอดทน” จากนั้น ฉันก็พูดว่า “ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งกังวลว่าเปาโลถูกหรือผิดเลย  มาสนใจข้อเท็จจริงกันดีกว่า คุณเฉา คุณต้องรู้แน่ว่าพระคัมภีร์ถูกรวบรวมขึ้นมาอย่างไร เปาโลเขียน 2 ทิโมธีภายหลังองค์พระผู้เป็นเจ้ากี่ปี?” เขาตอบอย่างไม่ลังเลว่าหกสิบกว่าปีให้หลัง “แล้วภายหลังองค์พระผู้เป็นเจ้ากี่ปีจึงมีการรวบรวมพันธสัญญาใหม่?” เขาตอบว่าสามร้อยกว่าปีต่อมา ฉันจึงพูดว่า “ลองคิดดูนะคะ ตอนที่เปาโลเขียน 2 ทิโมธี มีพันธสัญญาใหม่หรือยัง?” เขาสะดุ้งพูดว่า “ยังครับ” ฉันพูดต่อไปว่า “ถ้ายังไม่มี งั้นที่เปาโลพูดว่า ‘พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า’ รวมพันธสัญญาใหม่ด้วยไหม?” เขาทำตาโตและตอบว่า “ผมเข้าใจแล้ว คำพูดของเปาโลไม่มีทางรวมพันธสัญญาใหม่เอาไว้ด้วย ขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า! ผมมองข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างไร? หลายปีที่เชื่อมานี้ พวกเราเชื่อมาตลอดว่า ‘พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นพระวจนะของพระองค์’ และประกาศเรื่องนี้ไปทุกที่ พวกเราไม่เคยตั้งคำถามถึงความจริงของคำกล่าวนี้เลย ผ่านทางการสามัคคีธรรมนี้ ผมเข้าใจแล้วว่า พระคัมภีร์ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด และผมต้องแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่คร่ำครึของตัวเอง ขอบคุณพระเจ้า!” เมื่อเห็นมโนคติอันหลงผิดของศิษยาภิบาลเฉาคลี่คลาย ฉันก็มั่นใจขึ้นที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่เขา

ฉันจึงสามัคคีธรรมแก่เขาว่า “พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์ แสดงพระวจนะแห่งความจริงนับล้านๆ คำ ไม่เพียงไขความล้ำลึกของพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ยังไขความล้ำลึกทั้งหมดของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์ด้วย เช่น ความล้ำลึกของพระราชกิจสามระยะของพระองค์ พระนามต่างๆ ของพระองค์ และการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังได้เปิดเผยความจริงของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ต่อต้านพระเจ้าและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งหลายของมนุษย์ และทรงชี้หนทางให้พวกเราพ้นจากบาปและได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์ด้วย ความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงไว้นี้คือพระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีถึงคริสตจักรทั้งหลาย เป็นหนทางสู่ชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าในยุคสุดท้ายประทานแก่มวลมนุษย์ และเป็นทางเดียวที่จะถูกช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า” เขายอมรับเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีมโนคติอันหลงผิดเรื่องที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นหญิงในยุคสุดท้าย เขาพูดกับฉันว่า “พี่น้องหญิง ตอนนี้ผมยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้สะอาดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้แล้ว แต่คุณเป็นพยานยืนยันได้อย่างไรว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดเป็นหญิง? ตอนพระองค์เสด็จมาครั้งก่อน พระองค์ทรงเป็นผู้ชาย และพระคัมภีร์ก็มักจะกล่าวถึงพระองค์ว่า ‘บุตร’ ดังนั้นพระองค์ก็ต้องทรงกลับมาเป็นผู้ชายสิ  จะเป็นผู้หญิงได้อย่างไร? มันไม่น่าเชื่อสำหรับผม คุณสามัคคีธรรมเรื่องนี้กับผมได้ไหม?” ฉันพูดว่า “กว่าหลายพันปี ผู้เชื่อทุกคนคิดไปว่าในเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาในฐานะผู้ชาย พระองค์ย่อมทรงกลับมาเป็นผู้ชายแน่ ไม่ใช่ผู้หญิงแน่นอน แต่แล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กลับทรงบังเกิดเป็นหญิงในยุคสุดท้าย—หลายคนยากจะยอมรับเรื่องนี้ แต่พวกเราต้องเข้าใจว่ายิ่งคนเรามีมโนคติอันหลงผิดในเรื่องหนึ่งมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความจริงให้ต้องค้นหามากขึ้นเท่านั้น ในพระคัมภีร์ คำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าทุกครั้งเอ่ยถึง ‘บุตรมนุษย์’ ‘การเสด็จมาของบุตรมนุษย์’ ‘บุตรมนุษย์เสด็จมา’ และ ‘บุตรมนุษย์ในวันของพระองค์’ ‘บุตรมนุษย์’ นี้หมายความว่าอย่างไร? เมื่อเอ่ยถึงคราใด คำนี้ย่อมหมายถึงบุคคลที่กำเนิดจากมนุษย์ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แล้วเหตุใดองค์พระเยซูเจ้าจึงเน้นย้ำคำว่า ‘บุตรมนุษย์’ นี้? พระองค์กำลังตรัสบอกพวกเราว่า ในยุคสุดท้าย พระเจ้าจะทรงกลับมาปรากฏในฐานะบุตรมนุษย์เพื่อสำแดงองค์และทรงพระราชกิจ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยตรัสว่าบุตรมนุษย์ในยุคสุดท้ายจะเป็นชายหรือหญิง ดังนั้นผู้คนจะตัดสินใจในเรื่องนี้กันได้อย่างไร? พวกเราต่างรู้ว่าปฐมกาลบทที่ 1 ข้อ 27 กล่าวว่า ‘พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง’ ตรงนี้พวกเราจะเห็นได้ว่าในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างชายและหญิงตามพระฉายาของพระองค์ ถ้าพวกเรากำหนดว่าพระองค์ทรงเป็นชาย แล้วจะอธิบายเรื่องที่พระเจ้าทรงสร้างหญิงตามพระฉายาของพระองค์เองได้อย่างไร? พวกเราจึงตีกรอบพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดหรือความคิดฝันของตัวเองไม่ได้” จากนั้น ฉันก็เปิดวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนให้ศิษยาภิบาลเฉาดู

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจแต่ละช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง  ย้อนกลับไป เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์เสด็จมาในรูปแบบของชาย และเมื่อพระเจ้าเสด็จมาครั้งนี้ รูปแบบของพระองค์ทรงเป็นหญิง  จากสิ่งนี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าทั้งที่เป็นชายและหญิงสามารถเป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์ได้ และกับพระองค์แล้วนั้น ไม่มีความแตกต่างกันในด้านเพศ  เมื่อพระวิญญาณของพระองค์เสด็จมา พระองค์สามารถใช้มนุษย์ใดๆ ก็ได้ตามที่พระองค์พอพระทัย และมนุษย์ผู้นั้นสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็สามารถแสดงถึงพระเจ้าได้ตราบเท่าที่มนุษย์ผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมา  หากพระเยซูทรงปรากฏเป็นผู้หญิงเมื่อพระองค์เสด็จมา กล่าวคือ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิสนธิในครรภ์เป็นทารกหญิง และไม่ใช่เด็กชาย พระราชกิจในช่วงระยะนั้นจะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม  หากเป็นกรณีนั้น พระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันก็จะต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยชายแทน แต่พระราชกิจก็จะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม  พระราชกิจที่ทรงกระทำในแต่ละช่วงระยะมีนัยสำคัญของช่วงระยะนั้น ทั้งสองระยะจะไม่มีการกระทำซ้ำ และทั้งสองระยะไม่มีความขัดแย้งกัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์)  “ในด้านเพศ การจุติครั้งหนึ่งเป็นชายและอีกครั้งหนึ่งเป็นหญิง ดังนั้นจึงทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์ และขจัดมโนคติที่หลงผิดที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้า กล่าวคือ พระเจ้าสามารถบังเกิดเป็นได้ทั้งชายและหญิง และโดยแก่นสารแล้ว พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นไร้เพศ  พระองค์ทรงสร้างทั้งชายและหญิง และสำหรับพระองค์แล้วไม่มีการแบ่งแยกของเพศ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ)  “หากพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่เป็นชายเท่านั้น ผู้คนก็คงจะนิยามพระองค์ว่าทรงเป็นชาย ทรงเป็นพระเจ้าของผู้ชาย และคงจะไม่มีวันเชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้าของผู้หญิง  เช่นนั้นแล้ว ผู้ชายก็ย่อมจะยึดถือว่าพระเจ้าทรงมีเพศสภาพเช่นเดียวกันกับผู้ชาย ว่าพระเจ้าทรงเป็นประมุขของผู้ชาย—แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้หญิงจะเป็นเช่นไร?  นี่ไม่เป็นธรรม นี่มิใช่การเลือกปฏิบัติหรอกหรือ?  หากเป็นดังนี้แล้วไซร้ ทุกคนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดย่อมจะเป็นชายเหมือนพระองค์ และจะไม่มีผู้หญิงได้รับการช่วยให้รอดสักคนเดียว  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างอาดัมและพระองค์ทรงสร้างเอวา  พระองค์มิได้ทรงสร้างเพียงอาดัมเท่านั้น แต่ทรงสร้างทั้งชายและหญิงในพระฉายาของพระองค์  พระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงพระเจ้าของผู้ชายเท่านั้น—พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของผู้หญิงเช่นกัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3))

ฉันสามัคคีธรรมต่อไปว่า “พวกเราทุกคนรู้ว่าในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างชายและหญิงตามพระฉายาของพระองค์ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่พระเจ้าจะทรงบังเกิดเป็นชาย แต่ก็เป็นหญิงได้เช่นกัน ถ้าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นชายสองครั้ง มนุษย์ก็อาจจะตีกรอบพระองค์ และเชื่อว่าพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ผู้ชายได้เท่านั้น เป็นหญิงไม่ได้—ว่าทรงเป็นพระเจ้าของผู้ชายเท่านั้น ไม่ใช่พระเจ้าของผู้หญิง—นี่ไม่เป็นการเข้าใจพระองค์ผิดอย่างใหญ่หลวงหรอกหรือ? นี่จะทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติกับผู้หญิงไปตลอดกาล  ซึ่งจะไม่เป็นธรรมกับผู้หญิงอย่างแท้จริง พระเจ้าทรงชอบธรรม พระองค์จึงทรงปรากฏในรูปมนุษย์ผู้ชายก่อน และในยุคสุดท้ายก็เป็นผู้หญิง นี่มีนัยสำคัญอย่างมาก แสดงให้เห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงปฏิบัติต่อชายและหญิงเท่าเทียมกัน นี่ทำให้ความหมายของการสร้างชายและหญิงของพระองค์สมบูรณ์ ที่จริง ไม่สำคัญเลยว่าพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่เป็นชายหรือหญิง ตราบเท่าที่บุคคลผู้นี้แสดงความจริงและทำงานแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ เขาก็เป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ และเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาแล้ว พระองค์กำลังทรงแสดงความจริงทั้งมวลที่ชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด ทรงพระราชกิจพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์ เริ่มต้นยุคราชอาณาจักร และสิ้นสุดยุคพระคุณ นี่พิสูจน์ชัดว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา”

ถึงจุดนั้น ศิษยาภิบาลเฉาก็บอกฉันอย่างค่อนข้างจริงจังว่า “พี่น้องหญิง ทุกอย่างที่คุณพูดมาน่ะมีเหตุผล และตัวผมก็โต้แย้งไม่ได้ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ ในปฐมกาล 3:16 พระเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า’ และ 1 โครินธ์ 11:3 กล่าวว่า ‘และชายเป็นศีรษะของหญิง’ จากข้อความเหล่านี้ พวกเราจะเห็นได้ว่า หญิงเป็นแหล่งกำเนิดของความเสื่อมทราม และต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของชาย แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาเป็นหญิงได้อย่างไร?” พอได้ยินคำพูดของคุณเฉา ฉันก็คิดว่า “ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้คุณฟังตั้งเยอะแล้ว และสามัคคีธรรมกับคุณไปมากมาย แต่คุณก็ยังคงขีดเส้นให้พระเจ้าเป็นผู้ชาย ไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่เป็นหญิงได้ ดูเหมือนว่าคุณจะปล่อยวางมโนคติอันหลงผิดของคุณไม่ได้ง่ายๆ” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “มโนคติอันหลงผิดของเขาเกิดจากการที่เขาเข้าใจพระคัมภีร์คลาดเคลื่อน ถ้าเขาเข้าใจความจริง มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็จะถูกขจัดไป” ฉันจึงพูดกับเขาว่า “คุณเฉา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ตรัสในเรื่องนี้ไว้ชัดเจนมาก มาดูกันว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร”

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอดีต เมื่อมีการกล่าวว่าผู้ชายเป็นผู้นำของผู้หญิง คำกล่าวนี้ถูกชี้นำไปยังอาดัมและเอวา ผู้ซึ่งถูกงูล่อลวงไปแล้ว—หาใช่ชายและหญิงตามที่ได้รับการทรงสร้างโดยพระยาห์เวห์ในตอนแรกไม่  แน่นอนว่าผู้หญิงต้องเชื่อฟังและรักสามีของเธอ และสามีต้องเรียนรู้ที่จะหาเลี้ยงและสนับสนุนครอบครัวของเขา  สิ่งเหล่านี้คือธรรมบัญญัติและประกาศกฤษฎีกาที่พระยาห์เวห์ทรงกำหนดขึ้นและที่มนุษย์ต้องปฏิบัติตามในชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลก  พระยาห์เวห์ตรัสต่อผู้หญิงว่า  ‘เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า’ พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพียงเพื่อให้มนุษย์ (นั่นคือ ทั้งชายและหญิง) อาจใช้ชีวิตปกติภายใต้อำนาจครอบครองของพระยาห์เวห์ได้ และเพื่อให้ชีวิตของมนุษย์สามารถมีโครงสร้างและไม่ออกนอกระเบียบอันดีงามเหมาะสมของพวกเขา  ดังนั้น พระยาห์เวห์ทรงสร้างกฎที่เหมาะสมว่าชายและหญิงควรปฏิบัติอย่างไร แม้ว่านี่จะเป็นเพียงในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดที่ใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก และไม่มีความเกี่ยวพันกับมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมาก็ตาม  พระเจ้าจะทรงเป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ได้อย่างไร?  พระวจนะของพระองค์ได้รับการชี้นำไปสู่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นเท่านั้น เพื่อให้มนุษย์ใช้ชีวิตปกติตามที่พระองค์ได้ทรงตั้งกฎต่างๆ ไว้สำหรับชายและหญิง  ในตอนเริ่มต้น เมื่อพระยาห์เวห์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาสองแบบ ทั้งชายและหญิง และดังนั้นจึงมีการแบ่งแยกระหว่างชายและหญิงในมนุษย์ที่พระองค์ทรงจุติมาเป็น  พระองค์ไม่ได้ทรงตัดสินเรื่องการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ตามพระวจนะที่พระองค์ตรัสต่ออาดัมและเอวา  สองครั้งที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น ทั้งสิ้นล้วนได้รับการกำหนดให้สอดคล้องกับพระดำริของพระองค์ ณ เวลาที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นเป็นครั้งแรก นั่นคือ พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจในการจุติเป็นมนุษย์สองครั้งของพระองค์เสร็จสิ้นโดยมีพื้นฐานจากชายและหญิงก่อนที่พวกเขาจะเสื่อมทราม… เมื่อพระยาห์เวห์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้ง เพศของมนุษย์ของพระองค์เกี่ยวข้องกับชายและหญิงที่ยังไม่ถูกงูล่อลวง พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้งโดยเป็นไปตามชายและหญิงที่ยังไม่ถูกงูล่อลวง  อย่าคิดว่าความเป็นชายของพระเยซูเป็นเหมือนกับความเป็นชายของอาดัมที่ถูกงูล่อลวง  ทั้งสองสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง พระองค์และอาดัมเป็นชายที่มีธรรมชาติแตกต่างกัน  คงไม่ใช่อย่างแน่นอนที่ความเป็นชายของพระเยซูเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นำของผู้หญิงทั้งหมด แต่ไม่ใช่ของผู้ชายทั้งหมดกระนั้นหรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นกษัตริย์ของพวกยิวทั้งหมด (รวมถึงทั้งชายและหญิง) หรอกหรือ?  พระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง ไม่ได้ทรงเป็นเพียงผู้นำของผู้หญิง แต่ทรงเป็นหัวหน้าของผู้ชายด้วย  พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง และเป็นประมุขของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลาย  เจ้าสามารถกำหนดว่าความเป็นชายของพระเยซูคือสัญลักษณ์ของการเป็นผู้นำของผู้หญิงได้อย่างไร?  นี่ไม่ใช่การหมิ่นประมาทหรอกหรือ?  พระเยซูทรงเป็นชายคนหนึ่งซึ่งยังไม่ถูกทำให้เสื่อมทราม  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  พระองค์จะทรงเป็นชายอย่างอาดัมซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามได้อย่างไร?  พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่พระวิญญาณอันพิสุทธิ์ที่สุดของพระเจ้าทรงจุติมา  เจ้าจะสามารถกล่าวได้อย่างไรว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มีคุณสมบัติความเป็นชายในแบบของอาดัม?  ในกรณีนั้น ไม่ใช่ว่าพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าเป็นสิ่งผิดไปแล้วหรอกหรือ?  พระยาห์เวห์จะได้ทรงรวมความเป็นชายของอาดัมผู้ถูกงูล่อลวงไว้ภายในพระเยซูแล้วกระนั้นหรือ?  ไม่ใช่ว่าการจุติเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบันเป็นอีกตัวอย่างของพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งทรงจุติเป็นมนุษย์ ผู้มีเพศแตกต่างจากพระเยซูแต่มีลักษณะตามธรรมชาติเหมือนพระองค์หรอกหรือ?  เจ้ายังคงกล้ากล่าวว่าพระเจ้าที่ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่สามารถเป็นหญิงได้ เพราะผู้หญิงคือคนแรกที่ถูกงูล่อลวงกระนั้นหรือ?  เจ้ายังคงกล้ากล่าวว่า เพราะผู้หญิงเป็นมลทินที่สุด และเป็นแหล่งกำเนิดของความเสื่อมทรามของมนุษย์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิงหรือ?  เจ้ากล้ายืนกรานหรือไม่ที่จะกล่าวว่า ‘ผู้หญิงจะต้องเชื่อฟังผู้ชายเสมอไป และอาจไม่มีวันที่จะสำแดงหรือเป็นตัวแทนโดยตรงของพระเจ้าได้’?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์)

ฉันพูดต่อไปว่า “จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเราจะเห็นได้ว่า เมื่อพระเจ้าตรัสกับผู้หญิงว่า ‘เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า’ นี่คือข้อพึงประสงค์และข้อจำกัดที่พระองค์ทรงวางให้มนุษยชาติที่เสื่อมทราม เพื่อให้มนุษยชาติที่เสื่อมทรามใช้ชีวิตภายใต้การปกครองของพระยาห์เวห์พระเจ้าได้อย่างสงบเรียบร้อย ข้อพึงประสงค์นี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทั้งนั้น ก็เหมือนในพันธสัญญาเดิม เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้ามีพระบัญชาให้มนุษย์รักษาวันสะบาโต นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงร้องขอจากมนุษย์—มนุษย์ไม่อาจขอสิ่งนี้จากองค์พระเยซูเจ้าได้ ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์ ไม่ได้ทรงสร้างมนุษย์ไว้เพื่อวันสะบาโต เพราะฉะนั้นบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโตด้วย(มาระโก 2:27-28)  ดังนั้น แม้พระคัมภีร์จะกล่าวว่า ‘เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า(ปฐมกาล 3:16) ‘และชายเป็นศีรษะของหญิง’ (1 โครินธ์ 11:3) สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เลย ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่เป็นชายหรือหญิง ก็เป็นเนื้อหนังที่พระวิญญาณสวมใส่เสมอ และเป็นพระเจ้าพระองค์เองเสมอ ถ้ามนุษย์ใช้คำเหล่านี้มาตีกรอบพระเจ้าให้เป็นชาย ไม่อาจเป็นหญิงได้ และปฏิเสธพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย นี่ไม่เป็นการจัดให้พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันกับมนุษย์ที่เสื่อมทรามหรอกหรือ? นี่ไม่เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าหรือ?” เมื่อฟังฉันจบ เขาก็ตกตะลึง เขาพูดอย่างค่อนข้างเคร่งขรึมว่า “พี่น้องหญิง ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในรูปมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ต้องทรงเกิดเป็นมนุษย์ และมีเพศ ครั้งนี้ผมยอมรับไม่ได้ทันทีว่าพระองค์ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพศหญิง ผมต้องอธิษฐานและขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความรู้แจ้งแก่ผม” พอศิษยาภิบาลพูดแบบนี้ ฉันก็กังวลและงุนงงเล็กน้อย ฉันสามัคคีธรรมไปตั้งมาก—ทำไมเขายังละทิ้งมโนคติอันหลงผิดของตัวเองไม่ได้อีก? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้หรือไร?  เขาไม่ใช่แกะของพระเจ้าหรือเปล่า? ฉันควรคุยกับเขาต่อไปไหม? ฉันควรเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้? ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในหัวใจ

หลังจากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผู้คนต้องทำให้ความรับผิดชอบของตนลุล่วงและจัดการกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐอย่างจริงจังตั้งใจ  พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดในขอบข่ายที่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และผู้คนต้องคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาต้องรอบคอบ ไม่มองข้ามผู้ใดก็ตามที่กำลังแสวงหาและสืบเสาะหนทางที่แท้จริง…ผู้คนบางคนที่กำลังสืบเสาะหนทางที่แท้จริงอยู่นั้นมีความสามารถในการจับใจความและมีขีดความสามารถดีเยี่ยม แต่โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ  พวกเขายึดติดกับมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาอย่างแนบแน่น ดังนั้น เจ้าควรสามัคคีธรรมเรื่องความจริงกับพวกเขาด้วยความรักและความอดทนเพื่อคลี่คลายแก้ไขปัญหานี้  เจ้าควรยอมแพ้หากพวกเขาไม่ยอมรับความจริงไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไรเท่านั้น เช่นนั้น เจ้าก็จะได้ทำทุกสิ่งที่เจ้าทำได้แล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้หัวใจที่กระวนกระวายของฉันสงบลง พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเราเปี่ยมรักและอดทนกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ไม่ว่าสุดท้ายพวกเขาจะยอมรับข่าวประเสริฐหรือไม่ พวกเราก็ได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ฉันตระหนักว่าฉันยังไม่ได้ทำทั้งหมดที่ควรทำตอนที่แบ่งปันข่าวประเสริฐกับศิษยาภิบาลเฉา ฉันไม่ได้ทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เมื่อเห็นว่าเขายึดติดในพระคัมภีร์ ยังไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ ฉันก็คิดว่าเขาจะไม่มีวันยอมรับความจริง เขามีมโนคติอันหลงผิดเรื่องการทรงปรากฏในรูปหญิงของพระเจ้า และไม่ได้เข้าใจสามัคคีธรรมของฉันทันที ฉันจึงหมดความอดทนอีกครั้ง ฉันมีอคติกับศิษยาภิบาลเฉา คิดว่าพวกศิษยาภิบาลตระหนักรู้พระสุรเสียงของพระเจ้าไม่ได้ง่ายๆ พอเขามีมโนคติอันหลงผิดที่ก้าวข้ามไม่ได้ ฉันก็ตีกรอบเขา ถึงกับอยากจะถอดใจจากเขา ฉันนึกถึงที่พระเจ้าทรงเพียรพยายามเพื่อช่วยมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามให้รอด และที่พระองค์ทรงแสดงพระวจนะมากมายเพื่อบำรุงเลี้ยงพวกเรา เพื่อช่วยให้พวกเราเข้าใจความจริง พระองค์ทรงสามัคคีธรรมกับพวกเรา ทรงอธิบายความจริงแต่ละข้ออย่างทะลุปรุโปร่ง พระองค์ตรัสเป็นเรื่องเล่าและอุปมาอุปไมยในทุกแง่ทุกมุม เพื่อให้มีรายละเอียดและความกระจ่างเพียงพอ ฉันเห็นว่าความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษยชาติและสิ่งที่พระองค์ทรงสละเพื่อพวกเรานั้นยิ่งใหญ่ จนไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูดได้ แต่ในการทำหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐของฉัน ฉันกลับหลีกเลี่ยงความยากลำบาก และอยากถอดใจจากศิษยาภิบาลเฉา หัวใจอันเปี่ยมรักของฉันอยู่ที่ไหน? ฉันปฏิบัติหน้าที่ของตนเองแบบนี้ได้อย่างไร? แม้ว่าศิษยาภิบาลเฉาจะไม่ยอมเชื่อตามทันที ฉันก็จะใจร้อนไม่ได้ ฉันต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความรัก และถ้าเขาไม่เข้าใจ ฉันก็ต้องใช้เวลาสามัคคีธรรมให้มากขึ้น อธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า ขอให้ประทานความรู้แจ้งแก่ศิษยาภิบาลคนนี้

พอคิดแบบนี้ ฉันก็สามัคคีธรรมกับศิษยาภิบาลเฉาต่อไป “เมื่อพวกเราเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเราย่อมเชื่อในความจริงที่พระองค์ทรงแสดง ไม่ว่าการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าจะเป็นหญิงหรือชาย ตราบใดที่พระองค์ทรงแสดงความจริง ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมนุษย์ให้รอดได้ พระองค์ก็คือพระเจ้าพระองค์เอง และพวกเราต้องเชื่อและยอมรับพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจมาสามสิบกว่าปี แสดงพระวจนะนับล้าน พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งมวลซึ่งจะขจัดบาปของมวลมนุษย์และนำพวกเราไปสู่ความรอดของพระเจ้า หลายคนที่โหยหาให้พระเจ้าทรงปรากฏ จากทุกศาสนาและทุกนิกาย ได้รับรู้พระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และหันเข้าหาพระองค์ คนเหล่านี้ล้วนเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญา พวกเขาได้รับการพิพากษาและตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า มองเห็นความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตนเอง รู้สึกเสียใจ และดูหมิ่นตนเอง เมื่อตระหนักว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ทนต่อการล่วงเกิน พวกเขาจึงยำเกรงพระเจ้า กลับใจอย่างแท้จริง และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้นมาก่อนที่จะเกิดความวิบัติ—พวกเขาคือผลแรกตามที่เผยพระวจนะไว้ในวิวรณ์ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และคำพยานของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งมีชัยชนะเหนือซาตาน ได้ถูกโพสต์ไว้ทางออนไลน์นานแล้ว เป็นพยานยืนยันต่อมวลมนุษย์ว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงกลับมาแล้ว มีผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ จากทุกชนชาติที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริง พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สิ้นสุดแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ช่วยพวกเราให้รอดจากแดนครอบครองของซาตานอย่างสมบูรณ์ ทุกอย่างสัมฤทธิ์ด้วยพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พิสูจน์อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ซึ่งก็คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมานั่นเอง นี่หมายความว่า การตัดสินว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาหรือไม่ จะดูที่เพศอย่างเดียวไม่ได้ พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ไหม?  นี่คือกุญแจสำคัญ” มาถึงจุดนี้ ศิษยาภิบาลเฉาพูดอย่างขึงขังว่า “พี่น้องหญิง ผมเข้าใจสามัคคีธรรมของคุณได้ ถ้ามีใครที่แสดงความจริงและดำเนินงานแห่งความรอดได้ เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย พวกเขาก็คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ตอนนี้หัวใจของผมสว่างขึ้นแล้ว!”

จากนั้น ศิษยาภิบาลเฉาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกมาก มโนคติอันหลงผิดของเขาได้รับการแก้ไข และเขาก็ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า

ผ่านทางประสบการณ์แบ่งปันข่าวประเสริฐนี้ ฉันจึงเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าล้วนกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นศิษยาภิบาล หรือผู้อาวุโส ไม่ว่าพวกเขาจะมีความรู้ในพระคัมภีร์ มีการเรียนรู้ทางศาสนศาสตร์ หรือมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาอย่างไร ก็ล้วนไร้อำนาจต่อหน้าความจริง ตราบใดที่พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ ยอมรับฟังบ้าง และเต็มใจแสวงหาความจริง พวกเขาก็จะหาคำตอบในพระวจนะของพระเจ้าได้กันทุกคน และจะถูกพระวจนะพิชิตในที่สุด เมื่อฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐกับศิษยาภิบาลเฉา ฉันคิดว่าคงยากที่ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสจะยอมรับความจริง ฉันจึงมีอคติกับศิษยาภิบาลเฉา ระหว่างแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเขา พอเห็นว่าเขายึดติดในมโนคติอันหลงผิด ฉันก็ตัดสินไปว่าเขาไม่อาจเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้า และเกือบจะหมดหวังในตัวเขาแล้ว แต่เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้านำทางฉัน ฉันจึงสามารถเข้าใจตนเองและทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นได้

ต่อมา ฉันได้ดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ที่ให้ความกระจ่างว่าควรจัดการผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐที่มีมโนคติอันหลงผิดอย่างไร “หากบุคคลผู้กำลังสืบเสาะหนทางที่แท้จริงถามคำถามหนึ่งซ้ำๆ เจ้าควรตอบอย่างไร?  เจ้าไม่ควรรังเกียจที่จะใช้เวลาและเป็นธุระในการตอบพวกเขา และควรหาทางสามัคคีธรรมเกี่ยวกับคำถามของพวกเขาให้กระจ่าง จนกระทั่งพวกเขาเข้าใจและไม่ถามคำถามนั้นอีก  เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้ปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเจ้าให้ลุล่วง และหัวใจของเจ้าก็จะเป็นอิสระจากความรู้สึกผิด  ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าจะเป็นอิสระจากการรู้สึกผิดต่อพระเจ้าในเรื่องนี้ เพราะหน้าที่นี้ ความรับผิดชอบนี้ ได้รับการมอบหมายให้แก่เจ้าโดยพระเจ้า  เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำถูกกระทำไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กระทำโดยอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เมื่อนำทุกสิ่งทุกอย่างมาเทียบดูตามพระวจนะของพระเจ้า และกระทำทุกสิ่งนั้นตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้ว การปฏิบัติของเจ้าย่อมจะสอดคล้องกับความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  ในหนทางนี้ ทุกสิ่งที่เจ้าพูดและทำย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คน และพวกเขาจะเห็นชอบและยอมรับมันโดยง่าย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจแล้วว่า ไม่ว่าปัญหาหรือมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาของพวกเขาจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ไม่ควรมีอคติหรือตีกรอบพวกเขาตามอำเภอใจ ยิ่งไม่ควรหมดหวังในตัวพวกเขา แต่พวกเราควรปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าแทน “เจ้าไม่ควรรังเกียจที่จะใช้เวลาและเป็นธุระในการตอบพวกเขา และควรหาทางสามัคคีธรรมเกี่ยวกับคำถามของพวกเขาให้กระจ่าง” สามัคคีธรรมความจริงที่พวกเราเข้าใจให้แก่พวกเขาอย่างดีที่สุด จนกว่ามโนธรรมของพวกเราจะกระจ่างชัด นี่ยังเป็นความรับผิดชอบของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกด้วย ต่อไปในภายหน้า ไม่ว่าฉันจะเจอผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐแบบไหน ถ้าพวกเขามีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี และเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เต็มใจที่จะสามัคคีธรรมความจริงและเป็นพยานให้แก่พระเจ้าอย่างเต็มที่ เพื่อให้คนที่โหยหาการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างจริงใจกลับมาหาพระองค์โดยเร็วที่สุด และต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า:  21. การรายงานที่ผิดพลาด

ถัดไป:  24. แขวนอยู่บนเส้นด้าย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger