69. หลังจากพบว่าแม่เป็นมะเร็ง

ในเดือนมิถุนายน 2023 ฉันต้องออกจากบ้านไปทำหน้าที่เนื่องจากความต้องการงานข่าวประเสริฐ เพราะฉันรู้ว่าฉันจะไม่ได้กลับบ้านอีกสักพัก ฉันเลยคิดว่าจะกลับบ้านไปบอกให้พ่อแม่รู้ แล้วเก็บเสื้อผ้าบางส่วนไปด้วย ตอนที่ฉันไปถึง ฉันเห็นแม่มีท่อสอดอยู่ที่แขน สีหน้าดูซีดเซียว ฉันถามแม่ว่าเป็นอะไร แล้วแม่ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวผ่าตัดนิดหน่อยก็ดีขึ้น แต่ภาพที่เห็นดูจะแย่กว่านั้น ฉันเลยขอดูประวัติการรักษาของแม่ ประวัติบันทึกไว้ว่าแม่มีก้อนเนื้อร้าย 3 ชนิด ฉันตกตะลึง แม่ของฉันเป็นมะเร็ง!  ก้อนเนื้อพวกนั้นเป็นเนื้อร้าย แล้วแม่จะหายดีจริงเหรอ?  ถ้าหากการรักษาไม่ได้ผลล่ะ พ่อของฉันบอกว่า “ตอนนี้แม่กำลังเข้ารับการเคมีบำบัด ส่วนการรักษาจะสำเร็จไหมนั้นขึ้นอยู่กับผลของการเคมีบำบัด” ฉันรู้ว่ามันขึ้นอยู่กับการอนุญาตของพระเจ้าและฉันพร่ำบ่นไม่ได้ ฉันเลยอธิษฐานขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองหัวใจของฉัน พ่อจึงเริ่มเล่าให้ฉันฟังว่า ตอนที่แม่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันไปคอยเฝ้าดูแลแม่ และยังรับงานเพิ่มอีกงานเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ารักษาของแม่ ฉันเสียใจไม่น้อยหลังจากฟังจบ ฉันเป็นลูกคนโตของครอบครัว ฉันควรเป็นคนจัดการเรื่องเหล่านี้สิ แต่กลายเป็นว่าฉันยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้เลย พ่อแม่จะคิดว่าฉันไม่มีจิตสำนึก อกตัญญู และเลี้ยงเสียข้าวสุกหรือเปล่า แม่พูดปลอบใจฉันว่า “ไม่ต้องห่วงนะ แล้วก็ไม่ต้องกลัว เราจะอยู่ได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้า แค่มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ลูกจำเป็นต้องทำ ไม่ต้องเป็นห่วงแม่หรอก” ได้ยินแม่พูดแบบนั้น ฉันยิ่งรู้สึกอยากอยู่ดูแลแม่มากขึ้น แต่งานที่คริสตจักรก็เยอะจนล้นมือ และฉันรู้ดีว่าฉันอยู่บ้านได้อีกไม่นานนัก พอได้เห็นแม่เป็นแบบนี้ ฉันไม่อยากบอกพวกท่านเลยว่าฉันวางแผนจะไปทำหน้าที่ของตัวเองไกลจากบ้าน ฉันเลยตัดสินใจรีบออกจากบ้านโดยไม่บอกอะไรเลย

ระหว่างเดินทาง ในหัวของฉันมีแต่เรื่องแม่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลโดยไม่มีใครดูแล และน้องชายก็ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ารักษาให้แม่ ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็รู้สึกแย่ยิ่งขึ้น ฉันรู้สึกว่าในฐานะลูกสาว ฉันควรอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลแม่เวลาท่านป่วย แต่นอกจากไม่สามารถดูแลแม่ได้แล้ว ฉันยังช่วยอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าคนอื่นได้ยินเรื่องนี้ จะพูดเกี่ยวกับฉันว่ายังไงนะ จะบอกว่าฉันไร้จิตสำนึกและเนรคุณหรือเปล่า แล้วน้องชายจะตำหนิฉันไหม ยิ่งคิดมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกแย่ แล้วท้ายที่สุดฉันก็หมดความตั้งใจแน่วแน่ที่จะออกจากบ้านไปทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันกล่าวกับพระเจ้าอยู่ในใจว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อาจออกจากบ้านเพื่อไปทำหน้าที่ได้ แม่ของข้าพระองค์เป็นมะเร็ง และถ้าข้าพระองค์ไปตอนนี้ ก็อาจจะไม่ได้เจอท่านอีก!  ข้าพระองค์จะทำหน้าที่ของตนที่นี่ เพื่อข้าพระองค์จะได้เจอแม่ได้เมื่อมีเวลาว่าง” หลังจากนั้นฉันก็ยังทำหน้าที่อยู่ แต่กลับหยุดคิดไม่ได้เลย ฉันเอาแต่คิดว่า “ตอนนี้แม่จะเป็นยังไงบ้าง” ฉันอยากหาเวลากลับบ้านเพื่อเจอแม่ ฉันรู้ว่าสภาวะของฉันไม่ปกติ จึงค้นหาพระวจนะของพระเจ้ามาอ่าน ฉันเจอบทตอนนี้ที่กล่าวว่า “ในทุกๆ ช่วงเวลาและทุกๆ ช่วงระยะ ย่อมมีสิ่งที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างซึ่งขัดต่อมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเกิดขึ้นในคริสตจักร  ตัวอย่างเช่น บางคนเจ็บป่วย ผู้นำและคนทำงานถูกเปลี่ยนตัว บางคนถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไป บางคนก็เผชิญหน้ากับการทดสอบของชีวิตและความตาย คริสตจักรบางแห่งถึงกับมีคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อการรบกวน และอื่นๆ  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่เป็นครั้งคราว แต่ไม่มีครั้งใดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญทั้งสิ้น  สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นผลจากอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ช่วงเวลาอันแสนสงบสุขอาจถูกขัดจังหวะอย่างกระทันหันจากอุบัติการณ์ต่างๆ หรือเหตุการณ์อันผิดปกติทั้งหลายซึ่งเกิดขึ้นรอบตัวพวกเจ้า หรือเกิดขึ้นกับพวกเจ้าเอง และการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านี้ก็ทำลายระเบียบอันเป็นปกติและความเป็นปกติของชีวิตผู้คน  จากภายนอกแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน ผู้คนไม่อยากประสบพบเจอหรือไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับพวกเขา  เช่นนั้นแล้วการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่?… ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ พระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง  ถึงแม้ผู้คนจะสามารถเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้ในทางทฤษฎี แล้วผู้คนควรปฏิบัติต่ออธิปไตยของพระเจ้าอย่างไร?  นี่คือความจริงที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหาและเข้าใจ และพวกเขาก็ควรปฏิบัติความจริงนี้โดยเฉพาะ  หากผู้คนเพียงยอมรับอธิปไตยของพระเจ้าในทางทฤษฎี แต่ไม่มีความเข้าใจจริงในเรื่องนี้ อีกทั้งมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเองก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ากี่ปีและมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากแค่ไหน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะยังไม่สามารถได้รับความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (11))  ฉันได้เข้าใจผ่านพระวจนะของพระเจ้าว่า ผู้คนจะได้พบเจอกับสถานการณ์ยากลำบากในช่วงต่างๆ ของชีวิต แม้อาจจะไม่อยากพบเจอ แต่เจตนารมณ์ของพระเจ้าแฝงอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น ถ้าเราไม่แสวงหาความจริง ใช้ชีวิตอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเรา เข้าใจผิดและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์ ก็จะยากที่จะเรียนรู้บทเรียนจากสถานการณ์เหล่านี้ได้ ฉันได้เรียนรู้บทเรียนจากการที่แม่ล้มป่วย ฉันต้องแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเอง ฉันทบทวนถึงการที่เมื่อรู้ว่าแม่เป็นมะเร็ง ฉันกังวลว่าการรักษาจะไม่ได้ผล ฉันยังกังวลว่าถ้าฉันไม่ดูแลแม่เวลาที่แม่ไปทำเคมีบำบัดที่โรงพยาบาล แม่จะเสียใจไหม จะคิดว่าเลี้ยงฉันมาเสียเปล่าไหม เพราะกังวลแบบนี้ ฉันจึงรู้สึกหมดความตั้งใจแน่วแน่ที่จะออกจากบ้านไปทำหน้าที่ทันที ฉันถึงกับใช้เหตุผลกับพระเจ้าอยู่ในหัวใจ ฉันรู้สึกว่าฉันต้องดูแลแม่อยู่ข้างหลังขณะที่ท่านป่วยอยู่ตอนนี้ และออกจากบ้านไปทำหน้าที่ของฉันไม่ได้ ฉันปล่อยใจไปตามอารมณ์มากเกินไป ฉันต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมัน

หลังจากนั้น ฉันได้หาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่เกี่ยวข้องมาอ่าน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีคำกล่าวในโลกของผู้ไม่มีความเชื่ออยู่ว่า ‘กาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารให้ ส่วนลูกแกะคุกเข่ารับน้ำนมจากแม่’  ยังมีคำกล่าวนี้อีกด้วยว่า ‘คนอกตัญญูต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน’  คำกล่าวเหล่านี้ฟังดูใหญ่โตยิ่ง!  อันที่จริง ปรากฏการณ์ที่คำกล่าวข้อแรกเอ่ยถึงเรื่องกาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารให้ ส่วนลูกแกะคุกเข่ารับน้ำนมจากแม่นั้นมีอยู่จริง นี่คือข้อเท็จจริง  อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงปรากฏการณ์ในโลกของสัตว์เท่านั้น  เป็นเพียงกฎอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้แก่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต่างๆ และเป็นกฎที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสารพัดชนิด รวมถึงมนุษย์ ต่างก็ปฏิบัติตาม… เหตุใดผู้คนจึงพูดเรื่องแบบนั้น?  เพราะในสังคมและในกลุ่มคน มีแนวคิดและฉันทามติต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง  หลังจากที่ผู้คนถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำ กัดกร่อน และทำให้ผุพัง ในตัวพวกเขาย่อมเกิดวิธีตีความและวิธีรับมือสัมพันธภาพพ่อแม่ลูกที่แตกต่างออกไป และในที่สุดพวกเขาก็จะปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตนดุจดังเจ้าหนี้—เป็นเจ้าหนี้ที่ชั่วชีวิตนี้พวกเขาจะไม่มีวันสามารถใช้คืนได้หมด  มีแม้กระทั่งบางคนที่รู้สึกผิดไปชั่วชีวิตหลังจากที่พ่อแม่ตาย พวกเขาคิดไปว่าตนนั้นไม่คู่ควรกับความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่ เพราะพวกเขาทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ไม่มีความสุข หรือไม่ได้เป็นไปในทางที่พ่อแม่อยากให้เป็น  จงบอกเราเถิด นี่เกินเหตุมิใช่หรือ?  ผู้คนดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกของตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ถูกแนวคิดต่างๆ ที่เกิดจากความรู้สึกเหล่านี้แทรกแซงและรบกวน  ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นผลมาจากอุดมคติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม ดังนั้นพวกเขาจึงถูกแนวคิดต่างๆ ที่คลาดเคลื่อนคอยแทรกแซงและรบกวน ซึ่งทำให้ชีวิตของพวกเขาเหนื่อยล้าและไม่ค่อยเรียบง่ายอย่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอื่นๆ  อย่างไรก็ดี ตอนนี้ด้วยเหตุที่พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจ และเพราะพระองค์กำลังแสดงความจริงเพื่อบอกผู้คนเรื่องธรรมชาติที่แท้จริงของข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ และเพื่อทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริง หลังจากที่เจ้ามาเข้าใจความจริงแล้ว แนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ก็จะไม่เป็นภาระแก่เจ้าอีกต่อไป และจะไม่ทำหน้าที่ชี้นำอีกต่อไปว่าเจ้าควรรับมือสัมพันธภาพที่มีกับพ่อแม่ของเจ้าอย่างไร  ถึงตอนนั้น ชีวิตของเจ้าก็จะผ่อนคลายมากขึ้น  การมีชีวิตที่ผ่อนคลายไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าสิ่งใดคือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า—เจ้าจะยังคงรู้สิ่งเหล่านี้  เพียงแต่การมีชีวิตที่ผ่อนคลายนั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเลือกที่จะรับมือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้าด้วยมุมมองและวิธีการใด  ทางหนึ่งนั้นคือการเดินไปตามเส้นทางของความรู้สึก และรับมือสิ่งเหล่านี้ด้วยหนทางที่ใช้อารมณ์ ด้วยวิธีการ แนวคิด และทัศนะที่ซาตานชี้นำมนุษย์  อีกทางหนึ่งเป็นการรับมือสิ่งเหล่านี้ตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัสสอนมนุษย์  เมื่อผู้คนจัดการเรื่องเหล่านี้ตามแนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนของซาตาน พวกเขาก็ได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในภาวะความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงของตน และไม่เคยแยกแยะถูกผิดได้  ภายใต้รูปการณ์เหล่านี้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ชีวิตอยู่ในบ่วง พัวพันอยู่กับเรื่องราวต่างๆ เสมอ เช่น ‘เธอถูก ฉันผิด  เธอให้ฉันมากกว่า ฉันให้เธอน้อยกว่า  เธอไม่รู้คุณ  เธอทำเกินไป’  ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยมีห้วงเวลาที่พวกเขาพูดจากันอย่างชัดเจน  อย่างไรก็ดี หลังจากที่ผู้คนเข้าใจความจริง และเมื่อพวกเขาหนีพ้นแนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนของตน หนีพ้นความรู้สึกต่างๆ ที่โยงใยอยู่ เรื่องเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา  ถ้าเจ้ายึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง แนวคิด หรือทัศนะที่ถูกต้องซึ่งมาจากพระเจ้า ชีวิตของเจ้าก็จะผ่อนคลายลงอย่างมาก  จะไม่ถูกความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ การตระหนักรู้ทางมโนธรรมของเจ้า และภาระที่มาจากความรู้สึกของเจ้าคอยกีดขวางอีกต่อไปว่าเจ้าควรรับมือสัมพันธภาพที่มีกับพ่อแม่อย่างไร ตรงกันข้าม สิ่งเหล่านี้จะทำให้เจ้าสามารถเผชิญหน้าความสัมพันธ์นี้ได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผล  ถ้าเจ้ากระทำการตามหลักธรรมความจริงที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ ต่อให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เจ้าลับหลัง เจ้าก็จะยังคงรู้สึกว่าสงบและมีสันติสุขอยู่ในหัวใจส่วนลึกของเจ้า และเรื่องนั้นก็จะไม่ส่งผลต่อเจ้า  อย่างน้อยที่สุด เจ้าจะไม่ต่อว่าตัวเองว่าเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจหรือรู้สึกว่าถูกมโนธรรมกล่าวหาอยู่ในหัวใจส่วนลึกของเจ้าอีกต่อไป  นี่เป็นเพราะเจ้าจะรู้ว่าการกระทำทั้งหมดของเจ้าดำเนินไปตามวิธีการที่พระเจ้าทรงสอนเจ้าเอาไว้ และเจ้าก็กำลังฟังและนบนอบพระวจนะของพระเจ้า กำลังเดินไปตามหนทางของพระองค์  การฟังพระวจนะของพระเจ้าและเดินไปตามหนทางของพระองค์คือสำนึกทางมโนธรรมที่ผู้คนพึงมีมากที่สุด  เจ้าจะเป็นคนที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เท่านั้น  ถ้าเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ไม่สำเร็จ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่)” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (17))  ฉันได้เข้าใจผ่านพระวจนะของพระเจ้าว่า สาเหตุที่ฉันทุกข์ใจเป็นเพราะทัศนะที่คลาดเคลื่อน อย่าง “ความกตัญญูต่อบุพการีคือคุณธรรมที่ต้องยึดถือเหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง” และ “ผู้อกตัญญูนั้นนับว่าต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน” ซึ่งซาตานปลูกฝังฉันให้เชื่อแบบนั้นจนหยั่งรากลึกในความรู้สึกนึกคิดของฉัน ฉันรู้สึกว่าถ้าฉันกตัญญูต่อพ่อแม่ไม่ได้ ก็หมายความว่าฉันเป็นลูกสาวเนรคุณอกตัญญู ฉันรู้สึกว่าการเลี้ยงดูฉันมาต้องยากลำบากไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อฉันเกิดในสมัยที่เด็กผู้ชายและผู้ชายอยู่เหนือกว่า นั่นหมายความว่าแม่ต้องทนเจอความอับอายและคำดูถูกมากมายเพราะฉันเป็นเด็กผู้หญิง แต่แม่ก็รักฉันมากกว่าน้องชาย ท่านยังสนับสนุนความเชื่อและหน้าที่ของฉันเป็นพิเศษ แม่รู้ว่าฉันรักท่านมาก เพราะอย่างนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นที่บ้าน แม่จะไม่บอกฉัน เพราะกลัวว่าจะกวนใจและส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของฉัน ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์หรือการเงิน แม่ก็สนับสนุนฉันมาก และมักจะผลักดันให้ฉันทำหน้าที่อย่างถูกควร พอคิดเรื่องเหล่านี้ แล้วฉันยังอยู่ข้างๆ คอยดูแลแม่เวลาป่วยไม่ได้ ฉันก็เสียใจมาก ฉันคิดเสมอว่าในฐานะลูกสาว ถ้าฉันไม่ให้เกียรติพ่อแม่ หรือไม่ดูแลพ่อแม่ตอนพวกท่านป่วย ก็นับว่าเป็นพฤติกรรมที่อกตัญญูและเนรคุณ ฉันจึงรู้สึกผิดและละอายที่จะเจอหน้าพวกท่าน ฉันได้รับอิทธิพลจากพิษของซาตานมากเกินไป!  ถ้าฉันยังปฏิบัติต่อเรื่องนี้ผ่านมุมมองของการรักใคร่เอ็นดูและทัศนะดั้งเดิม ฉันต้องแบกรับสัมภาระทางอุดมคตินี้ คิดแต่ว่าเป็นลูกอกตัญญูที่ไม่ดูแลแม่ คงเป็นวิถีชีวิตที่เหนื่อยและทุกข์ใจมาก ฉันต้องปล่อยวางเรื่องนี้อย่างจริงจัง แล้วเรียนรู้ที่จะมองผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้า เพียงเท่านั้นฉันถึงจะละทิ้งความทุกข์นี้ได้

หลังจากนั้น ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ทำให้ฉันเห็นชัดเจนขึ้นว่าควรปฏิบัติต่อความสัมพันธ์กับพ่อแม่อย่างไร พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ในฐานะลูก เจ้าควรเข้าใจว่าพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก  มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าต้องทำในชีวิตนี้ และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงทำทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่  การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ การตอบแทน การตอบกลับความใจดีมีเมตตาของพวกเขา—สิ่งเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับภารกิจในชีวิตของเจ้า  กล่าวได้อีกด้วยว่าไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะต้องแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ ตอบแทน หรือลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขา  กล่าวง่ายๆ ก็คือ เจ้าอาจทำเรื่องนี้ได้บ้างและลุล่วงความรับผิดชอบได้บ้างเมื่อรูปการณ์ของเจ้าเปิดโอกาสให้ทำ ยามที่รูปการณ์ไม่เปิดโอกาสให้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น  ถ้าเจ้าไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าที่จะกตัญญูต่อพ่อแม่ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่ขัดกับมโนธรรมของเจ้า ศีลธรรมของมนุษย์ และมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์บ้างเท่านั้น  แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้ขัดกับความจริง และพระเจ้าก็จะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าในเรื่องนี้  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง มโนธรรมของเจ้าจะไม่รู้สึกว่าถูกตำหนิเพราะเรื่องนี้  คราวนี้เมื่อพวกเจ้าเข้าใจความจริงแง่นี้แล้ว หัวใจของพวกเจ้าย่อมจะรู้สึกมั่นคงแล้วมิใช่หรือ? (ใช่) บางคนกล่าวว่า ‘แม้พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษฉัน แต่ในมโนธรรมของตนเอง ฉันยังผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ ฉันรู้สึกไม่มั่นคง’  ถ้าเจ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าก็มีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และยังไม่เข้าใจหรือรู้ทันแก่นแท้ของเรื่องนี้  เจ้าไม่เข้าใจชะตาชีวิตของมนุษย์ ไม่เข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า ไม่เต็มใจที่จะยอมรับอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า  เจ้ามีเจตจำนงของมนุษย์และความรู้สึกของตนเองอยู่เสมอ และสิ่งเหล่านี้ก็คอยขับเคลื่อนและครอบงำเจ้า กลายเป็นชีวิตของเจ้าไปแล้ว  ถ้าเจ้าเลือกเจตจำนงของมนุษย์และความรู้สึกของตนเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เคยเลือกความจริง เจ้าไม่ได้ปฏิบัติความจริงหรือนบนอบความจริง  ถ้าเจ้าเลือกเจตจำนงของมนุษย์และความรู้สึกของตนเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศความจริง  เห็นได้ชัดว่ารูปการณ์และสภาพแวดล้อมของเจ้าไม่เปิดโอกาสให้เจ้าแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ แต่เจ้าก็คิดอยู่เสมอว่า ‘ฉันติดหนี้พ่อแม่  ฉันไม่เคยแสดงความกตัญญูต่อพวกท่าน  พ่อแม่ไม่ได้เห็นหน้าฉันมาหลายปีแล้ว  พวกท่านเลี้ยงดูฉันมาเหนื่อยเปล่า’  ในส่วนลึกของหัวใจ เจ้าไม่เคยปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้  นี่พิสูจน์ให้เห็นสิ่งหนึ่งคือ เจ้าไม่ยอมรับความจริง  ในแง่ของคำสอน เจ้ารับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง แต่เจ้าไม่ยอมรับว่าพระวจนะคือความจริง หรือใช้พระวจนะเป็นหลักธรรมแห่งการกระทำของเจ้า  ดังนั้น เจ้าจึงไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างน้อยที่สุดก็ในเรื่องที่ว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างไร  เพราะในเรื่องนี้เจ้าไม่ได้กระทำการตามความจริง เจ้าไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า กลับเอาแต่ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์และความต้องการทางมโนธรรมของตนเท่านั้น อยากแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่และตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา  แม้พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าที่เลือกสิ่งนี้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าเลือก แต่ในที่สุดคนที่จะพลาดท่าเสียที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของชีวิต ก็คือเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (17))  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกได้รับความกระจ่างแจ้งขึ้นมาก ฉันเห็นแล้วว่าหนทางที่พ่อแม่เลี้ยงดูฉันมาล้วนเป็น อธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ที่แม่ดูแลอย่างเมตตาเป็นพระคุณจากพระเจ้าอย่างแท้จริง หลังจากเข้าสู่ความเชื่อ แม่ให้การสนับสนุนกับฉันมากเพื่อให้ฉันทำหน้าที่ได้อย่างไร้กังวล เรื่องนี้อาจดูเหมือนเป็นความเมตตาของแม่ แต่ความเป็นจริง เป็นเพราะพระองค์ทรงทราบวุฒิภาวะของฉัน และทรงจัดการเตรียมการสิ่งต่างๆ ตามความจำเป็นของฉัน เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของแม่ ที่ต้องสนับสนุนความเชื่อของฉัน พระเจ้าตรัสว่าพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของเรา และการกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพัน ไม่ใช่ภารกิจในฐานะผู้คน หากเงื่อนไขต่างๆ ถูกต้องแล้ว เราสามารถดูแลและแสดงความกตัญญูต่อพวกท่านได้ แต่หากไม่ถูกต้องและเราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสื่อมเสีย เพราะมีอีกหลายสิ่งที่เราต้องทำในชีวิตนี้ เรามีหน้าที่ที่ควรทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ มีผู้ไม่มีความเชื่อจำนวนมากที่ต้องใช้เวลาอยู่ห่างจากพ่อแม่เพราะการงานและครอบครัว และไม่สามารถดูแลพ่อแม่ได้ แต่ผู้คนเข้าใจและไม่ประณามหรือล้อเลียนพวกเขา สำหรับฉันแล้ว ฉันจมอยู่ในความสำนึกบุญคุณพ่อแม่ บ่อยครั้งที่รู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดที่ไม่สามารถอยู่ดูแลพวกท่านได้ จนถึงกับเลือกไม่ออกจากบ้านไปทำหน้าที่ของตนเอง การรักใคร่เอ็นดูของฉันลึกซึ้งเกินไป เราอยู่ในช่วงที่ข่าวประเสริฐเผยแผ่ไปอย่างยิ่งใหญ่ และในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันควรจะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ฉันควรนำพี่น้องชายหญิงให้เป็นพยานถึงข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และให้โอกาสผู้คนมากขึ้นได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และได้รับการช่วยให้รอดจากพระองค์ในยุคสุดท้าย นี่คือหน้าที่และความรับผิดชอบของฉัน แต่ในทางกลับกัน ฉันเชื่อว่าการดูแลและยกย่องพ่อแม่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทำได้ ฉันเป็นผู้เชื่อมาหลายปี กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามามากมาย แต่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่แท้จริง ฉันกลับไม่สามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ไม่อาจทำหน้าที่ให้ลุล่วง หรือรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวโดยใช้หลักธรรมความจริง ฉันกำลังทรยศและล้มเหลวในการยอมรับความจริง ฉันรู้ดีว่าถ้ายังดำเนินชีวิตตามความคิดและมุมมองดั้งเดิมต่อไป ไม่กลับใจต่อพระเจ้าและทำหน้าที่ให้ลุล่วง สุดท้ายแล้วฉันจะถูกเผยและถูกกำจัดออกไป ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจว่า “โอ พระเจ้า การที่แม่ของข้าพระองค์ป่วยได้เผยให้เห็นมุมมองที่ไม่เชื่อของข้าพระองค์อย่างชัดแจ้ง ข้าพระองค์เห็นแล้วว่าวุฒิภาวะของข้าพระองค์ช่างเล็กจ้อยและขาดความเป็นจริงความจริง ข้าพระองค์เข้าใจแล้วว่า การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ไม่ใช่ภารกิจของข้าพระองค์ การทำหน้าที่ให้ลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างต่างหากที่เป็นภารกิจและความรับผิดชอบที่แท้จริง ข้าพระองค์เต็มใจละทิ้งมุมมองที่ผิดพลาดและฝากความเจ็บป่วยของแม่ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ข้าพระองค์จะรักษาหน้าที่และไม่กลายเป็นตัวตลกของซาตาน” หลังจากอธิษฐาน ฉันรู้สึกสงบขึ้น และเต็มใจพึ่งพาพระองค์เพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วงไปได้

หลังจากนั้นไม่นาน ฉันปรึกษากับแพทย์แผนจีนคนหนึ่งเกี่ยวกับแม่และถามถึงวิธีรักษา คุณหมอบอกว่า “มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว รักษาอะไรไม่ได้แล้ว หมอทำได้แค่สั่งยาสมุนไพรให้สำหรับครึ่งเดือน แล้วคอยดูอาการต่อไป” พอฉันได้ยินข้อสรุปจากหมอ หัวใจฉันร่วงไปที่ตาตุ่ม ฉันนึกย้อนไปตอนที่กลับถึงบ้านแล้วเห็นแม่ไอ ฉันไม่เคยพาแม่ไปโรงพยาบาล แต่ซื้อยาสมุนไพรจีนให้แม่ แล้วก็ปล่อยไว้แบบนั้น ถ้าฉันพาแม่ไปโรงพยาบาลเร็วกว่านี้ ได้รักษาเร็วกว่านี้ ทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ไหมนะ ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งว้าวุ่นและรู้สึกผิด แล้วก็กลายเป็นความหดหู่ใจ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าให้ทรงนำฉันออกจากสภาวะนั้น ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “แล้วเกิดอะไรขึ้นเวลาที่พ่อแม่ของเจ้าพบเจอเรื่องสำคัญเหล่านี้?  กล่าวได้แต่เพียงว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงเรื่องแบบนี้เอาไว้ในชีวิตของพวกเขา  นี่ถูกจัดวางเรียบเรียงด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า—เจ้าไม่สามารถมุ่งสนใจเหตุผลและปัจจัยที่จับต้องได้—พ่อแม่ของเจ้าต้องพบเจอเรื่องนี้เมื่อพวกเขามีอายุเท่านี้ พวกเขาต้องถูกโรคนี้เล่นงาน  พวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ถ้าเจ้าอยู่ตรงนั้นด้วย?  ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงจัดเตรียมชะตากรรมส่วนหนึ่งให้พวกเขาล้มป่วย เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ก็ย่อมจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา  ถ้าพวกเขามีชะตาลิขิตที่จะพบพานโชคร้ายครั้งใหญ่แบบนี้ในชีวิต ตัวเจ้าจะส่งผลอะไรได้ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายพวกเขา?  พวกเขาย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง)  ลองนึกถึงผู้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเถิด—ปีแล้วปีเล่าครอบครัวของพวกเขาล้วนอยู่พร้อมหน้ากันมิใช่หรือ?  เวลาพ่อแม่เหล่านั้นพบเจอโชคร้ายครั้งใหญ่ สมาชิกในครอบครัวใหญ่และลูกๆ ของพวกเขาล้วนอยู่กับพวกเขา ถูกต้องหรือไม่?  เมื่อพ่อแม่ล้มป่วย หรือว่าโรคภัยของพวกเขามีอาการหนักขึ้น นี่เป็นเพราะลูกๆ ผละจากพวกเขามาหรือไร?  ย่อมไม่ใช่เช่นนั้น นี่เกิดขึ้นตามชะตากรรม  เพียงแต่ว่าในฐานะลูก ด้วยเหตุที่เจ้ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพ่อแม่ เจ้าย่อมจะรู้สึกเสียใจเมื่อได้ยินว่าพวกเขาไม่สบาย ส่วนผู้คนอื่นๆ ย่อมจะไม่รู้สึกอะไร  นี่ปกติมาก  อย่างไรก็ดี การที่พ่อแม่พบเจอโชคร้ายครั้งใหญ่แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจำเป็นต้องวิเคราะห์และสืบเสาะ หรือครุ่นคิดว่าจะขจัดหรือแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร  พ่อแม่ของเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาพบเจอเรื่องนี้ในสังคมมาไม่น้อย  ถ้าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่จะขจัดเรื่องนี้ให้แก่พวกเขา เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ว เรื่องนี้ย่อมหายไปสิ้น  ถ้าเรื่องนี้คืออุปสรรคในชีวิตของพวกเขา และพวกเขาต้องมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าว่าพวกเขาต้องมีประสบการณ์อยู่นานเท่าใด  นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องผ่านประสบการณ์ และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ถ้าเจ้าอยากแก้ไขเรื่องนี้ด้วยตนเอง วิเคราะห์และสืบเสาะหาที่มา สาเหตุ และผลสืบเนื่องของเรื่องนี้ นั่นย่อมเป็นความคิดที่โง่เขลา  ไม่มีประโยชน์ และเกินการ  เจ้าไม่ควรกระทำการเช่นนี้ วิเคราะห์ สืบเสาะ และติดต่อเพื่อนร่วมชั้นและมิตรสหายของเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ ติดต่อโรงพยาบาลหาพ่อแม่ของเจ้า ติดต่อหาหมอที่เก่งที่สุด จัดแจงหาเตียงคนไข้ที่ดีที่สุดให้พ่อแม่—เจ้าไม่จำเป็นต้องเค้นสมองทำทั้งหมดนี้  ถ้าเจ้ามีพลังงานเหลือเฟือจริง เช่นนั้นแล้วก็ควรทำหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติในตอนนี้ให้ดี  พ่อแม่ของเจ้ามีชะตากรรมของพวกเขาเอง  ไม่มีใครสามารถหนีพ้นวัยที่ตนต้องตายได้  พ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชะตากรรมของลูก และเช่นเดียวกัน ลูกก็ไม่ได้เป็นนายเหนือชะตากรรมของพ่อแม่  ถ้ามีชะตากรรมที่บางสิ่งจะเกิดขึ้นกับพวกเขา ตัวเจ้าจะสามารถทำอะไรได้?  การที่เจ้าร้อนใจและมองหาหนทางแก้ไขจะสามารถให้ผลสัมฤทธิ์อันใดได้?  ย่อมจะสัมฤทธิ์อะไรไม่ได้ นี่ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ถ้าพระเจ้าทรงต้องการที่จะพาพวกเขาไป และทำให้เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้โดยไม่ถูกรบกวน เจ้าจะแทรกแซงเรื่องนี้ได้หรือ?  เจ้าจะเจรจาเงื่อนไขกับพระเจ้าได้หรือ?  ในเวลาเช่นนี้เจ้าควรทำอย่างไร?  การเค้นสมองหาทางออก สืบเสาะ วิเคราะห์ โทษตัวเอง และรู้สึกละอายแก่ใจที่จะพบหน้าพ่อแม่—เหล่านี้ใช่ความคิดและการกระทำที่คนคนหนึ่งพึงมีหรือไม่?  ทั้งหมดนี้คือการสำแดงว่าไม่นบนอบพระเจ้าและความจริง เป็นการสำแดงที่ไร้เหตุผล ขาดปัญญา และเป็นกบฏต่อพระเจ้า  ผู้คนไม่ควรสำแดงลักษณะเหล่านี้ออกมา  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (17))  ฉันได้เข้าใจผ่านพระวจนะของพระเจ้าว่า พระองค์บัญชาและจัดวางเรียบเรียงว่าผู้คนต้องเจอกับความลำบากแบบใด และ ต้องเจอกับความทุกข์แค่ไหนตามความจำเป็นและวุฒิภาวะของแต่ละคน ส่วนเวลาที่ผู้คนต้องเจอกับสถานการณ์บางอย่าง และต้องสู้ทนนานเท่าใด ทั้งหมดเป็นการเฝ้าดูและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า สิ่งเหล่านี้มวลมนุษย์ไม่อาจตัดสินได้ และแน่นอนว่าไม่ควรถูกวิเคราะห์จากมุมมองของมนุษย์เท่านั้น ผู้คนต้องเรียนรู้การยอมรับจากพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ จากอาการป่วยของแม่ ดูเผินๆ เหมือนว่าอาการของแม่แย่ลงเพราะไปโรงพยาบาลช้าเกินไป แต่นี่เป็นเพียงโชคชะตาของแม่ ชีวิตและความตายของมนุษย์ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า หากพระเจ้าไม่อนุญาต แม้แต่มหันตภัยร้ายแรงก็ทำอะไรผู้คนไม่ได้ อย่างเช่น พ่อของฉันประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผู้โดยสารทุกคนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พ่อรอดออกมาด้วยอาการบาดเจ็บแค่เล็กน้อยและหายเร็วที่สุด ในชีวิตของเราจะต้องทำภารกิจของตัวเอง ถ้าใครทำภารกิจในชีวิตสำเร็จลุล่วงแล้ว พวกเขาจะไปจากโลกนี้ในลักษณะที่เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า ถ้าภารกิจยังไม่สำเร็จลุล่วง ไม่ว่าจะเจอความลำบากแค่ไหน พวกเขาก็จะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย อาการป่วยของแม่หนักมากแล้ว คุณหมอบอกว่าท่านรักษาไม่ได้แล้ว แต่แม่จะมีชีวิตอีกนานแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปกำหนดได้ แต่จะถูกกำหนดและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า เหตุผลที่ฉันเป็นทุกข์มากนั้น เพราะฉันอยากได้และต้องการจากพระเจ้าอย่างฟุ้งเฟ้อและเอาแต่อยากให้แม่หายดี ทันทีที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ฉันก็กลายเป็นคนคิดลบและทุกข์ใจ เป็นเพราะฉันไม่รู้อธิปไตยของพระเจ้าและไม่อาจนบนอบพระองค์ได้ เมื่อเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็อธิษฐานว่า “โอ้ พระเจ้า!  ข้าพระองค์ไม่ใช่คนกำหนดว่าแม่ของข้าพระองค์จะหายดีไหม หรือจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ข้าพระองค์ควรทิ้งความต้องการส่วนตัว และฉันก็เต็มใจนบนอบอย่างไม่มีเงื่อนไข” หลังจากอธิษฐาน ฉันรู้สึกใจเย็นและสงบขึ้น แล้วฉันก็อ่านพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า  “ถ้าใครมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้(ลูกา 14:26)  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ถ้าเจ้ามีความรักให้พ่อแม่มากกว่าความรักที่เจ้ามีให้พระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะติดตามพระเจ้า และไม่ใช่หนึ่งในผู้ติดตามของพระองค์  ถ้าเจ้าไม่ใช่ผู้ติดตามคนหนึ่งของพระองค์ เช่นนั้นแล้วก็อาจกล่าวได้ว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ และพระเจ้าก็ไม่ทรงต้องการเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (17))  พระเจ้าตรัสว่า ผู้ใดรักบุพการีมากกว่าพระองค์เป็นผู้ไม่เหมาะสมจะเป็นผู้ติดตามของพระองค์ ฉันต้องหยุดใช้ชีวิตตามมุมมองที่คลาดคลื่อนที่ซาตานปลูกฝังใส่ฉัน ฉันต้องเริ่มใช้ชีวิตแบบใหม่ มองคนและสิ่งต่างๆ วางตัวและกระทำตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง ตอนนี้ฉันค่อยๆ เริ่มทุ่มเททำหน้าที่ของตัวเอง บางครั้งก็ยังกังวลเรื่องแม่อยู่ แต่ฉันก็คิดว่าในชีวิตของท่าน สถานการณ์ที่ท่านเจอและความทุกข์ที่ท่านต้องผ่านไปให้ได้ ล้วนถูกกำหนดล่วงหน้าและจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า มันขึ้นอยู่กับพระองค์ว่าแม่จะอยู่อีกนานแค่ไหนและจากไปอย่างไร ฉันไม่ได้เป็นคนกำหนด พอได้เข้าใจสิ่งนี้ ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ ฉันได้รู้ว่าอาการของแม่คงที่แล้ว และแม่ก็ได้เรียนรู้บทเรียนบางอย่างจากการป่วยครั้งนี้ เมื่อได้ยินข่าวนี้ ฉันก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก อีกทั้งรู้สึกละอายใจที่ขาดความเชื่อในพระเจ้า ไม่นานนี้ฉันเลยมั่นใจที่จะยื่นขอทำหน้าที่ไกลจากบ้าน

จากประสบการณ์นี้ ฉันได้รับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับจุดอ่อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตของตัวเอง และเข้าใจทัศนะที่คลาดเคลื่อนที่ฉันเคยยึดถือมาตลอด ฉันจะไม่ใช้ชีวิตตามทัศนะนี้อีก และสามารถปฏิบัติต่อความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อแม่ได้อย่างถูกควร ทั้งหมดนี้เกิดจากการชี้นำของพระเจ้า

ก่อนหน้า:  68. ความเจ็บปวดซึ่งนำมาโดยความมีหน้ามีตาและสถานะ

ถัดไป:  71. ความแคลงใจของฉัน ต่อการปฏิบัติความจริง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger