2. ทุกข์สุขแห่งเส้นทางการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของทหารคนหนึ่ง

ในปี 2021 ไม่นานหลังจากที่ผมยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ผมก็เริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ครั้งหนึ่ง ผมชวนสหายกว่า 20 คนมาฟังคำเทศนา จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และการสามัคคีธรรมถึงการเป็นพยานให้กับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ ในที่สุดทุกคนก็ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมมีความสุขสุดๆ และมีศรัทธาที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไป

ไม่นานหลังจากผมเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผู้บังคับหมวดก็เริ่มข่มเหงผม เขาบอกว่าผมเชื่อในพระเจ้าเกินไป แล้วยังพูดต่อหน้ากองทหารด้วยว่า “ผมกำลังคิดจะฝึกคุณให้เป็นผู้บังคับหมู่ แต่ตอนนี้คุณกลับเชื่อในพระเจ้าแล้วไม่ฟังผม แล้วคุณจะเสียใจ! ต่อไปต่อให้พ่อแม่คุณตาย ผมก็ยังจะไม่ให้คุณลา” พอได้ยินที่ผู้บังคับหมวดพูดแล้ว สหายบางคนยังเยาะเย้ยผมด้วย “ทุกคนเชื่อในพระพุทธเจ้า นายกำลังดูหมิ่นความเชื่อพวกเราโดยการเชื่อในพระเจ้า” พอต้องเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยและการหลู่เกียรติจากคนจำนวนมาก ผมก็เริ่มรู้สึกเปราะบางเล็กน้อยแล้วรีบเดินจากมา ผมเจอที่เงียบๆ เลยคุกเข่าลงแล้วอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ผู้บังคับหมวดตำหนิและทำให้ข้าพระองค์อับอาย สหายของข้าพระองค์ก็เยาะเย้ยข้าพระองค์ ข้าพระองค์อ่อนกำลังมาก ขอพระองค์ทรงประทานความเชื่อและกำลังแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์รู้ว่าตัวเองกำลังถูกทดสอบ และข้าพระองค์ปล่อยให้มันส่งผลกระทบต่อข้าพระองค์หรือแทรกแซงหน้าที่ของข้าพระองค์ไม่ได้” ไม่นานหลังจากนั้น แนวหน้าก็เข้าสู่สนามรบ และทางกองก็หาช่องทางเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด คืนหนึ่ง ผมกำลังเตรียมไปให้น้ำผู้เชื่อใหม่ แต่นึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เราโดนคุมพฤติกรรม และใครก็ตามที่โดนจับได้ว่าแอบออกไปจะถูกลงโทษ คนที่แอบออกไปจะถูกทุบตี ตำหนิ หรือถูกมัดไว้ข้างนอกหนึ่งคืน ผมกังวลว่าถ้าผู้บังคับหมวดรู้ว่าผมออกไปข้างนอกบ่อยๆ เขาจะตำหนิ ทุบตี และทำให้ผมอับอายอีกแน่ๆ พอคิดแบบนี้ก็ไม่กล้าออกไปให้น้ำผู้มาใหม่ ผมบอกความคิดของผมกับคาร์เตอร์ที่ผมจับคู่ด้วย คาร์เตอร์บอกว่า “คุณใส่ใจชื่อเสียงของตัวเองมาก พระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเช่นนี้ไว้ให้เราเพื่อดูว่าเราประสบมันยังไง และดูว่าเราเรียนรู้บทเรียนต่างๆ ได้หรือไม่ คุณต้องอธิษฐานต่อพระเจ้ามากขึ้นและทบทวนตัวเองให้มากขึ้น ถ้าคุณถูกครอบงำด้วยความทะนงตนและความเคารพตนเอง แล้วละทิ้งหน้าที่เพราะทนคำเยาะเย้ยของคนอื่นไม่ได้ นี่มันปัญหาแบบไหนกัน? ถ้าคุณไม่ไปให้น้ำผู้มาใหม่ทุกคนในหมู่บ้าน นั่นเป็นการละเลยหน้าที่และขาดความรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ?” เขายังส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งมาให้ด้วย “วิธีที่เจ้าคำนึงถึงพระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้านั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด และนี่เป็นเรื่องที่จริงจังมาก  หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่ผู้คนให้ครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์และเจ้าก็ควรถูกลงโทษ  นี่คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติและสมควรอย่างยิ่งที่มนุษย์ควรทำพระบัญชาไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่พวกเขาให้เสร็จสมบูรณ์  นี่คือความรับผิดชอบสูงสุดของมนุษย์ และสำคัญพอกันไม่มีผิดกับชีวิตจริงๆ ของพวกเขา  หากเจ้าไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระองค์ในหนทางที่ร้ายแรงที่สุด  ในการนี้ เจ้าน่าวิปโยคกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง  ผู้คนต้องได้รับความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้พวกเขาทำ และอย่างน้อยที่สุด พวกเขาต้องเข้าใจว่า พระบัญชาทั้งหลายที่พระองค์ทรงมอบความไว้วางพระทัยให้แก่มนุษยชาตินั้นเป็นการยกย่องและเป็นความโปรดปรานพิเศษจากพระเจ้า ว่าพระบัญชาเหล่านั้นคือสิ่งที่ทรงเกียรติที่สุด  สิ่งอื่นล้วนสามารถทอดทิ้งได้  ต่อให้คนคนหนึ่งต้องพลีอุทิศชีวิตของตนเอง พวกเขาก็ยังคงต้องทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)  จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ผมจึงเข้าใจว่าการมีท่าทีในการถือความรับผิดชอบทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงนั้นสำคัญมาก พระเจ้าทรงยกชูผมและให้โอกาสผมปฏิบัติหน้าที่ ผมจึงต้องยึดมั่นในหน้าที่ของผมและทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อให้สำเร็จ ผมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และผมกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามาเยอะ และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อเรียกร้องของพระองค์ แต่ตอนนี้พอเจออุปสรรคบางอย่าง ผมก็ละทิ้งหน้าที่ทันที ผมทรยศพระเจ้า ผมนึกถึงคนสามัญที่นี่ ที่เผชิญสงครามได้ทุกเมื่อ และอยู่ในสภาวะวิตกกังวลทุกวัน พระเจ้าทรงวางผมไว้ในสภาพแวดล้อมนี้เพื่อให้ผมเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านี้โดยไม่รีรอ ให้น้ำผู้เชื่อมาใหม่เหล่านี้อย่างเหมาะสม เพื่อที่พวกเขาจะได้วางรากฐานบนหนทางที่แท้จริงและสัมฤทธิ์ความรอด และรับการคุ้มครองจากพระเจ้าท่ามกลางความวิบัติ พระเจ้าหวังจะเห็นความจงรักภักดีของผม และหวังว่าผมจะมีความเชื่อและตั้งมั่นในคำพยานของผม และไม่อยากเห็นผมถอยหนีเมื่อปฏิบัติหน้าที่ แต่ผมกลับทนไม่ได้ที่จะประสบการหลู่เกียรติ อีกทั้งละเลยหน้าที่และขาดความรับผิดชอบ นี่เป็นการทรยศพระเจ้า รุนแรงยิ่งกว่าการทรยศของยูดาส และผมสมควรถูกแช่งสาป เมื่อได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผมก็เข้าใจ ว่าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง ไม่ว่าผมต้องทนทุกข์แค่ไหน หรือต้องอับอายเพียงใด และแม้ต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็ต้องทำทุกสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้สำเร็จ นี่คือความรับผิดชอบและหน้าที่ที่ผมควรทำให้ลุล่วง หลังจากนั้น ผมร่วมมือกับพี่น้องชายสองคนในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและให้น้ำผู้มาใหม่ มีคน 27 คนเปลี่ยนความเชื่อภายในหนึ่งเดือน แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกส่งมอบให้กับคริสตจักร ผมรู้สึกสำนึกในบุญคุณสำหรับการนำของพระเจ้า และรู้สึกสงบในใจ

ต่อมา กองของเราถูกย้าย และผมก็ย้ายไปที่อื่น ผู้มาใหม่บางคนไม่รู้ว่าผู้บังคับหมวดข่มเหงผู้เชื่อในพระเจ้า พวกเขาเลยพยายามเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้เขา แล้วผู้บังคับหมวดก็เริ่มสืบหาว่าใครกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ชาวบ้าน ผมรู้สึกกลัว “การเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ชาวบ้านที่ผมทำจะถูกเปิดเผยไหม? ผู้บังคับหมวดจะจับผมส่งเข้าคุกไหม? แบบนั้นผมจะต้องทนทุกข์และอับอายแน่ ผมรอสักพักให้เรามีอิสระกว่านี้ดีกว่า ค่อยเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อ แบบนี้ผมจะได้ไม่ถูกจับ ผมไม่อยากถูกทำให้อับอายอีกแล้ว” ผมเลยไม่ได้ออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐสามวัน แม้ผมจะเข้าร่วมการชุมนุมทางออนไลน์ทุกคืน แต่ภายในผมก็รู้สึกว่างเปล่า ผมรู้สึกไม่สบายใจเหมือนเมื่อก่อนที่ทำหน้าที่ของตัวเอง

ต่อมา พี่น้องหญิงคนหนึ่งรู้เรื่องสภาวะของผม แล้วส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้ผมบทตอนหนึ่ง “พวกเจ้าเชื่อว่าตัวพวกเจ้าเองมีความจริงใจและความจงรักภักดีจนถึงที่สุดต่อเรา  พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าใจดีเหลือเกิน มีความสงสารเห็นใจเหลือเกินและได้อุทิศให้กับเรามากเหลือเกิน  พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าได้ทำมามากเกินพอแล้วเพื่อเรา  แต่พวกเจ้าเคยเทียบเคียงสิ่งนี้กับบรรดาการกระทำของพวกเจ้าบ้างหรือไม่?  เราบอกเลยว่าพวกเจ้าโอหังมากเต็มที โลภมากเต็มที สุกเอาเผากินมากเต็มที เล่ห์เหลี่ยมสารพัดที่เจ้าใช้หลอกเรานั้นแยบยลมากเต็มที และเจ้ามีเจตนาที่น่าเหยียดหยามและวิธีการที่น่าเหยียดหยามมากมายเต็มที  ความจงรักภักดีของพวกเจ้าขาดแคลนเกินไป ความตั้งใจจริงของพวกเจ้าน้อยนิดเกินไปและมโนธรรมของพวกเจ้ายิ่งขาดพร่องเสียยิ่งกว่า… เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้ากำลังนึกถึงผลประโยชน์ของตนเอง คิดถึงความปลอดภัยส่วนบุคคลของเจ้าเอง คิดถึงบรรดาสมาชิกในครอบครัวของเจ้า  เจ้าเคยได้ทำสิ่งใดที่เป็นไปเพื่อเราหรือ?  คราใดหรือที่เจ้าเคยนึกถึงเรา?  เมื่อใดหรือที่เจ้าเคยอุทิศตนเองอย่างเต็มกำลังให้กับเราและงานของเรา?  หลักฐานของความเข้ากันได้กับเราของเจ้าอยู่ที่ใด?  ความเป็นจริงแห่งความจงรักภักดีของเจ้าที่มีต่อเราอยู่ที่ใด?  ความเป็นจริงแห่งการเชื่อฟังเราของเจ้าอยู่ที่ใด?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับพระคริสต์)  ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วคิดทบทวนเรื่องตัวเอง แต่ก่อนผมคิดว่าผมอุทิศและสละตนเพื่อพระเจ้าเพียงพอ หลังจากที่ผมเริ่มเชื่อในพระเจ้า ผมก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐอยู่เสมอ และจะทำแม้จะอยู่ในแนวหน้า ครั้งหนึ่งผมกลับจากให้น้ำผู้มาใหม่ แล้วผู้บังคับบัญชาคิดว่าผมเป็นศัตรูเลยเตรียมจะยิงผม โชคดีที่พี่น้องชายคนหนึ่งสังเกตเห็นทันการว่าเป็นผม ก็เลยไม่เหนี่ยวไกปืน ผมเชื่อว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและสละตนเพื่อพระเจ้าด้วยวิธีนี้ และการทรมานมากมายแล้วได้รับบางคนมา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผมจงรักภักดีต่อพระเจ้า และพระองค์ก็ควรพอใจ แต่จริงๆ แล้ว ผมไม่จงรักภักดีสักนิด เมื่อปฏิบัติหน้าที่ สิ่งแรกที่ผมคิดถึงคือชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตัวเอง ผมกลัวว่าผู้บังคับหมวดจะทุบตี ตำหนิ และทำให้ผมอับอายถ้าเขาจับได้ว่าผมกำลังออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผมกลัวเสียหน้า ผมเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่และไม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือให้น้ำแก่ผู้มาใหม่อีกต่อไป ผู้บังคับหมวดสืบหาว่าใครเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ชาวบ้าน ผมกลัวว่าเขาจะเจอเข้าว่าเป็นผม แล้วจะจับขังผม ผมเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่อีก เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งเดียวที่ผมนึกถึงคือชื่อเสียงของตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่มีบางอย่างมาเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงหรือความอัปยศของผม ผมจะละทิ้งหน้าที่ไม่ยอมทำ ผมเห็นว่าแม้ผมเต็มใจสละตนเพื่อพระเจ้า แต่เมื่อใดก็ตามที่ผลประโยชน์ของตัวเองมาเกี่ยวข้อง ผมก็เลือกปกป้องตัวเองและไม่ได้ปกป้องงานของคริสตจักรเลยสักนิด ผมไม่รับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง และไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ผมตระหนักได้สักที ว่าผมไม่จงรักภักดี ไม่จริงใจต่อพระเจ้ามากพอ และผมก็เห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามเกินไป!

ในตอนนั้น ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง และได้รับการดลใจอย่างมาก “การประกาศข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่และภาระผูกพันของทุกคน  ในเวลาใดก็ตาม ไม่ว่าพวกเราจะได้ยินสิ่งใด หรือพวกเราจะเห็นสิ่งใด หรือพวกเราจะเผชิญกับการปฏิบัติประเภทใดก็ตาม พวกเราจะต้องดำรงความรับผิดชอบในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเอาไว้เสมอ  ไม่มีรูปการณ์แวดล้อมใดที่พวกเราจะสามารถละทิ้งหน้าที่นี้เพราะความคิดแง่ลบหรือความอ่อนแอได้  หน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่เต็มไปด้วยอันตราย  เมื่อพวกเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเจ้าจะไม่พบกับทูตสวรรค์ หรือมนุษย์ต่างดาว หรือหุ่นยนต์  พวกเจ้าจะเผชิญหน้ากับมนุษยชาติที่ชั่วร้ายและเสื่อมทราม พวกปีศาจที่มีชีวิต พวกสัตว์ร้ายเท่านั้น—ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นมนุษยชาติที่อยู่รอดในพื้นที่อันชั่วร้ายนี้ โลกอันชั่วนี้ และที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกและต้านทานพระเจ้า  ดังนั้น ในกระบวนการแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐย่อมมีอันตรายอยู่ทุกรูปแบบ ไม่ต้องพูดถึงการนินทาเล็กๆ น้อยๆ การเหยียดหยามทั้งหลาย และความเข้าใจผิดทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นทั่วไป  หากเจ้ามองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบ เป็นภาระผูกพัน และเป็นหน้าที่ของเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและกระทั่งจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องด้วย และเจ้าจะไม่ละทิ้งความรับผิดชอบของเจ้าและภาระผูกพันของเจ้า อีกทั้งเจ้าจะไม่หันเหไปจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของเจ้าที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและให้คำพยานเกี่ยวกับพระเจ้าเพราะสิ่งเหล่านี้ และเจ้าจะไม่ละเลยความรับผิดชอบนี้ เพราะนี่คือหน้าที่ของเจ้า  พวกเราควรทำความเข้าใจหน้าที่นี้อย่างไร?  ทำความเข้าใจในฐานะคุณค่าและภาระผูกพันเบื้องต้นในชีวิตมนุษย์ การเผยแผ่ข่าวดีเกี่ยวกับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าและข่าวประเสริฐแห่งพระราชกิจของพระเจ้าคือคุณค่าของชีวิตมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เข้าใจ ว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ราบรื่น เป็นเพราะเรากำลังรับมือกับมนุษยที่เสื่อมทราม เมื่อเราเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เราจะเผชิญกับอันตรายต่างๆ แน่นอน เช่น การถูกทุบตีและตำหนิ ทำให้อับอาย ถูกเยาะเย้ย และใส่ร้าย—นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะมีการข่มเหงยังไง และไม่ว่าคนอื่นจะดูหมิ่นหรือเยาะเย้ยพวกเขายังไง ก็ละทิ้งหน้าที่ตัวเองไม่ได้ และเมื่อช่วงเวลาวิกฤติมาถึง ผู้ที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีเท่านั้นที่พระเจ้าจะจดจำ หน้าที่และความรับผิดชอบที่พระเจ้ามอบให้ผมนั้นสำคัญที่สุด และผมควรละทิ้งความทะนงตนและความเคารพตนเอง แล้วเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้าต่อไป โดยนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้มากขึ้นเพื่อทำหน้าที่ของผมให้ลุล่วง นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเป็นพยานให้พระเจ้าและทำให้ซาตานอับอาย ไม่ว่าผู้บังคับหมวดจะตำหนิหรือหลู่เกียรติผมยังไง ไม่ว่าสหายจะเยาะเย้ยผมยังไง และแม้ว่าพวกเขาจะมัดผมไว้กับต้นไม้และแขวนคอผม ผมก็ยังต้องเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า

ต่อมา กองของเราถูกย้ายอีก และผมไม่มีทางออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้เลย ผมเลยเผยแผ่ข่าวประเสริฐทางออนไลน์กับพี่น้องชายหลายคนในกองทัพ ผมสร้างกลุ่มในโทรศัพท์แล้วเพิ่มพี่น้องชายเหล่านี้เข้ากลุ่ม จู่ๆ ผู้บังคับหมวดก็หยิบโทรศัพท์ของผมตอนผมเผลอ แล้วพูดกับผมว่า “ถ้าคุณเขียนคำปฏิญาณเพื่อพิสูจน์ว่าคุณไม่เชื่อในพระเจ้า ผมจะคืนโทรศัพท์ให้” ผมบอกไปว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วท่านยึดโทรศัพท์ของผมทำไม?” ผู้บังคับหมวดบอกว่า “คุณศรัทธาในพระเจ้ามากเกินไป ความเชื่อของชาวว้าอยู่ในพรรคของพวกเขา การเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย!” ขณะเขาพูด เขาก็คว้าพลั่วมาฟาดผม วันรุ่งขึ้น ผู้บังคับหมวดค้นพบประวัติการสนทนาระหว่างพี่น้องชายกับผมในโทรศัพท์ของผม และยังพบพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงภาพยนตร์และวิดีโอของคริสตจักรด้วย เขารายงานเรื่องนี้กับผู้บัญชาการของเขาที่สำนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการถามผมว่า “คุณยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ไหน? คุณมีตำแหน่งอะไรในคริสตจักร? คุณเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ใครแล้วบ้าง? ในกองทหารของเรามีผู้เชื่อกี่คน?” ตอนที่พวกเขาถาม ผมกลัวจนตัวสั่นเทาเล็กน้อย ผมคิดว่า “ถ้าผมพูดความจริง ผมก็กำลังทรยศต่อพระเจ้าเหมือนอย่างยูดาส แต่ถ้าผมไม่พูด แล้วผู้บังคับบัญชากับคนอื่นๆ ก็จะไปถามเหล่าพี่น้องชายที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้แก่พวกเขา และถ้าพวกเขาบอกว่าเป็นผม ชะตากรรมของผมจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีกแน่ๆ” ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้พระองค์ทรงนำผมและให้ผมมีกำลังที่จะตั้งมั่นในการเป็นพยานของตน เพื่อที่ไม่ว่าผมจะต้องอับอายหรือทนทุกข์แค่ไหน ผมก็จะไม่ขายพี่น้องและทำอย่างที่ยูดาสทำ แล้วผมก็ตอบไปว่า “ความเชื่อของผมในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หมายถึงการชุมนุมและนมัสการพระเจ้า” หลังจากนั้นผมไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ของพวกเขา

สุดท้ายพวกเขาก็ส่งผมกลับแล้วควบคุมตัวผมไว้ในห้องขัง พวกเขาล่ามโซ่ที่เท้าผมกับอีกสามคนไว้ด้วยกัน เวลากิน นอน และเข้าห้องน้ำ เราก็ทำด้วยกันทั้งสี่คน แถมยังเดินลำบากด้วย หัวใจของผมอ่อนแอลงนิดหน่อย “ผมถูกควบคุมตัวและถูกใส่กุญแจมือและล่ามโซ่ ถ้าสหายที่ไม่เชื่อมาเห็นผม พวกเขาจะคิดยังไง? พวกเขาจะพูดเหมือนกันไหมว่าผมศรัทธาในพระเจ้ามากเกินไป?” พอคิดเรื่องพวกนี้ ผมรู้สึกอับอายและรู้สึกว่าชื่อเสียงของผมถูกทำลาย ผมใกล้จะสติแตกแล้ว ผมอยากให้พระเจ้าช่วยให้ผมหลุดพ้นจากสภาพแวดล้อมนี้ และผมไม่อยากถูกทำให้อับอายแบบนี้อีกแล้ว ผมต้องใส่กุญแจมือตอนไปกินข้าว แล้วทหารคนอื่นๆ ก็เยาะเย้ยผมว่า “ทำไมไม่ขอให้พระเจ้าถอดกุญแจมือออกล่ะ?” ผมก้มหน้าก้มตากินไม่กล้าเงยหน้าขึ้น แล้วอธิษฐานในใจว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์เจ็บปวด วุฒิภาวะของข้าพระองค์น้อยเกินไป ขอพระองค์ทรงนำข้าพระองค์และประทานความเชื่อและความแข็งแกร่งแก่ข้าพระองค์ เพื่อที่จะได้เผชิญกับการหลู่เกียรติของผู้อื่น” หลังจากอธิษฐานแล้ว ผมรู้สึกว่าผมเข้มแข็งขึ้น และนึกถึงเพลงสรรเสริญชื่อ “ทางเลือกที่ไม่ต้องเสียใจภายหลัง”

1  เมื่อการจับกุมและการข่มเหงชาวคริสเตียนของซาตานป่าเถื่อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทั้งเมืองมีแต่ความน่ากลัวมืดมิดข้าพระองค์หนีไปทุกแห่งที่ไปได้ เมื่ออิสรภาพถูกจองจำในคุกที่หดหู เมื่อมีเพียงค่ำคืนที่เจ็บปวดแสนยาวนานเป็นสหาย ข้าพระองค์จะไม่หวั่นไหวในความเชื่อในพระเจ้าของข้าพระองค์ ไม่มีวันที่ข้าพระองค์จะทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หัวใจของข้าพระองค์เป็นของพระองค์  การกักขังสามารถเพียงควบคุมกายของข้าพระองค์ได้เท่านั้น  นั่นไม่สามารถหยุดการก้าวเท้าของข้าพระองค์ในการติดตามพระองค์ได้  ถนนที่เจ็บปวด แข็งกระด้าง ขรุขระ ด้วยพระวจนะของพระองค์ในการนำทางข้าพระองค์ข้าพระองค์ไม่กลัว ด้วยความรักของพระองค์ที่มาพร้อมกับข้าพระองค์หัวใจของข้าพระองค์อิ่มเอิบ

2  เมื่อการทรมานอันทำให้ล่มจมของเหล่ามารเยี่ยงซาตานรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกที เมื่อความเจ็บปวดอันไหม้เกรียมจู่โจมข้าพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อความร้าวรานของเนื้อหนังของข้าพระองค์กำลังจะไปถึงจุดสูงสุดของมัน ณ ชั่วขณะสุดท้าย เมื่อชีวิตของข้าพระองค์กำลังจะถูกเอาไป ไม่มีวันที่ข้าพระองค์จะยอมให้พญานาคใหญ่สีแดง ไม่มีวันที่ข้าพระองค์จะเป็นยูดาสเครื่องหมายแห่งความอับอายบนพระเจ้า  พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ข้าพระองค์จะจงรักภักดีต่อพระองค์จนหมดลมหายใจ  ซาตานสามารถเพียงทรมานกายของข้าพระองค์และทำให้กายของข้าพระองค์ทุกข์ร้อนเท่านั้น แต่มันไม่สามารถแตะต้องความเชื่อและความรักของข้าพระองค์ที่มีต่อพระองค์ได้  ชีวิตและความตายจะอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ตลอดกาล  ข้าพระองค์จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้คำพยานต่อพระองค์  เพื่อให้คำพยานต่อพระองค์และทำให้ซาตานอับอายข้าพระองค์จะตายโดยไม่มีการร้องทุกข์

ช่างเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้ติดตามพระคริสต์และไล่ตามเสาะหาพระเจ้าผู้ทรงมีความรักในชีวิต!  ด้วยหัวใจและดวงจิตข้าพระองค์จะชดใช้คืนความรักของพระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะละทิ้งทั้งหมดเพื่อให้คำพยานเกี่ยวกับพระเจ้า  ตราบเท่าที่ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่การถวายความเป็นอยู่ทั้งสิ้นของข้าพระองค์แด่พระเจ้า เป็นตัวเลือกที่ข้าพระองค์จะไม่มีวันเสียใจภายหลัง

—ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ

เพลงนี้ให้ความเชื่อแก่ผม ไม่ว่าคนอื่นจะทำกับผมยังไง ผมก็ทรยศพระเจ้าไม่ได้ การติดตามพระเจ้าคือทางเลือกที่ผมจะไม่เสียใจไปตลอดชีวิต ผมต้องละทิ้งชื่อเสียงของตัวเองและเสี่ยงทุกอย่างเพื่อตั้งมั่นในการเป็นพยานของตนให้พระเจ้า

ในอดีต ผมรู้สึกอยู่เสมอว่าการถูกข่มเหงในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องน่าละอาย แต่ต่อมา ผมนึกพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งได้ ซึ่งเปลี่ยนมุมมองของผม  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย  หากเจ้าไม่นมัสการพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตภายในเนื้อหนังอันโสมมของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นเพียงสัตว์ป่าในคราบมนุษย์หรอกหรือ?  ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง!  เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร  ในโลกนี้ มนุษย์สวมใส่เสื้อผ้าของมาร กินอาหารจากมาร และทำงานและรับใช้ภายใต้การบงการของมาร ถูกเหยียบย่ำอยู่ในความโสมมของมันอย่างสิ้นเชิง  หากเจ้าไม่จับความเข้าใจในความหมายของชีวิตหรือได้มาซึ่งวิถีทางที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วจะมีนัยสำคัญอะไรในการใช้ชีวิตเยี่ยงนี้?  พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น  พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม  นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2))  จากพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงเข้าใจ ว่าหมู่มารที่จับกุมและข่มเหงเหล่าคริสตชนนั้นเป็นศัตรูของพระเจ้า และรัฐบาลระบอบเผด็จการไม่อนุญาตให้ประชาชนเชื่อและติดตามพระเจ้า อนุญาตให้นมัสการพระพุทธเจ้ากับประธานาธิบดี และเชื่อในสหพรรครัฐว้าเท่านั้น พวกเขาทำให้ผู้คนพึ่งพาสองมือของตัวเองเพื่อสร้างอนาคตที่ดี และเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเองด้วยการศึกษาและหาเงิน การเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าในที่แบบนี้จะนำไปสู่การข่มเหงและอุปสรรคต่างๆ ที่นี่ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าและเผยแผ่ข่าวประเสริฐ จะต้องเจอการข่มเหง การเยาะเย้ย การทุบตี การดุด่า และกระทั่งการจำคุก แต่นี่คือการข่มเหงเพื่อความชอบธรรม ความทรมานนี้มีความหมาย เมื่อผมถูกทรมาน ถูกเยาะเย้ย และถูกทำให้อับอาย ถ้าผมรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าและไม่สามารถสบตาใครได้ ทัศนะของผมต่อสิ่งต่างๆ ก็ไม่ถูกต้อง ผมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และการเชื่อและนมัสการพระเจ้าเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ การเผยแผ่ข่าวประเสริฐและการเป็นพยานเพื่อพระเจ้า เป็นภารกิจและความรับผิดชอบที่พระผู้สร้างประทานแก่เรา และเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในมนุษย์ด้วย การถูกข่มเหงในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ใช่เรื่องน่าละอาย นี่คือการถูกข่มเหงเพื่อความชอบธรรม เหมือนกับโยบและเปโตร เมื่อโยบเผชิญกับบททดสอบ ทรัพย์สินของครอบครัวถูกโจรขโมย ลูกๆ เสียชีวิต และเขามีฝีทั่วร่างกาย เหล่าผู้ไม่มีความเชื่อเยาะเย้ยเขาว่าพระเจ้าที่เขาเชื่อเป็นของปลอม แม้แต่ภรรยาของเขาก็บอกให้เขาละทิ้งพระเจ้าและตายซะ แต่เขาอธิษฐานต่อพระเจ้ามาตลอด โดยสรรเสริญพระนามของพระองค์ และตั้งมั่นในการเป็นพยานของตนให้พระองค์ เปโตรยังถูกข่มเหงในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐอีกด้วย และท้ายที่สุด เขาถูกตอกตะปูกลับหัวที่ไม้กางเขน แต่เขาไม่รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่น่าอับอาย ตรงกันข้าม เขาคิดว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ที่เสื่อมทราม และไม่สมควรถูกตรึงบนไม้กางเขนเหมือนองค์พระเยซูเจ้า เขาจึงเลือกที่จะถูกตรึงกลับหัวและเป็นพยานเพื่อพระเจ้าอย่างชัดเจน ชีวิตของพวกเขาเป็นชีวิตที่มีความหมายที่สุด เป็นเกียรติอย่างที่สุดที่พระเจ้าทรงเรียกว่าผู้ชอบธรรม ผมยังเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอีกด้วย ผมใส่ใจชื่อเสียงของตัวเองมากเกินไป แล้วไม่กล้าทำหน้าที่ของตัวเองเพราะกลัวถูกทำให้ขายหน้า ในการจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมแบบนี้ให้ผมนั้น พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผมรับรู้และแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทราม และมุมมองที่ไม่ถูกต้องของผมเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ นั่นเป็นการทำให้ผมเพียบพร้อมและช่วยผมให้รอด และยังแสดงให้ผมเห็นว่ารัฐบาลของชาวว้าเป็นปีศาจที่เกลียดความจริงและต้านทานพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะข่มเหงและขัดขวางผมยังไง ผมก็ยอมจำนนพวกเขาไม่ได้ พระเจ้าทรงดูแลโลกนี้และมนุษยชาติ และชะตากรรมของผมก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่มีรัฐบาลของประเทศไหนที่เปลี่ยนชะตากรรมหรืออนาคตของผมได้ ผมไม่จำเป็นต้องกังวล ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ผมก็จะติดตามพระเจ้าและตั้งมั่นในการเป็นพยานของตนให้พระองค์เสมอ พอตระหนักเรื่องนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าและความทรมานทั้งหมดนั้นคุ้มค่า ผมไม่กลัวคนอื่นจะเยาะเย้ยและทำให้ผมอับอายอีกต่อไป เวลาผมออกไปรับอาหาร ผมก็ไม่รู้สึกละอายที่จะมองคนอื่น ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าบ่อยๆ และรู้สึกว่าพระองค์ทรงอยู่กับผม และในแต่ละวันผมก็มีความสุขกว่าที่ผ่านมา

หลังจากโดนควบคุมตัวมาครึ่งเดือนก็พบว่าผมติดเชื้อโควิด 19 พวกเขาเลยย้ายผมไปที่กองบัญชาการกองพลน้อยเพื่อกักตัว ตอนที่ผมเดินทางไปกองบัญชาการ พวกเขาปฏิบัติต่อผมแย่ยิ่งกว่าฆาตกรซะอีก พวกเขาเอาโซ่สามเส้นมาล่ามที่เท้าของผม ผู้บังคับหมวดกับคนอื่นๆ ต่างเยาะเย้ยผม “เชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เหรอ แล้วติดโควิด 19 ได้ยังไง? ที่บอกว่ามีพระเจ้า จริงๆ โลกนี้ไม่มีพระเจ้าทั้งนั้น” พอได้ยินคำพูดพวกนี้ ผมไม่รู้สึกเปราะบางขนาดนั้น ไม่ว่าผู้บังคับหมวดกับคนอื่นๆ จะเยาะเย้ยผมยังไง และไม่ว่าคนอื่นจะมองผมยังไง ผมก็เต็มใจนบนอบ จากนั้นผู้บังคับหมวดบอกว่าจะส่งผมไปขังในฝ่ายรักษาความปลอดภัย ความกลัวแล่นเข้ามาภายในใจ เพราะฝ่ายรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก แล้วก็กังวลว่าจะถูกหลู่เกียรติในคุกด้วย ยิ่งกว่านั้น ถ้าผมติดคุก ผมก็กลับบ้านไม่ได้ ในช่วงนั้น ผมถูกขังอยู่ในห้อง ผมไม่มีโทรศัพท์ และอ่านพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ ที่นั่นมีกีตาร์อยู่ ผมทำได้แค่เล่นกีตาร์และร้องเพลงสรรเสริญ ผมอยากอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาก แล้วผมก็อธิษฐานถึงพระองค์ ขอร้องให้พระองค์ประทานทางออกให้ผม หลายวันต่อมา ผมยืมโทรศัพท์ของพี่น้องชายอีวาน แล้วดูหนังเรื่อง “เรื่องราวของฉัน เรื่องราวของเรา” พี่น้องในหนังเรื่องนี้ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมเพราะเชื่อในพระเจ้าและเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขาถูกทรมานและทารุณอย่างรุนแรง และคนมากมายทำให้พวกเขาอับอาย พวกเขาถูกตัดสินให้จำคุกและถูกขังหลายปี บางคนถูกขังนานกว่าสิบปี พวกเขาไม่มีอิสระ และทำงานหนักเกินไปในทุกวัน แต่ในคุกพวกเขายังอธิษฐานถึงพระเจ้า และส่งต่อพระวจนะของพระเจ้าให้กันและกันได้ พวกเขามีท่าทีในการนบนอบพระเจ้าและรู้ว่าพวกเขากำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต พวกเขาล้วนมีความเชื่อและตั้งมั่นในการเป็นพยานของตนให้พระเจ้า ผมซาบซึ้งใจเป็นพิเศษเมื่อได้ยินพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมชื่นชมพวกเขาจริงๆ พวกเขาทรมานมากแต่ยังสามารถมั่นคงในความเชื่อ ติดตามพระเจ้า และไม่ถอนตัว แต่พอผมประสบกับความอัปยศ การทุบตี และติหนิจากคนอื่น ผมก็ทนไม่ไหว ผมกลัวการติดคุก และสูญเสียแรงใจทันทีที่ทรมานแค่นิดหน่อย อยากให้พระเจ้าทรงช่วยผมให้หลุดพ้นจากสภาพแวดล้อมแบบนั้น ผมรู้สึกติดหนี้พระเจ้า และหวังว่าพระเจ้าจะประทานโอกาสให้ผมอีกครั้ง ไม่ว่าผมจะถูกจำคุกกี่ปี และไม่ว่าความอัปยศจะมากมายแค่ไหน ผมจะนบนอบและเผชิญหน้ากับสิ่งนั้น หลังจากที่ผมถูกกักตัวเกินสิบวัน ก็บังเอิญพอดีกับที่พวกแนวหน้ากลับมาหยุดงานหนึ่งเดือนตามกำหนด สิ่งที่ผมไม่ได้คาดไว้คือกองทัพก็ให้ผมหยุดช่วงนี้ด้วย สหายผู้ไม่เชื่อคนหนึ่งพูดว่า “ดูสิ ไอเดนทำผิดพลาด และเขาอยู่ในการปฏิรูปแรงงาน แต่กลายเป็นว่าวันหยุดของเขามาเร็วกว่าเราอีก” ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก ผมคิดว่าจะต้องถูกขังอยู่หลายปี และไม่คิดว่าจะได้ไปพักผ่อนและกลับบ้าน ผมเห็นกิจการอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า และเห็นมหิทธานุภาพและการปกครองของพระองค์ ก่อนผมออกมา ผู้บัญชาการบอกผมว่ากลับบ้านไปก็อย่าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผมคิดว่า “ตอนผมเผยแผ่ข่าวประเสริฐในกองทัพ ท่านควบคุมและทุบตีผม ตอนนี้ผมกำลังจะกลับบ้าน ผมมีโอกาสดีที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า ผมจะพลาดได้ยังไงล่ะ? ผมจะทุ่มเทพลังทั้งหมดในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผมจะไม่ให้สิ่งเล็กๆ ที่ท่านพูดส่งผลกับผมสักเรื่องเดียว” พอผมกลับถึงบ้านแล้ว ผมก็เริ่มรวบรวมพี่น้องเพื่อไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในตอนนั้น มีหกคนที่ยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า กว่าสิบวันหลังจากที่ผมกลับเข้ากองทัพ ผู้บังคับหมวดก็ส่งผมไปประจำการในตำแหน่งรักษาการที่จุดตรวจ ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก ก่อนหน้านี้ ผมยุ่งมากกับในกองทัพ และมีเวลาเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่มากพอ หลังจากที่ผมมาอยู่ตำแหน่งนี้ ผมก็ไม่ค่อยยุ่งแล้ว และยังมีเวลาเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากขึ้น แม้การข่มเหงของกองทัพจะไม่เคยหยุด ผมก็ยังคงยืนกรานในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า และนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้มากขึ้นเพื่อรับความรอดของพระองค์

ระหว่างการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แม้ผมจะต้องทรมาน ถูกข่มเหง ถูกทุบตี ถูกตำหนิ และถูกกักขัง แต่ผมก็เห็นความเสื่อมทรามของตัวเอง ข้อบกพร่องของตัวเอง รวมถึงความรักของพระเจ้า ไม่ว่าผมเผชิญสถานการณ์ใด แต่ละครั้งก็มีพระวจนะของพระเจ้าคอยนำผม เพื่อให้ผมละทิ้งความทะนงตนและชื่อเสียงของตัวเอง และมีความเชื่อและความแข็งแกร่งในการดำเนินต่อไป ประสบการณ์เหล่านี้แสดงให้ผมเห็นโดยตรง ว่าความทรมานและการถูกข่มเหงในนามของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่มีความหมาย การติดตามพระเจ้า สละตนเพื่อพระองค์ และทำหน้าที่ให้ลุล่วง คือชีวิตที่มีความหมายที่สุดที่เราจะมีได้

ถัดไป:  4. ฉันจะไม่รู้สึกด้อยเพราะการพูดงุ่มง่ามของฉันอีกแล้ว

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger