1. การเข้าสู่ชีวิตเป็นไปได้ในเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่

โดยลู่อี้ ประเทศจีน

ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2024 ฉันทำหน้าที่ข้อเขียนในคริสตจักรอยู่ ฉันค่อยๆ จับความเข้าใจหลักธรรมบางข้อได้และไม่พบเจอความลำบากยากเย็นในงานมากนัก ฉันรู้สึกว่าทุกวันช่างน่าเบื่อและค่อนข้างจำเจ ฉันจำได้ว่าตอนที่เริ่มทำงานข้อเขียน จะมีการเบี่ยงเบนในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันอยู่ตลอด แม้ว่าในตอนนั้นจะยากที่จะทนรับ แต่ฉันก็ได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากการแสวงหาความจริง ฉันคิดว่า “ในช่วงนี้งานเห็นผลบ้าง โดยมีการเบี่ยงเบนและปัญหาน้อยลง ฉันแทบจะไม่ถูกตัดแต่งเลย และไม่มีอะไรที่กินใจหรือสะเทือนใจเป็นพิเศษ ฉันควรไปที่ไหนดีเพื่อทบทวนตัวเองและได้รับบทเรียน? ถ้าไม่มีการเข้าสู่ชีวิต การทำหน้าที่จะไม่ได้เป็นแค่เรื่องการมานะพยายามและการลงแรงหรอกเหรอ? สุดท้ายแล้วฉันจะได้อะไรจากสิ่งนี้?” ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง

วันหนึ่งฉันได้ดูวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์หลายเรื่อง ส่วนใหญ่เขียนโดยผู้นำและคนทำงาน และสิ่งที่พวกเขาประสบมาก็แตกต่างกันมาก ฉันรู้สึกอิจฉาในหัวใจโดยคิดว่า “การเป็นผู้นำนั้นดีกว่า เราได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น เผชิญสถานการณ์มากขึ้น และมีบทเรียนให้เรียนรู้ทุกวัน ความหวังที่จะได้รับความจริงและบรรลุความรอดจึงสูงขึ้น” จากนั้นฉันก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อนตอนที่ฉันเป็นผู้ดูแลในคริสตจักร ฉันได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากกว่านี้ และได้ก้าวหน้าบ้างในการมีวิจารณญาณแยกแยะและการปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรม ไม่เหมือนกับตอนนี้ในหน้าที่ข้อเขียน ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเพียงไม่กี่คนในแต่ละวัน และไม่มีปัญหาสำคัญๆ อะไรให้เผชิญ ฉันรู้สึกว่ามีโอกาสที่จะได้รับบทเรียนและความจริงน้อยเกินไป ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานกว่าสิบปีแล้ว หากสุดท้ายแล้วฉันไม่ได้รับความจริง ฉันจะไม่ถูกเผยและถูกกำจัดหรอกเหรอ? ฉันรู้สึกท้อแท้อย่างอธิบายไม่ถูก และถึงขั้นคิดจะเปลี่ยนหน้าที่หรือสภาพแวดล้อมเพื่อจะได้รับประสบการณ์บ้าง ต่อให้ต้องไปประกาศข่าวประเสริฐหรือให้น้ำผู้เชื่อใหม่ก็เถอะ แต่ฉันรู้ว่าความคิดแบบนั้นไม่สมจริงนัก คริสตจักรได้บ่มเพาะฉันในงานข้อเขียนเป็นเวลานานมาก และหากไม่มีรูปการณ์พิเศษก็จะไม่มีการมอบหมายหน้าที่ใหม่กันง่ายๆ ในตอนนั้นฉันรู้สึกท้อแท้และขาดแรงจูงใจในหน้าที่

ในระหว่างการชุมนุม ฉันได้เปิดใจเรื่องสภาวะของตัวเองกับพี่น้องหญิงที่ฉันร่วมงานด้วยอยู่ เธอสามัคคีธรรมกับฉันว่า “การเข้าสู่ชีวิตเป็นไปได้ในเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ ไม่จำเป็นต้องประสบกับเหตุการณ์สะเทือนใจหรือเจอกับการตัดแต่งเพื่อที่จะทบทวนตัวเองและได้รับบทเรียน กุญแจสำคัญคือการรู้ซึ้งถึงสิ่งที่ความคิดของตัวเองเผยให้เห็นทุกวัน และใส่ใจที่จะได้รับบทเรียนจากสิ่งต่างๆ ที่คุณพบเจอ” ฉันบังเอิญได้ดูวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์เรื่อง “สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตก็เป็นโอกาสในการเรียนรู้เช่นกัน” ฉันกับตัวเอกมีสภาวะที่คล้ายกันมาก หลังจากดูจบ ฉันก็ตระหนักว่าชีวิตฉันไม่ได้หยุดนิ่งเพราะฉันมีหน้าที่ที่ซ้ำซากจำเจ แต่เป็นเพราะฉันมีปัญหาเรื่องมุมมองต่อสิ่งต่างๆ ขณะที่แสวงหา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “หน้าที่ใดก็ตามที่เจ้าปฏิบัติย่อมเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต  ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะค่อนข้างเป็นเวลาหรือเอาแน่เอานอนไม่ได้ จืดชืดน่าเบื่อหรือมีชีวิตชีวา เจ้าย่อมต้องบรรลุการเข้าสู่ชีวิตเสมอ  หน้าที่ทั้งหลายที่ผู้คนบางคนปฏิบัตินั้นค่อนข้างจำเจ พวกเขาทำสิ่งเดิมทุกวัน  อย่างไรก็ตาม ตอนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นอยู่ สภาวะที่ผู้คนเหล่านี้เปิดเผยออกมานั้นไม่ได้เป็นลักษณะเดียวกันทั้งหมด  บางคราว เมื่ออยู่ในอารมณ์ที่ดี ผู้คนขยันกว่าเล็กน้อยและทำงานได้ดีกว่า  ส่วนในเวลาอื่นๆ เนื่องจากอิทธิพลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ อุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาก็ปลุกปั่นความประสงค์ร้ายภายในตัวพวกเขาขึ้นมา เป็นเหตุให้พวกเขามีทรรศนะที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมและอยู่ในสภาวะที่แย่และอารมณ์ที่ไม่ดี นี่ส่งผลลัพธ์ในตัวพวกเขาให้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาไปในลักษณะขอไปที สภาวะภายในของผู้คนนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ สภาวะเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกที่ทุกเวลา  ไม่สำคัญว่าสภาวะของเจ้าเปลี่ยนแปลงอย่างไร การปฏิบัติตนไปบนพื้นฐานของอารมณ์ของเจ้านั้นย่อมผิดเสมอ  อย่างเช่น เจ้าทำได้ดีกว่าเล็กน้อยในยามที่เจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ดี และแย่ลงเล็กน้อยเมื่อเจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี—นี่เป็นหนทางที่มีหลักธรรมในการทำสิ่งทั้งหลายหรือ?  นี่จะเปิดโอกาสให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ถึงมาตรฐานอันดีกระนั้นหรือ?  ไม่ว่าอารมณ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ผู้คนต้องรู้จักอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริง มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกตีกรอบและแกว่งไกวไปมาด้วยอารมณ์ทั้งหลายของพวกเขา  ตอนที่กำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าควรตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอเพื่อที่จะมองเห็นว่าเจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมหรือเปล่า ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นได้มาตรฐานหรือเปล่า ว่าเจ้าแค่กำลังทำมันไปในลักษณะพอเป็นพิธีหรือไม่ ว่าเจ้าได้พยายามที่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่ และว่ามีปัญหาอันใดกับท่าทีของเจ้าและหนทางการคิดของเจ้าหรือไม่  ครั้นเจ้าได้มีการคิดทบทวนตัวเองแล้ว และสิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นชัดเจนต่อเจ้า เวลาที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วงก็ย่อมจะง่ายดายขึ้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไรในพระนิเวศของพระเจ้า ตราบใดที่เราไล่ตามเสาะหาความจริง ชีวิตก็ก้าวหน้าได้ เมื่อทบทวนตัวเอง ฉันเคยคิดว่างานข้อเขียน ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์จำกัดและมีประสบการณ์น้อย จะนำไปสู่การเข้าสู่วิถีชีวิตที่ช้า ฉันเลยใช้ชีวิตในภาวะอารมณ์ไม่ยอมรับ ไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่นี้ ฉันเพิ่งจะเห็นตอนนี้เองว่ามุมมองนี้บิดเบือนแค่ไหน หากเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไร ก็จะไม่ได้เข้าสู่ชีวิต และท้ายที่สุด เราจะไม่ได้รับอะไรเลย ฉันนึกถึงเซียวเมี่ยว ศัตรูของพระคริสต์ที่ฉันรู้จัก ซึ่งเคยรับใช้ในฐานะผู้นำมาก่อน แต่เธอไม่ได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้องหรือไล่ตามเสาะหาความจริง กลับไล่ตามชื่อเสียงและสถานะอยู่เสมอ ท้ายที่สุด เธอได้ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ปฏิเสธที่จะกลับใจอย่างสิ้นเชิง แล้วก็ถูกเผยและถูกกำจัดออกไป ในทางกลับกัน พี่น้องชายหญิงบางคนทำหน้าที่ที่ดูเหมือนไม่สำคัญ และมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อย แต่เมื่อใดก็ตามที่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น พวกเขาจะให้ความสำคัญกับการแสวงหาความจริงและการทบทวนตัวเอง และได้รับความเข้าใจจากประสบการณ์บ้าง ฉันตระหนักว่าการที่เราจะได้เข้าสู่ชีวิตและได้รับความจริงหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าที่ที่เราทำ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงหรือเปล่า เมื่อมองอย่างผิวเผิน แม้ว่างานข้อเขียนของฉันอาจจะดูค่อนข้างจำเจและไม่มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากนัก แต่ก็ยังมีบทเรียนให้เรียนรู้จากสิ่งที่ฉันพบเจอตามปกติ เช่น เมื่อปริมาณงานเพิ่มขึ้นและมีบทความคำเทศนาที่ต้องประเมินเพื่อคัดเลือกมากขึ้น ฉันจะเริ่มเลินเล่อและทำงานแบบสุกเอาเผากิน พลาดที่จะพินิจพิเคราะห์รายละเอียด ซึ่งนำไปสู่ข้อผิดพลาด ส่งผลให้ต้องแก้ไขงานและทำให้งานคืบหน้าล่าช้า ขณะที่ประเมินบทความคำเทศนาเพื่อคัดเลือก ฉันจะเผยอุปนิสัยโอหังด้วย คิดว่าตัวเองทำหน้าที่มานานและได้รับประสบการณ์การทำงานมาบ้าง เลยไม่แสวงหาหลักธรรมและอาศัยความตั้งใจของตัวเอง ผลก็คือ ฉันได้คัดบทความคำเทศนาที่มีคุณสมบัติออกไปบางส่วน นอกจากนี้ เมื่องานเห็นผลบางอย่าง ฉันก็ใช้ชีวิตในสภาวะชะล่าใจ พอใจกับความสำเร็จของตัวเอง และอยู่ไปวันๆ ในชีวิต บางครั้งพี่น้องหญิงที่ฉันร่วมงานด้วยก็พูดบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความทะนงตนของฉัน แล้วฉันก็เริ่มอ่อนไหวมาก ฉันถึงขั้นสงสัยว่าเธอดูแคลนฉัน และฉันลงเอยด้วยการหมกมุ่นอยู่กับความทะนงตนและสถานะของตัวเอง ฉันตระหนักว่าในชีวิตประจำวันและงาน ฉันจะพบเจอเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กมากมาย ตราบใดที่ฉันใส่ใจเรื่องนั้นๆ อย่างแข็งขัน แสวงหาและไตร่ตรอง ฉันก็จะสามารถได้รับบทเรียนจากทุกสิ่ง ฉันตระหนักว่าการที่ฉันไม่ได้เข้าสู่ชีวิตนั้นไม่ได้เกิดจากหน้าที่ที่ฉันทำ แต่เกิดจากการที่ฉันล้มเหลวในการไล่ตามเสาะหาความจริง และมุ่งเน้นแต่จะทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จ แม้ว่าฉันจะยุ่งทุกวัน แต่ฉันก็ไม่ได้เรียนรู้อะไร

ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “หากเจ้าเต็มใจจริงๆ ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด เช่นนั้นก้าวแรกก็คือเริ่มต้นด้วยการฝ่าพ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเอง พ้นจากความคิด มโนคติอันหลงผิดและการกระทำอันคลาดเคลื่อนนานัปการของเจ้า  จงยอมรับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้ในชีวิตประจำวันของเจ้า จงโอบกอดการพินิจพิเคราะห์ การทดสอบ การตีสอน และการพิพากษาของพระองค์ จงพากเพียรที่จะค่อยๆ ปฏิบัติไปตามหลักธรรมความจริงเมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่เจ้า และมีความคืบหน้าในการแปรพระวจนะของพระเจ้าไปเป็นหลักธรรมและเกณฑ์ประเมินสำหรับวิธีที่เจ้าวางตัวและปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันของเจ้า รวมทั้งเป็นชีวิตของเจ้า  นี่เป็นสิ่งที่ควรสำแดงในตัวผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเป็นสิ่งที่ควรสำแดงในบุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความรอด  นั่นฟังดูง่าย ขั้นตอนก็เรียบง่ายและไม่มีการเปิดโปงแบบยืดยาว แต่การนำมาปฏิบัตินั้นไม่ง่ายเลย  นี่เป็นเพราะมีสิ่งเสื่อมทรามอยู่มากเหลือเกินในตัวผู้คน อันได้แก่ ความน่าสมเพช กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ความเห็นแก่ตัว และความต่ำช้าของพวกเขา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามและเล่ห์เหลี่ยมสารพัดของพวกเขา  ที่เพิ่มเติมก็คือ คนบางคนมีความรู้ พวกเขาได้เรียนรู้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกและชั้นเชิงด้านการบงการบางอย่างในสังคม และพวกเขาก็มีข้อบกพร่องและตำหนิบางอย่างในแง่ของความเป็นมนุษย์  ตัวอย่างเช่น คนบางคนตระหนี่ถี่เหนียวและขี้เกียจ ส่วนคนอื่นๆ ก็ปากหวานก้นเปรี้ยว บ้างก็มีธรรมชาติเยี่ยงเศษสวะอย่างรุนแรง ส่วนคนอื่นๆ ก็ถือดี ไม่ก็มุทะลุและหุนหันพลันแล่นในการกระทำของตน ร่วมไปกับความผิดอื่นๆ มากมาย  มีความขาดตกบกพร่องและปัญหามากมายที่ผู้คนจำเป็นต้องเอาชนะในแง่ของความเป็นมนุษย์ของตน  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าปรารถนาที่จะบรรลุความรอด หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งได้รับความจริงและชีวิต เจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ต้องบรรลุความเข้าใจความจริง ต้องสามารถปฏิบัติและนบนอบพระวจนะของพระองค์ และตั้งต้นโดยการปฏิบัติความจริงและการค้ำจุนหลักธรรมความจริง  เหล่านี้เป็นเพียงประโยคเรียบง่ายไม่กี่ประโยค แต่ผู้คนก็ยังไม่รู้ว่าจะปฏิบัติหรือรับประสบการณ์กับประโยคเหล่านี้อย่างไร  ไม่สำคัญว่าเจ้ามีขีดความสามารถหรือมีการศึกษาอย่างไร และไม่สำคัญว่าเจ้ามีอายุเท่าไรหรือมีความเชื่อมากี่ปี ไม่ว่าในกรณีใด หากเจ้าอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องของการปฏิบัติความจริงโดยมีเป้าหมายและทิศทางที่ถูกต้อง และหากสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาและมานะพยายามล้วนเพื่อเห็นแก่การปฏิบัติความจริง สิ่งที่เจ้าจะได้รับในท้ายที่สุดโดยปราศจากข้อสงสัยก็คือความเป็นจริงความจริงและการที่พระวจนะของพระเจ้ากลายมาเป็นชีวิตของเจ้า  ก่อนอื่นให้กำหนดเป้าหมายของเจ้า จากนั้นก็ค่อยๆ ปฏิบัติไปตามเส้นทางนี้ และสุดท้ายแล้ว เจ้าก็จะได้รับบางสิ่งอย่างแน่นอน  พวกเจ้าเชื่อเช่นนี้หรือไม่?  (เชื่อ)” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (20))  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่าการที่จะบรรลุความรอด กุญแจสำคัญอยู่ที่ว่า คนเราไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตัวเองเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า นี่คือประเด็นสำคัญที่สุด เช่น ฉันบ่นอยู่เรื่อยว่าไม่ได้เข้าสู่ชีวิตและกังวลว่าจะไม่ได้รับความรอด ฉันนิ่งเฉยและคิดลบในหน้าที่ และถึงขั้นพิจารณาที่จะขอย้ายไปทำหน้าที่อื่น เรื่องที่ฉันเผชิญนี้เป็นโอกาสดีให้ฉันแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเอง แต่แทนที่จะแสวงหาและเข้าสู่ ฉันกลับตั้งเป้าไว้สูงเกินไปตลอด เพราะอยากมีประสบการณ์เรื่องสำคัญๆ นี่ไม่ใช่การสำแดงของการไล่ตามเสาะหาความจริง! ฉันจะบรรลุความจริงและความรอดได้ยังไงถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป? ฉันอยากมีประสบการณ์เรื่องสำคัญๆ เท่านั้น และมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันไป บางครั้งตอนฉันเผยสภาวะที่ผิด หรือเกิดความคิดหรือแนวคิดที่ไม่ถูกควร ฉันจะคิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ตราบใดที่มันไม่กระทบหน้าที่ และมันจะได้รับการแก้ไขหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องนี้นำไปสู่บทเรียนมากมายที่ฉันควรจะได้เรียนรู้ในขณะที่หลงทางอย่างไร้จุดหมาย ซึ่งก็เป็นการเบี่ยงเบนหนึ่งในการเข้าสู่ชีวิตของฉันเหมือนกัน จริงๆ แล้ว ตราบใดที่เรามีเป้าหมายและแข็งขันในการไล่ตามเสาะหาความจริง เราก็สามารถได้รับบทเรียนจากทุกสถานการณ์ เช่น บางครั้งหลังจากกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เราได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะและปัญหาของตัวเองบ้าง และพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ ซึ่งนำไปสู่การได้รับบางอย่าง บางครั้งต่อให้เราไม่เคยมีประสบการณ์บางอย่างด้วยตัวเอง หากพี่น้องชายหญิงที่อยู่รอบตัวเราเคยมีประสบการณ์นั้น การตั้งใจฟังการสามัคคีธรรมของพวกเขาก็อาจช่วยให้เราได้รับประโยชน์และบทเรียนเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น การใส่ใจที่จะตรวจสอบความคิดและแนวคิดของเราในการทำหน้าที่ การที่เราสามารถทบทวนตัวเองได้ และการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ก็สามารถนำไปสู่การเติบโตในชีวิตได้เช่นกัน เมื่อตระหนักได้อย่างนี้ ฉันก็รู้สึกว่าที่ผ่านมาฉันด้านชาเกินไปและเสียโอกาสมากมายที่จะได้รับความจริง ถึงขั้นอ้างอย่างผิดๆ ว่าที่ตัวเองขาดการเข้าสู่ชีวิตเป็นเพราะหน้าที่ที่จำเจ ฉันเป็นเหมือนคนที่ไปงานเลี้ยงแต่กลับหิวโหย โง่จริงๆ!

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสภาวะฉันมาก และฉันก็ได้รู้วิธีปฏิบัติและเข้าสู่ด้วย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการเดินตามหนทางของพระเจ้าไม่ได้ถูกแยกระหว่างเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก ทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องใหญ่—พวกเจ้าสามารถเข้าใจการนั้นได้หรือไม่?  (พวกเราสามารถเข้าใจได้)  ในด้านของเรื่องประจำวันทั้งหลาย มีบางเรื่องที่ผู้คนมองว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก และเรื่องอื่นๆ ที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็กไร้สาระ  บ่อยครั้งที่ผู้คนเห็นว่าเรื่องใหญ่เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญมาก และพวกเขาพิจารณาว่าเรื่องเหล่านั้นได้ถูกพระเจ้าทรงส่งมา  อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องใหญ่เหล่านี้แสดงบทบาทออกมา บ่อยครั้งที่ผู้คนไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่สามารถได้มาซึ่งวิวรณ์ใด และไม่สามารถได้รับความรู้จริงแท้ใดที่มีคุณค่า ก็เพราะวุฒิภาวะที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ของผู้คนและเพราะขีดความสามารถที่ต่ำของพวกเขา  ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กแล้ว เรื่องเหล่านี้เพียงแค่ถูกผู้คนมองข้ามและถูกทิ้งให้เลือนหายไปทีละนิดทีละน้อย  เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คนจึงได้สูญเสียโอกาสมากมายที่จะได้รับการตรวจดูและได้รับการทดสอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  มันหมายความว่ากระไรเล่า หากเจ้ามักมองข้ามผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ อีกทั้งสถานการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ให้เจ้าเสมอ?  มันหมายความว่าทุกวัน และแม้กระทั่งทุกชั่วขณะ เจ้ากำลังตัดขาดจากการที่พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม รวมทั้งภาวะผู้นำของพระองค์อยู่เป็นนิตย์  เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงสถานการณ์ให้กับเจ้า พระองค์กำลังทรงเฝ้าสังเกตอย่างลับๆ ทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของเจ้า และความคิดและแนวคิดของเจ้า ทรงเฝ้าดูว่าเจ้าคิดอย่างไร และเจ้าจะปฏิบัติตัวอย่างไร  หากเจ้าเป็นคนประมาท—คนที่ไม่เคยจริงจังกับทางของพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ หรือความจริง—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ใส่ใจหรือให้ความสนใจกับสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ หรือสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์จากเจ้าในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการสำหรับเจ้า  และเจ้าก็จะไม่รู้ว่าผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เจ้าประสบเกี่ยวเนื่องกับความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างไร  หลังจากที่เจ้าเผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมซ้ำๆ และการทดสอบซ้ำๆ เช่นนี้ โดยที่พระเจ้าไม่ทรงเห็นผลลัพธ์ใดๆ ในตัวเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงกระทำอย่างไรเล่า?  หลังจากได้เผชิญหน้ากับบททดสอบซ้ำๆ เจ้าก็ยังไม่ได้เทิดทูนพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่ในหัวใจของเจ้า ทั้งยังไม่ได้ถือรูปการณ์แวดล้อมที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ให้เจ้าเป็นเรื่องจริงจัง และเห็นว่าเป็นการทดสอบหรือการตรวจสอบจากพระเจ้า  แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้ากลับได้ปฏิเสธโอกาสที่พระเจ้าได้ประทานให้เจ้าแทน โดยปล่อยให้โอกาสผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า  นี่ไม่ใช่การเป็นกบฏแบบสุดขีดที่ผู้คนแสดงให้เห็นหรอกหรือ?  (ใช่)” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์)  พระวจนะของพระเจ้าชี้หนทางแห่งการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ชีวิต การเดินตามหนทางของพระเจ้าไม่ได้แยกแยะระหว่างเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก ไม่ว่าเรื่องที่พบเจอจะใหญ่หรือเล็ก ล้วนเกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริงต่างๆ และเราต้องแสวงหาความจริงถึงจะเข้าสู่ได้ ฉันนึกถึงเปโตร ผู้เดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง โดยให้ความสำคัญกับการทบทวนตัวเองและการแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกเรื่อง เขาได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและเข้าสู่ตามพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดเขาก็ได้รับความจริง และพระเจ้าก็ทรงทำให้เขาเพียบพร้อม ในทางตรงกันข้าม ฉันละเลยงานที่ถูกควรของตัวเองและตั้งเป้าหมายสูงเกินไป อยากจะได้รับรู้บทเรียนจากเรื่องสำคัญๆ อยู่เสมอ ในขณะที่มองข้ามเรื่องที่ตัวเองมองว่าไม่สำคัญ ส่งผลให้ฉันพลาดโอกาสมากมายที่จะได้รับความจริง เมื่อคิดถึงตัวเอง ส่วนใหญ่แล้ว ฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วยซ้ำ แล้วฉันจะได้รับบทเรียนอะไรจากเรื่องใหญ่ๆ ได้ล่ะ? ต่อจากนี้ไป ฉันต้องหัดเดินตามเส้นทางของเปโตร ไม่ว่าเรื่องที่พบเจอจะใหญ่หรือเล็ก ฉันก็ควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบความคิดและแนวคิดเบื้องหลังการกระทำของตัวเอง เจตนาผิดๆ ของฉัน ตลอดจนอุปนิสัยเสื่อมทรามใดๆ ที่ฉันเผยออกมา ฉันต้องใส่ใจที่จะแสวงหาความจริงมากขึ้นเพื่อแก้ไขเรื่องเหล่านี้ อีกอย่าง แม้ว่างานของฉันจะเห็นผลบ้าง แต่ฉันก็ไม่อาจพอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันได้ ฉันต้องทบทวนมากขึ้นและสรุปความเบี่ยงเบนและช่องว่างในงาน ปัญหาที่ฉันไม่ทันสังเกตเห็น และพยายามทำงานให้ดีขึ้น เมื่อตระหนักได้อย่างนี้ ฉันก็ไม่ต่อต้านงานข้อเขียนอีกต่อไป ในการทำหน้าที่ ฉันก็เริ่มให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ของตัวเองด้วย ไม่ปล่อยให้ตัวเองพลาดอะไรไป และเลี่ยงการเป็น “คนเลินเล่อ” หลังจากปฏิบัติหนทางนี้ ฉันก็ได้รับประโยชน์บางอย่าง

เพียงไม่กี่วันต่อมา ผู้ดูแลได้มอบหมายบทความคำเทศนาหลายบทความให้เราประเมินเพื่อคัดเลือก เราประเมินและคัดเลือกเสร็จอย่างรวดเร็ว แต่พี่น้องชายหญิงมีข้อเสนอแนะที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับผลการประเมินของเรา ต่อมาฉันได้ตระหนักว่าเราประเมินผิดไปจริงๆ ฉันจึงคิดว่าต่อจากนี้ไป แค่แก้ไขก็คงพอ แต่แล้วฉันก็ตระหนักว่าวิธีนี้ไม่ดีพอ ฉันต้องพิจารณาการเบี่ยงเบนใดๆ ในหน้าที่อย่างจริงจัง ฉันต้องไตร่ตรองว่าทำไมจึงเกิดการเบี่ยงเบนและเกิดขึ้นที่ไหน ว่าเป็นเพราะอุปนิสัยเสื่อมทรามหรือการขาดความเชี่ยวชาญ ถ้าฉันคำนึงถึงประเด็นนี้เพียงชั่วครู่โดยไม่ใส่ใจที่จะคิดทบทวนปัญหาของตัวเอง ฉันจะได้รับบทเรียนอะไรได้ล่ะ? จากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากเจ้าต้องการที่จะได้รับความจริง เจ้าจะเริ่มจากจุดใด?  เริ่มจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ รอบตัวเจ้า เรียนรู้วิธีที่จะถอดบทเรียนต่างๆ และแสวงหาความจริง  มีเพียงแสวงหาความจริงและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในตัวผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ รอบตัวเจ้าเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถได้รับความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว)  แล้วฉันก็ไตร่ตรอง เราอาจหลีกเลี่ยงปัญหาที่พี่น้องชายหญิงยกขึ้นมาได้ ถ้าเราใส่ใจมากขึ้นตอนประเมิน แต่ทำไมถึงมีความเบี่ยงเบนแบบนั้นล่ะ? พอได้คิดทบทวน ฉันก็ตระหนักว่ากรอบความคิดของฉันตอนประเมินบทความคำเทศนานั้นมีข้อบกพร่อง ฉันรู้สึกว่าบทความคำเทศนาที่พี่น้องชายหญิงเหล่านี้เขียนไว้ก่อนหน้านี้ยังไม่ดีพอ ฉันก็เลยดูถูกพวกเขาเพราะอุปนิสัยโอหังของตัวเอง ฉันไม่ได้ตรวจสอบบทความคำเทศนาของพวกเขาอย่างรอบคอบ ซึ่งทำให้เกิดการเบี่ยงเบน ฉันพบว่าหากไม่แก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง ฉันจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดี

หลังจากได้รับประสบการณ์นี้ ฉันก็ตระหนักอย่างแท้จริงว่า เพื่อไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิต คนเราต้องมีหัวใจที่หิวกระหายความชอบธรรมก่อน และเริ่มจากทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน คนเราควรสังเกตว่า ในแต่ละสถานการณ์ ตัวเองได้เผยอุปนิสัยเสื่อมทรามอะไรบ้าง แสวงหาและทบทวนความคิดและแนวคิดภายในตัวเองอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็ทำตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงเพื่อปฏิบัติและเข้าสู่ เมื่อสั่งสมไปทีละนิดและให้ความสำคัญกับการได้รับบทเรียนในทุกสิ่ง ประสบการณ์ชีวิตก็จะเข้มข้นขึ้น และจะเข้าใกล้เป้าหมายแห่งความรอดมากขึ้น ขอบคุณพระเจ้า!

ถัดไป:  25. การเผยแผ่ข่าวประเสริฐในช่วงเกิดโรคระบาด

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger