56. ฉันเลิกบ่นเรื่องขีดความสามารถอันต่ำต้อยของตัวเองแล้ว
ตอนเรียนชั้นประถม ฉันมีผลการเรียนที่ไม่ดีเลย แต่เพราะยังเด็ก จึงไม่ได้รู้สึกอับอายอะไร แต่ในช่วงมัธยมต้น พอเริ่มสังเกตเห็นว่าครูและเพื่อนร่วมชั้นให้ความเคารพและยกย่องนักเรียนที่เรียนเก่ง ฉันเริ่มรู้สึกอิจฉาขึ้นมา ฉันก็อยากเรียนให้ดีขึ้น เพื่อจะได้รับการยกย่องจากทุกคน แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน คะแนนของฉันก็ไม่ดีขึ้นเลย ฉันเอาแต่โทษตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงโง่ขนาดนี้? ช่างน่าอับอายจริงๆ!” สุดท้ายก็เลยลาออกจากโรงเรียน ตอนที่ฉันเริ่มหางานทำ ก็หาได้แต่งานที่ใช้แรงงาน เพราะไม่มีทั้งการศึกษาและทักษะติดตัวเลย พอเห็นคนเก่งๆ ที่มีการศึกษา หาเงินได้มากกว่าโดยไม่ต้องทำงานใช้แรงกาย ฉันก็เอาแต่โทษตัวเองอีกว่าโง่ และรู้สึกท้อแท้สุดๆ หลังจากยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเห็นว่าผู้นำคริสตจักรสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลาย สละตน ทนทุกข์ และยอมลำบาก ตลอดจนสามารถแก้ปัญหาให้พี่น้องชายหญิงได้โดยการสามัคคีธรรมในพระวจนะของพระเจ้า ทุกคนชื่นชมและเคารพพวกเขา ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงอิจฉาพวกเขามาก ฉันเฝ้ารอวันที่ตัวเองจะได้เป็นผู้นำคริสตจักรบ้าง ไม่คิดเลยว่า อีกแค่สองปีต่อมา ฉันจะถูกเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันละทิ้งสิ่งทั้งหลาย ด้วยความกระตือรือร้น สละตน และคอยร่วมมืออย่างแข็งขันในการทำงานที่ต้องจัดแจงและดำเนินการ ไม่ว่างานจะยากหรือเหนื่อยแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยบ่น ฉันพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยทุกคนที่กำลังมีปัญหา และพี่น้องชายหญิงทุกคนก็ยกย่องว่าฉันสู้ทนความทุกข์ได้ และมีท่าทีที่เปี่ยมด้วยความรัก แต่งานของคริสตจักรก็ไม่เคยมีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลย เพราะฉันเอาแต่ท่องจำคำพูดและคำสอน และทำตามข้อบังคับ โดยไม่สามารถใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้เลย ท้ายที่สุด ฉันก็ไม่เหมาะกับงานนี้จริงๆ และถูกปลดออก ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกคับข้องใจและคิดลบเป็นอย่างมาก ฉันรู้สึกว่าถ้าพี่น้องชายหญิงรู้ว่าฉันมีขีดความสามารถต่ำ พวกเขาคงดูถูกฉัน แล้วโอกาสที่ฉันจะเป็นที่ยอมรับก็ยิ่งริบหรี่ลงไปอีก ฉันอดไม่ได้ที่จะบ่นพระเจ้า ว่าเหตุใดฉันจึงมีขีดความสามารถต่ำ ในขณะที่คนอื่นมีขีดความสามารถดี ต่อมา ผู้นำคริสตจักรมอบหมายให้ฉันทำงานธุรการ ทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองทำได้แต่งานที่ใช้แรงเพราะขีดความสามารถต่ำ และไม่มีใครให้ความเคารพนับถือ ฉันก็รู้สึกคิดลบเล็กน้อย และหมดแรงจูงใจในการทำหน้าที่ หลังจากนั้น ผู้นำก็มอบหมายให้ฉันดูแลทรัพย์สินของคริสตจักร ฉันติดต่อกับพี่น้องชายได้แค่คนเดียวเท่านั้น เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย ฉันคิดในใจว่า “เพราะขีดความสามารถของฉันต่ำ เลยทำได้แค่งานเบื้องหลังแบบนี้” พอคิดเช่นนี้ ฉันก็หมดแรงจูงใจในหน้าที่ ฉันไม่ได้สรุปข้อเบี่ยงเบนหรือปัญหาที่เกิดขึ้นเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “คนส่วนใหญ่ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงๆ ในโลกหรือท่ามกลางผู้คนในสังคม เนื่องจากพวกเขามีขีดความสามารถและความสามารถปานกลางหรือถึงกับย่ำแย่ และพวกเขาก็ดิ้นรนให้ตนเองเป็นที่นิยมชมชอบหรือประสบความสำเร็จทางโลก รู้สึกอยู่เสมอว่าโลกช่างมืดมนและไม่ยุติธรรม พวกเขาจึงจำเป็นต้องมีความเชื่อ และท้ายที่สุดพวกเขาก็มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า นี่คือภาวะพื้นฐานที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คนในการทรงเลือกพวกเขา ด้วยความจำเป็นเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงสามารถเกิดความประสงค์ที่จะยอมรับความรอดจากพระเจ้า หากภาวะในทุกแง่มุมของเจ้านั้นดีมากและเหมาะสมกับการเพียรพยายามทางโลก และเจ้าก็อยากสร้างชื่อให้ตนเองเสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่มีความปรารถนาที่จะยอมรับความรอดจากพระเจ้า และเจ้าจะไม่มีโอกาสได้รับความรอดจากพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แม้เจ้าจะมีขีดความสามารถปานกลางหรืออ่อนด้อย เจ้าก็ยังโชคดีกว่าผู้ไม่มีความเชื่ออยู่มากที่มีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า ด้วยเหตุนั้น การมีขีดความสามารถอ่อนด้อยจึงไม่ใช่ข้อเสียของเจ้า และไม่ใช่อุปสรรคในการทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและสัมฤทธิ์ความรอด ทั้งหมดทั้งมวลแล้วพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ประทานขีดความสามารถนี้ให้เจ้า เจ้ามีมากเท่าที่พระเจ้าประทานให้ หากพระเจ้าประทานขีดความสามารถที่ดีแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีขีดความสามารถที่ดี หากพระเจ้าประทานขีดความสามารถปานกลางแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีขีดความสามารถในระดับปานกลาง หากพระเจ้าประทานขีดความสามารถที่ย่ำแย่แก่เจ้า เช่นนั้นแล้วขีดความสามารถของเจ้าก็ย่อมย่ำแย่ เมื่อเจ้าเข้าใจสิ่งนี้แล้ว เจ้าต้องยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้าและนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าให้ได้ ความจริงประการใดที่สร้างรากฐานในการนบนอบขึ้นมา? ความจริงที่ว่าการจัดการเตรียมการดังกล่าวของพระเจ้ามีเจตนารมณ์อันดีงามของพระเจ้าอยู่ พระเจ้าทรงอุตสาหะตรึกตรอง และผู้คนต้องไม่พร่ำบ่นหรือเข้าใจพระทัยของพระเจ้าผิด พระเจ้าจะไม่ทรงเชิดชูเจ้าอย่างสูงเพราะเจ้ามีขีดความสามารถดี และพระองค์จะไม่ทรงดูแคลนหรือทรงรังเกียจเจ้าเพราะเจ้ามีขีดความสามารถแย่ สิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจคืออะไร? สิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจคือการที่ผู้คนที่ไม่รักหรือยอมรับความจริง การที่ผู้คนเข้าใจความจริงแต่ไม่ปฏิบัติ การที่ผู้คนไม่ทำในสิ่งที่ตนสามารถทำได้ การที่ผู้คนไม่สามารถทุ่มเททั้งหมดให้หน้าที่ของตน ทว่ามีความปรารถนาอันฟุ้งเฟ้ออยู่เสมอ ต้องการสถานะอยู่ตลอดเวลา แก่งแย่งตำแหน่งกันเสมอ และมีข้อเรียกร้องกับพระองค์ตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นว่าน่าขยะแขยงและน่ารังเกียจ” (พระวจนะฯ เล่ม 7 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7)) ระหว่างที่ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง ฉันตระหนักว่า พระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วให้ฉันมีขีดความสามารถต่ำ และเบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือเจตนารมณ์อันดีงามของพระองค์ ฉันมีความอยากได้อยากมีในชื่อเสียงและสถานะอย่างมาก และเสาะแสวงความโดดเด่นให้กับตัวเองมาตั้งแต่ยังเด็ก ถ้าฉันมีขีดความสามารถที่ดีและมีคุณสมบัติเหมาะสม ตลอดจนมีสถานะที่สูงส่งในโลกใบนี้ เป็นที่เคารพนับถือและชื่นชม ฉันก็คงไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเลย และคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทำลายของซาตาน ได้แต่มัวเมาอยู่กับความสุขในบาป ฉันตระหนักว่า ขีดความสามารถที่ต่ำของฉันทำให้ฉันได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า และนำฉันมาเฉพาะพระพักตร์ นี่คือการช่วยให้รอดของพระเจ้า เพราะขีดความสามารถของฉันต่ำ คริสตจักรจึงมอบหมายให้ฉันทำงานธุรการ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ค่อนข้างเหมาะกับฉัน ถ้าฉันพยายามสักหน่อย ก็คงทำหน้าที่นั้นได้ดี แต่แทนที่จะทำอย่างนั้น ฉันกลับเอาแต่บ่น เพราะหน้าที่นี้ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้แสดงความโดดเด่นหรือเป็นที่ยอมรับ ฉันถึงขั้นทำหน้าที่แบบสุกเอาเผากิน แค่ทำให้จบๆ ไป พอเห็นว่าตัวเองไม่ลุล่วงในหน้าที่ของตน ฉันก็ตระหนักว่าตัวเองโอหังและไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งโดยบังเอิญ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ลักษณะจำเพาะที่สำแดงถึงผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยในแง่ที่เป็นความสามารถเชิงนวัตกรรมก็คือ พวกเขาไม่รู้ว่าจะนำหลักธรรมและพื้นฐานสำคัญต่างๆ ไปปรับใช้กับงานจริงที่มีความเฉพาะทางได้อย่างไร พวกเขาทำได้เพียงท่องคำ เรียนรู้คำสอน และจำข้อบังคับต่างๆ การเอาแต่ท่องจำคำสอนและข้อบังคับย่อมไม่มีประโยชน์ และไม่ได้บ่งชี้ว่าเจ้ามีความสามารถเชิงนวัตกรรม เจ้ามีความสามารถเชิงนวัตกรรมหรือไม่ย่อมเห็นได้ชัดเจนจากการที่ว่าเจ้าสามารถนำหลักธรรม กฎเกณฑ์ และพื้นฐานสำคัญเหล่านี้ไปทำให้เป็นผลในชีวิตจริงได้หรือไม่ ทำงานที่เกี่ยวเนื่องกับหลักธรรมและพื้นฐานสำคัญเหล่านี้ให้ดี เพื่อให้หลักธรรมและพื้นฐานสำคัญเหล่านี้ไม่เป็นเพียงวาจาและคำสอน ข้อบังคับ และสูตรต่างๆ เท่านั้น แต่มีการนำไปทำให้เป็นผลในชีวิตของผู้คนและปรับใช้กับผู้คน เปิดโอกาสให้ผู้คนใช้สิ่งที่กล่าวมา ได้ประโยชน์และได้รับการเอื้ออำนวยจากสิ่งเหล่านี้ ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเส้นทางปฏิบัติในชีวิต หรือเป็นเครื่องชี้นำ เป็นทิศทาง และจุดหมายในการใช้ชีวิต ถ้าคนคนหนึ่งไม่มีความสามารถเชิงนวัตกรรม รู้แต่ว่าจะพร่ำกล่าววาจาและคำสอนและร้องบอกคำขวัญอย่างไร ไม่สามารถนำหลักธรรมและพื้นฐานสำคัญเหล่านี้ไปใช้เมื่อถึงเวลาทำหน้าที่ของตน คนที่เดินตามผู้นำหรือผู้ดูแลเยี่ยงนี้ย่อมไม่มีเส้นทางที่จะปฏิบัติความจริงในแง่มุมนี้ ผู้นำหรือผู้ดูแลเช่นนี้ก็คือผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อย ทำงานดังกล่าวไม่ได้ จึงควรรายงานเรื่องของพวกเขา และเมื่อระบุตัวออกมาแล้วก็ควรปลดเสีย… ฉะนั้น ความสามารถเชิงนวัตกรรมจึงเป็นความสามารถที่สำคัญยิ่งสำหรับผู้นำ คนทำงาน หรือผู้ดูแล ถ้าเจ้าไม่มีขีดความสามารถพื้นฐานและศักยภาพที่จะทำงานนั้นๆ ก็แน่นอนว่าเจ้าต้องระมัดระวังและไม่เอาแต่พุ่งไปข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น และเจ้าต้องไม่อยากเด่นอยู่เสมอ อยากเป็นผู้นำหรือผู้ดูแลอยู่ตลอดเวลา การทำเช่นนั้นไม่เพียงหยุดยั้งตัวเจ้าเองเท่านั้น แต่ยังกีดขวางไม่ให้ผู้อื่นได้รับความรอดอีกด้วย ถ้าเจ้าเพียงแต่หยุดยั้งตัวเอง เจ้าก็ทำให้ตัวเจ้าตายเพียงคนเดียว แต่ถ้าเจ้ากีดขวางพี่น้องชายหญิง เจ้าก็กำลังทำร้ายผู้คนมากมายอยู่มิใช่หรือ? เจ้าอาจจะไม่ใส่ใจชีวิตของตนเอง แต่คนอื่นย่อมใส่ใจชีวิตของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น การเป็นอุปสรรคต่อชีวิตประจำวันหรือความสำเร็จทางการเงินของเจ้าเองไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่การกีดขวางงานของคริสตจักรย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก เจ้าแบกรับความรับผิดชอบเช่นนั้นไหวหรือ? ถ้าเจ้าเป็นคนที่มีมโนธรรมจริงๆ และรู้สึกว่าเรื่องนี้ใช้ความรับผิดชอบสูง และการกีดขวางงานของคริสตจักรไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรับผิดชอบได้ไหว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องไม่หันไปใช้วิธีการอันใดที่จำเป็นต่อการอวดตัวและแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำเป็นอันขาด ถ้าเจ้าไม่มีขีดความสามารถและวุฒิภาวะ ก็อย่าเพียรทำตัวเด่นอยู่เสมอ อย่ากีดขวางงานของคริสตจักรหรือกีดขวางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการเข้าสู่ความจริงและได้รับบั้นปลายอันดีงามเพียงเพื่อตอบสนองการใฝ่หาอำนาจสั่งการของเจ้า—นี่คือความชั่วช้า! เจ้าควรตระหนักรู้ตัวเองบ้าง จงทำสิ่งที่เจ้าทำได้และไม่มุ่งมาดที่จะเป็นผู้นำอยู่เสมอ นอกจากการเป็นผู้นำแล้ว ยังมีหน้าที่อื่นอีกมากมายที่เจ้าทำได้ การเป็นผู้นำไม่ได้เป็นสิทธิ์เฉพาะของเจ้าคนเดียว และไม่ควรเป็นสิ่งที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้า ถ้าเจ้ามีขีดความสามารถและวุฒิภาวะที่จะเป็นผู้นำ และเจ้าก็มีสำนึกถึงภาระอีกด้วย เช่นนั้นแล้วการปล่อยให้ผู้อื่นเลือกเจ้าย่อมจะดีกว่า การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและทุกคนที่เกี่ยวข้อง ถ้าเจ้าไร้ขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำ เจ้าก็ควรแสดงให้เห็นความใจดีมีเมตตาและรับผิดชอบอนาคตของผู้อื่นบ้าง อย่าแก่งแย่งที่จะเป็นผู้นำอยู่เสมอและอย่ากีดขวางผู้อื่น การอยากเป็นผู้นำและควบคุมดูแลงานของคริสตจักรทั้งที่ด้อยขีดความสามารถนั้นแสดงถึงการไร้เหตุผล ถ้าเจ้าไม่มีขีดความสามารถและวุฒิภาวะ ก็จงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอ การลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างแท้จริงแสดงว่าเจ้าพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง จงทำงานอันใดก็ตามที่เจ้าทำได้ตามความสามารถของเจ้า อย่าเก็บงำความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีเอาไว้ อย่าเอาแต่เสาะแสวงที่จะตอบสนองความอยากได้อยากมีของเจ้าเอง พลางละทิ้งงานของคริสตจักร—นี่ย่อมทำร้ายทั้งตัวเจ้าเองและคริสตจักร นี่คือสิ่งที่สำแดงถึงผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยในแง่ของความสามารถเชิงนวัตกรรม” (พระวจนะฯ เล่ม 7 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7)) สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดโปงนั้นตรงกับพฤติกรรมของฉันทุกประการ ฉันมีขีดความสามารถต่ำและขาดความคิดสร้างสรรค์ ฉันทำได้เพียงเข้าใจความรู้ด้านคำสอนบางประการ และปฏิบัติตามกฎระเบียบบางข้อในหน้าที่ของตน แต่กลับแก้ปัญหาจริงไม่ได้เลย ฉันจึงไม่เหมาะสมที่จะรับใช้ในตำแหน่งผู้นำ หลังจากถูกเลือกให้เป็นผู้นำ ฉันก็รับใช้ด้วยความกระตือรือร้น สละตน มีแรงจูงใจ และสามารถทำงานธุรการได้บ้าง แต่เพราะขีดความสามารถของฉันต่ำ จึงทำได้เพียงเดินตามข้อบังคับและทำทุกอย่างไปตามขั้นตอน ฉันไม่เข้าใจและไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงในการทำงานได้ และสุดท้ายก็ถูกปลดออกเพราะไม่สามารถทำงานจริงได้ มีหลักธรรมบางประการที่เราสามารถใช้พิจารณาได้ว่าผู้ใดเหมาะสมจะเป็นผู้นำ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาควรมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ขีดความสามารถในระดับปานกลาง และสามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้ สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่มีขีดความสามารถพอจะเป็นผู้นำ และถ้าฉันยังคงรับใช้ในบทบาทนั้นต่อไป ก็มีแต่จะขัดขวางงานของคริสตจักรและทำให้พี่น้องชายหญิงเข้าสู่ชีวิตล่าช้า นั่นคงเป็นการกระทำผิดอย่างใหญ่หลวงเลย! การที่ผู้นำมอบหมายงานใหม่ให้ฉันเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว เพราะฉันมีขีดความสามารถต่ำ และไม่สามารถทำงานของคริสตจักรได้ นี่ไม่ใช่แค่การปกป้องฉัน แต่ยังเป็นสิ่งที่สมควรทำเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่องานคริสตจักรด้วย แต่ฉันกลับไม่รู้จักตัวเองเลย ทั้งที่ฉันมีขีดความสามารถต่ำ แต่กลับเต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีอย่างแรงกล้าต่อสถานะและชื่อเสียง คอยมุ่งหวังจะสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองด้วยการรับใช้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน ฉันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย! ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงยับยั้งข้าพระองค์ไม่ให้เดินไปในเส้นทางแห่งความชั่วได้ทันเวลา ด้วยการปลดข้าพระองค์ออกจากตำแหน่ง พระองค์ยังทรงช่วยให้ข้าพระองค์เข้าใจสภาวะของตนเอง ผ่านการเปิดโปงของพระวจนะของพระองค์ ตอนนี้ข้าพระองค์ยอมรับอย่างเต็มที่ว่าการที่ข้าพระองค์ได้รับมอบหมายงานใหม่นั้นก็เพราะมีขีดความสามารถต่ำ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ยินดีที่จะกลับใจ และจะไม่บ่นเรื่องขีดความสามารถที่ต่ำของตัวเองอีกต่อไป ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะแสวงหาความจริง เพื่อแก้นิสัยอันเสื่อมทรามของตน และมีท่าทีที่ถูกต้องต่อขีดความสามารถของตนเอง”
ฉันยังคงทบทวนตัวเองและแสวงหาสาเหตุว่าเหตุใดฉันถึงเอาแต่บ่น ต่อมา ฉันตระหนักว่าสภาวะของฉันมีปัญหา หลังจากได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความทะนุถนอมที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อความมีหน้ามีตาและสถานะนั้นมีมากกว่าของผู้คนปกติ และเป็นสิ่งที่มีอยู่ในอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขา นั่นไม่ใช่ความสนใจชั่วคราวหรือผลกระทบชั่วครู่ชั่วยามจากสิ่งรอบตัวของพวกเขา—นั่นเป็นบางสิ่งภายในชีวิตของพวกเขา กระดูกของพวกเขา และดังนั้นนั่นจึงเป็นแก่นแท้ของพวกเขา นี่หมายความว่าในทุกสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ สิ่งแรกที่พวกเขาคำนึงถึงก็คือความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขาเอง ไม่ใช่อะไรอื่น สำหรับศัตรูของพระคริสต์ ความมีหน้ามีตาและสถานะคือชีวิตของพวกเขา และเป็นเป้าหมายชั่วชีวิตของพวกเขา ในทั้งหมดที่พวกเขาทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาคือ ‘จะเกิดอะไรขึ้นกับสถานะของฉัน? แล้วความมีหน้ามีตาของฉันล่ะ? การทำเช่นนี้จะทำให้ฉันเป็นที่นับหน้าถือตาหรือไม่? นั่นจะยกระดับสถานะของฉันในจิตใจของผู้คนหรือไม่?’ นั่นคือสิ่งแรกที่พวกเขาคิดถึง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่มากพอว่าพวกเขามีอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาคำนึงถึงสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ อาจกล่าวได้ว่าสำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว ความมีหน้ามีตาและสถานะไม่ใช่เรื่องพึงประสงค์บางอย่างที่เพิ่มเข้ามา นับประสาอะไรที่จะเป็นสิ่งภายนอกซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในกระดูกของพวกเขา ในเลือดของพวกเขา สิ่งเหล่านี้มีมาแต่กำเนิดสำหรับพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์นั้นมิใช่ไม่แยแสว่าพวกเขามีหน้ามีตาและมีสถานะหรือไม่ นี่ไม่ใช่ท่าทีของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีของพวกเขา? ความมีหน้ามีตาและสถานะเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของพวกเขาอย่างแนบแน่น เชื่อมโยงกับสภาวะในแต่ละวันของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาเป็นประจำทุกวัน ดังนั้น สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว สถานะและความมีหน้ามีตาจึงเป็นชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ทำงานอะไร ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด ไม่ว่าเป้าหมายของพวกเขาจะเป็นสิ่งใด ทิศทางชีวิตของพวกเขาคืออะไร ทั้งหมดย่อมโคจรอยู่รอบๆ การเป็นที่นับหน้าถือตาและสถานะอันสูงส่ง และจุดมุ่งหมายนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่สามารถละวางสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม)) พระเจ้าทรงเปิดโปงให้เห็นว่า ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะทำสิ่งใด พวกเขาก็มักจะคำนึงถึงชื่อเสียงและสถานะของตัวเองก่อนเสมอ พวกเขาพยายามที่จะตอบสนองความทะเยอทะยานและความปรารถนาของตัวเองในทุกเรื่อง แม้ว่าฉันอาจมีขีดความสามารถต่ำ แต่อุปนิสัยที่ฉันเผยออกมากลับมีลักษณะไม่ต่างจากศัตรูของพระคริสต์ ในการทำหน้าที่ ฉันเสาะแสวงที่จะได้รับความเคารพจากผู้คน และอยากให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับอยู่เสมอ ตอนที่ได้รับมอบหมายงานใหม่ ฉันไม่ทบทวนข้อบกพร่องของตัวเองเลย แต่กลับประพฤติตนอย่างไร้เหตุผล เอาแต่บ่นที่พระเจ้าทำให้ฉันมีขีดความสามารถต่ำ และกลายเป็นคนคิดลบและย่อหย่อนในหน้าที่ ฉันได้เห็นว่า แม้จะเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี และได้รับการให้น้ำและหล่อเลี้ยงจากพระวจนะของพระเจ้ามากมาย แต่อุปนิสัยในชีวิตของฉันกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลย และฉันก็หวงแหนชื่อเสียงและสถานะไม่ต่างจากชีวิตของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างแท้จริง! ฉันนึกถึงหยางจิ้ง ซึ่งเป็นคู่ทำงานคนก่อนของฉัน เธอมีขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานอยู่บ้าง แต่เธอโอหัง ทำตามอำเภอใจ และหมกมุ่นกับสถานะ เธอมักอวดตนในหน้าที่เมื่อมีโอกาส เพื่อให้ผู้คนเคารพนับถือ ทำสิ่งที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ผู้นำของเราเปิดโปงและตัดแต่งเธอหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ยอมกลับใจ สุดท้ายเธอก็ถูกเผยออกมาว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ และถูกขับไล่ ฉันมัวแต่แสวงหาสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ ดังนั้น ถ้าฉันมีขีดความสามารถดี ทันทีที่ได้สถานะและได้รับความเคารพจากผู้คน ฉันก็คงเดินไปในเส้นทางเดียวกับหยางจิ้งอย่างแน่นอน ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างยิ่ง และหมกมุ่นอยู่กับสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ หากไม่ใช่เพราะการพิพากษาและการเปิดโปงจากพระวจนะของพระองค์ ข้าพระองค์ก็คงไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ข้าพระองค์เผยออกมาคืออุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ ข้าพระองค์ช่างชาเฉยและโง่เขลายิ่งนัก! ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบคุณที่ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้แนะผ่านพระวจนะของพระองค์ ข้าพระองค์พร้อมจะกลับใจ แสวงหาความจริงและลุล่วงหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดตามขีดความสามารถที่ข้าพระองค์มี”
ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันก็ได้อ่านพระวจนะอีกหลายบทตอน ซึ่งช่วยให้ฉันเข้าใจมากขึ้นว่าควรมองขีดความสามารถของตัวเองอย่างไร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตามขีดความสามารถของเจ้า เจ้าทำได้เพียงงานบางอย่างที่ต้องใช้แรงกายเท่านั้น งานที่ไม่มีคนเห็น ถูกผู้คนดูแคลน และไม่มีใครจดจำ—ถ้านี่คือสถานการณ์ของเจ้า เจ้าก็ควรน้อมรับสถานการณ์นี้จากพระเจ้า ไม่เก็บงำคำพร่ำบ่น และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ควรเลือกหน้าที่ของตนตามใจปรารถนา ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะจัดแจงให้เจ้าทำสิ่งใดก็จงทำไปเถิด ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตที่เป็นขีดความสามารถของเจ้า เจ้าก็ควรทำให้ดี… แม้เจ้าจะไม่สามารถทำงานอื่น แม้เจ้าจะไม่สามารถมีบทบาทสำคัญและเด็ดขาดในงานของคริสตจักร และเจ้าก็ไม่มีคุณความดีที่สำคัญ แต่ถ้าเจ้าสามารถมานะพยายามและจงรักภักดีได้อย่างเต็มที่ในงานที่ไร้ความโดดเด่น และเสาะแสวงแต่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยเท่านั้น นั่นย่อมมากพอแล้ว นี่ไม่ได้ทำให้พระเจ้าผิดหวังที่ยกชูเจ้า อย่าเลือกงานโดยดูว่างานเหล่านั้นสกปรกหรือเหน็ดเหนื่อยหรือไม่ คนอื่นจะเห็นเจ้าทำงานเหล่านั้นหรือไม่ ผู้คนจะสรรเสริญเจ้าหรือไม่ หรือพวกเขาจะดูแคลนที่เจ้าทำงานเหล่านั้นหรือไม่ อย่าไปคิดเรื่องพวกนี้ จงเสาะแสวงที่จะน้อมรับงานนั้นๆ จากพระเจ้า นบนอบ และลุล่วงหน้าที่ที่เจ้าควรลุล่วงก็พอ” (พระวจนะฯ เล่ม 7 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7)) “การแยกแยะลักษณะต่างๆ ที่สำแดงถึงผู้คนที่มีขีดความสามารถแตกต่างกัน และยกตัวอย่างจำเพาะเหล่านี้ขึ้นมา ก็หมายที่จะช่วยให้เจ้าเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับตัวอย่างเหล่านี้ เจ้าจะได้สามารถระบุได้อย่างถูกต้องว่าที่ทางของเจ้าอยู่ตรงไหน จัดการขีดความสามารถและภาวะต่างๆ ของตนเองได้อย่างมีเหตุผล รับมือการเปิดโปง พิพากษา และตัดแต่งจากพระเจ้าหรืองานที่จัดแจงไว้ให้เจ้าได้อย่างมีเหตุผล และเจ้าก็จะได้สามารถนบนอบและสำนึกขอบคุณได้จากส่วนลึกของหัวใจ แทนที่จะแสดงให้เห็นการไม่ยอมรับและผลักไส เมื่อผู้คนสามารถจัดการขีดความสามารถของตนเองได้อย่างมีเหตุผล จากนั้นก็ระบุที่ทางของตนได้อย่างถูกต้อง กระทำการในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่พระเจ้าทรงต้องการได้อย่างติดดิน ทำสิ่งที่ควรทำอย่างถูกควรตามขีดความสามารถที่มีติดตัว ทั้งยังอุทิศความจงรักภักดีและความอุตสาหะทั้งปวงของตน พวกเขาย่อมสัมฤทธิ์การทำให้พระเจ้าพอพระทัย” (พระวจนะฯ เล่ม 7 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7)) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้กับฉัน แม้ว่าฉันจะมีขีดความสามารถต่ำ แต่พระเจ้าก็ไม่เคยปฏิบัติกับฉันไม่ดีเลย การปกป้องทรัพย์สินของคริสตจักร ต้องอาศัยความรับผิดชอบและใส่ใจในรายละเอียด ฉันต้องตรวจสอบและดูแลทรัพย์สินอย่างสม่ำเสมอ ถ้าทำงานด้วยความเอาใจใส่ ฉันก็สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ และหน้าที่นี้ก็เหมาะกับฉัน ฉันควรรู้จักฐานะของตัวเอง และทำหน้าที่อย่างจงรักภักดีให้สุดความสามารถ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวไว้ว่า “การทำหน้าที่ก็ไม่เป็นแบบเดียวกัน มีร่างกายหนึ่งร่าง แต่ละร่างทำหน้าที่ของเขา แต่ละร่างอยู่ในสถานที่ของเขาและกำลังทำสุดความสามารถของเขา—เพราะแต่ละประกายไฟที่อยู่ตรงนั้นมีความสว่างหนึ่งวาบ—และกำลังแสวงหาความเป็นผู้ใหญ่ในชีวิต เช่นนั้นแล้วเราจึงจะพึงพอใจ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 21) พระวจนะของพระเจ้าหนุนใจฉันอย่างมาก และในใจลึกๆ ฉันก็อยากถนอมรักษาหน้าที่นี้เอาไว้ ต่อมา ขณะทำหน้าที่ปกป้องทรัพย์สิน ฉันก็มักจะสรุปข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องของตนอยู่เสมอ ระบุว่าจุดไหนที่ละเมิดหลักธรรม และเมื่อระบุปัญหาแล้ว ก็รีบแก้ไขโดยไม่รีรอ เมื่อฉันไม่สามารถระบุปัญหาได้ด้วยตัวเอง ฉันก็จะอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงเผยปัญหาให้ฉันเห็น ฉันพยายามทำทุกสิ่งที่จำเป็นอย่างเต็มที่ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่องานของฉัน การที่ฉันเข้าใจและสามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!