43. ในที่สุดฉันก็ตระหนักว่าตัวเองเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด

โดย ซูเฟิงซวง ประเทศจีน

ในปี 2021 ฉันปฏิบัติหน้าที่ผู้นำในคริสตจักรค่ะ ในตอนนั้น ฉันร่วมงานกับพี่น้องหญิงหลี่ฮว๋า ความรับผิดชอบหลักของฉันคืองานข่าวประเสริฐ ส่วนหลี่ฮว๋ารับผิดชอบงานชำระคริสตจักรให้สะอาด ส่วนงานอื่นๆ เราก็ทำร่วมกันค่ะ วันหนึ่ง ฉันได้รับจดหมายจากพี่น้องหญิงคนหนึ่งแจ้งว่า ฟางเสียไม่มีความคืบหน้าในการจัดระเบียบเอกสารงานชำระให้สะอาดเลย และนี่ก็กำลังขัดขวางความก้าวหน้าของงาน จดหมายฉบับนั้นขอให้เราพิจารณาว่าจำเป็นต้องมอบหมายหน้าที่ให้เธอใหม่หรือไม่ ฉันรู้ว่าฟางเสียมีขีดความสามารถไม่ค่อยดีนัก และการจัดระเบียบเอกสารงานชำระให้สะอาดก็เป็นงานที่หนักหนาเอาการสำหรับเธอ จึงจำเป็นต้องมอบหมายหน้าที่ให้เธอใหม่จริงๆ แต่แล้วฉันก็คิดว่างานชำระคริสตจักรให้สะอาดเป็นความรับผิดชอบของหลี่ฮว๋า หากมีปัญหาใดๆ เธอก็ควรจะเป็นคนสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขปัญหานั้น งานข่าวประเสริฐที่ฉันรับผิดชอบนั้นมีหลายเรื่องและก็มีปัญหาอยู่มาก ก่อนหน้านี้ ฉันถึงกับถูกผู้นำระดับสูงตัดแต่งเพราะมีงานบางอย่างที่ไม่ได้รับการปฏิบัติ ถ้าฉันไม่ติดตามและนำไปปฏิบัติในเร็วๆ นี้ ฉันก็อาจจะถูกตัดแต่งอีก ฉันคิดว่าการทุ่มเทเวลาและพลังงานให้กับงานข่าวประเสริฐนั้นสำคัญกว่าค่ะ สองวันนั้นหลี่ฮว๋าไม่อยู่ที่บ้านเจ้าภาพเพราะไปทำธุระ ฉันจึงขอให้พี่น้องหญิงอีกคนไปบอกเธอว่า พอกลับมาแล้วให้รีบทำความเข้าใจเรื่องราวของฟางเสียและมอบหมายหน้าที่ให้เธอใหม่อย่างทันท่วงที หลังจากนั้น ฉันก็ไปยุ่งอยู่กับงานที่ตัวเองรับผิดชอบค่ะ ต่อมาไม่นาน ก็มีพี่น้องหญิงอีกคนมารายงานปัญหาเกี่ยวกับฟางเสีย บอกว่าเธอไม่แบกภาระในการปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อพี่น้องหญิงชี้ให้เห็นปัญหาของเธอ เธอก็ไม่ยอมรับ แถมยังแสดงความมุทะลุออกมาอีกด้วย ทุกคนรู้สึกอึดอัดเพราะเธออยู่บ้าง ฉันคิดในใจว่า “เป็นไปได้ไหมที่คราวก่อนหลี่ฮว๋าไม่ได้ไปทำความเข้าใจสถานการณ์?  ทำไมฟางเสียถึงยังไม่ถูกปลดอีก?  เธอกลายเป็นผู้ขัดขวางและก่อกวนอยู่ในหมู่พี่น้องชายหญิงของเราแล้ว จะต้องรีบปลดเธอออกโดยด่วน” ในตอนนั้น หลี่ฮว๋าไม่สามารถออกมาปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เพื่อทดแทน เราจึงเลือกผู้นำอีกคนคือติงเหยียน ให้มารับช่วงต่องานที่หลี่ฮว๋ารับผิดชอบ ฉันคิดในใจว่า “ติงเหยียนเคยทำงานชำระคริสตจักรให้สะอาดมาก่อน และมีวิจารณญาณแยกแยะคนได้ดีกว่าฉัน ฉันจะให้ติงเหยียนไปปลดฟางเสียออก” ฉันคาดไม่ถึงเลยว่าเมื่อติงเหยียนกลับมาหลังการชุมนุม เธอกลับพูดว่า “ฉันกังวลว่าถ้าปลดฟางเสียออกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เธออาจจะมองฉันไม่ดี ฉันก็เลยไม่ได้ปลดเธอออก” ในตอนนั้น ฉันคิดอยู่แต่ว่างานชำระคริสตจักรให้สะอาดเป็นความรับผิดชอบของติงเหยียน และถ้าเธอไม่ปลดฟางเสียออก นั่นก็เป็นเพราะเธอไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนเอง ไม่ใช่ปัญหาของฉัน ฉันจึงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ต่อมา ผู้นำระดับสูงทราบเรื่องนี้และได้จัดให้มีคนมาปลดฟางเสียออกอย่างรวดเร็ว พวกเขายังส่งจดหมายมาถามเราด้วยว่าทำไมเราถึงไม่รีบปลดและปรับเปลี่ยนหน้าที่คนที่ไม่เหมาะสม และขอให้เราเขียนการทบทวนและความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในตอนนั้น ฉันไม่มีความเข้าใจในตัวเองเลยแม้แต่น้อย ฉันคิดว่างานนี้ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของฉัน และถึงแม้จะมีคนต้องรับผิดชอบ ก็ไม่ควรเป็นฉัน เป็นหลี่ฮว๋ากับติงเหยียนต่างหากที่ไม่ได้ปลดฟางเสียออกให้ทันท่วงที ผู้นำระดับสูงเห็นว่าฉันกำลังโต้เถียงและปัดความรับผิดชอบ และไม่มีความเข้าใจในตัวเองเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังมีอุปนิสัยโอหังและไม่ยอมรับการตัดแต่งและการชี้แนะของพี่น้องชายหญิง ฉันไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักธรรม และได้สร้างความเสียหายต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง ดังนั้น พวกเขาจึงปลดฉันออกค่ะ

ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งตรงกับสภาวะของฉันมาก  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ของศัตรูพระคริสต์สำแดงตัวออกมาอย่างไร?  ในการใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อสถานะหรือความมีหน้ามีตาของพวกเขา พวกเขาย่อมพยายามทำหรือพูดสิ่งใดก็ตามที่จำเป็น และพวกเขาก็เต็มใจที่จะทนฝ่าความทุกข์ใดๆ  แต่หากเกี่ยวข้องกับงานที่จัดการเตรียมการโดยพระนิเวศของพระเจ้า หรือเกี่ยวข้องกับงานที่เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขากลับเพิกเฉยอย่างสิ้นเชิง  แม้ในยามที่คนชั่วก่อให้เกิดการขัดขวาง ก่อกวน และกระทำความชั่วทุกชนิด ซึ่งส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง พวกเขายังคงไม่ยินดียินร้ายและไม่กังวลสนใจ ราวกับการนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลย  และหากใครบางคนค้นพบและรายงานการประพฤติชั่วของคนชั่ว พวกเขาก็พูดว่าพวกเขาไม่ได้เห็นอะไรเลย และแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง  แต่ถ้ามีใครรายงานเรื่องของพวกเขาและเปิดโปงว่าพวกเขาไม่ทำงานจริง เอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ พวกเขาย่อมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  รีบเรียกรวมตัวพบปะกันเพื่อหารือว่าจะตอบโต้อย่างไร จัดให้มีการสืบค้นเพื่อดูว่าผู้ใดแอบก่อเรื่องลับหลังพวกเขา ผู้ใดเป็นหัวโจก และผู้ใดเกี่ยวข้องบ้าง  พวกเขาจะไม่กินหรือนอนจนกว่าพวกเขาจะได้ไปถึงก้นบึ้งของการนี้แล้วและเรื่องนี้ได้ถูกทำให้ยุติแล้วอย่างครบบริบูรณ์—พวกเขาจะรู้สึกมีความสุขทันทีที่พวกเขาได้เล่นงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการรายงานเรื่องของพวกเขาแล้ว  นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความสามานย์มิใช่หรือ?  พวกเขากำลังทำงานของคริสตจักรอยู่หรือไม่?  พวกเขากระทำการเพื่ออำนาจและสถานะของตนเองเท่านั้นเอง กำลังดำเนินกิจการของตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานใด ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาคำนึงแต่เพียงว่าผลประโยชน์ของตนเองจะได้รับผลกระทบหรือไม่ คิดถึงแต่งานชิ้นเล็กๆ ตรงหน้าพวกเขาที่ทำประโยชน์แก่พวกเขา  สำหรับพวกเขาแล้ว งานหลักของคริสตจักรเป็นเพียงบางสิ่งที่พวกเขาทำในเวลาว่างของตน  พวกเขาไม่ได้จริงจังกับงานนั้นเลย  พวกเขาขยับก็ต่อเมื่อถูกเร่งรัดให้ลงมือ เอาแต่ทำสิ่งที่ตนชอบทำ และทำงานเพียงเพื่อธำรงรักษาสถานะและอำนาจของตนเท่านั้น  ในสายตาของพวกเขา งานใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการไว้ให้ งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล้วนไม่มีความสำคัญ  ไม่ว่าผู้คนอื่นๆ จะมีความลำบากยากเย็นอันใดในงานของตน ระบุและรายงานปัญหาอันใดให้พวกเขารู้ ไม่ว่าคำพูดของผู้อื่นจะจริงใจเพียงใด พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใส่ใจเลย พวกเขาไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นราวกับว่านี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา  ไม่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรจะใหญ่โตเพียงใด พวกเขาก็ไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง  แม้ในยามที่มีปัญหาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแท้ๆ พวกเขาก็จัดการแก้ไขอย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น  มีเพียงเมื่อพวกเขาถูกเบื้องบนตัดแต่งโดยตรงและถูกออกคำสั่งให้แก้ไขปัญหาเท่านั้น พวกเขาจึงจะกัดฟันทำงานจริงเล็กๆ น้อยๆ และมอบบางสิ่งให้เบื้องบนได้เห็น ไม่นานนัก พวกเขาก็จะทำกิจธุระของตัวเองต่อไป  เมื่อเป็นเรื่องงานของคริสตจักร เป็นเรื่องสำคัญที่มีบริบทกว้างขึ้น พวกเขากลับไม่สนใจและมองข้ามสิ่งเหล่านั้น  พวกเขาถึงขั้นละเลยปัญหาที่พวกเขาพบเจอ และให้คำตอบอย่างสุกเอาเผากินหรือกระแอมกระไอเมื่อถูกถามถึงปัญหา เอาแต่จัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยความอิดออดไม่เต็มใจ  นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความสามานย์มิใช่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สี่: สรุปลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นนิสัยของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง))  พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าพวกศัตรูของพระคริสต์นั้นเห็นแก่ตัวและเลวทรามอย่างยิ่ง พวกเขาเต็มใจที่จะทำงานหนัก อดทนต่อความยากลำบาก และจ่ายราคา ก็เพื่อสิ่งที่สามารถทำให้พวกเขาดูดีขึ้นมาและได้รับการยกย่องจากผู้อื่นเท่านั้น พวกเขาไม่ใส่ใจงานของคริสตจักรและความยากลำบากของพี่น้องชายหญิงเลย และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างสุกเอาเผากิน พวกเขาไม่สนใจเลยแม้จะรู้ว่ามีคนขัดขวางและก่อกวนงานอยู่ อุปนิสัยที่ฉันเผยออกมาก็เหมือนกับของศัตรูของพระคริสต์ ฉันรู้ดีว่าฟางเสียทำงานไม่เกิดผลในหน้าที่ของเธอและจำเป็นต้องมอบหมายหน้าที่ให้เธอใหม่โดยเร็ว แต่ฉันกลับรู้สึกว่างานชำระคริสตจักรให้สะอาดเป็นความรับผิดชอบของหลี่ฮว๋า และปัญหาใดๆ ก็ควรให้เธอเป็นคนแก้ไข ฉันรู้สึกว่าถึงแม้ฉันจะใช้เวลาพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันดูดีขึ้นมาและจะเป็นการเสียเวลาของฉันเปล่าๆ ดังนั้น ฉันจึงทำตัวไร้ความรับผิดชอบและเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ค่ะ ต่อมา หลี่ฮว๋าก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเธอได้ ติงเหยียนเพิ่งได้รับเลือกเป็นผู้นำ และฉันควรจะไปปลดฟางเสียออกกับเธอ แต่ฉันแค่หารือกับเธอสั้นๆ เท่านั้น หลังจากนั้นฉันได้ยินเธอพูดว่าเธอมีความลังเลใจก็เลยไม่ได้ปลดฟางเสียออก แต่ฉันก็ยังไม่ได้แก้ไขเรื่องนี้ให้ทันท่วงที ฉันสุกเอาเผากินต่องานของคริสตจักรและไม่จริงจังกับงาน เมื่อผู้นำระดับสูงมาตัดแต่งฉัน ไม่เพียงแต่ฉันจะไม่ทบทวนตัวเอง แต่ฉันยังพยายามปัดความรับผิดชอบ โดยบอกว่าเป็นพี่น้องหญิงที่ทำงานกับฉันที่ไม่ได้ปลดฟางเสียออกให้ทันท่วงที ในการทำเช่นนั้น ฉันพยายามที่จะสลัดตัวให้พ้นจากเรื่องนี้ ถ้าผู้นำระดับสูงไม่ได้ปลดฟางเสียออกอย่างทันท่วงที ก็ไม่แน่ว่าเธอจะก่อกวนทีมไปอีกนานแค่ไหน และจะสร้างความเสียหายต่องานชำระคริสตจักรให้สะอาดและชีวิตของพี่น้องชายหญิงมากขนาดไหน ฉันเป็นผู้นำมานานกว่าสองปีแล้ว และมีความเข้าใจในหลักธรรมอยู่บ้าง ฉันควรจะใส่ใจให้มากขึ้นและลุล่วงความรับผิดชอบของฉัน เพื่อปกป้องงานต่างๆ ของคริสตจักร เมื่อฉันเห็นใครบางคนก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันควรจะหยุดและยับยั้งพวกเขาทันที คนที่ไม่เหมาะสมควรได้รับการมอบหมายหน้าที่ใหม่หรือปลดออกอย่างทันท่วงที ถ้าฉันมองเรื่องต่างๆ ไม่ชัดเจน ฉันควรจะแสวงหาและปรึกษากับผู้ร่วมงานของฉัน นี่คือความหมายของการลุล่วงความรับผิดชอบของตนเอง แต่ในการไล่ตามเสาะหาหน้าตาและสถานะและเพื่อให้ได้รับการยกย่องจากผู้นำระดับสูง ฉันกลับใส่ใจเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบหลักของฉันเท่านั้น และเมื่อฉันเห็นปัญหาเกิดขึ้นในงานด้านอื่นๆ ฉันก็ไม่ใส่ใจ ฉันไม่มีความเป็นมนุษย์เลยจริงๆ! ฉันเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด! ถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำระดับสูงเปิดโปงฉัน ตัดแต่งฉัน และปลดฉันออก ฉันก็คงยังไม่รู้จักทบทวนตัวเอง ฉันคงไม่เข้าใจว่าฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งเพียงใด หรือวิถีชีวิตที่ฉันดำเนินอยู่นั้นเลวทรามและโสมมเพียงใด เมื่อฉันเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกเสียใจและตำหนิตัวเองอย่างสุดซึ้ง ในขณะเดียวกัน ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยใจที่ขอบคุณว่า “ข้าแต่พระเจ้า การที่ข้าพระองค์ถูกปลดออกคือความชอบธรรมของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ปฏิบัติต่อข้าพระองค์ตามการกระทำผิดของข้าพระองค์ แต่ยังทรงประทานโอกาสให้ข้าพระองค์กลับใจ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ทบทวนและเข้าใจตัวเอง นี่คือความรักและความรอดของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจตัวเองในเรื่องนี้และมีการกลับใจอย่างแท้จริงด้วยเถิด”

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “ในพระนิเวศของพระเจ้า ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงล้วนเป็นหนึ่งเดียวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยไม่แบ่งแยก  พวกเขาทุกคนทำงานมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การทำหน้าที่ให้ลุล่วง การทำงานที่ตกมาถึงพวกเขา การปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมความจริง การทำตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ และการสนองเจตนารมณ์ของพระองค์  หากเป้าหมายของเจ้าไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งการนี้ แต่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเจ้าเอง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของการสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นั่นก็คือการเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น การทำหน้าที่ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามหลักธรรมความจริง ในขณะที่การกระทำของผู้ไม่มีความเชื่อถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขากำกับเอาไว้ นี่คือสองเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างมาก  ผู้ไม่มีความเชื่อเก็บงำกลอุบายของตัวพวกเขาเองเอาไว้ แต่ละคนจะมีจุดมุ่งหมายและแผนการของตัวพวกเขาเอง ทุกคนดำรงชีวิตอยู่เพื่อผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเอง  นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาตะเกียกตะกายเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และไม่เต็มใจที่จะวางมือจากสิ่งที่พวกเขาได้รับแม้สักนิ้วเดียว  พวกเขาถูกแบ่งแยก ไม่เป็นหนึ่งเดียว เพราะพวกเขาไม่มุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายเดียวกัน  ความตั้งใจและธรรมชาติเบื้องหลังสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเหมือนกัน  พวกเขาล้วนมุ่งมั่นเพื่อตัวพวกเขาเอง  ไม่มีความจริงปกครองอยู่ในการนั้น สิ่งที่ปกครองอยู่จริงและกำกับดูแลอยู่ในการนั้นก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  พวกเขาถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตัวเองและไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และดังนั้นพวกเขาจึงร่วงลงสู่บาปลึกลงทุกที  ในพระนิเวศของพระเจ้า หากหลักธรรม วิธีการ แรงจูงใจ และจุดเริ่มต้นของการกระทำทั้งหลายของพวกเจ้านั้นไม่แตกต่างจากพวกผู้ไม่มีความเชื่อ หากพวกเจ้าก็ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานบงการ ควบคุมและใช้เป็นของเล่น และหากจุดเริ่มต้นของการกระทำของพวกเจ้าก็คือผลประโยชน์ ความมีหน้ามีตา ความภาคภูมิใจ และสถานะของพวกเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไม่แตกต่างเลยจากหนทางที่ผู้ไม่มีความเชื่อทำสิ่งทั้งหลาย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ขณะที่ฉันไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่าถึงแม้ฉันจะเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า และกำลังทำหน้าที่ในคริสตจักร แต่ความคิดและทัศนะของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ฉันยังคงดำเนินชีวิตโดยพึ่งพาพิษร้ายของซาตานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “มนุษย์อยู่ที่ใดก็ทิ้งชื่อของเขาไว้ที่นั่นฉันใด ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องของมันที่นั่นฉันนั้น” ฉันดำเนินชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เห็นแก่ตัวและเลวทราม โดยคำนึงถึงแต่หน้าตาและสถานะของตัวเองเท่านั้น เมื่อฉันพบว่าฟางเสียไม่เกิดผลใดๆ ในการทำหน้าที่ของเธอ และยังก่อกวนพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ และเป็นอุปสรรคต่องานชำระคริสตจักรให้สะอาด ฉันก็รู้ดีว่าเธอควรจะถูกปลดออกทันทีและหาคนที่เหมาะสมมาแทนที่ อย่างไรก็ตาม ฉันคิดถึงแต่งานที่ฉันรับผิดชอบเอง และไล่ตามไขว่คว้าแต่หน้าตาและสถานะของตัวเองเท่านั้น ฉันคิดว่าถ้าปัญหานี้ได้รับการแก้ไข คนอื่นก็จะได้รับหน้าไป และฉันก็จะไม่มีโอกาสได้ฉายแสง ดังนั้น ฉันจึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้ ฉันไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นต่องานของคริสตจักรและชีวิตของพี่น้องชายหญิงหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข ถึงแม้ว่างานชำระคริสตจักรให้สะอาดจะเป็นความรับผิดชอบของผู้ร่วมงานของฉันเป็นหลัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่จำเป็นต้องใส่ใจงานนี้ ในฐานะผู้นำ หากงานใดๆ เกิดปัญหา ฉันก็ควรเข้าไปหารือ แสวงหาหลักธรรม และแก้ไขปัญหานั้นร่วมกับผู้ร่วมงาน นี่คือความรับผิดชอบของฉัน และเป็นหน้าที่ในตำแหน่งของฉัน อย่างไรก็ตาม ฉันดำเนินชีวิตเพื่อหน้าตาและสถานะของตัวเองเท่านั้น ฉันเห็นแก่ตัวและเลวทราม และไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรหรือคำนึงถึงงานโดยรวม ฉันไม่ได้ปฏิบัติต่องานของคริสตจักรในฐานะส่วนหนึ่งของทีม บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อต่างก็มีแผนการของตัวเองในงานของพวกเขา และทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็เพื่อตัวเอง วิธีการทำงานของฉันในตอนนี้ไม่ต่างจากวิธีการทำงานของบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อเลยแม้แต่น้อย

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งในวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ “พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ในการแสดงความจริงและช่วยผู้คนให้รอด และทรงทุ่มเทโลหิตจากพระหทัยของพระองค์ทั้งหมดให้กับพระราชกิจนี้  พระเจ้าทรงถือว่าภารกิจอันชอบธรรมที่สุดนี้เป็นเรื่องจริงจังมาก โลหิตจากพระหทัยของพระองค์ทั้งหมดได้ถูกใช้ไปเพื่อผู้คนเหล่านี้ที่พระองค์ทรงต้องการจะช่วยให้รอด ความคาดหวังทั้งหมดของพระองค์ก็อยู่ที่ผู้คนเหล่านี้เช่นกัน และผลลัพธ์สุดท้ายและพระเกียรติที่พระองค์ทรงต้องการจะได้รับจากแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์จะถูกทำให้เป็นจริงทั้งหมดในหมู่ผู้คนเหล่านี้  หากใครบางคนเข้าสู่การเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า ต่อต้าน ก่อกวน หรือทำลายผลลัพธ์ของภารกิจนี้ พระเจ้าจะทรงให้อภัยพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  การกระทำเช่นนี้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้ายังคงพูดว่าเจ้าติดตามพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความรอด ยอมรับการพินิจพิเคราะห์และการทรงนำของพระเจ้า ตลอดจนยอมรับและนบนอบการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า แต่ในขณะที่เจ้ากำลังกล่าวคำพูดเหล่านี้ เจ้ากลับกำลังขัดขวาง ก่อกวน และทำลายงานต่างๆ ของคริสตจักร และเพราะการก่อกวน การขัดขวาง และการทำลายของเจ้า เพราะความประมาทเลินเล่อหรือการละเลยหน้าที่ของเจ้า หรือเพราะความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้าและเพื่อการไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์ของเจ้าเอง ผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ผลประโยชน์ของคริสตจักร และแง่มุมอื่นๆ อีกมากมายได้ถูกทำให้เสียหาย กระทั่งถึงจุดที่งานของพระนิเวศของพระเจ้าถูกก่อกวนและทำลายอย่างร้ายแรง เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าควรจะทรงประเมินจุดจบของเจ้าในหนังสือแห่งชีวิตของเจ้าอย่างไร?  เจ้าควรถูกระบุลักษณะว่าอย่างไร?  ตามความเป็นธรรมแล้ว เจ้าควรถูกลงโทษ  นี่เรียกว่าการได้รับสิ่งที่สมควรได้รับ  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจอะไรแล้วบ้าง?  ผลประโยชน์ของผู้คนคืออะไร?  (คือสิ่งที่เลวร้าย)  แท้จริงแล้วผลประโยชน์ของผู้คนก็คือความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อทั้งหมดของพวกเขา  พูดกันตามตรงแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นการทดลอง ล้วนเป็นความเทียมเท็จ และล้วนเป็นเหยื่อล่อที่ซาตานใช้เพื่อทดลองผู้คน  การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และการไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์ของตนเอง—นี่คือการร่วมมือกับซาตานในการทำชั่ว และเป็นการต่อต้านพระเจ้า  เพื่อที่จะขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า ซาตานจึงสร้างสภาพแวดล้อมต่างๆ ขึ้นมาเพื่อทดลอง ก่อกวน และชักพาผู้คนให้หลงผิด และป้องกันไม่ให้ผู้คนติดตามพระเจ้า และป้องกันไม่ให้พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าได้  ตรงกันข้ามพวกเขากลับร่วมมือกับซาตานและติดตามซาตาน โดยจงใจลุกขึ้นมาก่อกวนและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงสามัคคีธรรมความจริงมากเพียงใด พวกเขาก็ยังไม่มีสำนึก  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะตัดแต่งพวกเขามากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไม่ยอมรับความจริง  พวกเขาไม่นบนอบพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยืนกรานที่จะทำสิ่งต่างๆ ตามใจตนเองและทำตามที่พวกเขาพอใจ  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักร โดยส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความคืบหน้าของงานต่างๆ ของคริสตจักร และก่อให้เกิดความเสียหายอันมากมายมหาศาลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  บาปนี้ใหญ่หลวงเกินไป และผู้คนดังกล่าวจะถูกพระเจ้าทรงลงโทษอย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่หนึ่ง))  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าพระเจ้าทรงทุ่มเทความอุตสาหะพยายามทั้งหมดของพระองค์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระเจ้าไม่ทรงต้องการเห็นพระราชกิจของพระองค์เผชิญการก่อกวนหรือความเสียหายใดๆ พระเจ้าทรงชิงชังและเกลียดชังทุกคนที่ก่อกวนและทำความเสียหายให้พระราชกิจของพระเจ้า และต่อต้านพระองค์ คนประเภทนี้ควรถูกลงโทษ พระเจ้าทรงรักผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง นบนอบพระเจ้า และแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงหวังว่าเราจะสามารถลุล่วงความรับผิดชอบเพื่อปกป้องงานของคริสตจักรได้ ฉันทบทวนว่าตอนที่ฉันเป็นผู้นำ ฉันไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบในการปลดฟางเสียออกอย่างทันท่วงที ทำให้งานชำระคริสตจักรให้สะอาดล่าช้า ฉันได้กลายเป็นคนที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ซึ่งพระเจ้าทรงชิงชังและเกลียดชัง เมื่อฉันเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็กลัวขึ้นมาและมาอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานถึงพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ข้าพระองค์ไม่มีความเป็นมนุษย์ ข้าพระองค์ไล่ตามเสาะหาแต่หน้าตาและสถานะและไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งต่างๆ ที่กบฏต่อพระองค์และต่อต้านพระองค์ ข้าพระองค์ไม่คู่ควรกับความรอดที่มาจากพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะกลับใจ ขอทรงนำข้าพระองค์ให้พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติด้วยเถิด”

ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม “หากเจ้าเป็นผู้นำ ไม่ว่าเจ้าจะรับผิดชอบงานมากเพียงใด นั่นก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าที่จะตั้งคำถามและสอบถามเกี่ยวกับงานเหล่านั้นอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยทันที  นี่คืองานของเจ้า  ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้นำภูมิภาค  ผู้นำเขต ผู้นำคริสตจักร หรือผู้นำทีมหรือผู้ดูแลอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม เมื่อเจ้ารู้ขอบเขตความรับผิดชอบของตนแล้ว เจ้าก็ต้องตรวจสอบอยู่บ่อยๆ ว่าเจ้ากำลังทำงานที่แท้จริงอยู่หรือไม่ เจ้าได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำหรือคนทำงานควรลุล่วงแล้วหรือยัง ตลอดจนมีงานใดบ้าง—ในบรรดางานต่างๆ นานาที่เจ้าได้รับมอบหมาย—ที่เจ้ายังไม่ได้ทำ งานใดที่เจ้าไม่อยากทำ งานใดได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี และงานใดที่เจ้ายังจับความเข้าใจหลักธรรมไม่ได้  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าควรตรวจสอบอยู่บ่อยๆ  ขณะเดียวกัน เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะสามัคคีธรรมและตั้งคำถามกับผู้อื่น และต้องเรียนรู้วิธีที่จะระบุแผนการ หลักธรรม และเส้นทางสำหรับการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้าและการจัดการเตรียมงาน  สำหรับการจัดการเตรียมงานใดก็ตาม ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการบริหาร บุคลากร หรือชีวิตคริสตจักร หรือมิฉะนั้นก็งานวิชาชีพประเภทใดก็ตาม หากเกี่ยวข้องกับหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน นั่นย่อมเป็นความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานจะต้องลุล่วง และอยู่ภายในขอบเขตที่ผู้นำและคนทำงานต้องรับผิดชอบ—เหล่านี้คืองานที่เจ้าควรใส่ใจ  โดยธรรมชาติแล้ว ควรมีการจัดลำดับความสำคัญตามสถานการณ์ ไม่มีงานใดพึงถูกละเลย  ผู้นำและคนทำงานบางคนกล่าวว่า ‘ฉันไม่ได้มีสามหัวหกแขน  มีการจัดการเตรียมงานตั้งหลายอย่าง จะให้ฉันรับผิดชอบทั้งหมด ฉันจัดการไม่ไหวแน่นอน’  หากมีบางงานที่เจ้าไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ด้วยตัวเอง แล้วเจ้าได้จัดแจงให้คนอื่นไปทำหรือยัง?  หลังจากจัดการเตรียมงานแล้ว เจ้าได้ติดตามและสอบถามหรือไม่?  เจ้าได้ตรวจสอบงานของพวกเขาหรือไม่?  แน่นอนว่าเจ้ามีเวลาสอบถามและดำเนินการตรวจสอบมิใช่หรือ?  เจ้ามีเวลาแน่นอน!(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (10))  “สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินเช่นไร หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนตน เหตุจูงใจ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตน  จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—อย่างน้อยที่สุดคนเราควรทำเช่นนี้  หากแม้เพียงเท่านี้ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วจะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน?  นั่นย่อมไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  ก่อนอื่นเจ้าควรนึกถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และคำนึงถึงงานของคริสตจักร  จงให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เหนือสิ่งอื่นใด เฉพาะหลังจากนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพของสถานะของเจ้าหรือนึกถึงสายตาที่ผู้อื่นมองเจ้าได้  พวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือว่านี่พอจะง่ายขึ้นบ้างเมื่อเจ้าแบ่งมันออกเป็นสองขั้นตอนและทำการประนีประนอมบ้าง?  หากเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ไปสักพัก เจ้าก็จะมารู้สึกว่าการทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรมีความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า วางความอยากได้อยากมี ความตั้งใจและแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัวของเจ้าลง เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า งานของคริสตจักร และหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติเป็นอันดับแรก  หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางปฏิบัติตนอันดีงาม  เป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ไม่เป็นคนที่เลวทรามต่ำช้า นี่คือการดำรงชีวิตอย่างยุติธรรมและมีเกียรติ แทนที่จะเป็นคนที่น่าดูหมิ่น ต่ำช้า และไม่มีอะไรดี  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่คนคนหนึ่งควรปฏิบัติตน และเป็นภาพลักษณ์ที่พวกเขาควรใช้เป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต  ความอยากที่จะตอบสนองผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองก็จะค่อยๆ ทุเลาลง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่างานทั้งหมดของพระนิเวศของพระเจ้านั้นสำคัญมาก และแต่ละงานก็อยู่ในความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานที่จะต้องกำกับดูแลและติดตามผล การแบ่งงานเป็นเพียงส่วนที่จำเป็นของงาน เพื่อให้แน่ใจว่างานจะเกิดผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น แต่ทว่า ฉันกลับเชื่อว่าการแบ่งงานหมายความว่าฉันไม่มีความรับผิดชอบต่องานอื่นๆ ฉันคิดว่างานที่เกิดปัญหาเป็นความรับผิดชอบของใคร คนนั้นก็ควรเป็นคนแก้ไขและรับผิดชอบ ทัศนะนี้ไม่ถูกต้องและไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับผู้นำและคนทำงาน ผู้นำต้องรับผิดชอบต่องานโดยรวม และงานชำระคริสตจักรให้สะอาดก็อยู่ในขอบเขตงานของฉันเช่นกัน หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ฉันก็ต้องลุล่วงความรับผิดชอบของฉัน ฉันต้องหารือและแก้ไขปัญหาร่วมกับผู้ร่วมงาน ในขณะเดียวกัน ฉันเข้าใจว่า เมื่อปฏิบัติหน้าที่ ฉันต้องให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นอันดับแรกและคำนึงถึงงานโดยรวม ฉันไม่สามารถปล่อยให้ผลได้ผลเสียที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวของฉันส่งผลกระทบต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าและทำให้การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงของฉันล่าช้าได้ ในอนาคต ฉันต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าฉันจะปฏิบัติงานใด ฉันต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเองเสมอ ฉันไม่สามารถคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของฉันได้อีกต่อไป

ต่อมา ฉันรับผิดชอบงานให้น้ำผู้มาใหม่ ผู้ร่วมงานของฉัน พี่น้องหญิงหยางลี่ ต้องไปที่อื่นชั่วคราวเพื่อทำธุระบางอย่าง ก่อนที่เธอจะไป เธอได้มอบผู้มาใหม่ทั้งหมดที่เธอให้น้ำอยู่ให้ฉันดูแล ฉันคิดในใจว่า “ผู้มาใหม่บางคนที่ฉันให้น้ำอยู่มีภาวะที่ไม่ดี ฉันต้องแก้ไขปัญหาของพวกเขา แล้วฉันจะหาเวลาที่ไหนไปให้น้ำผู้มาใหม่ที่คุณรับผิดชอบล่ะ?  ถ้ามันเป็นอุปสรรคต่อหน้าที่ของฉัน ผู้นำจะคิดกับฉันอย่างไร?  พวกเขาจะพูดไหมว่าฉันไม่แบกภาระและไม่ได้ทำงานที่เกิดผลจริง?” เมื่อฉันคิดแบบนี้ ฉันก็ตระหนักว่าสภาวะของฉันไม่ถูกต้อง ฉันกำลังคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองและทำงานเพื่อหน้าตาและสถานะของตัวเองอีกแล้ว ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า “สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินเช่นไร หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนตน เหตุจูงใจ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตน  จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—อย่างน้อยที่สุดคนเราควรทำเช่นนี้  หากแม้เพียงเท่านี้ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วจะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน?  นั่นย่อมไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  ฉันต้องปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ฉันจะคำนึงถึงหน้าตาและสถานะของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ผู้มาใหม่ที่หยางลี่มอบให้ฉันยังไม่ได้หยั่งรากฐานที่มั่นคงในหนทางที่แท้จริง พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังจับกุมและข่มเหงคริสตชนไปทั่ว และแพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูลเพื่อทำลายชื่อเสียงของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ถ้าผู้มาใหม่ไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็อาจถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและจับตัวไปได้ทุกเมื่อ ตอนนี้หยางลี่ได้มอบผู้มาใหม่เหล่านี้ให้ฉันแล้ว การให้น้ำและสนับสนุนพวกเขาคือความรับผิดชอบที่ฉันต้องลุล่วง ถ้าฉันทำให้ผู้มาใหม่เหล่านี้ถอนตัวและเลิกเชื่อเพราะฉันเห็นแก่ตัว เลวทราม และขาดความรับผิดชอบ มโนธรรมของฉันก็จะฟ้องผิด ฉันไม่สามารถดำเนินชีวิตโดยพึ่งพาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เห็นแก่ตัวและเลวทรามของฉันได้อีกต่อไป ไม่ว่าผู้มาใหม่เหล่านี้จะเป็นความรับผิดชอบของใคร ฉันก็ต้องให้น้ำพวกเขาอย่างดีเพื่อให้พวกเขาสามารถหยั่งรากได้อย่างมั่นคงโดยเร็วที่สุด ดังนั้น ฉันจึงเตรียมตัวเองด้วยความจริง และให้น้ำและเกื้อหนุนผู้มาใหม่ทุกคนตามมโนคติอันหลงผิดและปัญหาของพวกเขา เมื่อฉันปฏิบัติเช่นนี้ หัวใจของฉันก็รู้สึกสงบและสบายใจ

หลังจากประสบการณ์เหล่านี้ ฉันก็ตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าเมื่อผู้คนดำเนินชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เห็นแก่ตัวและเลวทรามและใส่ใจแต่การไล่ตามไขว่คว้าหน้าตาและสถานะ ถึงแม้พวกเขาอาจจะเพลิดเพลินกับเกียรติยศในตอนนั้น แต่พวกเขาก็ทิ้งการกระทำผิดไว้เบื้องหลังเมื่อพวกเขาไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตนและความทุกข์ทรมานก็เผาใจพวกเขา แต่เมื่อเราปล่อยวางผลประโยชน์ส่วนตัวและปฏิบัติและเข้าสู่ตามพระวจนะของพระเจ้า หัวใจของคุณก็จะสงบและสบายใจ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำฉันมาสู่ความเข้าใจและการได้รับเหล่านี้!

ก่อนหน้า:  40. เมื่อโรคตาเล่นงานอย่างกระทันหัน

ถัดไป:  70. เงินทองและสถานะเคยให้อะไรฉันบ้าง?

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger