85. วิธีการเป็นอิสระจากพันธนาการของเงินทอง

โดยเหมิงฟาน ประเทศจีน

พ่อแม่ฉันเสียชีวิตตอนฉันยังเด็ก บ้านเรามีพี่น้องหลายคน เรายากจนมาก และเพื่อนบ้านทุกคนก็ดูถูกเรา บางครั้งตอนฉันไปเล่นกับลูกๆ ของเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านจะหาข้ออ้างไล่ฉันออกมา ฉันรู้สึกเศร้ามากและคิดว่าผู้คนดูถูกเราเพราะเราจน ในฤดูใบไม้ผลิปีหนึ่ง ตอนอากาศเริ่มอุ่นขึ้น ฉันไม่มีเสื้อผ้าตามฤดูกาลที่จะเปลี่ยนไปใส่ เลยสวมเสื้อแจ็กเก็ตและกางเกงบุสำลีที่ไส้ในปริออกมาต่อไป เวลาเดินในที่สาธารณะ ผู้คนจะชี้มาที่ฉัน แล้วพูดว่า “ดูเด็กกำพร้าแม่ที่น่าสงสารคนนั้นสิ!” ฉันรู้สึกอิจฉามากที่เห็นคนอื่นกินดีและแต่งตัวดี แล้วคิดว่า “โตขึ้นฉันจะหาเงินให้ได้เยอะๆ จะได้กินและใส่เสื้อผ้าอะไรก็ได้ที่ต้องการ และจะไม่ถูกดูถูกอีกเลย” ต่อมาฉันแต่งงาน แต่ครอบครัวสามีก็ยากจนเหมือนกัน ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านดูถูกเรา แต่ฉันคิดว่า “ตราบใดที่เราทำงานหนัก เราจะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ตัวเองและร่ำรวยได้แน่นอน” ฉันกับสามีทำงานชั่วคราวหลายงาน มีกิจการเล็กๆ หลายอย่าง และขายสินค้าทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นอะไร หากเราได้ยินเรื่องวิธีหาเงิน เราจะลองทำดู แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่ปี เราก็ยังหาเงินได้แค่พอประทังชีวิต และมีเงินเก็บไม่มากนัก ครั้งหนึ่งระหว่างทานอาหารกับเพื่อนๆ เพื่อนคนหนึ่งเยาะเย้ยเราว่า “ไม่ได้จะดูถูกเธอหรอกนะ แต่ต่อให้เธอทำงานไปอีกสิบปี เธอก็ไม่มีทางใช้ชีวิตได้เหมือนฉันตอนนี้หรอก!” คำพูดของเขาทำให้ฉันโกรธมาก ฉันรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าจนแสบ ฉันคิดว่า “อย่าพูดจาไร้สาระแบบนั้นนะ อย่างที่คนพูดกันว่า ‘ความยากจนไม่มีราก ความมั่งคั่งไม่มีเมล็ด’ ความมั่งคั่งและความยากจนไม่ได้มีการกำหนดตายตัว และตราบใดที่เราทำงานหนัก เราจะไม่จนตลอดไป!” ฉันพูดกับสามีว่า “เราปล่อยให้เรื่องนี้มาทำให้เราท้อแท้ไม่ได้ เราต้องได้ดีกว่าเขาจนเขายอมรับว่าคิดผิด”

ต่อมาเรากู้เงินมาเพื่อเริ่มกิจการค้าส่งสินค้าทั่วไป เพื่อเอาใจลูกค้า เราส่งสินค้าถึงประตูบ้าน ฉันกับสามีจะขนของไปขายตามบ้านด้วย เพื่อให้ได้ลูกค้า เราจะขายในราคาต่ำหรือแบบเงินเชื่อ ลูกค้าบางคนพูดจาไม่ดี แต่เพื่อให้ได้เงิน เราต้องกัดฟันยิ้มต่อไป ฉันทำงานอย่างน้อยวันละสิบชั่วโมง และในระหว่างวัน ฉันจะเหนื่อยมากจนอดไม่ได้ที่จะผล็อยหลับ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ยอมให้ตัวเองได้พักผ่อน เมื่อรุ่งเรืองขึ้น เราก็ขยายกิจการ เพื่อประหยัดต้นทุน เราไม่จ้างคนมาช่วยเลย และเราขนสินค้าขึ้นลงเองทั้งหมด พอสิ้นสุดแต่ละวัน เราจะเหนื่อยมากจนไม่มีแรงที่จะพูดคุยด้วยซ้ำ หลังจากเป็นแบบนี้อยู่หลายปี ในที่สุดเราก็ได้เงินมาบ้าง จ่ายหนี้เงินกู้หมด และซื้อรถส่งของ เราถึงกับสร้างบ้านและเริ่มมีชื่อเสียงบ้างในย่านของเรา ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงชื่นชมและยกย่องเราว่ามีศักยภาพและมีความสามารถมาก คำยกย่องทั้งหมดนี้จากเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องทำให้ฉันรู้สึกทะนงตน และคิดว่า “ในที่สุดวันเวลาที่ผู้คนดูถูกฉันก็สิ้นสุดลงสักที และตอนนี้ฉันเชิดหน้าชูคอต่อหน้าคนอื่นได้แล้ว การมีเงินเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม!  ในขณะที่ยังอายุน้อยและแข็งแรงพอที่จะทำงาน ฉันอยากจะหาเงินให้ได้มากยิ่งกว่านี้ อยากซื้อบ้านซื้อรถที่ดีขึ้น และอยากใช้ชีวิตที่เหนือกว่าเพื่อให้ผู้คนชื่นชมมากกว่านี้!” หลังจากนั้นฉันก็ทำงานหนักยิ่งกว่าเดิม และยุ่งมากจนไม่มีเวลาแม้แต่จะทานอาหารให้เป็นเวลา พอล้มตัวลงนอนตอนกลางคืน จิตใจฉันก็ยังวุ่นอยู่กับเรื่องกิจการ และบางครั้งฉันก็นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ขนาดยานอนหลับก็ช่วยไม่ได้ ฉันจะได้รับโทรศัพท์ให้ไปส่งของตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และฉันจะต้องรีบออกไป ฉันรู้สึกตึงเครียดทุกวัน เนื่องจากสินค้าบางอย่างติดไฟได้ บางครั้งระหว่างหลับตอนกลางคืน แล้วมีไฟหน้ารถส่องเข้ามาในตัวบ้าน ฉันจะคิดว่าเกิดไฟไหม้ เลยลุกพรวดขึ้นมาแล้วรีบออกไปดูว่าไฟไหม้หรือเปล่า เส้นประสาทของฉันเหมือนตึงอยู่ตลอดเวลา และการใช้ชีวิตแบบนี้เหนื่อยมาก แต่พอเห็นว่าหาเงินมาได้มากแค่ไหน ฉันก็รู้สึกมีความสุข และคิดว่าอยากจะหาเงินให้ได้มากขึ้นอีกเพื่อทำให้คนที่เคยดูถูกฉันอับอาย

วันหนึ่งตอนสามีไม่อยู่บ้าน ฉันขนสินค้าปริมาณมากเต็มคันรถบรรทุกลงด้วยตัวเอง และคืนนั้นตอนนอนฉันปวดหลังมาก เช้าวันรุ่งขึ้นฉันปวดหลังมากจนก้มตัวไม่ได้ และแทบจะเดินไม่ไหวด้วยซ้ำ ฉันไปโรงพยาบาล และหมอวินิจฉัยว่าฉันเป็นโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน หมอบอกว่าฉันต้องพักผ่อนและทำงานหนักไม่ได้อีกต่อไป และถ้าฝืนอีก โรคอาจจะแย่ลงจนเป็นอัมพาตได้ คำพูดของหมอทำให้ฉันกลัวนิดหน่อย ฉันคิดว่าจะฝากกิจการไว้กับสามีแล้วพักผ่อนสักพัก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสามีเลินเล่อแค่ไหน เขาไม่ใส่ใจเรื่องราคาซื้อหรือราคาขายปลีกของสินค้าในร้าน และถ้าไม่มีฉัน ร้านจะอยู่ไม่ได้ กิจการรุ่งเรืองมากถึงขั้นว่า หากขาดไปแม้แต่วันเดียว เราจะสูญเงินจำนวนมาก ฉันคิดว่าจะทำต่อไปให้ได้นานที่สุด และจะหยุดเมื่อตัวเองล้มพับในที่สุด ฉันจึงทำงานต่อไปโดยหาเวลาไปรับการรักษาทุกครั้งที่มีโอกาส ต่อมาฉันป่วยเป็นโรคหัวใจ เนื้องอกในมดลูก เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และประสาทเปลี้ย บางครั้งฉันนอนไม่หลับทั้งคืน ฉันเริ่มหงุดหงิดมาก รำคาญทุกคนและทุกอย่างรอบตัว และมักจะพาลใส่คนอื่น แม้ว่าฉันจะมีเงิน แต่ความทรมานจากความเจ็บป่วยทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะมีชีวิตต่อไป ความทรงจำหนึ่งที่โดดเด่นมากมาจากคืนก่อนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ตอนนั้นดึกมากแล้ว ร้านค้าริมถนนปิดหมดแล้ว เหลือฉันคนเดียวบนถนนทั้งสาย ฉันเห็นสินค้ากองโตหน้าร้านที่ต้องขนเข้าไปข้างใน แต่ฉันเหนื่อยมากจนไม่มีแรงจะเดินด้วยซ้ำ คลื่นความเหงาและความอ้างว้างซัดเข้ามา และความรู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างลำบากและเหนื่อยล้ากดทับฉัน ฉันมองท้องฟ้าทั้งน้ำตาแล้วร้องออกมาว่า “โอ้ สวรรค์!  ฉันเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแบบนี้เหลือเกิน ชีวิตมีไว้แค่หาเงินจริงๆ เหรอ?  จุดประสงค์ที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร?”

ขณะที่ฉันดิ้นรนกับความเจ็บปวดและความสับสนนี้ ในฤดูใบไม้ผลิปี 2014 ลูกสาวฉันที่เพิ่งจะยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าก็มาประกาศข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับฉัน ในเวลานั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งกินใจฉันมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีความกรุณาต่อผู้คนเหล่านี้ที่ทุกข์อย่างล้ำลึก ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงรู้สึกรังเกียจผู้คนเหล่านี้ที่ไม่มีสติอันใดเลย เพราะพระองค์ต้องทรงรอคอยอยู่นานเหลือเกินกว่าจะทรงได้คำตอบจากผู้คน  พระองค์ทรงต้องการที่จะแสวงหา แสวงหาหัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้า และเพื่อนำน้ำและอาหารมามอบให้เจ้า เพื่อที่ว่าเจ้าจะตื่นขึ้นมาและเจ้าไม่มีความกระหายหรือความหิวโหยอีกต่อไป  ยามที่เจ้ารู้สึกอ่อนล้าและยามที่เจ้ารู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวบางอย่างในโลกใบนี้ จงอย่ารู้สึกว่าหลงทาง อย่าร่ำไห้  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้เฝ้าดู จะทรงโอบกอดการมาถึงของเจ้าไม่ว่า ณ เวลาใดก็ตาม  พระองค์จะทรงเฝ้าจับตาดูอยู่ข้างกายเจ้า  กำลังทรงรอคอยให้เจ้าหันกลับมา รอคอยวันที่เจ้าพลันฟื้นความทรงจำขึ้นมา กล่าวคือ ยามที่เจ้าตระหนักว่าตัวเจ้านั้นมาจากพระเจ้า และ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เจ้าเคยหลงทาง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เจ้าเคยสูญเสียสติรู้ตัวระหว่างทาง และ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เจ้าเคยมี ‘บิดา’ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ยามที่เจ้าตระหนักว่า องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงติดตามเฝ้าดูเจ้าตลอดมา ทรงรอคอยปักหลักอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานแสนนานเพื่อการกลับมาของเจ้า  พระองค์ทรงโหยหาด้วยความอาดูรยิ่ง รอคอยการตอบสนองที่ไร้คำตอบ  การเฝ้าดูของพระองค์นั้นหาค่ามิได้ และเป็นไปเพื่อหัวใจมนุษย์และจิตวิญญาณของมนุษย์  บางที การเฝ้าดูของพระองค์อาจจะไม่มีจุดสิ้นสุด หรือบางทีก็อาจจะสิ้นสุดลงแล้ว  แต่ตัวเจ้านั้นก็ควรรู้ว่า หัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้านั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ในเวลานี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันรู้สึกตื้นตันมาก และอดร้องไห้ไม่ได้ ปรากฏว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉันมาโดยตลอด ทรงรอคอยให้ฉันกลับมา ฉันหักโหมร่างกายจนล้มป่วยเพื่อไล่ตามไขว่คว้าเงินทอง ฉันใช้วันเวลาอย่างกระวนกระวาย และชีวิตก็รู้สึกเจ็บปวดและว่างเปล่ามาก พระเจ้าทรงใช้ลูกสาวฉันเพื่อประกาศข่าวประเสริฐแก่ฉัน ทรงยอมให้ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและกลับมายังพระนิเวศของพระองค์ ในช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่เคียงข้างพ่อแม่ และหัวใจฉันก็เปี่ยมความสงบ ความสบายใจ และความรู้สึกว่ามีใครสักคนให้พึ่งพา

หลังจากได้พบพระเจ้า สภาวะจิตใจฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และอัตราการเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ก็ดีขึ้น และฉันสามารถนอนหลับตอนกลางคืนได้ ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงเอาความเจ็บป่วยของฉันไปแล้ว และฉันขอบคุณพระเจ้าอย่างเต็มหัวใจ ต่อมาฉันเข้ามารับหน้าที่ให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักร ฉันทำหน้าที่ควบคู่ไปกับบริหารกิจการของตัวเองด้วยวิธีนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ฉันยังคงมีใจจดจ่อไปที่กิจการ และฉันคิดว่าไม่เป็นไรตราบใดที่มันไม่ขัดขวางการชุมนุมกับผู้มาใหม่ บางครั้งในคืนก่อนการชุมนุมจะมีลูกค้ามารับสินค้า และเพื่อจะขายได้มากขึ้น ฉันจะคอยเอาสินค้ามาให้พวกเขาดูเพิ่ม กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว ฉันจะเหนื่อยจนปวดไปทั้งตัว และจะผล็อยหลับระหว่างคุกเข่าอธิษฐาน เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ฉันจะรู้สึกง่วงนอนที่การชุมนุมกับผู้มาใหม่ในวันถัดมา ในตอนนั้น พี่น้องหญิงที่ฉันให้น้ำอยู่ก็ยุ่งกับกิจการของตัวเองเหมือนกัน เธอมาร่วมการชุมนุมสายตลอด แต่ฉันจะแค่คุยกับเธอเรื่องคำพูดและคำสอน และไม่ได้แก้ไขสภาวะของเธอ บางครั้งระหว่างการชุมนุม ฉันจะคิดเรื่องรีบกลับบ้านเพื่อไปส่งสินค้าให้ลูกค้า กังวลว่าถ้าไปส่งของช้า ลูกค้าจะไม่อยากได้ของอีกต่อไป หัวใจฉันไม่ยอมสงบ และฉันจะแค่อยากให้การชุมนุมจบไวๆ มีอีกครั้งหนึ่ง สามีฉันออกนอกเมืองเพื่อไปซื้อสินค้า และเขาไม่อยู่บ้านหลายวัน ช่วงนั้นฉันต้องให้น้ำผู้มาใหม่ และถ้าฉันออกไปทำหน้าที่ ร้านจะต้องปิด ฉันคิดว่า “ฉันหาเงินได้วันละพันกว่าหยวน ถ้าต้องปิดร้านหลายวัน ฉันจะเสียเงินมากแค่ไหน?” ฉันเลยหลอกผู้นำโดยบอกว่า “ถ้าฉันปิดร้านไปเรื่อยๆ เพื่อนบ้านจะเริ่มสงสัยว่าฉันเชื่อในพระเจ้า และอาจเกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย” ฉันเลยให้ผู้นำเป็นเจ้าภาพการชุมนุมผู้มาใหม่แทนฉัน เย็นวันหนึ่งหลังอาหารเย็น จู่ๆ ฉันก็เวียนหัวและรู้สึกไม่สบายท้องจนอาเจียนอาหารที่เพิ่งทานเข้าไปจนหมด ตอนแรกฉันนึกว่าอาจเป็นเพราะบางอย่างที่ทานเข้าไป แต่หลังจากอาเจียน อาการเวียนหัวแย่ลง สามีพาฉันไปโรงพยาบาล และฉันเอาแต่อธิษฐานถึงพระเจ้าในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงยอมให้ความเจ็บป่วยนี้เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ในวันนี้ โปรดประทานความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และเห็นว่าข้าพระองค์ทำผิดตรงไหน ข้าพระองค์เต็มใจที่จะกลับใจ”

ขณะที่แสวงหา ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “หากเราจะวางเงินจำนวนหนึ่งไว้ตรงหน้าพวกเจ้าในตอนนี้ และให้พวกเจ้ามีอิสระในการเลือก—และหากเราไม่กล่าวโทษพวกเจ้าต่อการเลือกของพวกเจ้า—เมื่อนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่ก็จะเลือกเงินและละทิ้งความจริง  คนที่ดีกว่าในหมู่พวกเจ้าจะละทิ้งเงินและเลือกความจริงอย่างไม่เต็มใจ ในขณะที่ผู้ที่อยู่กึ่งกลางจะคว้าเงินไว้ในมือข้างหนึ่งและความจริงไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว ธาตุแท้ของพวกเจ้าจะปรากฏให้เห็นเด่นชัดไม่ใช่หรือ?  เมื่อต้องเลือกระหว่างความจริงกับสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าจงรักภักดี พวกเจ้าย่อมจะเลือกเช่นนี้กันทุกคน และท่าทีของพวกเจ้าก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม  ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  มีผู้คนมากมายในหมู่พวกเจ้าที่ลังเลระหว่างถูกกับผิดมิใช่หรือ?  ในการต่อสู้ทั้งหมดระหว่างสิ่งที่เป็นบวกกับสิ่งที่เป็นลบ ดำกับขาว—ระหว่างครอบครัวกับพระเจ้า ลูกๆ กับพระเจ้า ความกลมเกลียวกับการแตกหัก ความมั่งคั่งกับความยากจน สถานะกับความธรรมดาสามัญ การได้รับการเกื้อหนุนกับการถูกปฏิเสธ เป็นต้น—แน่นอนว่าพวกเจ้าย่อมรู้ถึงตัวเลือกที่พวกเจ้าได้เลือกแล้ว!  ระหว่างครอบครัวที่กลมเกลียวกันกับครอบครัวที่แตกแยก พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก และเลือกเช่นนั้นโดยไม่ลังเล ระหว่างความร่ำรวยกับหน้าที่ พวกเจ้าก็เลือกอย่างแรกอีก และถึงขนาดขาดความตั้งใจที่จะกลับเข้าฝั่ง ระหว่างความหรูหรากับความยากจน พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก เมื่อต้องเลือกระหว่างบุตรชาย บุตรสาว ภรรยาและสามีของพวกเจ้า กับเรา พวกเจ้าเลือกอย่างแรก และระหว่างมโนคติอันหลงผิดกับความจริง พวกเจ้าก็ยังเลือกอย่างแรก  เมื่อได้เผชิญกับการทำชั่วในทุกรูปแบบของพวกเจ้า เราได้แต่เพียงหมดความเชื่อมั่นในตัวพวกเจ้า เราเพียงแต่ประหลาดใจเท่านั้น  คาดไม่ถึงเลยว่าจะไม่มีทางทำให้หัวใจของพวกเจ้าอ่อนลงได้  ช่างน่าประหลาดใจที่โลหิตจากหัวใจที่เราได้สละมาหลายปีไม่ได้นำพาอะไรมาให้เรามากไปกว่าการทอดทิ้งและการยอมจำนนของพวกเจ้าเท่านั้น แต่ความหวังของเราที่มีต่อพวกเจ้ากลับเติบโตไปพร้อมกับแต่ละวันที่ผ่านไป เนื่องจากวันของเราได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคนอย่างสมบูรณ์แล้ว  กระนั้นในตอนนี้พวกเจ้าก็ยังคงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่ชั่วและมืดมิด ทั้งยังปฏิเสธที่จะปล่อยมือของเจ้าที่ยึดจับสิ่งเหล่านั้นไว้  เช่นนั้นแล้ว จุดจบของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  พวกเจ้าเคยให้การคิดคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบหรือไม่?  หากพวกเจ้าถูกขอให้เลือกอีกครั้ง แล้วจุดยืนของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  จะยังคงเป็นอย่างแรกอยู่อีกหรือไม่?  พวกเจ้าจะยังคงนำความผิดหวังและความโศกเศร้าที่น่าเวทนามาสู่เราอยู่หรือไม่?  หัวใจของพวกเจ้าจะยังคงมีเพียงความอบอุ่นอันน้อยนิดเท่านั้นหรือ?  พวกเจ้าจะยังคงไม่ตระหนักว่าพึงทำสิ่งใดเพื่อชูใจเราหรือไม่?  ณ เวลานี้ พวกเจ้าจะเลือกอะไร?”  (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?)  พอได้ทบทวนพระวจนะของพระเจ้าและคิดถึงพฤติกรรมของตัวเอง ฉันก็เหมือนคนที่พระเจ้าตรัสถึงเลยไม่ใช่เหรอ ที่พยายามคว้าเงินทองไว้ในมือข้างหนึ่งและคว้าความจริงไว้ในมืออีกข้าง?  แม้ว่าฉันจะเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเอง แต่จิตใจฉันยังคงหมกมุ่นกับกิจการทุกวัน และฉันคิดเรื่องวิธีหาเงินเพิ่มอยู่ตลอด ฉันใช้เวลาทั้งหมดไปกับการไล่ตามไขว่คว้าเงินทอง และแทบจะไม่ได้กินหรือดื่มพระวจนะของพระเจ้าเลย ฉันมองหน้าที่เป็นสิ่งที่เอาไว้ทำในเวลาว่าง และพอจะทำ ก็ทำแบบสุกเอาเผากิน แค่แสร้งทำพอเป็นพิธี การที่ฉันฝึกฝนหน้าที่ให้น้ำผู้มาใหม่ได้นั้นเป็นการที่พระเจ้าทรงยกระดับฉัน และฉันควรคำนึงอย่างจริงจังว่าจะทำหน้าที่ให้ดียังไง และจะแก้ไขสภาวะและความลำบากยากเย็นของพี่น้องชายหญิงยังไง อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้มองว่าหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ และจิตใจฉันก็คิดแต่ว่าจะหาเงินเพิ่มได้ยังไง ฉันนอนดึกทุกวันเพื่อกิจการ ซึ่งทำให้ฉันง่วงนอนระหว่างการชุมนุมกับผู้มาใหม่ในวันถัดไป แล้วฉันก็จะแค่สามัคคีธรรมถึงคำพูดและคำสอน แม้ว่าจะมีเวลาสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงมากขึ้นระหว่างการชุมนุม แต่ฉันก็กลัวว่าถ้าการชุมนุมจบช้า ฉันจะไปขายของช้า ฉันเลยรีบเร่งจบการชุมนุม เพื่อหาเงินเพิ่ม ฉันถึงขั้นโกหกผู้นำ โดยขอให้พวกเขาเป็นเจ้าภาพแทนฉันในการชุมนุมกับผู้มาใหม่ ก่อนที่จะพบพระเจ้า ฉันยุ่งทุกวันเพื่อเงิน หักโหมร่างกายจนล้มป่วย ฉันทรมานและเจ็บปวดแสนสาหัส จนถึงขั้นสูญเสียความกล้าที่จะมีชีวิตต่อไป เป็นพระเจ้าที่ทรงช่วยให้ฉันรอด และทรงยอมให้ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และฉันควรจะรู้สึกขอบคุณความรอดของพระเจ้า และคว้าโอกาสครั้งเดียวในชีวิตครั้งนี้ในการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่จิตใจฉันยังคงเต็มไปด้วยความคิดเรื่องวิธีหาเงินเพิ่ม และเมื่อใดก็ตามที่หน้าที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ส่วนตัว ฉันจะวางหน้าที่ไว้ก่อนเสมอ ฉันมันเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และขาดความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง!  พระเจ้าตรัสว่า “หากพวกเจ้าถูกขอให้เลือกอีกครั้ง แล้วจุดยืนของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  จะยังคงเป็นอย่างแรกอยู่อีกหรือไม่?”  ฉันเคยมุ่งเน้นแต่จะไล่ตามไขว่คว้าเงินทอง และไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แต่พระเจ้าก็ประทานโอกาสฉันเลือกอีกครั้ง ฉันเต็มใจที่จะพึ่งพาพระเจ้า ปล่อยวางการไล่ตามไขว่คว้าเงินทอง กินและดื่มพระวจนะของพระองค์มากขึ้น ไล่ตามเสาะหาความจริง และอุทิศหัวใจให้กับหน้าที่

ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “ผู้คนใช้ทั้งชีวิตไปกับการไล่ล่าเงินทอง ชื่อเสียง และผลประโยชน์ พวกเขากอดรัดกองฟางเหล่านี้ไว้แนบอก ทำเหมือนว่าเป็นปัจจัยเพียงอย่างเดียวในการยังชีพของตน ราวกับว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ด้วยการมีสิ่งเหล่านี้ ได้รับการยกเว้นจากความตาย  แต่ในยามที่พวกเขากำลังจะตายแล้วเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเพียงใด พวกเขาอ่อนแอไร้กำลังเพียงใดเมื่อเผชิญหน้าความตาย เปราะบางเพียงใด เปลี่ยวดายและอับจนหนทางเพียงไร โดยไม่มีที่ใดให้หันหน้าไปพึ่งพา  พวกเขาตระหนักว่า ชีวิตไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทองหรือชื่อเสียงและผลประโยชน์ ว่าไม่ว่าบุคคลหนึ่งอาจอุดมด้วยโภคทรัพย์เพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งขนาดไหน ทุกคนล้วนยากจนและไร้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย  พวกเขาตระหนักว่า เงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้ ชื่อเสียงและผลประโยชน์ไม่สามารถลบความตายได้ และไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือชื่อเสียงและผลประโยชน์ต่างก็ไม่สามารถยืดชีวิตคนเราได้แม้แต่นาทีเดียว วินาทีเดียว(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตื้นตัน ฉันทำงานหาเงินอย่างไม่ยั้งคิดเพียงเพื่อให้คนอื่นชื่นชม โดยเชื่อว่าเงินสามารถบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้ฉันได้ แต่เมื่อเกิดความทุกข์จากความเจ็บป่วย เงินก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดเลย ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่า “ถ้าฉันเสียชีวิต การหาเงินได้มากขึ้นจะมีประโยชน์อะไร?  ถ้าฉันตายไป การชื่นชมและการยกย่องชั่วครั้งชั่วคราวของผู้คนจะมีประโยชน์อะไร?” ฉันคิดถึงเพื่อนบ้านที่ร่ำรวยสองคน คนหนึ่งเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวตอนอายุสามสิบกว่าๆ และถึงแม้จะเสียเงินทองไปมาก แต่ก็รักษาไม่หายอยู่ดี สุดท้ายก็ต้องทิ้งลูกเล็กสองคนไว้ข้างหลังและเสียชีวิตไป เพื่อนบ้านอีกคนอายุสี่สิบกว่าๆ มีอาการเลือดออกในสมอง กลายเป็นเจ้าชายนิทรา และเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นานนัก เมื่อเห็นอย่างนี้ ฉันก็ตระหนักว่าเงินจำนวนเท่าไรก็ไม่อาจยืดชีวิตคนได้ และรู้ว่าไม่อาจเสี่ยงชีวิตเพียงเพื่อหาเงินได้ หลังจากนั้นฉันก็เริ่มมุ่งทำหน้าที่ของตัวเอง นอกจากหน้าที่แล้ว ฉันยังฝึกสงบจิตใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กินและดื่มพระวจนะของพระองค์ และเสริมสร้างตัวเองด้วยความจริง ผลลัพธ์ของหน้าที่ฉันค่อยๆ ดีขึ้น และฉันชื่นชมยินดีอย่างมากในการใช้ชีวิตคริสตจักรร่วมกับทุกคน

วันหนึ่งหลังจากเสร็จหน้าที่ ฉันกลับไปที่ร้าน สามียื่นใบเสร็จรับเงินให้ฉัน และฉันสังเกตเห็นว่าสินค้าสองสามรายการไม่ได้ถูกนับรวมไว้ พอตรวจสอบกับลูกค้า ก็พบว่าสามีลงบันทึกสินค้าน้อยเกินไปหลายรายการ แถมมีใบแจ้งหนี้ที่เขาควรจะเรียกเก็บเงิน 500 หยวน แต่กลับเขียนไว้แค่ 50 หยวน ฉันคิดว่า “ฉันรู้มาตลอดว่าสามีเลินเล่อ มักจะเรียกเก็บเงินน้อยเกินไป และให้สินค้าเกินจำนวน และเมื่อลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าทุกวัน หากเป็นแบบนี้ต่อไป มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอชดเชยส่วนที่ขาดทุนไป ดูเหมือนร้านจะอยู่ไม่ได้โดยไม่มีฉันจริงๆ” ฉันพบว่าการปล่อยวางเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก ในตอนนั้นฉันรู้ตัวว่าฉันให้ความสำคัญกับเงินอีกแล้ว ฉันจึงไตร่ตรองว่า “ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงกำหนดล่วงหน้าว่าคนเราจะมีเงินเท่าไร แล้วทำไมฉันถึงลำบากใจมากทุกครั้งที่ต้องปล่อยวางการไล่ตามไขว่คว้าเงินทองล่ะ?” ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “‘เงินทำให้โลกหมุนไป’ เป็นปรัชญาหนึ่งของซาตาน มันแพร่หลายไปท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งหมด ในทุกสังคมมนุษย์ เจ้าสามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่ง  นี่เป็นเพราะมันถูกปลูกฝังอยู่ในหัวใจของทุกคนที่ไม่ได้ยอมรับคำกล่าวนี้แต่แรก แต่ต่อมากลับให้การยอมรับมันโดยปริยายเมื่อพวกเขาเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเริ่มที่จะรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้จริงแท้  นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรอกหรือ?  บางทีผู้คนอาจจะไม่รู้จักคติพจน์นี้จากประสบการณ์ในระดับเดียวกัน แต่ทุกคนก็มีระดับการตีความและการยอมรับคติพจน์ที่แตกต่างกันไปโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขาและจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกเขาเอง  นั่นไม่ใช่กรณีนี้หรอกหรือ?  ไม่ว่าใครบางคนจะมีประสบการณ์กับคติพจน์นี้มากเพียงใด ผลด้านลบใดหรือที่มันสามารถมีต่อหัวใจของใครบางคนได้?  บางสิ่งบางอย่างถูกเปิดเผยโดยผ่านทางอุปนิสัยแบบมนุษย์ของผู้คนในพิภพนี้ รวมถึงพวกเจ้าแต่ละคน  นี่คือสิ่งใด?  มันคือการบูชาเงินตรา  มันยากที่จะลบเรื่องนี้ออกไปจากหัวใจของใครบางคนใช่หรือไม่?  มันยากมาก!  ดูเหมือนว่าการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานจะลึกซึ้งจริงๆ!  ซาตานใช้เงินทองมาทดลองผู้คน และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามจนบูชาเงินตราและเทิดทูนวัตถุสิ่งของ  แล้วการบูชาเงินตรานี้สำแดงในตัวผู้คนอย่างไร?  พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้าไม่สามารถอยู่รอดในพิภพนี้ได้โดยปราศจากเงินเลย ว่าแม้แต่วันหนึ่งที่ปราศจากเงินก็คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่?  สถานะของผู้คนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีเงินมากเพียงใด เช่นเดียวกับความนับถือที่พวกเขาอยากได้มา  หลังของคนยากจนก้มโค้งด้วยความอดสู ในขณะที่คนมั่งคั่งชื่นชมสถานที่สูงส่งของพวกเขา  พวกเขาเชิดและเย่อหยิ่ง พูดเสียงดังและดำรงชีวิตอย่างโอหัง  คติพจน์และกระแสนิยมนี้นำพาสิ่งใดมาสู่ผู้คนหรือ?  จริงหรือไม่ที่ผู้คนมากมายทำการพลีอุทิศทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินตรา?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเขาไปในการไล่ตามเสาะหาเงินตราที่มากขึ้นหรอกหรือ?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและติดตามพระเจ้าไปเพื่อประโยชน์ของเงินหรอกหรือ?  การสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คนหรอกหรือ?  ซาตานไม่ส่อแววร้ายหรอกหรือที่ใช้วิธีการนี้และคติพจน์นี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามถึงระดับเช่นนั้น?”  (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่าการแสวงหาความมั่งคั่งเพื่อให้ได้รับการชื่นชมนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก ว่านั่นคือวิธีการที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ผู้คนอยู่เพื่อเงิน และพอมีเงินบ้าง ก็อยากมีเพิ่ม ความอยากมั่งคั่งมีแต่จะเพิ่มขึ้น และสุดท้ายก็ตายเพื่อเงิน เสียโอกาสที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอด สมัยฉันเป็นเด็ก ครอบครัวเรายากจน และคนรอบข้างเยาะเย้ยเรา ฉันเลยรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น พอโตขึ้นและยังหาเงินไม่ได้ เพื่อนฝูงและญาติพี่น้องก็ดูถูกฉัน และฉันรู้สึกรุนแรงยิ่งกว่าเดิมว่า ถ้าไม่มีเงิน ชีวิตก็สุดเกินจะทน ฉันเลยตั้งการหาเงินเป็นเป้าหมายชีวิต ฉันใช้ชีวิตตามพิษอย่าง “เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงิน ก็จะทำอะไรไม่ได้” “เงินทำให้โลกหมุนไป” “มนุษย์ยอมตายเพื่อทรัพย์สมบัติ เหมือนนกยอมตายเพื่ออาหาร” และพิษอื่นๆ แบบนั้นที่ซาตานฝังหัวผู้คน ตราบใดที่หาเงินได้ ฉันก็เต็มใจที่จะทนรับความยากลำบากทุกรูปแบบ และถึงแม้จะใกล้เป็นอัมพาตจากโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน แต่ฉันก็ไม่พักผ่อน ฉันกังวลว่าจะหาเงินได้น้อยลงถ้าไม่ทำงาน เลยฝืนตัวเองต่อไป ราวกับว่าฉันกำลังขี่จักรยานและไม่ยอมหยุดจนกว่าจะล้ม สุดท้ายความเจ็บป่วยก็ทำให้ฉันเจ็บปวดมากจนไม่อยากมีชีวิต แม้ว่าจะพบพระเจ้าแล้ว แต่ฉันก็ยังคงใช้ชีวิตตามพิษซาตานต่อไป แม้ว่าฉันจะทำหน้าที่ของตัวเอง แต่หัวใจฉันยังคงมุ่งเน้นที่วิธีการหาเงินเพิ่ม ฉันก็แค่แสร้งทำพอเป็นพิธีและใช้เวลาอย่างเปล่าประโยชน์ในการชุมนุม ส่งผลให้การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงได้รับผลเสีย และฉันก็ไม่ก้าวหน้าเลย การใช้ชีวิตตามพิษของซาตานนำมาเพียงความเจ็บปวดและการกระทำผิดในหน้าที่ การไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่งเพื่อให้ได้รับการชื่นชมคือวิธีที่ซาตานใช้ควบคุมและนำผู้คนไปสู่การทำลายล้าง ฉันไม่อยากถูกซาตานทดลองอีกต่อไป และเสียเวลาไล่ตามความมั่งคั่ง ฉันต้องทุ่มเทพลังงานทั้งหมดไปกับการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตัวเอง หลังจากนั้นฉันก็เริ่มมุ่งเน้นไปที่กิจการน้อยลง เข้าร้านน้อยกว่าเดิม และฉันก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมว่า “ในฐานะใครคนหนึ่งที่ปกติและไล่ตามเสาะหาความรักแด่พระเจ้า การเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อกลายเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าคืออนาคตที่แท้จริงของเจ้า และเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีนัยสำคัญมากที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับพรมากไปกว่าพวกเจ้า  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง และพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่วันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าชีวิตของพวกเจ้ามีนัยสำคัญมากที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์) เมื่อก่อนฉันอยู่เพื่อเนื้อหนังและเงินทอง ไล่ตามไขว่คว้าการชื่นชมจากผู้อื่น และเดินอยู่บนเส้นทางสู่การทำลายล้าง ตอนนี้ฉันสามารถติดตามพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และลุล่วงหน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นี่คือชีวิตที่มีค่าและมีความหมายที่สุด ฉันต้องมุ่งความคิดไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงและหน้าที่ของตัวเอง และฉันต้องทำหน้าที่ให้ดีเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า

วันหนึ่งสามีกลับมาบ้านและบอกว่ามีไฮเปอร์มาร์เก็ตมาเปิดใหม่ในย่านของเรา และฝ่ายการตลาดอยากเริ่มโดยดึงดูดผู้ค้ารายใหญ่เพื่อขับเคลื่อนกิจการ พวกเขาเสนอเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์มากกับผู้ค้ารายใหญ่อย่างเรา โดยจะไม่คิดค่าเช่าและให้เราใช้พื้นที่โกดังฟรีสามปี สามีหารือกับฉันเรื่องนี้ โดยอยากจะสต็อกสินค้าให้ฉันไปขายที่นั่น บอกว่าจะได้กำไรอย่างแน่นอน ฉันรู้สึกถูกทดลองนิดหน่อย คิดว่า “นี่โอกาสทองกำลังหล่นทับเราอยู่ไม่ใช่เหรอ?  ทุกวันนี้เราจ่ายค่าเช่าปีละหลายหมื่นหยวน หากเราค้าส่งและค้าปลีกในตลาดใหม่แห่งนี้ กิจการของเราจะต้องรุ่งเรืองแน่ๆ และพอเราหาเงินได้มากขึ้น เราจะสามารถซื้อบ้านที่ดีกว่านี้และรถที่หรูกว่านี้ นี่จะทำให้ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงของเราชื่นชมและอิจฉาเรายิ่งกว่าเดิม!” แต่ถ้าฉันตกลง ฉันกับสามีจะต้องบริหารกันคนละร้าน และถึงแม้ว่าเราจะหาเงินได้มากขึ้นเยอะ แต่เราจะยุ่งและเหนื่อยกว่าเมื่อก่อนอย่างแน่นอน ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์  แต่เบื้องหลังทุกขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนี่ก็ทำให้ผู้คนต้องตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า  เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังทำการเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์  เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) เมื่อทบทวนพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า “นี่คือการทดลองจากซาตานไม่ใช่เหรอ?  ถ้าเราเปิดร้านเพิ่มอีกร้าน เราอาจจะหาเงินได้เพิ่มและมีหน้ามีตามากขึ้น แต่แล้วฉันจะไม่มีเวลากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าหรือทำหน้าที่ของตัวเอง นี่จะไม่ทำลายโอกาสที่ฉันจะได้รับความรอดเหรอ?” ฉันคิดถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน?  หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?”  (มัทธิว 16:26) ถูกต้องที่สุดเลย ไม่ว่าฉันจะหาเงินได้มากแค่ไหน จะมีประโยชน์อะไรถ้าฉันลงเอยด้วยการเสียชีวิต?  พระเจ้าทรงอวยพรฉันมามากพอแล้ว ฉันจึงไม่อาจทุ่มเวลาและพลังงานทั้งหมดไปกับการหาเงินต่อไปได้ เมื่อเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็เกลี้ยกล่อมสามีให้ล้มเลิกความคิดที่จะเปิดร้านในตลาดใหม่ นึกไม่ถึงว่าเขาจะตกลง และฉันก็รู้สึกเบาใจลงมาก ฉันเป็นอิสระจากพันธนาการของเงินทองก็เพราะพระวจนะของพระเจ้าที่ทำงานในตัวฉัน!

ก่อนหน้า:  81. ฉันพบชีวิตที่สุขสันต์อย่างแท้จริงแล้ว

ถัดไป:  87. การศึกษาที่กดดันสูงทำร้ายลูกสาวของฉัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger