53. ผลที่ตามมาจากการเชื่อตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน

ในปี 2004 พระเจ้าทรงเลือกฉันให้มายังพระนิเวศของพระองค์ เมื่อชุมนุมกับพี่น้อง บางครั้งฉันจะได้ยินพวกเขาสามัคคีธรรมประสบการณ์ของตัวเอง โดยบอกว่าพวกเขาไม่ละทิ้งหน้าที่ระหว่างเจ็บป่วย และฟื้นตัวได้อย่างปาฏิหาริย์ ฉันยังได้อ่านบทความคำพยานจากประสบการณ์ที่เขียนโดยพี่น้องบางคนด้วย พี่น้องหญิงคนหนึ่งเป็นมะเร็ง แต่ยังคงยืนกรานที่จะทำหน้าที่ของเธอ แล้วพระเจ้าก็ทรงขจัดโรคมะเร็งของเธอไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว เมื่อได้พบคำพยานเหล่านี้ ฉันก็คิดกับตัวเองว่า “เวลาที่เหล่าพี่น้องเผชิญกับบททดสอบเรื่องความเจ็บป่วย พวกเขาพึ่งพาความเชื่อในการมีประสบการณ์กับสิ่งนั้น โดยการตั้งมั่นในการเป็นพยานของตน และอาการป่วยของพวกเขาก็ดีขึ้น วันข้างหน้า ฉันต้องเรียนรู้จากพวกเขา ไม่ว่าความเจ็บป่วยหรือวิบัติใดจะมาถึง ฉันต้องยึดมั่นในหน้าที่และตั้งมั่นในการเป็นพยานของฉัน ด้วยหนทางนี้ ฉันก็จะใช้ชีวิตในพระพรของพระเจ้าเหมือนกับเหล่าพี่น้อง”

ในช่วงฤดูร้อนปี 2011 ตอนเที่ยงของวันหนึ่ง ลูกชายวัยเจ็ดขวบของฉันกำลังเล่นโรลเลอร์สเกตอยู่ในห้องนั่งเล่น เขาบังเอิญทำทีวีหล่นทับตัวเอง จนเลือดออกมากไปทั่วทั้งตัวแม้กระทั่งจมูก ฉันตกใจมากจนหัวใจแทบหลุดออกจากอก ฉันอธิฐานถึงพระเจ้าโดยทันทีว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับลูกของข้าพระองค์ ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตาย ได้โปรดให้หัวใจของข้าพระองค์พ้นจากการพร่ำบ่น” หลังจากโรงพยาบาลตรวจดูลูกฉันแล้ว คุณหมอก็บอกให้ไปสังเกตอาการที่บ้าน และบอกว่าตราบใดที่ไม่มีไข้ เขาก็จะไม่เป็นไร ต่อมา ลูกชายของฉันก็หายดี หลังจากนั้น ฉันได้ตริตรองถึงเหตุการณ์นี้ ฉันไม่ได้พร่ำบ่นอะไรในช่วงวิกฤตินี้ และลูกชายฉันก็หายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ยิ่งทำให้ฉันมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่า การไม่พร่ำบ่นเมื่อเกิดเภทภัยและการตั้งมั่นในการเป็นพยานของฉัน จะทำให้ฉันมองเห็นการคุ้มครองและพระพรของพระเจ้า นับแต่นั้นมา ฉันก็สละตนด้วยความกระตือรือร้นมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าคริสตจักรจะมอบหมายหน้าที่อะไรให้ฉัน ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์หรือต้องสูญเสียอะไรมากแค่ไหน ฉันก็นบนอบทุกอย่าง ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนหนึ่งที่รักพระเจ้าและจะได้รับพระพรจากพระเจ้าในภายหน้าอย่างแน่นอน

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2016 ฉันกำลังทำหน้าที่อยู่ไกลบ้าน วันหนึ่ง ฉันได้รับจดหมายจากทางบ้าน บอกว่าลูกชายฉันเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ป่วยหนักและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว หลังจากอ่านจดหมาย ในหัวฉันว่างเปล่าขาวโพลน ฉันไปที่ห้องเพื่ออธิฐาน ฉันคุกเข่าลงบนเตียง ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างควบคุมไม่ได้ พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ลูกของข้าพระองค์อายุแค่สิบสองปีเท่านั้น พระองค์จะทรงพาเขาไปจริงๆ หรือ? หลังจากนั้น ฉันก็พูดอะไรไม่ออก ฉันอยากกลับบ้านทันทีเพื่อไปดูแลลูกชาย ไปปลอบใจและให้กำลังใจเขา แต่ฉันก็คิดถึงเรื่องที่มีศัตรูของพระคริสต์คอยก่อกวนชีวิตคริสตจักร ขัดขวางการงานต่างๆ และสร้างความเสียหายต่อชีวิตของเหล่าพี่น้อง ในช่วงเวลาวิกฤติอย่างนี้ พระเจ้าทรงเฝ้าดูอยู่ว่าฉันจะเลือกยังไง จะยึดมั่นในงานของคริสตจักรหรือวางหน้าที่ไว้ก่อนเพื่อไปดูแลลูกชาย ฉันนึกถึงโยบที่ต้องสู้ทนกับบททดสอบอันใหญ่หลวง มีตุ่มฝีหนองเต็มตัว แต่ก็ยังไม่พร่ำบ่นต่อพระเจ้า กลับตั้งมั่นในการเป็นพยานของตน ในที่สุด พระเจ้าก็ทรงปรากฏต่อเขา ไม่เพียงแต่ทรงรักษาเขาเท่านั้น แต่ยังทรงอวยพรเขาอย่างล้นเหลืออีกด้วย พอคิดว่าความเจ็บป่วยของลูกชายอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉันก็ต้องเลือกที่จะสนองต่อพระเจ้าและยืนหยัดในทำหน้าที่ ไม่ปล่อยให้แผนการของซาตานมีชัย ฉันเชื่อว่าถ้าฉันตั้งมั่นในการเป็นพยาน พระเจ้าจะทรงอวยพรลูกชายฉันให้หายป่วย โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่าอับราฮัมนบนอบพระเจ้าและเต็มใจที่จะเสียสละอิสอัคลูกชายคนเดียวของเขา และพระเจ้าไม่ทรงรับลูกชายเขาไป แต่ทรงอวยพรเขายิ่งกว่านั้น ฉันรู้สึกว่าพระเจ้ากำลังทดสอบฉันผ่านลูกชายเช่นกัน หากฉันไว้วางใจมอบลูกชายไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และตั้งมั่นในการเป็นพยาน ฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรให้ลูกชายฉันหายดี หลังจากนั้น ฉันก็ไม่จมอยู่กับอาการป่วยของลูกชายอีกต่อไป แต่ทุ่มเทให้กับหน้าที่ของตัวเอง

เมื่อกลับถึงบ้าน สามีบอกฉันว่า ลูกชายของเราไม่ได้เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เพียงแต่มีเม็ดเลือดขาวมากเกินไปและภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งอาจลุกลามเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เราตระเวนไปตามโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง แต่ถึงแม้จะปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหลายครั้งแล้ว พวกเขาก็ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เราจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากกลับบ้านเพื่อรับการรักษาแบบประคับประคอง เราเสียเงินไปกว่าสองพันหยวนกับยาจีน แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ฉันคิดกับตัวเองว่า “สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีกรณีใดที่ลำบากยากเย็น ตราบใดที่ผู้คนยังพึ่งพาพระเจ้าและนบนอบพระองค์อย่างจริงใจ พระเจ้าก็จะทรงรักษาพวกเขาได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ?” หลังจากนั้น ฉันมักจะสามัคคีธรรมกับลูกว่า “ในความเจ็บป่วยนี้ เราต้องไม่พร่ำบ่นและต้องนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หากเราตั้งมั่นในการเป็นพยานของเรา พระเจ้าจะทรงรับรองว่าลูกจะหายจากอาการป่วย” ระหว่างนั้น ฉันก็สอบถามไปทุกที่เกี่ยวกับวิธีการรักษาแบบพื้นบ้าน เพื่อรักษาอาการป่วยของลูกชาย แต่ว่า หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน อาการของลูกฉันไม่เพียงไม่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังแย่ลงอีกด้วย ฉันเริ่มรู้สึกเป็นลบและอ่อนแอทางฝ่ายวิญญาณ คิดว่า “ฉันทำหน้าที่ของฉันมาอย่างขยันขันแข็งตั้งแต่ลูกป่วย ทำไมพระเจ้าถึงไม่ดูแลสุขภาพของลูกชายฉัน? ทำไมยิ่งรักษาอาการของเขาก็ยิ่งแย่ลง? ถ้ากลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวขึ้นมาจริงๆ อย่างที่หมอบอก ลูกชายฉันจะไม่หมดหวังหรอกหรือ?” ยิ่งคิดก็ยิ่งขวัญเสีย

เช้าวันหนึ่ง สามีแทบจะร้องไห้ตอนที่พูดกับฉันว่า “เราลองทุกวิถีทางกับอาการป่วยของลูกคนนี้แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังแย่ลงไปอีก เราควรทำยังไงดี?” เมื่อได้เห็นความปวดร้าวของสามี ฉันก็รู้สึกทุกข์ใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันจึงหยิบพระวจนะของพระเจ้าออกมาอ่าน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ขณะก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือไม่ชัดเจนในเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ  แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ปฏิเสธพระเจ้า เช่นเดียวกับโยบ  แม้ว่าโยบอ่อนแอและสาปแช่งวันเกิดของเขาเอง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบทุกสรรพสิ่งในชีวิตมนุษย์ และพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่จะนำทุกสิ่งนั้นไปอีกด้วย  ไม่ว่าเขาจะก้าวผ่านบททดสอบอะไรมา เขาก็ได้ธำรงรักษาการเชื่อนี้ไว้  ในประสบการณ์ของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าก้าวผ่านการถลุงอะไรโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ โดยสังเขปแล้ว คือความเชื่อของพวกเขาและหัวใจที่รักพระเจ้าของพวกเขา  สิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมโดยการทรงพระราชกิจในหนทางนี้คือความเชื่อ ความรักและความทะเยอทะยานของผู้คน  พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ เจ้าพึงต้องมีความเชื่อ  ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้  เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องทำคือการมีความเชื่อและจุดยืนที่หนักแน่น และยืนหยัดเข้มแข็งในคำพยานของเจ้า  เมื่อโยบได้มาถึงจุดนี้ พระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อเขาและตรัสกับเขา  นั่นคือเฉพาะจากภายในความเชื่อของเจ้าเท่านั้นนั่นเองที่เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ และเมื่อเจ้ามีความเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  หากปราศจากความเชื่อ พระองค์จะไม่สามารถทำการนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็ได้รับความเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าความเชื่อที่แท้จริงเป็นยังไง คือการเชื่อในพระเจ้าและการตั้งมั่นในการเป็นพยานให้กับพระองค์ แม้เราจะมองไม่เห็นหรือสัมผัสบางสิ่งไม่ได้ เหมือนอย่างโยบ ผู้ไม่เคยปฏิเสธพระเจ้าเลยไม่ว่าในยามใด นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนา ฉันได้สามัคคีธรรมกับสามีว่า “การที่เราเพียงแต่เชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของเราในยามที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีนั้น ไม่ได้สะท้อนความเชื่อที่แท้จริงเสมอไป ตอนที่เราเผชิญกับบททดสอบและไม่สามารถมองเห็นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น แต่ยังคงสามารถยืนหยัดในการเชื่อและติดตามพระเจ้าต่อไปได้ ความเชื่อนี้เป็นของแท้ และเป็นผลลัพธ์ที่ทรงปรารถนาจากการถลุงและการทดสอบของพระเจ้า ไม่อย่างนั้น เราจะเชื่อพระเจ้าเพียงเพราะพระคุณและผลประโยชน์จากพระองค์เท่านั้น และซาตานจะกล่าวหาเราและปฏิเสธที่จะยอมรับเรา ไม่ว่าอาการของลูกชายเราจะดีขึ้นหรือไม่ก็ตาม หากเรายังคงติดตามและนบนอบพระเจ้า ซาตานจะพ่ายแพ้และต้องอับอาย และพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญจากเรา” หลังจากที่สามีของฉันได้ยินเรื่องนี้ เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

หลังจากนั้น อาการของลูกชายเราไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย วันหนึ่ง ลูกชายเราเอนตัวพิงขอบหน้าต่าง มองดูเด็กคนอื่นสะพายเป้ไปโรงเรียน เขาดูอิจฉา น้ำตาคลอเบ้า และสะอึกสะอื้นพูดออกมาว่า “แม่ครับ เด็กคนอื่นไปโรงเรียนกันหมดแล้ว แต่ผมป่วยและไปไม่ได้ แม่บอกผมอยู่ตลอดว่าให้นบนอบพระเจ้า ผมต้องนบนอนอีกนานแค่ไหนถึงจะดีขึ้นครับ?” เมื่อได้ยินคำพูดของลูกชาย เหมือนมีมีดปักลงตรงหัวใจฉัน ความเชื่อของฉันสั่นคลอน ฉันคิดกับตัวเองว่า “ตั้งแต่ลูกป่วย ฉันทนทุกข์ แต่ก็ยึดมั่นในหน้าที่ของตัวเองมาโดยตลอด ฉันได้พยายามให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่แล้ว ทำไมพระเจ้าถึงยังไม่รักษาลูกชายของฉันให้หายจากอาการป่วยอีกล่ะ? หัวใจของฉันยังจริงใจไม่พอหรือ? หมอบอกว่าถ้าลูกชายฉันยังป่วยไม่หาย เขาอาจต้องตัดขา ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วเขาจะใช้ชีวิตยังไงในวันข้างหน้า?” พอคิดไปถึงผลที่ตามมาอันเลวร้ายเหล่านี้ หัวใจของฉันก็เจ็บปวดรวดร้าว ราวกับถูกมีดทิ่มแทง เมื่อเจ็บปวดถึงขั้นนี้แล้ว ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ทำไมอาการป่วยของลูกชายข้าพระองค์ถึงไม่ดีขึ้นเลย? วุฒิภาวะของข้าพระองค์นั้นน้อยเกินไป ข้าพระองค์ทนกับสิ่งนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้วจริงๆ ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์เพื่อให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ด้วยเถิด”

ในปลายเดือนกันยายน ผู้นำของเราได้ส่งจดหมายมาถึงฉัน ขอความร่วมมือในหน้าที่บางอย่าง ฉันปฏิเสธไปเพราะเป็นห่วงเรื่องความเจ็บป่วยของลูกชาย ต่อมา ฉันก็ตระหนักว่า ตลอดหลายปีที่ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่เคยปฏิเสธหน้าที่ใด ไม่ว่าจะต้องเผชิญความลำบากยากเย็นสักแค่ไหนก็ตาม แต่ในวันนี้ ฉันปฏิเสธหน้าที่เพราะลูกชายป่วย ฉันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อตระหนักได้แบบนี้ เมื่อคิดทบทวนถึงท่าทีที่ฉันมีต่อพระเจ้าในช่วงเวลานี้ ฉันก็รู้ตัวว่าฉันแค่ภาวนาและอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น หัวใจฉันไม่มีเรี่ยวมีแรงเลย ทุกๆ วัน นอกจากให้ยาลูกแล้ว หัวใจของฉันก็เต็มไปด้วยความกลัวและความวิตกกังวล ฉันกังวลอยู่เรื่อยว่าอาการป่วยของลูกจะไม่ดีขึ้น และอาจจะสูญเสียเขาไป ฉันก็เลยไม่ได้ใส่ใจหน้าที่ของตัวเอง พอนึกถึงเรื่องนี้ ฉันก็ตระหนักได้ทันทีว่า ฉันกำลังทรยศพระเจ้าอยู่ไม่ใช่เหรอ? ฉันนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ว่า “วิธีที่เจ้าคำนึงถึงพระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้านั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด และนี่เป็นเรื่องที่จริงจังมาก  หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่ผู้คนให้ครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์และเจ้าก็ควรถูกลงโทษ  นี่คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติและสมควรอย่างยิ่งที่มนุษย์ควรทำพระบัญชาไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่พวกเขาให้เสร็จสมบูรณ์  นี่คือความรับผิดชอบสูงสุดของมนุษย์ และสำคัญพอกันไม่มีผิดกับชีวิตจริงๆ ของพวกเขา  หากเจ้าไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระองค์ในหนทางที่ร้ายแรงที่สุด  ในการนี้ เจ้าน่าวิปโยคกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)  ฉันรู้สึกถึงความโกรธของพระเจ้าจากพระวจนะแห่งการพิพากษาอันรุนแรงของพระองค์ ปรากฏว่าการไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้าเป็นเรื่องร้ายแรง ท่าทีของพระเจ้าต่อผู้ที่ปฏิเสธพระบัญชาของพระองค์เป็นท่าทีของความเกลียดชังและการสาปแช่ง การอ่านถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ฉันตัวสั่น ฉันเชื่อในพระเจ้ามาตั้งหลายปีโดยที่ไม่ความเป็นจริงความจริง เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของฉัน ฉันก็ยังทอดทิ้งหน้าที่และทรยศต่อพระเจ้าได้ เมื่อตระหนักได้แบบนี้แล้ว ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าในการกลับใจ

ขณะที่แสวงหา ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะแบบนี้คือ เพื่อให้ได้รับพร ฉันต้องสละตัวเองเพื่อพระเจ้าและยอมลำบากเพื่อพระองค์ เพื่อให้ได้รับพร ฉันต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า ฉันต้องทำสิ่งที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้ฉันทำให้เสร็จสิ้น และฉันต้องปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี  สภาวะเช่นนี้มีเจตนาที่อยากได้รับพรครอบงำอยู่ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการสละตัวเองเพื่อพระเจ้าจนหมดสิ้นเพื่อจุดประสงค์ของการได้มาซึ่งบำเหน็จรางวัลจากพระองค์และได้รับมงกุฎ  ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความจริงในหัวใจของพวกเขา และแน่นอนว่าความเข้าใจของพวกเขานั้นประกอบด้วยคำพูดและคำสอนไม่กี่คำที่พวกเขาโอ้อวดทุกแห่งหนที่พวกเขาไป  เส้นทางของพวกเขานั้นคือของเปาโล  ความเชื่อของผู้คนเช่นนั้นคือบทบาทของการตรากตรำทำงานเป็นนิตย์ และลึกลงไปแล้วพวกเขารู้สึกว่า ยิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด นั่นก็จะยิ่งเป็นการพิสูจน์มากขึ้นเท่านั้นถึงความจงรักภักดีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า ว่ายิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด แน่นอนว่าพระองค์ก็ยิ่งจะพึงพอพระทัยมากขึ้นเท่านั้น และว่ายิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งสมควรมากขึ้นเท่านั้นที่จะได้รับการมอบมงกุฎเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพรที่พวกเขาได้รับก็มีแต่จะยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ ทำการประกาศ และตายเพื่อพระคริสต์ได้ หากพวกเขาสามารถพลีอุทิศชีวิตของพวกเขาเองได้ และหากพวกเขาสามารถทำหน้าที่ทั้งหมดซึ่งพระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาจนครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับพรอันยิ่งใหญ่ที่สุด และพวกเขาย่อมแน่ใจว่าตนจะได้รับมอบมงกุฎ  แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เปาโลจินตนาการและสิ่งที่เขาแสวงหา  นี่คือเส้นทางอันแน่ชัดที่เขาเดิน และนั่นอยู่ภายใต้การนำของความคิดที่ว่า เขาทำงานเพื่อรับใช้พระเจ้า  ความคิดและเจตนาเหล่านั้นไม่มีจุดกำเนิดมาจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานหรอกหรือ?  มันก็เป็นเหมือนเหล่ามนุษย์ทางโลก ที่เชื่อว่าในขณะที่อยู่บนแผ่นดินโลกนั้นพวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาความรู้ และว่าหลังจากที่มีความรู้แล้ว พวกเขาจึงจะสามารถโดดเด่นออกมาจากฝูงชน ได้เป็นเจ้าหน้าที่ และมีฐานะ  พวกเขาคิดว่า ทันทีที่พวกเขามีฐานะ พวกเขาสามารถทำให้ความทะเยอทะยานของพวกเขาเป็นจริง และทำให้ธุรกิจและกิจการในครอบครัวของพวกเขาเจริญรุ่งเรืองได้ถึงระดับหนึ่ง  ผู้ไม่เชื่อทั้งหมดไม่เดินบนเส้นทางนี้หรอกหรือ?  พวกที่ถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ครอบงำ สามารถเพียงเป็นเหมือนเปาโลในความเชื่อของพวกเขาเท่านั้น  พวกเขาคิดว่า ‘ฉันต้องสลัดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละตัวฉันเองเพื่อพระเจ้า  ฉันต้องจงรักภักดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และในที่สุด ฉันจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่และมงกุฎอันเกรียงไกร’  นี่คือท่าทีเดียวกับท่าทีของผู้คนทางโลกที่ไล่ตามเสาะหาสิ่งของทางโลกทั้งหลาย  พวกเขาไม่ได้ต่างออกไปแต่อย่างใดเลย และพวกเขาก็อยู่ภายใต้ธรรมชาติแบบเดียวกัน  เมื่อผู้คนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานจำพวกนี้ เมื่อออกไปอยู่ในโลก พวกเขาจะเสาะแสวงที่จะได้มาซึ่งความรู้ การเรียนรู้ สถานะ และเพื่อโดดเด่นจากฝูงชน  หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะพยายามให้ได้มาซึ่งมงกุฎอันยิ่งใหญ่และพรอันยิ่งใหญ่  หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงในยามที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะต้องใช้เส้นทางนี้อย่างแน่นอน  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เป็นกฎธรรมชาติ  เส้นทางซึ่งผู้คนที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงเลือกเดินนั้นสวนทางอย่างตรงกันข้ามกับเส้นทางของเปโตร(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร)  ผ่านการเปิดโปงจากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เห็นว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การละทิ้งและการสละตนของฉันไม่ได้เป็นไปเพื่อลุล่วงในหน้าที่และสนองพระเจ้า แต่เป็นการทำธุรกรรมกับพระเจ้า ที่ถูกความตั้งใจที่จะรับพระพรควบคุมอยู่ตลอด สิ่งที่ฉันติดตามคือเส้นทางของเปาโลที่ไล่ตามเสาะหาพระพร นับตั้งแต่ฉันยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ฉันก็เห็นว่าเวลาที่พี่น้องบางคนตั้งมั่นในการเป็นพยานของพวกเขาในช่วงเวลาที่เจ็บป่วยและการทดสอบ พวกเขาได้รับการดูแล การคุ้มครอง และพระพรจากพระเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าหน้าที่ที่คริสตจักรมอบหมายให้ฉันนั้นจะลำบากยากเย็นหรือเสี่ยงสักแค่ไหน ฉันก็จะให้ความร่วมมือโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ในหัวใจฉันเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า ตราบใดที่ฉันทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อพระเจ้า ไม่พร่ำบ่นเมื่อเผชิญกับความทุกข์ลำบาก และยึดมั่นในการทำหน้าที่ของฉันต่อไป ฉันจะได้รับพระพรของพระเจ้าอย่างแน่นอน ตอนที่ได้รู้ว่าลูกชายป่วยหนัก ฉันยังคงเลือกที่จะทำหน้าที่และสละตนเพื่อพระเจ้า เพื่อที่พระเจ้าจะได้รักษาลูกชายของฉัน แต่ว่าเมื่อผ่านไปนานอาการป่วยของลูกชายก็ไม่ดีขึ้น ฉันก็เริ่มคับข้องหมองใจต่อพระเจ้า ฉันใช้การละทิ้งและการสละตนในอดีตของฉันมาเป็นเครื่องต่อรองกับพระเจ้า โต้เถียงและโวยวายใส่พระองค์ พร่ำบ่นว่าพระองค์ไม่ทรงคุ้มครองลูกชายฉัน และถึงกับปฏิเสธที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันเห็นความเห็นแก่ตัว ความเลวทราม และธรรมชาติการแสวงหาผลประโยชน์ของซาตานในตัวเองถูกเปิดโปงอย่างเต็มที่ ฉันกำลังใช้การละทิ้งและการสละตนเพื่อพระเจ้ามาเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องพระพรจากพระองค์ ฉันรู้ตัวว่าฉันกำลังเดินบนเส้นทางเดียวกันกับเปาโล เปาโลสละตนและยอมลำบากเพื่อพระเจ้าโดยคาดหวังบำเหน็จและมงกุฎ ด้วยการทำธุรกรรมกับพระเจ้า เขาฉ้อฉลและต้านทานพระเจ้า และท้ายที่สุดก็ต้องรับการกล่าวโทษและการลงโทษจากพระองค์ เมื่อคิดทบทวนถึงความเชื่อในพระเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมาของฉัน เนื่องจากไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง หรือแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ ฉันจึงถือเอาการสละตนเพื่อพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของฉันเป็นธุรกรรม ฉันได้เห็นว่าแท้จริงแล้วฉันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจแค่ไหน ไม่คู่ควรกับความรอดของพระเจ้าเอาเสียเลย!

จากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ “เจ้าก้าวผ่านการทดสอบของโยบ และในเวลาเดียวกัน เจ้าก้าวผ่านการทดสอบของเปโตร  เมื่อโยบได้ถูกทดสอบ เขาได้ยืนหยัดเป็นพยาน และในท้ายที่สุด พระยาห์เวห์ก็ได้รับการเปิดเผยต่อเขา  หลังจากเขาได้ยืนหยัดเป็นพยานเท่านั้นเขาจึงได้ควรค่าต่อการมองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า  เหตุใดจึงมีการพูดว่า ‘เราซ่อนเร้นจากแผ่นดินแห่งความโสมมแต่แสดงตัวของเราเองให้ราชอาณาจักรอันบริสุทธิ์เห็น’?  นั่นหมายความว่าเฉพาะเมื่อเจ้าบริสุทธิ์และยืนหยัดเป็นพยานเท่านั้นเจ้าจึงสามารถมีศักดิ์ศรีที่จะมองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าได้  หากเจ้าไม่สามารถยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์ได้ เจ้าก็ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะมองเห็นพระพักตร์ของพระองค์  หากเจ้าล่าถอยหรือทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้าในขณะเผชิญหน้ากับการถลุง ด้วยเหตุนั้นจึงล้มเหลวในการยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์และกลายเป็นตัวตลกของซาตาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับการทรงปรากฏของพระเจ้า  หากเจ้าเป็นเหมือนโยบ ผู้ซึ่งสาปแช่งเนื้อหนังของเขาเองและไม่ได้ร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้าท่ามกลางการทดสอบ และสามารถรังเกียจเนื้อหนังของเขาเองโดยปราศจากการร้องทุกข์คร่ำครวญหรือการทำบาปโดยผ่านทางคำพูดของเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะกำลังยืนหยัดเป็นพยาน  เมื่อเจ้าได้ก้าวผ่านการถลุงถึงระดับเฉพาะระดับหนึ่งและยังคงสามารถเป็นเหมือนโยบ ที่นบนอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทุกประการและปราศจากข้อพึงประสงค์อื่นใดต่อพระองค์หรือมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงปรากฏต่อเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  “ถึงแม้ว่าในบริบทที่แตกต่างกันไป พระเจ้าจะทรงใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อทดสอบแต่ละบุคคล แต่พระเจ้าก็ทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ในตัวอับราฮัม พระองค์ทอดพระเนตรเห็นว่าหัวใจของอับราฮัมนั้นซื่อตรง และการนบนอบของเขาก็ไม่มีเงื่อนไข  แน่นอนว่า ‘การไม่มีเงื่อนไข’ นี้นั่นเองที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา  ผู้คนมักจะกล่าวว่า ‘ฉันได้ถวายสิ่งนี้ไปแล้ว ฉันได้ยอมสละสิ่งนั้นไปแล้ว—เหตุใดพระเจ้าจึงยังคงไม่พึงพอพระทัยกับฉัน?  เหตุใดพระองค์ยังคงทรงคอยนำฉันไปสู่การทดสอบอยู่เรื่อยๆ?  เหตุใดพระองค์ยังคงทรงคอยทดสอบฉันอยู่เรื่อย?’  การนี้แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงหนึ่ง นั่นคือ  พระเจ้ายังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นหัวใจของเจ้า และยังไม่ได้ทรงได้มาซึ่งหัวใจของเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ยังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นความจริงใจดังเช่นเมื่อตอนที่อับราฮัมสามารถยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าบุตรชายของเขาด้วยมือของเขาเองและถวายเขาให้แก่พระเจ้าได้  พระองค์ยังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นการนบนอบโดยไม่มีเงื่อนไขของเจ้า และยังไม่ได้รับความชูใจจากเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พระเจ้าทรงคอยทดสอบเจ้าอยู่เรื่อยๆ(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า พระเจ้าทรงอวยพรให้ผู้ที่สละตนเพื่อพระองค์อย่างจริงใจ ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำอย่างไร พวกเขาก็นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการเรียกร้อง คำขอ หรือการปลอมปนส่วนตัวใดๆ นี่่เป็นคำพยานแท้จริง ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดถึงโยบ เขาแค่ได้ยินมาเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น แต่แล้วเมื่อเขาสูญเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมดและลูกทุกคนไป มีตุ่มฝีหนองเต็มตัว ขนาดภรรยาก็ยังเย้ยหยันเขา แต่เขายังคงยึดมั่นในหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เขากล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  โยบไม่ได้พยายามต่อรองหรือเรียกร้องสิ่งต่างๆ จากพระเจ้า แต่เขามีหัวใจอันบริสุทธิ์ต่อพระองค์ ฉันยังนึกถึงอับราฮัมด้วย เขาอายุร้อยปีตอนที่มีอิสอัค ลูกชายที่เขารักมาก เมื่อพระเจ้าทรงขอให้เขาถวายอิสอัคมาเป็นเครื่องบูชา ถึงเขาจะรู้สึกรักใคร่เอ็นดูลูกชาย แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตบนความรักใคร่เอ็นดูนี้ เขาถวายอิสอัคบนแท่นบูชาด้วยความเต็มใจ ความเชื่อและการนบนอบพระเจ้าของพวกเขานั้นเด็ดขาดและไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการต่อรองหรือเรียกร้อง สิ่งที่พวกเขาทำนั้นเป็นการติดตามหนทางของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้เป็นไปเพื่อพระพรหรือผลประโยชน์ส่วนตัว คำพยานของพวกเขานั้นน่ายกย่องชื่นชมอย่างแท้จริง แต่ฉันเข้าใจผิดมาโดยตลอด เมื่อเผชิญกับความเจ็บป่วยหรือเภทภัย ตราบใดที่ฉันยังทำหน้าที่ได้โดยไม่พร่ำบ่น ฉันคิดว่าพฤติกรรมที่ดีเหล่านี้จะเพียงพอต่อการตั้งมั่นในการเป็นพยานของฉันและสนองพระเจ้า แล้วฉันก็จะได้รับพระพรของพระองค์ แต่เบื้องหลังการสละตนของฉัน ไม่มีความจริงใจหรือการนบนอบต่อพระเจ้า การเสียสละของฉันถูกขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลังด้วยการฉ้อฉล การต่อรอง และการเรียกร้องสิ่งต่างๆ ไม่ใช่คำพยานที่เป็นของแท้เลย และพฤติกรรมนี้ก็เป็นที่น่ารังเกียจสำหรับพระเจ้าและไม่คู่ควรกับพระพรของพระองค์ ที่ผ่านมา ฉันเคยอ่านเรื่องคำพยานของโยบกับอับราฮัมมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ฉันไม่ได้สนใจเรื่องที่พวกเขาติดตามหนทางของพระเจ้า ยำเกรงพระองค์ หลบเลี่ยงความชั่ว และยังคงจงรักภักดีและนบนอบพระเจ้า กลับกัน ฉันมุ่งความสนใจไปที่พระพรที่พวกเขาได้รับหลังจากตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขา นี่ก็เป็นเพราะว่าฉันถูกขับเคลื่อนโดยธรรมชาติการแสวงหาผลประโยชน์ของซาตานในตัวฉัน ผ่านการเปิดโปงจากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้รับความรู้บางอย่างว่าคำพยานของแท้นั้นประกอบด้วยสิ่งใด

ต่อมา ฉันได้ตริตรองว่า ตลอดหลายปีของการเชื่อในพระเจ้า ฉันคิดอยู่ตลอดว่า ถ้าฉันสละตนและเสียสละเพื่อพระเจ้า พระเจ้าก็ควรจะอวยพรฉัน นี่คือสิ่งที่เป็นความชอบธรรมของพระเจ้า ดังนั้น พออาการป่วยของลูกชายไม่ดีขึ้น ซ้ำร้ายยังแย่ลงอีก หัวใจฉันก็เต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นและความเข้าใจผิด และถึงกับปฏิเสธหน้าที่ของตัวเอง ฉันพยายามหาวิธีจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างถูกต้อง ในระหว่างการแสวงหา ฉันพบพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ความชอบธรรมไม่ใช่ความเป็นธรรมหรือความมีเหตุผลแต่อย่างใด ความชอบธรรมไม่ใช่สมภาคนิยม หรือเรื่องของการจัดสรรสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับให้แก่เจ้าโดยสอดคล้องกับการที่เจ้าได้ทำงานให้ครบบริบูรณ์ไปมากเท่าใด หรือการจ่ายให้เจ้าสำหรับงานใดก็ตามที่เจ้าได้ทำไป หรือการให้สิทธิอันควรแก่เจ้าไปตามความพยายามอันใดที่เจ้าสละ  นี่ไม่ใช่ความชอบธรรม  หากแต่เป็นเพียงการปฏิบัติที่เป็นธรรมและมีเหตุผล  มีน้อยคนนักที่สามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  สมมุติว่าพระเจ้าทรงกำจัดโยบทิ้งหลังจากที่โยบเป็นพยานเพื่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว การทำแบบนี้ชอบธรรมหรือไม่?  อันที่จริง การทำแบบนี้ชอบธรรม  เหตุใดจึงเรียกการทำแบบนี้ว่าความชอบธรรม?  มนุษย์มองความชอบธรรมอย่างไร?  หากบางสิ่งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน เช่นนั้นก็ย่อมง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่า พระเจ้าทรงชอบธรรม อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นการอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา—หากนั่นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะจับใจความได้—เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม  เมื่อย้อนกลับไปตอนนั้น หากพระเจ้าได้ทรงทำลายโยบไป ผู้คนก็คงจะไม่ได้กล่าวว่าพระองค์ทรงชอบธรรม  ถึงกระนั้นก็ตาม อันที่จริงแล้วไม่ว่าผู้คนได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งหรือไม่ พระเจ้าจำเป็นต้องหาเหตุผลให้กับพระองค์เองในตอนที่พระองค์ทรงทำลายพวกเขากระนั้นหรือ?  พระองค์ควรจำเป็นต้องอธิบายต่อผู้คนกระนั้นหรือ ว่าพระองค์ทรงทำดังนั้นไปบนพื้นฐานใด?  พระเจ้าต้องตรัสแจ้งผู้คนถึงกฎเกณฑ์ที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้หรือ?  ไม่มีความจำเป็นเลย  ในพระเนตรของพระเจ้านั้น ใครบางคนที่เสื่อมทรามและมีโอกาสต่อต้านพระเจ้า เป็นคนที่ไม่มีค่าใด ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการพวกเขาอย่างไรย่อมจะเป็นการสมควร และทั้งหมดล้วนเป็นการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  หากเจ้าไม่เป็นที่น่ายินดีในสายพระเนตรของพระเจ้า และหากพระองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ของเจ้าแล้วหลังจากคำพยานของเจ้า เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงทำลายเจ้า นี่จะเป็นความชอบธรรมของพระองค์ด้วยหรือไม่?  นี่เป็นความชอบธรรม  เจ้าอาจจะไม่มีความสามารถที่จะระลึกได้ถึงการนี้ในตอนนี้จากข้อเท็จจริงทั้งหลาย แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจในคำสอน… ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนชอบธรรม  แม้มนุษย์อาจจะไม่สามารถรับรู้ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ก็ตาม แต่พวกเขาไม่ควรทำการตัดสินตามใจชอบ  หากบางสิ่งที่พระองค์ทรงทำปรากฏแก่มนุษย์ทั้งหลายว่าไร้เหตุผล หรือหากพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดใดเกี่ยวกับเรื่องนั้น และนั่นทำให้พวกเขากล่าวว่าพระองค์ทรงไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กําลังไร้เหตุผลอย่างที่สุด  เจ้าก็เห็นว่าเปโตรพบบางสิ่งไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เขาแน่ใจว่าพระปัญญาของพระเจ้าสถิตอยู่และมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ในสิ่งเหล่านั้น  มนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึงทุกสิ่งได้ มีสิ่งต่างๆ มากมายเหลือเกินที่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจ  ดังนั้น การรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  เมื่อได้คิดทบทวนถึงการเปิดโปงของพระเจ้า ฉันก็รู้ตัวว่าฉันไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ฉันเคยคิดว่า ถ้าเราสละตนเพื่อพระเจ้าและตั้งมั่นในการเป็นพยานของเรา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะควรอวยพรเรา ขจัดความลำบากยากเย็นและความเจ็บปวดทั้งหมดของเราไป และให้เราใช้ชีวิตในพระพรของพระองค์ แบบนี้ดูเป็นธรรมและมีเหตุผลสำหรับฉัน ฉันคิดว่านี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า แต่ว่าความเข้าใจแบบนี้ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์ พระเจ้าเป็นพระผู้สร้าง และมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง วิธีที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเราเป็นเรื่องของพระองค์เอง และเราไม่ควรเรียกร้องสิ่งใดที่ไม่สมเหตุสมผลจากพระเจ้า เหมือนกับตอนที่โยบตั้งมั่นในคำพยานของเขา การที่พระเจ้าทรงอวยพรโยบคือความชอบธรรมของพระองค์ และต่อให้พระองค์ไม่ทรงอวยพรโยบ พระองค์ก็ยังคงชอบธรรม แก่นแท้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าคือความชอบธรรม แต่ฉันมองไม่เห็นสิ่งนี้ ฉันเชื่อว่าความชอบธรรมหมายถึง ความสมภาคนิยม ความเป็นธรรม และความมีเหตุผล ฉันคิดว่าถ้าฉันเสียสละเพื่อพระเจ้า ฉันก็ควรได้รับพระพรเป็นบำเหน็จ วิธีคิดนี้เต็มไปด้วยธุรกรรม ตอนที่ลูกชายล้มป่วย ถึงแม้ฉันจะเพียรพยายามทำหน้าที่ แต่ฉันก็มีเป้าหมายส่วนตัวอยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ นั่นคือการเรียกร้องพระคุณจากพระเจ้า เพื่อให้พระองค์ทรงขจัดความเจ็บป่วยของลูกชายฉัน จริงๆ แล้วนี่คือการทำธุรกรรม ไม่ใช่การเป็นพยาน ถ้าไม่ใช่เพราะลูกป่วย เจตนาอันเลวทรามของฉันในการต่อรองกับพระเจ้าก็คงไม่ถูกเปิดโปง ฉันเห็นพระปัญญาของพระเจ้าในการทรงงาน และรู้ตัวว่าฉันขาดมโนธรรมและเหตุผล ดังนั้น ฉันจึงตั้งมั่นว่า ไม่ว่าลูกฉันจะเจ็บป่วยอย่างไร ฉันก็จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และลุล่วงในหน้าที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่  หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา  การได้รับพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา  การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำเป็นอย่างน้อย  เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์)  พระวจนะของพระเจ้าให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ฉันว่า การทำหน้าที่ของคนเราเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมา ไม่เกี่ยวกับพระพรหรือโชคชะตาร้าย แต่เป็นสิ่งที่เราควรทำ เมื่อก่อน ฉันใช้ชีวิตอยู่กับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน โดยเชื่อว่าถ้าฉันเพียรพยายามในหน้าที่ ฉันก็สมควรได้รับพรจากพระเจ้า และพระเจ้าก็ควรคุ้มครองให้ครอบครัวของฉันปลอดภัย ตอนนี้ ฉันเข้าใจแล้วว่านี่เป็นมุมมองที่ผิดพลาด ไม่ว่าอาการป่วยของลูกฉันจะดีขึ้นหรือไม่ ฉันก็ไม่ควรต่อรองกับพระเจ้า นับแต่นั้นมา ฉันก็เต็มใจนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมของพระเจ้า และลุล่วงในหน้าที่และความรับผิดชอบของฉัน สามวันต่อมา ฉันได้รับจดหมายจากผู้นำระดับสูง ซึ่งระบุว่ามีงานเร่งด่วนให้ฉันทำ แม้ว่าฉันไม่เต็มใจจะทิ้งลูกไป แต่ฉันก็เข้าใจว่าฉันไม่ควรเอาแต่ใช้ชีวิตอยู่บนความรักใคร่เอ็นดูเพียงอย่างเดียว ฉันมีพันธกิจของตัวเองที่ต้องลุล่วง และการเจ็บป่วยของลูกก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉันยินดีที่จะวางใจมอบลูกไว้กับพระเจ้าและนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมของพระองค์ หลังจากนั้น ฉันก็ไปทำหน้าที่

สามเดือนต่อมา ฉันกลับมาบ้านเพื่อเยี่ยมลูกชาย และได้รู้ว่าสามีของฉันพาเขาไปหาหมอในชนบทเพื่อรับการรักษา อาการบวมที่ขาของลูกลดลง และอาการก็ค่อยๆ ดีวันดีคืน ตอนสิ้นปี คุณหมอบอกว่า “เด็กคนนี้ฟื้นตัวเร็วมาก อาการป่วยของเขาหายแล้ว” พอได้ยินผลการรักษา ฉันก็ตื่นเต้นมากเสียจนไม่รู้จะบรรยายยังไง

หลังจากประสบการณ์นี้ ฉันได้รับความรู้บางอย่างเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ฉันยังตระหนักด้วยว่า การไล่ตามเสาะหาความจริงและการลุล่วงในหน้าที่ของคนเราในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้า เราไม่ควรขอผลประโยชน์ทางกายภาพ ความสงบสุขในครอบครัว การพ้นจากความเจ็บป่วยและวิบัติ หรือจุดจบและบั้นปลายที่ดีจากพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผล เราไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ด้วยการพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันในความเชื่อของเรา มีเพียงการผ่านประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า ตลอดจนบททดสอบและการถลุงเท่านั้น เราถึงจะได้รับความจริง ทิ้งความเสื่อมทราม และใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างแห่งการทรงสถิตของพระเจ้า ถึงแม้ว่าฉันสู้ทนกับความเจ็บปวดและการถลุงมาบ้างผ่านการเจ็บป่วยของลูกชาย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ได้เปิดโปงความไม่บริสุทธิ์อันเสื่อมทรามที่ติดตัวฉันมายาวนาน รวมทั้งมุมมองคลาดเคลื่อนที่ฉันยึดถือเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า ประสบการณ์นี้ช่วยให้ฉันรู้จักตัวเอง แสวงหาความจริง และตระหนักว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบคำพยานประเภทใด เป็นสิ่งที่ช่วยให้ฉันแก้ไขมุมมองที่ผิดพลาดของตัวเองได้ทันท่วงที และเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง นี่คือความโปรดปรานที่พระเจ้ามีต่อฉัน!

ก่อนหน้า:  50. ใครกันที่ขวางฉันบนเส้นทางสู่ราชอาณาจักรสวรรค์?

ถัดไป:  54. เบื้องหลังคำโกหกของฉัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger