15. ทางเลือกของผู้จัดการฝ่ายขายคนหนึ่ง

โดย เย่ชิว สหราชอาณาจักร

ฉันเกิดในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนใต้ของจีน พ่อของฉันเป็นหมอที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในพื้นที่ และครอบครัวของเราก็มีฐานะค่อนข้างดี ตั้งแต่อายุยังน้อย ฉันมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกเหนือกว่า ตั้งแต่ที่จำความได้ พ่อมักจะสอนฉันว่า “คนเราต้องสู้ทนความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงที่สุดจึงจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ฉันฟังเรื่องราวการเดินทางของพ่อจากชนบทสู่การตั้งตัวในเมือง เห็นว่ามีคนมาเยี่ยมบ้านเราเสมอเพื่อประจบประแจงพ่อ และเฝ้าดูผู้คนชื่นชมและต้อนรับพ่ออย่างอบอุ่นไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนอายุยังน้อย ฉันค่อยๆ เข้าใจคุณค่าของการเหนือกว่าคนอื่น และก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นคนมีสถานะที่คนอื่นจะชื่นชมและนับถือ แต่เมื่อฉันอายุ 12 ปี พ่อของฉันถูกจำคุกเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าดำเนินธุรกิจที่ผิดกฎหมาย และบ้านที่เคยคึกคักของเราก็พลันเงียบเหงาลง เหลือเพียงแม่ น้องสาว และฉันที่ต้องพึ่งพากันและกัน คนเหล่านั้นที่เคยมีน้ำใจกับเราก็หายหน้าหายตาไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นความยากลำบากที่แม่ต้องทนทุกข์กับการวิ่งเต้นกู้ยืมเงิน ฉันก็รู้สึกอ้างว้างใจอย่างยิ่ง และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องขยันเรียนและโดดเด่นให้ได้ เพื่อที่ฉันจะได้ใช้ชีวิตที่น่าอิจฉาและน่าชื่นชมในฐานะคนที่เหนือกว่าคนอื่น และเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของเรากลับคืนมา ความพยายามอย่างหนักของฉันสัมฤทธิ์ผล และในที่สุดฉันก็เข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ฉันก็ยังไม่กล้านอนใจ คำพูดของพ่อที่ว่า “คนเราต้องสู้ทนความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงที่สุดจึงจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” คอยกระตุ้นฉันอยู่เสมอ ฉันเชื่อว่าถ้าฉันขยันขันแข็งต่อไป วันหนึ่งฉันจะประสบความสำเร็จและได้รับทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในปี 2006 ฉันก็มาเซี่ยงไฮ้คนเดียวและเริ่มทำงานฝ่ายขายที่บริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อให้ได้ยอดสั่งซื้อมากขึ้น ฉันจึงเดินทางไปยังเมืองอื่นเป็นประจำเพื่อพบปะลูกค้า เพราะอาการเมารถ การเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ทำให้ฉันอ่อนเพลียมาก และหลังจากลงจากรถ ฉันยังต้องรวบรวมพละกำลังทั้งหมดเพื่อไปพบลูกค้า นอกจากความเหนื่อยล้าทางกายแล้ว การเลี้ยงรับรองทางธุรกิจและการติดต่อกับเพื่อนร่วมงานและลูกค้าอยู่ตลอดก็ทำให้ฉันเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเดิม เพื่อให้ได้ยอดสั่งซื้อจากลูกค้า ฉันซื้อหนังสือทฤษฎีหน้าหนาใจดำและวิถีแห่งหมาป่า จากหนังสือเหล่านี้ ฉันได้เรียนรู้กฎลับในวงการและวิถีในทางโลกมากมาย ต่อมา ที่ทำงาน ภายใน ฉันแข่งขันกับเพื่อนร่วมงานทั้งต่อหน้าและลับหลังเพื่อเอาชนะพวกเขา ภายนอก ฉันไม่เพียงแต่ประจบประแจงลูกค้า แต่ยังให้เงินใต้โต๊ะและทำข้อตกลงลับๆ กับพวกเขาด้วย ตอนแรก ฉันไม่สบายใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ถ้าเรื่องแดงขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะทำให้บริษัทเสียชื่อ แต่อาจทำให้ฉันติดคุกด้วย ดังนั้นฉันจึงกระวนกระวายใจทุกวัน เมื่อความกดดันมากเกินไป ฉันมักจะสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้ายกลางดึก ฉันใช้ชีวิตอยู่กับความกลัวและความไม่สบายใจทุกวัน บางครั้ง ดึกๆ เมื่อทุกอย่างเงียบสงัด ฉันจะคิดว่า “ความกดดันในงานขายมันมากเกินไป บางทีฉันควรจะเปลี่ยนอาชีพ” แต่แล้วฉันก็จะคิดในใจว่า “คนเราต้องสู้ทนความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงที่สุดจึงจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” และฉันจะให้กำลังใจตัวเองว่า “ถ้าฉันต้องการประสบความสำเร็จ ฉันต้องทนต่อความเจ็บปวดเหล่านี้ ไม่อย่างนั้น เมื่อไหร่ฉันจะสามารถประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยคนเก่งๆ เมืองนี้ได้ล่ะ?” ดังนั้นฉันจึงพากเพียรต่อไป สองปีต่อมา ฉันเปลี่ยนจากพนักงานใหม่ในที่ทำงานมาเป็นแชมป์ฝ่ายขายของทีม ฉันไม่เพียงแต่ได้รับการเห็นคุณค่าจากหัวหน้าและเป็นที่อิจฉาของเพื่อนร่วมงาน แต่เงินเดือนของฉันก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย และในที่สุดฉันก็ได้ใช้ชีวิตแบบพนักงานออฟฟิศตามที่เคยปรารถนา แม่บอกฉันอย่างมีความสุขว่า “ลูกรัก ในที่สุดคืนวันที่ยากลำบากของเราสิ้นสุดลงแล้ว ตอนนี้ลูกได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว เราไม่ต้องกลัวถูกรังแกอีกต่อไป แม่รู้สึกเหมือนแม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้ ลูกต้องทำงานหนักต่อไปนะ!” ฉันแอบบอกตัวเองว่า “ฉันไม่เพียงแต่ต้องซื้อบ้านและรถในเซี่ยงไฮ้ แต่ฉันยังต้องเป็นผู้นำในวงการเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตที่น่านับถือไปอีกนาน”

ในปี 2008 ไม่นานหลังจากแต่งงาน พ่อแม่สามีของฉันได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายแก่ฉัน หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันซาบซึ้งอย่างสุดซึ้งในพระราชกิจสามช่วงระยะของพระเจ้าในการช่วยมนุษยชาติให้รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฉันเห็นว่าพระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงออกมาคือความจริง และได้เปิดเผยความล้ำลึกมากมายที่มนุษยชาติไม่รู้ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรึงใจฉันอย่างลึกซึ้ง และฉันกับสามีก็ได้ยอมรับข่าวประเสริฐร่วมกัน หลังจากได้พบพระเจ้า เราก็มาชุมนุมกัน อ่านพระวจนะของพระเจ้า และร้องเพลงนมัสการเพื่อสรรเสริญพระเจ้า พี่น้องชายหญิงยังได้แบ่งปันความเข้าใจจากประสบการณ์ของพวกเขากับเราด้วย ฉันเห็นว่าพวกเขาแต่ละคนบริสุทธิ์และเรียบง่ายเพียงใด แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากคนที่ฉันมีปฏิสัมพันธ์ด้วยในที่ทำงาน ในหมู่พวกเขาไม่มีการประจบสอพลอหรือแทงข้างหลังกัน และพวกเขาต่างเปิดใจพูดคุยกัน ฉันดีใจที่ได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา และยังได้มาชุมนุมและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าด้วย

ในเดือนมิถุนายน ปี 2008 ฉันกับสามีกู้เงินซื้อบ้าน และเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมชั้น และสมาชิกในครอบครัวต่างก็มองเราด้วยความอิจฉา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพื่อนบ้านรู้ว่าเราเป็นคนต่างถิ่นที่ซื้อบ้านหลังจากอยู่ได้เพียงสองปี พวกเขาก็ยิ่งชื่นชมและยกย่องเรามากขึ้นไปอีก ฉันรู้สึกปลื้มใจมาก คิดว่าตัวเองกำลังเข้าใกล้ชีวิตคนเหนือคนที่ฉันใฝ่ฝันมาตลอด ต่อมา ฉันได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ตำแหน่งบนนามบัตรของฉันเปลี่ยนเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย และห้องทำงานของฉันก็ย้ายจากมุมเล็กๆ ไปยังพื้นที่ที่โดดเด่นและเป็นสัดส่วนมากขึ้น เพื่อนร่วมงานจะพยักหน้าและทักทายฉันด้วยความเคารพ และลูกค้าก็เรียกฉันว่าผู้จัดการเย่ด้วย ฉันเดินตัวตรง รู้สึกในทันทีว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น และเพลิดเพลินกับความรู้สึกของการเหนือกว่าผู้อื่นนี้มาก ในตอนนั้น นอกจากเวลาที่เข้าร่วมการชุมนุมแล้ว ฉันใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการทำงาน ฉันคิดแต่จะหาเงินให้ได้เร็วๆ เพื่อใช้หนี้เงินกู้ จะได้ซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้นและพาแม่มาอยู่ด้วยกัน เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินกับชีวิตคนเหนือคนแบบนี้กับเราด้วย เมื่อบริษัทใหญ่ขึ้น กฎระเบียบก็เข้มงวดและซับซ้อนมากขึ้น และในฐานะผู้จัดการฝ่ายขาย ฉันต้องมีส่วนร่วมและดำเนินกิจกรรมการประเมินผลต่างๆ ของบริษัท ในสถานการณ์นี้ ฉันตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าฉันทำงานของตัวเองที่บริษัทได้ดี มันก็จะขัดขวางชีวิตคริสตจักรของฉัน แต่ถ้าฉันดำเนินชีวิตคริสตจักร งานของฉันก็จะได้รับผลเสีย และถ้าฉันทำงานได้ไม่ดี ชีวิตคนเหนือคนที่ฉันมีอยู่ตอนนี้ก็จะหายไปอย่างแน่นอน ตอนแรก ฉันยังคงไปร่วมการชุมนุมได้ แต่วันหนึ่ง ฉันได้ยินจากเพื่อนร่วมงานว่าลูกน้องของฉันแอบคุยกันว่าฉันเลิกงานตรงเวลาทุกวัน ไม่มีมาดความเป็นผู้นำเลย พวกเขายังบอกด้วยว่าฉันต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างแน่ๆ เพื่อเอาใจเบื้องบนจนได้ตำแหน่งนี้มา เมื่อได้ยินความคิดเห็นเหล่านี้ ฉันรู้สึกกลัดกลุ้มและไม่สบายใจมาก พลางคิดว่า “ตอนนี้การแข่งขันในตลาดดุเดือดมาก ถ้าฉันไม่ทำงานให้หนักขึ้นเพื่อรักษาตำแหน่งนี้ไว้ สักวันหนึ่งอาจมีคนมาแทนที่ฉัน และงานกับชีวิตอันทรงเกียรติ น่านับถือ และน่าอิจฉานี้ที่ฉันดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้ได้มาก็จะสูญสิ้นไป แบบนั้นไม่ได้การ ฉันต้องทำอะไรสักอย่างที่เป็นรูปธรรม” หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มลดเวลาการเฝ้าเดี่ยวในช่วงเช้า และบางครั้งฉันก็ไม่มีเวลาเฝ้าเดี่ยวและต้องรีบไปทำงาน หลังเลิกงาน ถ้าไม่มีการชุมนุม ฉันจะพยายามอยู่ที่บริษัทและทำงานล่วงเวลา นอกจากนั้น ฉันจะพยายามเข้าร่วมการเลี้ยงรับรองทุกมื้อกับเบื้องบนและลูกค้า และต้องแสร้งยิ้มขณะอยู่กับพวกเขา จริงๆ แล้ว ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และฉันรู้สึกขยะแขยงตัวเองที่ประจบประแจงคนอื่นแบบนี้ แต่เมื่อฉันคิดว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ ฉันก็ทำได้เพียงทำต่อไป

ในช่วงเวลานั้น ฉันมักจะไปถึงการชุมนุมในนาทีสุดท้ายเสมอ และถึงกับมีบางครั้งที่ฉันไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้เพราะต้องเดินทางเรื่องงานหลายวัน ทุกครั้งที่พี่น้องชายหญิงถามถึงสภาวะของฉัน ฉันจะรู้สึกผิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ กิจวัตรที่ไม่ปกติในระยะยาวและความกดดันทางจิตใจทำให้สุขภาพของฉันย่ำแย่ลง ตอนแรกเป็นแค่ผมร่วง แต่ต่อมาน้ำหนักฉันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และขาส่วนล่างก็เต็มไปด้วยจุดสีม่วง หลังจากไปตรวจที่โรงพยาบาล ฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไขมันในเลือดสูงและโรคหลอดเลือดอักเสบจากการแพ้ หมอบอกว่าอาการป่วยของฉันเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอาชีพของฉัน และความกดดันในการทำงานมหาศาลกับกิจวัตรที่ไม่ปกติได้ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงรับรองทางธุรกิจบ่อยครั้งและอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้นำไปสู่ความผิดปกติของการเผาผลาญ พวกเขาบอกว่าถ้าฉันยังคงใช้ชีวิตแบบนี้และยังคงอยู่ในสภาวะจิตใจแบบนี้ อาการมีแต่จะแย่ลง ซึ่งจะนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด และอาจถึงกับมีอันตรายถึงชีวิต ฉันกังวลเรื่องสุขภาพของตัวเอง แต่ก็รู้สึกหมดหนทาง พลางคิดว่า “ในสังคมปัจจุบัน การที่จะเป็นคนเหนือคนอื่นได้นั้น คนเราต้องจ่ายราคา มีได้ก็ต้องมีเสีย ถ้าวันหนึ่งฉันไม่มีความกดดันและไม่ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงของที่ทำงาน ฉันก็จะไม่ใช่ผู้นำอีกต่อไปอย่างแน่นอน ฉันยังสาว ร่างกายของฉันยังรับไหว และฉันจะผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ก่อน”

วันหนึ่งในเดือนเมษายน ปี 2009 ผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งถามฉันว่า “คุณเต็มใจที่จะทำหน้าที่ให้น้ำผู้มาใหม่ไหม?” ฉันคิดว่าการทำหน้าที่ของคนเราเป็นความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกคน และผ่านการทำหน้าที่ เราจะสามารถเข้าใจความจริงได้มากขึ้น ฉันจึงตอบตกลงด้วยความยินดี แต่เมื่อฉันรู้ว่าจะมีการชุมนุมเกือบทุกคืน ฉันก็ลังเล “บริษัทประเมินจำนวนการพบปะลูกค้าอยู่ตลอดเวลา แถมฉันยังต้องรับผิดชอบเรื่องนำทางการขายของแผนกด้วย ถ้าฉันมีการชุมนุมทุกวัน ฉันจะทำงานของฉันได้อย่างไร? ถ้าฉันจัดการทีมได้ไม่ดีและทำยอดขายไม่ได้ถึงเป้า ฉันก็จะไม่สามารถเป็นผู้จัดการฝ่ายขายต่อไปได้อย่างแน่นอน แล้วตำแหน่งผู้จัดการและชีวิตที่มั่นคงสุขสบายที่ฉันทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้มาจะไม่หายไปหรอกหรือ? จะไม่ยากยิ่งขึ้นไปอีกหรือที่จะก้าวหน้าในอนาคต?” เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันจึงพูดกับพี่น้องหญิงว่า “ฉันต้องขอคิดเรื่องนี้อีกหน่อย” ในช่วงสองสามวันถัดมา ฉันครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ตลอด ฉันนอนไม่ค่อยหลับในตอนกลางคืน และรู้สึกสับสนและทุกข์ใจ

ระหว่างการชุมนุม ฉันได้แบ่งปันความทุกข์ใจของฉันกับพี่น้องชายหญิง และเราได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ติดเชื้อจากสังคมในระดับที่รุนแรง  เขาได้รับกำหนดเงื่อนไขจากจริยธรรมแบบศักดินา และได้รับการศึกษาจาก ‘สถาบันอุดมศึกษา’ การคิดอ่านที่ล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม การมองชีวิตที่เสื่อมถอย ปรัชญาที่น่าดูหมิ่นของการติดต่อเจรจาทางโลก การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และขนบธรรมเนียมและชีวิตในแต่ละวันอันต่ำทราม—ทั้งหมดนี้ได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรงมาโดยตลอด  ผลก็คือ มนุษย์ออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ อุปนิสัยของมนุษย์ไร้ความปรานีขึ้นทุกวัน และไม่มีสักคนที่จะเต็มใจยอมสละสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้า ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจนบนอบพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มนุษย์ไล่ตามไขว่คว้าความยินดีอย่างเต็มหัวใจของเขาภายใต้อำนาจของซาตาน และทำให้เนื้อหนังของพวกเขาเสื่อมทรามในปลักตมที่ไม่อาจหลุดพ้น  แม้คราที่พวกเขาได้ยินความจริง พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดก็ไม่มีความปรารถนาที่จะปฏิบัติความจริง และพวกเขาก็ไม่มีแนวโน้มที่จะแสวงหาแม้เมื่อพวกเขาเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงปรากฏแล้วก็ตาม  มวลมนุษย์ที่ต่ำทรามเช่นนี้จะสามารถมีช่องที่จะได้รับความรอดได้อย่างไร?  มวลมนุษย์ที่เสื่อมศีลธรรมเช่นนี้จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างได้อย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า)  “เป็นเวลาหลายสิบ หลายพัน หลายหมื่นปีจนถึงตอนนี้ ผู้คนได้สิ้นเปลืองเวลาของพวกเขาในหนทางนี้ตลอดมา โดยไม่มีผู้ใดสร้างชีวิตที่เพียบพร้อม เจตนาทั้งหมดอยู่ที่การสังหารกันและกันในโลกที่มืดมิดนี้บนการแข่งขันเพื่อชื่อเสียงและโชควาสนา และการวางอุบายต่อต้านกันและกันเท่านั้น  มีผู้ใดเคยแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าบ้าง?  มีผู้ใดเคยใส่ใจกับพระราชกิจของพระเจ้าไหม?  ทุกส่วนของมนุษยชาติที่ติดพันด้วยอิทธิพลของความมืดได้กลายเป็นธรรมชาติของมนุษย์มานานแล้ว และดังนั้นจึงค่อนข้างยากที่จะดำเนินพระราชกิจของพระเจ้า และผู้คนมีหัวใจที่ให้ความสนใจต่อสิ่งที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบให้กับพวกเขาในวันนี้น้อยลงไปอีก(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (3))  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เริ่มคิดอย่างจริงจัง เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันได้รับอิทธิพลมาตั้งแต่เด็กจากแนวคิดที่ว่า “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” และ “คนเราต้องสู้ทนความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงที่สุดจึงจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ฉันตั้งใจแน่วแน่ที่จะโดดเด่น สร้างชื่อให้ตัวเอง และใช้ชีวิตคนเหนือคนหลังจากโตขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ฉันอ่านหนังสือจนดึกดื่นในช่วงที่เป็นนักเรียน และหลังจากเริ่มทำงาน ฉันก็ยอมลดทอนหลักธรรมของตัวเองเพื่อที่จะได้มีที่ยืน โดยหันไปทำข้อตกลงลับๆ กับลูกค้าเพื่อให้ได้ยอดสั่งซื้อ ฉันกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าการกระทำของฉันจะถูกเปิดโปงและฉันจะตกอับ และความกดดันมหาศาลก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของฉัน เมื่อฉันได้รับเงินเดือนสูงและตำแหน่งที่ฉันใฝ่ฝันมาตลอด และเป็นที่ชื่นชมและอิจฉาของคนรอบข้าง เพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองให้มั่นคง ฉันยังคงวางแผนและแข่งขันกับเพื่อนร่วมงาน ประจบประแจงลูกค้าและเบื้องบน และคลุกคลีอยู่กับงานเลี้ยงต่างๆ ของที่ทำงานทุกวัน กิจวัตรที่ไม่ปกติและวิถีชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพเป็นเวลานานทำให้ร่างกายของฉันแสดงสัญญาณเตือนออกมา แต่เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ ฉันไม่กล้าหยุด แม้ว่าฉันจะรู้ว่าการชื่นชมและการประจบประแจงของคนอื่นเต็มไปด้วยความจอมปลอม และแม้ว่าฉันจะรู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบการกระทำที่หลอกลวงและคำโกหกของฉัน ฉันก็ไม่สามารถละทิ้งการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ได้ แม้ว่ามันจะหมายถึงการเสียสละสุขภาพของฉัน พลาดการชุมนุม และขัดขวางการเติบโตในชีวิตของฉัน ฉันก็ยังเลือกที่จะรักษางานของฉันไว้อย่างระมัดระวัง ซึ่งทำให้ฉันต้องใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดและทรมานทุกวัน จากนั้นฉันก็ครุ่นคิดว่า “การมีตำแหน่งสูงหรือความมั่งคั่งมากขึ้นจะมีประโยชน์อะไร?” ฉันคิดถึงคนดัง คนรวย และคนรู้จักของฉัน ซึ่งหลังจากได้รับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะแล้ว ก็แสวงหาความตื่นเต้นเพราะความว่างเปล่าภายใน บางคนจงใจละเมิดกฎหมายและถูกจำคุก บางคนละเมิดกฎศีลธรรม ทำให้ครอบครัวแตกแยกและชื่อเสียงพังพินาศ และบางคนถึงกับเลือกฆ่าตัวตายและพบว่าตัวเองไม่มีทางไปต่อ พ่อของฉันเป็นตัวอย่างที่ยังมีชีวิตของเรื่องนี้ ท่านเคยมีเกียรติยศไร้ขีดจำกัด และได้รับการยกย่องและชื่นชมจากผู้อื่นอย่างกว้างขวาง แต่ความโลภของท่านนำท่านไปสู่การตามกระแสชั่วร้าย และในที่สุด ท่านก็ทำผิดกฎหมายในการดำเนินธุรกิจและถูกจำคุก ฉันเห็นว่าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเป็นเครื่องมือที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ในขณะนั้น ฉันตระหนักว่าแม้ฉันจะดูเหมือนเชื่อในพระเจ้า แต่จริงๆ แล้วฉันยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์เพื่อล่อลวงและทรมานฉัน ทำให้ฉันใช้ชีวิตโดยปราศจากความซื่อตรงและศักดิ์ศรี หรือแม้แต่จิตสำนึกผิดชอบชั่วดีขั้นพื้นฐานที่สุด ฉันตระหนักว่าการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะจะทำให้ฉันหลงทาง ตกสู่ความเสื่อมทราม และในที่สุดก็จะละทิ้งและทรยศพระเจ้า และสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอด

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมดังนี้ “พวกผู้ชายและผู้หญิงเหล่านั้นที่สำราญในชื่อเสียงและผลประโยชน์ส่วนตัวและไล่ตามเสาะหาสถานะส่วนตัวท่ามกลางคนอื่น พวกผู้คนที่ไม่กลับใจเหล่านั้นที่ติดกับดักอยู่ในบาป—พวกเขาทั้งหมดไม่เกินกว่าจะได้รับความรอดหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7))  “พวกเจ้าอยู่ในรูปการณ์แวดล้อมเดียวกันกับเรา กระนั้นพวกเจ้าก็ถูกปกคลุมด้วยความโสมม เจ้าไม่มีแม้แต่เสี้ยวเล็กสุดของสภาพเสมือนดั้งเดิมของเหล่ามนุษย์ที่ทรงสร้างในปฐมกาลบรรจุอยู่เลย  ยิ่งไปกว่านั้น เพราะทุกวันพวกเจ้าเลียนแบบสภาพเสมือนของจิตวิญญาณไม่สะอาดเหล่านั้น ทำสิ่งที่พวกเขาทำ และพูดสิ่งที่พวกเขาพูด ทุกส่วนของพวกเจ้า—แม้แต่ลิ้นและริมฝีปากของพวกเจ้า—จึงเปียกชุ่มด้วยน้ำเน่าของพวกเขา จนถึงจุดที่พวกเจ้าถูกปกคลุมด้วยคราบเช่นนี้จนทั่วไปหมด และไม่มีส่วนใดของเจ้าเลยที่สามารถนำมาใช้กับงานของเราได้  มันช่างเจ็บปวดหัวใจนัก!  พวกเจ้าอาศัยอยู่ในโลกแห่งอาชาและฝูงปศุสัตว์เช่นนี้ กระนั้นตามที่เป็นจริงแล้ว พวกเจ้าไม่รู้สึกเดือดร้อนใจเลย เจ้าเต็มไปด้วยความชื่นบานและใช้ชีวิตอย่างอิสระและง่ายดาย  เจ้ากำลังว่ายวนไปมาในน้ำเน่านั่น กระนั้นเจ้าไม่ได้ตระหนักอย่างจริงแท้ว่าเจ้าได้ตกสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนั้นแล้ว  ทุกวันเจ้าคบหาสมาคมกับพวกวิญญาณไม่สะอาด และมีปฏิสัมพันธ์กับ ‘สิ่งปฏิกูล’  ชีวิตของพวกเจ้าค่อนข้างหยาบช้าเลยทีเดียว หนำซ้ำพวกเจ้าก็ไม่ได้ตระหนักรู้อย่างจริงแท้ว่า เจ้าไม่ดำรงอยู่ในโลกมนุษย์โดยสิ้นเชิง และว่าเจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าชีวิตของเจ้าได้ถูกเหยียบย่ำโดยพวกวิญญาณไม่สะอาดเหล่านั้นมานานแล้ว หรือว่าบุคลิกลักษณะของเจ้าถูกน้ำเน่าทำให้มัวหมองมานานแล้ว?  เจ้าคิดหรือว่าเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในสวรรค์บนดิน และว่าเจ้าอยู่ท่ามกลางความสุข?  เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าเจ้าได้ใช้ชีวิตเคียงข้างวิญญาณไม่สะอาด และว่าเจ้าได้อยู่ร่วมกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้ตระเตรียมไว้ให้เจ้า?  วิธีที่เจ้าใช้ชีวิตจะสามารถมีความหมายอันใดได้อย่างไร?  ชีวิตของเจ้าจะสามารถมีคุณค่าอันใดได้อย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าทั้งหมดมีบุคลิกลักษณะต่ำช้าเหลือเกิน!)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันตระหนักว่าผู้ที่ใช้วิธีการใดๆ เพื่อไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะล้วนเป็นคนเลวร้ายและโสมมในสายพระเนตรของพระเจ้า และพวกเขาเกินจะเยียวยา ฉันคิดถึงคนดัง นักการเมือง และผู้นำวงการธุรกิจของโลก ส่วนใหญ่มีทักษะทางสังคมที่เหนือกว่าและมีวิธีการประพฤติปฏิบัติตนที่ปลิ้นปล้อน แม้ว่าพวกเขาจะดูมีเสน่ห์และน่าอิจฉา แต่สิ่งที่พวกเขาทำนั้นเสื่อมทราม เสื่อมโทรม ทรยศ และเลวร้าย และพวกเขาเป็นคนประเภทที่พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าเป็นวิญญาณโสโครก ฉันคิดว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันได้เรียนรู้กลยุทธ์ทางสังคมต่างๆ ในที่ทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ไม่ว่าจะเป็นการทำข้อตกลงลับๆ และติดสินบนลูกค้า หรือการประจบประแจงและเอาใจเบื้องบนและลูกค้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการที่หลอกลวง และเป็นเล่ห์เหลี่ยมเพื่อหลอกลวงและบงการผู้คน ฉันไม่ได้เรียนรู้ที่จะทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหมือนวิญญาณโสโครกเหล่านั้นหรอกหรือ? การกระทำของฉันแตกต่างจากการกระทำของวิญญาณโสโครกเหล่านี้อย่างไร? เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ ฉันก็กลัวและหวาดหวั่นมาก พระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชิงชังความชั่วร้าย และราชอาณาจักรของพระองค์ไม่อนุญาตให้มีความไม่บริสุทธิ์ ถ้าฉันไม่กลับใจและยังคงติดอยู่ในวังวนของชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ไม่ว่าฉันจะได้ตำแหน่งสูงส่งหรือความสุขทางวัตถุที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ฉันก็จะยังคงถูกพระเจ้าทรงสาปแช่ง และในที่สุดฉันก็จะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดอย่างสิ้นเชิง

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความปรานีของเรานั้นแสดงออกต่อบรรดาผู้ที่รักเราและละวางตัวพวกเขาเอง  ในขณะเดียวกัน การลงโทษที่เกิดขึ้นกับพวกคนชั่ว ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงอุปนิสัยที่ชอบธรรมของเราอย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้นคือ พิสูจน์คำพยานแห่งความโกรธเคืองของเรา เมื่อความวิบัติมาเยือน ทุกคนที่ต่อต้านเราจะวิปโยคร่ำไห้ในขณะที่พวกเขาตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของการกันดารอาหารและโรคระบาด  ผู้ที่ทำความชั่วมาทุกรูปแบบ แต่กลับติดตามเรามานานหลายปี จะไม่มีทางหลบพ้นการชำระชดใช้ให้กับบาปของตน พวกเขาอีกเช่นกัน ที่จะดิ่งพรวดลงสู่ความวิบัติ ในแบบที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกันในตลอดระยะเวลาหลายล้านปี และพวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความอกสั่นขวัญผวาและหวาดกลัวตลอดเวลา  และบรรดาผู้ติดตามของเราที่จงรักภักดีต่อเราอย่างที่สุดย่อมจะชื่นบานและปรบมือให้กับอิทธิฤทธิ์ของเรา  พวกเขาจะผ่านประสบการณ์กับความพอใจอันเกินพรรณนา และดำรงชีวิตท่ามกลางความชื่นบานยินดีอย่างที่เราไม่เคยมอบให้มวลมนุษย์  เพราะเราถนอมความล้ำค่าของความประพฤติที่ดีงามของมนุษย์และชิงชังความประพฤติชั่วของพวกเขา  ตั้งแต่เมื่อเราเริ่มต้นนำทางมวลมนุษย์ เรามุ่งหวังอย่างใจจดใจจ่อมาตลอดว่าจะได้รับผู้คนสักกลุ่มที่มีจิตใจเดียวกับเรา  ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่ได้มีจิตใจเดียวกับเรานั้น เราก็ไม่เคยลืม เราเกลียดพวกเขาในหัวใจของเราเสมอ รอคอยโอกาสที่จะลงโทษคนที่ทำความชั่วเหล่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากเห็น  บัดนี้วันของเราได้มาถึงแล้วในที่สุด และเราไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่าผู้ที่สามารถได้รับพระพรของพระเจ้าในท้ายที่สุดคือผู้ที่ได้รับความจริงและมีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า โอกาสที่พระเจ้าประทานให้ฉันในวันนี้เพื่อทำหน้าที่ของฉัน ก็เพื่อให้ฉันได้รับความจริง แสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้า และได้รับความรอดของพระเจ้าในที่สุด ถ้าฉันมุ่งเน้นแต่การไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ และไม่มุ่งเน้นการไล่ตามเสาะหาความจริงและลุล่วงหน้าที่ของตัวเองเพื่อเตรียมการทำดี ฉันก็จะพลาดโอกาสที่จะได้รับความรอด ณ จุดนี้ ในที่สุดฉันก็เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และฉันตระหนักว่าโอกาสที่จะทำหน้าที่ของฉันนี้คือการที่พระเจ้าทรงช่วยฉันให้รอด ช่วยให้ฉันหลุดพ้นจากหล่มของชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรู้แจ้งของพระองค์ และหัวใจของฉันก็เบาขึ้นมาก ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับความรู้แจ้งจากพระวจนะของพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่คำนึงถึงความลำบากยากเย็นของงาน หรือผลได้ผลเสียของสถานะอีกต่อไป ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบการจัดการเตรียมการของพระองค์และทำหน้าที่ของตัวเอง” ต่อมา ฉันยอมรับหน้าที่ให้น้ำผู้มาใหม่ ในตอนกลางวัน ฉันทำงานที่บริษัท และหลังเลิกงาน ฉันจะมาชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงเพื่อสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า และฉันก็เลิกเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมของบริษัทไปเกือบทั้งหมด แม้ว่าหน้าที่ของฉันจะหนักและเหนื่อยอยู่บ้าง แต่หัวใจของฉันก็สงบสุขและชื่นบานยินดี แต่ฉันก็คาดไม่ถึงว่า ตลอดหลายเดือนติดต่อกัน ไม่เพียงแต่ผลงานของทีมฉันจะบรรลุเป้าหมาย แต่ลูกค้าที่ฉันรักษาไว้ได้เพียงผ่านการสื่อสารทางโทรศัพท์ก็ยังเซ็นสัญญาหลายฉบับ และเบื้องบนของฉันถึงกับชมเชยฉันในที่ประชุมบริษัทด้วย ฉันตื่นเต้นและมีความสุขมาก และฉันเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและครองอธิปไตยเหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด

ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ปี 2009 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมากที่จะเข้าใจและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และฉันจะทำให้พระองค์ต้องผิดหวังไม่ได้ หน้าที่ของผู้นำนั้นยุ่งมาก และเพื่อที่จะทำหน้าที่ได้ดี ฉันไม่สามารถทำงานไปพร้อมกันได้ ดังนั้นฉันจึงรู้ว่าถึงเวลาที่ฉันต้องลาออกแล้ว ในขณะที่ฉันรวบรวมความกล้าที่จะลาออก บริษัทก็ได้ออกประกาศฉบับหนึ่ง บอกว่าพวกเขาสามารถจัดการเรื่องใบอนุญาตพำนักในท้องถิ่นให้กับพนักงานอาวุโสอย่างเราได้ และในกรณีของฉัน ฉันจะสามารถยื่นขอทะเบียนบ้านในท้องถิ่นได้โดยตรง เมื่อเห็นผลประโยชน์นี้ ฉันก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย ฉันคิดว่า “การมีทะเบียนบ้านในท้องถิ่นเป็นสิ่งที่คนต่างถิ่นหลายคนใฝ่ฝัน! ไม่เพียงแต่ฉันจะได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้นและได้รับสวัสดิการประกันสังคม แต่สถานะทางสังคมของฉันก็จะดีขึ้นด้วย และฉันจะได้รับความนับถือจากผู้คนมากขึ้น นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากและยากที่จะได้มา! ถ้าฉันลาออก ฉันจะไม่ได้โอกาสดีๆ แบบนี้อีกเลย บางทีฉันควรรอจนกว่าทะเบียนบ้านของฉันจะเรียบร้อยแล้วค่อยลาออก?” แต่แล้วฉันก็คิดถึงเจตนารมณ์อันเร่งด่วนของพระเจ้าที่จะช่วยผู้คนให้รอด และตระหนักว่าถ้าฉันยังคงวางแผนเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะต่อไป ฉันก็จะทำให้พระเจ้าผิดหวัง หลังจากกลับถึงบ้าน ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงชี้แนะฉันให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และตัดสินใจอย่างถูกต้อง

ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในฐานะสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และคริสตชนผู้เปี่ยมศรัทธา พวกเราทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบและภาระผูกพัน ที่จะต้องถวายร่างกายและจิตใจเพื่อเติมเต็มพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จบริบูรณ์ ด้วยเหตุที่ตัวตนทั้งหมดของพวกเราล้วนมาจากพระเจ้า และดำรงอยู่ได้ก็ด้วยอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า  หากพวกเรามิได้อุทิศร่างกายและจิตใจเพื่อพระบัญชาของพระเจ้าและสิ่งที่ชอบธรรมของมวลมนุษย์แล้วไซร้ ดวงจิตของพวกเราจะรู้สึกละอายเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนซึ่งได้พลีชีพเพื่อพระบัญชาของพระเจ้า และยิ่งจะละอายมากขึ้นเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ได้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้ให้พวกเรา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง)  “หากเจ้าสามารถอุทิศหัวใจและร่างกายของเจ้า และความรักแท้ทั้งหมดของเจ้าแด่พระเจ้า วางสิ่งเหล่านี้เฉพาะพระพักตร์พระองค์ นบนอบพระองค์โดยสมบูรณ์ และคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์อย่างแท้จริง—ไม่ใช่เพื่อเนื้อหนัง ไม่ใช่เพื่อครอบครัว และไม่ใช่เพื่อความอยากได้อยากมีส่วนตัวของเจ้าเอง แต่เพื่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า โดยใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรมและรากฐานในทุกสิ่งทุกอย่าง—เช่นนั้นแล้ว ด้วยการทำดังนั้น เจตนาของเจ้าและมุมมองของเจ้าจะอยู่ถูกที่ถูกทางทั้งหมด และแล้วเจ้าก็จะเป็นบุคคลหนึ่งที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ซึ่งได้รับการสรรเสริญของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงคือบรรดาผู้ที่สามารถนบนอบโดยสมบูรณ์ต่อการทรงภาคชีวิตจริงของพระองค์)  “สิ่งที่เราขอจากพวกเจ้าก็ยังคงเป็นการ ให้เจ้าถวายตัวตนทั้งหมดของเจ้าแก่งานทั้งปวงของเรา ยิ่งไปกว่านั้น ให้เจ้าสามารถแยกแยะและมองเห็นงานทั้งหมดที่เราทำในตัวเจ้าอย่างชัดเจน และทุ่มเทความพยายามทั้งหมดของเจ้าให้กับงานของเราเพื่อให้งานนั้นสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม  นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องเข้าใจ  จงหยุดต่อสู้กันเอง มองหาทางออก หรือเสาะหาความสะดวกสบายให้กับเนื้อหนังของเจ้า เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าในงานของเรา และทำให้อนาคตอันแสนวิเศษของเจ้าล่าช้าออกไป  แทนที่จะคุ้มครองเจ้า การทำเช่นนั้นจะนำการทำลายล้างมาสู่เจ้า  นี่จะไม่ใช่ความโง่เขลาของเจ้าหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐคืองานแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยเช่นกัน)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ราวกับว่าฉันได้ยินการเรียกของพระเจ้า พระเจ้าทรงหวังว่าเราจะสามารถอุทิศพลังงานทั้งหมดของเราเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของเรา และพระองค์ทรงคาดหวังให้เราแสวงหาที่จะใช้ชีวิตที่มีความหมาย ถ้าฉันลาออกจากงาน บางทีสภาพวัตถุของฉันอาจจะไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนและสถานะทางสังคมของฉันอาจจะไม่สูงเท่าเดิม แต่ฉันจะได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ได้ชื่นชมการให้น้ำและการหล่อเลี้ยงจากพระวจนะของพระองค์ทุกวัน และฉันจะสามารถร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงในขณะที่เราทำหน้าที่ของเราและไล่ตามเสาะหาความจริงกับพวกเขา ผ่านหน้าที่ของฉัน ฉันสามารถเข้าใจความจริง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน และได้รับความรอดจากพระเจ้า นี่คือเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และเป็นชีวิตที่มีความหมายที่สุด ในขณะนั้น ฉันรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าทรงกำลังรอคอยการเลือกของฉัน คำตอบของฉัน หัวใจของฉันซาบซึ้งในพระวจนะของพระเจ้าสัมผัสอย่างมาก และฉันรู้สึกถึงความตั้งใจแน่วแน่ที่จะยอมสละทุกสิ่งเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นว่าตัวเองไม่มีความจริง และหัวใจของข้าพระองค์ไม่มีพื้นที่ให้พระองค์ เพื่อที่จะได้ทะเบียนบ้านในท้องถิ่น ข้าพระองค์เกือบจะตกหลุมพรางของชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอีกครั้ง ขอบคุณพระองค์ที่พระวจนะของพระองค์ได้คุ้มครองข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์เข้าใจว่าหน้าที่ที่ข้าพระองค์ได้รับมอบหมายคือความรักของพระองค์ที่มีต่อข้าพระองค์ และตระหนักว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงและลุล่วงหน้าที่ของข้าพระองค์นั้นมีความหมายที่สุด ข้าพระองค์อยากให้คำตอบที่จะทำให้พระองค์พอพระทัย” ด้วยเหตุนี้ฉันจึงยื่นใบลาออกต่อบริษัท ผู้นำของบริษัทพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฉันอยู่ต่อ แต่ฉันก็ไม่เคยหวั่นไหว ด้วยการคุ้มครองของพระเจ้า ฉันจึงสามารถเอาชนะการทดลองได้

ทันทีที่ฉันออกจากบริษัท ฉันมองดูท้องฟ้าสีครามและต้นไม้เขียวชอุ่ม และฉันรู้สึกถึงความชื่นบานยินดีที่ไม่อาจบรรยายได้ ฉันรู้สึกเหมือนนกน้อยที่บินออกจากกรง ทะยานอย่างอิสระกลับสู่ท้องฟ้า และฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ฉันชอบมากที่ว่า “เมื่อผู้คนมีเป้าหมายที่ถูกต้องในชีวิต สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง และประพฤติปฏิบัติตนตามความจริง เมื่อพวกเขานบนอบพระเจ้าโดยสมบูรณ์และดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ เมื่อพวกเขารู้สึกมั่นคงและสว่างไสวอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ และหัวใจของพวกเขาก็เป็นอิสระจากความมืดมิด และเมื่อพวกเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างอิสระและเสรีอยู่ในการสถิตของพระเจ้าทุกประการ เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะได้รับชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ที่มีความจริงและมีความเป็นมนุษย์  นอกจากนี้แล้ว ความจริงทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจและได้มานั้นล้วนมาจากพระวจนะของพระเจ้าและมาจากพระเจ้าพระองค์เอง  มีเพียงเมื่อเจ้าได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าผู้ทรงสูงสุด—พระผู้สร้าง และพระองค์ตรัสว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐานและเจ้าใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์แล้วเท่านั้น ชีวิตของเจ้าจึงจะมีความหมายอย่างที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)  มีเพียงการเชื่อและนมัสการพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริง การหลุดพ้นจากอิทธิพลมืดของซาตาน และดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณค่าที่สุดได้ และเมื่อนั้นเท่านั้นหัวใจของเราจึงจะพบกับความสงบสุขและสบายใจอย่างแท้จริง พระวจนะของพระเจ้าคือสิ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจอย่างถูกต้อง ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ถัดไป:  19. ฉันไม่ไล่ตามเงินทอง ชื่อเสียง และผลประโยชน์อีกต่อไปแล้ว

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger