พระวจนะว่าด้วยการทำความรู้จักการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า

บทตัดตอน 28

การรู้จักพระเจ้าต้องทำด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งผ่านประสบการณ์กับบททดสอบ การถลุง และการตัดแต่งมากมาย เมื่อนั้นเท่านั้นที่การมีความรู้อย่างแท้จริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระเจ้าจึงจะเป็นไปได้  บางคนกล่าวว่า “ฉันยังไม่ได้เห็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เลย แล้วฉันควรจะมารู้จักพระเจ้าอย่างไรเล่า?”  ในข้อเท็จจริงนั้น พระวจนะของพระเจ้าก็คือการแสดงออกอย่างหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระองค์  จากพระวจนะของพระเจ้า เจ้าสามารถมองเห็นความรักและความรอดของพระองค์ที่มีต่อพวกมนุษย์ ตลอดจนวิธีการของพระองค์ในการช่วยพวกเขาให้รอด…นี่เป็นเพราะพระวจนะของพระองค์ถูกแสดงออกมาโดยพระเจ้าพระองค์เอง ไม่ใช่ถูกเขียนขึ้นโดยพวกมนุษย์  พระเจ้าได้ทรงแสดงพระวจนะเหล่านั้นออกมาด้วยพระองค์เอง พระเจ้าพระองค์เองกำลังทรงแสดงพระวจนะของพระองค์เองและเสียงในพระทัยของพระองค์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพระวจนะจากพระทัยของพระองค์  เหตุใดจึงเรียกว่าพระวจนะจากพระทัยของพระองค์?  นั่นก็เป็นเพราะพระวจนะเหล่านี้ออกมาจากส่วนลึกลงไป และแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์ เจตนารมณ์ของพระองค์ แนวพระดำริและพระดำริของพระองค์ ความรักของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษย์ ความรอดของพระองค์สำหรับมวลมนุษย์ และความคาดหวังของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษย์…ถ้อยดำรัสของพระเจ้ารวมไปด้วยพระวจนะอันกร้าวกระด้าง และพระวจนะอันอ่อนโยนและมีความคำนึงห่วงใย ตลอดจนพระวจนะในเชิงเปิดเผยซึ่งไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้คน  หากเจ้ามองเพียงพระวจนะในเชิงเปิดเผยเท่านั้น เจ้าก็อาจรู้สึกว่า พระเจ้าทรงค่อนข้างเข้มงวดทีเดียว  หากเจ้ามองเพียงพระวจนะอันอ่อนโยน เจ้าก็อาจรู้สึกว่า พระเจ้าไม่ทรงสิทธิอำนาจมากเท่าใดนัก  เพราะฉะนั้น เจ้าจึงไม่ควรมองพระวจนะเหล่านี้ออกนอกบริบท ในทางกลับกันให้มองพระวจนะเหล่านี้จากทุกมุม  บางคราวพระเจ้าตรัสจากมุมมองอันเปี่ยมกรุณา และเช่นนั้นแล้ว ผู้คนจึงมองเห็นความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์ บางคราวพระองค์ก็ตรัสจากมุมมองที่เคร่งครัดมาก และแล้วผู้คนก็จะมองเห็นว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ไม่ยอมผ่อนปรนต่อการล่วงเกิน ว่ามนุษย์นั้นโสมมอย่างหนัก และไม่มีค่าคู่ควรที่จะมองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าหรือมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ และว่าการที่บัดนี้พวกเขาได้รับอนุญาตให้มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์นั้นก็เพราะพระคุณของพระองค์ทั้งสิ้น  พระปัญญาของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้จากหนทางที่พระองค์ทรงพระราชกิจและในนัยสำคัญแห่งพระราชกิจของพระองค์  ผู้คนยังคงสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ในพระวจนะของพระเจ้า ต่อให้ปราศจากการติดต่อสัมพันธ์โดยตรงกับพระองค์ก็ตาม  เมื่อใครบางคนที่รู้จักพระเจ้าอย่างถ่องแท้มาติดต่อสัมพันธ์กับพระคริสต์ การที่พวกเขาเผชิญหน้ากับพระคริสต์ย่อมสามารถเชื่อมโยงเข้ากับความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อใครบางคนที่มีเพียงความเข้าใจเชิงทฤษฎีเผชิญหน้ากับพระคริสต์ พวกเขาย่อมไม่สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันได้  ความจริงเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าคือความล้ำลึกที่ลุ่มลึกที่สุด เป็นสิ่งที่มนุษย์หยั่งถึงได้ยาก  จงรวบรวมพระวจนะของพระเจ้าว่าด้วยความล้ำลึกของการประสูติเป็นมนุษย์  มองดูพระวจนะเหล่านั้นจากทุกมุม แล้วจากนั้นก็จงอธิษฐานร่วมกัน ไตร่ตรอง และสามัคคีธรรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับแง่มุมนี้ของความจริง  ในการทำดังนั้น เจ้าจะมีความสามารถที่จะได้รับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์และเกิดความเข้าใจขึ้นมา  เพราะพวกมนุษย์ไม่มีโอกาสที่จะมีการติดต่อสัมพันธ์โดยตรงกับพระเจ้า พวกเขาจึงต้องพึ่งพาประสบการณ์ประเภทนี้เพื่อค่อยๆ คลำทางของพวกเขาไปและเข้าสู่ทีละน้อย หากพวกเขาหมายจะรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงในท้ายที่สุด

การรู้จักพระคริสต์และการรู้จักพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงคือแง่มุมของความจริงที่ลุ่มลึกที่สุด  ทุกคนที่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความจริงในแง่มุมนี้จะรู้สึกผ่อนคลายในหัวใจมากขึ้น และจะมีเส้นทางให้ติดตาม  ความจริงในแง่มุมนี้เทียบได้กับหัวใจของมนุษย์—เมื่อหัวใจของคนคนหนึ่งมีสุขภาพดี พวกเขาย่อมรู้สึกกระปรี้กระเปร่า แต่เมื่อหัวใจของคนคนหนึ่งมีโรคภัย พวกเขาย่อมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า  ในทำนองเดียวกัน ยิ่งบางคนเข้าใจความจริงเกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ พวกเขาก็จะยิ่งมีความกระตือรือร้นและมีแรงผลักดันในความเชื่อในพระเจ้า  คนที่ใหม่ต่อความเชื่อบางคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วรู้สึกว่านั่นคือพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่พวกเขายังคงมีความกังขาว่า “ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ตรัสพระวจนะเหล่านี้พิสูจน์ได้จริงหรือว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์?  การที่พระองค์สามารถแสดงความจริงเหล่านี้พิสูจน์ได้จริงหรือว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง?”  ความสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นี้มักจะเกิดขึ้นในผู้ที่ไม่เข้าใจความจริง  แท้จริงแล้วพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และไม่ว่าพระองค์จะแสดงพระวจนะกี่คำ พระองค์ก็คือพระเจ้าพระองค์เอง  ไม่ว่าพระองค์จะตรัสมากหรือน้อยเพียงใด แก่นแท้แห่งความเป็นพระเจ้าของพระองค์ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์มิได้ตรัสพระวจนะมากนัก พระองค์เพียงดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่เท่านั้น—พระองค์มิใช่พระเจ้าพระองค์เองเช่นกันหรอกหรือ?  เมื่อกล่าวว่าพระองค์คือพระเจ้า แท้จริงแล้วตัดสินกันอย่างไร?  ตัดสินกันตามพระวจนะและความจริงเหล่านี้เท่านั้นเองหรือ?  นี่คือคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ  บางคนถึงขนาดเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงชี้นำพระวจนะเหล่านี้ และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสร็จสิ้นการทรงนำของพระองค์ พระองค์ย่อมจากไปและหยุดทรงพระราชกิจ  พวกเขาเชื่อว่าเนื้อหนังนี้เป็นเนื้อหนังที่ปกติและธรรมดา และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่สามารถเรียกพระองค์ว่าพระเจ้า—สามารถเรียกพระองค์ได้ว่า “บุตรมนุษย์” แต่ไม่ใช่พระเจ้า  บางคนเก็บงำความเข้าใจผิดประเภทนี้เอาไว้  ต้นเหตุแห่งการเข้าใจผิดเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในตัวพวกเขาคืออะไร?  คือการที่ผู้คนไม่เข้าใจแนวคิดเรื่องการทรงปรากฏในรูปมนุษย์อย่างถ่องแท้—พวกเขาไม่ได้เจาะลึกลงไปในเรื่องนี้ และความเข้าใจที่พวกเขามีในเรื่องนี้ก็ตื้นเขินเกินไป พวกเขารู้จักเรื่องนี้เพียงผิวเผินเท่านั้น  ยังมีผู้คนที่เชื่อด้วยว่าพระองค์คือพระเจ้าอย่างแน่นอนเพราะพระองค์ทรงแสดงความจริงไว้มากมาย  หากพระเจ้าไม่ได้ตรัสพระวจนะเอาไว้มากมายเช่นนี้ หากพระองค์ตรัสน้อยลง พระองค์จะยังคงเป็นพระเจ้าหรือไม่?  ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้พระองค์ตรัสพระวจนะเพียงไม่กี่คำ พระวจนะเหล่านั้นก็ยังคงเป็นการแสดงเทวสภาพ และพระองค์ย่อมเป็นพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสเท่าใด ท้ายที่สุดแล้วพระองค์ก็คือพระเจ้าอยู่ดี  ต่อให้พระเจ้าไม่ตรัสอะไรเลย พระองค์ก็ยังคงเป็นพระเจ้า—นี่คือข้อเท็จจริงและไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ได้  ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ที่ติดตามพระเจ้าได้รับการพิชิตแล้ว ล้วนสามารถติดตามพระองค์ได้อย่างแน่วแน่ และอุทิศตนให้กับการทำหน้าที่ของพวกเขาได้  พระเจ้าทรงได้กลุ่มคนในประเทศจีนไว้กลุ่มหนึ่งแล้ว เป็นผู้คนที่มีความรู้เกี่ยวกับการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า และพวกเขาได้เห็นแล้วว่าเนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง  อย่างไรก็ตาม หากพระราชกิจช่วงระยะนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ผู้คนจะยอมรับได้หรือไม่ว่าเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์คือพระเจ้าพระองค์เอง?  ก่อนหน้านี้ เมื่อมีบางคนสังเกตเห็นว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจด้วยการดำรัสและแสดงพระวจนะอยู่เป็นนิจ พวกเขาก็ยังคงสงสัยต่อไปว่า “พระองค์ใช่พระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เป็นเช่นนี้หรือ?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสสามารถลุล่วงได้จริงหรือ?”  พวกเขามีท่าทีคลางแคลงต่อพระราชกิจระยะนี้ของพระเจ้าเสมอ  หากเจ้าสามารถสงสัยในเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ได้ นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่เชื่อในเนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์ หรือไม่เชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้า  ไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า ไม่เชื่อว่าพระวจนะที่พระองค์ตรัสคือพระดำรัสของพระเจ้า และเจ้ายิ่งไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระองค์คือการเผยให้เห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าและเป็นการแสดงแก่นแท้ของพระเจ้าออกมา  บางคนคิดในใจว่า “ตอนแรกพระวิญญาณบริสุทธิ์ประกาศถ้อยดำรัสโดยตรง และในตอนนี้กลายเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ที่ตรัสและมีถ้อยดำรัส  พระเจ้าจะทรงใช้รูปแบบใดในการทรงพระราชกิจในอนาคต?”  ในเวลานี้ผู้คนเหล่านี้ยังคงเฝ้ามองอยู่ พวกเขายังคงเฝ้าดูว่าเป็นเช่นไรกันแน่  ผู้คนมากมายที่สืบค้นหนทางที่แท้จริงย่อมรับรู้ว่าพระวจนะเหล่านี้คือความจริง เป็นพระวจนะของพระเจ้า แต่ก็ยังต้องการจับสังเกตและหาคำอธิบายให้กับเรื่องนี้ก่อนที่จะยอมรับพระวจนะ  ผู้คนเหล่านี้ต่างก็ค้นคว้าวิจัยพระเจ้า—พวกเขาเป็นนักฉวยโอกาส  บางคนเพียงอยากเห็นว่าพระเจ้าจะทรงแสดงความจริงอีกเท่าใด และพระองค์จะตรัสเป็นภาษาของสวรรค์ชั้นที่สามหรือไม่  หากพวกเขามีเครื่องเอกซ์เรย์ พวกเขาย่อมจะอยากใช้เครื่องเอกซ์เรย์นี้กับพระเจ้าโดยคิดไปว่า “ให้ฉันดูหน่อยว่าพระองค์ยังคงมีความจริงอยู่ในพระทัยบ้างหรือไม่ พระวิญญาณของพระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่ในกายของพระองค์หรือไม่ และพระวิญญาณของพระเจ้าช่วยพระองค์และชี้นำสิ่งที่พระองค์ตรัสหรือไม่  หากพระองค์ไม่มีความจริงและเป็นเพียงคนธรรมดา ฉันก็จะไม่เชื่อในพระองค์”  บางคนเก็บงำความระแวงสงสัยเช่นนี้เอาไว้ และครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่เป็นนิจ  เหตุใดผู้คนจึงตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้?  เพราะพวกเขาไม่มีความเข้าใจอันถ่องแท้เรื่องการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า—พวกเขาไม่มีความเข้าใจอันถ่องแท้ในความจริงแง่มุมนี้ และไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง  ทุกวันนี้ผู้คนยอมรับรู้แต่เพียงว่าบุคคลผู้นี้มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ภายใน แต่พอมาถึงข้อเท็จจริงที่ว่าบุคคลผู้นี้มีแก่นแท้ของพระเจ้า มีอุปนิสัยของพระเจ้า มีสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และมีทั้งหมดที่เป็นพระเจ้าอยู่ภายใน บุคคลผู้นี้คือพระเจ้า บางคนกลับไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ และล้มเหลวในการเชื่อมโยงเรื่องบางเรื่องเข้าด้วยกัน  สิ่งที่ผู้คนมองเห็นในองค์พระเจ้าและเชื่อเกี่ยวกับพระองค์นั้นไม่ใช่แก่นแท้ของพระเจ้า—นั่นคือ ผู้คนมองเห็นแต่พระวจนะที่พระเจ้าแสดงและพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พระองค์ทรงทำ  พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่ส่วนหนึ่ง และเชื่อว่านั่นเป็นพระราชกิจเพียงอย่างเดียวที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์สามารถทำได้  ไม่มีสักคนเดียวที่เชื่อว่าแม้พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จะทรงพระราชกิจนี้เท่านั้นในตอนนี้ แต่พระองค์ก็ทรงครองแก่นแท้ทั้งหมดแห่งเทวสภาพอย่างแท้จริง  ไม่มีผู้ใดเชื่อเช่นนี้

บางคนพูดว่า “เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะรู้จักพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  หากพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นผู้ทรงพระราชกิจโดยตรง  และหากพวกเราสามารถมองเห็นฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้โดยตรง พวกเราย่อมจะรู้จักพระเจ้าโดยง่าย”  นี่เป็นคำกล่าวที่สมเหตุสมผลหรือไม่?  เราขอถามพวกเจ้าทั้งหลายว่า “การรู้จักพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์หรือพระวิญญาณของพระเจ้าง่ายกว่ากัน?  หากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และพระยาห์เวห์ทรงพระราชกิจในจำนวนเท่าๆ กัน จะรู้จักพระองค์ใดง่ายกว่ากัน?”  อาจกล่าวได้ว่าไม่มีองค์ใดที่ทำความรู้จักโดยง่าย  ตอนแรกที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เริ่มทรงพระราชกิจและเริ่มตรัส ผู้คนมิได้ล้มเหลวที่จะเข้าใจพระองค์หรอกหรือ?  พวกเขาล้วนเข้าใจพระองค์ผิดไม่ใช่หรือ?  ไม่มีผู้ใดรู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงกำลังทรงพระราชกิจของพระองค์  ถ้าผู้คนมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ก็ง่ายที่พวกเขาจะมารู้จักพระเจ้า แต่ถ้าพวกเขาไร้ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระองค์ พวกเขาย่อมพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะรู้จักพระองค์  นี่คือข้อเท็จจริง  อย่างไรก็ตาม ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน และการตัดแต่ง ผู้ที่รักความจริงย่อมเข้าใจความจริงในท้ายที่สุด เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้สำเร็จ และได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  นี่พิสูจน์ว่าการรู้จักพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ซึ่งทรงแสดงความจริงโดยตรงนั้นค่อนข้างง่ายกว่า แต่ก็ต้องผ่านประสบการณ์บางอย่าง  เมื่อพระวิญญาณทรงพระราชกิจ เป็นไปได้ว่าพระองค์จะแสดงความจริงไม่ได้มากนัก  พระองค์ทรงทำได้เพียงดลใจหรือประทานความรู้แจ้งแก่ผู้คน ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีขีดจำกัดว่าผู้คนจะสามารถเข้าใจความจริงได้มากน้อยเพียงใด  ไม่ว่าผู้คนจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณมานานกี่ปี พวกเขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมเหมือนที่พวกเขาจะได้รับจากการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์อยู่ดี  นี่เป็นเพราะทุกคนสามารถมองเห็นและสัมผัสพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ และพระองค์สามารถแสดงองค์ได้ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดและที่ไหน  พระวจนะของพระองค์มีจำนวนมากมายและชัดเจนอย่างแท้จริง และทุกคนอาจทำความเข้าใจได้  นี่คือข้อได้เปรียบที่ชัดเจนมากและเป็นบางสิ่งที่ผู้คนสามารถมีประสบการณ์ได้ด้วยตัวเอง  เมื่อพระวิญญาณทรงพระราชกิจ พระองค์ย่อมเสด็จจากไปหลังตรัสพระวจนะบางส่วนแล้ว—สิ่งที่ผู้คนทำมีแต่เชื่อฟังและดำเนินการตามพระวจนะ แต่พวกเขารู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น?  ผู้คนจะสามารถรู้จักพระอุปนิสัยของพระยาห์เวห์จากพระวจนะเหล่านี้ได้หรือ?  บางคนพูดว่า “การรู้จักพระวิญญาณนั้นง่าย พระวิญญาณเสด็จมาทรงพระราชกิจโดยทรงพระฉายาที่แท้จริงของพระเจ้า  การรู้จักพระวิญญาณจะไม่ง่ายได้อย่างไร?”  แท้จริงแล้วเจ้ารู้จักพระฉายาภายนอก แต่เจ้าสามารถรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่?  ตอนนี้พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เป็นคนปกติธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งผู้คนรู้สึกว่าง่ายที่จะติดต่อกับพระองค์  อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการแสดงแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ออกมา ผู้คนจะรู้จักสิ่งเหล่านั้นโดยง่ายหรือไม่?  ผู้คนจะยอมรับพระวจนะที่พระองค์ตรัสซึ่งไม่ได้เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขากันโดยง่ายหรือไม่?  บางคนพูดว่า “การรู้จักพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เป็นเรื่องยาก  หากพระเจ้าจำแลงพระกายในภายหลัง การรู้จักพระเจ้าก็จะเป็นเรื่องง่ายดายมาก”  ผู้คนที่พูดเช่นนี้ผลักความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  เป็นเช่นที่กล่าวมานั้นจริงหรือ?  ต่อให้พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาถึง เจ้าก็จะยังคงล้มเหลวที่จะเข้าใจพระองค์เช่นเดิม  เมื่อพระวิญญาณทรงพระราชกิจ พระองค์ย่อมเสด็จจากไปทันทีที่พระองค์ตรัสกับผู้คนแล้วเสร็จ และไม่ทรงอธิบายอะไรกับพวกเขามากมาย รวมทั้งไม่ทรงคบค้าสมาคมและไม่ใช้ชีวิตกับพวกเขาในหนทางที่ปกติ ดังนั้นผู้คนจึงไม่มีโอกาสที่จะติดต่อสัมพันธ์โดยตรงกับพระองค์หรือมีโอกาสที่จะมารู้จักพระเจ้า  ประโยชน์ที่พระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มีต่อผู้คนนั้นมากมายมหาศาล  ความจริงที่พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์นำมาให้ผู้คนก็สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น  พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ช่วยให้ผู้คนมองเห็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง  อย่างไรก็ตาม การรู้จักแก่นแท้ของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์และการรู้จักแก่นแท้ของพระวิญญาณนั้นยากพอๆ กัน  การรู้จักสิ่งเหล่านี้ยากเหมือนๆ กัน

การรู้จักพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าสามารถล่วงรู้ความชื่นบาน ความโมโห ความโศกเศร้า และความสุขของพระองค์ และด้วยเหตุนี้จึงรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์—นี่เองคือการรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง  เจ้ากล่าวอ้างว่าเจ้าได้เห็นพระองค์แล้ว กระนั้นเจ้าก็ยังไม่เข้าใจความชื่นบานยินดี ความโมโห ความโศกเศร้า และความสุขของพระองค์ และเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์  เจ้ายังไม่เข้าใจทั้งความชอบธรรมของพระองค์และความกรุณาของพระองค์ อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าพระองค์โปรดสิ่งใดและเกลียดสิ่งใด  นี่ไม่ใช่ความรู้ในเรื่องของพระเจ้า  ผู้คนบางคนสามารถติดตามพระเจ้า แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  การเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงคือการนบนอบพระเจ้า  ผู้ที่ไม่นบนอบพระเจ้าโดยแท้ย่อมไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง—ความแตกต่างอยู่ตรงนี้  เมื่อเจ้าติดตามพระเจ้ามาหลายปี และมีความรู้และความเข้าใจในพระเจ้า เมื่อเจ้าเข้าใจและจับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้บ้าง เมื่อเจ้าตระหนักรู้เจตนารมณ์ของพระเจ้าที่ทรงอุตสาหะช่วยมนุษย์ให้รอด นั่นคือยามที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง รักพระเจ้าอย่างแท้จริง และนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้า  เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นเพียงผู้ติดตามคนหนึ่งที่วุ่นวายกับการตามหาพระเจ้าและทำตามอะไรก็ได้ที่คนส่วนใหญ่ทำ  นั่นไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการนบนอบอย่างแท้จริง และยิ่งไม่ใช่การนมัสการที่แท้จริง  การนมัสการที่แท้จริงเกิดขึ้นอย่างไร?  ทุกคนที่มองเห็นพระเจ้าและรู้จักพระเจ้าอย่างถ่องแท้ล้วนนมัสการและยำเกรงพระองค์โดยไม่มีข้อยกเว้น  พวกเขาล้วนถูกสะกดให้ยอมกราบไหว้และนมัสการพระองค์  ณ ปัจจุบัน ในขณะที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์กำลังทรงงาน ยิ่งผู้คนมีความเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งหวงแหนสิ่งเหล่านี้ราวสมบัติล้ำค่ามากขึ้นเท่านั้นและพวกเขาจะยิ่งยำเกรงพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งผู้คนมีความเข้าใจในพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ย่อมเลินเล่อมากขึ้นเท่านั้น และดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อพระเจ้าดั่งเป็นมนุษย์  หากผู้คนได้รู้จักและมองเห็นพระเจ้าจริงๆ พวกเขาย่อมจะหวาดกลัวจนตัวสั่นและหมอบกราบอยู่กับพื้น  “พระองค์ผู้จะมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาท” (มัทธิว 3:11)—เหตุใดยอห์นจึงกล่าวเช่นนี้?  แม้ว่าลึกลงไปแล้ว เขามิได้มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอย่างลุ่มลึกมากนัก แต่เขาก็รู้ว่าพระเจ้าทรงน่าเกรงขาม  ผู้คนมากมายเท่าใดในทุกวันนี้ที่มีความสามารถในการยำเกรงพระเจ้า?  หากพวกเขาไม่รู้พระอุปนิสัยของพระองค์แล้วไซร้ พวกเขาจะสามารถยำเกรงพระเจ้าได้อย่างไร?  หากผู้คนทั้งไม่รู้จักแก่นแท้ของพระคริสต์และไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาก็จะยิ่งไม่สามารถนมัสการพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงได้อย่างแท้จริง  หากพวกเขามองเห็นเพียงการทรงปรากฏภายนอกที่เป็นปกติและธรรมดาสามัญของพระคริสต์ ทว่าไม่รู้จักแก่นแท้ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมง่ายที่พวกเขาจะปฏิบัติต่อพระคริสต์เหมือนทรงเป็นคนธรรมดาเท่านั้น  พวกเขาอาจมีท่าทีที่มีไม่เคารพต่อพระองค์ และสามารถโกงพระองค์ ต้านทานพระองค์ กบฏต่อพระองค์ และทำการตัดสินพระองค์ได้  พวกเขาสามารถมองตัวเองว่าชอบธรรมอยู่เสมอ และไม่จริงจังกับพระวจนะของพระองค์ พวกเขาสามารถถึงขั้นเหนี่ยวนำให้เกิดมโนคติที่หลงผิด การกล่าวโทษ และการหมิ่นประมาทพระเจ้าได้  เพื่อแก้ปัญหาในประเด็นปัญหาเหล่านี้ คนเราต้องรู้จักแก่นแท้และเทวสภาพของพระคริสต์  นี่คือแง่มุมหลักของการรู้จักพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่ทุกคนซึ่งเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงต้องเข้าสู่และสัมฤทธิ์

บทตัดตอน 29

บางคนถามว่า “พระเจ้าทรงสังเกตดูหัวใจส่วนลึกสุดของมวลมนุษย์ เนื้อหนังและพระวิญญาณของพระเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งที่ผู้คนพูดและทำ แล้วพระเจ้าทรงรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ฉันเชื่อในพระองค์?”  สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับคำถามหนึ่งคือ จะเข้าใจพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และสัมพันธภาพระหว่างพระวิญญาณและเนื้อหนังของพระองค์ได้อย่างไร  บางคนนึกว่าพระเจ้าอาจไม่ทรงรู้เรื่องนั้นเพราะพระองค์ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่ก็มีคนอื่นที่คิดว่าพระเจ้าทรงรู้เพราะเนื้อหนังและพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  การเข้าใจพระเจ้าโดยมากแล้วก็คือการเข้าใจแก่นแท้ของพระองค์และลักษณะเฉพาะแห่งพระวิญญาณของพระองค์ และมนุษย์ก็ไม่ควรพยายามกำหนดว่าเนื้อหนังของพระเจ้ารู้เรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือพระวิญญาณของพระองค์รู้เรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือไม่ พระเจ้าเปี่ยมด้วยพระปัญญาและทรงมหัศจรรย์ มนุษย์มิอาจหยั่งถึงได้  เนื้อหนังและพระวิญญาณ ความเป็นมนุษย์และเทวสภาพ—เหล่านี้เป็นเรื่องที่พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอย่างชัดแจ้ง  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และพระวิญญาณเข้าสู่เนื้อหนัง แก่นแท้ของพระองค์คือเทวสภาพ แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากแก่นแท้ของคนที่เป็นมนุษย์และประเภทของวิญญาณที่อยู่ในร่างมนุษย์ ทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  แก่นแท้และวิญญาณของมนุษย์ย่อมอยู่ในตัวคนคนนั้น  พระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตอยู่ในเนื้อหนังของพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังคงทรงมหิทธิฤทธิ์  ขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจอยู่ในเนื้อหนัง พระวิญญาณของพระองค์ก็ทรงพระราชกิจทุกหนแห่งเช่นกัน  เจ้าไม่อาจถามได้ว่า “แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างไร?  แสดงให้ฉันดูชัดๆ เถิด”  ไม่มีทางที่จะมองเห็นมหิทธิฤทธิ์นั้นได้อย่างชัดเจน  การที่เจ้ามองเห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไรท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลายเวลาเนื้อหนังนั้นทำพระราชกิจของพระองค์ นั่นก็เพียงพอแล้ว  พระวิญญาณของพระเจ้ามีลักษณะที่ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงควบคุมจักรวาลทั้งปวงและช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรให้รอด และพระองค์ก็ทรงพระราชกิจท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลายเพื่อประทานความรู้แจ้งแก่ผู้คนอีกด้วย ส่วนเนื้อหนังก็ทำพระราชกิจของพระองค์ไปพร้อมกัน  เจ้าไม่อาจกล่าวได้ว่าระหว่างที่พระวิญญาณทรงพระราชกิจอยู่ท่ามกลางคริสตจักร เนื้อหนังย่อมไม่มีพระวิญญาณ  ถ้าเจ้ากล่าวดังนั้น เจ้าย่อมจะปฏิเสธการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้ามิใช่หรือ?  อย่างไรก็ดี มีบางสิ่งที่เนื้อหนังไม่รู้  ความไม่รู้นี้คือด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติของพระคริสต์  การที่พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในเนื้อหนังอย่างเป็นรูปธรรมย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้าพระองค์เองคือแก่นแท้ของเนื้อหนังนั้น  สิ่งใดก็ตามที่เนื้อหนังของพระองค์ไม่รู้ พระวิญญาณของพระองค์ย่อมรู้อยู่แล้ว ดังนั้นคนเราจึงสามารถกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงรู้สิ่งนั้นอยู่แล้ว  ถ้าเจ้าปฏิเสธด้านนี้ของพระวิญญาณตามด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเนื้อหนัง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ยอมรับว่าเนื้อหนังนี้คือพระเจ้าพระองค์เอง และเจ้าก็ทำเรื่องผิดพลาดแบบเดียวกับพวกฟาริสี  บางคนกล่าวว่า “เนื้อหนังและพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นพระเจ้าก็อาจจะทรงรู้ว่าเวลาพวกเราประกาศข่าวประเสริฐ พวกเราได้ผู้คนที่นี่มาให้พระองค์ในคราวเดียวกี่คน  พระวิญญาณก็ทรงรู้ ดังนั้นเนื้อหนังย่อมรู้เรื่องนี้ด้วย เพราะทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน!”  การที่เจ้าพูดเช่นนี้ย่อมปฏิเสธแก่นแท้ของเนื้อหนัง  เนื้อหนังมีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติของพระองค์อยู่ กล่าวคือ มีสิ่งที่เนื้อหนังสามารถรู้ได้และสิ่งที่เนื้อหนังไม่จำเป็นต้องรู้  นั่นคือด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติของพระองค์  บางคนกล่าวว่า “พระวิญญาณทรงรู้สิ่งใด เนื้อหนังย่อมรู้ด้วยแน่นอน”  เช่นนี้ย่อมเหนือธรรมชาติและการกล่าวดังนี้ก็ปฏิเสธแก่นแท้ของเนื้อหนัง  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ในบางเรื่อง พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นอย่างที่มนุษย์จินตนาการ—ว่าสามารถรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างลึกลับโดยที่ไม่ได้ทรงพบเห็นหรือสัมผัส ไม่ถูกจำกัดโดยพื้นที่หรือภูมิศาสตร์  นั่นไม่ใช่เนื้อหนัง แต่เป็นกายวิญญาณ  หลังจากที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย พระองค์สามารถปรากฏองค์ อันตรธาน และทะลุกำแพงเข้าห้องต่างๆ ได้ แต่นั่นคือพระเยซูที่ฟื้นพระชนม์ขึ้นมา  ก่อนที่จะฟื้นพระชนม์นั้น พระเยซูไม่สามารถทะลุกำแพงเข้าไปตามห้อง  พระองค์ทรงถูกจำกัดโดยพื้นที่ ภูมิศาสตร์ และกาลเวลา  นั่นคือความปกติของเนื้อหนัง

การทำความรู้จักการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย—เจ้าต้องมองจากหลายๆ มุมตามพระวจนะของพระเจ้า พิจารณาองค์รวม และแน่นอนว่าเว้นจากการใช้ข้อบังคับต่างๆ หรือความคิดฝันของเจ้าเองมาเป็นฐานความรู้ของตน  เจ้าบอกว่าเนื้อหนังและพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันและเนื้อหนังรู้ทุกสิ่งที่พระวิญญาณทรงรู้ แต่เนื้อหนังก็มีด้านที่ปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นกัน  นอกจากนี้ยังมีอีกด้านหนึ่งคือ ระหว่างที่เนื้อหนังทำงานอยู่นั้น ผู้ที่กำลังทำงานคือพระเจ้าพระองค์เอง กล่าวคือ พระวิญญาณทรงพระราชกิจและเนื้อหนังก็ทำงานไปด้วย แต่คนที่ทำงานเป็นหลักคือเนื้อหนัง—เนื้อหนังมีบทบาทนำ ส่วนพระวิญญาณก็ทรงพระราชกิจบางอย่างเพื่อประทานความรู้แจ้ง ชี้นำ ช่วยเหลือ คุ้มครอง และเฝ้าดูแลผู้คน  งานของเนื้อหนังมีบทบาทนำ—ถ้าพระองค์ทรงต้องการที่จะรู้เรื่องของคนคนหนึ่ง ก็ง่ายเหลือเกินที่พระองค์จะทรงทำเช่นนั้น  เมื่อมนุษย์อยากรู้เรื่องของใครสักคน ถ้าพวกเขาไม่เคยจับตาดูพฤติกรรมของคนคนนั้นอยู่หลายวาระ พวกเขาย่อมจะไม่สามารถมีความเข้าใจเชิงลึกในตัวคนคนนั้นได้  มนุษย์ไม่สามารถมองทะลุเข้าไปถึงแก่นแท้ธรรมชาติของผู้อื่น แต่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงรับรู้ได้เสมอและสามารถพิพากษาลงไปได้ตลอดเวลาว่าใครเป็นคนเช่นใด รวมทั้งพฤติกรรมและแก่นแท้ของพวกเขา  เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะไม่ทรงล่วงรู้ดังกล่าว  ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงรู้และเข้าพระทัยว่าคนคนหนึ่งประพฤติตนเช่นไร ทำสิ่งใดได้บ้าง สามารถทำความชั่วอันใดและถึงระดับไหน  บางคนกล่าวว่า “ถ้าพระเจ้าเข้าพระทัยทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน?”  ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้  การที่พระเจ้าเข้าพระทัยคนคนหนึ่งไม่ใช่การรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใดในแต่ละวัน  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องนั้น  การเข้าใจว่าโดยธรรมชาติแล้วคนคนหนึ่งย่อมจะทำสิ่งใดนั้นเพียงพอแล้ว และมากพอที่พระองค์จะทรงพระราชกิจของพระองค์  พระเจ้าทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงในเรื่องที่ว่าจะทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างไร  นี่ไม่เหมือนที่ผู้คนคิดกันว่าเวลาพระเจ้าทรงต้องการที่จะรู้เรื่องของคนคนหนึ่ง พระองค์ต้องทรงรู้ว่าคนคนนั้นอยู่ที่ไหน คิดอะไรอยู่ กำลังพูดอะไร จะทำสิ่งใดต่อไป แต่งกายอย่างไร มีรูปร่างหน้าตาเช่นใด และอื่นๆ  อันที่จริง พระราชกิจแห่งความรอดที่พระเจ้าทำนั้นตามหลักแล้วไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องเหล่านั้น  พระเจ้าทรงมุ่งเน้นแต่การรู้จักแก่นแท้ของคนคนหนึ่งและกระบวนการที่ชีวิตของพวกเขาดำเนินไปเท่านั้น  เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทุกสิ่งที่เนื้อหนังสำแดงออกมาย่อมสัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติ ความปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริงนี้มีอยู่เพื่อที่จะสำเร็จลุล่วงพระราชกิจแห่งการพิชิตมวลมนุษย์และช่วยมนุษย์ให้รอด  แต่ต้องไม่มีใครลืมว่าความปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริงของเนื้อหนังคือการสำแดงที่ปกติที่สุดของการที่พระวิญญาณของพระเจ้าดำเนินชีวิตอยู่ในเนื้อหนังของพระองค์  แล้วเจ้าคิดว่าพระวิญญาณทรงรู้จักสิ่งทั้งหลายในแบบของมนุษย์หรือไม่?  พระวิญญาณทรงรู้ แต่พระองค์ไม่สนพระทัย  ดังนั้นเนื้อหนังจึงไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นของเจ้าเช่นกัน  ไม่ว่าอย่างไร พระวิญญาณและเนื้อหนังของพระเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวกัน และไม่มีใครสามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้  บางครั้งที่เจ้ามีความคิดและแนวคิดบางอย่าง—พระวิญญาณทรงรู้หรือไม่ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่?  แน่นอนว่าพระวิญญาณทรงรู้  พระวิญญาณของพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนลึกสุดของผู้คนและรู้ว่าผู้คนคิดอะไร แต่พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้มีแต่การเปิดโปงความคิดและแนวคิดของผู้คน และเผยให้เห็นความเสื่อมทรามเท่านั้น  ตรงกันข้าม พระองค์ทรงแสดงความจริงจากภายในเนื้อหนังเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดและแนวคิดของผู้คน เปลี่ยนแปลงวิธีคิดและทัศนะของผู้คน และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน  ความคิดที่พวกเจ้ามีในบางเรื่องก็ช่างไม่รู้จักโต  เจ้าคิดว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ควรรู้ทุกสิ่ง  ถ้าพระเจ้าผู้ทรงประสูติเป็นมนุษย์ไม่ทรงรู้บางเรื่องที่บางคนคิดว่าพระองค์ควรรู้ พวกเขาก็นึกสงสัยพระองค์  ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้คนเข้าใจแก่นแท้ของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไม่มากพอ  มีบางสิ่งที่อยู่นอกขอบข่ายการทำงานของเนื้อหนัง ดังนั้นพระองค์จึงไม่สนพระทัยเรื่องเหล่านั้น  พระเจ้าทรงทำแต่พระราชกิจที่พระองค์พึงทำเท่านั้น  นี่คือหลักธรรมในการทรงพระราชกิจของพระเจ้า  คราวนี้พวกเจ้าก็เข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้วใช่หรือไม่?  จงบอกเราเถิดว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองมีวิญญาณแบบใด?  เจ้าสามารถรู้สึกถึงดวงจิตของเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าสามารถสัมผัสดวงจิตของเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าสามารถรับรู้ได้หรือไม่ว่าดวงจิตของเจ้าทำสิ่งใดอยู่?  เจ้าไม่รู้ใช่หรือไม่?  หากเจ้าสามารถรู้สึกหรือสัมผัสเรื่องดังกล่าวได้ เช่นนั้นแล้วก็มีวิญญาณอีกดวงหนึ่งอยู่ภายในตัวเจ้า กำลังทำบางสิ่งโดยใช้กำลังบังคับให้เจ้าทำและพูดสิ่งต่างๆ  นั่นเป็นสิ่งที่มาจากภายนอกตัวเจ้า ไม่ได้มีอยู่ในตัวเจ้าแต่กำเนิด  คนที่มีงานของพวกวิญญาณชั่วย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดียิ่ง  แม้เนื้อหนังของพระเจ้าจะมีด้านที่ปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่ในฐานะมนุษย์ คนเราไม่อาจกำหนดหรือสรุปอะไรเกี่ยวกับพระองค์ได้ตามใจชอบ  พระเจ้าถ่อมพระทัยและปิดบังพระองค์เองเพื่อบังเกิดเป็นมนุษย์ การกระทำของพระองค์นั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้และมนุษย์ก็ไม่สามารถเข้าใจได้

ก่อนหน้า:  พระวจนะว่าด้วยการทำความรู้จักพระราชกิจและพระอุปนิสัยของพระเจ้า

ถัดไป:  พระวจนะว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger