ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

พวกเจ้าต้องทำความรู้จักกับนิมิตต่างๆ แห่งพระราชกิจของพระเจ้าและจับความเข้าใจทิศทางทั่วไปของพระราชกิจของพระองค์  นี่คือการเข้าสู่เชิงบวก  เมื่อเจ้าเข้าใจถ่องแท้ในความจริงของนิมิตอย่างถูกต้องแล้ว การเข้าสู่ของเจ้าก็จะมั่นคง ไม่สำคัญว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เจ้าก็จะยังคงแน่วแน่ในหัวใจของเจ้า ชัดเจนเกี่ยวกับนิมิต และมีเป้าหมายสำหรับการเข้าสู่ของเจ้าและการไล่ตามเสาะหาของเจ้า  ในวิถีทางนี้ ประสบการณ์และความรู้ทั้งหมดภายในตัวเจ้าจะเติบโตลึกล้ำยิ่งขึ้นและมีรายละเอียดมากขึ้น  ทันทีที่เจ้าได้จับความเข้าใจภาพรวมที่ใหญ่ขึ้นทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เจ้าจะไม่ประสบทุกข์กับการสูญเสียใดๆ ในชีวิต อีกทั้งเจ้าจะไม่หลงผิดอีกด้วย  หากเจ้าไม่ได้มาทำความรู้จักขั้นตอนเหล่านี้ของพระราชกิจ เจ้าก็จะประสบทุกข์กับการสูญเสียในแต่ละขั้นตอน และเจ้าจะต้องใช้เวลามากกว่าสองสามวันในการแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้กลับดีขึ้น อีกทั้งเจ้าจะไม่สามารถมุ่งมั่นในร่องครรลองที่ถูกต้องแม้กระทั่งในสองสัปดาห์อีกด้วย  นี่จะไม่ทำให้เกิดความล่าช้าหรอกหรือ?  มีมากมายในหนทางของการเข้าสู่และการปฏิบัติเชิงบวกที่พวกเจ้าต้องเข้าใจถ่องแท้  สำหรับนิมิตต่างๆ แห่งพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าต้องจับความเข้าใจประเด็นต่อไปนี้คือ นัยสำคัญของพระราชกิจแห่งการทรงพิชิตของพระองค์ เส้นทางในอนาคตสู่การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม สิ่งที่ต้องสัมฤทธิ์โดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับการทดสอบและความทุกข์ลำบาก นัยสำคัญของการพิพากษาและการตีสอน หลักธรรมเบื้องหลังพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และหลักธรรมเบื้องหลังความเพียบพร้อมและการทรงพิชิต  เหล่านี้ล้วนเป็นของความจริงแห่งนิมิต  ส่วนที่เหลือคือ สามช่วงระยะของพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักร ตลอดจนคำพยานในอนาคต  เหล่านี้ยังเป็นความจริงแห่งนิมิตอีกด้วย และเป็นสิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดและสำคัญยิ่งยวดที่สุด  ในปัจจุบัน มีมากมายยิ่งนักที่พวกเจ้าควรเข้าสู่และปฏิบัติ และบัดนี้ ก็ได้ถูกทำให้มีหลายระดับชั้นและมีรายละเอียดมากขึ้น  หากเจ้าไม่มีความรู้ในความจริงเหล่านี้ นี่ก็พิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่ได้สัมฤทธิ์การเข้าสู่  โดยมากแล้ว ความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับความจริงนั้นตื้นเกินไป พวกเขาไร้ความสามารถที่จะนำความจริงพื้นฐานบางอย่างไปปฏิบัติได้ และไม่รู้วิธีรับมือแม้แต่เรื่องที่ไม่สำคัญ  เหตุผลที่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติความจริงได้ก็เพราะอุปนิสัยของพวกเขาเป็นกบฏ และเพราะความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระราชกิจของวันนี้นั้นตื้นเขินและเป็นด้านเดียวเกินไป  ดังนั้น จึงไม่ใช่งานง่ายที่ผู้คนจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  เจ้าเป็นกบฏมากเกินไป และเจ้าเก็บรักษาตัวตนดั้งเดิมของเจ้าไว้มากเกินไป เจ้าไร้ความสามารถที่จะยืนอยู่ข้างความจริงได้ และเจ้าไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติแม้แต่ความจริงที่ชัดแจ้งในตัวเองที่สุด  ผู้คนเช่นนี้ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดและเป็นพวกผู้ที่ไม่ได้ถูกพิชิต  หากการเข้าสู่ของเจ้าไม่มีทั้งรายละเอียดและวัตถุประสงค์ การเติบโตก็จะมาถึงเจ้าช้า  หากไม่มีความเป็นจริงแม้แต่น้อยในการเข้าสู่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วการไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็จะสูญเปล่า  หากเจ้าไม่ตระหนักรู้แก่นแท้ของความจริง เจ้าก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  การเติบโตในชีวิตของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขานั้นสัมฤทธิ์ได้โดยการเข้าสู่ความเป็นจริง และยิ่งไปกว่านั้น โดยผ่านทางการเข้าสู่ประสบการณ์ที่มีรายละเอียด  หากเจ้าได้รับประสบการณ์ที่มีรายละเอียดมากมายระหว่างการเข้าสู่ของเจ้า และเจ้ามีความรู้และการเข้าสู่ที่แท้จริงมากมายแล้ว อุปนิสัยของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  แม้ว่าในปัจจุบัน หากเจ้ายังไม่ชัดเจนอย่างสมบูรณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติแล้ว อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับนิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่สามารถทำการเข้าสู่ได้ การเข้าสู่เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับความจริงเท่านั้น  เฉพาะในกรณีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าในประสบการณ์ของเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะได้รับความเข้าใจที่ลึกล้ำยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความจริงและการเข้าสู่ที่ลึกล้ำยิ่งขึ้นด้วย  พวกเจ้าต้องมาทำความรู้จักกับพระราชกิจของพระเจ้า

ในปฐมกาล หลังการทรงสร้างมวลมนุษย์ เป็นคนอิสราเอลที่ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานของพระราชกิจของพระเจ้า  ประเทศอิสราเอลทั้งหมดเป็นฐานของพระราชกิจของพระยาห์เวห์บนแผ่นดินโลก  พระราชกิจของพระยาห์เวห์คือการนำทางและเป็นผู้เลี้ยงแก่มนุษย์โดยตรงด้วยการกำหนดธรรมบัญญัติ เพื่อให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตที่ปกติและนมัสการพระยาห์เวห์ในลักษณะที่ปกติบนแผ่นดินโลก  พระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้โดยมนุษย์  เพราะทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำคือการทรงนำผู้คนพวกแรกสุดที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม โดยการสั่งสอนและเป็นผู้เลี้ยงแก่พวกเขา พระวจนะของพระองค์จึงไม่ได้บรรจุอะไรไว้นอกจากธรรมบัญญัติ กฎเกณฑ์ และบรรทัดฐานของความประพฤติมนุษย์ และไม่ได้ให้ความจริงของชีวิตแก่พวกเขา  คนอิสราเอลภายใต้การนำของพระองค์ไม่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถลำลึก  พระราชกิจแห่งธรรมบัญญัติของพระองค์เป็นเพียงช่วงระยะแรกสุดในพระราชกิจแห่งความรอด จุดเริ่มต้นอย่างแท้จริงของพระราชกิจแห่งความรอด และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องอย่างแท้จริงกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยชีวิตของมนุษย์  ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นในช่วงเริ่มต้นของพระราชกิจแห่งความรอดที่พระองค์จะทรงยอมรับสภาพเนื้อหนังสำหรับพระราชกิจของพระองค์ในประเทศอิสราเอล  นี่คือเหตุผลที่พระองค์ทรงต้องการสื่อกลาง—เครื่องมือสักชิ้น—ที่จะใช้เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับมนุษย์  ดังนั้น ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจึงมีผู้ที่พูดและทำงานในพระนามของพระยาห์เวห์ลุกขึ้นมา ซึ่งเป็นวิธีที่บรรดาบุตรมนุษย์และผู้เผยพระวจนะได้มาทำงานท่ามกลางมนุษย์  บรรดาบุตรมนุษย์ทำงานท่ามกลางมนุษย์ในพระนามของพระยาห์เวห์  การถูกพระยาห์เวห์ทรงเรียกว่า “บุตรมนุษย์” นั้นหมายความว่าผู้คนเช่นนี้ได้กำหนดธรรมบัญญัติในพระนามของพระยาห์เวห์  พวกเขาเป็นปุโรหิตท่ามกลางผู้คนของประเทศอิสราเอลอีกด้วย ปุโรหิตที่พระยาห์เวห์ทรงคอยปกป้องและคุ้มครอง และซึ่งพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทรงพระราชกิจในพวกเขา พวกเขาเป็นผู้นำท่ามกลางผู้คน และรับใช้พระยาห์เวห์โดยตรง  ในทางกลับกัน ผู้เผยพระวจนะได้อุทิศตนเพื่อการพูดในพระนามของพระยาห์เวห์ต่อผู้คนของทุกแผ่นดินและชนเผ่า  พวกเขาทำนายพระราชกิจของพระยาห์เวห์อีกด้วย  ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุตรมนุษย์หรือผู้เผยพระวจนะ ทั้งหมดได้รับการยกขึ้นโดยพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ด้วยพระองค์เองและมีพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในพวกเขา  ท่ามกลางผู้คน พวกเขาคือผู้ที่เป็นตัวแทนโดยตรงของพระยาห์เวห์ พวกเขาทำงานของพวกเขาเพียงเพราะพวกเขาได้รับการยกขึ้นโดยพระยาห์เวห์ และไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นเนื้อหนังที่พระวิญญาณบริสุทธิ์พระองค์เองประสูติมาเป็น  ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะพูดและทำงานคล้ายคลึงกันในพระนามของพระเจ้า บุตรมนุษย์และผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นในยุคธรรมบัญญัติจึงไม่ใช่เนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  พระราชกิจของพระเจ้าในยุคพระคุณและช่วงระยะสุดท้ายนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะพระราชกิจแห่งความรอดและการพิพากษาของมนุษย์นั้นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์พระองค์เองทรงทำทั้งคู่ และดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอย่างใดเลยที่จะยกผู้เผยพระวจนะและบุตรมนุษย์ขึ้นอีกครั้งเพื่อทำงานในพระนามของพระองค์  ในสายตามนุษย์ ไม่มีความแตกต่างอย่างถึงแก่นระหว่างแก่นแท้และวิธีการทำงานของทั้งสองฝ่าย  และด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงสับสนเป็นนิตย์ระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์กับงานของบรรดาผู้เผยพระวจนะและบุตรมนุษย์  การทรงปรากฏของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์โดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนกับการปรากฏของผู้เผยพระวจนะและบุตรมนุษย์  และพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ยิ่งปกติกว่าและสัมพันธ์กับชีวิตจริงกว่าผู้เผยพระวจนะ  ดังนั้น มนุษย์จึงไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างพวกเขาได้  มนุษย์มุ่งเน้นที่รูปลักษณ์เท่านั้น ไม่ตระหนักรู้อย่างสิ้นเชิงว่าแม้ทั้งสองฝ่ายจะเหมือนกันในการดำรงอยู่ การทำงานและการพูด แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างในแก่นแท้  เนื่องจากความสามารถของมนุษย์ในการแยกแยะสิ่งต่างๆ อ่อนด้อยเกินไป เขาจึงไร้ความสามารถที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างปัญหาง่ายๆ ยิ่งสิ่งที่ซับซ้อนมากๆ ยิ่งไม่ได้เลย  เมื่อผู้เผยพระวจนะและบรรดาผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ได้พูดและได้ทำงาน นี่ก็คือการทำหน้าที่ของมนุษย์ มันคือการรับใช้ภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และมันเป็นบางสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำ  อย่างไรก็ตาม พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็คือการดำเนินการพันธกิจของพระองค์  แม้ว่ารูปสัณฐานภายนอกของพระองค์เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่พระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของพระองค์แต่เป็นพันธกิจของพระองค์  คำว่า “หน้าที่” ถูกนำมาใช้ในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในขณะที่ “พันธกิจ” ถูกนำมาใช้ในส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  สองอย่างนี้มีความแตกต่างกันในสาระ ไม่สามารถใช้สลับกันได้  งานของมนุษย์เป็นเพียงการทำหน้าที่ของเขา ในขณะที่พระราชกิจของพระเจ้าคือการบริหารจัดการและการดำเนินการพันธกิจของพระองค์  ดังนั้น แม้ว่าอัครทูตหลายท่านได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้และผู้เผยพระวจนะหลายท่านก็เต็มเปี่ยมด้วยพระองค์ งานและคำพูดของพวกเขาเป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  คำพยากรณ์ของพวกเขาอาจเกินเลยวิถีชีวิตที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ตรัสถึง และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาอาจอยู่เหนือกว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่ของพวกเขา และไม่ได้กำลังดำเนินการพันธกิจให้ลุล่วง  หน้าที่ของมนุษย์อ้างถึงภารกิจของมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถบรรลุได้  อย่างไรก็ตาม พันธกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงดำเนินการนั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์ และนี่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์  ไม่ว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จะตรัส ทรงพระราชกิจ หรือทรงสำแดงการมหัศจรรย์ พระองค์กำลังทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่ท่ามกลางการบริหารจัดการของพระองค์ และพระราชกิจเช่นนี้มนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้  งานของมนุษย์เป็นเพียงการทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในช่วงระยะใดช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  หากไม่มีการบริหารจัดการของพระเจ้า กล่าวคือ หากพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ต้องสูญหายไป หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างก็จะสูญหายไป  พระราชกิจของพระเจ้าในการดำเนินการพันธกิจของพระองค์คือการบริหารจัดการมนุษย์ ในขณะที่การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือการทำให้ภาระผูกพันของเขาเองลุล่วงเพื่อสนองตอบข้อเรียกร้องของพระผู้สร้าง และไม่มีทางสามารถถือได้ว่าเป็นการดำเนินการพันธกิจของผู้ใด  สำหรับเนื้อแท้โดยธรรมชาติของพระเจ้า—สำหรับพระวิญญาณของพระองค์—พระราชกิจของพระเจ้าคือการบริหารจัดการของพระองค์ แต่สำหรับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ที่ทรงสวมรูปสัญฐานภายนอกของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระราชกิจของพระองค์คือการดำเนินการพันธกิจของพระองค์  พระราชกิจใดๆ ก็ตามที่พระองค์ทรงทำก็คือการดำเนินการพันธกิจของพระองค์ ทั้งหมดที่มนุษย์สามารถทำได้คือทำให้ดีที่สุดภายในขอบเขตการบริหารจัดการของพระเจ้าและภายใต้การทรงนำของพระองค์

อันที่จริง ผลการปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์เป็นความสำเร็จที่เกิดจากทุกสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติในตัวมนุษย์ ซึ่งหมายถึงทั้งหมดที่เป็นไปได้สำหรับมนุษย์  เมื่อนั้นหน้าที่ของเขาย่อมลุล่วง  ข้อบกพร่องต่างๆ ของมนุษย์ในระหว่างการปรนนิบัติของเขาจะค่อยๆ ลดลงผ่านประสบการณ์ที่ก้าวหน้าและกระบวนการแห่งการก้าวผ่านการพิพากษาของเขาข้อบกพร่องต่างๆ เหล่านี้ไม่ขัดขวางหรือส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของมนุษย์  พวกที่หยุดรับใช้หรือยอมแพ้และถอยกลับเพราะกลัวว่าอาจมีข้อบกพร่องในการรับใช้ของพวกเขานั้นขลาดที่สุดของคนทั้งหมด  หากผู้คนไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาควรจะแสดงออกในระหว่างการปรนนิบัติหรือการสัมฤทธิ์สิ่งที่เป็นไปได้โดยธรรมชาติสำหรับพวกเขา แต่กลับทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น พวกเขาก็ได้สูญเสียภารกิจที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี  ผู้คนเช่นนี้เป็นสิ่งที่รู้จักกันว่าเป็น “คนที่มีคุณภาพปานกลาง” พวกเขาเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถูกเรียกอย่างเหมาะสมว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?  พวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เสื่อมทรามซึ่งสุกใสที่ด้านนอกแต่เน่าเสียที่ด้านในหรอกหรือ?  หากมนุษย์คนหนึ่งเรียกตัวเองว่าพระเจ้า แต่ไร้ความสามารถที่จะแสดงออกถึงการมีเทวสภาพ ทำงานของพระเจ้าพระองค์เอง หรือเป็นตัวแทนของพระเจ้า ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาไม่ใช่พระเจ้า เพราะเขาไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้า และสิ่งที่พระเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยธรรมชาติไม่ดำรงอยู่ในตัวเขา  หากมนุษย์สูญเสียสิ่งที่เขาสามารถบรรลุได้โดยธรรมชาติ เขาก็จะไม่สามารถถูกพิจารณาว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป และเขาก็จะไม่มีค่าพอที่จะยืนหยัดเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและรับใช้พระองค์  ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีค่าพอที่จะรับพระคุณของพระเจ้าหรือรับการปกป้อง คุ้มครอง และทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  หลายคนที่ได้สูญเสียความไว้วางพระทัยของพระเจ้ายังคงสูญเสียพระคุณของพระเจ้าต่อไป  พวกเขาไม่เพียงไม่เกลียดชังความประพฤติอันชั่วของตนเท่านั้น แต่พวกเขายังเผยแพร่แนวคิดที่ว่าหนทางของพระเจ้านั้นไม่ถูกต้องอย่างโจ่งแจ้ง และบรรดาผู้ที่เป็นกบฏถึงกับปฏิเสธการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้ที่มีความเป็นกบฏมากเช่นนี้จะสามารถมีสิทธิ์ได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกที่ไม่ทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงนั้นเป็นกบฏอย่างยิ่งต่อพระเจ้าและเป็นหนี้พระองค์มากมาย แต่พวกเขาหันหลังกลับและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่าพระเจ้าผิด  มนุษย์ชนิดนี้จะสามารถมีค่าพอที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อย่างไร?  นี่คือตัวบ่งชี้ว่าจะถูกกำจัดออกไปและถูกลงโทษมิใช่หรือ?  ผู้คนที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้านั้นมีความผิดอยู่แล้วต่ออาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด ซึ่งแม้แต่ความตายก็เป็นการลงโทษที่ไม่เพียงพอ แต่พวกเขาก็ยังมีหน้ามาโต้เถียงกับพระเจ้าและเทียบตัวพวกเขากับพระองค์  อะไรคือคุณค่าของการทำให้ผู้คนเช่นนี้เพียบพร้อม?  เมื่อผู้คนล้มเหลวในการทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วง พวกเขาควรรู้สึกผิดและเป็นหนี้ พวกเขาควรเกลียดชังความอ่อนแอและความไร้ประโยชน์ของตน การเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น ควรจะมอบชีวิตของพวกเขาให้กับพระเจ้า  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีค่าพอที่จะได้ชื่นชมพรและสัญญาของพระเจ้า และได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์  แล้วส่วนใหญ่ของพวกเจ้านั้นเล่า?  พวกเจ้าจะปฏิบัติต่อพระเจ้าที่ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าอย่างไร?  พวกเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์อย่างไร?  พวกเจ้าได้ทำทุกสิ่งที่เจ้าได้ถูกเรียกให้ทำโดยถึงกับต้องสละแม้แต่ชีวิตของเจ้าเองแล้วหรือยัง?  พวกเจ้าได้พลีอุทิศอะไรไปบ้าง?  พวกเจ้าไม่ได้รับมากมายจากเราแล้วหรอกหรือ?  พวกเจ้าสามารถแยกแยะได้หรือไม่?  พวกเจ้าจงรักภักดีต่อเราเพียงใด?  พวกเจ้าได้รับใช้เราอย่างไร?  แล้วทุกสิ่งที่เราได้มอบให้พวกเจ้าและได้ทำเพื่อพวกเจ้านั้นเล่า?  พวกเจ้าได้ทำการประเมินทุกอย่างไว้แล้วหรือยัง?  พวกเจ้าทั้งหมดได้ตัดสินและเปรียบเทียบการนี้กับมโนธรรมน้อยนิดที่พวกเจ้ามีอยู่ในตัวพวกเจ้าแล้วหรือยัง?  ใครคือผู้ที่คำพูดและการกระทำของพวกเจ้าสามารถมีค่าพอสำหรับเขา?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าการพลีอุทิศเพียงน้อยนิดของพวกเจ้านั้นมีค่าพอสำหรับทุกสิ่งที่เราได้มอบให้พวกเจ้า?  เราไม่มีทางเลือกอื่นใดและได้อุทิศตนอย่างสุดหัวใจให้พวกเจ้ามานานแล้ว  แต่พวกเจ้ายังคงเก็บงำเจตนาชั่วร้ายไว้และมีความไม่เต็มใจต่อเรา  นั่นคือขอบข่ายหน้าที่ของพวกเจ้า ภารกิจเพียงอย่างเดียวของพวกเจ้า  มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง?  พวกเจ้าจะสามารถถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?  มันไม่ชัดเจนสำหรับพวกเจ้าหรอกหรือว่าพวกเจ้ากำลังแสดงออกและดำรงชีวิตตามอะไร?  พวกเจ้าได้ล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าให้ลุล่วง แต่พวกเจ้าพยายามที่จะได้รับความอดกลั้นและพระคุณอันไพบูลย์ของพระเจ้า  พระคุณเช่นนี้ไม่ได้ถูกตระเตรียมไว้สำหรับคนที่ไร้ค่าและต่ำช้าเช่นพวกเจ้า แต่ถูกตระเตรียมไว้สำหรับพวกที่ไม่ขออะไรและพลีอุทิศด้วยความยินดี  ผู้คนเช่นพวกเจ้า คนที่มีคุณภาพปานกลางเช่นนี้ ไม่มีค่าพออย่างที่สุดที่จะได้ชื่นชมพระคุณแห่งสวรรค์  มีแต่ความยากลำบากและการลงโทษที่ไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้นที่จะไปกับพวกเจ้าทุกวัน!  หากพวกเจ้าไม่สามารถสัตย์ซื่อต่อเรา ชะตากรรมของพวกเจ้าก็จะเป็นชะตากรรมแห่งความทุกข์  หากเจ้าไม่สามารถรับผิดชอบต่อถ้อยคำของเราและงานของเรา บทอวสานของพวกเจ้าก็จะเป็นบทอวสานแห่งการลงโทษ  พระคุณ พร และชีวิตอันวิเศษของอาณาจักรทั้งหมดนั้นจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเจ้า  นี่คือจุดจบที่พวกเจ้าสมควรได้พบและเป็นผลสืบเนื่องจากการกระทำของพวกเจ้าเอง!  พวกที่ไม่รู้เท่าทันและโอหังไม่เพียงไม่พยายามอย่างเต็มที่หรือปฏิบัติหน้าที่ของตนเท่านั้น พวกเขายังยื่นมือของพวกเขาออกไปหาพระคุณราวกับว่าสิ่งที่พวกเขาร้องขอนั้นเป็นสิ่งซึ่งสมควรได้รับ  และหากพวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาร้องขอ พวกเขาก็จะกลับกลายเป็นสัตย์ซื่อน้อยลงไปทุกที  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถือว่ามีเหตุผลได้อย่างไร?  พวกเจ้ามีขีดความสามารถต่ำและไร้เหตุผล ไม่สามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่พวกเจ้าควรจะทำให้ลุล่วงในระหว่างพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการ  มูลค่าของพวกเจ้าได้ตกฮวบลงแล้ว  ความล้มเหลวของพวกเจ้าในการตอบแทนเราสำหรับการแสดงพระคุณเช่นนี้ต่อพวกเจ้าเป็นการกระทำที่เป็นกบฏอย่างที่สุด ซึ่งเพียงพอที่จะประณามพวกเจ้าและแสดงให้เห็นถึงความขี้ขลาด ความไร้สามารถ ความต่ำช้า และความเลวทรามของพวกเจ้า  อะไรให้สิทธิ์พวกเจ้ายื่นมือออกไปอยู่อย่างนั้น?  การที่พวกเจ้าไร้ความสามารถที่จะให้ความช่วยเหลืองานของเราแม้แต่น้อย ไร้ความสามารถที่จะจงรักภักดี และไร้ความสามารถที่จะยืนหยัดเป็นพยานให้เราได้นั้นคือการประพฤติผิดและความล้มเหลวของพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับโจมตีเรา เล่าความเท็จเกี่ยวกับเรา และพร่ำบ่นว่าเราไม่ชอบธรรมแทน  นี่หรือคือสิ่งที่ประกอบกันเป็นความจงรักภักดีของพวกเจ้า?  นี่หรือคือสิ่งที่ประกอบกันเป็นความรักของพวกเจ้า?  มีงานอื่นนอกเหนือจากนี้ไหมที่พวกเจ้าสามารถทำได้?  พวกเจ้าได้มีส่วนช่วยในงานทั้งหมดที่ทำเสร็จไปแล้วอย่างไร?  พวกเจ้าได้สละไปมากเท่าใด?  เราได้แสดงให้เห็นถึงความอดกลั้นสูงยิ่งโดยไม่โทษพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ยังคงยกข้ออ้างอย่างหน้าไม่อายต่อเรา และพร่ำบ่นเกี่ยวกับเราเป็นการส่วนตัว  พวกเจ้ามีร่องรอยของความเป็นมนุษย์แม้เพียงน้อยนิดหรือไม่?  แม้ว่าหน้าที่ของมนุษย์จะถูกแปดเปื้อนโดยความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์และมโนคติที่หลงผิดของเขา แต่เจ้าต้องทำหน้าที่ของเจ้าและแสดงความจงรักภักดีของเจ้า  มลทินต่างๆ ในงานของมนุษย์คือประเด็นของขีดความสามารถของเขา เพราะเหตุว่า หากมนุษย์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเขา ก็แสดงให้เห็นความเป็นกบฏของเขา  ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือประสบเคราะห์ร้ายหรือไม่  หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำให้ลุล่วง เป็นงานของเขาที่สวรรค์ส่งมาให้ ซึ่งมนุษย์ควรปฏิบัติโดยไม่แสวงหาสิ่งตอบแทน ปราศจากเงื่อนไขหรือเหตุผล  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา  การได้รับพรหมายถึงพรทั้งหลายที่คนคนหนึ่งได้รับเมื่อพวกเขาได้รับการทำให้เพียบพร้อมหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา  การประสบเคราะห์ร้ายหมายถึงการลงโทษที่คนคนหนึ่งได้รับเมื่ออุปนิสัยของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากที่พวกเขาได้ก้าวผ่านการตีสอนและการพิพากษาแล้ว—นั่นคือ เมื่อพวกเขาไม่ได้รับการทำให้เพียบพร้อม  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือประสบเคราะห์ร้ายก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำเป็นอย่างน้อย  เจ้าไม่ควรปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และไม่ควรปฏิเสธการปฏิบัติหน้าที่ของตนเพราะกลัวว่าจะประสบเคราะห์ร้าย  เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา  โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา  ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น  พวกที่เพียงแต่เสแสร้งทำไปอย่างพอเป็นพิธีในการทำหน้าที่ของพวกเขาและไม่แสวงหาความจริงย่อมจะถูกกำจัดออกไปในท้ายที่สุด เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาในการปฏิบัติความจริง และไม่ปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาคือพวกที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะประสบเคราะห์ร้าย  ไม่เพียงแต่การแสดงออกของพวกเขาไม่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกยังชั่วอีกด้วย

ในยุคพระคุณ พระเยซูได้ตรัสไว้หลายคำและทรงพระราชกิจมากมาย  พระองค์ทรงแตกต่างจากอิสยาห์อย่างไร?  พระองค์ทรงแตกต่างจากดาเนียลอย่างไร?  พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะหรือไม่?  ทำไมจึงพูดว่าพระองค์คือพระคริสต์?  อะไรคือความแตกต่างระหว่างพวกเขา?  พวกเขาล้วนเป็นบุรุษทุกคนที่กล่าวคำพูด และคำพูดของพวกเขาก็ปรากฏต่อมนุษย์เหมือนกันไม่มากก็น้อย  พวกเขาทั้งหมดกล่าวคำพูดและทำงาน  ผู้เผยพระวจนะในภาคพันธสัญญาเดิมได้กล่าวคำพยากรณ์ และในทำนองเดียวกัน พระเยซูก็สามารถทำเช่นนั้นได้  ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?  ความแตกต่างในที่นี้อยู่บนพื้นฐานของลักษณะของงาน  เพื่อแยกแยะในเรื่องนี้ เจ้าต้องไม่พิจารณาธรรมชาติของเนื้อหนัง อีกทั้งเจ้าไม่ควรพิจารณาความลึกหรือความผิวเผินของคำพูดของพวกเขา  เจ้าต้องพิจารณางานของพวกเขาและผลที่งานของพวกเขาสัมฤทธิ์ในมนุษย์ก่อนเสมอ  คำพยากรณ์ที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ในเวลานั้นไม่ได้จัดหาชีวิตของมนุษย์ และการดลใจที่พวกเขา เช่น อิสยาห์และดาเนียล ได้รับนั้นเป็นเพียงคำพยากรณ์ และไม่ใช่วิถีชีวิต  หากไม่ใช่เพื่อการเปิดเผยโดยตรงของพระยาห์เวห์ ก็คงไม่มีใครสามารถทำงานนั้นได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์  พระเยซูก็ได้ตรัสพระวจนะหลายคำเช่นกัน แต่คำพูดเช่นนี้เป็นวิถีชีวิตซึ่งมนุษย์สามารถหาเส้นทางไปสู่การปฏิบัติจากมันได้  นั่นก็คือการกล่าวว่า ประการแรก พระองค์สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์ได้เพราะพระเยซูทรงเป็นชีวิต ประการที่สอง พระองค์สามารถแก้ไขแง่มุมที่บิดเบี้ยวของมนุษย์ให้ถูกต้องได้ ประการที่สาม พระราชกิจของพระองค์สามารถทำต่อจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์เพื่อดำเนินการยุคต่อได้ ประการที่สี่ พระองค์สามารถจับความเข้าใจในสิ่งจำเป็นภายในมนุษย์และเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ขาดพร่อง ประการที่ห้า พระองค์สามารถนำมาซึ่งยุคใหม่และสรุปปิดตัวยุคเก่า  นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงถูกเรียกว่าพระเจ้าและพระคริสต์ พระองค์ไม่เพียงทรงแตกต่างจากอิสยาห์เท่านั้น แต่ทรงแตกต่างจากผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ ทั้งหมดอีกด้วย  ลองดูอิสยาห์เป็นตัวเปรียบเทียบสำหรับงานของบรรดาผู้เผยพระวจนะ  ประการแรก เขาไม่สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์ ประการที่สอง เขาไม่สามารถนำมาซึ่งยุคใหม่  เขาทำงานภายใต้การนำของพระยาห์เวห์และไม่ใช่เพื่อการนำมาซึ่งยุคใหม่  ประการที่สาม คำพูดที่เขากล่าวนั้นอยู่เหนือเขา  เขาได้รับการเปิดเผยโดยตรงจากพระวิญญาณของพระเจ้า และคนอื่นๆ จะไม่เข้าใจ แม้จะได้ฟังคำพูดเหล่านั้น  เพียงไม่กี่สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาไม่ได้เป็นมากกว่าคำพยากรณ์ ไม่ได้เป็นมากกว่าแง่มุมหนึ่งของงานที่ถูกทำแทนที่ของพระยาห์เวห์  อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ได้อย่างสมบูรณ์  เขาเป็นผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ เป็นเครื่องมือในพระราชกิจของพระยาห์เวห์  เขาเพียงแค่กำลังทำงานในยุคธรรมบัญญัติและภายในขอบเขตของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ เขาไม่ได้ทำงานเกินเลยยุคธรรมบัญญัติ  ในทางตรงกันข้าม พระราชกิจของพระเยซูแตกต่างออกไป  พระองค์ทรงอยู่เหนือขอบเขตของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงพระราชกิจเสมือนพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และก้าวผ่านการตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมด  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงดำเนินการพระราชกิจใหม่นอกพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำ  นี่คือการนำมาซึ่งยุคใหม่  นอกจากนี้ พระองค์ยังสามารถตรัสถึงสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้  พระราชกิจของพระองค์เป็นพระราชกิจภายในการบริหารจัดการของพระเจ้าและเกี่ยวข้องกับมวลมนุษย์ทั้งหมด  พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในมนุษย์เพียงไม่กี่คน อีกทั้งพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อนำทางมนุษย์จำนวนจำกัด  ในส่วนของวิธีที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ วิธีที่พระวิญญาณทรงมอบวิวรณ์ในเวลานั้น และวิธีที่พระวิญญาณทรงเคลื่อนลงสถิตบนบุรุษหนึ่งเพื่อทรงพระราชกิจ—เหล่านี้เป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้  มันเป็นไปไม่ได้อย่างที่สุดที่ความจริงเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นบทพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  ดังนั้น ความแตกต่างสามารถทำขึ้นได้ท่ามกลางพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเป็นรูปธรรมสำหรับมนุษย์  นี่เท่านั้นที่เป็นจริง  นี่เป็นเพราะเรื่องของพระวิญญาณนั้นไม่สามารถมองเห็นได้สำหรับเจ้าและมีพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงรู้จักอย่างชัดเจน และแม้แต่เนื้อหนังในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็ทรงรู้ไม่ทั้งหมด เจ้าสามารถเพียงแค่ตรวจสอบยืนยันได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่จากพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปแล้ว  จากพระราชกิจของพระองค์ จะเห็นได้ว่า ประการแรก พระองค์สามารถเปิดฉากยุคใหม่ ประการที่สอง พระองค์สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์และแสดงให้มนุษย์เห็นหนทางที่จะติดตามไป  นี่เพียงพอที่จะยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง  อย่างน้อยที่สุด พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำก็สามารถเป็นตัวแทนของพระวิญญาณของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ และจากพระราชกิจเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่ภายในพระองค์  เมื่อพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทำโดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อนำมาซึ่งยุคใหม่ นำพระราชกิจใหม่ และเปิดฉากอาณาจักรใหม่ เหล่านี้เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง  ดังนั้น นี่จึงทำให้พระองค์ทรงแตกต่างจากอิสยาห์ ดาเนียล และผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ท่านอื่นๆ  อิสยาห์ ดาเนียล และท่านอื่นๆ ล้วนอยู่ในกลุ่มคนที่มีการศึกษาและมีวัฒนธรรมสูงส่ง พวกเขาเป็นกลุ่มคนพิเศษภายใต้การนำของพระยาห์เวห์  เนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็มีความรู้สูงและไม่ขาดสำนึกรับรู้เช่นกัน แต่สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์เป็นปกติโดยเฉพาะ  พระองค์ทรงเป็นคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง และตาเปล่าไม่สามารถหยั่งรู้สภาวะความเป็นมนุษย์พิเศษใดๆ เกี่ยวกับพระองค์หรือสืบหาสิ่งใดในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ที่ไม่เหมือนกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนอื่นๆ  พระองค์ไม่ได้ทรงเหนือธรรมชาติหรือมีเอกลักษณ์เฉพาะใดๆ และพระองค์ไม่ทรงมีการศึกษาสูง ความรู้ หรือทฤษฎีใดๆ  ชีวิตที่พระองค์ตรัสถึงและเส้นทางที่พระองค์ทรงใช้ไม่ได้ได้มาโดยผ่านทางทฤษฎี โดยผ่านทางความรู้ โดยผ่านทางประสบการณ์ชีวิต หรือโดยผ่านทางการเลี้ยงดูโดยครอบครัว  แต่ตรงกันข้าม พวกนั้นเป็นพระราชกิจโดยตรงของพระวิญญาณ ซึ่งเป็นงานของเนื้อหนังที่ประสูติมา  เป็นเพราะมนุษย์มีมโนคติที่หลงผิดใหญ่หลวงเกี่ยวกับพระเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะมโนคติเหล่านี้สร้างขึ้นจากองค์ประกอบที่คลุมเครือและเหนือธรรมชาติมากเกินไปจนกระทั่ง ในสายตาของมนุษย์ พระเจ้าปกติองค์หนึ่งพร้อมความอ่อนแอของมนุษย์ ซึ่งไม่สามารถสร้างหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ย่อมไม่ใช่พระเจ้าอย่างแน่นอน  เหล่านี้คือมโนคติที่คลาดเคลื่อนของมนุษย์มิใช่หรือ?  หากเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ไม่ได้เป็นคนธรรมดา เช่นนั้นแล้ว จะสามารถกล่าวว่าพระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?  การมีสภาพเนื้อหนังคือการเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง  หากพระองค์ทรงเคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าแล้ว เช่นนั้นแล้วพระองค์คงจะทรงไม่ได้รับสภาพเนื้อหนัง  เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นของฝ่ายเนื้อหนัง พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงจำเป็นต้องมีเนื้อหนังปกติ  นี่เป็นเพียงการทำให้นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ครบถ้วนบริบูรณ์  อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่กรณีของบรรดาผู้เผยวจนะและบุตรมนุษย์  พวกเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ ในสายตาของมนุษย์ สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ และพวกเขาแสดงการกระทำหลายอย่างที่เหนือกว่าความเป็นมนุษย์ธรรมดา  ด้วยเหตุผลนี้ มนุษย์จึงถือว่าพวกเขาเป็นพระเจ้า  บัดนี้ พวกเจ้าทั้งหมดต้องเข้าใจการนี้อย่างชัดเจน เพราะมันเป็นประเด็นที่สับสนได้ง่ายที่สุดของมนุษย์ทุกคนในยุคที่ผ่านไป  นอกจากนี้ การประสูติเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ล้ำลึกที่สุดของทุกสรรพสิ่ง และพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากที่สุดสำหรับมนุษย์  สิ่งที่เรากล่าวช่วยชักนำไปสู่การทำให้ภารกิจของพวกเจ้าและความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับความล้ำลึกของการประสูติเป็นมนุษย์ลุล่วง  ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระเจ้า กับนิมิต  ความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับการนี้จะมีประโยชน์มากขึ้นต่อการได้รับความรู้เกี่ยวกับนิมิต ซึ่งก็คือพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้านั่นเอง  ด้วยวิธีนี้ พวกเจ้าจะได้รับความเข้าใจมากมายเกี่ยวกับหน้าที่ที่ผู้คนหลากหลายประเภทควรปฏิบัติอีกด้วย  แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะไม่แสดงอย่างตรงไปตรงมาให้พวกเจ้าเห็นหนทาง แต่ก็ยังคงช่วยพวกเจ้าได้มากสำหรับการเข้าสู่ของพวกเจ้า เพราะชีวิตปัจจุบันของพวกเจ้ายังขาดนิมิตอยู่มาก และนี่จะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่กีดกันการเข้าสู่ของพวกเจ้า  หากพวกเจ้าไร้ความสามารถที่จะเข้าใจประเด็นเหล่านี้ได้แล้ว เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีแรงจูงใจในการขับเคลื่อนการเข้าสู่ของพวกเจ้า  และการไล่ตามเสาะหาเช่นนี้จะสามารถช่วยให้เจ้าลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างถูกควรได้อย่างไร?

ก่อนหน้า:  บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้

ถัดไป:  พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

โปรดกรอกคำค้นหาในช่องค้นหา

Connect with us on Messenger
เนื้อหา
การตั้งค่า
หนังสือ
ค้นหา
วิดีโอ