บทที่ 108

ภายในเรา ทุกคนสามารถพบการหยุดพักได้ และทุกคนสามารถบรรลุอิสรภาพได้  พวกที่อยู่ภายนอกเราไม่สามารถได้รับอิสรภาพหรือความสุขได้ เพราะวิญญาณของเราไม่อยู่กับพวกเขา  ผู้คนเช่นนั้นถูกเรียกว่าคนตายที่ไร้จิตวิญญาณ ขณะที่เราเรียกบรรดาผู้ที่อยู่ภายในเราว่า “สิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณ”  พวกเขาเป็นของเรา และพวกเขาไม่แคล้วต้องกลับมายังบัลลังก์ของเรา  พวกที่ทำการปรนนิบัติและพวกที่เป็นของหมู่มารคือคนตายที่ไร้วิญญาณ และพวกเขาทั้งหมดต้องถูกลบล้างและถูกทำให้ไปสู่ความไม่มีอะไร  นี่คือความล้ำลึกแห่งแผนการบริหารจัดการของเรา และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของเราที่มวลมนุษย์ไม่สามารถหยั่งลึกได้ อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกัน เราก็ได้ทำให้การนี้เผยเป็นสาธารณะต่อทุกคน  พวกที่ไม่ได้เป็นของเราก็ขัดต่อเรา บรรดาผู้ที่เป็นของเราคือผู้ที่เข้ากับเราได้  นี่โต้แย้งไม่ได้อย่างที่สุด และเป็นหลักการเบื้องหลังการพิพากษาซาตานของเรา  หลักการนี้ควรเป็นที่รู้จักต่อคนทั้งหมดเพื่อที่พวกเขาจะสามารถมองเห็นความชอบธรรมและความเป็นธรรมของเรา  ทุกคนที่มาจากซาตานจะถูกพิพากษา ถูกเผาผลาญ และถูกทำให้แปรสภาพเป็นเถ้า  นี่ก็คือความโกรธของเราด้วยเช่นกัน และจากการนี้อุปนิสัยของเราก็ได้ถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดมากขึ้น  นับจากนี้ไป อุปนิสัยของเราจะได้รับการประกาศแจ้งอย่างเปิดเผย มันจะค่อยๆ ถูกเปิดเผยต่อกลุ่มชนทั้งมวลและชนชาติทั้งปวง ต่อทุกศาสนา ทุกนิกาย และทุกบุคคลจากทุกชนชั้นอาชีพ  จะไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้น ทั้งหมดจะได้รับการเปิดเผย  เป็นเพราะว่าอุปนิสัยของเราและหลักธรรมเบื้องหลังการกระทำของเรา คือความล้ำลึกอันซ่อนเร้นที่สุดต่อมวลมนุษย์ เราจึงต้องทำการนี้ (เพื่อที่บรรดาบุตรหัวปีจะไม่ล่วงละเมิดกฤษฎีกาบริหารของเรา และเพื่อที่จะใช้อุปนิสัยที่ได้รับการเปิดเผยของเราพิพากษากลุ่มชนทั้งมวลและชนชาติทั้งปวงด้วย)  นี่คือแผนการบริหารจัดการของเรา และเหล่านี้คือขั้นตอนของงานของเรา  จะไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงการนั้นได้อย่างง่ายๆ  เราได้ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันครบบริบูรณ์ของเทวสภาพของเราภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเราแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่อนุญาตให้ผู้ใดล่วงเกินสภาวะความเป็นมนุษย์ของเรา (ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราใช้ชีวิตคืออุปนิสัยเยี่ยงพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ก้าวข้ามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ)  เราจะไม่ยกโทษให้ผู้ใดที่ล่วงเกินเราอย่างแน่นอน และจะปล่อยให้เขาพินาศไปชั่วกัลปาวสาน!  จงจำเอาไว้!  นี่คือสิ่งที่เราได้ตัดสินใจแล้ว อีกนัยหนึ่งคือ นี่คือส่วนที่ขาดเสียไม่ได้ของกฤษฎีกาบริหารของเรา  ทุกคนควรมองเห็นการนี้ นั่นคือ ภาวะบุคคลที่เราเป็นคือพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น คือพระเจ้าพระองค์เอง  นี่ควรจะชัดเจนแล้วในตอนนี้!  เราไม่กล่าวสิ่งใดอย่างมักง่าย  เราเปล่งถ้อยคำและชี้ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน จนกระทั่งเจ้าได้รับความเข้าใจอันครบบริบูรณ์

สภาพการณ์ตึงเครียดมาก ไม่ใช่เพียงแค่ในบ้านของเราเท่านั้น แต่ที่มากยิ่งกว่านั้นคือ นอกบ้านของเรา เราพึงประสงค์ให้พวกเจ้าเป็นพยานต่อนามของเรา ใช้ชีวิตตามเรา และเป็นพยานให้เราในทุกแง่มุม  เพราะเหล่านี้คือวาระสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้วในตอนนี้และทุกสิ่งทุกอย่างรักษาการปรากฏดั้งเดิมของมันไว้ และไม่มีอันใดในการนี้จะมีวันเปลี่ยนแปลง  พวกที่ควรถูกเหวี่ยงทิ้งจะถูกเหวี่ยงทิ้ง และบรรดาผู้ที่ควรถูกเก็บไว้จะถูกเก็บไว้  จงอย่าพยายามยึดไว้หรือผลักไสโดยใช้กำลัง จงอย่าพยายามทำให้การบริหารจัดการของเราหยุดชะงักหรือทำลายแผนการของเรา  จากมุมมองของมนุษย์ เรารักและสงสารเห็นใจมวลมนุษย์เสมอ แต่จากมุมมองของเรา อุปนิสัยของเราถูกแยกความแตกต่างออกไปโดยสอดคล้องกับช่วงระยะของงานของเรา เพราะเราคือพระเจ้าผู้ทรงครองชีวิตจริงพระองค์เอง เราคือพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง!  เราทั้งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  นี่คือบางสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งลึกได้  เฉพาะเมื่อเราบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งนั้นเท่านั้นและอธิบายแก่พวกเจ้าเท่านั้น เจ้าถึงจะได้รับความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับการนี้และมีความสามารถที่จะจับใจความได้  สำหรับบรรดาบุตรของเรานั้น เรารักใคร่ สงสารเห็นใจ ชอบธรรม และมีวินัย แต่ไม่ทำการพิพากษา (และที่กล่าวเช่นนั้น เราหมายถึงว่าเราไม่ทำลายบรรดาบุตรหัวปี)  สำหรับผู้คนที่นอกเหนือจากบรรดาบุตรหัวปีของเรา เราเปลี่ยนแปลงเวลาใดก็ได้ขึ้นอยู่กับการแปรผันของยุคทั้งหลาย กล่าวคือ เราสามารถรักใคร่ สงสารเห็นใจ ชอบธรรม เปี่ยมบารมี คอยพิพากษา เปี่ยมไปด้วยความโกรธ สาปแช่ง เผาผลาญ และในที่สุด ทำลายเนื้อหนังของพวกเขาได้  พวกที่ถูกทำลายจะพินาศไปพร้อมกับจิตวิญญาณและดวงจิตของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม สำหรับบรรดาผู้ที่ทำการปรนนิบัติ เฉพาะจิตวิญญาณและดวงจิตของพวกเขาเท่านั้นที่จะถูกรักษาไว้ (และในเรื่องที่เกี่ยวกับความเฉพาะเจาะจงทั้งหลายที่ว่าเราจะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างไรนั้น เราจะบอกพวกเจ้าในภายหลัง เพื่อให้พวกเจ้าสามารถเข้าใจได้)  อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะไม่มีวันมีอิสรภาพและจะไม่มีวันถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เพราะพวกเขาอยู่ข้างใต้ประชากรของเรา และอยู่ภายใต้การควบคุมของประชากรของเรา  เหตุผลที่เราชิงชังพวกคนปรนนิบัติยิ่งนักก็คือว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง และพวกที่ไม่ใช่คนปรนนิบัติคือพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดงด้วยเช่นกัน  อีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนทั้งหมดที่ไม่ใช่บรรดาบุตรหัวปีคือพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง  เมื่อเรากล่าวว่าพวกที่ตกอยู่ในความพินาศถวายการสรรเสริญนิรันดร์กาลแก่เรา  เราหมายความว่าพวกเขาจะให้การปรนนิบัติเราไปตลอดกาล  นี่เป็นเรื่องตายตัว  ผู้คนเหล่านั้นจะเป็นทาส เป็นวัวควาย และม้าเสมอ  เราสามารถสังหารพวกเขาเมื่อใดก็ได้ และเราสามารถครองอำนาจเหนือพวกเขาตามที่เราปรารถนาได้ เพราะพวกเขาคือพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดงและไม่มีอุปนิสัยของเรา  นอกจากนี้ยังเป็นเพราะว่าพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง พวกเขาจึงมีอุปนิสัยของมัน นั่นคือ พวกเขาครองอุปนิสัยของสัตว์เดียรัจฉาน  นี่เป็นจริงอย่างสมบูรณ์และไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์!  นี่เป็นเพราะทั้งหมดถูกเราลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ (เราหมายความว่า เราจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดกระทำการขัดต่อกฎเกณฑ์นี้) หากเจ้าพยายาม เราก็จะซัดกระหน่ำเจ้าจนคว่ำลง!

พวกเจ้าควรมองดูความล้ำลึกทั้งหลายที่เราได้เปิดเผยไปเพื่อให้เห็นว่า แผนการบริหารจัดการของเราและงานของเรานั้นได้ไปถึงขั้นตอนใดแล้ว  เห็นว่าเราทำอะไรกับมือของเรา และเห็นว่าการพิพากษาของเราและความโกรธของเราตกแก่ผู้คนเช่นใด  นี่คือความชอบธรรมของเรา  เราวางผังงานของเราและเราบริหารจัดการแผนการของเราให้สอดคล้องกับความล้ำลึกที่เราได้เปิดเผย  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ ต้องกระทำทีละขั้นตอน ให้สอดคล้องกับความพึงปรารถนาของเรา  งานของเราปฏิบัติการไปตามเส้นทางที่เป็นความล้ำลึกทั้งหลาย และความล้ำลึกเหล่านั้นคือหมายสำคัญที่บ่งชี้ขั้นตอนทั้งหลายในแผนการบริหารจัดการของเรา  จะไม่มีผู้ใดเพิ่มหรือหักสิ่งใดออกจากความล้ำลึกทั้งหลายของเรา ทั้งนี้เพราะหากความล้ำลึกนั้นผิด เช่นนั้นแล้วเส้นทางนั้นก็ผิด  เหตุใดเล่าเราจึงกำลังเปิดเผยความล้ำลึกของเราแก่พวกเจ้า?  เหตุผลคืออะไรหรือ?  ผู้ใดหรือท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถพูดได้อย่างชัดเจน?  นอกจากนี้ เราได้กล่าวว่าความล้ำลึกทั้งหลายคือเส้นทาง ดังนั้น เส้นทางนี้อ้างอิงถึงอะไรหรือ?  เส้นทางนี้คือกระบวนการที่พวกเจ้าก้าวผ่านจากเนื้อหนังไปสู่ร่างกาย และนี่คือช่วงระยะหนึ่งที่มีความสำคัญ  หลังจากที่เราเปิดเผยความล้ำลึกของเรา มโนคติที่หลงผิดของผู้คนค่อยๆ ถูกลบออกไปและความคิดของพวกเขาค่อยๆ ถูกทำให้อ่อนแอลง  นี่คือกระบวนการของการเข้าสู่อาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณ  ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวว่างานของเราเกิดขึ้นเป็นขั้นตอน และนั่นไม่คลุมเครือ นี่คือความเป็นจริง และนี่คือวิธีการทำงานของเรา  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ อีกทั้งไม่มีใครอื่นสามารถสัมฤทธิ์ได้ ด้วยว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง!  งานของเราได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยตัวเราเองโดยเฉพาะ  ทั่วทั้งสากลพิภพควบคุมโดยเราแต่เพียงลำพัง และได้รับการจัดการเตรียมการโดยเราแต่เพียงลำพัง  ผู้ใดเล่ากล้าไม่รับฟังเรา?  (โดย “เราแต่เพียงลำพัง” เราหมายถึงพระเจ้าพระองค์เอง เพราะบุคคลที่เราเป็นคือพระเจ้าพระองค์เอง—ดังนั้นจงอย่ายึดมั่นต่อมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองอย่างแน่นหนานัก)  ผู้ใดเล่ากล้าขัดต่อเรา?  พวกเขาจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง!  พวกเจ้าก็ได้เห็นบทอวสานของพญานาคใหญ่สีแดงนั่นไปแล้วนี่นา!  นั่นคือจุดจบของมัน แต่นั่นก็เป็นความไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน  งานต้องกระทำโดยเราด้วยตัวเราเอง เพื่อที่พญานาคใหญ่สีแดงจะถูกทำให้อับอาย  มันจะไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกเลย และมันจะถูกทำลายไปจนชั่วนิรันดร์!  บัดนี้เรากำลังเริ่มต้นเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลาย  (จงจำไว้!  ความล้ำลึกส่วนใหญ่ที่ได้รับการเปิดเผยคือสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าเอ่ยกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ว่าไม่มีผู้ใดเข้าใจ)  เราได้กล่าวว่าสรรพสิ่งทั้งปวงที่ผู้คนเห็นว่ายังไม่แล้วเสร็จ ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์แล้วในสายตาของเรา และสิ่งทั้งหลายที่เราเห็นว่าเป็นเพียงการเริ่มต้นนั้น สำหรับผู้คนแล้วดูเหมือนว่าได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ไปเรียบร้อยแล้ว  นี่ย้อนแย้งกันหรือไม่?  ไม่ย้อนแย้ง  ผู้คนคิดแบบนั้นเพราะพวกเขามีมโนคติที่หลงผิดและมีความคิดของพวกเขาเอง  สิ่งทั้งหลายที่เราวางแผนการนั้นได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยผ่านวจนะของเรา (สิ่งเหล่านั้นได้รับการจัดตั้งเมื่อเรากล่าวเช่นนั้น และสิ่งเหล่านั้นได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์เมื่อเรากล่าวเช่นนั้น)  อย่างไรก็ตาม สำหรับเราแล้ว ดูไม่เหมือนว่าสิ่งทั้งหลายที่เรากล่าวไปได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์  นี่เป็นเพราะมีเวลาจำกัดกับสิ่งทั้งหลายที่เราทำ  ด้วยเหตุนี้ เราจึงมองเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ว่าไม่ครบบริบูรณ์ แม้ว่าในสายตาทางเนื้อหนังของผู้คน (เพราะความแตกต่างในมโนทัศน์เรื่องเวลาของพวกเขา) สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์แล้ว  ในทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่สงสัยเราเพราะความล้ำลึกทั้งหลายที่เราได้เปิดเผย  เพราะการเริ่มต้นของความเป็นจริง และเพราะเจตนาของเราไม่เข้ากันกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน พวกเขาจึงต้านทานเราและปฏิเสธเรา  นี่คือการที่ซาตานวางกับดักตัวมันในกลอุบายของมันเอง  (พวกเขาต้องการได้รับพร แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าพระเจ้าจะไม่ทรงอยู่แนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาจนถึงขอบข่ายขนาดนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงล่าถอย)  นี่คือผลของงานของเราด้วยเช่นกัน  ผู้คนทั้งปวงควรสรรเสริญเรา แซ่ซ้องเพื่อเราและมอบสง่าราศีแก่เรา  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือของเราอย่างสมบูรณ์ และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในการพิพากษาของเราอย่างสมบูรณ์  เมื่อกลุ่มชนทั้งหมดหลั่งไหลไปยังภูเขาของเรา และเมื่อบรรดาบุตรหัวปีกลับมาอย่างมีชัยชนะ นั่นก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของแผนการบริหารจัดการของเรา  นั่นจะเป็นชั่วขณะของความครบบริบูรณ์สำหรับแผนการบริหารจัดการหกพันปีของเรา  ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการจัดการเตรียมการด้วยตัวเราเองโดยเฉพาะ เราได้กล่าวการนี้มาแล้วหลายครั้ง  เนื่องจากว่าพวกเจ้ายังคงดำรงชีวิตอยู่ภายในมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เราจึงต้องเน้นถึงการนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ไม่ทำผิดพลาดใดๆ ตรงนี้อันเป็นเหตุที่จะทำให้แผนการของเราหยุดชะงัก  ผู้คนไม่สามารถช่วยเหลือเราได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถมีส่วนในการบริหารจัดการของเราได้ เพราะ ณ ปัจจุบันนี้พวกเจ้ายังคงมีเลือดเนื้ออยู่ (แม้ว่าเจ้าเป็นของเรา เจ้าก็ยังคงมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง)  เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงกล่าวว่าบรรดาผู้ที่มีเลือดเนื้อไม่สามารถได้รับมรดกของเราได้  นี่คือเหตุผลหลักที่ให้พวกเจ้าเข้าสู่อาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน

ในโลกนี้ แผ่นดินไหวเป็นการเริ่มต้นของความวิบัติ  แรกทีเดียว เราทำให้โลก—ซึ่งก็คือแผ่นดินโลกนั่นเอง—เปลี่ยนแปลง และภายหลังจึงเกิดภัยพิบัติและการกันดารอาหาร  นี่คือแผนของเรา และเหล่านี้คือขั้นตอนของเรา และเราจะระดมพลทุกสิ่งทุกอย่างมารับใช้เราเพื่อทำให้แผนการบริหารจัดการของเราครบบริบูรณ์  ด้วยประการฉะนั้น ทั่วทั้งสากลพิภพจะถูกทำลาย ไม่มีแม้แต่การแทรกแซงโดยตรงของเรา  เมื่อเราได้บังเกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรกและถูกตอกตรึงกับกางเขน แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนอย่างมโหฬาร  และมันก็จะเป็นเหมือนกันเมื่อบทอวสานมาถึง  แผ่นดินไหวจะเริ่มต้น ณ ชั่วขณะเดียวกันกับที่เราเข้าสู่อาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณจากสภาพเนื้อหนัง  ด้วยเหตุนี้ บรรดาบุตรหัวปีจะไม่ทนทุกข์จากความวิบัติอย่างแน่นอน ขณะที่พวกที่ไม่ใช่บุตรหัวปีจะถูกทิ้งไว้ให้ทนทุกข์ท่ามกลางความวิบัติทั้งหลาย  ดังนั้น จากมุมมองของมนุษย์ ทุกคนเต็มใจที่จะเป็นบุตรหัวปี  ในความสังหรณ์ใจของผู้คนแล้ว นี่ไม่ใช่เพื่อความชื่นชมยินดีจากพรทั้งหลาย แต่เพื่อหลีกหนีความทุกข์จากความวิบัติ  นี่คือกลอุบายของพญานาคใหญ่สีแดง  อย่างไรก็ตาม เราจะไม่มีวันปล่อยให้มันหนีพ้นไปได้ เราจะเป็นเหตุให้มันทนทุกข์กับการลงโทษอันรุนแรงของเราแล้วให้ยืนขึ้นและให้การปรนนิบัติเรา (การนี้อ้างอิงถึงการทำให้บรรดาบุตรของเราและประชากรของเรามีความครบบริบูรณ์) เป็นเหตุให้มันถูกแผนร้ายของมันเองเล่นเล่ห์เพทุบายไปตลอดกาล ให้มันยอมรับการพิพากษาของเราไปตลอดกาล และถูกเราเผาผลาญไปตลอดกาล  นี่คือความหมายแท้จริงของการให้พวกคนปรนนิบัติสรรเสริญเรา (นั่นคือ การใช้พวกเขาเปิดเผยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรา)  เราจะไม่ปล่อยให้พญานาคใหญ่สีแดงแอบเข้ามาในราชอาณาจักรของเราได้ อีกทั้งเราจะไม่ให้มันได้รับสิทธิที่จะสรรเสริญเรา!  (เพราะมันไม่คู่ควร มันจะไม่มีวันคู่ควรเลย!)  เราจะทำให้พญานาคใหญ่สีแดงให้การปรนนิบัติเราไปชั่วกัลปาวสานเท่านั้น!  เราจะอนุญาตให้มันหมอบราบตัวเองต่อหน้าเราเท่านั้น  (พวกที่ถูกทำลายนั้นยังดีกว่าพวกที่อยู่ในความพินาศ การทำลายล้างเป็นเพียงรูปแบบชั่วคราวหนึ่งของการลงโทษที่รุนแรงเท่านั้น ในขณะที่ผู้คนที่ตกอยู่ในความพินาศจะทนทุกข์กับการลงโทษที่รุนแรงไปชั่วนิรันดร์  ด้วยเหตุผลนี้เอง เราจึงใช้คำว่า “หมอบราบ”  เพราะผู้คนเหล่านี้แอบเข้ามาในบ้านของเราและชื่นชมกับพระคุณของเราเป็นอันมาก และครองความรู้บางอย่างเกี่ยวกับเรา เราจึงใช้การลงโทษที่รุนแรง  ส่วนพวกที่อยู่นอกบ้านของเรา เจ้าอาจสามารถกล่าวได้ว่า พวกไม่รู้เท่าทันจะไม่ทนทุกข์)  ในมโนคติที่หลงผิดของผู้คน พวกเขาคิดว่าผู้คนที่ถูกทำลายนั้น แย่ยิ่งกว่าพวกที่ตกอยู่ในความพินาศ แต่ในทางตรงกันข้าม พวกหลังต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงไปตลอดกาล และพวกที่ถูกทำลายก็จะกลับสู่ความไม่มีอะไรไปชั่วกัลปาวสานทั้งมวล

ก่อนหน้า:  บทที่ 107

ถัดไป:  บทที่ 109

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger