การปฏิบัติ (1)

ในอดีต มีการเบี่ยงเบนมากมายและแม้กระทั่งความไร้สาระในหนทางที่ผู้คนได้รับประสบการณ์  พวกเขาก็แค่ไม่เข้าใจมาตรฐานของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเอาเสียเลย ดังนั้นประสบการณ์ทั้งหลายของผู้คนจึงได้บิดเบือนไปในมากมายหลายด้าน  สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ก็คือการที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้  ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนในการทำไปตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ทันสมัยในส่วนที่เกี่ยวกับอาหารและเสื้อผ้า ในการสวมใส่สูทและเน็คไท ในการเรียนรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับศิลปะสมัยใหม่ และในเวลาว่างพวกเขาสามารถชื่นชมศิลปะ วัฒนธรรม และการบันเทิงได้  พวกเขาสามารถถ่ายภาพแห่งความทรงจำบางภาพได้ พวกเขาสามารถอ่านและได้รับความรู้อันเป็นประโยชน์บางอย่างได้ และมีสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างดีได้  เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่เหมาะกับชีวิตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่กระนั้นผู้คนก็มองสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ และพวกเขาก็ระงับใจไว้ไม่ให้ทำสิ่งเหล่านี้  การปฏิบัติของพวกเขาประกอบไปด้วยการทำตามกฎเกณฑ์เพียงไม่กี่ข้อที่นำไปสู่ชีวิตที่ขุ่นเหมือนน้ำในคูและไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง  ในข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าไม่เคยทรงเรียกร้องให้ผู้คนทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้  ผู้คนล้วนปรารถนาที่จะตัดทอนอุปนิสัยของพวกเขาเอง โดยอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนภายในจิตวิญญาณของพวกเขาเพื่อใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้น จิตใจของพวกเขาครุ่นคิดอยู่เป็นนิตย์ถึงสิ่งที่พระเจ้าตั้งพระทัย ดวงตาของพวกเขาเฝ้าสังเกตสิ่งนี้สิ่งนั้นอยู่เป็นนิตย์ ด้วยความเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าการเชื่อมโยงของพวกเขากับพระเจ้าจะถูกตัดขาดด้วยเหตุผลบางประการ  เหล่านี้คือข้อสรุปทั้งหมดที่ผู้คนคิดได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง ข้อสรุปเหล่านี้คือกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นโดยผู้คนเพื่อตัวพวกเขาเอง  หากเจ้าไม่รู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของเจ้าเอง และเจ้าไม่เข้าใจว่าการปฏิบัติของเจ้าเองนั้นสามารถไปได้ถึงระดับใด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีทางมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าพระเจ้าทรงพึงประสงค์มาตรฐานอะไรจากมนุษย์ และเจ้าก็จะไม่มีเส้นทางของการปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำ  เนื่องจากเจ้าไม่สามารถเข้าใจว่าพระเจ้าทรงพึงประสงค์อะไรจากมนุษย์กันแน่ จิตใจของเจ้าจึงปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา เจ้าพยายามใช้สมองของเจ้าคิดอย่างหนักในการวิเคราะห์เจตนารมณ์ของพระเจ้าและงุ่มง่ามค้นหาหนทางบางอย่างที่จะได้รับการขับเคลื่อนและได้รับการให้ความรู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เนื่องจากผลลัพธ์นั้น เจ้าจึงพัฒนาหนทางบางอย่างในการปฏิบัติที่เจ้าเชื่อว่าจะเหมาะสมขึ้นมา  เจ้าก็แค่ไม่มีแนวคิดว่าพระเจ้าทรงพึงประสงค์อะไรจากมนุษย์กันแน่ เจ้าแค่ดำเนินการไปตามชุดการปฏิบัติของเจ้าเองโดยไปตามอารมณ์ ใส่ใจเพียงเล็กน้อยต่อผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ออกมา และยิ่งใส่ใจน้อยไปกว่านั้นอีกเกี่ยวกับว่ามีการบิดเบือนในการปฏิบัติของเจ้าหรือไม่  ในหนทางนี้จึงเป็นธรรมดาที่การปฏิบัติของเจ้าย่อมขาดพร่องความถูกต้องแม่นยำและขาดหลักธรรม  สิ่งที่ขาดพร่องเป็นพิเศษก็คือเหตุผลและมโนธรรมแบบมนุษย์ที่ปกติ รวมทั้งการชมเชยจากพระเจ้าและการยืนยันสนับสนุนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  การแค่เลือกถนนของเจ้าเองนั้นได้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายเกินไปทั้งสิ้น  การปฏิบัติประเภทนี้เป็นแค่การตั้งใจทำไปตามกฎเกณฑ์หรือการรับภาระเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะจำกัดตัวเจ้าเองและควบคุมตัวเจ้าเอง  แต่กระนั้นก็ตาม เจ้าก็คิดว่าเจ้ามีการปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำสมบูรณ์แบบ และไม่รู้ว่าการปฏิบัติส่วนใหญ่ของเจ้านั้นประกอบไปด้วยกระบวนการหรือพิธีการที่ไม่จำเป็น  มีผู้คนจำนวนมากที่ปฏิบัติเช่นนี้อยู่หลายปีโดยที่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา ไม่มีการทำความเข้าใจใหม่ และไม่มีการเข้าสู่ใหม่เลย  พวกเขากระทำความผิดพลาดเดิมๆ โดยไม่รู้ตัวและใช้ธรรมชาติเยี่ยงเดรัจฉานของตนอย่างเต็มที่ จนกระทั่งถึงจุดซึ่งมีหลายครั้งหลายคราวที่พวกเขากระทำการอันไร้เหตุผลและขาดมนุษยธรรม และประพฤติตนในแบบที่ทำให้ผู้คนต้องถึงกับเกาศีรษะและงวยงงอย่างสิ้นเชิง  อาจกล่าวได้หรือไม่ว่า ผู้คนเช่นนั้นได้รับประสบการณ์กับการแปลงสภาพทางอุปนิสัยแล้ว?

บัดนี้ การเชื่อในพระเจ้าได้เข้าสู่ยุคพระวจนะของพระเจ้าแล้ว  หากพูดในเชิงเปรียบเทียบแล้ว ผู้คนไม่อธิษฐานมากเท่าที่พวกเขาเคยทำในกาลที่ผ่านมา พระวจนะของพระเจ้าได้สัมพันธ์สนิทถึงแง่มุมทั้งหมดของความจริงและหนทางการปฏิบัติอย่างชัดแจ้ง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่ผู้คนจะแสวงหาและคลำสะเปะสะปะอีกต่อไป  ในชีวิตของยุคราชอาณาจักรนั้น พระวจนะของพระเจ้านำทางผู้คนไปข้างหน้า และนั่นเป็นชีวิตซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำให้ชัดเจนเพื่อให้พวกเขามองเห็น—เพราะพระเจ้าได้ทรงวางผังทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว และมนุษย์ก็ไม่ได้ถูกทิ้งให้ต้องค่อยๆ คลำหาหนทางของพวกเขาอย่างช้าๆ และระมัดระวังไปตลอดชีวิตอีกต่อไป  ในส่วนที่เกี่ยวกับการสมรส กิจการงานทางโลก ชีวิต อาหาร เสื้อผ้า และที่พักพิง สัมพันธภาพระหว่างบุคคล วิธีที่คนเราสามารถรับใช้ในแบบที่ตอบสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า วิธีที่เราควรขัดขืนเนื้อหนัง เป็นต้น เรื่องใดบ้างเล่าในบรรดาสิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าไม่ได้ทรงอธิบายให้พวกเจ้ารับรู้?  เจ้ายังคงจำเป็นต้องไปอธิษฐานและแสวงหาอยู่หรือไม่?  ไม่มีความจำเป็นอย่างแท้จริง!  หากเจ้ายังคงทำสิ่งเหล่านี้อยู่ เจ้าก็แค่กำลังปฏิบัติตนเกินความจำเป็นเท่านั้นเอง  นั่นเป็นเรื่องที่ไม่รู้เท่าทันและโง่เขลา และไม่จำเป็นโดยสิ้นเชิง!  พวกที่ขาดพร่องขีดความสามารถมากเกินไปและไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เอ่ยคำอธิษฐานอันโง่เขลาอย่างไม่หยุดหย่อน  กุญแจสำคัญต่อการปฏิบัติความจริงก็คือว่าเจ้ามีความแน่วแน่หรือไม่  ผู้คนบางคนยืนกรานที่จะทำตามการเลือกชอบทางเนื้อหนังของพวกเขาในการกระทำทั้งหลาย แม้เมื่อพวกเขารู้ว่านั่นไม่อยู่ในแนวเดียวกันกับความจริงก็ตาม  การนี้จึงเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขาเอง และแม้ภายหลังจากที่อธิษฐานและแสวงหาแล้ว พวกเขาก็ยังคงต้องการที่จะปฏิบัติตนในแบบที่ก้มหัวให้กับเนื้อหนัง  โดยการทำเช่นนี้ มิใช่ว่าพวกเขากำลังกระทำบาปโดยที่รู้ตัวหรอกหรือ?  เช่นเดียวกับพวกที่ละโมบต่อความยินดีของเนื้อหนังและถวิลหาเงินตรา และผู้ที่อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยเหตุนั้น โดยพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  พระองค์จะทรงยอมให้ข้าพระองค์ละโมบต่อความยินดีของเนื้อหนังและละโมบความอุดมด้วยโภคทรัพย์หรือไม่?  เป็นเจตนารมณ์ของพระองค์ที่ให้ข้าพระองค์ได้เงินมาในหนทางนี้หรือไม่?”  นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมที่จะอธิษฐานหรือไม่?  ผู้คนที่ทำการนี้รู้ดีอย่างยิ่งที่สุดว่าพระเจ้าไม่ทรงปีติยินดีในสิ่งเหล่านี้ และรู้ดีว่าพวกเขาควรละทิ้งสิ่งเหล่านี้เสีย แต่สิ่งทั้งหลายที่พวกเขายึดถือไว้ในหัวใจของพวกเขานั้นได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว และเมื่อพวกเขาอธิษฐานและแสวงหา พวกเขากำลังพยายามที่จะบังคับให้พระเจ้าทรงยอมให้พวกเขาประพฤติตนในหนทางนี้  ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาอาจถึงขั้นเรียกร้องให้พระเจ้าตรัสอะไรบางอย่างเพื่อยืนยันสนับสนุนการนี้—นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความเป็นกบฏ  ยังมีพวกที่นำบรรดาพี่น้องชายหญิงของคริสตจักรไปอยู่ฝ่ายพวกเขาและตั้งราชอาณาจักรอิสระของพวกเขาเองขึ้นมาอีกด้วย  เจ้ารู้ดีอย่างมากว่า การกระทำเหล่านี้เป็นการต่อต้านพระเจ้า แต่ครั้นเจ้ามุ่งมั่นที่จะทำอะไรบางอย่างเยี่ยงนี้แล้ว เจ้าก็ยังคงเที่ยวไปแสวงหาและอธิษฐานต่อพระเจ้า อย่างใจเย็นและไม่สะทกสะท้าน  เจ้าช่างไร้ความละอายและหน้าด้านเสียจริง!  ส่วนเรื่องการทิ้งสิ่งทางโลกทั้งหลายไว้ข้างหลังนั้น การนี้ได้มีการพูดถึงไว้เมื่อนานมาแล้ว  มีบางคนที่รู้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าทรงเกลียดชังสิ่งทางโลกทั้งหลาย กระนั้นพวกเขาก็ยังคงอธิษฐาน โดยกล่าวว่า “โอ้พระเจ้า!  ข้าพระองค์เข้าใจว่าพระองค์คงจะไม่ทรงให้ข้าพระองค์คล้อยตามไปกับเรื่องทางโลกทั้งหลาย แต่ข้าพระองค์ทำการนี้เพื่อที่ความน่าละอายนั้นจะได้ไม่เป็นที่ปรากฏแก่พระนามของพระองค์ ข้าพระองค์ทำสิ่งนี้เพื่อที่ผู้คนทางโลกจะสามารถเห็นพระสิริของพระองค์ในตัวข้าพระองค์”  นี่คือคำอธิษฐานประเภทไหนกัน?  พวกเจ้าสามารถบอกได้หรือไม่?  มันเป็นคำอธิษฐานที่ตั้งใจที่จะบีบบังคับและกดดันพระเจ้า  เจ้าไม่รู้สึกละอายใจในการอธิษฐานในหนทางนี้หรอกหรือ?  ผู้คนที่อธิษฐานแบบนี้ตั้งใจต่อต้านพระเจ้า และคำอธิษฐานประเภทนี้เป็นเรื่องของเหตุจูงใจที่ชวนให้ตั้งคำถามโดยทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นการแสดงออกอย่างแท้จริงถึงอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  พระวจนะของพระเจ้านั้นแจ่มชัดราวแก้วผลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวจนะที่ดำรัสเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนต่างประเภทกัน  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น—ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้ดีกว่าการอธิษฐานและการแสวงหาอย่างหูหนวกตาบอดมากมายนัก  มีหลายตัวอย่างที่การแสวงหาและการอธิษฐานควรถูกแทนที่โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นและการสามัคคีธรรมความจริง  ในคำอธิษฐานตามกิจวัตรของเจ้านั้น เจ้าควรทบทวนตัวเจ้าเองและพยายามที่จะรู้จักตัวเจ้าเองให้มากขึ้นจากภายในพระวจนะของพระเจ้า  นี่จะเป็นประโยชน์มากขึ้นต่อความก้าวหน้าในชีวิตของเจ้า  หากว่าบัดนี้ เจ้ายังคงแสวงหาโดยการช้อนตามองไปยังสวรรค์ นั่นไม่ได้เป็นการแสดงว่าเจ้ายังคงเชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครืออยู่หรอกหรือ?  ก่อนหน้านั้น เจ้าเคยเห็นผลลัพธ์จากการแสวงหาและการอธิษฐานของเจ้ามาแล้ว และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เคยทรงขับเคลื่อนจิตวิญญาณของเจ้าบางส่วนไปแล้ว เพราะนั่นเป็นกาลสมัยของยุคพระคุณ  เจ้าไม่ได้สามารถมองเห็นพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีตัวเลือกนอกจากจะค่อยๆ คลำหาหนทางของเจ้าอย่างช้าๆ และระมัดระวังไปข้างหน้าและแสวงหาในหนทางนั้น  บัดนี้พระเจ้าได้เสด็จมาท่ามกลางมนุษย์ พระวจนะได้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และเจ้าก็ได้เห็นพระเจ้าแล้ว ด้วยเหตุนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจอย่างที่พระองค์ทรงเคยปฏิบัติก่อนหน้านั้นอีกต่อไป  ยุคได้เปลี่ยนไปแล้ว และดังนั้นวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ปฏิบัติพระราชกิจก็ได้เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน  แม้ผู้คนอาจไม่ได้อธิษฐานมากเท่ากับที่พวกเขาเคยทำในกาลที่ผ่านมา แต่เพราะพระเจ้าทรงกำลังอยู่บนแผ่นดินโลก มนุษย์ในขณะนี้จึงมีโอกาสเหมาะที่จะรักพระเจ้า  มวลมนุษย์ได้เข้าสู่ยุคแห่งพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมรักและสามารถเข้าใกล้พระเจ้าภายในตัวพวกเขาเองได้มากขึ้นอย่างเป็นปกติดังที่ว่า “โอ พระเจ้า!  พระองค์ทรงดีงามยิ่งนักจริงๆ และข้าพระองค์ก็ปรารถนาที่จะรักพระองค์!”  เพียงแค่คำพูดที่ชัดเจนและเรียบง่ายไม่กี่คำก็เปล่งเสียงแสดงความรักที่มีต่อพระเจ้าภายในหัวใจของผู้คน การพูดคำอธิษฐานนี้ออกมาก็มีแต่จะทำให้ความรักระหว่างมนุษย์และพระเจ้าลึกซึ้งขึ้นเท่านั้น  บางครั้งเจ้าอาจเห็นตัวเจ้าเองสำแดงการเป็นกบฏบางอย่าง และกล่าวว่า “โอ พระเจ้า!  เหตุใดข้าพระองค์จึงเสื่อมทรามยิ่งนัก”  เจ้ารู้สึกถึงแรงเร้าอันแรงกล้าที่มากระทบตัวเจ้าสองสามครั้ง แล้วน้ำตาก็เอ่อท้นขึ้นมาในดวงตาของเจ้า  ในเวลาเช่นนั้น เจ้ารู้สึกถึงความเสียใจและความทุกข์โศกในหัวใจของเจ้า แต่เจ้าไม่มีหนทางที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกเหล่านี้  นี่คือพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เฉพาะบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาชีวิตเท่านั้นที่สามารถได้มาซึ่งพระราชกิจนี้  เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงมีความรักอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเจ้า และเจ้าก็มีความรู้สึกชนิดพิเศษ  แม้ว่าเจ้าไม่มีคำพูดที่จะกล่าวอธิษฐานได้อย่างชัดเจนเจ้าก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าความรักของพระเจ้านั้นลึกดั่งมหาสมุทร  ไม่มีคำพูดอันเหมาะสมที่จะแสดงถึงสภาวะของการเป็นอยู่นี้ และนี่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นภายในจิตวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง  คำอธิษฐานและการสามัคคีธรรมประเภทนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะดึงคนเราให้เข้าใกล้พระเจ้าในหัวใจของคนเรามากขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ปกติ

แม้ว่ากาลสมัยที่ผู้คนต้องงุ่มง่ามค้นหาและแสวงหาจะเป็นเรื่องของอดีตไปแล้วในขณะนี้ นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องอธิษฐานและแสวงหาอีกเลย อีกทั้งไม่ใช่กรณีที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องรอให้เจตนารมณ์ของพระเจ้าถูกเผยออกมาก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปกับพระราชกิจ เหล่านี้เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดของมนุษย์เท่านั้น  พระเจ้าได้เสด็จมาท่ามกลางมนุษย์เพื่อใช้ชีวิตกับพวกเขา เพื่อทรงเป็นความสว่างของพวกเขา เป็นชีวิตของพวกเขา และเป็นหนทางของพวกเขา นี่คือข้อเท็จจริง  แน่นอนว่า ในการเสด็จมาสู่โลกของพระเจ้า พระองค์ทรงนำหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและชีวิตที่เหมาะเจาะเข้ากันกับวุฒิภาวะของพวกเขามาสู่มวลมนุษย์โดยแน่แท้เพื่อให้พวกเขาได้ชื่นชม—พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อทำลายทุกหนทางแห่งการปฏิบัติของมนุษย์  มนุษย์ไม่ใช้ชีวิตโดยการควานหาและการแสวงหาอีกต่อไป เพราะการกระทำเหล่านี้ได้ถูกแทนที่ด้วยการที่พระเจ้าเสด็จมาสู่แผ่นดินโลกเพื่อทรงพระราชกิจและเพื่อตรัสพระวจนะของพระองค์  พระองค์เสด็จมาเพื่อทรงปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากชีวิตแห่งความมืดมิดและความเลือนรางที่การกระทำเหล่านี้ได้นำทางมาโดยตลอด และเพื่อทรงทำให้พวกเขาสามารถมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสว่างได้  พระราชกิจในปัจจุบันคือการชี้ให้เห็นถึงสิ่งทั้งหลายอย่างชัดเจน การตรัสอย่างชัดเจน การแจ้งข้อมูลโดยตรง และการให้นิยามสิ่งทั้งหลายอย่างชัดแจ้ง เพื่อที่ผู้คนจะสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปปฏิบัติ เช่นเดียวกันกับที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงนำทางประชาชนชาวอิสราเอล โดยตรัสบอกพวกเขาถึงวิธีถวายเครื่องบูชาและวิธีสร้างพระวิหาร  ดังนั้น พวกเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตของการแสวงหาแบบจริงจังตั้งใจอีกต่อไปเหมือนที่เจ้าเคยทำหลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จจากไป  พวกเจ้าควรต้องค่อยๆ คลำหาหนทางของเจ้าอย่างช้าและระมัดระวังต่อไปโดยผ่านทางงานแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในอนาคตหรือไม่?  พวกเจ้าควรต้องงุ่มง่ามพยายามค้นหาหนทางที่ถูกต้องเหมาะสมที่จะใช้ชีวิตหรือไม่?  พวกเจ้าจำต้องคลำสะเปะสะปะเพื่อที่จะหยั่งรู้ว่าพวกเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าเองอย่างไรหรือไม่?  จำเป็นหรือไม่ที่พวกเจ้าจะต้องหมอบราบลงกับพื้นขณะแสวงหา เพื่อที่จะรู้ว่าพวกเจ้าควรเป็นพยานอย่างไร?  จำเป็นหรือไม่ที่พวกเจ้าจะต้องอดอาหารและอธิษฐานเพื่อจะได้รู้ว่าพวกเจ้าควรแต่งกายหรือใช้ชีวิตอย่างไร?  จำเป็นหรือไม่ที่พวกเจ้าจะต้องอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนต่อพระเจ้าในสวรรค์เพื่อที่จะรู้ว่าพวกเจ้าควรยอมรับการถูกพิชิตโดยพระเจ้าอย่างไร?  จำเป็นหรือไม่ที่พวกเจ้าจะต้องอธิษฐานอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อที่จะรู้ว่าพวกเจ้าควรนบนอบพระเจ้าอย่างไร?  มีหลายคนในหมู่พวกเจ้าที่กล่าวว่าพวกเจ้าไม่สามารถปฏิบัติได้เพราะพวกเจ้าไม่เข้าใจ  ผู้คนก็แค่ไม่ใส่ใจต่อพระราชกิจของพระเจ้าในสมัยปัจจุบันเสียอย่างนั้น!  นานมาแล้วที่เราได้กล่าววจนะไว้มากมาย แต่พวกเจ้าไม่เคยใส่ใจเลยแม้แต่น้อยที่จะอ่านวจนะเหล่านั้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร  แน่นอนว่าในยุคของวันนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงทรงขับเคลื่อนผู้คนเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขารู้สึกถึงความชื่นชมยินดี และพระองค์ก็ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับมนุษย์  นี่คือแหล่งที่มาของความรู้สึกที่พิเศษและให้ความยินดีเหล่านั้น[ก]ที่มักจะเกิดขึ้นในชีวิตของเจ้า  ในบางวาระโอกาสย่อมมีสักวันที่เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงน่ารักยิ่งนัก และเจ้าจึงอดไม่ได้ที่จะอธิษฐานต่อพระองค์ว่า “โอ พระเจ้า!  ความรักของพระองค์ช่างงดงามยิ่งนักและพระฉายาของพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ยิ่งนัก  ข้าพระองค์ปรารถนาจะรักพระองค์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  ข้าพระองค์ปรารถนาจะอุทิศทั้งหมดของตัวข้าพระองค์เองเพื่อสละทั้งหมดทั้งสิ้นของชีวิตข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะมอบอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างแด่พระองค์ ตราบเท่าที่มันเป็นไปเพื่อพระองค์ ตราบเท่าที่ข้าพระองค์สามารถรักพระองค์ได้ในการทำเช่นนี้…”  นี่คือความรู้สึกของความยินดีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมอบให้เจ้า นั่นไม่ใช่ความรู้แจ้ง อีกทั้งนั่นก็ไม่ใช่ความกระจ่าง นั่นเป็นประสบการณ์ของการถูกขับเคลื่อน  ประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว กล่าวคือ บางครั้งเมื่อเจ้าอยู่ระหว่างทางไปทำงาน เจ้าจะอธิษฐานและเข้ามาใกล้ชิดพระเจ้า และเจ้าจะถูกขับเคลื่อนจนถึงจุดที่ใบหน้าของเจ้าจะนองน้ำตา และเจ้าจะสูญเสียการควบคุมตัวเองทั้งหมด และเจ้าจะวิตกกังวลที่จะค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมที่ซึ่งเจ้าสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกรุ่มร้อนทั้งหมดภายในหัวใจของเจ้าได้… จะมีบางเวลาที่เจ้าอยู่ในสถานที่สาธารณะบางแห่ง และเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าชื่นชมกับความรักของพระเจ้าอย่างมาก รู้สึกว่าโชคเคราะห์ของเจ้านั้นช่างธรรมดาสามัญไม่ใช่อะไรเลยสักอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือรู้สึกว่าเจ้ากำลังใช้ชีวิตของเจ้าด้วยความหมายมากกว่าใครอื่น  เจ้าจะรู้อย่างลึกซึ้งว่าพระเจ้าได้ทรงยกย่องเจ้า และรู้ว่านี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำหรับเจ้า  ในซอกลึกสุดของหัวใจเจ้านั้น เจ้าจะรู้สึกว่ามีความรักชนิดหนึ่งในพระเจ้าที่ไม่สามารถแสดงออกได้และยากหยั่งถึงสำหรับมนุษย์ ราวกับว่าเจ้ารู้จักสิ่งนั้นแต่ไม่มีทางที่จะบรรยายถึงสิ่งนั้นได้ ทำให้เจ้าต้องหยุดเพื่อใช้ความคิดอยู่เสมอ แต่ก็กลับทิ้งให้เจ้าอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถจะแสดงออกถึงสิ่งนั้นได้อย่างสมบูรณ์  ในเวลาเช่นนี้ เจ้าจะถึงกับลืมว่าเจ้าอยู่ที่ไหน และเจ้าจะร้องเรียกออกมาว่า “โอ พระเจ้า!  พระองค์ทรงยากหยั่งถึงยิ่งนักและทรงเป็นที่รักยิ่งนัก!”  การนี้จะทิ้งให้ผู้คนพิศวง  แต่สิ่งเช่นนี้ทั้งหมดเกิดขึ้นถี่พอดูเลยทีเดียว  พวกเจ้าได้รับประสบการณ์ในสิ่งจำพวกนี้มาแล้วมากมายหลายครั้ง  นี่คือชีวิตที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงมอบให้เจ้าในวันนี้และชีวิตที่เจ้าควรดำรงชีพอยู่ ณ ตอนนี้  นี่มิใช่เป็นไปเพื่อหยุดยั้งเจ้าไม่ให้ใช้ชีวิต แต่ตรงกันข้ามเพื่อเปลี่ยนหนทางในการใช้ชีวิตของเจ้า  นั่นคือความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายหรือแสดงออกมาได้  ซ้ำนั่นก็ยังเป็นความรู้สึกแท้จริงของมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นั่นเป็นพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  เจ้าอาจเข้าใจสิ่งนั้นในหัวใจของเจ้า แต่เจ้าไม่มีทางที่จะแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนไม่ว่าจะกับใครก็ตาม  นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าพูดช้าหรือเพราะเจ้าพูดติดอ่าง แต่เป็นเพราะนั่นเป็นความรู้สึกชนิดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้  เจ้าได้รับอนุญาตให้ชื่นชมสิ่งเหล่านี้ในวันนี้ และนี่คือชีวิตที่เจ้าควรดำเนินไป  แน่นอนว่า แง่มุมอื่นๆ ของชีวิตของเจ้านั้นมิใช่ว่างเปล่า นี่เป็นเพียงว่าประสบการณ์ของการถูกขับเคลื่อนนี้กลายเป็นความชื่นบานชนิดหนึ่งในชีวิตของเจ้า ที่ทำให้เจ้าเต็มใจเสมอที่จะชื่นชมไปกับประสบการณ์เช่นนั้นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  แต่เจ้าควรรู้ว่าการถูกขับเคลื่อนเช่นนี้มิใช่เกิดขึ้นเพื่อที่เจ้าอาจได้รับพลังที่อยู่เหนือเนื้อหนังและขึ้นสู่สวรรค์ชั้นที่สามหรือเดินทางไปทั่วโลก  ในทางตรงกันข้าม ที่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อที่เจ้าอาจรู้สึกและลิ้มรสชาติความรักของพระเจ้าที่เจ้าชื่นชมในวันนี้ อาจได้รับประสบการณ์กับนัยสำคัญแห่งพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้ และทำให้ตัวเจ้าเองคุ้นเคยกับการทรงดูแลและการทรงคุ้มครองจากพระเจ้าอีกครั้ง  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อที่เจ้าอาจได้มีความรู้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในวันนี้—นี่คือเป้าหมายของพระเจ้าในการปฏิบัติพระราชกิจนี้

การแสวงหาและการคลำสะเปะสะปะคือแบบวิธีของชีวิตก่อนการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า  ในเวลานั้นผู้คนไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้และดังนั้นจึงไม่มีตัวเลือกนอกจากจะแสวงหาและคลำสะเปะสะปะ  วันนี้เจ้าได้เห็นพระเจ้าแล้วและพระองค์ตรัสบอกเจ้าโดยตรงว่าเจ้าควรปฏิบัติอย่างไร นี่คือเหตุผลที่เจ้าไม่จำเป็นต้องคลำสะเปะสะปะหรือแสวงหาอีกต่อไป  เส้นทางที่พระองค์ทรงนำทางมนุษย์คือเส้นทางของความจริง และสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ตรัสบอกแก่มนุษย์และสิ่งที่มนุษย์ได้รับคือชีวิตและความจริง  เจ้ามีหนทาง ชีวิต และความจริง ดังนั้นมีความจำเป็นใดเล่าที่จะต้องแสวงหาไปทุกหนแห่ง?  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจสองช่วงระยะไปพร้อมกัน  หากว่า เมื่อเราได้กล่าววจนะของเราจบแล้ว ผู้คนไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างระมัดระวังและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกต้องเหมาะสม ยังคงปฏิบัติตนอย่างที่พวกเขาเคยทำในยุคพระคุณ คลำสะเปะสะปะราวกับว่าพวกเขาตาบอด อธิษฐานและแสวงหาอยู่เนืองนิตย์ นั่นจะไม่หมายความว่างานของเราช่วงระยะนี้—งานแห่งวจนะ—กำลังกระทำไปโดยไร้ซึ่งประโยชน์หรอกหรือ?  แม้เราอาจได้พูดวจนะของเราจบแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงไม่เข้าใจอย่างครบถ้วนอยู่ดี และนี่เป็นเพราะพวกเขาขาดพร่องขีดความสามารถ  ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยการใช้ชีวิตของคริสตจักรและโดยผ่านทางการสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน  ก่อนหน้านั้น ในยุคพระคุณ แม้ว่าพระเจ้าจะประสูติเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ก็มิได้ทรงพระราชกิจแห่งพระวจนะ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจแบบนั้น ณ เวลานั้น เพื่อที่จะธำรงรักษาพระราชกิจไว้  ในเวลานั้น เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองที่ทรงปฏิบัติพระราชกิจเป็นหลัก แต่บัดนี้เป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์พระองค์เองที่กำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจ โดยได้ทรงเข้ารับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แทน  ก่อนหน้านั้น ตราบเท่าที่ผู้คนอธิษฐานบ่อยๆ พวกเขาย่อมได้รับประสบการณ์กับสันติสุขและความชื่นบาน มีการตำหนิและการบ่มวินัย  นี่คือพระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณบริสุทธิ์  บัดนี้สภาวะเหล่านี้พบน้อยมาก  ในยุคหนึ่งยุคใดก็ตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถทรงพระราชกิจได้เพียงประเภทเดียวเท่านั้น  หากพระองค์ได้ทรงพระราชกิจสองประเภทไปพร้อมกัน โดยที่เนื้อหนังทำงานประเภทหนึ่งและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอีกประเภทภายในผู้คน และหากสิ่งที่เนื้อหนังได้กล่าวไม่นับว่าสำคัญ และมีเพียงสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงทำเท่านั้นที่ถือว่าสำคัญ เช่นนั้นแล้วพระคริสต์ก็คงจะไม่มีความจริง หนทาง หรือชีวิตอันใดให้ตรัสถึง  นี่คงจะเป็นความย้อนแย้งในตัวเอง  พระวิญญาณบริสุทธิ์อาจทรงพระราชกิจเช่นนี้ได้หรือ?  พระเจ้านั้นทรงมหิทธิฤทธิ์และทรงพระปัญญาทั้งสิ้น ทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม พระองค์จึงไม่ทรงทำความผิดพลาดประการใดเลย

มีการบิดเบือนมากเกินไปในประสบการณ์ในอดีตของผู้คน  มีบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนซึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้ถูกกำหนดมาให้มีหรือทำ หรือมีความผิดพลาดซึ่งยากที่จะหลีกเลี่ยงในชีวิตมนุษย์ และเมื่อรับมือสิ่งเหล่านี้ไม่ดีพอ ผู้คนก็โยนความรับผิดชอบในเรื่องนั้นให้พระเจ้า  เคยมีน้องสาวคนหนึ่งที่มีแขกมาเยี่ยมเธอที่บ้าน ขนมปังนึ่งของเธอนึ่งมาไม่ดี เธอจึงคิดว่า “นี่คงจะเป็นการบ่มวินัยของพระเจ้า พระเจ้ากำลังทรงตัดแต่งหัวใจที่ไม่มีแก่นสารของฉันอีกแล้ว ความไร้แก่นสารของฉันนั้นรุนแรงเกินไปจริงๆ”  ที่จริงแล้ว ในแง่ของความรู้สึกนึกคิดตามปกติของมนุษย์ เมื่อแขกมาเยี่ยมเยือน เจ้าย่อมรู้สึกตื่นเต้นและสาละวนเร่งร้อน วุ่นวายในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากำลังทำอยู่ และดังนั้นจึงเป็นเพียงเรื่องปกติที่ข้าวจะไหม้ หรือไม่ก็อาหารนั้นลงเอยด้วยรสเค็มเกินไป  นี่เกิดขึ้นจากการตื่นเต้นเกินไป แต่ผู้คนกลับลงเอยด้วยการโยนให้เป็นเรื่อง “การบ่มวินัยของพระเจ้า”  ในข้อเท็จจริงแล้ว การเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงความผิดพลาดที่ถูกก่อขึ้นในชีวิตมนุษย์  เจ้าจะไม่ได้เผชิญกับสิ่งเช่นนี้ด้วยหรือไร หากเจ้าไม่ได้เชื่อในพระเจ้า?  ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น บ่อยครั้งที่เป็นผลลัพธ์จากความผิดพลาดที่ก่อโดยผู้คน—นั่นไม่ใช่กรณีที่ว่าความผิดพลาดเช่นนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ทรงทำ  ความผิดพลาดเช่นนั้นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระเจ้า  เช่นเมื่อเจ้ากัดลิ้นของเจ้าขณะกำลังกิน—นั่นจะเป็นการบ่มวินัยของพระเจ้าได้หรือไม่?  การบ่มวินัยของพระเจ้ามีหลักธรรม และตามปกติแล้วจะเห็นได้เมื่อเจ้ากระทำการล่วงละเมิดโดยที่รู้ตัว  เฉพาะเมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับพระนามของพระเจ้าหรือเกี่ยวข้องกับคำพยานหรือพระราชกิจของพระองค์เท่านั้น พระองค์จึงจะทรงบ่มวินัยเจ้า  ในตอนนี้ผู้คนเข้าใจความจริงมากพอที่จะมีความตระหนักรู้จากภายในถึงสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ  ตัวอย่างเช่น อาจเป็นไปได้หรือที่เจ้าจะไม่รู้สึกอะไรเลยหากเจ้าได้ยักยอกเงินของคริสตจักรหรือเจ้าได้ใช้เงินนั้นอย่างชะล่าใจ?  เจ้าน่าจะรู้สึกอะไรบางอย่างตอนที่ทำเช่นนั้น  เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้สึกอะไรบางอย่างเมื่อความประพฤตินั้นถูกทำลงไปจนเสร็จแล้วเท่านั้น  เจ้าเข้าใจชัดเจนในหัวใจของเจ้าถึงสิ่งที่เจ้าทำซึ่งขัดกับมโนธรรมของเจ้า  เพราะผู้คนมีความชอบและการเลือกชอบของพวกเขาเอง พวกเขาจึงตามใจตัวเองแม้ว่าพวกเขาจะรู้อย่างชัดเจนว่าจะนำความจริงไปปฏิบัติได้อย่างไร  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หลังจากที่พวกเขาทำอะไรบางอย่าง พวกเขาไม่รู้สึกถึงการตำหนิที่ปรากฏชัดหรือก้าวผ่านการบ่มวินัยที่ชัดเจนอันใด  นี่เป็นเพราะพวกเขาได้กระทำการล่วงละเมิดโดยที่รู้ตัว ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงบ่มวินัยพวกเขา เมื่อเวลาของการพิพากษาอันชอบธรรมมาถึง แต่ละคนจะได้รับการตอบแทนอันสาสมจากพระเจ้าตามการกระทำของพวกเขา  ปัจจุบันนี้มีผู้คนบางคนในคริสตจักรที่ยักยอกเงิน บางคนที่ไม่รักษาอาณาเขตที่ชัดเจนระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง และบางคนที่ตัดสิน เยาะเย้ยท้าทาย และพยายามรื้อทำลายพระราชกิจของพระเจ้าอย่างลับๆ  กระนั้นแล้ว เหตุใดเล่า ทุกอย่างจึงยังเป็นไปด้วยดีกับพวกเขา?  เมื่อทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น พวกเขามีการตระหนักรู้และรู้สึกถึงการตำหนิในหัวใจของพวกเขา และเพราะการนี้บางครั้งพวกเขาจึงทนทุกข์จากการตีสอนและกระบวนการถลุง แต่พวกเขาก็แค่ไร้ยางอายมากเกินไปเท่านั้นเอง!  เช่นเดียวกับเมื่อผู้คนกระทำการสำส่อน—พวกเขาตระหนักรู้ถึงสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ในเวลานั้น แต่ตัณหาของพวกเขานั้นมากเกินไปและพวกเขาไม่สามารถควบคุมตัวพวกเขาเองได้  ถึงแม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงบ่มวินัยพวกเขา นั่นก็จะไม่ประสบผลอันใด ดังนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงนำการบ่มวินัยมาใช้บริหาร  หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงบ่มวินัยพวกเขา หากว่าพวกเขาไม่รู้สึกถึงการตำหนิและไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเนื้อหนังของพวกเขา แล้วจะมีการตำหนิใดได้เล่าหลังจากนั้น?  ความประพฤตินั้นได้เกิดขึ้นแล้ว—จะมีการบ่มวินัยอันใดได้เล่า?  นั่นเพียงแค่พิสูจน์ว่าพวกเขานั้นไร้ยางอายมากเกินไปและขาดสภาวะความเป็นมนุษย์ และเพียงแค่พิสูจน์ว่า พวกเขานั้นสมควรแล้วกับคำสาปแช่งและการลงโทษ!  พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจโดยที่ไม่จำเป็น  หากเจ้ารู้ความจริงดีมากแต่ไม่ได้นำความจริงนั้นไปปฏิบัติ หากเจ้าสามารถกระทำความชั่วอันใดก็ได้ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดที่เจ้าสามารถรอคอยได้ก็คือ การมาถึงของวันนั้นที่เจ้าจะถูกลงโทษไปพร้อมกับมารร้าย  นี่คือปลายทางที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเจ้า!  บัดนี้เราได้ประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับมโนธรรม ซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำ  หากผู้คนขาดมโนธรรม เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ได้สูญเสียการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้ว พวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาปรารถนาและพระเจ้าไม่ใส่พระทัยพวกเขา  บรรดาผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริงจะตระหนักรู้ถึงสิ่งนั้นเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งบางอย่างที่ผิด  พวกเขาจะรู้สึกไม่สบายใจทันทีที่พวกเขารู้สึกถึงการตำหนิในมโนธรรมของเขาเพียงเล็กน้อย พวกเขาจะก้าวผ่านการสู้รบภายในและท้ายที่สุดแล้วจะขัดขืนเนื้อหนัง  พวกเขาจะไปไม่ถึงจุดที่พวกเขาทำบางสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้าอย่างสาหัสเกินไป  ไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงบ่มวินัยและตีสอนพวกเขาหรือไม่ก็ตาม ผู้คนทั้งหมดจะมีความรู้สึกบางอย่างเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด  ดังนั้น ผู้คนในขณะนี้จึงเข้าใจความจริงทุกชนิด และหากพวกเขาไม่นำความจริงเหล่านั้นไปปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นปัญหาของมนุษย์  เราไม่มีปฏิกิริยาต่อผู้คนเยี่ยงนี้เลยสักนิด อีกทั้งเราก็ไม่ตั้งความหวังอันใดสำหรับพวกเขา  เจ้าทำไปตามที่เจ้ายินดีได้เลย!

เมื่อผู้คนบางคนมาอยู่รวมกัน พวกเขาวางพระวจนะของพระเจ้าไว้ด้านหนึ่ง และพูดคุยอยู่ตลอดเวลาว่าคนนี้หรือคนนั้นเป็นอย่างไร  แน่นอนว่าการเป็นคนมีวิจารณญาณสักเล็กน้อยก็เป็นเรื่องที่ดี เพื่อที่ว่าไม่สำคัญว่าเขาจะไปที่ใด เขาจะไม่ถูกชักพาให้หลงผิดโดยง่าย และไม่ถูกต้มตุ๋นหรือถูกหลอกให้โง่โดยง่าย—นี่คือแง่มุมที่ผู้คนควรมีด้วยเช่นกัน  แต่เจ้าจำต้องไม่มุ่งเน้นเฉพาะแง่มุมนี้เพียงอย่างเดียว  การนี้เกี่ยวข้องกับด้านลบของสิ่งทั้งหลาย และเจ้าไม่สามารถจับตามองผู้คนอื่นๆ ได้ตลอดเวลา  ณ ตอนนี้เจ้ามีความรู้เรื่องวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจน้อยเกินไป การเชื่อในพระเจ้าของเจ้านั้นผิวเผินเกินไป และเจ้ามีสิ่งที่เป็นบวกน้อยเกินไป  ผู้ที่เจ้าเชื่อคือพระเจ้า และผู้ที่เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจคือพระเจ้า ไม่ใช่ซาตาน  หากเจ้าเพียงแต่ตระหนักถึงวิธีที่ซาตานทำงานและทุกหนทางที่วิญญาณชั่วใช้ทำงาน แต่ไม่มีความรู้แต่อย่างใดเลยเกี่ยวกับพระเจ้า นั่นจะมีประโยชน์อันใดเล่า?  ไม่ใช่พระเจ้าหรอกหรือที่เจ้าเชื่อในวันนี้?  เหตุใดเล่าความรู้ของเจ้าจึงไม่ครอบคลุมเรื่องในเชิงบวกเหล่านี้?  เจ้าก็แค่ไม่ใส่ใจต่อแง่มุมด้านบวกของการเข้าสู่ อีกทั้งเจ้าไม่มีความสามารถในการจับความเข้าใจในสิ่งนั้น เช่นนั้นแล้วอะไรคือสิ่งที่เจ้าต้องการได้รับในความเชื่อของเจ้า?  เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าควรไล่ตามเสาะหาอย่างไร?  เจ้ารู้มากมายเกี่ยวกับแง่มุมด้านลบ แต่เจ้ากลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับแง่มุมด้านบวกของการเข้าสู่ เช่นนั้นแล้ววุฒิภาวะของเจ้าจะสามารถมีวันเติบโตขึ้นได้อย่างไร?  บุคคลเช่นเจ้าที่ไม่พูดถึงอะไรนอกจากสงครามกับซาตาน จะมีความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้อะไรหรือสำหรับการพัฒนา?  การเข้าสู่ของเจ้าจะไม่ล้าสมัยด้วยหรอกหรือ?  เจ้าจะสามารถได้รับอะไรจากงานปัจจุบันโดยการทำการนี้กระนั้นหรือ?  สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญในขณะนี้ก็คือการที่เจ้าเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำในขณะนี้ เข้าใจว่ามนุษย์ควรให้ความร่วมมืออย่างไร เข้าใจว่าพวกเขาควรรักพระเจ้าอย่างไร เข้าใจว่าพวกเขาควรเข้าใจพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไร เข้าใจว่าพวกเขาควรเข้าสู่พระวจนะทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสวันนี้อย่างไร เข้าใจว่าพวกเขาควรกินและดื่ม ได้รับประสบการณ์ และเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นอย่างไร เข้าใจว่าพวกเขาควรตอบสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างไร เข้าใจว่าจะถูกพิชิตอย่างสมบูรณ์โดยพระเจ้าและนบนอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างไร… เหล่านี้คือสิ่งซึ่งเจ้าควรมุ่งเน้นและเป็นสิ่งซึ่งควรได้รับการเข้าสู่ในขณะนี้  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  จะมีประโยชน์อะไรที่จะให้ความสนใจกับวิจารณญาณของผู้คนอื่นๆ แต่เพียงอย่างเดียวเล่า?  เจ้าสามารถหยั่งรู้เกี่ยวกับซาตานได้ตรงจุดนี้ หยั่งรู้วิญญาณชั่วได้ตรงจุดนั้น—เจ้าสามารถมีความเข้าใจในวิญญาณชั่วอย่างสมบูรณ์ได้ แต่หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะพูดอะไรได้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า การหยั่งรู้เช่นนั้นจะสามารถทำหน้าที่เป็นสิ่งทดแทนสำหรับการทำความเข้าใจพระเจ้าได้หรือไม่?  ก่อนหน้านั้นเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับการแสดงออกถึงงานของวิญญาณชั่ว แต่นี่ไม่ใช่ส่วนสำคัญของการนั้น  แน่นอนว่าผู้คนควรมีการหยั่งรู้บ้างและนี่คือแง่มุมที่เหล่าผู้ซึ่งรับใช้พระเจ้าควรครอง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการทำเรื่องโง่เขลาทั้งหลายและการทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก  อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดยังคงเป็นการมีความรู้ในเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าและการเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ความรู้ใดหรือเกี่ยวกับพระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระเจ้าที่อยู่ตรงนั้นภายในตัวเจ้า?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ สิ่งที่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า สิ่งที่เป็นข้อบกพร่องของเจ้าเอง และสิ่งที่เจ้าควรเตรียมตัวเองให้พร้อมสรรพ?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าการเข้าสู่ใหม่ล่าสุดของเจ้าคืออะไร?  เจ้าควรสามารถเก็บเกี่ยวดอกผลและสัมฤทธิ์การเข้าใจในการเข้าสู่ใหม่ได้  จงอย่าแสร้งทำเป็นงุนงงสับสน เจ้าต้องพยายามให้มากขึ้นในการเข้าสู่ใหม่เพื่อทำให้ประสบการณ์และความรู้ของเจ้าเองนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น และที่มากไปกว่านั้นคือเจ้าต้องได้รับการจับความเข้าใจในเรื่องการเข้าสู่ใหม่ล่าสุดในปัจจุบันและหนทางที่ถูกต้องที่สุดในการได้รับประสบการณ์  ที่มากไปกว่านั้นคือ โดยผ่านทางพระราชกิจใหม่และการเข้าสู่ใหม่ทั้งหลาย เจ้าควรมีการหยั่งรู้ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติที่บิดเบือนและล้าสมัยก่อนหน้านั้นของเจ้า และแสวงหาวิธีที่จะปลดสิ่งเหล่านั้นทิ้งไปเพื่อที่จะเข้าสู่ประสบการณ์ใหม่ๆ  เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายซึ่งบัดนี้เจ้าจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องเข้าใจและเข้าสู่  เจ้าต้องเข้าใจความแตกต่างและสัมพันธภาพระหว่างการเข้าสู่เดิมและการเข้าสู่ใหม่  หากเจ้าไม่จับความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางที่จะก้าวหน้าได้เลย เนื่องจากเจ้าจะไม่สามารถก้าวทันพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  เจ้าต้องสามารถรับการกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้าที่ปกติและมีการสามัคคีธรรมที่ปกติ และใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อเปลี่ยนหนทางปฏิบัติที่ล้าสมัยก่อนหน้านั้นของเจ้าและมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมตามประเพณีของเจ้า เพื่อที่เจ้าอาจได้เข้าสู่การปฏิบัติใหม่และเข้าสู่พระราชกิจใหม่ของพระเจ้า  เหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าควรที่จะสัมฤทธิ์  มิใช่ว่าตอนนี้เราแค่กำลังขอให้เจ้าขบคิดอย่างแม่นยำว่าเจ้าจะพิสูจน์ความสามารถอย่างไร นี่ไม่ใช่เป้าหมาย  ในทางตรงกันข้ามเรากำลังขอให้เจ้าปฏิบัติอย่างจริงจังต่อการปฏิบัติความจริงของเจ้าและความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิต  ความสามารถของเจ้าในการรู้จักตัวเจ้าเองไม่ใช่ตัวแทนวุฒิภาวะแท้จริงของเจ้า  หากเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์ในพระราชกิจของพระเจ้าได้ มีประสบการณ์และความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงในพระวจนะของพระเจ้าได้ และสามารถหยั่งรู้มโนคติอันหลงผิดและข้อผิดพลาดส่วนตัวก่อนหน้านั้นของเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือวุฒิภาวะแท้จริงของเจ้าและเป็นบางสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนควรสัมฤทธิ์

มีหลายสถานการณ์ที่พวกเจ้าเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร และเจ้ายิ่งรู้น้อยไปกว่านั้นอีกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร  บางครั้งเจ้าก็ทำบางสิ่งที่เป็นการไม่นบนอบพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างชัดเจน  เจ้ามีการจับความเข้าใจในหลักธรรมที่อยู่ตรงหน้าในเรื่องนั้นไปเรียบร้อยแล้วโดยผ่านทางการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงมีความรู้สึกภายในถึงการตำหนิและความไม่สงบ แน่นอนว่านี่คือความรู้สึกที่คนเราจะรับรู้ได้เมื่ออยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ตั้งขึ้นจากการรู้ความจริงบางอย่างเท่านั้น  หากผู้คนไม่ให้ความร่วมมือหรือปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าของวันนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กำลังขัดขวางพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และพวกเขาจะรู้สึกไม่สงบอยู่ภายในอย่างแน่นอน  สมมุติว่าเจ้าเข้าใจหลักธรรมของแง่มุมเฉพาะแง่มุมหนึ่งแต่เจ้าไม่ปฏิบัติอย่างสอดคล้อง ดังนั้นแล้วเจ้าคงจะทนทุกข์กับความรู้สึกของการตำหนิอยู่ภายใน  หากเจ้าไม่เข้าใจหลักธรรมและไม่รู้จักแง่มุมของความจริงนี้เลยสักนิด เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่รู้สึกถึงสำนึกของการตำหนิในเรื่องนี้เป็นแน่แท้  การตำหนิของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นอยู่ในบริบทเสมอ  เจ้าคิดว่าที่เจ้าได้ทำให้พระราชกิจนั้นล่าช้าก็เป็นเพราะเจ้ายังไม่ได้อธิษฐานและยังไม่ได้ให้ความร่วมมือกับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในข้อเท็จจริงตามความเป็นจริงแล้ว พระราชกิจนั้นไม่สามารถล่าช้าได้  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงขับเคลื่อนใครบางคน พระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ถูกจำกัดโดยผู้ใดเลย  เจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง และนี่คือความรู้สึกที่เจ้าควรมีในมโนธรรมของเจ้า  การที่เจ้าจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่ก็นั้น นั่นเป็นเรื่องของเจ้าเองและไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า  บางครั้งเป็นมโนธรรมของเจ้าเองที่รู้สึกว่าถูกกล่าวหา แต่นี่ไม่ใช่ความรู้แจ้งหรือความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งไม่ใช่การตำหนิของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน  ในทางตรงกันข้ามนั่นคือความรู้สึกภายในมโนธรรมของมนุษย์  หากเจ้ากระทำการอย่างมัวเมาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระนามของพระเจ้า คำพยานของพระเจ้า หรือพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยเจ้าไป  แต่มีขีดจำกัดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ พระเจ้าจะไม่ทรงยุ่งกับเจ้าในเรื่องเล็กน้อยและปกติทั่วไป  พระองค์จะทรงเพิกเฉยต่อเจ้า  หากเจ้าละเมิดหลักธรรมทั้งหลาย และเจ้าทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า พระองค์จะทรงปลดปล่อยพระพิโรธมาใส่เจ้าและจะไม่ทรงปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอนที่สุด  ความผิดพลาดบางอย่างที่เจ้าทำนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ในครรลองของชีวิตมนุษย์  ตัวอย่างเช่น เจ้านึ่งขนมปังของเจ้าไม่ถูกวิธีและพูดว่าเป็นพระเจ้าที่ทรงบ่มวินัยเจ้า—นี่เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลอย่างที่สุดที่จะพูด  ก่อนที่เจ้าจะได้มาเชื่อในพระเจ้า เรื่องประเภทนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ หรอกหรือ?  เจ้ารู้สึกว่านั่นดูเหมือนเป็นการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ในข้อเท็จจริงแล้วนี่ไม่ใช่กรณีเช่นนั้น (นอกจากรูปการณ์แวดล้อมพิเศษบางอย่าง) เพราะพระราชกิจนี้ไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหมด แต่มาจากความรู้สึกของมนุษย์เสียมากกว่า  อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนซึ่งมีความเชื่อจะไปตามแนวความคิดเหล่านี้  เจ้าไม่อาจมีความคิดแบบนี้ได้เมื่อเจ้าไม่ได้เชื่อในพระเจ้า  ครั้นเจ้าได้มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว เจ้าก็ได้เริ่มที่จะใช้เวลามากขึ้นในการใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ และดังนั้นจึงเป็นมดาที่เจ้าได้มาคิดตามแนวความคิดเหล่านี้  นี่เกิดขึ้นจากการคิดของผู้คนปกติและเกี่ยวข้องกับวิธีการคิดของพวกเขา  แต่เราจะขอบอกเจ้าเลยว่า การคิดเช่นนั้นไม่ได้อยู่ภายในขอบเขตของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่คือตัวอย่างของการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงแสดงปฏิกิริยาตามปกติแก่ผู้คนโดยผ่านทางความคิดของพวกเขา แต่เจ้าจำต้องเข้าใจว่าปฏิกิริยานี้ไม่ใช่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  การมี “ความรู้” ประเภทนี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้ามีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ความรู้ของเจ้าไม่ได้เกิดจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นับประสาอะไรที่สิ่งนั้นจะเป็นพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  นั่นเป็นเพียงแค่ผลผลิตของความคิดของมนุษย์ปกติ และนั่นไม่มีความเชื่อมโยงอย่างสิ้นเชิงกับความรู้แจ้งหรือความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์—เหล่านี้คือปรากฏการณ์ที่แยกชัดโดยสิ้นเชิง  ความคิดของมนุษย์ปกติเช่นนั้นไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจเพื่อทำให้ผู้คนรู้แจ้ง โดยทั่วไปแล้วพระองค์ทรงมอบความรู้ในเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าแก่พวกเขา และความรู้ในเรื่องการเข้าสู่ที่แท้จริงและสภาวะที่แท้จริงของพวกเขา  พระองค์ยังทรงเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าใจเจตนารมณ์อันเร่งด่วนของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ของพระองค์สำหรับมนุษย์ในวันนี้อีกด้วย เพื่อที่พวกเขาจะมีความแน่วแน่ที่จะพลีอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เพื่อรักพระเจ้าแม้ว่าพวกเขาจะเผชิญกับการข่มเหงและความทุกข์ยาก และยืนหยัดเป็นพยานให้กับพระเจ้าถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงการหลั่งโลหิตหรือสละชีวิตของพวกเขาก็ตาม และทำเช่นนั้นโดยไม่เสียดาย  หากว่าเจ้ามีความแน่วแน่ประเภทนี้ ก็หมายความว่าเจ้ามีสัญญาณเริ่มต้นและมีพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์—แต่จงรู้ว่า มิใช่ว่าตัวเจ้าครองสัญญาณเริ่มต้นเช่นนั้นในทุกชั่วขณะที่ผ่านพ้นไป  บางครั้งยามที่เจ้าอธิษฐานและกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าในการนัดพบทั้งหลาย เจ้าสามารถรู้สึกได้ว่าถูกขับเคลื่อนและได้รับแรงบันดาลใจสุดขีด เป็นความรู้สึกใหม่และสดมากในตอนที่ผู้อื่นแบ่งปันการสามัคคีธรรมบางส่วนที่เกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาและการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และหัวใจของเจ้าก็ชัดเจนและแจ่มใสอย่างสมบูรณ์แบบ  นี่คือพระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณบริสุทธิ์  หากเจ้าเป็นผู้นำคนหนึ่งและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมอบความรู้แจ้งและความกระจ่างเป็นพิเศษแก่เจ้าตอนที่เจ้าลงไปทำงานที่คริสตจักร ทรงมอบความรู้ความเข้าใจเชิงลึกต่อปัญหาที่มีอยู่ภายในคริสตจักรให้แก่เจ้า ทรงเปิดโอกาสให้เจ้ารู้วิธีที่จะแบ่งปันการสามัคคีธรรมในเรื่องความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ทรงทำให้เจ้ารับผิดชอบด้วยความจริงจังจริงใจและเคร่งครัดในงานของเจ้าอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งหมดนี้คือพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความเดิมคือ “เหล่านี้คือบางส่วน”

ก่อนหน้า:  เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4)

ถัดไป:  การปฏิบัติ (2)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger