การสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าคือสิ่งสำคัญยิ่ง

เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า รักและทำให้พระองค์พอพระทัย พวกเขาย่อมทำให้พระวิญญาณของพระเจ้ารู้สึกถึงหัวใจของพวกเขา ซึ่งย่อมทำให้พระองค์พอพระทัย พวกเขาใช้หัวใจของตนทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระองค์  หากเจ้าปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ และสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องมอบหัวใจของเจ้าให้พระองค์ก่อน  มีเพียงเมื่อเจ้าสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระองค์และทุ่มเทหัวใจของเจ้าให้พระองค์โดยบริบูรณ์แล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถพัฒนาชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติได้ทีละน้อย  หากในการเชื่อของผู้คนในพระเจ้า พวกเขาไม่ได้มอบหัวใจของพวกเขาให้พระองค์ หากหัวใจของพวกเขาไม่ได้อยู่กับพระองค์ และพวกเขาไม่ปฏิบัติต่อพระภาระของพระองค์เสมือนเป็นภาระของตนเอง เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็คือการฉ้อโกงพระเจ้า เป็นการกระทำตามอย่างผู้คนที่เคร่งศาสนา และย่อมจะไม่ได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้า  พระเจ้าไม่อาจได้รับสิ่งใดจากบุคคลประเภทนี้ พวกเขาทำได้แต่เพียงเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้แก่พระราชกิจของพระองค์เท่านั้น  คนเหล่านี้เป็นเหมือนเครื่องตกแต่งพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น—พวกเขามาจับจองพื้นที่ชั่วคราวและเป็นขยะ และพระเจ้าย่อมไม่ทรงใช้พวกเขา  ไม่เพียงไม่มีโอกาสที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงงานในตัวพวกเขาเท่านั้น แต่ยังไม่มีคุณค่าอันใดในการทำให้พวกเขาเพียบพร้อมอีกด้วย  บุคคลจำพวกนี้คือซากศพที่เดินได้โดยแท้  ไม่มีส่วนใดในตัวพวกเขาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงใช้งานได้—พวกเขาถูกซาตานครอบงำจนหมดสิ้นและถูกมันทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ  พระเจ้าจะทรงกำจัดผู้คนเหล่านี้ออกไป  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ผู้คนในยุคปัจจุบัน พระองค์ไม่เพียงทรงใช้ส่วนที่พึงใช้ในตัวพวกเขาเพื่อทำให้สิ่งทั้งหลายสำเร็จเท่านั้น—พระองค์ยังทรงเปลี่ยนแปลงและทำให้ส่วนที่ไม่พึงปรารถนาในตัวพวกเขานั้นเพียบพร้อมอีกด้วย  หากเจ้าสามารถทุ่มเทหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้าและสงบใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีโอกาสและมีคุณสมบัติให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ มีโอกาสและคุณสมบัติที่จะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระองค์  ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เจ้าจะมีโอกาสที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเยียวยาข้อบกพร่องของเจ้า  เมื่อเจ้ามอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้า ในด้านบวกนั้น เจ้าจะสามารถมีการเข้าสู่ที่ลึกกว่าเดิมและบรรลุความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในระดับที่สูงขึ้นได้  ส่วนในด้านลบ เจ้าจะได้รู้จักสิ่งที่เจ้าขาดและรู้จักข้อบกพร่องของเจ้าเองมากขึ้น และเจ้าจะโหยหามากขึ้นและพยายามมากขึ้นที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  นอกเหนือจากนี้ เจ้าจะไม่คิดลบ เจ้าจะสามารถเข้าสู่ได้อย่างกระตือรือร้น  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าคือบุคคลที่ถูกต้อง  สมมุติว่าหัวใจของเจ้าสามารถสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เช่นนั้นแล้วการที่เจ้าจะได้รับการสรรเสริญจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ และการที่เจ้าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะสามารถเข้าสู่อย่างกระตือรือร้นได้หรือไม่เป็นสำคัญ  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความรู้แจ้งแก่ผู้คนและทรงใช้พวกเขา พระองค์ไม่เคยทำให้พวกเขาคิดลบ พระองค์ทรงทำให้พวกเขาก้าวหน้าอย่างแข็งขันอยู่เสมอ  และเมื่อพระองค์ทรงทำเช่นนี้ ผู้คนก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ดี แต่พวกเขาจะไม่ดำเนินชีวิตตามจุดอ่อนเหล่านั้น  พวกเขาไม่ประวิงความก้าวหน้าในชีวิตของตนและพยายามที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าต่อไป  นี่คือมาตรฐาน  หากเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้ามีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  หากคนคนหนึ่งคิดลบอยู่เสมอ และหากว่าแม้หลังจากที่ได้รับความรู้แจ้งและได้มารู้จักตัวเองแล้ว พวกเขายังคงคิดลบและนิ่งเฉย และพวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นมาทำงานกับพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาก็เพียงได้รับพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้สถิตอยู่กับพวกเขา  ความคิดลบของพวกเขาหมายความว่าหัวใจของพวกเขาไม่ได้หันหาพระเจ้าและวิญญาณของพวกเขาไม่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้า  ทุกคนควรเข้าใจตามนี้

จากประสบการณ์ สามารถเห็นได้ว่าการสงบใจของคนเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด  นี่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาเรื่องชีวิตฝ่ายวิญญาณและความก้าวหน้าในชีวิตของผู้คน  การไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้าจะเกิดผลก็ต่อเมื่อหัวใจของเจ้าสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้น  นั่นเป็นเพราะเจ้าได้มาแบกรับภาระเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เพราะเจ้ารู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้ากำลังขาดพร่องหลายด้านเหลือเกิน รู้สึกว่ามีความจริงหลายประการที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ มีความเป็นจริงมากมายที่เจ้าจำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้วย และรู้สึกว่าเจ้าควรแสดงให้เห็นการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเสมอ ให้ความรู้สึกเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้กำลังกดทับอยู่บนตัวเจ้าด้วยแรงกำลังที่ทำให้เจ้าหายใจไม่ออก และดังนั้นหัวใจของเจ้าจึงรู้สึกหนักอึ้ง (แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ในสภาวะที่คิดลบก็ตาม)  คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับความรู้แจ้งจากพระวจนะของพระเจ้า และได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้า  เนื่องจากภาระของพวกเขา เนื่องจากพวกเขารู้สึกหนักหน่วงในหัวใจ และสามารถพูดได้ว่าเนื่องจากราคาที่พวกเขาได้จ่ายไปและความทุกข์ที่พวกเขาสู้ทนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาจึงได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระองค์  เพราะพระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติเป็นพิเศษต่อใครคนใดคนหนึ่ง  พระองค์จึงทรงยุติธรรมในการปฏิบัติของพระองค์ต่อผู้คนเสมอ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงมอบให้ผู้คนโดยสุดแต่พระทัยหรือโดยไม่มีเงื่อนไข  นี่เป็นแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  ในชีวิตจริงนั้นผู้คนส่วนใหญ่ยังทำได้ไม่ถึงขอบเขตนี้  อย่างน้อยที่สุด หัวใจของพวกเขายังต้องหันมาหาพระเจ้าให้หมดทั้งดวงเสียก่อน ดังนั้นอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาจึงยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ อันใด  นี่เป็นเพราะพวกเขาเพียงดำเนินชีวิตอยู่ในพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น และพวกเขายังไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  หลักเกณฑ์ที่ผู้คนต้องทำให้ถึงเพื่อที่พระเจ้าจะทรงใช้พวกเขามีดังต่อไปนี้คือ หัวใจของพวกเขาต้องหันเข้าหาพระเจ้า พวกเขาต้องรับเอาภาระจากพระวจนะของพระองค์ พวกเขาต้องมีหัวใจที่โหยหา และพวกเขาต้องแน่วแน่ที่จะแสวงหาความจริง  มีแต่ผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่จะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  และสามารถได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระองค์อยู่เนืองๆ  ผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้นั้นภายนอกแล้วดูเหมือนไม่มีเหตุผลและไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับผู้อื่น แต่พวกเขาระมัดระวังคำพูดคำจา รู้จักกาละเทศะ และสามารถสงบใจเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้เสมอ  นี่คือบุคคลประเภทที่คู่ควรแก่การให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้โดยแท้  ผู้คนที่ “ไม่มีเหตุผล” ที่พระเจ้าตรัสถึงนี้ดูเหมือนจะไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับผู้อื่น และพวกเขาไม่สนใจที่จะแสดงความรักให้คนเห็นหรือปฏิบัติให้เห็น แต่เมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมถึงเรื่องราวฝ่ายวิญญาณ พวกเขาสามารถเปิดใจของตน และให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างที่พวกเขาได้รับจากประสบการณ์จริงของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแก่ผู้อื่นได้อย่างไม่เห็นแก่ตนเอง  นั่นคือการแสดงออกซึ่งความรักที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและเป็นการสนองเจตนารมณ์ของพระองค์  เมื่อผู้อื่นใส่ร้ายป้ายสีและเยาะเย้ยถากถางพวกเขา  พวกเขาก็หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองได้รับอิทธิพลจากผู้คน เรื่องราว หรือสิ่งภายนอก  และยังคงสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาดูเหมือนจะมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในแบบของพวกเขาเอง  ไม่ว่าผู้อื่นจะทำเช่นไร หัวใจของพวกเขาก็ไม่เคยผละจากพระเจ้า  ในยามที่ผู้อื่นกำลังพูดคุยและหัวเราะกัน หัวใจของพวกเขายังคงอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์หรืออธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนอย่างเงียบๆ แสวงหาพระประสงค์ของพระองค์  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญแก่การดำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างผู้คน และพวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่มีปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลก  พวกเขาดูมีชีวิตชีวา ควรค่าที่จะรัก และไร้เดียงสา แต่พวกเขาก็มีความสงบบางอย่างด้วย  นี่คือสภาพเสมือนของบุคคลประเภทที่พระเจ้าทรงใช้ สิ่งทั้งหลาย เช่น ปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกหรือ “เหตุผลตามปกติ” ย่อมใช้ไม่ได้กับบุคคลประเภทนี้  พวกเขาได้ทุ่มเทหัวใจทั้งดวงของพวกเขาให้แก่พระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาดูเหมือนจะมีแต่พระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนเท่านั้น  นี่คือบุคคลประเภทที่ “ไม่มีเหตุผล” ที่พระเจ้าตรัสถึง  และเป็นบุคคลประเภทนี้นี่เองที่พระเจ้าทรงใช้งาน  เครื่องหมายที่แสดงถึงบุคคลที่พระเจ้าทรงใช้งานก็คือ ไม่ว่าเมื่อไรหรือที่ไหน หัวใจของพวกเขาก็อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ และไม่ว่าผู้อื่นจะเสเพลเช่นไร หรือผู้อื่นจะหลงระเริงไปกับตัณหาและเนื้อหนังมากเพียงใด หัวใจของบุคคลผู้นี้ก็ไม่เคยผละจากพระเจ้า และพวกเขาไม่ทำตามฝูงชน  บุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่เหมาะกับการทรงใช้งานของพระเจ้า  และเฉพาะบุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่จะถูกทำให้เพียบพร้อมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  หากเจ้าไม่สามารถเป็นเช่นนี้ได้แล้วไซร้ เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะให้พระเจ้าทรงรับไว้หรือให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้เพียบพร้อม

หากเจ้าต้องการสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เจ้าก็ต้องหันหัวใจเข้าหาพระองค์ เมื่อมีรากฐานดังนี้แล้ว เจ้าก็จะมีสัมพันธภาพที่ปกติกับผู้อื่นด้วย  หากเจ้าไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะทำเช่นไรเพื่อรักษาสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับผู้อื่นไว้ ไม่ว่าเจ้าจะทำงานหนักเพียงใดหรือเจ้าจะออกแรงมากเพียงใด ทั้งหมดนั้นจะเป็นเรื่องของปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกของมนุษย์  เจ้าย่อมจะปกป้องฐานะที่เจ้ามีท่ามกลางผู้คนและได้รับการสรรเสริญจากพวกเขาผ่านทางมุมมองอย่างมนุษย์และปรัชญาของมนุษย์ มากกว่าที่จะสร้างสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างผู้คนด้วยกันตามพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าไม่สนใจสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับผู้คน และรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าแทน หากเจ้าเต็มใจที่จะมอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้าและเรียนรู้ที่จะนบนอบพระองค์ เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพระหว่างผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นปกติไปเอง  และแล้วสัมพันธภาพเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นบนเนื้อหนัง แต่จะสร้างบนรากฐานที่เป็นความรักของพระเจ้า  เจ้าแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางเนื้อหนังกับผู้อื่นเลย แต่ในระดับวิญญาณนั้นจะมีการสามัคคีธรรมและมีความรักให้กัน มีความชูใจและการจัดเตรียมให้แก่กันในหมู่พวกเจ้า  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนรากฐานของความปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย—สัมพันธภาพเหล่านี้ไม่ได้ดำรงรักษาไว้ด้วยปรัชญาแห่งการติดต่อเจรจาทางโลกของมนุษย์ สัมพันธภาพเหล่านี้ก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติเมื่อคนเราแบกรับภาระให้พระเจ้า  สัมพันธภาพเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยความพยายามที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ของเจ้า เจ้าเพียงต้องปฏิบัติตามหลักธรรมในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  เจ้าเต็มใจที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าเต็มใจที่จะเป็นบุคคลที่ “ไม่มีเหตุผล” เฉพาะพระพักตร์พระองค์หรือไม่?  เจ้าเต็มใจที่จะมอบหัวใจทั้งดวงของเจ้าให้พระเจ้าและไม่สนใจฐานะของเจ้าในหมู่ผู้อื่นหรือไม่?  ในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่เจ้ามีปฏิสัมพันธ์ด้วยนั้น เจ้ามีสัมพันธภาพที่ดีที่สุดกับใคร?  เจ้ามีสัมพันธภาพที่แย่ที่สุดกับใคร?  สัมพันธภาพที่เจ้ามีกับผู้คนนั้นปกติหรือไม่?  เจ้าปฏิบัติต่อผู้คนทั้งปวงอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่?  เจ้ารักษาสัมพันธภาพที่มีกับผู้อื่นตามปรัชญาในการติดต่อเจรจาทางโลกของเจ้า หรือเจ้าสร้างสัมพันธภาพเหล่านั้นบนรากฐานที่เป็นความรักของพระเจ้า?  เมื่อผู้คนไม่ได้มอบหัวใจของพวกเขาให้พระเจ้า วิญญาณของพวกเขาย่อมเชื่องช้า ด้านชา และไม่รู้สึกตัว  ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีวันมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า และพวกเขาจะไม่มีวันสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตน  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเราคือกระบวนการมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้าทั้งดวง น้อมรับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวจนะของพระองค์  พระราชกิจของพระเจ้าเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าสู่ได้อย่างกระตือรือร้น และทำให้พวกเขาสามารถปลดเปลื้องด้านลบของตนหลังจากที่ได้รู้จักด้านลบเหล่านั้นแล้ว  เมื่อเจ้ามอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้าแล้ว เจ้าก็จะสามารถรู้สึกได้ทุกครั้งที่วิญญาณของเจ้าได้รับการดลใจอยู่บ้าง และรู้จักทุกส่วนของความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระเจ้า  หากเจ้าพากเพียรต่อไป เจ้าจะค่อยๆ เข้าสู่เส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อม  ยิ่งหัวใจของเจ้าสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่าใด วิญญาณของเจ้าก็จะยิ่งอ่อนไหวและละเอียดอ่อนขึ้นและจะยิ่งล่วงรู้ได้มากขึ้นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจวิญญาณของเจ้าเช่นไร และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็จะเป็นปกติยิ่งขึ้นเท่านั้นด้วย  สัมพันธภาพที่ปกติระหว่างผู้คนนั้นสร้างขึ้นบนรากฐานของการหันหัวใจของตนเข้าหาพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยความมานะพยายามอย่างมนุษย์  หากหัวใจของคนคนหนึ่งไม่มีพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับผู้อื่นก็เป็นเพียงสัมพันธภาพทางเนื้อหนังเท่านั้น  สัมพันธภาพเหล่านั้นไม่ปกติ เป็นการปล่อยตัวปล่อยใจไปตามตัณหา และพระเจ้าทรงเกลียดและชังสัมพันธภาพเหล่านั้น  หากเจ้ากล่าวว่าวิญญาณของเจ้าได้รับการดลใจ แต่เจ้าเต็มใจที่จะสามัคคีธรรมกับผู้คนที่เจ้าชอบและเคารพเท่านั้น และเจ้ามีอคติและไม่ยอมพูดจากับผู้คนที่เจ้าไม่ชอบเวลาที่พวกเขามาแสวงหากับเจ้า นี่ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์เพิ่มเติมว่าเจ้าถูกความรู้สึกของตนครอบงำและเจ้าไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าเลย  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้ากำลังพยายามที่จะหลอกพระเจ้าและปกปิดความอัปลักษณ์ของเจ้าเอง  เจ้าอาจจะสามารถแบ่งปันความรู้บางอย่างที่เจ้ามีได้ แต่หากเจตนาของเจ้าผิด เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำย่อมดีงามตามมาตรฐานของมนุษย์เท่านั้น และพระเจ้าจะไม่ทรงสรรเสริญเจ้า  การกระทำของเจ้าจะถูกขับเคลื่อนตามเนื้อหนังของเจ้าเอง ไม่ใช่ตามพระภาระของพระเจ้า  เจ้าเหมาะที่จะให้พระเจ้าทรงใช้งานก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถสงบใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์และมีปฏิสัมพันธ์ที่ปกติกับทุกคนที่รักพระองค์เท่านั้น  หากเจ้าทำเช่นนั้นได้แล้วไซร้ ไม่ว่าเจ้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเช่นไร เจ้าก็จะไม่ทำไปตามปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลก เจ้าจะคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าและดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์  มีผู้คนเช่นนี้กี่คนในหมู่พวกเจ้า?  สัมพันธภาพที่เจ้ามีกับคนอื่นปกติจริงหรือ?  สัมพันธภาพเหล่านั้นสร้างขึ้นบนรากฐานใด?  มีปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกอยู่ในตัวเจ้ากี่ข้อ?  เจ้าปลดเปลื้องปรัชญาเหล่านั้นทิ้งไปหรือยัง?  หากหัวใจของเจ้าไม่สามารถหันเข้าหาพระเจ้าได้โดยบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้เป็นของพระเจ้า—เจ้ามาจากซาตาน ในท้ายที่สุดเจ้าก็จะกลับคืนไปหาซาตาน และเจ้าย่อมไม่สมควรที่จะเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้า  เจ้าต้องตรวจสอบสิ่งเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน

ก่อนหน้า:  ด้วยความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าควรนบนอบพระเจ้า

ถัดไป:  ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่เป็นปกตินำทางผู้คนไปบนร่องครรลองที่ถูกต้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger