หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (22)

คราวก่อนพวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสามของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “ปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการถูกก่อกวน ถูกชักพาให้หลงผิด ถูกควบคุม และได้รับอันตรายร้ายแรงจากพวกศัตรูของพระคริสต์ และช่วยให้พวกเขาสามารถแยกแยะพวกศัตรูของพระคริสต์และละทิ้งคนเหล่านั้นไปจากหัวใจของตน”  ตอนนี้มาทบทวนกันเถิดว่า พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงประเด็นเฉพาะใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาอันเฉพาะของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสามของผู้นำและคนทำงาน?  (พวกเราสามัคคีธรรมไปห้าประการ ได้แก่ การเปิดโปง การตัดแต่ง การชำแหละ การจำกัดห้าม และการจับตาดู)  ห้าประการนี้เป็นงานอันเฉพาะเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่รับผิดชอบนี้ของผู้นำและคนทำงาน สิ่งเหล่านี้เป็นงานอันเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำ  แล้วผู้นำเทียมเท็จมีการสำแดงอย่างไรเกี่ยวกับงานเหล่านี้?  คราวที่แล้วพวกเราได้สามัคคีธรรมถึงรายละเอียดไปบ้างแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  การสำแดงของผู้นำเทียมเท็จนั้นมีดังนี้ ประการแรกคือพวกเขากลัวการล่วงเกินผู้คนและไม่กล้าขับไล่หรือเอาตัวศัตรูของพระคริสต์ออกไป  ประการที่สองคือพวกเขาไม่สามารถแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้  ประการที่สามก็คือพวกเขาทำตัวเป็นร่มป้องกันให้ศัตรูของพระคริสต์  ประการที่สี่คือพวกเขาไม่มีความรับผิดชอบต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  การไม่มีความรับผิดชอบมีลักษณะอย่างไร?  ในยามที่เผชิญกับการก่อกวนและการถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถที่จะปกป้องพี่น้องชายหญิง ไม่สามารถเปิดโปงการทำชั่วของศัตรูของพระคริสต์ ไม่สามารถเปิดโปงอุบายของซาตาน และไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อช่วยพี่น้องชายหญิงให้มีวิจารณญาณแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ได้เลย—พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติงานดังกล่าว  นอกจากนี้แล้ว พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวในการทำงานกอบกู้บรรดาผู้ที่มีวุฒิภาวะน้อยและขาดวิจารณญาณที่ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดเท่านั้น ทว่ายังพูดจาไร้มนุษยธรรมอย่าง “พวกเขาสมควรแล้ว” อีกด้วย  นี่คือการสำแดงเฉพาะของการไร้ความรับผิดชอบ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีสำนึกของภาระต่องานของคริสตจักรเลย  การสำแดงเหล่านี้เป็นการกระทำและวิธีการเฉพาะของผู้นำเทียมเท็จในยามที่ศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนและชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด  ท่าทีอันเฉพาะเจาะจงที่พวกเขามีต่องานนี้คือการไร้ความรับผิดชอบและการไม่จงรักภักดี  พวกเขาหาข้อแก้ตัวต่างๆ และใช้วิธีการนานาประการเพื่อเปิดโอกาสให้กับศัตรูของพระคริสต์ โดยทำตัวเป็นร่มป้องกันให้กับพวกศัตรูของพระคริสต์ ขณะเดียวกันกลับไม่สามารถปกป้องงานของคริสตจักรกับสิทธิและผลประโยชน์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  หากผู้นำเทียมเท็จสามารถแก้ไขปัญหาอย่างการที่ศัตรูของพระคริสต์ก่อกวน ชักพาให้หลงผิด ควบคุม และทำอันตรายอย่างร้ายแรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้อย่างทันท่วงที จากนั้นก็จำกัดห้าม แยกตัว และขับไล่หรือเอาตัวศัตรูของพระคริสต์ออกไป เช่นนั้นแล้ว ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคงจะได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ที่สุด  อย่างไรก็ตามในฐานะผู้นำ พวกเขาไร้ความสามารถสำหรับงานนี้  จากมุมมองหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า พวกเขากำลังแอบปกป้องและปูทางให้ศัตรูของพระคริสต์ เพื่อให้ศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นสามารถชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด ควบคุม และทำอันตรายอย่างร้ายแรงต่อพวกเขาต่อไปได้ รวมถึงก่อกวนชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติและก่อกวนการปฏิบัติหน้าที่ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงนานาประการของผู้นำเทียมเท็จ

ประการที่สิบสี่: แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป (ภาคที่หนึ่ง)

หลังจากสามัคคีธรรมเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสามของผู้นำและคนทำงานเสร็จสิ้นแล้ว วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่กัน  เนื้อหาของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่นั้นคล้ายคลึงกับประการที่สิบสามอยู่บางส่วน  งานอันเฉพาะเจาะจงที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศัตรูของพระคริสต์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับคนชั่วประเภทต่างๆ อีกด้วย ทำให้หน้าที่ผิดชอบประการที่สิบสี่นี้มีขอบเขตกว้างกว่าประการที่สิบสาม  ก่อนที่จะสามัคคีธรรมเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ พวกเรามาอ่านเนื้อหากันก่อนเถิด  (หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานก็คือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป”)  ประโยคนี้ไม่ยาว แต่เมื่อเป็นงานอันเฉพาะเจาะจงที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำ งานนี้จึงมิได้เรียบง่ายดังที่ปรากฏให้เห็นภายนอก  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานที่ถูกกล่าวถึงในประโยคนี้คืออะไรกันแน่?  ใครคือเป้าหมายของงานที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องปฏิบัติ?  (คนชั่วประเภทต่างๆ และศัตรูของพระคริสต์)  งานอันเฉพาะเจาะจงที่จำเป็นต้องทำคืองานอะไร?  (แยกแยะพวกเขาอย่างทันท่วงที  เมื่อพวกเขาได้รับการแยกแยะแล้ว ก็ขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปเสีย)  งานที่ว่าคือการแยกแยะอย่างทันท่วงทีโดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง เมื่อมีหมายสำคัญบ่งชี้ สิ่งที่ควรทำคือการตัดสินและระบุลักษณะอย่างถูกต้อง จากนั้นจึงจัดการกับบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยการเอาตัวพวกเขาออกไป  อันที่จริงงานอันเฉพาะเจาะจงที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำประกอบด้วยสองสิ่งก็คือ การแยกแยะผู้คนและการแก้ไขปัญหา  โดยผิวเผินแล้วงานนี้ดูเรียบง่ายเช่นนี้คือ อันดับแรกต้องแยกแยะ จากนั้นก็คิดหาวิธีแก้ไขและมาตรการต่างๆ ให้ทันท่วงทีโดยมุ่งเป้าไปที่คนชั่วหลากหลายประเภทและศัตรูของพระคริสต์ที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องการให้ขับไล่หรือเอาตัวออกไป  จากมุมมองนี้ การที่ผู้นำและคนทำงานจะทำงานนี้ให้ดีและลุล่วงความรับผิดชอบนี้ดูเป็นเรื่องง่ายและไม่ได้มีความยากลำบากมากนัก เพราะก่อนหน้านี้ พระนิเวศของพระเจ้าได้สามัคคีธรรมถึงรายละเอียดของการแยกแยะและเอาตัวคนหลากหลายประเภทออกไปอย่างครอบคลุม และเรื่องนี้ถูกกล่าวถึงอย่างมากมาย  โดยผิวเผินแล้ว งานที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่นั้นมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกับเนื้อหาเฉพาะของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองและสิบสามที่สามัคคีธรรมไปก่อนหน้านี้ แต่ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ เป้าหมายของงานที่ผู้นำและคนทำงานทำไม่ใช่เพียงศัตรูของพระคริสต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนชั่วหลากหลายประเภทอีกด้วย  นี่จึงเป็นการขยายขอบเขตให้ครอบคลุมไปถึงคนชั่วนานาประเภท ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการสามัคคีธรรมที่เฉพาะเจาะจงและเป็นระบบ  เนื่องจากนี่ไม่ใช่เรื่องของการสำแดงของคนชั่วประเภทหนึ่ง ทว่าเป็นคนชั่วหลากหลายประเภท ดังนั้นเมื่อสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงาน พวกเราจะมุ่งเน้นที่การระบุเป้าหมายของงานนี้  นี่คือแง่มุมหนึ่ง  นอกจากนี้ ในเรื่องที่ว่าจะปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้อย่างไร—ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดห้าม แยกตัว ขับไล่ หรือเอาตัวพวกเขาออกไป—ก็เป็นสิ่งที่พวกเราจะสามัคคีธรรมกันในรายละเอียดต่อไป

คริสตจักรคืออะไร

ก่อนที่จะสามัคคีธรรมถึงงานนี้โดยละเอียด พวกเรามาสามัคคีธรรมถึงหัวข้อข้างเคียงกันก่อนเถิด  หัวข้อข้างเคียงนี้อาจเป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว หรืออาจเป็นหัวข้อที่พวกเจ้าไม่มีความเข้าใจอย่างเฉพาะเจาะจงก็ได้  หัวข้อนี้คืออะไร?  หัวข้อนี้ก็คือ “คริสตจักรคืออะไร”  หัวข้อนี้ฟังดูเป็นอย่างไร?  บางคนอาจจะกล่าวว่า “คุณกำลังสามัคคีธรรมเรื่องหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานอยู่ ดังนั้นก็เจาะจงสามัคคีธรรมแค่เรื่องนั้นเถิด  จะสามัคคีธรรมเรื่องคริสตจักรคืออะไรไปทำไม?  เรื่องนั้นสัมพันธ์กับหัวข้อนี้หรือ?”  ดูจากภายนอกแล้วเรื่องนี้อาจจะไม่สัมพันธ์กัน และบางคนอาจจะถึงกับกล่าวว่า “หัวข้อนี้ไม่สัมพันธ์กันโดยสิ้นเชิง  เหตุใดจึงหยิบยกขึ้นมาสามัคคีธรรมเล่า?”  ไม่ว่าพวกเจ้าจะคิดอย่างไรก็จงวางความคิดเหล่านี้เอาไว้ก่อน และใคร่ครวญถึงความหมายของคริสตจักรก่อนเถิด  เมื่อสามัคคีธรรมถึงคำนิยามและการเรียกว่า “คริสตจักร” โดยชัดเจนแล้ว พวกเจ้าจะรู้ว่าเหตุใดพวกเราจึงสามัคคีธรรมหัวข้อนี้

I. ความเข้าใจหลากหลายประการเกี่ยวกับคริสตจักร

การสามัคคีธรรมถึงความหมายของคริสตจักรคือการให้คำอธิบายที่ถูกต้องและชัดเจนเกี่ยวกับคำว่า “คริสตจักร” โดยหมายจะสื่อสารคำนิยามที่เฉพาะเจาะจงและถูกต้องของคำว่า “คริสตจักร”  อันดับแรก พวกเจ้าสามารถหารือกันว่า พวกเจ้าจะเข้าใจและทำความเข้าใจคำว่า “คริสตจักร” กันอย่างไร  คริสตจักรคืออะไร?  พวกเรามาเริ่มต้นจากคำอธิบายในเชิงทฤษฎี แล้วค่อยขยับไปยังคำนิยามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นและค่อนข้างสัมพันธ์กับชีวิตจริงกันเถิด  (ความเข้าใจของข้าพระองค์ก็คือ สถานที่ที่พี่น้องชายหญิงผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจและไล่ตามเสาะหาความจริงมารวมตัวกันเพื่อนมัสการพระเจ้านั้นเรียกว่าคริสตจักร)  คำนิยามนี้กล่าวถึงคริสตจักรว่าเป็นสถานที่ประเภทใด โดยพื้นฐานแล้วนี่คือสิ่งที่มีตัวตนและจับต้องได้  นี่คือคำนิยามในเชิงทฤษฎี  คำนิยามนี้ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  มีสิ่งที่ไม่แม่นยำอยู่บ้างหรือไม่?  ในทางทฤษฎีนั้น คำนิยามเช่นนี้ยอมรับได้  มีใครสามารถนิยามเพิ่มเติมได้บ้าง?  (ข้าพระองค์จะเสริมเล็กน้อย  จากการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า รวมถึงการทรงแสดงความจริงของพระองค์ ทำให้มีผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ติดตามพระเจ้า การรวมกลุ่มของพวกเขานั้นเรียกว่าคริสตจักร)  คำนิยามเช่นนี้อธิบายว่าคริสตจักรเป็นการรวมกลุ่มประเภทใด  นี่ก็เป็นคำนิยามในเชิงทฤษฎีและเป็นทางการเช่นเดียวกัน  (ข้าพระองค์จะเสริมว่า คนกลุ่มนี้มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเมื่อพวกเขาชุมนุมกันเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ก็มีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงและเติบโตในชีวิตได้  คริสตจักรคือการชุมนุมของผู้คนเหล่านั้น)  การให้คำนิยามคริสตจักรเพิ่มเติมเช่นนี้เป็นการอธิบายว่านี่คือการชุมนุมประเภทใด—คุณสมบัติของการชุมนุมนี้คือการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า การมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการเติบโตในชีวิต  โดยพื้นฐานแล้ว นี่ยังเป็นคำนิยามในเชิงทฤษฎีและเป็นทางการของคำว่าคริสตจักรอีกด้วย  มีเพิ่มเติมอีกหรือไม่?  (นี่คือกลุ่มของผู้คนที่ถือเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรมแห่งการปฏิบัติ และถูกปกครองโดยความจริงและพระคริสต์  คนกลุ่มนี้สามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ยอมรับความจริง เติบโตในชีวิต และได้รับการช่วยให้รอดได้  กลุ่มคนดังกล่าวเรียกว่าคริสตจักร)  คำว่า “กลุ่มคน” นี้เหมือนกับคำว่า “การรวมกลุ่ม” ที่เพิ่งกล่าวถึงไปเมื่อครู่  มีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่?  หากพวกเจ้าไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้ว พวกเจ้าก็สามารถทวนความเข้าใจสี่ประการที่กล่าวถึงไปข้างต้นอีกครั้ง กล่าวคือ นับจากที่พวกเจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้ามาจนถึงตอนนี้ พวกเจ้าเห็นว่าคำนิยามของคริสตจักรหมายถึงอะไรกันแน่  การนิยามคำคำนี้ในเชิงทฤษฎีควรเป็นเรื่องง่ายใช่หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น การรวมกลุ่มกันของผู้คนที่ติดตามและนมัสการพระเจ้าอย่างจริงใจก็สามารถเรียกว่าคริสตจักรได้ หรือกลุ่มที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาการนบนอบพระเจ้า และนมัสการพระเจ้าก็สามารถเรียกว่าคริสตจักรได้ หรือกลุ่มที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการทรงสถิตของพระเจ้า รวมทั้งสามารถนมัสการพระเจ้าได้ ก็สามารถเรียกว่าคริสตจักรได้  สิ่งเหล่านี้เป็นคำนิยามในเชิงทฤษฎีของคริสตจักรมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้าทุกคนต่างรู้และเข้าใจเนื้อหาของคุณสมบัติเหล่านี้ในคำนิยามของคริสตจักรใช่หรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วจงกล่าวทวนให้ฟังทีเถิด  (คริสตจักรหมายถึงการรวมกลุ่มของผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจและติดตามพระคริสต์  คริสตจักรที่แท้จริงนั้นมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และมีการทรงนำของพระเจ้า ที่แห่งนี้ถูกปกครองโดยพระคริสต์และความจริง  เป็นที่ที่ผู้ติดตามพระเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และมีการเข้าสู่ชีวิต  นี่คือคริสตจักรที่แท้จริง  คริสตจักรนั้นแตกต่างจากชุมชนทางศาสนา  คริสตจักรไม่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหรือมีส่วนร่วมในรูปแบบภายนอกของการนมัสการพระเจ้า)  โดยพื้นฐานแล้ว นี่คือคำนิยามในเชิงทฤษฎีของคริสตจักร  ตัวอย่างเช่น การนิยามคริสตจักรว่าเป็นสถานที่ที่ผู้คนซึ่งพระเจ้าทรงเรียกหามาชุมนุมกัน หรือการนิยามคริสตจักรว่าเป็นการรวมกลุ่มของผู้ที่เชื่อ ติดตาม นบนอบ และนมัสการพระเจ้าด้วยใจจริง หรือการนิยามคริสตจักรว่าเป็นการชุมนุมของผู้คนที่พระเจ้าทรงเรียกหา และอื่นๆ—ชื่อเรียกเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจพื้นฐานหรือคำนิยามบางอย่างที่ผู้เชื่อกลุ่มต่างๆ มีต่อคริสตจักร  พวกเราไม่ต้องลงรายละเอียดหรอกว่าแท้จริงแล้วศาสนาและนิกายทั้งหลายนิยามคำว่าคริสตจักรต่างกันอย่างไร—สำหรับพวกเราผู้ที่ติดตามพระเจ้าแล้ว คำนิยามของคำว่าคริสตจักรคืออะไร?  คริสตจักรเป็นเพียงกลุ่มของผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีการทรงนำของพระเจ้า สามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง ไล่ตามเสาะหาการนบนอบ และนมัสการพระเจ้าได้เท่านั้น  ไม่ว่าคำคำนี้จะถูกนิยามว่าเป็นสถานที่ เป็นการรวมกลุ่ม การชุมนุม กลุ่มคน ชุมชน หรือสิ่งใดก็ตาม—ไม่ว่าจะใช้คำไหนก็ตาม—โดยพื้นฐานแล้ว คุณสมบัติของคำนิยามก็คือสิ่งเหล่านี้  เมื่อตัดสินจากความเข้าใจพื้นฐานที่ผู้คนมีต่อคำว่าคริสตจักร จากคุณสมบัติที่พวกเจ้าใช้นิยามคำว่า “คริสตจักร” ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเมื่อผู้คนติดตามพระเจ้าและเข้าใจความจริงบ้างแล้ว ความเข้าใจที่พวกเขามีต่อคำว่าคริสตจักรย่อมไม่ใช่ชุมชนหรือกลุ่มทั่วไปอีกต่อไป  ในทางกลับกัน เรื่องนี้สัมพันธ์กับการเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ การอ่านพระวจนะของพระเจ้า การมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การสามารถนบนอบและนมัสการพระเจ้าได้ หรือสัมพันธ์กับแง่มุมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย การเป็นคำพยานให้พระเจ้า และอื่นๆ  เมื่อมองในหนทางนี้ หลังจากที่พระเจ้าเริ่มทรงพระราชกิจของพระองค์แล้ว คำว่า “คริสตจักร” ในหัวใจของผู้คนส่วนใหญ่ก็เกิดความเข้าใจและการทำความเข้าใจที่ลึกซึ้งและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เป็นสิ่งที่สอดคล้องอย่างใกล้ชิดมากขึ้นกับพระดำริที่พระเจ้าทรงมีต่อคำว่าคริสตจักร  นี่มิใช่สิ่งที่เรียบง่ายอย่างสิ่งปลูกสร้าง ชุมชนในสังคม หน่วยงาน สถาบัน หรือสิ่งอื่นๆ อีกต่อไป แต่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ อย่างเช่น การเชื่อในพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ความจริง และการนมัสการพระเจ้า

II. คุณค่าของการดำรงอยู่ของคริสตจักร และงานที่คริสตจักรทำ

สำหรับแนวคิดและคำนิยามอันเฉพาะเจาะจงของคำว่าคริสตจักร พวกเราจะไม่ด่วนสรุปกันในตอนนี้  หลังจากพวกเจ้ามีแนวคิดพื้นฐานของคำว่า “คริสตจักร” หรือคำนิยามแล้ว พวกเจ้าย่อมเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย เช่น คุณค่าของการดำรงอยู่ของคริสตจักร งานที่เกิดจากการดำรงอยู่ของคริสตจักร และบทบาทที่คริสตจักรมีในหมู่ผู้คนใช่หรือไม่?  เนื้อหาของแง่มุมเหล่านี้สัมพันธ์กับคำนิยามของคริสตจักรเช่นกันใช่หรือไม่?  กล่าวโดยง่ายก็คือ สิ่งที่คริสตจักรทำเป็นคุณค่าของการดำรงอยู่ของคริสตจักร  ยกตัวอย่างบ้านหลังหนึ่ง—จุดประสงค์ของบ้านหลังนี้คืออะไร?  บ้านหลังนี้มีคุณค่าและนัยสำคัญต่อผู้อยู่อาศัยและใช้บ้านหลังนี้อย่างไร?  อย่างน้อยที่สุด บ้านหลังนี้ก็มอบที่หลบลมและฝน ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณค่าของบ้านหลังนี้ คุณค่าอีกประการหนึ่งก็คือเมื่อเจ้าเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย อีกทั้งไม่มีที่ไป บ้านคือที่ที่เจ้าสามารถพักผ่อนและอยู่อย่างสันติสุขและพึงพอใจ  บ้านหลังนี้จึงจะเรียกว่าบ้าน แต่สำหรับเจ้า หน้าที่ของบ้านหลังนี้คืออะไร?  ที่แห่งนี้มอบที่หลบภัยจากลมและฝน มอบการพักผ่อน ความผ่อนคลาย มอบความสามารถในการเพลิดเพลินกับอิสระ และอื่นๆ หน้าที่เหล่านี้คือคุณค่าของบ้านหลังนี้สำหรับเจ้า  คราวนี้เราขอถามอีกครั้งหนึ่งว่า บทบาทของคริสตจักรคืออะไร?  สิ่งใดคือคุณค่าและนัยสำคัญของการก่อกำเนิดและการดำรงอยู่ของคริสตจักร?  กล่าวโดยง่ายก็คือ คริสตจักรทำอะไร และคริสตจักรมีบทบาทอย่างไร?  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจนหรือไม่?  สิ่งใดเป็นงานอันเฉพาะเจาะจงหรือเป็นประเภทของงานที่คริสตจักรพึงทำ และขอบเขตของงานดังกล่าวต้องเป็นอย่างไรจึงจะเรียกว่าคริสตจักรได้ และเป็นงานซึ่งคริสตจักรที่แท้จริงพึงทำ?  นี่คือเนื้อหาอันเฉพาะเจาะจงบางส่วนที่ควรได้รับการสามัคคีธรรมถึงในเรื่องคำนิยามของคริสตจักร  อันดับแรก จริงๆ แล้วคริสตจักรทำงานอะไรบ้าง?  (โดยหลักแล้ว คริสตจักรเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้า เป็นพยานยืนยันให้กับพระราชกิจของพระเจ้า และเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เปิดโอกาสให้ผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับความรอดของพระองค์มากขึ้น)  นี่คืองานอันเฉพาะเจาะจงใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือนัยสำคัญของการดำรงอยู่ของคริสตจักร และเป็นหนึ่งในงานอันเฉพาะเจาะจงที่คริสตจักรจำเป็นต้องทำ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด  การเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าและการเป็นพยานยืนยันให้กับพระราชกิจของพระเจ้าคืองานอันเฉพาะเจาะจง  ใครคือผู้รับผิดชอบงานนี้?  ผู้รับผิดชอบคือฝ่ายข่าวประเสริฐในปัจจุบัน  คริสตจักรทำงานใดอีกบ้าง?  (จัดพี่น้องชายหญิงให้มาชุมนุมร่วมกัน กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า เพื่อทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงได้อย่างต่อเนื่องและทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ)  งานอันเฉพาะเจาะจงนี้คือการนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจความจริง และทำหน้าที่ของพวกเขาตามปกติ  การเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าเป็นงานหลักและเป็นงานสำคัญของคริสตจักร  การนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจความจริง และทำหน้าที่ของตนตามปกติคืองานที่เป็นแก่นแท้ของคริสตจักร นี่คืองานที่ชี้นำภายใน  ทั้งสองงานนี้ ซึ่งงานหนึ่งเป็นงานภายนอกและอีกงานหนึ่งเป็นงานภายใน เป็นงานที่เกิดขึ้นจากการดำรงอยู่ของคริสตจักร  กล่าวได้ว่าทั้งสองงานนี้คืองานสำคัญที่คริสตจักรพึงปฏิบัติ  มีงานอื่นอีกหรือไม่?  (อีกงานหนึ่งก็คือการนำผู้คนให้ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาของพระเจ้า เพื่อให้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย)  นี่คืองานภายในอันเฉพาะเจาะจงของคริสตจักร  งานทั้งหมดที่พวกเจ้ากล่าวถึงนี้ โดยพื้นฐานแล้วคืองานที่เป็นตัวแทน  การมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า อย่างเช่น การมีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมต่างๆ นานา การมีประสบการณ์กับการพิพากษา การตีสอน การตัดแต่ง และอื่นๆ และท้ายที่สุดการสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยและบรรลุความรอดนั้นล้วนเป็นงานอันเฉพาะเจาะจง  นี่คือผลลัพธ์และผลกระทบที่การก่อตั้งและการดำรงอยู่ของคริสตจักรมีต่อผู้คน  งานในการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าและเป็นพยานยืนยันให้กับพระเจ้ามิได้ดำเนินการโดยฝ่ายข่าวประเสริฐเพียงอย่างเดียว งานนี้ยังสัมฤทธิ์ผลผ่านบทความคำพยานจากประสบการณ์อันหลากหลาย ผ่านบทเพลงนมัสการ วีดิทัศน์และภาพยนตร์ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นเนื้อหาและโครงการเฉพาะที่อยู่ในงานของการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  นอกจากนี้ยังมีงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคริสตจักร นั่นคือ การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้เข้าใจความจริง การสามารถนบนอบพระเจ้าและรู้จักพระเจ้า รวมถึงการมีประสบการณ์กับพระราขกิจของพระเจ้าและสภาพแวดล้อมนานาประการที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้ในระหว่างขั้นตอนของการทำหน้าที่เพื่อให้สัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยและบรรลุความรอด  สิ่งเหล่านี้คืองานมากมายที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการดำรงอยู่ของคริสตจักรหลังจากคริสตจักรถูกก่อตั้งขึ้นแล้ว  นอกจากงานหลักเหล่านี้แล้ว ยังมีงานรองอื่นๆ อีกหรือไม่?  งานรองคืออะไร?  งานรองหมายถึงงานที่ไม่สำคัญหรือเป็นงานด้านกิจธุระทั่วไป อย่างไรก็ดี งานเหล่านี้ก็ยังมีประโยชน์บางประการต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในการไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำหน้าที่ของพวกเขาเช่นเดียวกัน งานนี้สามารถส่งผลที่เป็นบวกต่อการเติบโตในชีวิตของผู้คน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนะที่พวกเขามีต่อเรื่องทั้งหลายได้  ในสภาวการณ์พิเศษ งานด้านกิจธุระทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดทางกายภาพของผู้คนซึ่งเกิดขึ้นจากงานของคริสตจักรนั้นถือเป็นงานที่จำเป็นสำหรับคริสตจักรหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น การทำไร่ การทำปศุสัตว์ และกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งจัดหาอาหารที่จำเป็นบางอย่างให้กับบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตน—สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นงานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักรหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วการจัดหาคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และสิ่งอื่นๆ ให้กับผู้ที่ทำหน้าที่ของตนเล่า—สิ่งเหล่านี้ถือเป็นงานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักรหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้ว งานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักรหมายถึงอะไร?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคำนิยามของคริสตจักร  คำนิยามของคริสตจักรที่พวกเจ้าให้ไว้ก่อนหน้านี้ดีแล้ว เราค่อนข้างพึงพอใจกับคำนิยามเหล่านั้นเพราะคุณสมบัติในคำนิยามของพวกเจ้าสัมพันธ์กับความจริงที่สูงส่งขึ้น อย่างเช่น การเข้าสู่ชีวิตของผู้คน ความเชื่อที่แท้จริงของพวกเขาและการติดตามพระเจ้า การรู้จักพระเจ้า และแม้กระทั่งความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย การนบนอบพระเจ้า และการนมัสการพระเจ้า  เมื่อพิจารณาในประเด็นนี้ คริสตจักรจึงมิได้ดำรงอยู่เพื่อสิ่งทั้งหลายที่สัมพันธ์กับชีวิตทางเนื้อหนังและผลประโยชน์ของผู้คน อย่างเช่น การดูแลให้พวกเขาอบอุ่นและอิ่มท้อง การดูแลให้พวกเขามีสุขภาพดี หรือการเอาใจใส่โอกาสในอนาคตของพวกเขาอย่างแน่นอน  คริสตจักรมิได้ดำรงอยู่เพื่อเกื้อหนุนความอยู่รอดทางภายภาพของผู้คน หรือเพื่อทำให้ผู้คนเพลิดเพลินกับชีวิตทางเนื้อหนังมากขึ้น  คนบางคนกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกต้อง  ชีวิตและความอยู่รอดทางกายของพวกเราถูกกล่าวถึงในพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งบอกให้พวกเราศึกษาศิลปะและความรู้สมัยใหม่เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ  สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของพวกเราไม่ใช่หรือ?”  สิ่งเหล่านี้ถือเป็นงานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักรหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เนื่องจากคริสตจักรประกอบด้วยผู้เชื่อในพระเจ้า และโดยธรรมชาติแล้ว ชีวิตของผู้คนนั้นเกี่ยวข้องกับอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย การเดินทาง และสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน คริสตจักรจึงช่วยผู้คนแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไปด้วยเช่นกัน  เมื่อปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไข ผู้คนก็คิดว่า “คริสตจักรรับผิดชอบต่อสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของพวกเราด้วย  นี่คืองานประจำ และเป็นงานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักร”  นี่คือความเข้าใจผิดมิใช่หรือ?  (ใช่)  อะไรก่อให้เกิดความเข้าใจผิดนี้?  (ผู้คนเหล่านี้ยังไม่เข้าใจอย่างชัดเจนว่างานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักรคืออะไร)  เหตุใดพวกเขาจึงยังไม่เข้าใจอย่างชัดเจนแม้กระทั่งตอนนี้?  การทำความเข้าใจของพวกเขามีปัญหาอยู่มิใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดการทำความเข้าใจของพวกเขาจึงมีปัญหา?  นี่เป็นเรื่องของขีดความสามารถ  ท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นเพราะขีดความสามารถต่ำนั่นเอง

ในเรื่องของงานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักรนั้นเพิ่งถูกกล่าวถึงไปสามประการ ประการหนึ่งคือการเผยแผ่และการเป็นคำพยานให้กับพระวจนะของพระเจ้า  ต่อมาคือการนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และช่วยเหลือผู้คนให้เข้าใจความจริง ปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า และทำหน้าที่ของตนให้ดีขึ้น  และอีกประการหนึ่งคือการนำผู้คนให้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า มีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้า และทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเพื่อสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยตามความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า  ทั้งหมดนี้ล้วนมุ่งหมายที่จะให้ผู้คนบรรลุความรอด  ทั้งสามประการนี้ได้รับการสรุปความอย่างดี สิ่งเหล่านี้คืองานที่คริสตจักรจำเป็นต้องทำ อีกทั้งเป็นคุณค่าและนัยสำคัญที่การดำรงอยู่ของคริสตจักรมีต่อมวลมนุษย์ ต่อสมาชิกคริสตจักร และต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  แต่นี่ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ  นอกจากงานอันเป็นแก่นแท้เหล่านี้แล้ว ลองนึกถึงประโยชน์อันเป็นแก่นแท้อื่นๆ ที่ผู้คนได้รับ นอกจากการมีประสบการณ์กับงานที่คริสตจักรปฏิบัตินี้อีกครั้งเถิด  (ผู้คนเรียนรู้ที่จะแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ)  การแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ นั้นใกล้เคียงกันทีเดียว การนี้สัมพันธ์กับงานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักร  เมื่อพวกเราพูดถึงงานอันเป็นแก่นแท้ พวกเรากำลังพูดถึงงานที่เป็นตัวแทน  สิ่งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมไปเมื่อครู่คือผลประโยชน์อันเป็นบวกที่ผู้คนพึงสัมฤทธิ์ หรือเป็นงานบางอย่างที่ดำเนินการโดยคริสตจักรซึ่งผู้คนมีประสบการณ์หรือมีส่วนร่วม  นอกจากงานอันเป็นแก่นแท้เหล่านี้แล้ว คุณค่าอีกประการหนึ่งของการดำรงอยู่ของคริสตจักรคือการช่วยเหลือผู้คนให้เข้าใจมวลมนุษย์ เข้าใจโลก และเข้าใจอิทธิพลของความมืด  งานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักรประการนี้อยู่นอกเหนืองานสามประการที่พวกเราสามัคคีธรรมไปหรือไม่?  นี่คืองานที่เฉพาะเจาะจงใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเปรียบเทียบกับงานสามประการแรก นี่ถือเป็นงานรอง  เหตุใดนี่จึงถือว่าเป็นงานรอง?  เพราะงานนี้เป็นผลสัมฤทธิ์จากการที่ผู้คนผ่านการมีประสบการณ์กับงานสามประการแรก—งานนี้สัมฤทธิ์ด้วยการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า การเข้าใจความจริง การเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และการรู้จักพระเจ้า  ผลลัพธ์ดังกล่าวก็คือ ผู้คนได้มาเข้าใจมวลมนุษย์ที่เลวร้ายนี้ โลกอันมืดมิดแห่งนี้ และอิทธิพลของความมืด  ขณะนี้ผลลัพธ์เช่นนี้ได้สัมฤทธิ์ไปบ้างแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่มิใช่คุณค่าของการดำรงอยู่ของคริสตจักรหรือ?  นี่คือหน้าที่และผลที่การดำรงอยู่ของคริสตจักรพึงมีต่อบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ประการหนึ่ง งานนี้มีผลในเชิงรูปธรรมเช่นนี้ นอกจากนั้น คริสตจักรทั้งหลายยังดำเนินการงานนี้อย่างแข็งขันและเป็นบวกอีกด้วย  อะไรคือโครงการเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานนี้?  ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์เกี่ยวกับการที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้รับประสบการณ์การจับกุมและทรมาน—ประการหนึ่งคือ สิ่งเหล่านี้เป็นคำพยานที่เกิดขึ้นจากบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าในยามที่พวกเขาทนทุกข์กับการข่มเหงอันโหดร้ายของซาตาน อีกประการหนึ่งก็คือ พวกเขาเปิดโปงว่ามวลมนุษย์ที่เลวร้ายนี้ โลกอันมืดมิดแห่งนี้ และอิทธิพลมืดนี้ต้านทานและกล่าวโทษพระเจ้าและความจริงอย่างไร รวมถึงเปิดโปงหนทางต่างๆ นานาที่คนเหล่านั้นข่มเหงผู้ติดตามพระเจ้าอย่างโหดร้ายทารุณ  ขณะที่เปิดโปงสิ่งเหล่านี้ ภาพยนตร์ดังกล่าวก็ช่วยผู้คนให้คนเข้าใจมวลมนุษย์ เข้าใจโลก และเข้าใจอิทธิพลของความมืดจากมุมมองนี้  บางคนกล่าวว่า “พระองค์หมายความว่าอย่างไรเมื่อตรัสว่า ‘เข้าใจมวลมนุษย์และโลกใบนี้’?”  พวกเจ้าทุกคนคิดว่าประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร?  (เข้าใจความมืดและความเลวร้ายของมวลมนุษย์และโลกใบนี้ รวมถึงเข้าใจแก่นแท้ของมวลมนุษย์ทั้งปวงที่เป็นศัตรูของพระเจ้า)  ถูกต้อง  ประโยคนี้หมายถึงการเข้าใจความเลวร้ายและความมืดของมวลมนุษย์ เข้าใจโฉมหน้าอันอัปลักษณ์และตัวตนที่แท้จริงของมวลมนุษย์ทั้งปวงในฐานะศัตรูของพระเจ้า  วีดิทัศน์เกี่ยวกับการทรมานหรือคำพยานจากประสบการณ์ส่วนบุคคลเป็นตัวอย่างอันเฉพาะเจาะจงของงานนี้ที่คริสตจักรทำ  นอกจากนี้ การเปิดโปงวัฒนธรรมดั้งเดิม ทัศนะทางศีลธรรมของมนุษย์ ความคิดของบางกลุ่มชาติพันธุ์หรือบางเชื้อชาติ รวมไปถึงคำสอนดั้งเดิมของลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อในประเทศจีน ความจริงจอมปลอมบางประการ กฎครอบครัวและการเลี้ยงดูที่ผูกมัดผู้คนและจำกัดความคิดของพวกเขา—จุดประสงค์ของการเปิดโปงสิ่งเหล่านี้คืออะไร?  งานนี้อยู่ในหมวดหมู่ใด?  เนื้อหาที่เราชำแหละไปก่อนหน้านี้ในเรื่อง “นอนบนกองฟืน ทนความขมขื่น” คือส่วนหนึ่งของการเข้าใจโลก มวลมนุษย์ และอิทธิพลของความมืดมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือตัวอย่างของเนื้อหาอันเฉพาะเจาะจงของงานนี้  ดังนั้นงานนี้จึงเป็นงานเฉพาะที่คริสตจักรพึงปฏิบัติเช่นเดียวกัน  โดยสรุปแล้ว  งานของคริสตจักรในแง่หนึ่งคือการชี้นำผู้คนอย่างเป็นบวกไปสู่ความเป็นจริงความจริงโดยผ่านทางความจริง นำพวกเขาให้สัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า  ส่วนอีกแง่หนึ่งคือ การเปิดโปงโลกอันมืดมิดเยี่ยงซาตาน เปิดโปงการกระทำนานาประการของซาตานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงและพระเจ้า และเปิดโปงกระแสนิยมชั่วในสังคมมนุษย์ เปิดโปงแนวคิดและมโนคติอันหลงผิดนานาประการของมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม รวมถึงความเห็นนอกรีต เหตุผลวิบัติของพวกเขา และอื่นๆ เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจธรรมชาติและแก่นแท้ที่แท้จริงของยุคที่เลวร้ายนี้  นี่คืองานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักรมิใช่หรือ?  (ใช่)  อันที่จริงพวกเจ้าได้รับจากงานของคริสตจักรไปแล้วมากมาย และได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม  สำหรับผู้คนในคริสตจักรนั้น ไม่ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่สนใจความจริงหรือเป็นผู้ที่ไม่สนใจความจริงก็ตาม หลังจากติดตามพระเจ้ามาเป็นเวลาสามถึงห้าปี ผ่านการชุมนุมเพื่อสามัคคีธรรมความจริง การอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า และการมีประสบการณ์กับการข่มเหงและการใส่ร้ายป้ายสีจากผู้ไม่มีความเชื่อ การก่อกวนจากคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ รวมถึงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกรูปแบบ พวกเขาย่อมจะเกิดการแยกแยะและเข้าใจโลกอันมืดมิด มวลมนุษย์ที่เลวร้าย อำนาจครอบงำ และอิทธิพลมืดของทั่วทั้งโลกโดยไม่รู้ตัว  สิ่งเหล่านี้คือผลประโยชน์ที่พวกเขาสัมฤทธิ์  แล้วผลประโยชน์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการดำรงอยู่ของคริสตจักรใช่หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากงานที่คริสตจักรทำใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในด้านหนึ่ง ผู้คนได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระวจนะ พระราชกิจ และพระอุปนิสัยของพระเจ้า ส่วนอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็ได้รับความตระหนักรู้และวิจารณญาณบางอย่างที่สอดคล้องกันเกี่ยวกับโลก มวลมนุษย์ และอิทธิพลของความมืดอีกด้วย  ผลลัพธ์และผลที่เป็นบวกของผลประโยชน์ทั้งสองด้านที่มีต่อผู้คนนี้คือสิ่งที่พวกเขาควรสัมฤทธิ์เพื่อที่จะบรรลุความรอด

งานของคริสตจักรสามารถสรุปได้ว่าเป็นการเผยแผ่และเป็นพยานยืนยันให้กับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า และเป็นการนำผู้คนให้กินดื่มพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริง ปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า และทำหน้าที่ของตนได้ดีขึ้น  นอกจากนี้ บนรากฐานของการเข้าใจความจริง พวกเขาสามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้  นอกเหนือจากสามแง่มุมนี้แล้ว งานของคริสตจักรยังรวมถึงการช่วยให้ผู้คนเข้าใจมวลมนุษย์ที่เลวร้าย โลกที่มืดมิด และอิทธิพลของความมืด  ถึงแม้ว่าโครงการต่างๆ ในงานของคริสตจักรจะมีไม่มากนัก แต่เนื้อหาอันเฉพาะเจาะจงนั้นมีมากมายมหาศาล  เนื้อหาทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง การทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา และการนบนอบพระเจ้า แน่นอนว่าเรื่องนี้ยิ่งเกี่ยวข้องกับการได้รับการช่วยให้รอดมากขึ้นไปอีก  นี่คือหน้าที่ของคริสตจักร และเป็นคุณค่าของการดำรงอยู่ของคริสตจักร  ทุกแง่มุมของงานของคริสตจักรนั้นเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิธีที่ผู้คนปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้า ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ความรอดของพวกเขา รวมถึงทัศนะและท่าทีที่พวกเขามีต่อโลก มวลมนุษย์ และอิทธิพลของความมืด  โดยสรุปก็คือ การดำรงอยู่ของคริสตจักรนั้นเกี่ยวข้องกับทุกคนอย่างใกล้ชิด และงานที่คริสตจักรทำ ตลอดจนคุณค่าและนัยสำคัญในการดำรงอยู่ของคริสตจักรก็เป็นสิ่งที่มิอาจแยกจากทุกคนที่ยอมรับความรอดของพระเจ้าได้

หลังจากสามัคคีเรื่องงานอันเฉพาะเจาะจงที่คริสตจักรจำเป็นต้องทำแล้ว พวกเรามาหารือถึงคำนิยามและทัศนะที่ไม่เหมาะสมที่ผู้คนมีต่อคำว่า “คริสตจักร” และนัยสำคัญของการดำรงอยู่ของคริสตจักรกันเถิด  ก่อนอื่น ผู้คนมองว่าคริสตจักรเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างชูใจ เป็นสถานที่ที่เปี่ยมด้วยความอบอุ่นและแสงแดด ทั้งยังเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างเป็นมิตร ไร้ซึ่งความขัดแย้ง สงคราม การเข่นฆ่า หรือการนองเลือด—เป็นสถานที่ในอุดมคติที่หัวใจของผู้คนถวิลหา เปี่ยมไปด้วยความสุข  ที่แห่งนี้ไม่มีความริษยาหรือความบาดหมาง ไม่มีกลอุบาย กระแสนิยมชั่ว หรือปรากฏการณ์อื่นๆ ที่พบได้ในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ  ที่แห่งนี้ถูกมองว่าเป็นท่าเรือในอุดมคติที่ผู้คนสามารถจะทอดสมอใจของพวกเขาเอาไว้ได้  ไม่ว่าความคิดฝันของผู้คนเกี่ยวกับคำว่า “คริสตจักร” จะงดงามเพียงใด โดยรวมแล้ว ผู้คนย่อมพบกับการค้ำจุนทางฝ่ายวิญญาณในคริสตจักรในระดับหนึ่ง  การค้ำจุนทางฝ่ายวิญญาณนี้มีหน้าที่ที่ผู้คนจับต้องได้มากขึ้น เมื่อพวกเขาเผชิญความยากลำบาก พวกเขาก็สามารถมาที่คริสตจักรเพื่อระบายความทุกข์ของตน และคริสตจักรก็สามารถช่วยให้พวกเขาบรรเทาความกังวลและแก้ไขความยากลำบากนั้นได้  ตัวอย่างเช่น หากพวกเขาเผชิญกับความยากลำบากในที่ทำงานหรือในชีวิต หากลูกๆ ของพวกเขาไม่เชื่อฟัง หากสามีหรือภรรยาของพวกเขานอกใจ หากเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ หากเกิดการโต้เถียงกับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนบ้าน หากลูกๆ ของพวกเขาถูกกลั่นแกล้ง หากที่ดินของพวกเขาถูกผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นบางคนยึดไป และอื่นๆ—เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ผู้คนก็หวังว่าใครสักคนในคริสตจักรจะสามารถยืนหยัดเพื่อพวกเขา และช่วยพวกเขาแก้ไขและจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้  ในจิตใจของผู้คน คริสตจักรคือสถานที่เช่นนั้น  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในจิตใจของผู้คน คริสตจักรคือที่หลบภัย คือสรวงสวรรค์ในอุดมคติ คือที่ที่บรรเทาความกังวลและแก้ไขความยากลำบาก กำจัดความรุนแรง และปล่อยให้ผู้ทีจิตใจดีได้ใช้ชีวิตอย่างสันติสุขและค้ำจุนความยุติธรรมไว้  หากชีวิตเกิดยากลำบาก คริสตจักรก็ควรให้ความช่วยเหลือ หากไม่มีผักให้กินหรือไม่มีข้าวสารให้กรอกหม้อ คริสตจักรก็ควรแจกจ่ายสิ่งเหล่านั้นให้พวกเขา หากไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ คริสตจักรก็ควรซื้อให้พวกเขา หากใครบางคนล้มป่วย คริสตจักรก็ควรจ่ายค่ารักษาให้  เมื่อใครบางคนเผชิญความยากลำบากในที่ทำงาน พี่น้องชายหญิงในคริสตจักรก็ควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ใช้เส้นสาย ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ หรือให้การชี้นำ  เมื่อลูกๆ ของคนคนหนึ่งกำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาก็หันหน้าเข้าหาคริสตจักรเพื่อหาคนมาอธิษฐานเพื่อลูกของตนเพิ่มเติม เพียรพยายามเพื่อให้แน่ใจว่าลูกๆ ของตนจะสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ  ไม่ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากใด ตราบเท่าที่คนเรามาที่คริสตจักร ความยากลำบากทั้งหมดนี้ก็สามารถแก้ไขและจัดการได้  ต่อให้คนเราทนทุกข์จากการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมโดยน้ำมือของคนชั่ว คริสตจักรที่มีผู้คนอยู่มากมายและมีอิทธิพลยิ่งนักย่อมสามารถจัดการสิ่งต่างๆ ให้คลี่คลายได้  เมื่อได้รับการหนุนใจและการเกื้อหนุนจากผู้คนมากมาย คนเราก็จะไม่ขี้ขลาดหรือหวาดกลัวการถูกพวกคนพาลกดขี่ข่มเหงอีกต่อไป  แม้ในยามที่ถูกกลั่นแกล้ง ถูกกีดกัน และดิ้นรนต่อสู้ในสังคมอยู่ตลอดเวลาโดยไร้ซึ่งหนทางในการหาเลี้ยงชีพ คนเราก็ยังสามารถแสวงหาความช่วยเหลือและคำแนะนำดีๆ ได้จากคริสตจักร รวมถึงหางานที่เหมาะสมได้  สิ่งเหล่านี้และสิ่งอื่นๆ อีกมากมายคือบทบาทที่ผู้คนเชื่อว่าคริสตจักรพึงมีและเป็นงานที่คริสตจักรควรปฏิบัติทั้งสิ้น  เมื่อตัดสินจากความคิดและมโนคติอันหลงผิดของผู้คน หรือจากสิ่งที่พวกเขาเรียกร้องจากคริสตจักรก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขามองคริสตจักรเป็นสถาบันด้านสวัสดิการ เป็นองค์กรการกุศล เป็นบริษัทจัดหาคู่หรือจัดหางาน หรือเป็นสภากาชาดอย่างแน่นอน  บางคนถึงกับคิดว่า ไม่ว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด หรือมีสถานะเช่นไรในสังคมและในหมู่มวลมนุษย์ พวกเขาก็จำเป็นต้องพึ่งพาองค์กรที่มีอำนาจอยู่เสมอ  เมื่อพวกเขาเผชิญกับเรื่องยากลำบากในสังคมหรือต่อกรกับผู้มีอำนาจ พวกเขาก็ต้องการกำลังที่แข็งแกร่งมาหนุนหลังตน พูดแทนตน จัดการเรื่องทั้งหลายให้ และต่อสู้เพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของตน  ในทัศนะของพวกเขา คริสตจักรสามารถลุล่วงบทบาทนี้และสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่พวกเขามุ่งหวังได้ ดังนั้นคริสตจักรจึงกลายเป็นตัวเลือกเดียวของพวกเขา  เห็นได้ชัดว่า พวกเขามองคริสตจักรเป็นสหภาพหรือสมาคมทางสังคม อย่างเช่น สหภาพครู สหภาพขนส่ง สมาคมเกษตรกร สมาคมสตรี สมาคมผู้สูงอายุ เป็นต้น—ซึ่งเป็นกลุ่มหรือองค์กรทางสังคมในลักษณะนี้  ไม่ว่าแท้จริงแล้วผู้คนจะนิยามคริสตจักรว่าอย่างไร เมื่อตัดสินจากงานที่คริสตจักรทำ และคำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำของคริสตจักร ย่อมเห็นได้ชัดว่าท่าทีและข้อเรียกร้องที่ผู้คนมีต่อคริสตจักรนั้นไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม และผู้คนไม่ควรมีท่าทีและข้อเรียกร้องเหล่านั้น  คริสตจักรไม่ใช่สถานที่สำหรับ “ปล้นคนรวยไปเลี้ยงคนจน” ไม่ใช่สถานที่กำจัดความรุนแรงและปล่อยให้ผู้ที่จิตใจดีใช้ชีวิตอย่างสันติสุข หรือค้ำจุนความยุติธรรม ยิ่งไม่ใช่สถานที่เพื่อช่วยเหลือโลกหรือช่วยชีวิตผู้คน หรือบรรเทาความกังวลและแก้ไขความยากลำบากของผู้คน  คริสตจักรไม่ใช่องค์กรการกุศล ไม่ใช่สถาบันด้านสวัสดิการ และไม่ใช่การรวมกลุ่มทางสังคม  การก่อตั้งและการดำรงอยู่ของคริสตจักรไม่ใช่เพื่อกระทำการในฐานะกลุ่มหรือองค์กรทางสังคม  นอกจากงานอันเป็นแก่นแท้ไม่กี่อย่างที่คริสตจักรควรดำเนินการ ซึ่งคือการเผยแผ่และเป็นพยานยืนยันให้พระวจนะของพระเจ้า และการนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเพื่อสัมฤทธิ์ความรอดแล้ว คริสตจักรก็ไม่ได้มีภาระผูกพันในการจัดเตรียมหน้าที่ หรือช่วยเหลือสังคมหรือกลุ่มชาติพันธุ์แต่อย่างใด  ยิ่งไปกว่านั้น คริสตจักรไม่ใช่สถานที่สำหรับต่อสู้เพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของผู้คน และไม่ได้มีภาระผูกพันในการรับรองชีวิตทางกาย สถานะทางสังคม ตำแหน่งงาน เงินเดือน สวัสดิการสังคมของผู้คน และอื่นๆ  ในมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พวกเขาเชื่อว่าหน้าที่ของคริสตจักรคือกำจัดความรุนแรงและปล่อยให้ผู้ที่จิตใจดีได้ใช้ชีวิตอย่างสันติสุข ค้ำจุนความยุติธรรม บรรเทาความกังวลของผู้คนและแก้ไขความยากลำบากของพวกเขา ช่วยเหลือโลกและช่วยชีวิตผู้คน รวมถึงต่อสู้เพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของผู้คน—โดยพื้นฐานก็คือหน้าที่เหล่านี้  ด้วยเหตุนั้นผู้คนจึงเชื่อว่า คริสตจักรคือความช่วยเหลือเร่งด่วนของพวกเขา และคริสตจักรสามารถแก้ไขและสะสางความยากลำบากต่างๆ ได้  เห็นได้ชัดว่าผู้คนมองคริสตจักรเป็นสถาบัน องค์กร หรือกลุ่มทางสังคม  อย่างไรก็ตาม คริสตจักรเป็นสถาบันเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  หากหน้าที่และบทบาทในการดำรงอยู่ของคริสตจักรตามที่ผู้คนเชื่อคือการกำจัดความรุนแรงและปล่อยให้ผู้ที่จิตใจดีได้ใช้ชีวิตอย่างสันติสุข ค้ำจุนความยุติธรรม บรรเทาความกังวลของผู้คนและแก้ไขความยากลำบากให้พวกเขา ช่วยเหลือโลกและช่วยชีวิตผู้คน ต่อสู้เพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของผู้คน และอื่นๆ เช่นนั้นแล้วคริสตจักรแห่งนี้ย่อมไม่อาจเรียกว่าคริสตจักรได้ เพราะที่แห่งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอดเลย  กลุ่มหรือองค์กรเช่นนั้นควรเรียกว่ากลุ่มหรือองค์กรเท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์กับคริสตจักร อีกทั้งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับงานของคริสตจักรเลย  หากองค์กรภายใต้ธงของการเชื่อในพระเจ้านั้นมีส่วนร่วมในกิจกรรมทั้งหลาย อย่างเช่น การเข้ารับใช้ การนมัสการพระเจ้า การอ่านพระคัมภีร์ การอธิษฐาน การขับร้องบทเพลงนมัสการ และการสรรเสริญ หรือแม้กระทั่งมีการชุมนุมและนมัสการอย่างเป็นทางการ รวมไปถึงสิ่งที่เรียกว่าเป็นการพบปะเพื่อศึกษาพระคัมภีร์ การพบปะเพื่ออธิษฐาน การพบปะเพื่อนร่วมงาน การพบปะแลกเปลี่ยน และอื่นๆ ไม่ว่าจะมีสมาชิกหรือโครงสร้างประเภทใด กิจกรรมเหล่านี้ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคริสตจักรที่แท้จริงเลย  เช่นนั้นแล้วคริสตจักรที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?  คริสตจักรที่แท้จริงเกิดขึ้นได้อย่างไร?  คริสตจักรที่แท้จริงถือกำเนิดขึ้นเพราะการทรงปรากฏของพระเจ้า พระราชกิจ และการที่พระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  คริสตจักรเกิดขึ้นเมื่อผู้คนได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า หันมาหาพระเจ้า และนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า  นี่คือคริสตจักรที่แท้จริง  คริสตจักรมิได้ดำเนินการหรือก่อตั้งขึ้นโดยมนุษย์ แต่ก่อตั้งขึ้นโดยพระเจ้าพระองค์เอง และพระเจ้าทรงนำและทรงเป็นผู้เลี้ยงโดยพระองค์เอง  ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าจึงทรงมีพระบัญชาต่อคริสตจักรทั้งหลายของพระองค์  คริสตจักรมีภารกิจในการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้า เป็นพยานยืนยันให้กับพระราชกิจของพระเจ้า และช่วยเหลือผู้คนให้ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า หันกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ยอมรับความรอดจากพระเจ้า มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อให้ได้รับความรอดจากพระองค์ และเป็นพยานให้พระเจ้า—การนี้เรียบง่ายเช่นนั้นเอง  นี่คือคุณค่าและนัยสำคัญของการดำรงอยู่ของคริสตจักร

III. คำนิยามของคริสตจักร

หลังจากสามัคคีธรรมถึงหัวข้อคริสตจักรคืออะไรแล้ว บัดนี้พวกเจ้าย่อมมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการถือกำเนิดของคริสตจักร งานที่คริสตจักรทำ และผลลัพธ์ที่คริสตจักรสัมฤทธิ์  พวกเจ้ายังสามารถเข้าใจคุณค่าและนัยสำคัญบางอย่างของการดำรงอยู่ของคริสตจักรอีกด้วย  แล้วตอนนี้พวกเราสามารถให้คำนิยามที่ถูกต้องได้หรือยังว่าคริสตจักรคืออะไรกันแน่?  อันดับแรก คริสตจักรไม่ใช่สถานที่ที่มอบความชูใจทางอารมณ์ให้แก่ผู้คน อีกทั้งไม่ใช่สถานที่ที่รับรองว่าผู้คนจะอิ่มหนำและมีเสื้อผ้าสวมใส่หรือมอบที่หลบภัยให้ผู้คน  คริสตจักรไม่ใช่สถานที่ในการรับรองสิทธิและผลประโยชน์ทางกายภาพแก่ผู้คน หรือแก้ไขความยากลำบากที่พวกเขาพบเจอในชีวิต  คริสตจักรมิใช่ที่สำหรับเติมเต็มช่องว่างทางฝ่ายวิญญาณและมอบการค้ำจุนทางฝ่ายวิญญาณให้ผู้คน  เนื่องจากคริสตจักรไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้คนทึกทักตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว คำนิยามที่เฉพาะเจาะจงของคริสตจักรคืออะไร?  คริสตจักรคืออะไรกันแน่?  ในพระคัมภีร์ องค์พระเยซูเจ้าได้ประทานคำอธิบายเบื้องต้นในการเรียกขานคริสตจักร  พระองค์ตรัสเอาไว้อย่างไรกันแน่?  {“เพราะว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขาที่นั่น” (มัทธิว 18:19-20)}  พระวจนะเหล่านี้หมายความว่า ไม่ว่าผู้คนจะมาชุมนุมกันกี่คน ตราบเท่าที่พวกเขามีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่ที่นั่นกับพวกเขา สถานที่นั้นก็คือคริสตจักร—ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าได้ทรงปรากฏเพื่อทรงพระราชกิจและทรงแสดงความจริง  เมื่อผู้คนมารวมตัวกันเพื่อกินและดื่ม อ่านอธิษฐาน และสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าก็สถิตอยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าทรงยอมรับว่าที่แห่งนี้คือคริสตจักร  หากผู้คนมาชุมนุมกันแต่ไม่กินไม่ดื่มพระวจนะของพระเจ้า หากพวกเขาเพียงแต่ท่องคำสอนฝ่ายวิญญาณอันว่างเปล่าราวกับนกแก้วนกขุนทอง ทว่าไม่อาจรู้สึกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ เช่นนั้นแล้วที่นั่นก็ไม่ใช่คริสตจักร เพราะที่แห่งนั้นไม่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า และที่แห่งนั้นไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  การชุมนุมที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้นได้รับพรและการทรงนำจากพระองค์ และเมื่อผู้คนมารวมตัวกันในการชุมนุมเช่นนั้น ไม่ว่าพวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมความจริง หรือใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาหรือไม่ก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเชื่อมโยงกับข้อกำหนดและการทรงนำของพระเจ้า ดังนั้นจึงได้รับพรจากพระองค์ทั้งสิ้น  นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ตราบเท่าที่การชุมนุมลักษณะนี้มีการทรงชี้นำ การทรงนำ และการสถิตของพระเจ้า จึงจะสามารถเรียกว่าคริสตจักรได้  นี่คือคำนิยามที่เรียบง่ายและพื้นฐานที่สุดของคำว่าคริสตจักร และนี่คือคำนิยามของคริสตจักรในช่วงยุคพระคุณ  คำนิยามนี้เกิดขึ้นจากบริบทของพระราชกิจของพระเจ้าในเวลานั้น  ดังนั้นจึงเป็นคำนิยามที่ถูกต้องและเป็นจริง  แต่ในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย เนื่องจากพระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากขึ้น และทรงพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้น คำนิยามของคริสตจักรจึงต้องลึกซึ้งมากกว่าคำนิยามพื้นฐานในยุคพระคุณ  พระราชกิจของพระเจ้าได้ก้าวหน้าไปมากขึ้น  คริสตจักรจึงไม่เพียงประกอบด้วยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงสถิตของพระเจ้าอีกต่อไป  ในเวลานี้ พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจด้วยพระองค์เองอยู่ในคริสตจักรของพระองค์ ทรงชี้นำและทรงเลี้ยงดูคริสตจักรเหล่านั้น ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถกินและดื่มพระวจนะในปัจจุบันของพระองค์ รวมถึงติดตามและเป็นคำพยานให้พระคริสต์ได้  เพราะฉะนั้นคำนิยามคริสตจักรในยุคสุดท้ายจึงลึกซึ้งกว่าที่เคยเป็นมาในยุคพระคุณ เป็นคำนิยามที่ล้ำลึกกว่า ถูกต้องแม่นยำมากกว่า และเป็นคำอธิบายที่เฉพาะเจาะจงยิ่งกว่าเมื่อก่อน และแน่นอนว่าคำนิยามนี้ไม่อาจแยกจากความจริงและพระวจนะของพระเจ้าได้  แล้วหนทางในการนิยามคริสตจักรอย่างถูกต้องแม่นยำและเหมาะสมที่สุดเป็นเช่นไร?  อันดับแรก คำนิยามพื้นฐานควรจะเป็นผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง  หากกล่าวให้เฉพาะเจาะจงลงไปอีก คริสตจักรก็คือผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง ได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระองค์ ไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ รวมถึงสามารถนบนอบและนมัสการพระเจ้า ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ และบรรลุความรอดของพระองค์  ส่วนสำคัญของคำนิยามนี้คือ “ผู้คนกลุ่มหนึ่ง”  คริสตจักรไม่ใช่สถานที่ หรือหมู่คณะ หรือชุมชน และยิ่งไม่ใช่เพียงการชุมนุมของผู้คนที่มีความเชื่อ  คำว่า “กลุ่ม” อาจประกอบด้วยผู้คนสิบกว่าคน หรือสามสิบถึงห้าสิบคน หรือแน่นอนว่าเป็นจำนวนที่มากกว่านั้น  พวกเขาสามารถมารวมตัวกัน หรือสามารถแยกเป็นกลุ่มย่อยเพื่อชุมนุมกันก็ได้ เรื่องนี้ไม่ตายตัวและสามารถปรับเปลี่ยนได้  สรุปก็คือ เมื่อผู้ติดตามพระเจ้าเหล่านี้ยกชู นมัสการ เป็นคำพยานให้พระองค์ และทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ คนเหล่านี้ก็คือคริสตจักร  ไม่ว่าพวกเขามารวมตัวกันกี่คน พวกเขาก็ยังคงเป็นคริสตจักร  ตัวอย่างเช่น คนจำนวนห้าสิบคนย่อมถูกเรียกว่าคริสตจักรขนาดเล็ก และคนจำนวนหนึ่งร้อยคนก็ถูกเรียกว่าคริสตจักรขนาดใหญ่—ขนาดของคริสตจักรถูกกำหนดโดยจำนวนสมาชิก  คริสตจักรจึงมีทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ โดยจำนวนของผู้คนในคริสตจักรนั้นไม่ตายตัว  พวกเรามาพิจารณาคำนิยามของคริสตจักรกันอีกครั้ง นั่นคือผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง ได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ รวมถึงสามารถเชื่อฟังและนมัสการพระเจ้า ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ และบรรลุความรอดของพระองค์  เหตุใดจึงนิยามคริสตจักรในลักษณะนี้?  เพราะพระเจ้าทรงต้องการที่จะทำงานในคริสตจักรทั้งหลาย และพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยผู้คนกลุ่มนั้นให้รอด  มีแต่กลุ่มคนประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าคริสตจักรได้  และเฉพาะเมื่อกลุ่มคนเช่นนี้มารวมตัวเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติและปฏิบัติตามพระวจนะได้ และอธิษฐานถึงพระเจ้า นบนอบพระองค์ และนมัสการพระองค์ได้อย่างแท้จริง  ผู้คนกลุ่มนั้นได้รับการกำกับดูแลและนำโดยพระวจนะของพระเจ้า คำนิยามดังกล่าวของคริสตจักรจึงเกิดขึ้นผ่านกลุ่มคนเช่นนั้นเอง  เนื่องจากผู้คนในศาสนาไม่ยอมรับความจริงและไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด พวกเขาจึงไม่ใช่คริสตจักร แต่เป็นชุมชนทางศาสนา  นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างคริสตจักรและศาสนา  มีเพียงคริสตจักรเท่านั้นที่ได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า และมีเพียงคริสตจักรที่พระคริสต์ทรงเลี้ยงดูด้วยพระองค์เองเท่านั้นที่ได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า  การได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้าหมายถึงอะไร?  ในเรื่องนี้พวกเราจำเป็นต้องกล่าวถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือการทรงนำ ความรู้แจ้ง และความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  บอกเราทีว่าสิ่งใดสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่ากัน ระหว่างการได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า หรือการมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์?  (การได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า)  การได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่า และเป็นรูปธรรมมากกว่า  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพียงจัดเตรียมความรู้แจ้งและความกระจ่างบางอย่างแก่ผู้คน เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริง และนำพวกเขาไปพบกับหลักธรรมของการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า  ผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์ได้ก็คือพวกเขาได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า  หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจ ผู้คนจะยังสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจหลักธรรมได้หรือไม่?  (ได้)  ขณะนี้ พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะเอาไว้มากมาย ผู้คนได้ฟังคำเทศนาอยู่เป็นประจำและสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้  ต่อให้ไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนก็รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง  บรรดาผู้ที่รักความจริงสามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าได้ตราบเท่าที่พวกเขาเข้าใจความจริง  ส่วนผู้ที่ไม่รักความจริงนั้น ต่อให้พวกเขาได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่เข้าใจพระวจนะเหล่านั้น และต่อให้พวกเขาเข้าใจอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติ ดังนั้นจึงได้แต่ถูกกำจัดออกไป  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงแสดงความจริงโดยตรงเพื่อทรงนำและทรงเลี้ยงดูผู้คนด้วยพระองค์เอง  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น  เรื่องนี้เหมือนกับเด็กที่กำลังหัดเดิน บางครั้งผู้ใหญ่ก็จะยื่นมาเข้ามาช่วย เมื่อเด็กน้อยสามารถเดินได้อย่างมั่นคงและวิ่งได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีใครเข้าไปประคองพวกเขา  ด้วยเหตุนั้น พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน และไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด  เมื่อผู้คนได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า นี่ย่อมหมายความว่าพวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจความจริง อีกทั้งรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าหมายถึงอะไร และหลักธรรมกับมาตรฐานที่พระเจ้าต้องประสงค์จากผู้คนคืออะไร และหมายความว่าพวกเขาสามารถเข้าใจและนำหลักธรรมกับมาตรฐานเหล่านี้ไปปรับใช้ได้  นี่คือความหมายของการที่หัวใจของผู้คนได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า  พระเจ้าได้ตรัสถึงสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนและแจ่มแจ้งเพียงพอแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในที่นี้อีก  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริงมากมาย ทรงทำให้ความจริงแต่ละประการชัดเจนและเข้าใจได้สำหรับผู้คน  ด้วยเหตุนั้นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่สำคัญนัก และเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น  มีเพียงเมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริงหรือเมื่อพระเจ้ายังมิได้ตรัสพระวจนะมากมายอย่างครบถ้วนและกระจ่างชัดเช่นนั้นเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงทรงพระราชกิจบางอย่างที่มีธรรมชาติเป็นส่วนเสริมและกระตุ้นเตือน ประทานความสว่างอันเรียบง่ายบางอย่างให้แก่ผู้คน และคอยกระตุ้นพวกเขาเล็กน้อย ช่วยให้พวกเขาตัดสินใจเลือกได้อย่างถูกต้องและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตและในสภาพแวดล้อมต่างๆ  บัดนี้คือยุคพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นยุคที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองเพื่อทรงนำมวลมนุษย์ และพระวจนะของพระเจ้าอยู่เหนือสรรพสิ่ง  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น  เมื่อผู้คนเข้าใจความจริง สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และดำเนินชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้าได้ ย่อมเป็นการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า

พวกเรามาดูวลีแรกของคำนิยามพื้นฐานของคริสตจักรที่ว่า “ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง”  กันเถิด  คำว่า “ด้วยใจจริง” นี้มีความหมายที่เฉพาะเจาะจง  คำนี้ไม่ได้หมายถึงผู้ที่มาเพื่อฆ่าเวลา ผู้ที่มาเพื่อให้ได้ชื่อว่ามาเท่านั้น ผู้ที่กินขนมปังเพื่อให้อิ่มท้อง ผู้ที่พึ่งพาพระคุณเพื่อความรอด หรือผู้ที่มีแรงจูงใจและเป้าหมายซ่อนเร้นบางอย่าง  แล้วคำว่า “ด้วยใจจริง” หมายความว่าอย่างไร?  คำอธิบายพื้นฐานที่สุดและเรียบง่ายที่สุดของคำนี้ก็คือ ตราบเท่าที่ใครบางคนได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ความจริง หรือพระผู้สร้าง พวกเขาย่อมรู้สึกถวิลหาอยู่ในหัวใจ เต็มใจที่จะละทิ้ง เต็มใจที่จะอุทิศตน เต็มใจที่จะสู้ทนความยากลำบาก และเต็มใจที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับการทรงเรียกหาของพระเจ้า อีกทั้งละทิ้งทุกสิ่งเพื่อติดตามพระเจ้า  ตราบเท่าที่พวกเขามีหัวใจที่จริงใจ นั่นก็เพียงพอแล้ว  บางคนกล่าวว่า “เหตุใดพระองค์จึงไม่ตรัสว่า นี่คือผู้คนที่เปี่ยมด้วยความเชื่อกลุ่มหนึ่งที่ติดตามพระเจ้า?”  ผู้คนไม่สามารถไปถึงระดับนั้นได้  ในบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของพวกเขาอยู่ในขณะนี้ บางคนเชื่อมานานสิบกว่าปี และบางคนเชื่อมาแล้วยี่สิบหรือสามสิบปี โดยพื้นฐานแล้ว การมีความจริงใจเช่นนี้ก็เพียงพออยู่แล้ว  การนิยามว่าเปี่ยมด้วยความเชื่อจึงไม่ถูกต้อง  คำนิยามคริสตจักรของพวกเรานั้นอ้างอิงจากสถานการณ์พื้นฐานและเฉพาะเจาะจง โดยมิได้พิถีพิถันกับถ้อยคำหรือตั้งคำนิยามและมาตรฐานไว้สูงเกินไป เพราะนั่นจะไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  บางคนกล่าวว่า “การบอกว่า ‘ด้วยใจจริง’ และ ‘เปี่ยมด้วยความเชื่อ’ นั้นไม่เพียงพอ  ควรจะเรียกว่ากลุ่มของคนชอบธรรมที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว—แบบนั้นถึงจะยอดเยี่ยม!”  หากพวกเราตั้งมาตรฐานไว้สูงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้ว วลีต่อมาที่ว่า “ไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์” ย่อมจะไม่จำเป็นเลย  ประเด็นสำคัญก็คือ สมาชิกทุกคนของคริสตจักรคือผู้ที่พระเจ้าต้องประสงค์ที่จะช่วยให้รอด  คนกลุ่มนี้เต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน อีกทั้งเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้า  หากพูดตามความเป็นจริงมากขึ้นก็คือ พวกเขาเปี่ยมไปด้วยการกบฏ ไร้ซึ่งการนบนอบ ไม่เข้าใจความจริง และไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย—นี่คือสถานการณ์ตามความเป็นจริงมากที่สุด  ดังนั้นแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า สมาชิกคริสตจักรจึงอยู่ในสถานการณ์จริงและสถานะที่แท้จริงเช่นนั้น  การทรงคัดเลือกผู้คนของพระเจ้าอ้างอิงจากเงื่อนไขพื้นฐานเช่นนี้ กล่าวคือ พวกเขาสามารถติดตามพระเจ้าด้วยใจจริงได้หรือไม่ รวมถึงละทิ้งและสละตนอย่างแท้จริงได้หรือไม่  บางคนกล่าวว่า “หากพวกเขาจริงใจ แล้วทำไมพวกเขายังคงมีความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้ออยู่เล่า?  หากพวกเขาจริงใจ ทำไมพวกเขายังอยากได้รับพระพรอีก?”  สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในขณะที่ผู้คนมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  ขณะนี้พวกเรากำลังนิยามแนวคิดพื้นฐานของคริสตจักรกันอยู่  แนวคิดพื้นฐานนี้เป็นข้อกำหนดขั้นต่ำ และเป็นมาตรฐานที่ต่ำที่สุดในการคัดเลือกผู้คนของพระเจ้า  มาตรฐานเหล่านี้มิได้ว่างเปล่าหรือเกินจริงแต่อย่างใด สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงของพวกเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกเจ้าและตัดสินพระทัยที่จะช่วยพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งให้รอด สิ่งเหล่านี้เป็นหลักเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงพิจารณา  หากเจ้าตรงตามข้อกำหนดเหล่านี้ พระเจ้าย่อมจะทรงพาเจ้ามาที่พระนิเวศของพระองค์และกลายเป็นสมาชิกของคริสตจักร  นี่คือสถานการณ์ที่เป็นจริง  เพราะฉะนั้นวลีแรกของคำนิยามของคริสตจักรที่ว่า “ติดตามพระเจ้าอย่างจริงใจ” จึงแม่นยำพอสมควร  คนกลุ่มนี้ห่างไกลจากการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว พวกเขาห่างไกลจากการสามารถหลุดพ้นจากอิทธิพลมืด ทั้งยังห่างไกลจากการต่อต้านโลกและพญานาคใหญ่สีแดงโดยสิ้นเชิง  พวกเขาห่างไกลจากทั้งหมดนี้  เพราะเหตุใด?  เพราะคำนิยามดังกล่าวยังกล่าวไปถึงการสามารถไล่ตามเสาะหาการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  ในกระบวนการของการไล่ตามเสาะหานั้น เนื่องจากผู้คนมีหัวใจที่รักและถวิลหาความจริง พวกเขาจึงสามารถปฏิบัติและมีประสบกับพระวจนะของพระเจ้าได้ และท้ายที่สุดพวกเขาก็สามารถนมัสการพระเจ้าได้  การนมัสการพระเจ้านั้นหมายถึงการนบนอบพระเจ้า การฟังพระวจนะของพระเจ้า การยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า รวมถึงการยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ในท้ายที่สุด ผู้คนกลุ่มนี้ก็สามารถบรรลุความรอดได้  นี่คือสถานะที่แท้จริงของสมาชิกคริสตจักรในสายพระเนตรของพระเจ้า  นี่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดมิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “พระองค์ไม่ได้ตรัสถึงการทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานและการสัมฤทธิ์การชำระให้บริสุทธิ์  คำนิยามของคริสตจักรนี้ไม่ได้รวมถึงสิ่งเหล่านี้เลย”  สิ่งเหล่านั้นรวมอยู่ในคำนิยามนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  รวมอยู่ในส่วนใด?  อยู่ในการไล่ตามเสาะหาที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าสามารถไล่ตามเสาะหาที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าได้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าย่อมจะค่อยๆ ได้รับการแก้ไขมิใช่หรือ?  เจ้าย่อมสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานและสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในช่วงของการสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย เจ้าก็ค่อยๆ เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง  ขณะที่เจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางอย่างของตน ความเชื่อในพระเจ้าและการนบนอบพระเจ้าของเจ้าย่อมเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกันอยู่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ยิ่งเจ้านมัสการพระเจ้ามากเท่าไร เจ้าจะยิ่งมีการนบนอบพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  เมื่อการนบนอบพระเจ้าของเจ้าเพิ่มพูนขึ้น เจ้าย่อมกำลังเข้าใกล้การบรรลุความรอดมากขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วคนกลุ่มนี้คือคนประเภทใด?  พวกเขาคือผู้ที่สามารถบรรลุความรอดได้  นี่คือสถานการณ์ตามความเป็นจริงของสมาชิกคริสตจักร  บางคนกล่าวว่า “คำนิยามของคริสตจักรนี้ไม่ได้เอ่ยถึงงานที่คริสตจักรทำ”  ในที่นี้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับงานอันเป็นแก่นแท้ที่คริสตจักรทำหรือไม่?  (การไล่ตามเสาะหาที่จะบรรลุความรอด)  ตรงส่วนนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด  งานที่คริสตจักรทำ ไม่ว่าจะเป็นการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าหรือการนำผู้คนให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า การช่วยให้ผู้คนรู้จักตนเองและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน ท้ายที่สุดก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้ผู้คนบรรลุความรอด  แล้วตอนนี้ พวกเจ้าสามารถยอมรับแนวคิดพื้นฐานและเรียบง่ายที่สุดนี้ของคริสตจักรได้หรือไม่?  (ได้)  คำนิยามนี้มิได้เกินจริงหรือว่างเปล่า ทั้งยังไม่ได้ใช้ถ้อยคำหรือวลีที่ฟังดูสูงส่ง แต่กลับครอบคลุมความจำเป็นพื้นฐานที่สุดสำหรับการก่อกำเนิดหรือการให้คำนิยามแก่คริสตจักร

ในเมื่อเราได้อธิบายภูมิหลังของการนิยามแนวคิดของคริสตจักรให้พวกเจ้าฟังไปแล้ว พวกเจ้าเข้าใจหรือยัง?  (เข้าใจ)  หากเราไม่อธิบายในหนทางนี้ พวกเจ้าก็จะคิดว่างานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักรและคำนิยามของคริสตจักรนั้นล้ำลึกอย่างยิ่ง  ตอนนี้เมื่อเจ้าเข้าใจคำนิยามของคริสตจักรแล้ว เจ้าย่อมรู้สึกว่าความเข้าใจที่เจ้ามีต่อคริสตจักรนั้นตื้นเขินเหลือเกิน  คำนิยามของคริสตจักรได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว—ว่าเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างแท้จริงเท่านั้นเอง  ยิ่งสิ่งต่างๆ สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากเท่าไร ผู้คนก็มักจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นตื้นเขินมากขึ้น  อันที่จริง หากเจ้าสังเกตดูให้ดี ทุกๆ คำที่อยู่ในคำนิยามนี้เชื่อมโยงและเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงและสัมพันธ์กับชีวิตจริง และไม่ตื้นเขินเลย  วลีแรกของคำนิยามของคริสตจักรก็คือ “ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง”  คำว่า “ด้วยใจจริง” ในที่นี้คือสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์  มีกี่คนกันเล่าที่ครองความจริงใจเช่นนี้?  เป็นเรื่องง่ายหรือไม่ที่ผู้คนจะมีความจริงใจเช่นนี้?  เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย  ในส่วนของ “การได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า” พวกเจ้าสัมฤทธิ์การนั้นแล้วหรือยัง?  เจ้าคิดว่าประโยคนี้เป็นเรื่องผิวเผินและสัมฤทธิ์ได้โดยง่าย  หากพระเจ้าตรัสว่า “จงลุกขึ้น ติดตามเรา และทำหน้าที่ของเจ้าเถิด” และผู้คนเชื่อฟัง นี่หมายความว่าพวกเขาได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้าใช่หรือไม่?  การนี้ย่อมหมายความว่า ผู้คนเต็มใจที่จะเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่ไปถึงจุดที่ได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า—พวกเขายังคงห่างไกลจากเรื่องนั้น!  เจ้าจำเป็นต้องมีสิ่งใดเพื่อที่จะได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า?  ข้อกำหนดขั้นต่ำคือเจ้าต้องเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าข้อกำหนดในพระวจนะของพระเจ้าหมายถึงสิ่งใด พระวจนะของพระเจ้าประสงค์ให้มีหลักธรรมประการใด และเมื่อเผชิญหน้ากับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายนานัปการ เจ้าจะนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้อย่างไร และจะเปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นการปฏิบัติของเจ้าเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้อย่างไร  นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  จำเป็นต้องใช้เวลาอันยาวนานในการกินและดื่ม อ่านอธิษฐาน มีประสบการณ์ เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงเข้าใจเจตนารมณ์และพระอุปนิสัยของพระเจ้าเพื่อที่จะค่อยๆ ได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้นวลีที่ว่า “ได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า” จึงดูเผินๆ เหมือนเรียบง่าย ราวกับผู้คนส่วนใหญ่ได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า แต่ที่จริงมิได้เป็นเช่นนั้น  เมื่อตัดสินจากสถานการณ์ที่แท้จริงของผู้คน ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประโยคนี้เป็นเพียงข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขายังไม่ได้สัมฤทธิ์แต่อย่างใด  วลีต่อมาที่ว่า “ไล่ตามเสาะหาที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์” ก็เป็นข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน  เจ้ายังมิได้สัมฤทธิ์การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าเพียงแต่ไล่ตามเสาะหาที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาอย่างไร?  เมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ จงปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระเจ้า  จงอย่าพูดปด จงเป็นคนที่ซื่อสัตย์  เจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?  การทำเช่นนั้นมิใช่เรื่องง่าย  เมื่อเจ้าถูกตัดแต่ง เจ้าควรสามารถที่จะนบนอบ ทบทวน และรู้จักตนเอง รวมถึงปฏิบัติตามความจริงได้  เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือไม่?  หากเจ้ารู้สึกตรากตรำ หรือหากเจตจำนงของเจ้าเองรุนแรงเกินไป และเจ้าก็ต้องการปล่อยให้ความหุนหันพลันแล่นของตนพลุ่งพล่านออกมาเสมอ เช่นนั้นเจ้าย่อมต้องไล่ตามเสาะหาที่จะรับมือกับเรื่องทั้งหลายตามหลักธรรม และไม่เปิดโปงความหุนหันพลันแล่นของตน หรือกระทำการโดยพลการหรือตามอำเภอใจ เจ้าต้องทำตามที่พระวจนะของพระเจ้าบอก ยอมรับการตัดแต่ง มารู้จักการกระทำผิดของตน และเข้าใจว่าเจ้าผิดพลาดตรงไหน  นี่จึงเรียกว่าการไล่ตามเสาะหาเพื่อที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  การเริ่มต้นปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าคนคนหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วใช่หรือไม่?  เรื่องนี้มิได้เรียบง่ายเช่นนั้น  หากเจ้าได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าจะสามารถยับยั้งตนจากการกระทำโดยพลการและตามอำเภอใจได้หรือไม่?  นี่มิใช่เรื่องง่าย  การนี้พึงให้เจ้าเข้าใจความจริง สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และผ่านประสบการณ์มาระยะหนึ่ง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้  หากเจ้ากล่าวว่าเจ้าต้องการที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า แต่มีเพียงความเต็มใจทางวาจาและไม่มีแรงจูงใจในหัวใจของตนเลย เช่นนั้นย่อมจะเป็นไปไม่ได้  เมื่อหัวใจของเจ้าเต็มใจ และเจ้าต้องการปฏิบัติตามความจริงโดยแท้ เจ้าก็สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  เมื่อในหัวใจของเจ้าไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง ต่อให้เจ้าปฏิญาณตนหรือต่อให้ผู้อื่นเกื้อหนุนเจ้า การนั้นก็จะไร้ประโยชน์  เจ้าต้องมีความมุ่งมั่น กล่าวคือ เจ้าต้องมีหัวใจที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อพระเจ้า  เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าพระเจ้าทรงนิยามเรื่องนี้อย่างไรและพระองค์ต้องประสงค์สิ่งใดในเรื่องนี้ ค้นหาและรวบรวมพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดที่สัมพันธ์กับแง่มุมนี้ แล้วจากนั้นก็อ่านอธิษฐานและทำความเข้าใจพระวจนะเหล่านั้น  จงจดพระวจนะเหล่านั้นลงในสมุด หรือวางไว้ในที่ที่เจ้าสามารถมองเห็นได้โดยง่าย  ในช่วงพักจากการทำงาน จงดู และอ่านพระวจนะเหล่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าจะจดจำพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าได้และเก็บไว้ในหัวใจ  จงใคร่ครวญถึงความหมายที่แท้จริงของพระวจนะของพระเจ้า และไตร่ตรองดูทุกวันว่าการพูดและการกระทำในหนทางใดที่ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  นี่จึงเรียกว่าการไล่ตามเสาะหาที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องที่สัมฤทธิ์ได้โดยง่ายหรือไม่  การนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่มิใช่สิ่งที่ทำให้สำเร็จได้ในชั่วข้ามคืนหรือด้วยการโหมพยายามเพียงชั่ววูบ  บางคนกล่าวว่า “ฉันสาบานด้วยเลือด” แต่การนั้นไร้ประโยชน์  เจ้ากล่าวว่า “ฉันจะอดอาหารและอธิษฐานโดยไม่กินและดื่มอะไรเลย” แต่การนั้นไร้ประโยชน์  เจ้ากล่าวว่า “ฉันจะอดหลับอดนอนทั้งคืนและทนทุกข์” แต่การนั้นก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน  เจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าต้องมีการสำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าต้องมีเส้นทางสำหรับการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าต้องมีวิธีการและแนวทางที่ถูกต้อง  ไม่ว่าเจ้ามีวิธีการหรือแนวทางประเภทใด เจ้าก็ไม่สามารถแยกตัวจากพระวจนะของพระเจ้าได้ เจ้าต้องทุ่มเทความพยายามให้กับพระวจนะของพระเจ้า เปรียบเทียบทุกสิ่งกับพระวจนะของพระเจ้า ใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขปัญหาในทุกๆ สถานการณ์ และทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับเจ้า  นี่จึงเรียกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง  ตัวอย่างเช่นในแง่ของการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เจ้าจำเป็นต้องดูว่าพระวจนะกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไร และหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น  ในเรื่องของการร่วมมืออย่างปรองดอง เจ้าก็ต้องหาพระวจนะในแง่มุมนี้เช่นกัน  ในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่อย่างจงรักภักดี เจ้าต้องหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติหน้าที่ในหนทางที่ตรงตามมาตรฐาน และจดจำพระวจนะอันเป็นแก่นแท้ของพระเจ้า แล้วเก็บพระวจนะนั้นไว้ในหัวใจ  สำหรับเรื่องที่ว่าผู้นำเทียมเท็จคืออะไร ผู้นำเทียมเท็จมีการสำแดงอย่างไร พวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ และพระเจ้าทรงระบุลักษณะผู้นำเทียมเท็จอย่างไร จงหาพระวจนะที่สำคัญของพระเจ้าและจดลงไปในสมุด วางไว้ในที่ที่เจ้าจะสามารถมองเห็นได้ง่าย และอ่านอธิษฐานพระวจนะเหล่านั้นในยามที่เจ้ามีเวลาว่าง  สำหรับทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้านั้น จงปฏิบัติและทุ่มเทความพยายามในหนทางนี้  นี่จึงเรียกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง  หากความพยายามของเจ้ามาไม่ถึงจุดนี้ นี่ย่อมไม่ได้เรียกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่เรียกว่าการทำพอเป็นพิธี ทำเพียงผิวเผินและเอาหน้ารอดไปวันๆ

มาดูคำว่า “นมัสการพระเจ้า” กันเถิด  การนมัสการพระเจ้าเกี่ยวข้องกับความเกรงกลัวอย่างแท้จริง ความยำเกรง ความเคารพ และความจริงใจ รวมไปถึงการปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้า การมีที่สำหรับพระเจ้าอยู่ในหัวใจ การจัดการกับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้อย่างสมเหตุสมผล รวมทั้งการปฏิบัติต่อพระวจนะทุกคำที่พระเจ้าตรัสด้วยความจริงจังและรับผิดชอบ เป็นต้น  การสำแดงทั้งหมดนี้เรียกว่าการนมัสการ  ไม่ว่าจะเป็นพระวจนะที่พระเจ้าตรัสต่อหน้าเจ้า หรือเป็นพระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงแสดงเอาไว้ ตราบเท่าที่เจ้ารู้และจดจำพระวจนะเหล่านั้นได้ และตราบเท่าที่เจ้าเข้าใจและยืนยันพระวจนะเหล่านั้นในหัวใจของเจ้า เจ้าก็ควรปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านั้นในฐานะหลักเกณฑ์ที่เจ้าใช้ประพฤติปฏิบัติตน ใช้ดำเนินชีวิต และอื่นๆ—นี่คือการสำแดงของการนมัสการพระเจ้า  เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวทั้งหลาย ไม่ว่าเรื่องเหล่านั้นจะสอดคล้องกับรสนิยม ความอยาก หรือมโนคติอันหลงผิดของตัวเจ้าเองหรือไม่ เจ้าก็ยังควรที่จะสงบใจของตนได้และพิจารณาว่า “นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำใช่หรือไม่?  สิ่งนี้เกิดมาจากพระเจ้าใช่หรือไม่?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงทำเช่นนี้?  พระเจ้าทรงต้องการถลุงสิ่งใดในตัวฉัน พระองค์ทรงต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดในตัวฉันบ้าง?  เจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไรกันแน่?  ฉันควรนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอย่างไร?  ฉันควรสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างไร?  ฉันควรลุล่วงความรับผิดชอบของตนในฐานะมนุษย์อย่างไร?”  การสำแดงทั้งหมดนี้ รวมถึงการสำแดงอื่นๆ ในลักษณะดังกล่าว คือการสำแดงของการนมัสการพระเจ้า  ต่อให้เจ้าไม่เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น แต่ในฐานะคนปกติคนหนึ่ง ในฐานะผู้ที่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า ในฐานะของผู้ที่ติดตามพระเจ้าด้วยใจจริง อย่างน้อยนี่ก็คือท่าทีที่เจ้าควรมีต่อพระเจ้า  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้า ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้า ต่อหน้าที่ของเจ้า และความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าก็ควรปฏิบัติต่อทั้งหมดนี้ด้วยความเอาใจใส่และระมัดระวัง ไม่มักง่าย ไม่ละเลย ไม่ดูถูกเหยียดหยาม—นี่จึงเรียกว่าการนมัสการพระเจ้า  การจัดการกับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าด้วยความเอาใจใส่ใจ ระมัดระวัง ด้วยหัวใจที่ยำเกรงและเกรงกลัวพระเจ้า—นี่จึงเรียกว่าการนมัสการพระเจ้า  การนี้สัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือไม่?  การนี้ไม่ง่ายเลย  หากไร้ซึ่งประสบการณ์จริง แม้แต่การเข้าใจคำว่า “นมัสการพระเจ้า” ก็เป็นเรื่องยาก ไม่ต้องพูดถึงการปฏิบัติการนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงเลย  ประโยคสุดท้ายในคำนิยามของคริสตจักรคือ  “บรรลุความรอดของพระองค์”  เจ้าควรเข้าใจประโยคนี้อย่างไร?  เส้นทางสู่การบรรลุความรอดนั้นทอดยาว และยังมีสิ่งที่จำเป็นในเรื่องนี้มากกว่านี้  อันดับแรก เส้นทางที่เจ้าเดินต้องถูกต้อง เจ้าต้องสามารถยอมรับความจริงทั้งปวงในพระวจนะของพระเจ้าได้ และต้องเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบพระเจ้า  ชีวิตของเจ้าต้องได้รับการกำกับดูแลจากพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าต้องไม่เพียงรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าเท่านั้น แต่ต้องรักความจริงและปฏิบัติตนตามความจริงด้วย เจ้าต้องมีความยำเกรงและการนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้า อธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในหัวใจบ่อยครั้ง และค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปสู่การนมัสการพระเจ้า  เมื่อนั้นเจ้าก็จะเป็นคนที่รักความจริงและนบนอบพระเจ้า เจ้าย่อมเป็นคนประเภทที่พระเจ้าทรงต้องการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน  คนที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงต้องเป็นคนที่ถูกต้องเหมาะสม  การเป็นคนที่ถูกต้องเหมาะสมมีประโยชน์อย่างไร?  ประโยชน์ก็คือ การบรรลุความรอดจะไม่ยากเกินไปสำหรับเจ้า เจ้าจะมีหวังในการบรรลุความรอด  ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดเฉพาะของคำนิยามของคริสตจักรที่พวกเราได้ร่วมสามัคคีธรรมกัน

IV. ทัศนะและมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีต่อคริสตจักร

เมื่อครู่ พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมเรื่องคริสตจักรคืออะไร งานอันเป็นแก่นแท้ที่คริสตจักรทำ และสิ่งที่ผู้คนคิดฝันและเรียกร้องจากคริสตจักรในมโนคติอันหลงผิดของตน  ในที่สุดพวกเราก็ได้ให้คำนิยามสำหรับแนวคิดเรื่องคริสตจักรแล้ว  ในเมื่อแนวคิดเรื่องคริสตจักรได้รับการนิยามแล้ว เจ้าก็ควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคำว่า “คริสตจักร” เจ้าควรมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับงานที่คริสตจักรพึงทำ บทบาทที่คริสตจักรมีในการช่วยเหลือผู้คนให้ได้รับความจริงและบรรลุความรอด รวมถึงนัยสำคัญของคริสตจักรต่อทุกคนที่ติดตามพระเจ้า  พวกเราได้กระทำการชำแหละและเปิดโปงโดยสังเขปผ่านการยกตัวอย่างของสิ่งที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นคุณค่าของการดำรงอยู่ของคริสตจักร และงานที่คริสตจักรควรทำตามมโนคติอันหลงผิดของตน  ในเรื่องของความเข้าใจและการตีความที่ผู้คนมีต่อคริสตจักรในมโนคติอันหลงผิดของตนนั้น มีสิ่งใดที่พวกเจ้าไม่อาจทำความเข้าใจหรือมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งบ้างหรือไม่?  บางคนคิดว่าคริสตจักรควรมีส่วนร่วมกับงานบางประเภทในสังคม หรือมีบทบาทบางอย่างในสังคม อย่างเช่น การค้ำจุนความยุติธรรม  ในมโนคติอันหลงผิดของผู้คน คริสตจักรเป็นสัญลักษณ์ของภาพที่เป็นบวก แล้วเหตุใดจึงไม่สามารถค้ำจุนความยุติธรรมได้เล่า?  การค้ำจุนความยุติธรรมเกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักรหรือข้อกำหนดของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่เกี่ยวข้อง)  คำว่า “การค้ำจุนความยุติธรรม” ที่ผู้คนพูดถึงนี้หมายถึงอะไร?  (สิ่งที่ผู้คนเรียกว่าการค้ำจุนความยุติธรรมมิใช่ความยุติธรรมที่แท้จริง  นี่เป็นเพียงการปกป้องผลประโยชน์ของเนื้อหนัง และเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริง)  ความยุติธรรมเช่นนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงหรือไม่?  (ไม่มี)  นี่คือสิ่งที่มวลมนุษย์เรียกว่าความยุติธรรม  ตัวอย่างเช่น การปราบปรามอำนาจชั่วบางกลุ่ม การแก้ไขความอยุติธรรมและสถานการณ์ที่ผู้คนถูกดูหมิ่นหรือได้รับความไม่เป็นธรรมให้ถูกต้อง หรือการลงโทษคนชั่วอย่างสาสม รวมทั้งการกอบกู้และปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มคนเปราะบาง และอื่นๆ—เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนเรียกว่าการค้ำจุนความยุติธรรม  จุดประสงค์หลักของการค้ำจุนความยุติธรรมคืออะไร?  สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการที่ผู้คนได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  (ไม่)  นี่เป็นเพียงคำกล่าวที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของความยุติธรรมทางศีลธรรมและจริยธรรม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความจริงโดยสิ้นเชิง  พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า สิ่งนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับความจริง?  (ได้)  แล้วเราจะกล่าวได้หรือไม่?  (ไม่ได้ สองสิ่งนี้ไม่สัมพันธ์กัน)  ถูกต้อง สองสิ่งนี้ไม่สัมพันธ์กันโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นสิ่งที่แตกต่างกันสองสิ่ง  มวลมนุษย์ค้ำจุนความยุติธรรมลักษณะใด?  ในลักษณะที่ว่า หลังจากคนธรรมดาทั่วไปผู้มีสถานะทางสังคมค่อนข้างต่ำต้อยถูกคนชั่วกดขี่ หรือลิดรอนสิทธิหรือผลประโยชน์ พวกคนชั่วก็ได้รับการลงโทษตามสมควร และคนธรรมดาหรือคนทั่วไปไม่ต้องทนทุกข์จากการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมอีกต่อไป  นี่เป็นเรื่องของการกอบกู้และรับประกันผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของผู้คน การสัมฤทธิ์ความเท่าเทียมกันระหว่างผู้คนในระดับหนึ่ง การกำจัดช่องว่างระหว่างชนชั้นทางสังคม รวมถึงการรับรองว่าคนชั่วจะไม่ประสบความสำเร็จในการทำชั่ว และความคับข้องใจของผู้ที่ได้รับความไม่เป็นธรรมจะถูกแก้ไข  นี่คือสิ่งที่มวลมนุษย์เรียกว่าการค้ำจุนความยุติธรรม และการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงโดยสิ้นเชิง  พวกเจ้ายังกล่าวได้อย่างไรว่าสิ่งนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับความจริง?  สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความจริงหรือไม่?  ไม่เกี่ยวข้องกันเลย  บอกเราทีว่า บรรดาคนธรรมดาและคนทั่วไปที่ทนทุกข์กับความคับข้องใจนั้นจำเป็นต้องเป็นคนดีหรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  การหยุดยั้งพวกเขาจากการทนทุกข์กับความคับข้องใจ—นั่นคือความยุติธรรมหรือไม่?  สิ่งนั้นตรงตามความจริงหรือไม่?  แล้วผู้คนเหล่านั้นสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่?  นี่คือเรื่องสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน—จะนำมาปนเปกันได้อย่างไร?  ไม่ต้องถามเลยว่าสิ่งนี้อยู่ในระดับเดียวกับความจริงหรือไม่ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งเดียวกับความจริงเลย  หากพวกเจ้ามีข้อโต้แย้งบางอย่างเกี่ยวกับประเด็นนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าส่วนใหญ่อาจจะไม่สามารถมองเห็นเรื่องของการค้ำจุนความยุติธรรมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และยังคงค่อนข้างยึดติดกับเรื่องนี้ โดยคิดว่า “สิ่งนี้จะไม่ถูกต้องได้อย่างไร?  นี่จะไม่ใช่งานที่คริสตจักรควรทำได้อย่างไร?”  อันที่จริงสิ่งนี้มิได้เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักรเลย  นอกจากนี้ยังมีบางคนที่คิดว่า คริสตจักรควรเป็นสถานที่ที่ความชั่วถูกลงโทษและความดีได้รับการส่งเสริม คริสตจักรควรทำหน้าที่นี้ กล่าวคือ ลงโทษการทำชั่วและอำนาจมืดที่ชั่วร้าย ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมสิ่งที่ดีและมีคุณธรรม  เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?  การลงโทษความชั่วและส่งเสริมความดีสามารถเทียบเท่าความจริงได้หรือไม่?  เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่ชั่วกับสิ่งที่ดีแล้ว ผู้คนไม่สามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  การที่ผู้คนกล่าวว่าลงโทษความชั่วและส่งเสริมความดีนั้นหมายความว่าอย่างไร?  คำกล่าวนี้เกี่ยวข้องกับการลงโทษความชั่ว ตอบแทนความดี และจำแนกผู้คนทั้งปวงตามประเภทของตนที่พระเจ้าตรัสถึงหรือไม่?  (ไม่)  ไม่เกี่ยวข้องกันเลย  สิ่งใดเป็นมาตรฐานของมวลมนุษย์ในการนิยามความดีและความชั่ว?  จากคำนิยามของชาวจีน อะไรคือความดีและอะไรคือความชั่ว?  สิ่งใดเป็นพื้นฐานในการนิยามความดีและความชั่วของพวกเขา?  วัฒนธรรมแบบชาวพุทธนั่นเอง  ศาสนาพุทธพูดถึงแนวคิดอย่างการช่วยเหลือโลกและช่วยชีวิตผู้คน การละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และอื่นๆ—สิ่งเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นความดี ในขณะที่การกินเนื้อไก่ เนื้อปลา เนื้อวัว และเนื้อแกะถือเป็นความชั่ว และผู้คนที่ทำเช่นนั้นควรถูกลงโทษ  ไม่ควรมีการกินเนื้อสัตว์หรือฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น  การฆ่าถือเป็นความชั่ว และผู้ที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตควรสารภาพผิดและอ้อนวอนขออภัยเบื้องพระพักตร์พระพุทธเจ้า  นี่คือคำนิยามความชั่วของชาวพุทธ คำนิยามนี้เหมือนกับความชั่วที่พระเจ้าตรัสถึงหรือไม่?  (ไม่)  คำนิยามสองคำนิยามนี้แตกต่างกัน ดังนั้นคำนิยามของความชั่วจึงไม่เกี่ยวข้องกับความจริงโดยสิ้นเชิง และไม่สามารถอยู่ในระดับเดียวกับความจริงได้อย่างแน่นอน  แล้วความดีในศาสนาพุทธหมายถึงอะไร?  เรื่องนี้ยิ่งไร้สาระ ตื้นเขิน และหน้าไหว้หลังหลอกมากขึ้นไปอีก  ชาวพุทธเชื่อว่าการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลยเป็นความดี และการปล่อยสัตว์ที่ถูกกักขังก็เป็นความดี  ไม่ว่าคนชั่วคนหนึ่งจะเข่นฆ่าผู้คนไปมากมายเพียงใด หรือพวกเขาทำบาปไปมากมายแค่ไหน หากพวกเขาวางมีดแล่เนื้อลง พวกเขาก็สามารถกลายเป็นพระพุทธเจ้าได้ทันที—นี่คือสิ่งที่ถือว่าเป็นความดี  นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวที่ว่า “การช่วยชีวิตคนคนหนึ่งยิ่งดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น” ซึ่งหมายถึงการหลับหูหลับตาช่วยชีวิตคนโดยไม่มีเงื่อนไขและไร้ซึ่งหลักธรรม—แม้กระทั่งการช่วยชีวิตพวกมาร คนชั่ว อันธพาล นักเลง และใครก็ตาม—ก็ถือว่าเป็นความดี  นี่เป็นความดีประเภทไหนกัน?  ผู้คนเช่นนั้นหัวทึบ ไม่มีวิจารณญาณ ไม่มีจุดยืน หรือหลักธรรม  การช่วยชีวิตและให้อภัยผู้ใดก็ตาม—นั่นถือว่าเป็นความดีได้หรือไม่?  นั่นไม่คู่ควรที่จะเรียกว่าความดีเสียด้วยซ้ำ นั่นคือการแสร้งทำของซาตานและหมู่มาร  พวกมารและซาตานไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่กลับกลืนกินดวงจิตไปนับไม่ถ้วน  นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความดี ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น  แล้วมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ที่ว่าคริสตจักรควรมีบทบาทในการลงโทษความชั่วและส่งเสริมความดีนั้นมีเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่ว่าศาสนาหรือกลุ่มชาติพันธุ์มีภูมิหลังทางวัฒนธรรมอย่างไร การลงโทษความชั่วและส่งเสริมความดีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับงานของคริสตจักรหรือคำพยานของคริสตจักรเลย  จงอย่าคิดว่าเป็นเพราะคำพูดเหล่านี้ฟังดูยุติธรรมและน่ายกย่อง สิ่งเหล่านี้จึงควรสัมพันธ์กับงานของคริสตจักร หรือนี่คือบทบาทที่คริสตจักรควรมีในสังคม  นี่คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์  นอกจาก “การค้ำจุนความยุติธรรม” กับ “การลงโทษความชั่วและส่งเสริมความดี” แล้ว คำกล่าวที่ดีอื่นๆ ตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ อย่างเช่น “การต่อสู้เพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของผู้คน” และ “การบรรเทาความกังวลและแก้ไขความลำบากยากเย็น” ก็ไม่มีความข้องเกี่ยวกับงานของคริสตจักรหรือคำพยานของคริสตจักรเช่นกัน  พวกเจ้าทุกคนควรเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้  คำนิยามของคริสตจักร งานที่คริสตจักรควรทำ รวมถึงคุณค่าและนัยสำคัญในการดำรงอยู่ของคริสตจักรนั้นได้ถูกสามัคคีธรรมอย่างชัดเจนแล้วไม่มากก็น้อย

หลักและมาตรฐานสำหรับการแยกแยะคนชั่วนานาประเภท

กลับมาที่หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “แยกแยะผู้คนที่ชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที แล้วจากนั้นก็ขับไล่หรือเอาตัวออกไป”  พวกเรามาดูกันเถิดว่า งานที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำนี้เกี่ยวข้องกับรายละเอียดแต่ละประการของคริสตจักรที่เราเพิ่งสามัคคีธรรมไปหรือไม่  เหตุใดพวกเราจึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมรายละเอียดอันเฉพาะเจาะจงเหล่านี้?  ความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียดเหล่านี้กับงานที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำคืออะไร?  (คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ไม่ใช่สมาชิกคริสตจักรและจำเป็นต้องถูกชำระออกไป  ยิ่งไปกว่านั้น การดำรงอยู่ของพวกเขายังขัดขวางและก่อกวนงานที่คริสตจักรทำด้วย)  เพราะฉะนั้น จึงมีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่ สามัคคีธรรมนี้ย่อมไม่เสียเปล่า  เมื่อเข้าใจรายละเอียดแต่ละประการของการเรียกหรือการนิยามคริสตจักรแล้ว พวกเรามาตรวจสอบกันเถิดว่า ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติต่อสมาชิกคริสตจักรอย่างไร พวกเขาควรปฏิบัติต่อคนหลากหลายประเภทที่จำเป็นต้องถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักรอย่างไร พวกเขาจะสามารถทำงานนี้ให้ดีได้อย่างไร รวมถึงพวกเขาควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนและคงไว้ซึ่งงานของคริสตจักรอย่างไร  ก่อนอื่น ผู้นำและคนทำงานต้องเข้าใจว่าคำนิยามของคริสตจักรคืออะไร เหตุใดคริสตจักรจึงจำเป็นต้องดำรงอยู่ และงานที่คริสตจักรควรกระทำคืออะไร  เมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว จากนั้นพวกเขาก็ควรดูว่า สมาชิกคริสตจักรในปัจจุบันคนใดไม่มีบทบาทอันเป็นบวก เมื่อเป็นเรื่องของคุณค่าในการดำรงอยู่ของคริสตจักรหรืองานที่คริสตจักรทำ หรือใครที่อาจจะก่อให้เกิดการรบกวน การขัดขวาง และผลกระทบที่เป็นลบต่องานอันเป็นแก่นแท้ของคริสตจักร หรือแม้แต่ส่งผลร้ายแรงต่อชื่อเสียงของคริสตจักร และทำให้พระนามของพระเจ้าเสื่อมเสีย  การแยกแยะผู้คนเหล่านี้อย่างชัดเจน และการขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาอย่างทันท่วงที—ก็คืองานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วการทำงานนี้ให้ดีเกี่ยวข้องกับสิ่งใด?  ผู้นำและคนทำงานต้องแยกแยะให้ชัดเจนเสียก่อนว่า คนใดในคริสตจักรที่เป็นคนชั่วและเป็นศัตรูของพระคริสต์ เพื่อที่จะขับไล่หรือเอาตัวคนชั่วทุกประเภทออกไปและชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์ รวมถึงทำให้คุณค่าในการดำรงอยู่ของคริสตจักรได้สำแดงออกมา ทำให้คริสตจักรได้ลุล่วงบทบาทที่ควรลุล่วง และในขณะเดียวกันก็ทำให้งานของคริสตจักรคืบหน้าไปอย่างราบรื่น  นี่คือข้อมูลหรือสถานการณ์ที่แท้จริงที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องเข้าใจเป็นอันดับแรกเมื่อจะดำเนินการงานนี้  เรื่องแรกที่ผู้นำและคนทำงานเผชิญในงานนี้คือการแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ  จุดประสงค์ของการแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ คืออะไร?  เพื่อแบ่งแยกพวกเขาตามประเภทของตนเอง และปกป้องผู้ที่เป็นสมาชิกที่แท้จริงของคริสตจักรเหล่านี้  อย่างไรก็ตาม การปกป้องผู้คนเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่า งานที่ระบุไว้ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่จะดำเนินการไปอย่างประสบความสำเร็จ  เช่นนั้นแล้ว แง่มุมที่สำคัญที่สุดของการดำเนินงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงคืออะไร?  คือการขับไล่หรือเอาตัวผู้ไม่เชื่อและคนชั่วทุกประเภทที่ไม่ได้เป็นคนของคริสตจักรออกไป  ไม่ว่าคนเหล่านี้จะถูกระบุว่าเป็นคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์หรือไม่ หากพวกเขาเป็นตามเงื่อนไขของการถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป ก็จำเป็นต้องดำเนินการเช่นนี้ และถึงเวลาที่ผู้นำและคนทำงานจะลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  ก่อนอื่นพวกเรามาสามัคคีธรรมกันเถิดว่าจะแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ ได้อย่างไร

I. อ้างอิงตามจุดประสงค์ของคนเราในการเชื่อในพระเจ้า

พวกเราควรแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ อย่างไร?  เกณฑ์ข้อแรกคือแยกแยะพวกเขาตามจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  เกณฑ์ข้อที่สองคือตามความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และเกณฑ์ข้อที่สามคือตามท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตน  หากพวกเราจะใช้หัวข้อที่สั้นและเรียบง่ายก็จะเป็น ข้อแรกคือจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ข้อสองคือความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และข้อสามคือท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตน  เมื่อพวกเรามีสามหัวข้อนี้แล้ว พวกเจ้ามีความเข้าใจต่อแต่ละหัวข้ออย่างไร?  ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้หารือถึงจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนมากนัก  พวกเราได้พูดถึงความเป็นมนุษย์ของผู้คนและท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตนมากขึ้น ดังนั้นพวกเจ้าจึงคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้นด้วย  อันที่จริงจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่คุ้นเคยนักสำหรับพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าเองก็มาเชื่อในพระเจ้าแบบมีจุดประสงค์เช่นกัน  บางคนเชื่อในพระเจ้าเพราะพวกเขาไม่อยากตกนรก บางคนเชื่อเพราะพวกเขาต้องการไปสวรรค์ บางคนเชื่อเพราะพวกเขาไม่อยากตาย บางคนเชื่อเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ บางคนเชื่อเพียงเพราะพวกเขาต้องการเป็นคนดี บางคนเชื่อเพราะพวกเขาต้องการหลบหลีกการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น  หัวข้อนี้จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่พวกเจ้าไม่คุ้นเคย เพียงแต่รายละเอียดที่เราจะกล่าวถึงอาจเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยนัก—พวกเจ้าอาจจะรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น ไม่รู้ว่าเรากำลังจะกล่าวถึงอะไรหรือจะเริ่มต้นจากจุดใด  เพราะฉะนั้นพวกเรามาคุยเรื่องนี้แบบคร่าวๆ กันเถิด  บอกเราทีว่า ผู้ที่เก็บงำเจตนาและจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าประเภทใดคือผู้ที่ควรถูกขับไล่และหรือเอาตัวออกไป?  (พวกที่ไล่ตามไขว่คว้าเพียงชื่อเสียงและสถานะและต้องการครองอำนาจเพียงอย่างเดียว รวมถึงผู้ที่จะก่อกวนคริสตจักรอย่างไม่ละอายใจเพื่อสถานะของพวกเขา)  นี่คือบุคคลประเภทหนึ่ง  มีประเภทอื่นหรือไม่?  (ผู้ไม่เชื่อที่ไล่ตามไขว่คว้าเพียงพระพร และเสาะแสวงที่จะกินขนมปังให้อิ่มท้องเท่านั้น)  ผู้ไม่เชื่อก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง  มีอีกหรือไม่?  พวกเจ้าอาจจะนึกถึงการสำแดงบางอย่างของผู้คน แต่พวกเจ้าไม่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า คนเหล่านี้เพียงเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หรือแท้จริงแล้วพวกเขาคือคนที่มีจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ต่อการเชื่อในพระเจ้า ผู้ซึ่งควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป  พวกเจ้าไม่สามารถหาคำตอบในเรื่องนี้ได้ และรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่อาจพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน  หัวข้อเรื่องจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนนั้นค่อนข้างกว้างทีเดียว  ทุกคนต่างมีเจตนาและจุดประสงค์บางอย่างในการเชื่อพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม ผู้คนประเภทที่มีจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ในการเชื่อในพระเจ้าที่พวกเรากำลังกล่าวถึงในที่นี้นั้นไม่ตรงตามเงื่อนไขสำหรับความรอดของพระเจ้า  พวกเขาไม่อาจสัมฤทธิ์ความรอด และไม่อาจบรรลุถึงมาตรฐานขั้นต่ำของการเป็นคนลงแรงเสียด้วยซ้ำ  ไม่ว่าคนเหล่านี้มีจุดประสงค์ใดในการเชื่อในพระเจ้า ในกรณีใดก็ตาม เมื่อมีโอกาส คนเหล่านี้ที่มาเชื่อในพระเจ้าแบบมีจุดประสงค์ย่อมพยายามที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน และหากพวกเขาไม่มีโอกาส พวกเขาก็จะกระทำชั่วและก่อให้เกิดการก่อกวน  สิ่งนี้ย่อมจะนำมาซึ่งผลพวงที่เกินจินตนาการต่องานของคริสตจักรหรือต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และคนเหล่านี้ควรเป็นเป้าหมายของการขับไล่หรือการเอาตัวออกไป  สำหรับตอนนี้ขอให้วางความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้หรือท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตนเอาไว้ก่อน ขอให้พูดเพียงเรื่องของจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้า แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การยอมรับความจริงและการบรรลุความรอด และยิ่งไม่ใช่การนบนอบและนมัสการพระเจ้า  เพราะฉะนั้น โดยธรรมชาติแล้วความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาจะไม่นำไปสู่ความรอด  แทนที่จะอนุญาตให้คนเหล่านี้อยู่ในคริสตจักรและก่อกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—พี่น้องชายหญิงที่แท้จริง—ไปเรื่อยๆ ก็ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะแยกแยะและระบุลักษณะของคนเหล่านี้ให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็เอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรอย่างทันท่วงที  พวกเขาไม่ควรได้รับการปฏิบัติดั่งสมาชิกคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง  แล้วคนประเภทเหล่านี้มีใครบ้าง?  พวกเจ้าเพิ่งพูดถึงแนวคิดบางอย่างแบบกว้างๆ ไปเมื่อครู่  เราจะยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมให้ฟัง และเมื่อพวกเจ้าได้ฟังแล้ว พวกเจ้าย่อมจะเข้าใจในทันที

ก. เพื่อสนองความอยากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของคนเรา

ก่อนอื่น พวกเรามาพูดถึงคนประเภทแรกที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักรกันเถิด  บางคนต้องการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในสังคมและนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของตนเสมอ แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพนั้น  อย่างไรก็ตาม ความอยากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของพวกเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลย  ทว่าครอบครัวของคนเหล่านั้นมีสถานะทางสังคมที่ไม่สูงส่ง พวกเขาจึงรู้สึกว่าชีวิตสิ้นหวัง และมองว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมเสียเหลือเกิน จนไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้แม้แต่ความปรารถนาเล็กๆ เช่นนี้  พวกเขารู้สึกว่าตนพอมีความรู้และความสามารถอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น  พวกเขาหาผู้สนับสนุนไม่ได้ และจุดหมายปลายทางในอนาคตที่จะได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ดูห่างไกลจากพวกเขาเหลือเกิน  ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้ พวกเขาก็พบกับคริสตจักร  พวกเขารู้สึกว่าหากพวกเขากลายเป็นผู้นำในคริสตจักรได้ นี่ก็เหมือนกับการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเช่นกัน และพวกเขาก็ได้สมดังปรารถนา  ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่พระนิเวศของพระเจ้าด้วยหวังที่จะสัมฤทธิ์ความยิ่งใหญ่  พวกเขาคิดว่าความสามารถและขีดความสามารถของตนนั้นเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะถูกใช้งานในพระนิเวศของพระเจ้า และความหวังที่จะได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและเป็นบุคคลที่โดดเด่นของพวกเขาก็สามารถเป็นจริงได้ ซึ่งนั่นย่อมทำให้พวกเขาลุล่วงความปรารถนาที่มีมาทั้งชีวิต  ทัศนะที่พวกเขามีต่อการเชื่อในพระเจ้าสามารถสรุปออกมาเป็นคำกล่าว อย่างเช่น “ทำดีได้ดี” “ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ” และ “นกดีต้องรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ คนฉลาดต้องรู้จักเลือกนาย”—นี่คือภูมิหลังในการเลือกเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  เมื่อตัดสินจากแก่นแท้ของคนคนนี้ก็ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของความจริงบนโลกนี้ นับประสาอะไรกับการเชื่อในการดำรงอยู่ของพระผู้ช่วยให้รอด  สรุปก็คือ พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และยิ่งไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระผู้สร้าง  ไม่ว่าเป็นสิ่งที่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์หรือสิ่งที่ถูกประกาศในโลกศาสนา—ที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกและมวลมนุษย์ พระเจ้าทรงนำและทรงมีอธิปไตยเหนือมวลมนุษย์—สำหรับพวกเขาแล้ว คำกล่าวทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงบันทึกทางประวัติศาสตร์  ไม่มีผู้ใดสืบค้น และไม่มีผู้ใดยืนยันเรื่องเหล่านั้นได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องราวและตำนานเล่าขาน เป็นวัฒนธรรมทางศาสนารูปแบบหนึ่ง  นี่คือความเข้าใจพื้นฐานที่สุดที่พวกเขามีต่อความเชื่อ  พวกเขามาเชื่อในพระเจ้าด้วยความเข้าใจเช่นนี้ คิดว่าตนเองกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง กำลังละทิ้งความมืดเพื่อความสว่าง เชื่อว่าตนคือ “นกดีที่รู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ คนฉลาดที่รู้จักเลือกนาย”  แน่นอนว่าพวกเขายังไม่ได้ล้มเลิกทางเลือกและความอยากที่จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและเป็นคนที่โดดเด่น  พวกเขาเชื่อว่าในโลกอันกว้างใหญ่ที่มีผู้คนอยู่มากมายนี้ไม่มีที่สำหรับพวกเขา และมีเพียงพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้นที่นำความหวังมามอบให้กับพวกเขาได้  มีเพียงการใช้ชีวิตในคริสตจักรเท่านั้นที่ให้โอกาสพวกเขาได้ใช้ความสามารถพิเศษของตน และทำให้ความอยากเป็นคนโดดเด่นของพวกเขากลายเป็นจริงได้  นี่เป็นเพราะว่าในทัศนะที่พวกเขามีต่อสถานการณ์ปัจจุบัน โลกภายนอกกำลังมืดมิดและเลวร้ายลงเรื่อยๆ—บนโลกนี้มีเพียงคริสตจักรเท่านั้นที่เป็นดินแดนแห่งความบริสุทธิ์ คริสตจักรเป็นสถานที่แห่งเดียวบนโลกที่สามารถมอบการหล่อเลี้ยงฝ่ายวิญญาณให้แก่ผู้คนได้ และมีเพียงคริสตจักรเท่านั้นที่กำลังเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขามาเชื่อในพระเจ้าด้วยความปรารถนาและจุดประสงค์เช่นนั้น  หลังจากเริ่มมีความเชื่อแล้ว พวกเขาก็ไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริง หรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจริง พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้าเลย  พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาหรือให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขายังไม่ปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีสถานะและการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเลย ตรงกันข้าม พวกเขากลับยังคงยึดถือมโนคติอันหลงผิดและมุมมองเหล่านี้ขณะที่ป้วนเปี้ยนอยู่ในคริสตจักร  พวกเขามองว่าคริสตจักรเป็นองค์กรทางสังคม เป็นชุมชนทางศาสนา และมองว่าพระราชกิจกับพระวจนะของพระเจ้าเป็นภาพลวงตาที่เหล่าผู้เชื่อสร้างขึ้นมาเพราะความเชื่อที่งมงายของพวกเขา  ด้วยเหตุนี้เมื่อเป็นเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อเป็นเรื่องของพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็รู้สึกต้านทานและรังเกียจ  หากใครบอกว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ เป็นอธิปไตยของพระเจ้า หรือการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า พวกเขาย่อมรู้สึกรังเกียจ  อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกเขารู้สึกรังเกียจมากแค่ไหน และไม่ว่าพวกเขารับรู้หรือยอมรับความจริงหรือไม่ ความอยากในการได้มาซึ่งตำแหน่งทางสถานะในคริสตจักรเพื่อสนองความกระหายอำนาจของพวกเขาก็ไม่เคยลดลงหรือถูกปล่อยไปเลย  เนื่องจากพวกเขามีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีเช่นนั้น พวกเขาจึงเผยการสำแดงนานาประการออกมาตามธรรมชาติ  ตัวอย่างเช่น พวกเขายุยงให้ผู้คนด้วยการพูดสิ่งต่างๆ อย่างเช่น “อย่ายึดทุกสิ่งตามพระวจนะของพระเจ้า หรือเชื่อมโยงทุกอย่างกับพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า  ที่จริงแล้วแนวคิดและคำกล่าวของผู้คนมากมายนั้นถูกต้อง ผู้คนควรมีมุมมองและจุดยืนของตนเอง”  พวกเขาเผยแพร่คำกล่าวเหล่านี้เพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด ขณะเดียวกันพวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาแสดงความสามารถพิเศษ พรสวรรค์ รวมถึงกลยุทธ์และอุบายต่างๆ นานาที่สามารถใช้ได้ในโลกนี้ พยายามทำให้ผู้คนสังเกตเห็นและหันมาสนใจพวกเขา รวมถึงยกย่องพวกเขา  จุดประสงค์ของการที่พวกเขาแสดงออกอย่างแข็งขันคืออะไร?  นั่นก็เพื่อทำให้ผู้คนยกย่องและนับถือพวกเขา เพื่อให้มีสถานะในหมู่ผู้คน แล้วก็เพื่อสนองความปรารถนาของพวกเขาในการไล่ตามไขว่คว้าอาชีพเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของตน  พวกเขารู้สึกพึงพอใจเมื่อได้รับความเคารพ สรรเสริญ ติดตาม ยอมรับ ชื่นชมบูชา และยกย่องนับถือจากผู้คน และแม้กระทั่งเมื่อได้รับการประจบประแจง  ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  ถึงแม้พระนิเวศของพระเจ้าจะเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ คนชั่ว และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาประการของผู้คนอย่างสม่ำเสมอ แต่ในหัวใจของพวกเขากลับดูแคลนสิ่งเหล่านี้ว่าต่ำทราม และรู้สึกรังเกียจสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษ  พวกเขาจดจ่อกับการไล่ตามไขว่คว้าสถานะและการเป็นที่ชื่นชมและยกย่องนับถือจากผู้อื่นเพื่อเติมเต็มความปรารถนาที่พวกเขาไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ในสังคมและโลกใบนี้  แล้วจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคืออะไร?  จุดประสงค์นั้นมิใช่เพื่อให้ได้รับเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้และได้รับชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง รวมถึงมิใช่เพื่อยอมรับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน  จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามิใช่เพื่อปฏิบัติตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่เพื่อให้ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและเป็นเจ้านาย เพื่อเพลิดเพลินกับผลประโยชน์ของสถานะ  แน่นอนว่าในคริสตจักรย่อมมีคนเช่นนั้นอยู่ คนเหล่านี้คือคนทำชั่วที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร  คริสตจักรย่อมไม่อนุญาตให้คนเช่นนั้นปะปนอยู่ท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรโดยเด็ดขาด ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเป็นคนที่จะถูกเอาตัวออกไป  การแยกแยะจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  เมื่อพิจารณาจากเจตนาและจุดประสงค์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ประกอบกับการสำแดงนานาประการของพวกเขาในคริสตจักร พวกเขาคือคนประเภทใด?  (ผู้ไม่เชื่อ)  ใช่แล้ว พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  นอกจากเป็นผู้ไม่เชื่อแล้ว พวกเขายังต้องการที่จะไล่ตามไขว่คว้าสถานะและจุดหมายปลายทางในอนาคตภายในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อสนองความกระหายอำนาจของตนอีกด้วย  จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคือการได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ  แล้วเหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงควรถูกชำระออกไป?  บ้างอาจจะกล่าวว่า “หากผู้ไม่เชื่อออกแรงทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า และสามารถช่วยเหลือได้เล็กน้อยในฐานะเพื่อนร่วมคริสตจักร การเก็บพวกเขาเอาไว้ก็ไม่เป็นไรมิใช่หรือ?”  คำกล่าวนี้มีน้ำหนักหรือไม่?  (ไม่มี)  เหตุใดจึงไม่มี?  (ความปรารถนาที่จะได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐของพวกเขาจะนำไปสู่การทำสิ่งทั้งหลายที่ก่อกวนผู้อื่น ไม่เป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า และส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของพี่น้องชายหญิงอย่างแน่นอน)  ไม่ว่าเจ้ามองเรื่องนี้อย่างไร ผู้ไม่เชื่อก็ต้านทานความจริงและปฏิเสธพระเจ้า ดังนั้นพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่สามารถเก็บพวกเขาเอาไว้ได้  พวกเขาจะไม่มีบทบาทที่เป็นบวกเลย  ไม่ว่าพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าการได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ แค่เพียงความคิดเห็น การสำแดง และการกระทำในฐานะผู้ไม่เชื่อของพวกเขาก็สามารถก่อให้เกิดการรบกวนและจะไม่ส่งผลที่เป็นบวกเลย  ในยามที่มีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมบางอย่าง พี่น้องชายหญิงบางคนก็กล่าวว่า “นี่คืออธิปไตยของพระเจ้า และพวกเราต้องนบนอบ”  ผู้ไม่เชื่อสามารถนบนอบได้หรือไม่?  การที่พวกเขาไม่ลุกขึ้นก่อกวนและต่อต้านก็ดีมากพอแล้ว  ในหัวใจนั้นพวกเขาถึงกับกล่าวว่า “อย่าพูดว่าทุกสิ่งคืออธิปไตยของพระเจ้า  ผู้คนควรมีความเห็นเป็นของตัวเองและมีความเป็นตัวของตัวเองบ้าง อย่าถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอธิปไตยของพระเจ้า!”  พวกเขาไม่เพียงดึงผู้อื่นให้ต่ำลงเท่านั้น แต่ยังกล่าวเหตุผลวิบัติบางอย่างที่คลุมเครือและหลอกลวงเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วย  นี่เป็นเรื่องที่ไร้ยางอายมิใช่หรือ?  พวกเขาอาจจะใช้แผนการและอุบายอันแยบยลบางอย่างในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อได้ แต่พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่ที่ที่จะพยายามใช้แผนการและอุบายเหล่านี้!  คนบางคนเปิดคลินิกที่ทุกคนชอบไปเพราะพวกเขาบอกว่าที่นั่นฉีดยาไม่เจ็บ  เหตุใดจึงฉีดยาไม่เจ็บ?  เพราะปลายเข็มจุ่มลงไปในยาชา ดังนั้นการฉีดยาจึงไม่เจ็บอย่างแน่นอน  นี่เป็นการกระทำที่ชาญฉลาดใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่ นี่เป็นการกระทำที่อันตรายมาก)  ทว่าพวกเขากลับถือว่านี่เป็นการกระทำที่ชาญฉลาดและโอ้อวดการทำเช่นนี้ คิดว่านี่แสดงให้เห็นถึงความสามารถและทักษะของพวกเขา โดยกล่าวว่า “คุณเอาแต่พูดถึงการนบนอบพระเจ้า การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และอธิปไตยของพระเจ้าเท่านั้น  แล้วคุณมีทักษะอย่างที่ฉันมีไหม?”  แบบนี้ไม่ไร้ยางอายหรอกหรือ?  (ไร้ยางอาย)  พวกเขาถึงกับโอ้อวดกลอุบายที่อันตรายร้ายแรงเช่นนั้น!  คนที่แอบมีแรงจูงใจของผู้ไม่เชื่อที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรคือผู้ที่ควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  เพราะเหตุใด?  คนเหล่านี้ต้านทานและรังเกียจความจริงอยู่ในหัวใจ  ไม่ว่าจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาคืออะไร ไม่ว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถยอมรับได้อย่างเปิดเผยหรือไม่ก็ตาม เมื่ออ้างอิงจากแก่นแท้ในฐานะผู้ไม่เชื่อของพวกเขาแล้ว คริสตจักรก็ควรขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไป  ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ต้องการแสดงความสามารถพิเศษ ทำความทะเยอทะยานของตนให้เป็นจริง และสนองความปรารถนาของพวกเขาภายในคริสตจักร  พวกเขาต้องการใช้สถานที่อันล้ำค่าอย่างคริสตจักรเป็นวิถีทางในการสัมฤทธิ์เป้าหมายที่จะยึดครองอำนาจ อวดตน รวมถึงควบคุมและชักพาผู้คนให้หลงผิด  เมื่อพิจารณาจากจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาแล้ว พวกเขามีความสามารถที่จะก่อกวนและขัดขวางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและงานของคริสตจักร  เพราะฉะนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงต้องถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้นำและคนทำงานต้องมองทะลุไปถึงแก่นแท้ของผู้ไม่เชื่อของพวกเขา  ไม่ว่าเจ้าอ้างอิงจากการสำแดงของพวกเขา หรือจากคำกล่าวเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าที่พวกเขากล่าวอยู่เป็นนิจ เมื่อเจ้าเข้าใจสถานการณ์และแยกแยะได้อย่างชัดเจนแล้วว่าพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ เจ้าก็ควรปฏิเสธพวกเขาอย่างเด็ดขาดโดยไม่ลังเล  ไม่ว่าเจ้าใช้สติปัญญาหรือวิธีการเช่นไร จงหาหนทางเท่าที่เจ้าจะหาได้เพื่อเอาพวกเขาออกไป—นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำ นี่คืองานที่พวกเขาควรแบกรับ  นี่คือคนประเภทหนึ่งที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป

ข. เพื่อเสาะหาเพศตรงข้าม

แล้วสิ่งใดเป็นการสำแดงของคนประเภทที่สองที่ควรถูกขับไล่และเอาตัวออกไป?  คนบางคนไม่เคยข้องแวะกับการเชื่อในพระเจ้าเลย พวกเขาแค่มีความประทับใจที่ดีต่อการนี้  พวกเขาไม่สนใจที่จะรู้ว่าคนเราควรไล่ตามเสาะหาหรือได้รับสิ่งใดจากการเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาได้ยินว่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้านั้นค่อนข้างมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และไร้เล่ห์มารยา ดังนั้น พวกเขาจึงต้องการหาคู่ชีวิตในคริสตจักร จากนั้นก็แต่งงานและใช้ชีวิตอย่างมั่นคง  นี่คือเจตนาและจุดประสงค์ของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงมายังคริสตจักรเพื่อหาคู่ครองในอุดมคติของตน  ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ไม่มีความสนใจใดๆ ในการเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องของพระผู้สร้าง ความจริง การได้รับการช่วยให้รอด การรู้จักพระเจ้า การทำหน้าที่ หรือเรื่องประเภทนั้นเลยต่อให้พวกเขาจะสามารถเข้าใจได้หลังจากได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและได้ฟังคำเทศนา พวกเขาก็ไม่อยากเก็บไปใส่ใจ  พวกเขาเพียงต้องการหาคู่ครองในอุดมคติ และแน่นอนว่าหวังที่จะได้เจอผู้คนมากขึ้น รวมถึงขยายเครือข่ายของตน  พวกเขามาเชื่อในพระเจ้าโดยมีจุดประสงค์ที่จะหาคู่ครองในอุดมคติ  บางคนอาจจะกล่าวว่า “พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าพวกเขามีจุดประสงค์เช่นนี้?  พวกเขายังไม่ได้พูดหรือเอ่ยเรื่องนี้ต่อพระองค์เลย!”  พวกเขาแสดงออกผ่านพฤติกรรมของตน  ดูเวลาที่พวกเขาทำหน้าที่ของตนหรือติดต่อกับใครบางคน พวกเขาเสาะหาเพศตรงข้ามอยู่เสมอ  เมื่อพวกเขาถูกใจใครสักคน พวกเขาก็เทียวสามัคคีธรรมกับคนคนนั้นและเข้าไปอยู่ใกล้ๆ คนคนนั้น โดยถามข้อมูลและทำความรู้จักกับคนคนนั้นตลอดเวลา การสำแดงและการกระทำที่ผิดวิสัยเหล่านี้ควรมากพอที่จะดึงความสนใจจากผู้นำและคนทำงานผู้ซึ่งควรสังเกตดูว่าเจตนาของพวกเขาคืออะไร จุดประสงค์ที่พวกเขามุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์คืออะไร และควรสืบหาให้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา เหตุใดพวกเขาจึงแสวงหาการติดต่อเพศตรงข้ามเป็นพิเศษ เหตุใดพวกเขาจึงมีเรื่องพูดคุยกับเพศตรงข้ามอยู่เสมอ และเหตุใดพวกเขาจึงมีความชอบพอต่อเพศตรงข้ามมากเป็นพิเศษ แสดงความสงสัยใคร่รู้และความเป็นห่วงเป็นใยต่อคนที่พวกเขาชื่นชอบเป็นพิเศษ  บุคคลเช่นนี้มีภาพจำที่ดีต่อบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้า  ต่อให้พวกเขาไม่ได้สนใจการชุมนุม การฟังคำเทศนา การสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า การขับร้องบทเพลงนมัสการ การสามัคคีธรรมประสบการณ์ส่วนบุคคล และเรื่องอื่นๆ ในทำนองเดียวกันเลย แต่โดยทั่วไปแล้วพวกเขาก็ไม่พูดสิ่งที่ก่อให้เกิดการรบกวนและการขัดขวาง  พวกเขามุ่งเน้นเพียงการหาคู่ครองเพื่อที่จะใช้ชีวิตที่ดีไปด้วยกันเท่านั้น  หากพวกเขาพบเจอคู่ครองแล้ว พวกเขาก็สามารถติดตามไปในการเชื่อในพระเจ้าได้ ต่อให้พวกเขาเองไม่ได้ไล่ตามเสาะหา พวกเขาก็สามารถเกื้อหนุนคู่ของตนในการเชื่อในพระเจ้าได้  บางคนมีความเป็นมนุษย์ที่พอจะรับได้ เป็นคนที่ให้การช่วยเหลือ และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเป็นมิตรและใจดี  ตัวอย่างเช่น พวกเขาสามารถผ่อนปรนต่อผู้อื่น คิดหาทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบความลำบากยากเย็นและแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านั้น หรือให้คำแนะนำบางอย่าง และอื่นๆ  พวกเขาค่อนข้างใจดีต่อผู้อื่นและไม่เก็บซ่อนความมุ่งร้ายเอาไว้ แต่จุดประสงค์และเป้าหมายของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็ไม่ค่อยมีเกียรติมากนัก  พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ยอมรับความจริงไม่ว่าใครจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาก็ตาม  หลังจากติดตามมาเป็นเวลาครึ่งปี หรือหนึ่งหรือสองปี ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงในตัวของพวกเขาเลย  ถึงแม้พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการไม่เชื่อ อีกทั้งไม่ได้ก่อให้เกิดการรบกวนหรือการขัดขวางใดๆ แต่พวกเขาก็ไม่เกิดความสนใจในเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าเลย  การให้บุคคลเช่นนั้นอยู่ในคริสตจักรเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนเช่นนั้นควรถูกชำระออกไปใช่หรือไม่?  (พวกเขาควรถูกชำระออกไปด้วยเช่นกัน)  เพราะอะไร?  (เพราะพวกเขาไม่สนใจในความจริง และพวกเขาไม่ใช่เป้าหมายของความรอด  หากพวกเขาอยู่ในคริสตจักรพร้อมกับมองหาคู่ครองอยู่ตลอดเวลา การนั้นย่อมจะรบกวนผู้อื่นและนำคนเหล่านั้นสู่การทดลอง พวกเขาจะไม่มีบทบาทที่เป็นบวกเลย)  เป็นเช่นนั้นจริงๆ  ตัวอย่างเช่น คนบางคนชอบกินเนื้อวัวมากเป็นพิเศษ  ในยามที่พวกเขากินเนื้อ พวกเขาก็ลืมเรื่องงานของตนไปสิ้น  หากไม่มีเนื้อวัว พวกเขาก็ยังสามารถเอาใจใส่งานที่ถูกควรได้บ้าง แต่เมื่อใดมีเนื้อ งานของพวกเขาก็เกิดความล่าช้า  สำหรับพวกเขาแล้ว เนื้อคืออะไร?  (คือการทดลอง)  ถูกต้อง นี่คือการทดลอง  แล้วพวกที่มองหาคู่ครองอยู่เสมอสามารถถือเป็นต้นกำเนิดของการทดลองได้หรือไม่?  (ได้)  พวกเขาคือต้นกำเนิดของการทดลองอย่างแท้จริง  สำหรับผู้คนเช่นนั้น พวกเขาควรได้รับความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า “คุณไม่มีความจริงใจต่อการเชื่อในพระเจ้าหรือการทำหน้าที่ของคุณ  คุณไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรและไม่เคยถือว่าเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงได้เลย  ตลอดสองปีที่ได้ติดต่อกัน พวกเราได้เห็นจุดประสงค์ของคุณแล้ว คุณแค่ต้องการหาคู่ครองในคริสตจักรเท่านั้น  นี่เป็นการสร้างความเสียหายให้กับคนดีมิใช่หรือ?  ผู้คนในคริสตจักรไม่เหมาะสมกับคุณหรอก  มีคนที่เหมาะสมกับคุณมากมายในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ  ไปหาใครสักคนในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อเถอะ”  นัยคือการบอกพวกเขาว่า “พวกเรารู้เท่าทันคุณแล้ว  คุณไม่ใช่หนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  คุณไม่ใช่คนของพระนิเวศของพระเจ้า  คุณไม่สามารถถือว่าเป็นพี่น้องชายหญิงของพวกเราได้”  ตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้ควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  ในหนทางนี้ คนที่มองหาคู่ครองและล่อลวงผู้อื่นโดยไม่ยั้งคิดเหล่านี้ย่อมจะถูกชำระออกไป  คนเช่นนี้ง่ายต่อการแยกแยะมิใช่หรือ?  (ใช่)  คนเหล่านี้ก็คือผู้ไม่เชื่อเช่นกัน  พวกเขามีความชื่นชอบต่อคริสตจักร ต่อความเชื่อทางศาสนา และต่อบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอยู่เล็กน้อย  พวกเขาเพียงต้องการใช้โอกาสของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อหาคู่ครองในหมู่ผู้เชื่อ เพื่อจะได้อุทิศตนรับใช้และใช้ชีวิตอยู่กับคนเหล่านั้น  บอกเราทีว่า เรื่องแบบนี้เป็นไปได้หรือไม่?  พวกเราควรสนองความต้องการของพวกเขาหรือไม่?  คริสตจักรควรจัดการเตรียมการเรื่องดังกล่าวหรือไม่?  (ไม่)  คริสตจักรไม่ได้มีภาระผูกพันในการสนองความพอใจส่วนตนของพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาคิดว่าผู้เชื่อเป็นคนดีมากเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะคิดว่าตนสามารถใช้ชีวิตอย่างถูกควรกับผู้เชื่อเหล่านี้ได้ หรือคิดว่าผู้เชื่อสามารถเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง นั่นก็ไม่มีประโยชน์—ความคิดเห็นของพวกเขานั้นไม่สำคัญ  ผู้ไม่เชื่อเช่นนั้นสามารถพบได้ในคริสตจักรส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน  วิธีจัดการกับคนเหล่านี้คือใช้วิธีที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมไป หรือหากพวกเจ้ามีวิธีที่ดีกว่า พวกเจ้าก็สามารถใช้วิธีเหล่านั้นได้ ตราบเท่าที่เป็นการรับมือกับพวกเขาตามหลักธรรม  ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ถูกจัดให้อยู่ในหมู่ของคนชั่วประเภทต่างๆ—แบบนั้นเกินไปหรือไม่?  (ไม่)  นี่แหละคือวิธีที่พวกเราปฏิบัติต่อผู้ไม่เชื่อ

ค. เพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ

ผู้คนประเภทใดอีกที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปจากคริสตจักร?  (ผู้คนอีกหนึ่งประเภทคือ พวกที่เชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ)  การเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติก็เป็นจุดประสงค์ที่ผู้คนมีในการเชื่อเช่นกัน  ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าส่วนใหญ่ต่างก็มีการปลอมปนลักษณะนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วพวกเราควรแยกแยะอย่างไรระหว่างคนที่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปเพราะเรื่องนี้ กับคนที่แค่แสดงออกถึงการเผยความเสื่อมทรามตามปกติ และไม่ควรถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป?  สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ ความเชื่อของพวกเขาปะปนไปด้วยแรงจูงใจของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ—นี่คือข้อเท็จจริง  ในหมู่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติ พวกเจ้าต้องแยกแยะผู้ไม่เชื่อที่ตรงตามหลักเกณฑ์ของการขับไล่หรือเอาตัวออกไป  ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนเช่นนั้นเห็นว่าความวิบัติเริ่มเลวร้ายลง พวกเขาก็เริ่มเข้าร่วมชุมนุมบ่อยขึ้น และรีบนำหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาเคยนำมาคืนคริสตจักรกลับไปด้วย โดยบอกว่าตอนนี้พวกเขาต้องการเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงจัง  อย่างไรก็ตาม เมื่อความวิบัติผ่านพ้นไปหรือคลี่คลายลง พวกเขาก็กลับไปทำธุรกิจและหาเงิน ปิดกั้นการติดต่อทุกช่องทางเพื่อไม่ให้พี่น้องชายหญิงสามารถหาพวกเขาพบหรือติดต่อพวกเขาให้มาชุมนุมได้  เมื่อความวิบัติโถมเข้าใส่ พวกเขาก็ไปหาพี่น้องชายหญิงด้วยความกระตือรือร้น แต่เมื่อความวิบัติผ่านพ้นไป พี่น้องชายหญิงก็เริ่มตามตัวพวกเขายากมาก และแทบไม่มีใครติดต่อพวกเขาได้เลย  การสำแดงเหล่านี้ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนทีเดียวมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อไม่มีความวิบัติ พวกเขาก็กล่าวว่า “ผู้คนจำเป็นต้องมีชีวิตตามปกติ  พวกเราต้องใช้ชีวิตในแต่ละวัน  ฉันต้องทำอาหารที่บ้านทุกวัน แถมต้องไปรับไปส่งลูกๆ ที่โรงเรียน บางครั้งฉันเลยมาชุมนุมไม่ได้  อีกอย่าง การใช้ชีวิตก็ต้องใช้เงิน ค่าครองชีพทุกอย่างก็ต้องจ่าย  พวกเราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่หาเงิน  ในโลกใบนี้ ไม่มีใครสามารถอยู่ได้โดยไม่มีเงิน  การเชื่อในพระเจ้าต้องสัมพันธ์กับชีวิตจริงด้วย!”  พวกเขาพูดจาน่าเชื่อถือและให้เหตุผลอย่างเหลือเฟือ โดยมุ่งเน้นอยู่แต่กับการหาเงินและใช้ชีวิตของตนไปวันๆ เข้าร่วมชุมนุมเป็นครั้งคราวเท่านั้นและแทบไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเลย  ท่าทีที่พวกเขามีต่อการเชื่อในพระเจ้าคือเฉยเมย ไม่เย็นชาและไม่ร้อนแรง  เมื่อความวิบัติโถมเข้าใส่ พวกเขาก็กล่าวว่า “โอ้ ฉันอยู่ไม่ได้หากไม่มีพระเจ้า ฉันจำเป็นต้องมีพระเจ้า!  ฉันต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและเรียกหาพระองค์ทุกวัน!  ฉันไม่ได้พยายามที่จะหลีกเลี่ยงความวิบัติ ประเด็นหลักคือฉันไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีพระเจ้าในหัวใจ  การมีชีวิตที่ดีโดยไม่มีพระเจ้าในหัวใจก็ยังรู้สึกว่างเปล่าอยู่ดี!”  พวกเขาไม่สามารถกล่าวคำที่แสดงให้เห็นถึงการรู้จักพระเจ้าได้แม้แต่คำเดียว คำพูดทั้งหมดของพวกเขาคือการหาความชอบด้วยเหตุผลให้กับพฤติกรรมและการกระทำของตน  พวกเขาไม่รู้ว่าพระนิเวศของพระเจ้าแจกจ่ายหนังสือให้ทุกคนไปกี่เล่ม พวกเขาไม่รู้ว่าการเทศนาไปถึงหัวข้อใดแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าปัจจุบันในชีวิตคริสตจักรกำลังสามัคคีธรรมความจริงประการใดอยู่  พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุมทุกๆ หกเดือนหรือปีละครั้ง  เมื่อพวกเขาเข้าร่วมการชุมนุม พวกเขาก็กล่าวว่า “ผู้ไม่มีความเชื่อนั้นแย่เหลือเกิน  สังคมไม่ยุติธรรม  โลกใบนี้ก็ชั่ว  การพยายามหาเงินก็ยากเหลือเกิน!  ภาระที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ช่างเบานัก…”  พวกเขาเฝ้าแต่พูดถึงสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อและเนื้อหาของสามัคคีธรรมในการชุมนุมเลย  พวกเขาเอ่ยคำอธิษฐานที่ว่างเปล่าสองสามคำ และกล่าวคำพูดที่ตื้นเขินเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าออกมาเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาก็ถือว่าตนเป็นผู้เชื่อ  พลางรู้สึกสงบสุขและสบายใจอยู่ในหัวใจ  นี่คือการเชื่อในพระเจ้าเช่นนั้นหรือ?  ผู้คนเช่นนี้ต่ำทรามขนาดไหน?  หากเจ้าถามพวกเขาว่า “เหตุใดคุณไม่เข้าร่วมการชุมนุมให้เป็นประจำเล่า?” พวกเขาย่อมกล่าวว่า “ภาวะของฉันไม่เอื้ออำนวย  นี่คือสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าจัดการเตรียมการให้ฉัน และฉันก็ต้องนบนอบ”  คำพูดเหล่านี้ฟังดูดีเหลือเกิน!  พวกเขายังกล่าวอีกว่า “ดูสิ พระเจ้าจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมเช่นนี้ให้กับฉัน  ครอบครัวฉันต้องพึ่งพาฉันเรื่องอาหารการกิน ดังนั้นฉันจึงต้องหาเงินเพื่อยังชีพ!  เวลานี้การหาเงินคืองานที่พระเจ้าประทานให้ฉัน!”  พวกเขาไม่กล่าวถึงการทำหน้าที่ของตน รวมถึงหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของตนเลยแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับการพูดถึงวิธีปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาเข้าร่วมชุมนุมเป็นครั้งคราวเท่านั้น และพวกเขาก็ถวายเงินเพียงไม่กี่หยวน โดยคิดว่าตนได้สร้างคุณูปการต่อพระนิเวศของพระเจ้าแล้ว  นอกจากนี้ยังมีคนที่อธิษฐานถึงพระเจ้าเมื่อลูกๆ ของตนล้มป่วย  และไม่กี่วันต่อมาเมื่อลูกๆ ของพวกเขาอาการดีขึ้น พวกเขาก็รีบถวายเงินให้กับคริสตจักร จากนั้นก็หายตัวไปอีกครั้ง  ทุกครั้งที่ปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็ไม่เคยสามัคคีธรรมความจริง และไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าเลย  ในยามที่ไม่มีความวิบัติหรือหายนะ พวกเขาก็ไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าเลย  บทสนทนาในชีวิตประจำวันของพวกเขามักเกี่ยวข้องกับเรื่องจิปาถะในครอบครัว ถกเถียงเรื่องถูกผิด ชีวิตทางเนื้อหนัง ปรากฏการณ์อันหลากหลายทางสังคม รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาเห็นและได้ยินมา พวกเขาแทบไม่จะไม่สามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะของพระเจ้า และไม่เคยเอ่ยคำพูดที่จริงใจเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าเลย  พวกเขาเพียงรักษาที่ทางของตนในคริสตจักรเพื่อแสวงหาการดูแลและการคุ้มครองจากพระเจ้า  นี่คือหนทางของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาเพียงเสาะแสวงสันติสุขและพระพรโดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเลย  พวกเขาไม่ได้สนใจความจริงแต่อย่างใด  พวกเขาเพียงต้องการที่จะได้รับผลประโยชน์ พระคุณ และพรจากการเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับโลกหน้าเพราะพวกเขามองไม่เห็นและไม่เชื่อในเรื่องนั้นเลย  พวกเขาเพียงต้องการเพลิดเพลินกับพระคุณของพระเจ้าในชีวิตนี้และหลีกเลี่ยงความวิบัติทั้งปวงเท่านั้น  เนื่องจากพระเจ้าและคริสตจักรเป็นที่หลบภัยสำหรับพวกเขา เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุม นั่นย่อมเป็นเพราะพวกเขาได้เผชิญกับความลำบากยากเย็นหรือความวิบัติอย่างแน่นอน  ผู้คนเช่นนั้นเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริงใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเขาคือคนประเภทใด?  (พวกฉวยโอกาสและผู้ไม่เชื่อ)  ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้คือคนที่ต้องการใช้คริสตจักรเพื่อหลบเลี่ยงความวิบัติ  ผู้คนเช่นนั้นควรได้รับอนุญาตให้อยู่ในคริสตจักรหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อพวกเขามาชุมนุม พวกเขาก็รบกวนผู้อื่นและสร้างความรำคาญใจให้คนเหล่านั้น  ผู้คนส่วนใหญ่สุภาพเกินไปและรู้สึกอายที่จะพยายามยับยั้งพวกเขา ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงปล่อยให้พวกเขาพูดพล่ามและก่อกวนการกินดื่มพระวจนะของพระเจ้าของผู้อื่น  ในจุดนี้ผู้นำและคนทำงานควรทำเช่นไร?  พวกเขาควรรับผิดชอบเรื่องการจำกัดห้ามคนเหล่านั้น ปกป้องผลประโยชน์ของคนหมู่มาก และรักษาชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าสามารถยึดหนังสือพระวจนะของพระเจ้าคืนจากพวกเขา และแนะนำพวกเขาให้ไปจากคริสตจักรเสีย  มีหลากหลายวิธีในการหว่านล้อมใครสักคนให้ไปจากคริสตจักร—พวกเจ้าสามารถคิดหาวิธีของตนเอง  เพียงแค่ให้แน่ใจว่าคนเหล่านั้นจะไม่สามารถติดต่อกับพี่น้องชายหญิงได้อีกต่อไป  สมมุติมีใครบางคนกล่าวว่า “คนนี้เป็นคนดี  เขาเพียงแต่พูดเรื่องสัพเพเหระในครอบครัวที่คริสตจักร แต่เขาก็ไม่ได้ก่อกวนงานของคริสตจักรหรือส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา ดังนั้นพวกเราก็ควรผ่อนปรน!  ในการเชื่อในพระเจ้า พวกเราควรผ่อนปรนและสู้ทนกับคนทุกประเภทมิใช่หรือ?  พระเจ้าต้องประสงค์ให้ทุกคนได้รับการช่วยให้รอดและไม่ต้องประสงค์ให้ผู้ใดทนทุกข์ต่อความพินาศ!”  เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จำเป็นต้องพิจารณาว่าพวกเขาคือเป้าหมายของความรอดหรือไม่  หากไม่ใช่ พวกเราก็ควรแยกแยะและเอาตัวพวกเขาออกไปมิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “ฉันสุภาพมากเกินไป ฉันจะรู้สึกอายที่จะพยายามโน้มน้าวให้พวกเขาไปจากคริสตจักร”  ปัญหานี้แก้ได้อย่างง่ายดาย  หากเพียงเจ้าไม่ติดต่อกับพวกเขา เจ้าก็จะไม่ถูกพวกเขาก่อกวนหรือบีบคั้น  ต่อให้เจ้าบังเอิญพบเจอพวกเขา เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา  ไม่จำเป็นต้องพูดคุยเรื่องการเชื่อในพระเจ้ากับพวกเขา เพียงแค่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะผู้ไม่มีความเชื่อ  บางคนกล่าวว่า “พวกเราช่วยพวกเขาด้วยความรักและสามัคคีธรรมความจริงที่พวกเราเข้าใจกับพวกเขาไม่ได้หรือ?”  สำหรับผู้ไม่เชื่อเช่นนั้น หากเจ้ามีความรักอย่างแท้จริง เจ้าก็สามารถลองดูได้  หากเจ้าสามารถเปลี่ยนพวกเขาได้จริง เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป  บางคนกล่าวว่า  “ฉันจะไม่พยายามให้เสียเปล่าหรอก  การช่วยพวกเขานั้นไร้ประโยชน์ เหมือนกับการอาบน้ำให้หมู ไม่ว่าคุณอาบให้มันจนสะอาดเอี่ยมอ่องอย่างไร มันก็จะยังลงไปนอนคลุกโคลนอยู่ดี  หมูเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทนั้น มันเปลี่ยนไม่ได้หรอก!”  หากเจ้าสามารถเข้าใจเช่นนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจถูกต้อง  เจ้าจะยังคงสามัคคีธรรมความจริงกับผู้ไม่เชื่อเช่นนั้นเพื่อช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่?  พวกเจ้าจะยังทำงานที่เปล่าประโยชน์นี้อยู่หรือไม่?  (ไม่)  ในจุดนี้พวกเจ้าย่อมตระหนักได้ว่าพวกเจ้าโง่เขลาและมองคนไม่ออก  ผู้ไม่เชื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  คนเหล่านี้ก็รู้เช่นกันว่าคนที่เชื่อในพระเจ้านั้นทำความดีและหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว คนที่เชื่อในพระเจ้าย่อมไม่ข่มเหงรังแกหรือหลอกลวงผู้อื่น  คนเหล่านี้มีความประทับใจที่ดีต่อบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงอำพรางตนภายใต้ธงของ “การเชื่อว่ามีพระเจ้า” และ “การเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี” และแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร ทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหรือหญิง  คนบางคนหลงเชื่อเรื่องนี้เข้าจริงๆ และมองว่าพวกเขาคือพี่น้องชายหญิงอย่างแท้จริง มักจะไปเยี่ยมเยือนและช่วยเหลือพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง  หลังจากผ่านไปนาน พวกเขาจึงตระหนักว่า “คนคนนี้มาที่คริสตจักรก็ต่อเมื่อเผชิญความวิบัติหรือความลำบากยากเย็นเท่านั้น แถมพูดในสิ่งที่ไร้สาระและไม่มีประโยชน์  เมื่อสิ่งต่างๆ ดำเนินไปด้วยความราบรื่น และทุกอย่างเป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเขา เมื่อพวกเขามีชีวิตที่ดี พวกเขาก็เมินเฉยต่อทุกคน  หากพวกเรารู้เร็วกว่านี้ว่าพวกเขาเป็นคนชั่วร้ายแบบนี้ พวกเราคงจะไม่ช่วยเหลือพวกเขาหรือทุ่มเทความพยายามมากเช่นนี้!”  การรู้สึกเสียใจในเวลานี้มีประโยชน์หรือไม่?  จะเสียใจก็สายเกินไปแล้ว—เจ้าพูดไปมากมายโดยเปล่าประโยชน์!  สรุปก็คือ ผู้ไม่เชื่อพวกนี้จำเป็นต้องถูกแยกแยะ จัดการ และเอาตัวออกไปจากคริสตจักรโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  จงอย่ามองว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิง พวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหญิง  มีเพียงผู้ที่ได้รับการทรงเลือกสรรจากพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นพี่น้องชายหญิง มีเพียงผู้ที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดและผู้ที่ไล่ตามเสาะหาการนมัสการพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นพี่น้องชายหญิง  พวกที่เตร็ดเตร่อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงความวิบัติและเพลิดเพลินกับพระคุณของพระเจ้าด้วยความโลภโดยไม่ยอมรับความจริงคือผู้ไม่เชื่อ  พวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหญิง และพวกเขาก็ไม่ใช่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างแน่นอน  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  ผู้ไม่เชื่อเช่นนั้นต้องได้รับการปฏิบัติตามหลักธรรม พวกเขาควรถูกกำจัดทิ้งในหนทางที่สมควร  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ทั้งยังเป็นหลักธรรมซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนควรเข้าใจให้ชัดเจนอีกด้วย

23 ตุลาคม ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า:  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (21)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger