หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (29)
ประการที่สิบห้า: ปกป้องบุคลากรสำคัญของงานทุกประเภทโดยป้องกันพวกเขาจากการแทรกแซงของโลกภายนอก และคุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัยเพื่อให้มั่นใจว่างานสำคัญต่างๆ จะสามารถดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานกันถึงตรงไหนแล้ว? (ครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมถึงการสำแดงสามประการสุดท้ายในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานเป็นหลัก ว่าด้วยเรื่องการแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ ตามความเป็นมนุษย์ของพวกเขา การสำแดงทั้งสามประการนี้คือ การเป็นคนขลาดและหวาดระแวง การมีแนวโน้มที่จะก่อปัญหา และการมีภูมิหลังที่ซับซ้อน) ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมสามหัวข้อสุดท้ายในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสี่ของผู้นำและคนทำงานจบไปแล้ว ดังนั้นวันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบห้า หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบห้าคืออะไร? (“ประการที่สิบห้า ปกป้องบุคลากรสำคัญของงานทุกประเภทโดยป้องกันพวกเขาจากการแทรกแซงของโลกภายนอก และคุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัยเพื่อให้มั่นใจว่างานสำคัญต่างๆ จะสามารถดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย”) “ปกป้องบุคลากรสำคัญของงานทุกประเภทโดยป้องกันพวกเขาจากการแทรกแซงของโลกภายนอก และคุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัย” หน้าที่รับผิดชอบนี้เกี่ยวข้องกับอีกแง่มุมหนึ่งของหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และยังเป็นงานเฉพาะงานหนึ่งที่ผู้นำและคนทำงานต้องปฏิบัติให้ดีอีกด้วย งานที่ว่านี้เกี่ยวข้องกับอะไร? (เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรปลอดภัย) เกี่ยวข้องกับประเด็นความปลอดภัยส่วนบุคคล นี่เป็นหัวข้อที่พบเจอบ่อยครั้งในงานของคริสตจักรมิใช่หรือ? พวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับหัวข้อนี้หรือ? (ไม่) หัวข้อนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับพี่น้องชายหญิงชาวจีน เพราะในสภาพแวดล้อมทางสังคมของประเทศจีน ผู้เชื่อทั้งหลายถูกข่มเหงและจับกุม และพวกเขาต้องการการรับประกันความปลอดภัยในการทำหน้าที่ของตนและในทุกแง่มุมของชีวิต ดังนั้น งานนี้จึงอยู่ในขอบข่ายหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะเลือกทำหรือไม่ทำก็ได้ ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีเสรีภาพทางศาสนาหรือไม่ก็ตาม การจัดวางตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับบุคลากรที่ทำหน้าที่สำคัญต่างๆ ก็เป็นงานที่เฉพาะเจาะจงงานหนึ่งที่ผู้นำและคนทำงานต้องลงมือทำ การมุ่งเน้นหรือข้อกำหนดเฉพาะของงานนี้อาจแตกต่างกันไป แต่โดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการที่พี่น้องชายหญิงสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างปลอดภัยและมั่นคงหรือไม่ และสามารถรับประกันผลลัพธ์ของการทำหน้าที่ของพวกเขาได้หรือไม่ ดังนั้น จงอย่าละเลยงานนี้หรือถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เพียงเพราะเจ้าอาศัยอยู่ในประเทศประชาธิปไตย ไม่ว่าระบอบการปกครองในประเทศที่เจ้าอาศัยอยู่จะเป็นเช่นไร หรือผู้เชื่อจะถูกข่มเหงที่นั่นหรือไม่ก็ตาม งานนี้ก็อยู่ในขอบข่ายหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน เป็นงานที่ผู้นำและคนทำงานต้องดำเนินการ—ไม่มีใครได้รับการยกเว้น และไม่ควรถือว่าเป็นงาน “พิเศษ” เช่นนั้นแล้ว วันนี้พวกเรามาสามัคคีธรรมถึงประเด็นต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้กันเถิด
ขอบข่ายของบุคลากรสำคัญของงาน
ประการแรก พวกเรามาดูกันว่า “บุคลากรสำคัญของงานทุกประเภท” ที่กล่าวถึงในหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบห้านั้นหมายถึงอะไร นี่เป็นหัวข้อที่พวกเราควรสามัคคีธรรมกันมิใช่หรือ? (ใช่) แล้ว “บุคลากรสำคัญของงานทุกประเภท” นั้นหมายถึงอะไร? พวกเรามากำหนดขอบข่ายของเป้าหมายของงานนี้กันก่อน ใครสามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้บ้าง? (บุคลากรสำคัญของงานทุกประเภทนั้นรวมถึงพี่น้องชายหญิงในฝ่ายวีดิทัศน์ ฝ่ายผลิตภาพยนตร์ ฝ่ายพิสูจน์อักษร และฝ่ายบทเพลงนมัสการ รวมถึงผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญอื่นๆ นอกจากนี้ ยังรวมถึงพี่น้องชายหญิงบางคนที่มีบทบาทสำคัญในงานสำคัญต่างๆ ตลอดจนผู้กำกับดูแลของแต่ละฝ่าย) มีใครอยากจะเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่? (ยังรวมถึงผู้นำและคนทำงานด้วย) ผู้นำและคนทำงานนั้นจำเป็นต้องได้รับการปกป้องอย่างดีโดยแท้ มีใครอีกบ้าง? (ยังมีบุคลากรสำคัญที่จัดการงานธุรการทั่วไป เช่น บุคลากรฝ่ายการเงิน) (และพี่น้องชายหญิงที่ถูกประกาศจับหรือมีประวัติคดีความกับตำรวจเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ต่างๆ ก็ต้องการการปกป้องเช่นกัน) นี่เป็นอีกประเภทหนึ่ง และเป็นกลุ่มพิเศษ พวกเรามาสรุปกันเถิดว่าทั้งหมดมีกี่ประเภท ประเภทแรก ได้แก่ ผู้นำและคนทำงาน ประเภทที่สองประกอบด้วยบุคลากรที่ขาดไม่ได้สำหรับงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าฝ่ายและผู้กำกับดูแลงานต่างๆ รวมถึงบุคลากรที่มีขีดความสามารถดี มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ สามารถเข้าใจหลักธรรม และสามารถแบกรับงานสำคัญได้ด้วยตัวเอง บุคลากรที่จัดการงานต่างๆ นั้นมีหลายประเภท เช่น ผู้ที่ทำงานข้อเขียน งานบทเพลงนมัสการ งานผลิตภาพยนตร์ และอื่นๆ ตลอดจนผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐ เป็นพยานยืนยัน หรือรับใช้เป็นผู้อำนวยการข่าวประเสริฐ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงบุคลากรที่จัดการงานด้านการเงิน การดูแลรักษาทรัพย์สิน และกิจธุระภายนอกด้วย บุคคลเหล่านี้มีบทบาทในการสนับสนุนงานของคริสตจักรและเป็นผู้ที่ขาดไม่ได้ พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของบุคลากรที่จัดการงานต่างๆ นี่คือประเภทหลักประเภทที่สอง ประเภทหลักประเภทที่สาม ได้แก่ ผู้ที่ทำงานอันตรายของคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศที่มีระบอบเผด็จการซึ่งไม่มีเสรีภาพทางศาสนา มีงานบางอย่างที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เช่น การพิมพ์หนังสือ การขนส่งหนังสือ การดูแลรักษาทรัพย์สินของคริสตจักร ตลอดจนการให้ที่พักพิงและการจัดวางตำแหน่งให้กับบุคลากรที่ทำหน้าที่สำคัญ รวมถึงใครอีกบ้าง? (ยังมีบุคลากรงานธุรการทั่วไปบางคนที่ถ่ายทอดข้อมูลสู่ภายนอก หน้าที่ที่พวกเขาทำก็ค่อนข้างอันตรายเช่นกัน) บุคคลเหล่านี้ก็ถือว่าทำงานที่เป็นอันตรายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ไม่ได้ทำงานนี้เป็นครั้งคราวอย่างแน่นอน แต่พวกเขาเชี่ยวชาญในการดำเนินการงานที่สำคัญและอันตรายเหล่านี้ เช่น การถ่ายทอดข้อมูล การแจกจ่ายการจัดการเตรียมงาน การแจกจ่ายวีดิทัศน์ ภาพยนตร์ หรือบันทึกเสียงคำเทศนาทั้งหมดของพระนิเวศของพระเจ้า และอื่นๆ ในประเทศเผด็จการที่ไม่มีเสรีภาพทางศาสนา ผู้นำและคนทำงานต้องเข้าใจอย่างชัดเจนว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนใดบ้างที่กำลังทำหน้าที่สำคัญและปฏิบัติงานที่เป็นอันตราย กล่าวโดยสรุป บุคคลเหล่านี้ก็เป็นบุคลากรสำคัญของงานประเภทหนึ่งเช่นกัน และผู้นำและคนทำงานต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับความปลอดภัยของพวกเขา จะมองข้ามไม่ได้ นี่คือประเภทที่สาม ประเภทที่สี่คืออีกกลุ่มหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในงานของคริสตจักร บุคคลเหล่านี้มีทักษะและพรสวรรค์พิเศษ เช่น เชี่ยวชาญในการประกาศข่าวประเสริฐ การให้คำเทศนา การให้น้ำคริสตจักร หรือการรับผิดชอบในการจัดระเบียบงานเฉพาะบางอย่าง บุคคลเหล่านี้อาจเป็นผู้นำและคนทำงาน ผู้กำกับดูแลงานต่างๆ หรือผู้ที่ทำงานอันตราย หากไม่มีคนเหล่านี้ ก็จะเกิดช่องว่างในงานสำคัญที่พวกเขาจัดการ และจะไม่มีใครสามารถทำหน้าที่แทนพวกเขาได้ ด้วยเหตุนี้ บุคคลเหล่านี้จึงควรได้รับการปกป้อง และความปลอดภัยของพวกเขาก็ควรได้รับการรับรอง นี่คือคนประเภทหนึ่ง อีกประเภทหนึ่งคือผู้ที่อยู่ในประเทศที่มีการข่มเหงศาสนา และถูกประกาศจับหรือมีประวัติคดีความกับตำรวจเนื่องจากการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ไม่ว่าขอบเขตของหมายจับหรืองานเฉพาะที่พวกเขาทำในคริสตจักรจะเป็นเช่นไร ตราบใดที่พวกเขาถูกประกาศจับเพราะการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของพวกเขา ผู้นำและคนทำงานก็ควรหาหนทางปกป้องพวกเขา จัดการเตรียมการให้พวกเขาอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยเพื่อทำหน้าที่ของตน ในบรรดาประเทศทั้งหมดที่ข่มเหงความเชื่อทางศาสนา การข่มเหงของประเทศจีนนั้นรุนแรงที่สุด ในหลายมณฑลและภูมิภาคทั่วประเทศจีน ผู้คนจำนวนมากได้ถูกจับกุมหรือถูกประกาศจับ จึงไม่สามารถกลับบ้านได้ มีบางประเทศที่คล้ายกัน ที่ข่มเหงความเชื่อทางศาสนาเช่นเดียวกับประเทศจีนอยู่ทั่วโลกและในทุกทวีป และในประเทศเหล่านี้ ก็มีผู้ที่ต้องเผชิญกับการข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านได้เนื่องจากพวกเขาได้ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สำหรับผู้ที่ถูกข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านได้ ผู้นำและคนทำงานควรจัดวางตำแหน่งในคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาให้พวกเขาโดยเร็วที่สุด ผู้นำและคนทำงานควรจัดให้พวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างปลอดภัยตามภาวะในท้องถิ่นเพื่อให้พวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้ นี่เป็นงานสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำให้ดี บุคคลเหล่านี้ที่ถูกจับกุมหรือถูกประกาศจับถือเป็นบุคลากรประเภทที่ห้าที่ต้องการการปกป้อง ยังมีอีกประเภทหนึ่งในหมู่บุคลากรที่จัดการงานสำคัญต่างๆ ที่มีความพิเศษ บุคคลเหล่านี้อาจไม่ใช่ผู้นำหรือคนทำงานในปัจจุบัน และไม่ได้ทำงานที่เป็นอันตราย แต่พวกเขาเคยทำหน้าที่หลายอย่างมาก่อนและงานของพวกเขาครอบคลุมขอบเขตที่กว้างขวาง พวกเขารู้จักครอบครัวเจ้าภาพหลายแห่งและยังรู้จักบุคลากรบางคนที่ทำหน้าที่สำคัญด้วย ดังนั้น หากบุคคลเหล่านี้ถูกจับกุม ก็จะนำความวิบัติมาสู่งานของคริสตจักรเช่นกัน บุคคลเหล่านี้ควรได้รับการขนานนามว่าเป็น “ผู้รู้ข้อมูลวงใน” และพวกเขาก็ควรถูกรวมอยู่ในกลุ่มบุคลากรสำคัญของงานทุกประเภทด้วย ผู้นำและคนทำงานควรรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา ทั้งนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์ในการปกป้องความปลอดภัยของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน และเพื่อให้มั่นใจว่างานของคริสตจักรสามารถดำเนินไปได้อย่างปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลบางคนในประเภทนี้ค่อนข้างประมาททีเดียว พวกเขาไม่รู้จักระมัดระวัง และพวกเขาไม่มีสติปัญญามากนัก พวกเขามีแนวโน้มที่จะกระทำการด้วยความกระตือรือร้นเสมอ ทำสิ่งต่างๆ ภายนอกอย่างไม่ยั้งคิด เพราะไม่เคยถูกจับกุมหรือถูกทรมาน พวกเขาจึงไม่ตระหนักถึงอันตรายที่เกี่ยวข้องและผลที่อาจตามมาหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น และยิ่งไม่เข้าใจว่าผลที่ตามมาเหล่านั้นจะรุนแรงเพียงใด เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาก็แค่เชื่อในพระเจ้า ไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่ดี พวกเขาจึงไม่กลัวอะไรเลย ผลก็คือ หลังจากทำงานในท้องถิ่นมาระยะหนึ่ง พวกเขาอาจกลายเป็นที่รู้จักและตกอยู่ภายใต้การสอดส่องของรัฐบาล นั่นย่อมก่อให้เกิดอันตรายไม่ใช่หรือ? เมื่อพวกเขาถูกจับกุม หากพวกเขาไม่สามารถทนต่อการสอบสวนด้วยการทรมานได้ พวกเขาอาจกลายเป็นพวกยูดาส หักหลังพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตน นี่จะนำความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงมาสู่คริสตจักรและโยงใยไปถึงพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ทำให้พี่น้องชายหญิงตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกจับกุมและจำคุก อันจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่องานต่างๆ ของคริสตจักร ด้วยเหตุนี้ คริสตจักรจึงควรให้ความสำคัญกับการปกป้องบุคคลเหล่านี้เป็นอันดับแรกด้วย หากไม่สามารถหาสถานที่ปลอดภัยในท้องถิ่นเพื่อซ่อนตัวพวกเขาได้ ก็ควรโยกย้ายพวกเขาไปยังสถานที่อื่นที่ค่อนข้างปลอดภัยเพื่อทำหน้าที่ของพวกเขา นี่เป็นคนอีกประเภทหนึ่ง เนื่องจากสถานการณ์พิเศษของพวกเขา ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องจัดวางตำแหน่งให้กับพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงรวมอยู่ในกลุ่มบุคลากรสำคัญของงานทุกประเภทด้วยเช่นกัน ผู้คนทั้งหมดมีกี่ประเภท? (หกประเภท ประเภทแรกคือผู้นำและคนทำงาน ประเภทที่สองประกอบด้วยบุคลากรที่ขาดไม่ได้ซึ่งจัดการงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า ได้แก่ ผู้กำกับดูแล หัวหน้าฝ่าย และผู้อำนวยการข่าวประเสริฐ รวมถึงผู้ที่สามารถแบกรับงานได้ ประเภทที่สามคือบุคลากรที่ทำงานคริสตจักรที่เป็นอันตราย ประเภทที่สี่คือผู้ที่มีทักษะและพรสวรรค์พิเศษ ประเภทที่ห้าประกอบด้วยผู้ที่มีประวัติคดีความกับตำรวจ ผู้ที่ถูกตามล่า และผู้ที่ถูกประกาศจับ และประเภทที่หกคือผู้รู้ข้อมูลวงใน) โดยพื้นฐานแล้ว พวกเราได้กล่าวครอบคลุมบุคลากรสำคัญทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับงานต่างๆ แล้ว แต่มีอีกประเภทหนึ่งที่ต้องเพิ่มเติมคือ หากพี่น้องชายหญิงคนใดในคริสตจักรถูกจับกุมเนื่องจากออกไปทำหน้าที่ของตน หรือเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดอื่นใด จนไม่สามารถดูแลบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของตนได้ เมื่อนั้นผู้นำและคนทำงานก็ควรจัดการเตรียมการให้เด็กเหล่านี้อยู่ในครอบครัวที่เหมาะสมเพื่อให้พวกเขามีวิถีทางในการดำรงชีวิต นี่เป็นงานพิเศษงานหนึ่งเช่นกัน แม้ว่างานงานนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักร และเกิดขึ้นจากสภาวการณ์พิเศษเท่านั้น ผู้นำและคนทำงานก็ต้องรับผิดชอบในการจัดการเตรียมที่ทางที่เหมาะสมสำหรับบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเหล่านี้ หากพวกเขาไม่มีญาติที่เหมาะสม หรือหากญาติของพวกเขาเป็นผู้ไม่มีความเชื่อและไม่เต็มใจรับพวกเขาไปดูแล คริสตจักรก็ควรรับพวกเขาไว้ คริสตจักรไม่เพียงแต่ควรจัดหาครอบครัวเจ้าภาพที่เหมาะสมให้พวกเขาเท่านั้น แต่ยังควรมอบหมายให้พี่น้องชายหญิงรับผิดชอบดูแลพวกเขาด้วย เมื่อได้จัดการเตรียมที่ทางที่เหมาะสมให้กับพวกเขาแล้ว หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมอย่างแน่นอน และเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาก็สามารถทำหน้าที่ของตนในคริสตจักรได้ หากพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเข้าสู่สังคมแล้ว พวกเขาก็จะไม่เกี่ยวข้องกับคริสตจักรอีกต่อไป และหน้าที่รับผิดชอบของพวกเราก็จะถือว่าลุล่วงแล้ว พวกเราไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาอีกต่อไป แบบนี้เหมาะสมหรือไม่? (เหมาะสม) แม้ว่างานนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับงานต่างๆ ของคริสตจักร แต่ก็ยังควรรวมอยู่ในขอบข่ายหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน หากมีบุตรของผู้ที่ทำหน้าที่ของตนในคริสตจักรที่ต้องการการจัดวางตำแหน่งงาน เว้นแต่ผู้นำและคนทำงานจะไม่ทราบถึงสถานการณ์นั้น พวกเขาย่อมไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ หากพวกเขาทราบเรื่องแล้ว ก็ควรสอบถาม จัดการ และรับผิดชอบในการจัดวางตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับพวกเขา ผู้นำและคนทำงานควรทำให้มั่นใจว่าพี่น้องชายหญิงที่ทำหน้าที่ของตน—โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานสำคัญ—จะปราศจากความกังวลในเรื่องนี้ การดำเนินงานนี้ให้ดีก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่หรือไม่? (ไม่ยาก) มีบุคลากรสำคัญของงานอย่างน้อยหกประเภท ประเภทที่เจ็ดนั้นเป็นประเภทพิเศษ ซึ่งแสดงถึงสภาวการณ์ที่พิเศษมาก บุคลากรต่างๆ ที่กล่าวไว้ในหกประเภทแรกนั้นอาจไม่ได้มีอยู่ทั้งหมดในทุกพื้นที่อภิบาลหรือทุกประเทศ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด การปกป้องผู้นำและคนทำงานและผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญก็เป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่งงานหนึ่ง นี่เป็นงานที่ผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรทุกคนต้องให้ความใส่ใจ และเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเขาต้องลุล่วงให้ดี
การปกป้องบุคลากรสำคัญของงานจากการแทรกแซงของโลกภายนอก
I. ข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสำหรับครอบครัวเจ้าภาพ
เมื่อพวกเราได้ทำความเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าใครคือบุคลากรสำคัญของงาน คราวนี้พวกเรามาพิจารณางานเฉพาะที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำกันเถิด—นั่นคือ การปกป้องบุคลากรสำคัญของงานทุกประเภทโดยป้องกันพวกเขาจากการแทรกแซงของโลกภายนอก และคุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องดำเนินงานที่เฉพาะเจาะจงใดบ้างเพื่อป้องกันพวกเขาจากการแทรกแซงของโลกภายนอกอย่างมีประสิทธิผล จึงจะถือว่าผู้นำและคนทำงานได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้ว? เมื่อต้องดำเนินงานเฉพาะ ผู้นำและคนทำงานบางคนรู้สึกอับจนหนทาง เกาศีรษะและกระวนกระวายใจ ไม่แน่ใจว่าจะกระทำการอย่างไร มีหลักธรรมสำคัญประการหนึ่งในการจัดวางบุคลากรสำคัญของงานเหล่านี้คือ พวกเขาต้องได้รับการป้องกันจากการแทรกแซงของโลกภายนอกเพื่อรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา ไม่ว่าบุคลากรสำคัญของงานจะถูกจัดวางให้อยู่ในบ้านของพี่น้องชายหญิงหรือในบ้านเช่าก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา การรับประกันความปลอดภัยของพวกเขานั้นหมายถึงการป้องกันพวกเขาจากการแทรกแซงของโลกภายนอก ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานต้องทำสิ่งใดบ้างเพื่อป้องกันพวกเขาจากการแทรกแซงของโลกภายนอก? การนี้จำเป็นต้องจัดวางผู้ที่กำลังทำหน้าที่สำคัญเหล่านั้นในสถานที่ที่เหมาะสม ขอให้พวกเรามาพิจารณาเรื่องนี้จากสองแง่มุม แง่มุมหนึ่งคือสภาพแวดล้อมภายในของครอบครัวเจ้าภาพ และอีกแง่มุมหนึ่งคือสภาพแวดล้อมภายนอก ในแง่ของสภาพแวดล้อมภายในนั้น ประการแรก เจ้าภาพต้องเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง เต็มใจที่จะให้การรับรอง สามารถรักษาสิ่งที่เป็นความลับได้ ปฏิบัติตนด้วยความรอบคอบ และจัดการกับโลกภายนอกอย่างชาญฉลาด หากมีสถานการณ์พิเศษใดๆ เกิดขึ้น พวกเขาควรรู้จักวิธีรับมือ สามารถจัดการและแก้ไขปัญหาในเชิงรุกได้ ไม่ใช่ตั้งรับเฉยๆ นอกจากนี้ พวกเขาควรมีชื่อเสียงที่ดีในท้องถิ่น หรืออาจจะมีหน้ามีตาและมีความสัมพันธ์อันดีในท้องถิ่นอยู่บ้าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอิทธิพล อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ควรเป็นคนที่รู้จักวางตัวอย่างถูกควรและดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม ไม่เคยสร้างปัญหาหรือชักนำบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจเข้ามาในบ้านของตน พวกเขาไม่ควรมีเพื่อนที่รวมกลุ่มกันเล่นไพ่นกกระจอกหรือดื่มสุรา นอกจากนี้ สัมพันธภาพของพวกเขากับโลกภายนอกและกับเพื่อนบ้านก็ควรจะเป็นปกติพอสมควร พวกเขาไม่ควรเข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทใดๆ ในเรื่องหนี้สิน และไม่ควรมีความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สภาพแวดล้อมในบ้านของพวกเขาควรจะค่อนข้างเงียบสงบ เจ้าภาพควรมีสัมพันธภาพที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และไม่ควรมีคนนอกแวะเวียนมาที่บ้านของตนเพื่อก่อกวนบ่อยนัก และอื่นๆ—ทุกแง่มุมควรมีความเหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น บุตรหลานหรือญาติของเจ้าภาพควรสนับสนุนการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต่อต้านการเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงของพวกเขา และแน่นอนว่าไม่ควรนำเรื่องเหล่านี้ไปพูดต่ออย่างขาดความยั้งคิด บางคนอาจกล่าวว่า “การหาครอบครัวเจ้าภาพที่ตรงตามเกณฑ์ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!” ความหมายในที่นี้คือการหาสถานที่ที่ค่อนข้างเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุด สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตก็ควรจะเหมาะสม—คือเงียบสงบและปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก—ซึ่งถือว่าลุล่วงข้อกำหนดเรื่องการป้องกันบุคลากรสำคัญของงานจากการแทรกแซงของโลกภายนอกแล้ว ในครอบครัวเจ้าภาพบางครอบครัว แม้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะไม่ได้เป็นผู้เชื่อกันทุกคน แต่คนที่เป็นเจ้าภาพก็เป็นที่นับหน้าถือตาภายในครัวและเป็นผู้ตัดสินใจ บุตรหลานหรือญาติที่ไม่เชื่อของพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะแทรกแซงการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาหรือการเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิง แม้ว่าภายในใจจะไม่เห็นด้วย พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะนำข้อมูลนี้ไปบอกเล่าแก่คนนอกครอบครัว หากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นจริงๆ พวกเขาก็ยังสามารถช่วยให้การปกป้องได้ ด้วยวิธีนี้ พี่น้องชายหญิงที่พักอาศัยอยู่ในบ้านเจ้าภาพแห่งนี้จึงสามารถปลอดภัยจากการแทรกแซงของโลกภายนอกด้วยเช่นกัน ในบางกรณี เจ้าภาพเป็นคนขี้ขลาด กลัวว่าบุตรหลานของตนอาจจะเปิดโปงการเชื่อในพระเจ้าของตน กลัวว่าเพื่อนบ้านอาจจะล่วงรู้เรื่องการเชื่อของตนและไปรายงานทางการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกรงว่าสถานการณ์อาจจะบานปลายจนพวกเขาถูกจับกุม เมื่อพวกเขาเริ่มให้การรับรองพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็จะร้อนใจอยู่ไม่สุขทุกวัน กลางวันก็กินไม่ได้ กลางคืนก็นอนไม่หลับ ต้องใช้ชีวิตทั้งวันด้วยความวิตกกังวลและหวาดผวาประหนึ่งเป็นขโมย เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้ยินข่าวคราวใดๆ เช่น ทางการวางแผนที่จะตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ หรือเจ้าหน้าที่รัฐจะมาที่บ้านของพวกเขาเพื่อดำเนินการบางอย่างภายใต้ข้ออ้างต่างๆ นานา พวกเขาก็จะหวาดกลัวอย่างสุดขีดและต้องการให้พี่น้องชายหญิงรีบจากไปในทันทีอยู่เสมอ เพื่อที่พวกเขาเองจะได้ไม่เดือดร้อนไปด้วย เมื่อพี่น้องชายหญิงเห็นเช่นนี้ ก็ควรรีบย้ายที่อยู่ทันที เนื่องจากสถานที่เช่นนั้นไม่เหมาะสมสำหรับการรับรอง ที่นั่นอาจใช้เป็นที่พักชั่วคราวได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น หากบุตรหลาน ญาติ หรือเพื่อนของครอบครัวเจ้าภาพเป็นคนชั่ว ซึ่งเมื่อทราบว่าเจ้าภาพคนนี้กำลังต้อนรับผู้เชื่อ ก็อาจจะเข้ามาก่อกวนหรือถึงขั้นนำพี่น้องชายหญิงไปมอบให้กับตำรวจ เช่นนี้ย่อมนับว่าอันตรายเกินไป ครอบครัวเจ้าภาพดังกล่าวจึงไม่เหมาะสมที่จะเข้าพักอาศัย บิดามารดาบางคนปฏิบัติตนต่อหน้าบุตรหลานประหนึ่งทาส พวกเขาอาจกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก ลูกๆ ของฉันเชื่อฟังฉัน” แต่ตามความเป็นจริงแล้ว การเชื่อฟังของบุตรหลานนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เมื่อใดที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตนเอง บุตรหลานก็จะไม่เชื่อฟังพวกเขา คนเช่นนี้ย่อมไม่กล้าให้บุตรหลานของตนล่วงรู้ว่าพวกเขากำลังเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิง หากบุตรหลานหรือญาติของพวกเขาทราบเรื่องเข้า ก็ย่อมจะขับไล่พี่น้องชายหญิงออกไปอย่างแน่นอน และเจ้าภาพก็จะไม่สามารถขัดขวางได้—เพราะพวกเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในบ้านของตนเอง คนเช่นนี้จึงไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้าภาพ พวกเขาอาจมีความปรารถนาแต่ขาดความกล้าที่จะเป็นเจ้าภาพ คนขี้ขลาดจะกล้าเป็นเจ้าภาพได้จริงหรือ? หากเจ้าไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงได้ เจ้าก็ไม่เหมาะสำหรับหน้าที่นี้—เจ้าไม่ควรอาสาและไม่ควรให้คำสัญญาที่เลื่อนลอยแก่ผู้นำและคนทำงาน ทั้งไม่ควรรับหน้าที่นี้ด้วย หากผู้นำและคนทำงานจัดวางพี่น้องชายหญิงให้ครอบครัวเช่นนั้นเป็นเจ้าภาพรับรอง พวกเจ้าคิดว่าเหมาะสมหรือไม่? (ไม่เหมาะสม) นั่นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง อย่าส่งพี่น้องชายหญิงไปเผชิญอันตราย พี่น้องชายหญิงอาจเคยใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นอย่างค่อนข้างปลอดภัยมาก่อน หากเจ้าจัดวางพวกเขาในบ้านของบุคคลผู้นี้ ซึ่งบุตรหลานหรือญาติเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ และคนเหล่านั้นอาจจะไปรายงานและนำพี่น้องชายหญิงไปมอบให้กับตำรวจทันทีที่ทราบว่ามีผู้เชื่อพักอาศัยอยู่ที่นั่น อันเป็นการนำภัยมาสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง แล้วเจ้าภาพผู้นั้นจะไม่เดือดร้อนหรือ? หากเจ้าภาพเต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อปกป้องพี่น้องชายหญิงในสถานการณ์เช่นนั้น และสามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิผล ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงปัญญาอันเฉียบแหลมอยู่เป็นนิจ ครอบครัวเจ้าภาพเช่นนี้ก็อาจยังเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมได้ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่สามารถเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อปกป้องพี่น้องชายหญิงได้ และเมื่อผู้ไม่มีความเชื่อในครอบครัวของตนขู่ว่าจะไปรายงานและนำพี่น้องชายหญิงไปมอบให้กับตำรวจ พวกเขากลับไม่มีทางออก ทำได้เพียงแต่หดหัวประหนึ่งเต่าที่ซุกหัวอยู่ในกระดอง ไม่ปกป้องพี่น้องชายหญิงและปล่อยให้ผู้ไม่มีความเชื่อนำพวกเขาไปมอบตัว เช่นนั้นแล้วครอบครัวนี้ก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าภาพ หากพี่น้องชายหญิงพักอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นการชั่วคราวเพียงไม่กี่วัน แล้วรีบย้ายไปยังสถานที่ที่เหมาะสมทันทีที่หาได้ เช่นนั้นก็ยังพอจะอนุโลมได้บ้าง การพักอาศัยในบ้านดังกล่าวในระยะยาวเพื่อทำหน้าที่ของพวกเขานั้นย่อมไม่เหมาะสม อย่างน้อยที่สุด ครอบครัวเจ้าภาพต้องสามารถปกป้องความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงได้—นี่คือข้อกำหนดประการหนึ่งสำหรับครอบครัวเจ้าภาพ สำหรับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซงจากโลกภายนอกนั้น ประการแรกคือ สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเขาต้องเหมาะสม นอกจากนี้ คุณสมบัติต่างๆ ของเจ้าภาพเองก็ต้องเหมาะสมในทุกด้านด้วย—กล่าวคือ พวกเขาต้องสามารถป้องกันบุคลากรสำคัญของงานจากการแทรกแซงของโลกภายนอกได้ ผู้นำและคนทำงานจะสามารถจัดให้บุคลากรสำคัญของงานพักอาศัยในบ้านของพวกเขาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถทำได้เช่นนี้เท่านั้น หากเจ้าภาพมีความเชื่อน้อย ทั้งยังไร้ความสามารถและขลาดเขลา ไม่สามารถตัดสินใจชี้ขาดในบ้านของตนเองได้ และบุตรหลานหรือญาติที่ไม่มีความเชื่อคนใดของพวกเขาก็สามารถเข้ามาและมีอำนาจเหนือพวกเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็นับว่าเป็นปัญหาทีเดียว สถานที่เช่นนั้นย่อมไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการรับรอง แม้ว่าบ้านจะหลังใหญ่ มีห้องหลายห้อง สภาพแวดล้อมสะดวกสบาย และภาวะอื่นๆ ที่ดีพร้อม ก็ยังคงไม่เหมาะสมสำหรับการรับรอง สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่เหมาะสมเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ เจ้าภาพก็ต้องเหมาะสมด้วย ประเด็นสำคัญในที่นี้คือ เจ้าภาพต้องสามารถรับประกันได้เป็นอันดับแรกว่าบุคลากรที่ทำหน้าที่ของตนซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าภาพรับรองนั้นจะได้รับการป้องกันจากการแทรกแซงของโลกภายนอก หลังจากนั้นจึงค่อยพิจารณาสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต สภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบน้อยกว่าเล็กน้อยก็ยังพอยอมรับได้—ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่คับแคบกว่า สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่จำกัด อาหารการกินที่เรียบง่ายกว่า หรือการใช้น้ำที่ไม่สะดวกนักก็ตาม ตราบใดที่เจ้าภาพมีความเหมาะสม สามารถรับมือกับอันตรายเมื่อเกิดขึ้นได้ จัดการกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนต่างๆ ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถจัดการกับสภาวการณ์พิเศษใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องเพื่อปกป้องความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงแล้ว พวกเขาก็ถือว่าได้มาตรฐานในฐานะเจ้าภาพ ข้อกำหนดของพวกเราสำหรับสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของครอบครัวเจ้าภาพนั้นไม่สูงนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสภาพแวดล้อมนั้นสามารถรับประกันความปลอดภัยได้ ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดในประเด็นนี้
II. ข้อกำหนดสำหรับสภาพแวดล้อม ณ สถานที่พักอาศัย
สำหรับสภาพแวดล้อมภายนอกที่อยู่รอบที่พักของครอบครัวเจ้าภาพนั้น ความปลอดภัยเป็นสิ่งแรกที่ผู้นำและคนทำงานต้องคำนึงถึง ไม่ว่าภาวะของครอบครัวเจ้าภาพจะเป็นเช่นไร หรือไม่ว่าที่พักอาศัยนั้นจะเป็นบ้านของพี่น้องชายหญิงหรือเป็นบ้านเช่าก็ตาม การพิจารณาว่าสภาพแวดล้อมภายนอกของที่พักอาศัยนั้นปลอดภัยหรือไม่ ถือเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด ประการแรก จะเหมาะสมก็ต่อเมื่อการเชื่อในพระเจ้าของครอบครัวเจ้าภาพนี้ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และไม่มีบันทึกเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเขาที่สำนักงานความมั่นคงสาธารณะ หากในอดีต เมื่อพี่น้องชายหญิงมารวมกลุ่มกันที่นั่น เพื่อนบ้านก็จะรายงานเรื่องนี้ต่อทางการ และทางการก็ทราบอยู่แล้วว่าครอบครัวนี้มักจะมีคนแปลกหน้ามารวมกลุ่มกันบ่อยครั้ง เช่นนั้นแล้วสถานที่นี้ก็ไม่เหมาะสมสำหรับการเป็นเจ้าภาพรับรอง หากเป็นการเช่า ก็ไม่เหมาะสมที่จะเช่าบ้านของครอบครัวเช่นนั้นเช่นกัน นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง นอกจากนี้ ในบางสถานที่ การรักษาความปลอดภัยสาธารณะก็ย่ำแย่ มีเหตุการณ์ปล้น ฆาตกรรม และคดีอื่นๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผู้อยู่อาศัยก็เป็นบุคคลที่ค่อนข้างซับซ้อน และตำรวจก็มักจะไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชน รวมถึงสืบสวนผู้ต้องสงสัยในคดีอาญา และอื่นๆ จงบอกเราทีว่า หากเจ้าพักอยู่ในสถานที่เช่นนั้น เจ้าจะไม่ถูกก่อกวนอยู่บ่อยครั้งหรอกหรือ? (ใช่) สถานที่เช่นนั้นก็ไม่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยเช่นกัน ตำรวจแวะเวียนมาเคาะประตูอยู่บ่อยครั้ง โดยอ้างว่ามีการลักขโมยหรือฆาตกรรมเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงและขอความร่วมมือในการสืบสวน พร้อมบอกให้รีบรายงานทันทีหากเห็นผู้กระทำความผิด ตำรวจมักจะใช้ข้ออ้างต่างๆ นานามาเคาะประตู โดยอ้างว่ากำลังสืบสวนคดี แต่ตามความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังตรวจสอบคนนอกและคนแปลกหน้า—กล่าวให้แม่นยำยิ่งขึ้นคือ พวกเขากำลังตามหาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เจ้าจะรู้สึกปลอดภัยบ้างหรือไม่เมื่อพักอาศัยอยู่ในบ้านเจ้าภาพเช่นนั้น? (ไม่) แน่นอนว่าเจ้าจะร้อนใจอยู่ไม่สุขตลอดทั้งวัน แม้ว่าเหตุการณ์อาชญากรรมภายนอกเหล่านี้จะไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวเจ้าภาพ แต่เจ้าก็ยังคงไม่รู้สึกสบายใจอยู่ดี การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นมักจะทำให้เจ้ารู้สึกว่าความปลอดภัยส่วนบุคคลของเจ้ากำลังถูกคุกคาม ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งตำรวจอาจจะเริ่มสอบถามคนแปลกหน้าเหล่านี้เมื่อเห็นพวกเขา และลงเอยด้วยการจับกุมพวกเขา เจ้าจะไม่กล่าวหรือว่านี่เป็นสถานการณ์ที่น่าหวาดหวั่น? (ใช่) ยิ่งไปกว่านั้น คนจีนส่วนใหญ่ขาดความตระหนักรู้ในเรื่องความปลอดภัย ทันทีที่ได้ยินเสียงคนเคาะประตูก็จะเปิดรับ ทั้งยังไม่ล็อกประตูเป็นปกติ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ต่างๆ ได้โดยง่าย ในประเทศตะวันตกที่มีเสรีภาพและประชาธิปไตยนั้นถือว่าที่พักอาศัยส่วนตัวเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล หากคนนอกเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ถือว่าผิดกฎหมาย และผู้อยู่อาศัยจะโทรแจ้งตำรวจ ผู้บุกรุกก็จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ดังนั้น หากมีคนแปลกหน้ามาเคาะประตู เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเปิดประตู—เจ้าสามารถปฏิเสธได้ แม้ว่าใครบางคนจะนัดหมายเพื่อมาพบเจ้าไว้แล้ว หากเจ้ายังไม่พร้อมหรือเปลี่ยนใจ เจ้าก็ยังไม่จำเป็นต้องเปิดประตู และสามารถนัดหมายเวลากับพวกเขาใหม่ได้ ผู้คนในประเทศตะวันตกมีสิทธินี้ พวกเขามีความตระหนักรู้ทางกฎหมายนี้ อย่างไรก็ตาม คนจีนขาดความตระหนักรู้ทางกฎหมายดังกล่าว เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินเสียงเคาะประตู พวกเขาก็รีบไปเปิด นี่แสดงให้เห็นถึงการขาดความระมัดระวัง ขาดความตระหนักรู้ในการป้องกันตนเอง และไม่คุ้นเคยกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นเพราะประเทศจีนเป็นระบอบเผด็จการ มีการปกครองแบบพรรคเดียวที่อยู่เหนือกฎหมาย ระบบกฎหมายของประเทศจึงเป็นเพียงฉากหน้า พญานาคใหญ่สีแดงกระทำการในประเทศจีนโดยไม่คำนึงถึงกฎหมายและระเบียบใดๆ ทั้งสิ้น กระทำความผิดอย่างบุ่มบ่าม และผู้คนก็ไม่มีสิทธิมนุษยชนใดๆ เลย คนจีนไม่ใส่ใจสิทธิมนุษยชน ทั้งยังไม่ได้พัฒนาสำนึกในการปฏิบัติตามกฎระเบียบและกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาขาดความตระหนักรู้ในการป้องกันตนเอง และคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักใช้กฎหมายเพื่อปกป้องตนเอง ผลก็คือ ไม่มีหลักประกันความปลอดภัย โดยสรุป ในสถานที่ใดก็ตามที่มีการรักษาความปลอดภัยสาธารณะไม่ดี มีผู้อยู่อาศัยที่มีภูมิหลังและอัตลักษณ์ที่ซับซ้อน ถูกตรวจสอบบ่อยครั้ง หรือเกิดคดีอาชญากรรมต่างๆ ขึ้นเป็นประจำ ย่อมง่ายที่จะได้รับผลกระทบจากการก่อกวนของโลกภายนอก สถานที่เช่นนั้นไม่เหมาะสมที่จะเข้าพักอาศัย นี่คือปัจจัยด้านความปลอดภัยสาธารณะที่ต้องคำนึงถึงเมื่อจัดหาที่พักให้กับบุคลากรสำคัญของงาน
สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตสำหรับผู้ที่กำลังทำหน้าที่ของตนนั้นต้องได้รับการคัดเลือกอย่างรอบคอบ ทางที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงย่านชุมชนเมืองที่พลุกพล่านและสถานที่ที่เป็นอันตราย ย่านชุมชนเมืองที่พลุกพล่านที่เรากล่าวถึงนั้นหมายถึงที่ใดบ้าง? ได้แก่ สถานที่ต่างๆ เช่น บริเวณใกล้ทางรถไฟ ทางหลวง สี่แยก และตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวทางรถไฟสายหลัก ซึ่งมีรถไฟผ่านนับไม่ถ้วนในแต่ละวัน และพื้นของบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็สั่นสะเทือนไปพร้อมกับรถไฟแต่ละขบวนที่วิ่งผ่านไป ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ได้อย่างปกติสุขในขณะที่ทำหน้าที่ของตน นอกจากนี้ บางคนที่ใช้เวลาหลายปีในการทำหน้าที่ห่างจากบ้านก็ใช้ชีวิตอยู่กับความวิตกกังวลอย่างต่อเนื่อง และสภาพหัวใจของพวกเขาก็ไม่สู้ดีนัก ทำให้ยิ่งไม่เหมาะสมสำหรับพวกเขาที่จะอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนั้น หากงานบางอย่างต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เช่น งานบันทึกเสียงหรืองานข้อเขียน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องไม่มีเสียงรบกวน และต้องรับประกันความปลอดภัยด้วย—นี่คือภาวะที่เหมาะที่สุด หากไม่มีสถานที่ที่ปลอดภัยอย่างสิ้นเชิง ก็ต้องหาสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัย ในกรณีนี้ เสียงรบกวนเล็กน้อยก็เป็นที่ยอมรับได้ และพวกเราไม่ควรตั้งข้อกำหนดไว้สูงเกินไป ตราบใดที่สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตปลอดภัย ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว นอกจากนี้ หากบ้านตั้งอยู่ในย่านที่มีการจราจรคับคั่ง เช่น ใกล้สัญญาณไฟจราจรหรือสี่แยก ก็จะมีคนเดินเท้าและยานพาหนะผ่านไปมานับไม่ถ้วนในแต่ละวัน บ้านเช่นนั้นย่อมตกเป็นเป้าสายตาของผู้สัญจรไปมาจำนวนมาก และเพียงแค่เหลือบมองผ่านๆ ผู้คนที่ผ่านไปมาก็สามารถเห็นผู้ที่อยู่ข้างในได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปิดไฟในเวลากลางคืน ก็จะสามารถมองเห็นสภาพภายในบ้านอย่างชัดเจน เจ้าจะกล่าวหรือว่าบ้านเช่นนั้นยังคงยอมรับได้สำหรับการเข้าพักอาศัย? สภาพแวดล้อมนี้เหมาะสมหรือไม่? (ไม่ ไม่เหมาะสม) ไม่เหมาะสมอย่างแท้จริง ผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนั้นมักจะถูกก่อกวนอยู่บ่อยครั้ง และมักจะเห็นคนแปลกหน้าคอยสังเกตการณ์พวกเขาอยู่เสมอ เมื่อสายตาของพวกเขาประสานกับสายตาของคนแปลกหน้า พวกเขาก็จะสะดุ้งตกใจ รู้สึกไม่สบายใจทุกวัน และรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังถูกจับตามอง—ใครจะรู้ว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง คอยชี้นำและบงการอยู่หรือไม่ เจ้าคิดว่าคนเราจะรู้สึกสบายใจได้หรือไม่เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น? อีกทั้งบ้านบางหลังก็มีคุณภาพต่ำและเก็บเสียงได้ไม่ดี ดังนั้นเมื่อพูดเสียงดังหรือเปิดเพลงนมัสการข้างใน คนข้างนอกก็ได้ยินทุกอย่าง นอกจากนี้ บ้านบางหลังยังตั้งอยู่ที่จุดสูงสุดของชุมชน ซึ่งในกรณีเช่นนั้นไม่เพียงแค่ง่ายที่จะถูกฟ้าผ่า แต่ยังทำให้เพื่อนบ้านโดยรอบสามารถเห็นพี่น้องชายหญิงได้ทุกครั้งที่พวกเขาก้าวออกมาข้างนอก เป็นเรื่องไม่สะดวกสำหรับพวกเขาแม้แต่จะเปิดหน้าต่างเป็นครั้งคราวเพื่อระบายอากาศหรือเพื่อคลายร้อน หน้าต่างต้องปิดสนิทและปิดม่านไว้ตลอด ดังนั้นจึงไม่มีแสงสว่างส่องเข้ามาเลย และการออกไปข้างนอกเพื่อยืดเส้นยืดสายก็ยิ่งไม่สะดวกมากขึ้นไปอีก มีความกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าจะถูกผู้คนภายนอกเฝ้ามองและสังเกตเห็น แม้ว่าพี่น้องชายหญิงจะไม่ได้เข้าออกพร้อมกันทั้งหมด แต่ทุกครั้งที่มีคนเข้าหรือออก คนข้างนอกก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ในท้ายที่สุด พวกเขาก็จะพอทราบได้ว่ามีคนแปลกหน้ากี่คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ พวกเจ้าจะกล่าวหรือว่ารับประกันได้ว่าผู้คนที่พักอยู่ที่นี่จะยังคงปลอดภัย? (ไม่ ไม่สามารถรับประกันได้) บางคนคิดว่า “ส่วนใหญ่แล้วพวกเราทำหน้าที่ของพวกเราในร่ม และแม้ว่าพวกเราจะออกไปข้างนอก พวกเราก็ผลัดกันออกไปและไม่ได้ออกไปพร้อมกันทั้งหมด โดยการปฏิบัติเช่นนี้ เพื่อนบ้านโดยรอบก็จะไม่ล่วงรู้สิ่งใด” แต่แม้ว่าเจ้าจะผลัดกันออกไป ก็ยังคงจะก่อให้เกิดปัญหาได้หากมีใครบางคนสังเกตเห็นว่าเจ้าเป็นคนแปลกหน้า ผู้ไม่มีความเชื่อจำนวนมากไม่ได้ดำเนินชีวิตที่ดีนัก แต่กลับมีความสุขเป็นพิเศษในการสังเกตและสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น บางคนอาจถึงกับใช้กล้องส่องทางไกลเพื่อสอดแนมเจ้า คอยดูว่าเจ้าทำอะไรอยู่ข้างใน หากพวกเขาค้นพบว่าผู้เชื่อกำลังรวมกลุ่มกัน พวกเขาก็จะรีบไปรายงานต่อทางการเพื่อรับรางวัล เมื่อคนเช่นนั้นจับตาดูเจ้าแล้ว นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เป็นอันตรายหรอกหรือ? (ใช่) เมื่อพวกเขาจับตาดูเจ้าแล้ว จะหวังอะไรดีๆ ได้อีกหรือ? เจ้าจะลงเอยด้วยการถูกจับกุมอย่างแน่นอน! ไม่ว่าจะเป็นประเทศหรือภูมิภาคใด ก็มีคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่ไม่ขาด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับเงินแม้แต่สตางค์เดียวจากการสอดส่องเจ้า พวกเขาก็เต็มใจที่จะทำอย่างยิ่ง—พวกเขาถึงกับยอมจ่ายเงินเองและทิ้งงานของตนเพื่อใช้เวลาในการเฝ้าดู และหากมีการให้รางวัลสำหรับการรายงานเจ้า พวกเขาก็จะยิ่งกระตือรือร้นที่จะทำเช่นนั้นมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบอบเผด็จการเช่นประเทศจีน มีผู้คนมากมายเกินไปที่คอยสอดส่องผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เพราะพวกเขารังเกียจความจริงและรู้สึกรังเกียจต่อผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ทันทีที่พวกเขาค้นพบว่าผู้เชื่อมีปฏิสัมพันธ์กันหรือรวมกลุ่มกัน พวกเขาก็จะรายงานเรื่องนี้ หากมีการให้รางวัลสำหรับการรายงาน พวกเขาก็จะพบความพึงพอใจอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการทำเช่นนั้น นี่ไม่นำปัญหามาสู่คริสตจักรโดยง่ายดายหรอกหรือ? (ใช่) หากเจ้าถูกก่อกวนด้วยวิธีนี้ นั่นไม่ใช่เป็นเพราะผู้นำและคนทำงานไม่ได้จัดหาที่พักให้ดีหรอกหรือ? หากสถานที่และสภาพแวดล้อมสำหรับการจัดวางบุคลากรสำคัญของงานไม่เหมาะสมเพราะผู้นำและคนทำงานไม่ได้พิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างถี่ถ้วน นี่คือผลที่ตามมาที่เกิดขึ้น หากสถานที่ที่คนเราอาศัยอยู่ดึงดูดความสนใจมากเกินไป ก็อาจนำไปสู่การเกิดเรื่องผิดปกติได้โดยง่าย เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นและเมื่อนั้นเจ้าจึงตระหนักว่าสถานที่นี้ไม่เหมาะสมสำหรับการเข้าพักอาศัย ก็สายไปเสียแล้ว ดังนั้น การเลือกสถานที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ทำหน้าที่ของตนจึงเป็นงานสำคัญอย่างหนึ่งเช่นกัน และการเลือกที่ไม่ดีก็อาจนำไปสู่อันตรายได้โดยง่าย
III. ผู้นำและคนทำงานควรดำเนินงานจัดหาที่พักให้กับบุคลากรอย่างไร
สำหรับสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของบุคลากรสำคัญของงาน ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมภายในหรือภายนอกก็ตาม ผู้นำและคนทำงานควรพิจารณาทุกแง่มุมอย่างถี่ถ้วน พวกเขาไม่ควรคิดอะไรตื้นๆ โดยสันนิษฐานอยู่เสมอว่าหากพวกเราไม่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น สังคมในปัจจุบันมีความซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ เต็มไปด้วยมารทุกชนิด และไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด ก็มักจะมีคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านคอยสอดส่องเจ้าอยู่เสมอ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงการพินิจพิเคราะห์ของพวกเขา เจ้าอาจคิดว่า “ฉันไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ หรือทำสิ่งใดผิดโดยการเชื่อในพระเจ้า ฉันเพียงแค่ทำหน้าที่ของฉัน ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับฉันใช่ไหม?” แต่ข้อเท็จจริงนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าจินตนาการ เหตุใดพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงทุ่มเทกำลังคนและทรัพยากรมากมายเพื่อต่อต้านพระเจ้าและปราบปรามคริสตจักรของพระเจ้า? เจ้าพอจะเข้าใจเรื่องนี้ได้บ้างหรือไม่? เจ้าจะไม่มีวันเข้าใจได้เลย เจ้าสามารถมองทะลุธรรมชาติของมารและซาตานได้มากน้อยเพียงใด? เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับมารและซาตานน้อยเกินไปอย่างยิ่ง สังคมนี้มีความซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ และมารและซาตานก็คือพวกคนเลวทรามที่กระทำการชั่ว สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือการจับกุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและก่อกวนงานของคริสตจักร หากเจ้ามองซาตานเป็นเพียงคนธรรมดาอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ช่างโง่เขลาโดยแท้ แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังไม่ได้มองทะลุความชั่วร้ายของสังคมนี้ และแน่นอนว่าเจ้ายังไม่ได้มองทะลุความน่าชิงชังของมารและซาตาน ดังนั้น เพื่อให้ผู้นำและคนทำงานดำเนินงานของคริสตจักรได้ดี พวกเขาต้องรับประกันความปลอดภัยของผู้ที่ทำหน้าที่ของตน—นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ในประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ ซึ่งไม่มีเสรีภาพในการเชื่อ การรับประกันความปลอดภัยของผู้ที่ทำหน้าที่ของตนนั้นค่อนข้างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด ก็ต้องคัดเลือกสถานที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมอย่างรอบคอบ จะมีความหละหลวมในเรื่องนี้ไม่ได้เลย การจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าได้รวมเอาการสามัคคีธรรมในเรื่องเหล่านี้ไว้ด้วย ผู้นำและคนทำงานต้องทำให้มั่นใจว่าพี่น้องชายหญิงสามารถทำหน้าที่ของตนได้โดยปราศจากการรบกวนและปราศจากการก่อกวนของโลกภายนอก—ตราบใดที่พวกเขาใส่ใจกับเรื่องนี้ พวกเขาก็สามารถทำได้สำเร็จ สิ่งที่น่ากังวลเพียงอย่างเดียวคือเมื่อพวกเขากระทำการอย่างสุกเอาเผากินและขาดความรับผิดชอบ คอยดูแลแต่ความปลอดภัยของตนเองในขณะที่เพิกเฉยต่อความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง นี่ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินงานของคริสตจักรได้ดี หากเนื่องจากความหละหลวมของเจ้า การขาดความจริงจัง ความไม่รับผิดชอบ หรือความกลัวต่อสภาพแวดล้อมและปัญหา แล้วเจ้าล้มเหลวในการทำสิ่งเหล่านี้ ส่งผลให้บุคลากรที่ทำหน้าที่สำคัญถูกจับกุมและคุกคามชีวิตของพี่น้องชายหญิง—ซึ่งทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าและนำความเสียหายมาสู่พี่น้องชายหญิง—เช่นนั้นแล้ว ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าก็ควรแบกรับความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ โดยการเพียงแค่ใช้เงินชดเชยหรือโดยการสารภาพผ่านการอธิษฐาน มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แล้วธรรมชาติของเรื่องนี้คืออะไร? มันคือมลทินที่ลบไม่ออก เป็นการกระทำผิดที่คงอยู่ตลอดกาล—เจ้าถูกบันทึกความผิดไว้แล้ว “ความผิด” นี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงความผิดพลาดธรรมดา ในสายพระเนตรของพระเจ้า มันคือการกระทำผิด หากการกระทำผิดของเจ้ามีมากเกินไป—เคยกระทำผิดในอดีต ยังคงกระทำผิดในปัจจุบัน และแล้วก็กระทำผิดอีกในอนาคต—เมื่อการกระทำผิดที่สำคัญหลายอย่างรวมกัน เจ้าก็จะประสบความพินาศและการทำลายล้าง พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดอีกต่อไป และการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็จะสูญเปล่า ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่มีความหวังในความรอดเท่านั้น แต่เจ้ายังจะต้องเผชิญกับการลงโทษอีกด้วย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้นำและคนทำงานจะดำเนินงานของตนตามหลักธรรม! เจ้าจำสิ่งนี้ได้แล้วหรือยัง? (จำได้แล้ว) ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน และไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเลวร้ายหรืออันตรายเพียงใด พวกเขาก็ต้องทำทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ตามภาวะในท้องถิ่นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของบุคลากรสำคัญของงานและจัดหาที่พักให้กับพวกเขาอย่างเหมาะสม เป้าหมายคือเพื่อให้มั่นใจว่างานของคริสตจักรสามารถดำเนินไปได้อย่างปกติ
เพื่อให้ผู้นำและคนทำงานสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าสถานที่ที่จัดแจงไว้สำหรับบุคลากรสำคัญของงานนั้นปราศจากการก่อกวนจากโลกภายนอก นอกจากจะมีข้อกำหนดและหลักธรรมสำหรับที่พักอาศัยและสภาพแวดล้อมของที่พักอาศัยแล้ว ยังมีข้อกำหนดและหลักธรรมสำหรับแง่มุมต่างๆ ของสถานการณ์ของครอบครัวเจ้าภาพอีกด้วย เมื่อผู้นำและคนทำงานพบครอบครัวเจ้าภาพที่มีศักยภาพ พวกเขาควรสอบถามก่อนว่าสภาพแวดล้อมและภาวะของครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร สถานการณ์ของสมาชิกในครอบครัวเป็นอย่างไร พวกเขามีข้อพิพาทกับผู้อื่นหรือไม่ มีศัตรูหรือไม่ มีความพัวพันกับทางการหรือไม่ พวกเขามักจะเกี่ยวข้องกับคดีความหรือไม่ พวกเขามีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อนหรือไม่ และอื่นๆ สถานการณ์พื้นฐานทั้งหมดนี้ควรได้รับการสอบถามและเรียนรู้อย่างถี่ถ้วน หากเจ้าภาพหรือบุตรหลานและสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ ของพวกเขามีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อน และครอบครัวก็ไม่สงบสุขอยู่ตลอดเวลา—มีบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจมาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้งเพื่อมาหาเรื่องหรือมาทวงหนี้ หรือได้รับจดหมายข่มขู่จากโจรหรือผู้ร้าย ตลอดจนหมายเรียกจากทางการหรือศาล—สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก หากเจ้ากำลังรวมกลุ่มหรือทำหน้าที่ของเจ้าในครัวเรือนนี้ สิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นการก่อกวนหรอกหรือ? ดังนั้น เมื่อเจ้าพบบ้านเจ้าภาพนี้ เจ้าควรสอบถามและเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์พื้นฐานของพวกเขาก่อน จะดีที่สุดหากไม่มีปัญหาเหล่านี้ แต่หากมีและในปัจจุบันเจ้าไม่สามารถหาสถานที่ที่เหมาะควรไปกว่านี้ได้ ก็ให้พิจารณาว่าเจ้าภาพสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิผลหรือไม่ หากเจ้าภาพไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิผลและไม่สามารถกำจัดปัญหาที่วุ่นวายเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วครัวเรือนนี้ก็ไม่เหมาะสมสำหรับการรับรองพี่น้องชายหญิง เนื่องจากการอาศัยอยู่ที่นี่จะหมายความว่าพวกเขาสามารถทนทุกข์ได้ทุกเมื่อจากการก่อกวนของโลกภายนอกและผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งภายนอก สภาพแวดล้อมเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าโดยตรง อย่างไรก็ตาม ผู้เชื่อเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวเป็นพิเศษในประเทศที่มีการข่มเหงศาสนา และยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ทางการพยายามอย่างเต็มที่ในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ ล้างสมอง สร้างข่าวลือ และใส่ร้ายป้ายสี ผู้ไม่มีความเชื่อไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังถึงกับเชื่อวาทศิลป์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จนเกิดความเกลียดชังและความเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้เชื่อเป็นพิเศษอีกด้วย ดังนั้น หากพวกเขาพบว่าครัวเรือนใดครัวเรือนหนึ่งกำลังรับรองผู้เชื่อ ก็จะกลายเป็นอันตรายอย่างยิ่งทั้งสำหรับครอบครัวเจ้าภาพและสำหรับพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น เมื่อพี่น้องชายหญิงอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ไม่เพียงแต่พวกเขาจะถูกก่อกวนอยู่บ่อยครั้งเท่านั้น แต่ความปลอดภัยของพวกเขาก็ไม่สามารถรับประกันได้อีกด้วย แล้วเหตุใดจึงยังคงให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไป? มันเป็นสถานที่อันตรายอย่างชัดเจน ไม่เหมาะควรสำหรับการอยู่อาศัย—พวกเขาควรถูกย้ายที่อยู่โดยเร็ว ผู้นำและคนทำงานไม่ควรเพียงแค่จัดหาที่พักให้กับพี่น้องชายหญิงแล้วก็ปัดความรับผิดชอบ โดยคิดว่า “ตราบใดที่มีที่ให้พวกเขากินและนอน มีที่กำบังจากสภาพอากาศ ก็ใช้ได้แล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้ ก็ไม่มีปัญหา ยังไงเสียจะไปหาสถานที่ที่เหมาะสมมากมายขนาดนั้นที่ไหนล่ะ?” นี่เป็นการขาดความรับผิดชอบอย่างยิ่ง! หากไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมในขณะนั้น พวกเขาก็สามารถพักอยู่ที่นั่นเป็นการชั่วคราวได้ แต่เจ้าควรแสวงหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อย้ายพวกเขาไปโดยเร็วที่สุดในทันที อย่าปฏิบัติต่อที่นี่เสมือนเป็นที่พักอาศัยระยะยาว
ผู้นำและคนทำงานบางคนไม่ได้ดำเนินงานจริง พวกเขาจัดหาที่พักให้กับบุคลากรสำคัญของงานในสถานที่แห่งหนึ่ง สอบถามว่าภาวะอาหารและการพักผ่อนเป็นอย่างไร และสอบถามว่ามีผู้ไม่มีความเชื่อคนใดคอยจับตาดูพวกเขาอยู่หรือไม่ เมื่อได้ยินว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติที่สังเกตเห็นได้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พวกเขาก็ปล่อยปละละเลยเรื่องนั้น ไม่ได้กลับไปตรวจสอบอีกเป็นเวลาครึ่งปีหรือมากกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาได้จัดหาที่พักให้ดีแล้วและได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้ว โดยถือว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นและเรียบร้อยดี ส่วนเรื่องที่ว่าสภาพแวดล้อมนั้นจะถูกก่อกวนในภายหลังหรือไม่ หรือมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่นั้น พวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจอีกต่อไป นี่เหมาะสมหรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่เหมาะสม? (หลังจากจัดหาที่พักแล้ว ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องติดตามผล หากพวกเขาไม่ทำ และพี่น้องชายหญิงพบว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์อันตรายและไม่สามารถย้ายที่อยู่ได้ พวกเขาก็อาจลงเอยด้วยการถูกจับกุม) แต่ผู้นำและคนทำงานบางคนคิดว่า “พวกคุณทุกคนเป็นผู้ใหญ่แล้ว—ฉันจำเป็นต้องติดตามผลจริงๆ หรือ? พวกคุณมองไม่เห็นหรือว่ามีอันตราย? หากพวกคุณมองไม่เห็น เช่นนั้นสมองของพวกคุณก็คงจะไม่ทำงานเสียแล้ว! หากพวกคุณสังเกตเห็นอันตราย ก็แค่ย้ายที่อยู่เองสิ—ฉันจำเป็นต้องบอกพวกคุณจริงๆ หรือ?” พวกเขาให้เหตุผลแบบนี้ พวกเจ้าคิดว่าการให้เหตุผลนี้สมเหตุสมผลหรือไม่? (ไม่สมเหตุสมผล) เหตุใดจึงไม่? (เพราะการรับประกันความปลอดภัยของผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญนั้นโดยเนื้อแท้แล้วเป็นความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน เป็นงานที่รวมอยู่ในบทบาทของพวกเขาที่พวกเขาควรดำเนินการ) พวกเขาไม่ได้มองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำ พวกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงการช่วยเหลือพี่น้องชายหญิง เหมือนกับการทำตามแบบอย่างของเหลยเฟิงในการทำความดี พวกเขายังไม่ได้มองว่ามันเป็นการทำเพื่อสนับสนุนงานของคริสตจักร โดยมองว่ามันเป็นเพียงการจัดหาที่พักให้กับบุคลากร ไม่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักร เจ้าจะไม่กล่าวหรือว่านี่โง่เขลา? คนประเภทใดที่จะคิดเช่นนี้? (คนที่ไม่มีสำนึกรับผิดชอบ) ผู้นำเทียมเท็จที่เกียจคร้าน ไม่จงรักภักดี และขาดความรับผิดชอบเหล่านั้นคิดเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้สนับสนุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า หลังจากจัดหาที่พักให้กับพี่น้องชายหญิงแล้ว พวกเขาก็คิดว่า “ฉันจัดหาที่พักให้พวกคุณในสถานที่ที่ดีแบบนี้—ถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวงที่ฉันทำให้พวกคุณเลยนะ!” พวกเขาไม่ได้มองว่านี่เป็นการสนับสนุนงานของคริสตจักร ในฐานะผู้นำและคนทำงาน หากเจ้าไม่ได้จัดวางตำแหน่งให้กับบุคลากรสำคัญของงานอย่างเหมาะสมและไม่ได้รับประกันความปลอดภัยของพวกเขาอย่างมีประสิทธิผล เช่นนั้นแล้วหากพวกเขาเผชิญกับอันตรายและไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ งานของคริสตจักรจะไม่ล่าช้าหรอกหรือ? เจ้าต้องจัดหาที่พักให้กับพวกเขาอย่างเหมาะสมก่อนเพื่อรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา และเมื่อนั้นพวกเขาจึงจะสามารถดำเนินงานได้ตามปกติ แต่ผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเขานำคนเหล่านี้ไปทิ้งไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจไยดีอีกเลย และไม่ได้กลับไปตรวจสอบเป็นเวลานาน เมื่อสถานการณ์อันตรายเกิดขึ้นและพวกเขาไม่สามารถติดต่อผู้นำของตนได้ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องย้ายที่อยู่ด้วยตนเอง กว่าที่ผู้นำของพวกเขาจะรู้เรื่องและในที่สุดก็ไปตรวจสอบ ผู้คนก็จากไปนานแล้ว และผู้นำก็ไม่รู้เลยว่าพวกเขาไปที่ไหน นี่เป็นคนประเภทใด? นี่เป็นผู้นำหรือคนทำงานประเภทใด? ผู้นำเทียมเท็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพี่น้องชายหญิงที่มาจากพื้นที่อื่นและไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ผู้นำและคนทำงานยิ่งต้องไปเยี่ยมและติดตามผลกับพวกเขาเป็นประจำ ผู้นำและคนทำงานไม่ควรคิดเอาเองว่าเพียงแค่จัดหาที่พักให้พวกเขาครั้งเดียวก็เป็นการแก้ปัญหาทุกอย่างอย่างถาวร ในความเป็นจริงแล้ว ยังห่างไกลกว่างานนี้จะเสร็จสิ้น พวกเขาจำเป็นต้องไปเยี่ยมและติดตามผลกับพวกเขาบ่อยครั้ง หากไม่สะดวกสำหรับผู้นำและคนทำงานที่จะปรากฏตัวในสถานที่นั้น พวกเขาก็ควรจัดให้ผู้อื่นไปตรวจสอบ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาจำเป็นต้องติดตามผลงานนี้—ประเมินสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของบุคลากรสำคัญของงานเหล่านี้ ตรวจสอบว่ามีอันตรายหรือสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ หรือมีสภาวการณ์พิเศษใดๆ เกิดขึ้นหรือไม่ และจำเป็นต้องย้ายที่อยู่หรือไม่ ทั้งหมดนี้ต้องได้รับการเรียนรู้และติดตามผล หากในระยะสั้น สถานที่นี้ดูเหมือนจะเหมาะควรที่สุด นั่นก็ใช้ได้ แต่หลังจากนั้นสักพัก พวกเขาก็ควรกลับไปตรวจสอบสภาพแวดล้อมและความปลอดภัยคนเหล่านี้ รวมถึงว่าคนเหล่านี้มีอาหารและของใช้เพียงพอหรือไม่—ควรมีการสอบถามรายละเอียดทั้งหมดนี้ เป็นไปได้ว่าผู้นำและคนทำงานอาจไม่เข้าใจงานของบุคลากรสำคัญของงาน ซึ่งในกรณีเช่นนั้นพวกเขาไม่ควรก้าวก่ายในแง่มุมนั้น แต่การจัดหาที่พักให้กับพวกเขาอย่างเหมาะสมนั้นเป็นความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน—การไม่ทำเช่นนั้นถือเป็นการละทิ้งหน้าที่ของพวกเขาและแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ได้ดำเนินงานจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพี่น้องชายหญิงที่มาจากพื้นที่อื่น พวกเขายิ่งต้องการความเอาใจใส่เป็นพิเศษและใกล้ชิด และไม่ควรได้รับการปฏิบัติอย่างหละหลวม ผู้นำและคนทำงานควรตรวจสอบกับพวกเขาเป็นครั้งคราว ดูว่าพวกเขามีความยากลำบากใดๆ ที่ต้องการการแก้ไขหรือไม่ และว่ามีปัญหาหรือสภาวการณ์พิเศษใดๆ ในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาทำหน้าที่ของตนในช่วงเวลานี้หรือไม่ เช่น ว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางการท้องถิ่น คณะกรรมการชุมชน หรือสถานีตำรวจหรือไม่ ผู้นำและคนทำงานควรสอบถามและถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เพื่อให้พวกเขาสามารถรับทราบข้อมูลได้ดี จากนั้น ผู้นำและคนทำงานควรสามัคคีธรรมกับครอบครัวเจ้าภาพเกี่ยวกับหลักธรรมและหนทางปฏิบัติสำหรับการรับรองและปกป้องผู้ที่ทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ครอบครัวเจ้าภาพเข้าใจหลักธรรมและหนทางปฏิบัติเหล่านี้อย่างถ่องแท้ นี่ก็ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่องนี้ ผู้นำและคนทำงานยังต้องไปเยี่ยมและสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของครอบครัวเจ้าภาพเป็นครั้งคราว ปัญหาใดๆ ที่พวกเขาตรวจพบควรได้รับการแก้ไขโดยทันทีเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น เมื่อนั้นงานจึงจะถือว่าทำได้ดีอย่างแท้จริง หากเจ้าภาพประสบความยากลำบากในการรับรอง เช่น ข้อจำกัดทางการเงินหรือการขาดสติปัญญาที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถตอบสนองหรือจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เช่นนั้นแล้วผู้นำและคนทำงานก็ต้องช่วยแก้ไขปัญหานี้ ข้อจำกัดทางการเงินนั้นแก้ไขได้ง่าย—พระนิเวศของพระเจ้าสามารถจัดหาเงินทุนสำหรับการรับรองได้ ในขณะที่ครอบครัวเจ้าภาพเพียงแค่ต้องออกแรงกาย หากเจ้าภาพขาดสติปัญญา นี่เป็นประเด็นสำคัญ ผู้นำและคนทำงานต้องอธิบายสติปัญญาที่จำเป็นและหลักธรรมในการปฏิบัติสองสามข้อเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจน หากเจ้าภาพยังคงทำได้ไม่ดีพอ เช่นนั้นแล้วผู้นำและคนทำงานก็ควรหาพี่น้องชายหรือหญิงที่ฉลาดในบริเวณใกล้เคียงเพื่อร่วมมือกับครอบครัวเจ้าภาพในการดำเนินงานนี้ให้ดี หากปัญหาอยู่ที่ตัวเจ้าภาพเอง—เช่น เป็นคนขี้ขลาดหรือกลัวการจับกุม—เช่นนั้นแล้วผู้นำและคนทำงานก็ควรสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ สามัคคีธรรมถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าตลอดจนคุณค่าและความสำคัญของการทำหน้าที่นี้ หากเป็นปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม ก็ต้องไม่ล่าช้าหรือเพียงแค่ทำตามไป และแน่นอนว่าต้องไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างหละหลวม แต่จะต้องได้รับการแก้ไขทันที ตัวอย่างเช่น หากมีคนสังเกตเห็นสถานที่นี้แล้ว มีคนแปลกหน้าที่น่าสงสัยเข้าออกในพื้นที่บ่อยครั้ง และเป็นไปได้ว่ามีคนกำลังสอดส่องสถานที่นั้น เช่นนั้นแล้วนี่ก็บ่งบอกอันตรายที่ซ่อนอยู่ ดังนั้น จงย้ายพี่น้องชายหญิงทันที—การรอจนกว่าจะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นก็จะสายเกินไป หากสถานการณ์เป็นเพียงชั่วคราวและเป็นเพียงขั้นตอนปกติและเป็นกิจวัตร เช่นนั้นแล้วก็ยังพอจะรับมือได้ ให้พี่น้องชายหญิงออกไปชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวัน และพวกเขาก็สามารถกลับมาได้ในภายหลัง หากมีคนสังเกตเห็นแล้ว เช่นนั้นแล้วการอยู่ที่นั่นก็ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป และจำเป็นต้องย้ายที่อยู่อย่างถาวร เหล่านี้คือประเด็นรายละเอียดบางส่วนที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องจัดการและแก้ไขในงานนี้ งานนี้ไม่ได้หมายความว่าเพียงแค่วางคนสองสามคนไว้ในสถานที่ที่มีอาหารและที่พักพิงแล้วก็ถือว่าเสร็จสิ้น มีรายละเอียดมากมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเช่นประเทศจีน ที่ซึ่งสภาพแวดล้อมเป็นปฏิปักษ์เป็นพิเศษและการข่มเหงทางศาสนารุนแรง ผู้นำและคนทำงานยิ่งต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษและสอดส่องอย่างใกล้ชิดต่อสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตและประเด็นความปลอดภัยของบุคลากรสำคัญของงาน พวกเขาไม่สามารถหละหลวมได้ ทุกแง่มุมของงานที่เฉพาะเจาะจงต้องทำได้ดีเพื่อให้มั่นใจว่าความปลอดภัยของบุคลากรสำคัญของงานเหล่านี้ได้รับการรับประกันและพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างสบายใจ ด้วยวิธีนี้ งานจึงจะทำได้ดี นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำเกี่ยวกับครอบครัวเจ้าภาพ และมีรายละเอียดมากมายที่เกี่ยวข้องในที่นี้
ผู้นำและคนทำงานบางคน หลังจากจัดวางบุคลากรสำคัญของงานบางคนไว้ที่บ้านเจ้าภาพที่เหมาะสมแล้ว ก็เพิกเฉยต่อพวกเขาโดยสิ้นเชิงและไม่ได้ติดตามสถานการณ์ของครอบครัวเจ้าภาพอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาพูดว่า “ฉันยุ่งกับงานของคริสตจักรทุกวัน—ฉันจะมีเวลาไปเยี่ยมคนเหล่านี้ได้อย่างไร? นอกจากนี้ ยังมีงานอื่นอีกมาก และมันก็ค่อนข้างอันตรายด้วย การทำงานของพวกเราไม่ใช่เรื่องง่าย!” พวกเขายกเหตุผลต่างๆ นานามาอ้างอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร—คำพูดของพวกเขาฟังขึ้นหรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่? (ตามความเป็นจริงแล้ว การทำงานนี้ไม่ได้ต้องใช้เวลาและพลังงานของผู้นำและคนทำงานมากเกินไป พวกเขาสามารถแวะไปเยี่ยมระหว่างทางได้ และหากพวกเขาไม่มีเวลา พวกเขาก็สามารถจัดให้พี่น้องชายหญิงที่อยู่ใกล้เคียงไปเยี่ยมได้เช่นกัน) หากผู้นำและคนทำงานต้องการดำเนินงานนี้ให้ดี แม้ว่างานหลักของพวกเขาจะทำให้พวกเขายุ่งอยู่บ้าง พวกเขาก็จะยังคงหาเวลามาให้ความสำคัญกับงานนี้ หากพวกเขาไม่มีเวลาไปเอง พวกเขาก็สามารถจัดให้ผู้อื่นไปได้ ไม่ว่าพวกเขาจะจัดให้ผู้อื่นไปหรือไปเอง ท้ายที่สุดแล้ว งานนี้ก็อยู่ในขอบข่ายความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน การดำเนินงานนี้ให้ดีเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญสำหรับผู้นำและคนทำงาน และไม่สามารถละเลยได้ หากผู้นำและคนทำงานยุ่งเกินไปและไม่มีเวลาเอง และพวกเขายังไม่ได้จัดให้ผู้อื่นไปอีก เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีใครดูแลเรื่องนี้ หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น นี่ก็จะเป็นการละเลยต่อหน้าที่ในส่วนของผู้นำและคนทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญทนทุกข์จากการก่อกวนของโลกภายนอก ผู้นำและคนทำงานต้องคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ทุกแง่มุม รับประกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างสงบและดำเนินงานที่อยู่ในมือได้อย่างเป็นระเบียบ หากบุคลากรสำคัญของงานได้รับการปกป้องอย่างดี ก็เท่ากับการปกป้องงานสำคัญนั่นเอง เมื่อบุคลากรสำคัญของงานสามารถทำงานได้ตามปกติ งานสำคัญก็สามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นระเบียบเช่นกัน ดังนั้น จุดประสงค์ของผู้นำและคนทำงานในการปกป้องบุคลากรสำคัญของงานก็คือ เพื่อปกป้องงานสำคัญแต่ละอย่างนั่นเอง หากผู้นำและคนทำงานบางคนพูดว่า “คุณกำลังทำหน้าที่สำคัญและฉันถูกขอให้ปกป้องคุณ แต่ฉันอยู่ในตำแหน่งผู้นำ และฉันก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน ฉันไม่สามารถแม้แต่จะรับประกันความปลอดภัยของตนเองได้ แล้วฉันจะปกป้องพวกคุณได้อย่างไร?”—คำพูดนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) ผู้นำและคนทำงานเช่นนั้นมีความเข้าใจแบบใด? (ความเข้าใจของพวกเขาไม่ดี คนเช่นนั้นเห็นแก่ตัวและมีแนวโน้มที่จะบิดเบือน) พวกเขาเป็นบุคคลที่มีแนวโน้มที่จะบิดเบือน บุคคลที่มีแนวโน้มที่จะบิดเบือนขาดความมีเหตุผลหรือไม่? (ใช่) หากพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า แต่กลับทำงานและใช้ชีวิตของตนในโลก พวกเขายังคงจำเป็นต้องได้รับการปกป้องหรือไม่? แน่นอนว่าเป็นเพราะพวกเขากำลังดำเนินงานของคริสตจักรและหน้าที่สำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า และเพราะว่าหากพวกเขาถูกจับกุม พวกเขาอาจถูกตัดสินจำคุกหรือถูกทุบตีจนได้รับบาดเจ็บหรือพิการ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่องานของคริสตจักร บุคลากรสำคัญของงานจึงต้องได้รับการปกป้องอย่างดี ด้วยวิธีนี้เท่านั้นงานของคริสตจักรจึงจะสามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นระเบียบ หากพวกเขาอยู่ในประเทศประชาธิปไตยบางประเทศที่มีเสรีภาพในการเชื่อทางศาสนาและผู้เชื่อในพระเจ้าไม่ถูกข่มเหง เช่นนั้นแล้วงานนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้นำและคนทำงาน โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาเพียงแค่ต้องหาบ้านที่เหมาะสมและจัดแจงที่พักให้กับผู้ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างเหมาะสมตามกฎหมายและข้อบังคับในท้องถิ่น อย่างมากที่สุด พวกเขาเพียงแค่ต้องสอบถามว่าชีวิตประจำวันของพวกเขาเป็นอย่างไรในช่วงที่ผ่านมา และว่าสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตละเมิดข้อบังคับของทางการใดๆ หรือไม่ หากมีการละเมิด ก็จำเป็นต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าประเด็นคืออะไร ตลอดจนควรแก้ไขและจัดการอย่างไร หากไม่มีการละเมิดใดๆ แต่ทางการกำลังสร้างปัญหา หรือคนชั่วหรือบุคคลที่ไม่รู้จักกำลังก่อความเดือดร้อน เช่นนั้นแล้วก็จำเป็นต้องปรึกษาทนายความเพื่อจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างเหมาะสม ในประเทศประชาธิปไตยและเสรีบางประเทศ อย่างมากที่สุดก็จำเป็นต้องทำงานประเภทนี้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในระบอบเผด็จการที่ไม่มีเสรีภาพในการเชื่อทางศาสนา ข้อกำหนดสำหรับสภาพแวดล้อมและภาวะของครอบครัวเจ้าภาพต้องเข้มงวดกว่า และต้องทำงานมากขึ้น—ตลอดจนทำงานที่ละเอียดมากขึ้น—เกี่ยวกับความปลอดภัย แน่นอนว่าความยากลำบากที่เกี่ยวข้องกับงานเช่นนั้นก็ใหญ่หลวงกว่าเช่นกัน สำหรับงานป้องกันบุคลากรสำคัญของงานจากการก่อกวนของโลกภายนอก หากทุกแง่มุมของสภาพแวดล้อมได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน การก่อกวนที่เกิดจากสภาพแวดล้อมก็จะลดลงค่อนข้างมาก หากทั้งสภาพแวดล้อมภายนอกและสภาพแวดล้อมภายในได้รับการคำนึงถึงอย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้วก็จะสามารถพบหนทางที่เป็นจริงและเป็นไปได้ ด้วยวิธีนี้ สภาพแวดล้อมก็จะสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ในระดับหนึ่ง และการก่อกวนก็จะสามารถลดลงได้ แนวทางนี้ค่อนข้างเหมาะสม
การรับประกันความปลอดภัยของบุคลากรสำคัญของงาน
I. วิธีรับประกันความปลอดภัยของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในประเทศที่ข่มเหงความเชื่อ
หน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบห้าของผู้นำและคนทำงานนั้น ประการแรกคือการปกป้องบุคลากรสำคัญของงานโดยป้องกันพวกเขาจากการรบกวนของโลกภายนอก และยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำและคนทำงานก็ต้องคุ้มครองให้คนเหล่านี้ปลอดภัยด้วย ข้อกำหนดในด้านการคุ้มครองให้ปลอดภัยนั้นเข้มงวดยิ่งกว่า ขอให้พวกเรามาดูกันก่อนว่าแง่มุมใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย—พวกเจ้าสามารถนึกถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยเรื่องใดได้บ้าง? เพื่อรับประกันความปลอดภัยของผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องรับประกันว่าพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากการรบกวนของโลกภายนอก—นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำที่ต้องทำให้สำเร็จ และบนรากฐานนี้เท่านั้นจึงจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาได้ในระดับพื้นฐานที่สุด ความปลอดภัยที่พวกเรากำลังพูดถึงในที่นี้หมายความง่ายๆ ว่า สามารถรับประกันได้ว่าผู้ที่ทำหน้าที่ของตนจะไม่ถูกก่อกวนหรือจับกุม และสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างปกติ ตรงตัวเข้าใจง่ายเช่นนี้เอง หากผู้นำและคนทำงานไม่สามารถรับประกันว่าผู้ที่ทำหน้าที่ของตนจะได้รับการปกป้องจากการรบกวนและการจับกุม ก็ย่อมไม่มีทางรับรองความปลอดภัยของพวกเขาได้ ลองคิดดูเถิด—ผู้นำและคนทำงานควรใส่ใจเรื่องใดบ้างเพื่อรับประกันความปลอดภัยของบุคลากรสำคัญของงาน? ก่อนอื่น พวกเขาต้องจัดแจงทำเลที่เหมาะสมให้แก่บุคลากรสำคัญของงาน ทำเลที่เหมาะสมหมายความว่าอย่างไร? ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขอย่างน้อยสองประการ ประการแรก ทำเลนี้ต้องปราศจากการรบกวนใดๆ จากสภาพแวดล้อม ประการที่สอง ต้องไม่เป็นที่น่าสังเกต มีเพียงพี่น้องชายหญิงในท้องถิ่นไม่กี่คนที่รู้ว่าครอบครัวนี้เชื่อในพระเจ้าและเป็นเจ้าภาพรับรองผู้อื่น ในขณะที่ไม่มีใครอื่นล่วงรู้ สถานที่เช่นนั้นเท่านั้นจึงจะเหมาะสมสำหรับการเป็นเจ้าภาพรับรองผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญ หลังจากที่บุคลากรสำคัญของงานเหล่านี้ย้ายเข้ามาแล้ว ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อและถิ่นกำเนิดของแต่ละคน ตลอดจนสถานการณ์ที่เจาะจง เช่น ประเภทของงานคริสตจักรที่พวกเขามีส่วนร่วม และพวกเขาเคยถูกจับกุมมาก่อนหรือถูกรัฐบาลประกาศจับหรือไม่ ไม่ควรถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นอย่างพลการ ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะวุฒิภาวะของผู้คนยังน้อยเกินไปและก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะสามารถตั้งมั่นหรือไม่หากพวกเขาถูกจับกุมและจำคุก พวกเขาจึงควรมีความตระหนักในตนเองและละเว้นจากการสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของพี่น้องชายหญิงโดยพลการ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองประสบปัญหาในอนาคต ควรมีการสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมและสติปัญญาในเรื่องนี้บ่อยครั้งเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ นี่ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อแต่ละคนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ผู้นำและคนทำงานควรสั่งสอนพี่น้องชายหญิงของครอบครัวเจ้าภาพให้ระวังปากระวังคำ และไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญต่อพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ หรือต่อสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตน การทำงานนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่? (จำเป็น) พี่น้องชายหญิงของครอบครัวเจ้าภาพบางคนไม่สามารถระวังปากระวังคำได้ ตัวอย่างเช่น บางคนเป็นเจ้าภาพรับรองผู้นำและคนทำงานสองสามคน และพวกเขาก็คุ้นเคยกับสถานการณ์ส่วนตัว ภูมิหลังครอบครัว และหน้าที่ที่คนเหล่านี้ทำ จากนั้น พวกเขาก็พูดกับบุตรหลานของตนว่า “ดูสิ เขาอายุเท่าๆ กับพวกเธอ เขาเชื่อในพระเจ้ามาสิบปีแล้วและถึงกับลาออกจากงานเพื่อทำหน้าที่ของเขา เขาเคยทำงานในหน่วยงานราชการในเมืองนั้นเมืองนี้ มีรายได้ปีละหลายหมื่นหยวน!” เจ้าเห็นไหม ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อย พวกเขาก็เปิดเผยสถานการณ์ของผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญเหล่านี้ให้แก่สมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตน ถึงกับมีบางคนที่เมื่อเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงที่เคยถูกจับกุมและจำคุกมาก่อน ก็บอกสมาชิกครอบครัวของตนว่า “ดูสิ พวกเขาอยู่ในคุกมาหลายปีและไม่เคยกลายเป็นยูดาส หลังจากถูกปล่อยตัว พวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไป ตอนนี้รัฐบาลต้องการจับกุมพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาจึงไม่สามารถกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวได้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดลบ เห็นไหมว่าความเชื่อของพวกเขายิ่งใหญ่แค่ไหน? ทำไมเธอถึงเชื่อให้ถูกควรไม่ได้?” ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจึงเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงอย่างไม่ยั้งคิดผ่านวิธีการสั่งสอนบุตรหลานของตน นี่อาจนำไปสู่ปัญหาในอนาคตได้หรือไม่? (ได้) นี่เป็นปัญหาหรือไม่? (ใช่) หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะเรื่องนี้ ก็แล้วไป แต่เมื่อพญานาคใหญ่สีแดงดำเนินการจับกุม สมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของพวกเขาก็เป็นคนแรกที่ออกมาและรายงานพี่น้องชายหญิงว่า “เจ้าหน้าที่! คนนั้นคนนี้เป็นผู้นำ—พวกเขาคือคนที่คุณต้องการตัว” คนที่ถูกหักหลังก็จะถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมและทุบตีปางตาย จนพวกเขาตั้งคำถามว่าตนจะสามารถทำหน้าที่ต่อไปหรือใช้ชีวิตอย่างปกติได้หรือไม่ นี่คือผลที่ตามมาของการหักหลัง นี่ไม่ได้เกิดจากการพูดพล่อยๆ ของเจ้าของบ้านที่เป็นเจ้าภาพหรอกหรือ? (ใช่) หากบุคลากรสำคัญของงานต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเช่นนี้ นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้นำและคนทำงานไม่ได้ทำงานของตนอย่างละเอียดถี่ถ้วนหรอกหรือ? (ใช่) เจ้าของบ้านที่เป็นเจ้าภาพคิดว่า “สมาชิกครอบครัวของพวกเราล้วนเป็นคนดี พวกเขาจะไม่ขายพวกคุณ พวกเขาสนับสนุนการเชื่อในพระเจ้า—พวกเขาถึงกับซื้อผักและเนื้อสัตว์เมื่อพวกคุณมา!” พวกเขาปฏิบัติต่อสมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อของตนราวกับว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิง ไม่สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่าครอบครัวของตนสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือผลที่ตามมาจะรุนแรงเพียงใดหากพวกเขาจะขายพี่น้องชายหญิง พวกเขายังอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ของพี่น้องชายหญิง โดยถามว่า “คุณทำหน้าที่นี้มากี่ปีแล้ว? เคยทำหน้าที่ที่เป็นอันตรายบ้างไหม? เจ้าเป็นที่รู้จักในท้องถิ่นในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่? เคยถูกจับกุมบ้างไหม?” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของผู้ที่ถูกประกาศจับหรือมีประวัติคดีความกับตำรวจเนื่องจากการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาและกำลังประกาศข่าวประเสริฐในภูมิภาคหรือประเทศอื่น เจ้าของบ้านที่เป็นเจ้าภาพก็มักจะสอบถามข้อมูลของพวกเขาเสมอ โดยถามว่า “คุณถูกประกาศจับหรือ? เป็นหมายจับท้องถิ่น หมายจับระดับมณฑล หรือหมายจับระดับประเทศ?” “คุณมีประวัติอาชญากรรม—คุณเคยถูกจับกี่ครั้ง? คุณถูกตัดสินจำคุกกี่ปี?” พวกเขาถามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อย่างลงลึกในรายละเอียด พี่น้องชายหญิงที่พักอยู่ในบ้านของพวกเขาเห็นว่าพวกเขาค่อนข้างกระตือรือร้นในการเป็นเจ้าภาพและพวกเขาไม่ใช่คนเลว หากพวกเขาไม่แบ่งปันข้อมูลนี้ พวกเขาก็รู้สึกว่าอาจจะดูเหมือนไม่สุภาพ ซึ่งทำให้พวกเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางคนรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูดอะไรสักหน่อย และหลังจากพูดแล้ว บางครั้งมันก็นำไปสู่ผลที่ร้ายแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานควรสั่งสอนเจ้าภาพโดยตรงว่า “มีกฎสองสามข้อที่คุณต้องปฏิบัติตามเมื่อเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิง อย่าสอบถามหรือตั้งคำถามอย่างไม่ยั้งคิด—การรู้เรื่องของพวกเขามากเกินไปจะไม่เป็นประโยชน์ต่อคุณ หากมีอะไรเกิดขึ้นและคุณไม่สามารถทนต่อความทารุณของการทรมานได้ คุณก็อาจจะลงเอยด้วยการเป็นยูดาส ในกรณีนั้น ข้อมูลที่คุณได้รับรู้และเข้าใจก็เท่ากับเป็นการปูทางให้คุณกลายเป็นยูดาส หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น คุณจะเสียใจไปตลอดชีวิต และในท้ายที่สุดคุณก็จะเผชิญกับการลงโทษ หากคุณไม่รู้รายละเอียดเหล่านี้ คุณก็จะไม่กลายเป็นยูดาส ดังนั้น คุณต้องห้ามสอบถามหรือพยายามล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อย่างเด็ดขาด การไม่รู้ย่อมเป็นการปกป้องคุณ และไม่ส่งผลกระทบต่อการเป็นเจ้าภาพของคุณหรือการบรรลุความจริงในการเชื่อในพระเจ้าของคุณ เป็นการดีที่สุดหากคุณไม่รู้ คุณรู้ชัดอยู่แล้วว่าพี่น้องชายหญิงเหล่านี้มาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ของตน และพวกเขาไม่ใช่คนเลวหรือคนชั่ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสอบถามเพิ่มเติม การลุล่วงหน้าที่ในการเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเขานั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และการรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาก็เพียงพอแล้ว” นี่เป็นงานที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำ นอกจากนี้ ผู้เชื่อในท้องถิ่นที่ขาดรากฐานในความเชื่อของตนและเป็นผู้เชื่อแต่ในนามเท่านั้น พวกที่ปากสว่างและมีแนวโน้มที่จะสอบถาม พวกที่ติดต่อใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ และพวกที่ซ่อนตัวทันทีเหมือนเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดองเมื่อเกิดปัญหา—และผู้ที่อาจถึงขั้นขายคริสตจักรและกลายเป็นยูดาส—ต้องไม่ได้รับอนุญาตให้รู้เด็ดขาดว่าครอบครัวเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิง หากต้องการพี่น้องชายหญิงบางคนมาช่วยงานในการเป็นเจ้าภาพรับรองบุคลากรสำคัญของงาน ก็ควรเลือกเฉพาะผู้ที่มีรากฐานในการเชื่อในพระเจ้าและมีสติปัญญามาร่วมงานเท่านั้น ผู้ที่ไม่มีรากฐานหรือสติปัญญานั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แล้วทีนี้ควรให้ความช่วยเหลืออย่างไรกันแน่? พี่น้องชายหญิงของครอบครัวเจ้าภาพมุ่งเน้นไปที่การเป็นเจ้าภาพที่บ้านของตน ในขณะที่พี่น้องชายหญิงในท้องถิ่นที่มีสติปัญญาและความเชื่อจะคอยช่วยเหลือจากภายนอกโดยช่วยอำพรางและพิทักษ์รักษาสภาพแวดล้อม พวกเขาควรคบค้าสมาคมกับผู้มีอิทธิพล ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนโยบาย แนวโน้ม และปฏิบัติการที่ของรัฐบาลที่อาจเกิดขึ้นอยู่เสมอ และแจ้งให้พี่น้องชายหญิงของครอบครัวเจ้าภาพทราบโดยทันที ด้วยวิธีนี้ หากรัฐบาลริเริ่มปฏิบัติการจับกุมใดๆ ก็จะสามารถใช้มาตรการป้องกันได้อย่างทันท่วงที และจะยังมีเวลาสำหรับการอพยพและย้ายที่อยู่ หรือการซ่อนตัว อันเป็นการหลีกเลี่ยงอันตรายใดๆ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญได้โดยพื้นฐาน กล่าวโดยสรุป ผู้นำและคนทำงานจะเข้าถึงงานนี้โดยคิดอะไรง่ายๆ ไม่ได้ การคิดให้ซับซ้อนในเรื่องนี้ย่อมดีกว่าการคิดง่ายๆ เสมอ เพราะประเด็นด้านความปลอดภัยนั้นไม่อาจมองข้ามได้—หากเกิดเรื่องขึ้นมา จะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ที่เจาะจงที่ต้องใส่ใจในงานแห่งการรับประกันความปลอดภัยของบุคลากรสำคัญของงาน บางคนรับหน้าที่ที่มีความเสี่ยง เช่น การขนส่งหนังสือพระวจนะของพระเจ้า หรือการส่งมอบคำสั่งงานหรือการจัดการกับผลพวงในพื้นที่ที่เกิดภยันอันตราย ผู้ที่ทำงานอันตรายเช่นนี้ต้องไม่พักอาศัยอยู่กับผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญ และไม่ควรให้พวกเขารู้ว่าบุคคลเหล่านั้นอาศัยอยู่ที่ไหนหรือครอบครัวใดเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเขา ทั้งนี้ก็เพราะผู้ที่ทำงานอันตรายมีความเสี่ยงที่จะถูกติดตามและจับกุมได้ทุกเมื่อ หากพวกเขาถูกจับและถูกทรมาน พวกเขาอาจขายคริสตจักร ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญและครอบครัวเจ้าภาพต้องพัวพันไปด้วย นี่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความปลอดภัยมิใช่หรือ? หากบุคลากรที่ทำหน้าที่สำคัญบางคนออกไปจัดการธุระและตกลงกันว่าจะกลับมาในสามวัน แต่พวกเขาไม่ได้กลับมาหลังจากผ่านไปสามวันแล้ว พวกเจ้าจะกล่าวว่าสถานการณ์นี้อันตรายหรือไม่? บุคลากรคนอื่นๆ ที่ทำหน้าที่ของตนควรจะอพยพหรือไม่? (ควร) ในกรณีเช่นนี้ จำเป็นต้องอพยพโดยทันที จะต้องไม่มีการล่าช้าและไม่มีการเสี่ยงใดๆ—พวกเขาคิดจะอาศัยโชคช่วยไม่ได้ บางคนขี้เกียจ รู้สึกว่ามันยุ่งยาก และไม่เต็มใจที่จะอพยพ โดยกล่าวว่า “จะเสียหายอะไรกับการรออีกวันหนึ่ง? บางทีพวกเขาอาจจะแค่ล่าช้าเพราะสถานการณ์พิเศษบางอย่าง” การรออีกวันหนึ่งมีแต่จะเพิ่มอันตรายมากขึ้น หากเจ้าอพยพและไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าก็สามารถกลับมาได้เสมอ และนั่นจะไม่ใช่ความผิดพลาด แต่หากเจ้าไม่อพยพและรออีกวันหนึ่ง ก็อาจเกิดเหตุการณ์ขึ้นได้ และเมื่อถึงเวลานั้น ก็จะสายเกินไปที่จะเสียใจ ดังนั้น หากพี่น้องชายหญิงที่ออกไปจัดการธุระไม่กลับมาภายในเวลาที่ตกลงกันไว้ ก็เป็นไปได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน พี่น้องชายหญิงที่เกี่ยวข้องควรอพยพทันทีและย้ายไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัย เมื่อพบทำเลที่เหมาะสมแล้ว พวกเขาก็สามารถกลับมาทำหน้าที่ของตนได้อย่างปกติ โดยไม่สายเกินไป อีกกรณีหนึ่งคือเมื่อบุคคลในคริสตจักรท้องถิ่นที่รับผิดชอบงานจัดหาที่พักให้พี่น้องชายหญิงที่ทำหน้าที่ของตนถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมไป ควรทำอย่างไรในกรณีเช่นนี้? (ย้ายบุคลากรสำคัญของงานทันที) สิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับผู้นำและคนทำงานคือการย้ายบุคลากรสำคัญของงานเหล่านี้ไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยโดยทันที เหนือสิ่งอื่นใด ความปลอดภัยของพวกเขาต้องได้รับการรับประกัน พวกเขาไม่ควรต้องเผชิญกับความเสี่ยงใดๆ หลังจากย้ายพวกเขาแล้ว จึงจะสามารถดำเนินงานที่ตามมาได้ คนเลอะเลือนบางคนมักจะมีวิธีคิดที่อาศัยโชคช่วยเสมอว่า “คนนั้นคนนี้ถูกจับไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร ความเชื่อของพวกเขาค่อนข้างแรงกล้า และพวกเขาก็เข้มแข็งเป็นพิเศษเสมอในสถานการณ์ที่เลวร้าย พวกเขาจะไม่มีวันขายใครอย่างเด็ดขาด ดังนั้น ฉันรับประกันได้ว่าจะไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน—ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องย้ายที่อยู่” ถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) ยังมีคนที่กล่าวว่า “ต่อให้พวกเขาจะขายใคร พวกเขาก็จะเลือกขาย—พวกเขาจะขายเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่สำคัญ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของพวกคุณอย่างแน่นอน” ถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) คำพูดเหล่านี้ฟังไม่ขึ้น! คนเราสามารถมองคนอื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่งหรือ? แม้ว่าบุคคลที่กล่าวถึงจะมีวุฒิภาวะ พวกเราก็ควรหลีกเลี่ยงการพูดอย่างมั่นใจเกินไป เพราะไม่มีใครสามารถรับผลที่ตามมาได้หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นจริง ต้องทำงานอื่นใดอีกบ้างเพื่อปกป้องความปลอดภัยของบุคลากรที่ทำหน้าที่สำคัญ? เมื่อพวกเขาเริ่มทำหน้าที่ของตน ผู้นำและคนทำงานควรสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน ตลอดจนหลักธรรมและสติปัญญาใดที่ควรนำมาใช้เมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้น นอกจากนี้ เมื่อพวกเขาออกไปทำหน้าที่ของตน ผู้นำและคนทำงานควรมอบหมายให้คนหนึ่งหรือสองคนที่มีประสบการณ์ทางสังคมและสติปัญญามาทำงานร่วมกับพวกเขา แนวทางนี้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยและวางใจได้ การปฏิบัติเช่นนี้ ในด้านหนึ่งสามารถปกป้องความปลอดภัยส่วนบุคคลของพวกเขาได้ และในอีกด้านหนึ่ง สามารถช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหาบางอย่างที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง การนี้จะป้องกันปัญหาบางอย่างและรับประกันได้ว่าผู้ที่ออกไปทำหน้าที่ของตนจะสามารถดำเนินงานของตนได้อย่างปกติ สำหรับผู้นำและคนทำงาน การรับประกันความปลอดภัยของผู้ที่ทำหน้าที่ของตนเป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ไม่มีเสรีภาพในการเชื่อ การจะทำงานของคริสตจักรให้ดีได้นั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการรับประกันความปลอดภัยของบุคลากรที่ทำหน้าที่ของตน ไม่ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ในท้องถิ่นหรือออกไปทำหน้าที่ก็ตาม เฉพาะผู้นำและคนทำงานที่สามารถจัดการงานด้านความปลอดภัยได้ดีเท่านั้นจึงจะเหมาะที่พระเจ้าจะทรงใช้ ผู้ที่ไม่สามารถทำงานนี้ได้คือผู้ที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขายังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ และจะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ขาดความเข้าใจและสติปัญญา ที่จะกลายเป็นผู้ที่เหมาะให้พระเจ้าทรงใช้งาน
II. วิธีรับประกันความปลอดภัยของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในนานาประเทศ
ก. การดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร
ในการดำเนินงานคริสตจักรในประเทศต่างๆ ในต่างแดน สิ่งสำคัญอันดับแรกควรเป็นการจัดหาที่พักพิงที่เหมาะสมสำหรับบุคลากรที่ทำหน้าที่ของตน รับประกันความปลอดภัยของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างปกติ อีกเรื่องที่สำคัญคือการจัดการประเด็นเรื่องสถานะทางกฎหมาย ซึ่งต้องให้ความใส่ใจทันทีที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเดินทางมาถึงประเทศใหม่ หากไม่มีสถานะทางกฎหมายหรือหากสถานะของพวกเขาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกเนรเทศอยู่เสมอ ไม่ว่าสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเขาจะดีเพียงใดก็ตาม บุคคลที่สถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายจะถูกพิจารณาว่าเป็นผู้พำนักที่ผิดกฎหมาย และความปลอดภัยของผู้คนเหล่านี้ก็ตกอยู่ในความเสี่ยง หากความปลอดภัยของพวกเขาไม่แน่นอน พวกเขาก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้นาน ดังนั้น ในประเทศต่างแดน การจัดหาที่พักพิงที่เหมาะสมสำหรับบุคลากรที่ทำหน้าที่ของตนจึงเป็นงานแรกสำหรับผู้นำและคนทำงาน เมื่อที่พักพิงของพวกเขาได้รับการจัดหาอย่างเหมาะสมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจัดให้พวกเขาเริ่มดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของตน ในประเทศใดก็ตาม อย่างน้อยที่สุด เป้าหมายในการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายควรเป็นการทำให้พี่น้องชายหญิงสามารถพำนักอาศัยที่นั่นได้อย่างถูกกฎหมาย นี่เป็นงานที่สำคัญในการรับประกันความปลอดภัยของบุคลากรสำคัญของงานด้วยเช่นกัน เพื่อให้ได้การพำนักอาศัยที่ถูกกฎหมาย ข้อกำหนดแรกคือสถานะของบุคคลนั้นต้องถูกกฎหมาย พวกเขาไม่สามารถพำนักอาศัยอยู่ที่ใดที่หนึ่งอย่างผิดกฎหมายได้ ผู้นำและคนทำงานควรพยายามอย่างเต็มที่ที่จะจัดหาที่พักพิงให้พี่น้องชายหญิงตามข้อบังคับของรัฐบาลสำหรับการพำนักอาศัยที่ถูกกฎหมาย ผู้นำและคนทำงานสามารถมีส่วนร่วมโดยตรงในงานจัดหาที่พักพิงนี้หรือติดตามงานนี้ก็ได้ หากมีเรื่องที่พวกเขามองไม่ทะลุปรุโปร่ง พวกเขาควรแสวงหาจากผู้นำและคนทำงานระดับสูงกว่าโดยทันที ในกรณีที่ไม่มีสภาวการณ์พิเศษ พวกเขาควรปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ก่อนหน้านี้ของคริสตจักร ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องสอบถามเป็นครั้งคราว และหากพวกเขาทราบว่าใครบางคนมีปัญหากับสถานะทางกฎหมายของตนหรือมีสภาวการณ์พิเศษใดๆ พวกเขาควรจัดให้บุคลากรที่จัดการกิจธุระภายนอกมาแก้ไขปัญหาการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แน่นอนว่า ขั้นตอนแรกคือการหาทนายความที่เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งมาจัดการเรื่องการดำเนินการด้านสถานะ ในการจ้างทนายความ ต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกต้มตุ๋น—ไม่ควรจ้างทนายความปลอมหรือผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญในการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมาย ผู้นำและคนทำงานควรพิจารณาแง่มุมเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายเป็นอันดับแรก และเรื่องเหล่านี้ต้องได้รับการจัดการให้ดี งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องบุคลากรสำคัญของงานและรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาด้วย ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของการทำงานนี้ ผู้นำและคนทำงานต้องไม่ยืนดูอยู่เฉยๆ บางคนกล่าวว่า “การจัดหาที่พักพิงสำหรับบุคลากรที่ทำหน้าที่ของตนเป็นงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราเพียงต้องทำหลังจากได้รับการจัดแจงโดยตรงจากเบื้องบนแล้วเท่านั้น หากเบื้องบนไม่ได้จัดแจง พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว และต่อให้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา นอกจากนี้ แต่ละประเทศก็มีข้อบังคับที่แตกต่างกันในเรื่องการเข้าเมืองและสถานะทางกฎหมาย เราไม่สามารถจัดการกับประเด็นที่สำคัญเช่นนี้ได้! ทุกคนก็ต้องพึ่งพาตนเองและคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุด—หากพวกเขาสามารถอยู่ในประเทศได้ พวกเขาก็อยู่ หากไม่ได้ พวกเขาก็กลับไป” ถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) เจ้าคิดอย่างไรกับท่าทีนี้? (นี่คือการขาดความรับผิดชอบ) ในแง่หนึ่ง มันคือการขาดความรับผิดชอบ และในอีกแง่หนึ่ง มันคือการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานจริงและปัดความรับผิดชอบ สำหรับผู้นำและคนทำงาน การจัดหาที่พักพิงสำหรับบุคลากรสำคัญของงานในต่างแดนก็เป็นงานที่สำคัญเช่นกัน เมื่อจัดหาที่พักพิงอย่างเหมาะสมสำหรับพวกเขาแล้วและพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างปกติ ขั้นตอนต่อไปในทันทีคือการจัดให้บุคลากรฝ่ายกิจธุระภายนอกมานำพวกเขาดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดสภาวการณ์พิเศษขึ้นในระหว่างการดำเนินการที่พี่น้องชายหญิงไม่สามารถจัดการได้ ผู้นำและคนทำงานควรคิดหาวิธีแก้ไข และไม่เพิกเฉยต่อประเด็นนั้น หากมีปัญหาใดๆ กับการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมาย นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยและควรได้รับการจัดการและแก้ไขโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่าล่าช้า—สิ่งที่สามารถทำได้ในวันนี้ไม่ควรถูกเลื่อนไปจนถึงวันพรุ่งนี้ การเลื่อนไปจนถึงวันรุ่งขึ้นอาจนำไปสู่ผลที่ตามมาซึ่งเลวร้ายเกินกว่าจะจินตนาการได้ หากผู้นำและคนทำงานประมาทเลินเล่อและละเลยในความรับผิดชอบของตน ไม่ให้ความเร่งด่วนกับเรื่องนี้และทำให้เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายต้องล่าช้าออกไป อันเป็นเหตุให้บุคลากรที่ทำหน้าที่ของตนไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างปกติ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? บุคคลเหล่านี้ได้ยื่นคำร้องต่อผู้นำคริสตจักรและบุคลากรฝ่ายดำเนินการแล้ว และผู้นำและคนทำงานก็รับทราบ แต่เพราะพวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้หรือหาข้ออ้างที่จะไม่จัดการ การดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของบุคลากรสำคัญของงานบางคนจึงล่าช้า ซึ่งส่งผลกระทบต่องานที่สำคัญบางอย่างของคริสตจักรในระดับหนึ่ง แล้วพวกเจ้าคิดว่าใครควรรับผิดชอบในที่นี้? (ผู้นำและคนทำงาน) พระนิเวศของพระเจ้าได้เน้นย้ำเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้นำและคนทำงานไม่ได้ไม่รับทราบเรื่องนี้ และพวกเขาก็ไม่ได้ไม่ได้รับแจ้งหรือขาดความเข้าใจ แต่พวกเขารู้เรื่องนี้แต่ไม่ให้ความสำคัญ ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของพวกเขาเอง ตราบใดที่เป็นปัญหาของคนอื่น พวกเขาก็จะเลื่อนเรื่องนั้นออกไปเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ และในท้ายที่สุดก็ทำให้เรื่องที่สำคัญอย่างการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องล่าช้าออกไป เมื่อผลที่ตามมาเกิดขึ้น ผู้นำและคนทำงานต้องรับผิดชอบ ความรับผิดชอบนี้ไม่ใช่แค่คำพูด—หากส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่สำคัญแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานต้องแบกรับก็จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างน้อยที่สุด พระเจ้าทรงบันทึกความผิดของพวกเขาไว้ นั่นจะเป็นการกระทำผิด—นั่นคือผลที่ตามมา หากเรื่องนั้นตกเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องทำ เป็นสิ่งที่อยู่ในขอบข่ายความรับผิดชอบของเจ้า และเจ้าไม่ทำหรือเพิกเฉย หรือทำให้ล่าช้าเนื่องจากเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง เจ้าก็ต้องรับผิดชอบ บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ฉันไม่มีหนทางไปต่อใดๆ เลย” แต่เจ้าได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นและแสวงหาจากผู้นำระดับสูงกว่าในโอกาสแรกหรือไม่? บางคนก็กล่าวว่าพวกเขาลืมเรื่องนี้ไปเพราะพวกเขายุ่งกับงานอื่น แม้ว่าพวกเขาจะลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ เนื่องจากความยุ่ง แต่พวกเขาจะยังคงลืมได้อย่างไรหลังจากที่มีคนหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาต่อพวกเขาและเตือนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า? นี่บ่งชี้ถึงปัญหาอะไร? (พวกเขาไม่ได้ใส่ใจการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของพี่น้องชายหญิง พวกเขาไม่มีสำนึกในภาระใดๆ เลย) ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถลืมเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาขาดสำนึกรับผิดชอบและไม่น่าไว้วางใจ เจ้าสามารถลืมสิ่งที่สำคัญอย่างการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้—เจ้าจะลืมการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของเจ้าเองหรือไม่? หากเจ้าจะไม่ลืมเรื่องของเจ้าเองแต่สามารถลืมเรื่องของคนอื่น นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ามีลักษณะนิสัยที่แย่ ขาดความรัก เห็นแก่ตัวและต่ำช้า เจ้าได้ดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของเจ้าเองเสร็จสิ้นแล้ว แต่เจ้ากลับปฏิบัติต่อการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของพี่น้องชายหญิงประหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ไม่สำคัญ—หรือถึงกับเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง—และในท้ายที่สุดก็ทำให้การดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญนี้ต้องล่าช้าออกไป เจ้าสามารถรับผิดชอบการนั้นได้หรือไม่? ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ขาดมโนธรรมและเหตุผลอย่างสิ้นเชิงมิใช่หรือ? พวกเขาช่างเห็นแก่ตัวและต่ำช้าเหลือเกิน! พวกเขาใส่ใจแต่ตนเองและไม่ใส่ใจผู้อื่น—นี่บ่งชี้ถึงปัญหาอะไร? พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ? (ใช่) แก่นแท้ของปัญหาของพวกเขาถูกเปิดโปงอย่างเต็มที่ พวกเขาเพียงแค่ไม่ต้องการที่จะใส่ใจกับการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของพี่น้องชายหญิง พวกเขาพบว่ามันยุ่งยาก ในใจของพวกเขา พวกเขาคิดว่า “การดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของพี่น้องชายหญิงเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน?” นี่คือท่าทีที่พวกเขาปฏิบัติต่อเรื่องการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของพี่น้องชายหญิง และในท้ายที่สุดก็ทำให้เรื่องที่สำคัญนี้ต้องล่าช้าออกไป ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง และส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร เจ้าจะกล่าวว่าผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้สมควรได้รับการลงโทษหรือไม่? (สมควร) พวกเขาควรต้องรับผิดชอบเพราะมันเป็นความตั้งใจ มันไม่ใช่ความล่าช้าโดยไม่ได้ตั้งใจที่เกิดจากปัจจัยภายนอกอย่างแน่นอน หากมีภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม หรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญบางอย่างที่ทำให้การคมนาคมและการสื่อสารหยุดชะงัก ทำให้ไม่สามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่หากไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น และพวกเขายังคงลืมหรือละเลยการดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของพี่น้องชายหญิง ทำให้เรื่องที่สำคัญเช่นนี้—สถานะทางกฎหมายของบุคคลเหล่านี้—ต้องล่าช้าออกไป ผู้นำหรือคนทำงานเช่นนี้ก็คือผู้ที่ละเลยในความรับผิดชอบของตน ความผิดของพวกเขาจะถูกบันทึกเอาไว้และต้องรับผิดชอบ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) เมื่อเห็นว่าเจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าก็มีความรับผิดชอบที่จะทำงานที่เจ้าควรทำ สำหรับทุกสิ่งที่อยู่ในขอบข่ายความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าต้องจัดการและทำสิ่งนั้นให้เสร็จสิ้นอย่างเหมาะสมตามข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่หากเจ้าจงใจหลีกเลี่ยงที่จะทำหรือทำให้สิ่งนั้นล่าช้า นี่คือการละเลยความรับผิดชอบของเจ้า และการละเลยนี้คือการกระทำผิด หากเจ้าจงใจทำให้เรื่องล่าช้าและไม่จัดการ ความล้มเหลวของเจ้าก็จะกลายเป็นการกระทำผิดในที่สุด และพระเจ้าจะทรงบันทึกความผิดของเจ้าไว้ เจ้าจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้
ในประเทศต่างๆ ในต่างแดน หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรประสบปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมาย หรือถูกเพื่อนบ้านหรือคนแปลกหน้ายื่นเรื่องร้องเรียนหรือรายงาน พวกเขาก็อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกเนรเทศ อีกทั้งยังอาจเกิดเรื่องที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนถูกรัฐบาลของบางประเทศกักขังและลงโทษ หรือจับกุมและจำคุกด้วยข้อหาที่กุขึ้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เมื่อผู้นำและคนทำงานล่วงรู้เรื่องนี้ พวกเขาไม่ควรทำตัวเป็นเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง แต่ควรจัดการเรื่องนี้โดยทันที โดยตั้งเป้าหมายสูงสุดไว้ที่การรับประกันความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง และไม่ยอมให้พวกเขาตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนชั่ว หากผู้นำและคนทำงานมัวแต่ใส่ใจจัดแจงงานของคริสตจักร แต่กลับไม่ใส่ใจดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของพี่น้องชายหญิง จนส่งผลให้พวกเขาถูกจับกุมหรือถูกเนรเทศเพราะไม่มีสถานะทางกฎหมาย นี่เป็นผลสืบเนื่องเช่นใด? ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ไม่ได้ทำลายโอกาสในการทำหน้าที่ของพี่น้องชายหญิงไปแล้วหรอกหรือ? การกระทำเช่นนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่องานของคริสตจักรหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้วปัญหานี้ย่อมมีธรรมชาติที่ร้ายแรงทีเดียว หากผู้นำและคนทำงานไม่เคยจัดการเรื่องนี้มาก่อน พวกเขาก็สามารถหาคนในหมู่พี่น้องชายหญิงที่เชี่ยวชาญในการจัดการกิจธุระภายนอกเพื่อปรึกษาทนายความให้จัดการเรื่องนี้ โดยมุ่งบรรลุเป้าหมายในการปกป้องพี่น้องชายหญิงและคุ้มครองความปลอดภัยของบุคลากรสำคัญของงาน นี่เป็นงานสำคัญที่ผู้นำและคนทำงานต้องปฏิบัติในต่างแดนด้วยเช่นกัน ผู้นำและคนทำงานในท้องถิ่นต้องดูแลเรื่องนี้ในเชิงรุก นอกเหนือจากการคุ้มครองความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงในท้องถิ่นแล้ว พวกเขาต้องคุ้มครองความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงจากต่างแดนยิ่งกว่า ด้วยวิธีนี้เท่านั้นงานของคริสตจักรจึงจะมีความแน่นอน นี่คือความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานในแต่ละประเทศควรลุล่วงต่อพี่น้องชายหญิงในท้องถิ่นและบุคลากรทำงานคนสำคัญจากต่างแดน พวกเขาไม่ควรนิ่งดูดาย ผู้นำและคนทำงานบางคนกล่าวว่า “พวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิงจากต่างแดน พวกเราไม่คุ้นเคยกับพวกเขา และไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวต่อกัน พระนิเวศของพระเจ้าส่งพวกเขามาประกาศข่าวประเสริฐที่นี่—แล้วจะมาเกี่ยวอะไรกับพวกเรา? เรื่องร้ายนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพราะไม่ได้สอบถามสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนมาและไม่ได้จัดการเรื่องเหล่านี้ให้ดี พวกเราไม่มีทางที่จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นนี้ได้ ใครจะรู้ว่ารัฐบาลจะทำอะไรกับพวกเขา” พวกเขาเพียงแค่ใช้ข้ออ้างต่างๆ เพื่อหลบเลี่ยงและหลีกหนีเรื่องเหล่านี้ และไม่พยายามก้าวออกมาหาทางแก้ไข การกระทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) ทำไมถึงไม่ถูกต้อง? (หากผู้นำและคนทำงานไม่ก้าวออกมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และในขณะเดียวกันพี่น้องชายหญิงก็ไม่มีหนทางแก้ไขปัญหา ก็ย่อมเกิดความเดือดร้อนขึ้นอย่างแน่นอน ผู้นำและคนทำงานไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนในการคุ้มครองพี่น้องชายหญิง—นี่คือการละเลยความรับผิดชอบ) หน้าที่ของผู้นำและคนทำงานคือการลุล่วงความรับผิดชอบทุกประการที่ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วงในพระนิเวศของพระเจ้า ขอบเขตของพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่ท้องถิ่น ภูมิภาคท้องถิ่น หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง พระนิเวศของพระเจ้านั้นไร้พรมแดน ไม่มีข้อจำกัดทางภูมิภาค ในการที่พระเจ้าทรงเลือกสรรผู้คนและช่วยผู้คนให้รอดนั้น มีข้อจำกัดทางเชื้อชาติหรือไม่? (ไม่มี) มีข้อจำกัดทางสัญชาติหรือภูมิภาคหรือไม่? (ไม่มีเช่นกัน) ไม่มีเลย นี่คือหลักธรรมที่พระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจ ดังนั้น หลักธรรมนี้จึงเป็นความจริง! ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะมาจากประเทศใด พวกเขาทั้งหมดก็เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ติดตามพระเจ้าองค์เดียว และยังกินและดื่มความจริงที่พระเจ้าองค์เดียวนั้นทรงสามัคคีธรรมและจัดเตรียมให้ พวกเขาผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจที่พระเจ้าองค์เดียวทรงทำ และนมัสการพระเจ้าองค์เดียว ไม่ว่าจะสีผิวหรือเชื้อชาติใด ในพระนิเวศของพระเจ้าและเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาก็เป็นหนึ่งเดียว—พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ไม่ควรมีการแบ่งแยกในหมู่พวกเขา ไม่ควรมีข้อจำกัดทางเชื้อชาติหรือภูมิภาค ไม่ควรมีการแบ่งแยกว่า “คุณเป็นชาวเอเชีย ฉันเป็นชาวยุโรป” หรือ “คุณเป็นคนขาว ฉันเป็นคนผิวสี”—ไม่ควรมีการแบ่งแยกเหล่านี้ หากเจ้ายังคงแบ่งแยกในลักษณะเหล่านี้ในพระนิเวศของพระเจ้า ก็ชัดเจนว่าคุณไม่ได้ถือว่าพระนิเวศของพระเจ้าเป็นพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้น เมื่อพี่น้องชายหญิงจากต่างแดนประสบปัญหาต่างๆ เช่น การถูกเนรเทศหรือการจับกุมอย่างผิดกฎหมาย ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากที่ใด มีสัญชาติใด หรือมีสีผิวใด พวกเขาก็คือพี่น้องชายหญิง—ในเมื่อเป็นพี่น้องชายหญิง เมื่อพวกเขาเผชิญปัญหา ผู้นำและคนทำงานในท้องถิ่นก็ควรจะก้าวออกมาจัดการเรื่องนี้อย่างที่ไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้ และไม่ควรแบ่งแยกผู้คน นี่สอดคล้องกับหลักธรรม เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มที่ และเป็นความจริงที่ผู้คนควรปฏิบัติ
ปัจจุบัน ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจำนวนมากจากประเทศจีนกำลังเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ในต่างแดนเพื่อประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า หลังจากที่พวกเขาเดินทางไปถึงประเทศเหล่านี้แล้ว สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำคือดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายของตนให้เรียบร้อยก่อนจึงจะสามารถทำงานได้อย่างสบายใจ การดำเนินการเรื่องสถานะทางกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้คนในคริสตจักรท้องถิ่น ผู้ที่รับผิดชอบคริสตจักรในประเทศต่างๆ ควรเสาะหาพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจนโยบายและรู้กฎหมายของประเทศตนเพื่อช่วยประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากประเทศจีนจัดการเรื่องการดำเนินการขอสถานะทางกฎหมาย การจัดการเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรในประเทศต่างๆ ควรพยายามทุกวิถีทางที่จะจัดการเรื่องนี้ให้ลุล่วง เพราะงานของคริสตจักรจะสามารถดำเนินไปได้อย่างปกติก็ต่อเมื่อเรื่องสถานะทางกฎหมายของผู้คนได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้วเท่านั้น มิฉะนั้นแล้ว งานของคริสตจักรจะได้รับผลกระทบ ผู้ที่รับผิดชอบคริสตจักรในประเทศต่างๆ ควรเตรียมผู้คนที่สามารถจัดการเรื่องดังกล่าวให้พร้อมไว้เสมอ การทำเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและยังเป็นการสำแดงให้เห็นการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอีกด้วย ผู้นำและคนทำงานบางคนอาจกล่าวว่า “พวกเราไม่เคยจัดการเรื่องแบบนี้ และก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเช่นกัน” ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาควรเสาะหาผู้คนที่เข้าใจกิจธุระประเภทนี้ ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในแต่ละประเทศ มีทั้งผู้ที่มีการศึกษาและความรู้ และผู้ที่เข้าใจกฎหมายและนโยบายของประเทศ สำหรับพวกเขาแล้ว การจัดการเรื่องเหล่านี้ต้องการเพียงการปรึกษาเล็กน้อยเพื่อหาหนทาง—มิใช่เช่นนั้นหรือ? ในการจัดการเรื่องประเภทนี้ เจ้าไม่ควรนิ่งนอนใจหรือรอรับแต่ฝ่ายเดียว หากไม่เข้าใจสิ่งใด ก็ควรหาทนายความเพื่อปรึกษา ตราบใดที่หาทนายความในด้านที่เกี่ยวข้องได้ ก็ย่อมจะมีหนทางโดยธรรมชาติ พวกเราอาจไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่ทนายความย่อมเข้าใจ การมีหัวใจที่เสาะแสวงเป็นท่าทีที่ถูกต้อง และเป็นการสำแดงให้เห็นการมีสำนึกรับผิดชอบ หากเกิดความยุ่งยากบางอย่างขึ้น พวกเจ้าควรอธิษฐาน แสวงหา และสามัคคีธรรมร่วมกันด้วยจิตด้วยใจเดียวกัน และหลังจากที่พบหลักธรรมและหนทางที่จะแก้ไขปัญหาแล้ว ก็ควรแก้ไขปัญหานั้นให้หมดสิ้นไป เมื่อนั้นเท่านั้นงานของคริสตจักรจึงจะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หากเมื่อค้นพบปัญหาแล้ว ผู้นำและคนทำงานสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหานั้น ติดตาม และแก้ไขได้โดยทันที พวกเขาเป็นผู้นำและคนทำงานที่มีความรับผิดชอบมิใช่หรือ? (ใช่) ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ไม่เพียงแต่มีสำนึกรับผิดชอบเท่านั้น แต่ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้โดยทันทีอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีความหวังที่จะได้เป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าความเข้าใจในความจริงของพวกเขาจะลึกมากน้อยเพียงใด หากพวกเขามุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหา พวกเขาก็สามารถทำงานจริงได้ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็สามารถทำผิดพลาดน้อยลงหรือไม่ทำผิดพลาดเลย และแม้ว่าพวกเขาจะทำผิดพลาดบ้าง ก็สามารถแก้ไขได้โดยทันทีเพื่อบรรเทาความเสียหาย และในท้ายที่สุดก็บรรลุเป้าหมายในการพิทักษ์รักษางานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเจ้าคิดว่าการลุล่วงความรับผิดชอบนี้เป็นเรื่องยากหรือไม่? (ไม่) อันที่จริง มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนมีความจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตนหรือไม่ และสามารถลุล่วงความรับผิดชอบในงานของตนได้หรือไม่ เจ้าเพียงต้องใส่ความคิดลงไปบ้าง ใช้เวลาสักหน่อย และทุ่มเทกำลังลงไปประมาณหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เงินหรือรับความเสี่ยงใดๆ เจ้าเพียงต้องก้าวออกมาช่วยแก้ไขปัญหาและจัดการเรื่องต่างๆ ให้ดี และด้วยวิธีนี้ เจ้าก็สามารถได้มาตรฐาน ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่เรื่องยาก และสำหรับผู้นำและคนทำงานแล้ว นี่ควรจะเป็นเรื่องที่สัมฤทธิ์ได้ง่าย แต่มีบางคนที่ไม่สามารถทำแม้กระทั่งสิ่งที่ง่ายขนาดนี้ให้สำเร็จได้ และชัดเจนอย่างยิ่งว่านี่ไม่ได้เกิดจากขีดความสามารถหรือความสามารถไม่เพียงพอ หรือจากเงื่อนไขหรือสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำมากกว่า เมื่อเกิดสถานการณ์พิเศษขึ้นที่เกี่ยวข้องกับสถานะทางกฎหมายหรือการพำนักอาศัยของบุคลากรสำคัญของงาน หรือเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดหาที่พักพิงให้พวกเขา ผู้นำและคนทำงานมีความรับผิดชอบที่จะดำเนินงานนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังจัดหาที่พักพิงให้ใคร หรือพวกเขามีสัญชาติหรือเชื้อชาติใด ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำก็คือยอมรับงานนี้จากพระเจ้า พระเจ้าทรงมอบหมายงานนี้ให้เจ้า เป็นความรับผิดชอบและพันธะของเจ้า รวมถึงเป็นพันธกิจของเจ้า งานนี้ที่เจ้ายอมรับมาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากบุคคลใด ดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรคิดคำนึงว่าคนที่เจ้ากำลังจัดหาที่พักพิงให้เหล่านี้คือใคร บางคนอาจกล่าวว่า “การปกป้องพี่น้องชายหญิงในท้องถิ่นนั้นยอมรับได้ แต่ไม่ใช่ธุระของพวกเราหากพี่น้องชายหญิงจากต่างแดนมาที่นี่” คนที่พูดเช่นนี้มีสำนึกรับผิดชอบหรือมีความเป็นมนุษย์หรือไม่? (ไม่มี) พวกเขาถือว่าพี่น้องชายหญิงในท้องถิ่นเป็นพี่น้องชายหญิง แต่ไม่ถือว่าพี่น้องชายหญิงจากต่างแดนเป็นพี่น้องชายหญิง—นี่ฟังขึ้นหรือไม่? (ไม่) นี่สอดคล้องกับความจริงหรือไม่? (ไม่) ทำไมถึงไม่สอดคล้องกับความจริง? (ผู้นำเทียมเท็จไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาเพิกเฉยต่อพี่น้องชายหญิงจากต่างแดน และไม่ก้าวออกมาจัดการประเด็นต่างๆ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น—พวกเขาไม่พิทักษ์รักษางานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า) ผู้นำเทียมเท็จปัดความรับผิดชอบด้วยข้ออ้างต่างๆ และไม่ทำงานจริง พวกเขาอ้างว่าเต็มใจที่จะสละตนเพื่อพระเจ้าและเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง แต่เมื่อเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งยวดอย่างแท้จริงในงานของคริสตจักร พวกเขากลับซ่อนตัว นี่คือการขาดความรับผิดชอบ สำหรับทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงในต่างแดน ผู้นำและคนทำงานต้องจัดการเรื่องเหล่านั้นโดยทันที โดยปฏิบัติประหนึ่งว่าเป็นความรับผิดชอบและภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ พวกเขาไม่ควรหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยง และไม่ควรปล่อยให้การละเลยงานนี้ของตนส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าของงานต่างๆ แห่งพระนิเวศของพระเจ้า
ข. การให้ความรู้ทางกฎหมายขั้นพื้นฐานแก่พี่น้องชายหญิงทุกคน
พวกเจ้าสามารถนึกถึงแง่มุมอื่นใดของงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงในต่างแดนได้อีกบ้าง? (ในประเทศต่างๆ ในต่างแดน ผู้นำและคนทำงานต้องให้ความรู้ทางกฎหมายขั้นพื้นฐานแก่พี่น้องชายหญิงทุกคนด้วย เพื่อให้พวกเขามีการตระหนักรู้ทางกฎหมายและหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย) ผู้นำและคนทำงานควรให้ความรู้ทางกฎหมายขั้นพื้นฐานและความเข้าใจในข้อบังคับต่างๆ ของรัฐบาลแก่พี่น้องชายหญิงทุกคน พวกเขาควรเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับด้านเหล่านี้จากพี่น้องชายหญิงท้องถิ่นในประเทศที่พวกเขาอยู่ เช่น นโยบายการเข้าเมืองและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน แล้วจึงจัดให้พี่น้องชายหญิงศึกษาเรื่องเหล่านี้เพื่อให้พวกเขาปฏิบัติตามข้อบังคับของรัฐบาลประเทศนั้นๆ อย่างเคร่งครัด และละเว้นจากการทำอะไรก็ตามที่ละเมิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากประเทศจีนซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการมานานหลายปี ย่อมขาดความรู้ทางกฎหมายและไม่เข้าใจความสำคัญของกฎหมาย เป็นผลให้พวกเขาทำอะไรตามสบายและไม่ระมัดระวัง เหมือนคนที่ไร้อารยธรรม เมื่อพวกเขามาพำนักอยู่ต่างแดน พวกเขาดูเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างยิ่งและมักทำสิ่งต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจในกฎเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น ในบางประเทศประชาธิปไตยทางตะวันตก ความสงบเรียบร้อยของสังคมได้รับการจัดการเป็นอย่างดี โดยมีข้อบังคับห้ามส่งเสียงดังตั้งแต่เวลา 22.00 น. ถึง 8.00 น.—ไม่ว่าจะเป็นเสียงสุนัขเห่าหรือเสียงเครื่องจักรก่อสร้างก็ไม่อนุญาตให้มีได้ หากใครละเมิดข้อบังคับเหล่านี้และถูกรายงาน ตำรวจก็จะเข้ามาจัดการ ในจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่มีใครจัดการเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าผู้คนจะอาศัยอยู่ที่ใดก็จะมีเสียงดังอึกทึกครึกโครม ทั้งเสียงเพลงดัง การเต้นรำ การดื่มสุรา และการสังสรรค์ และไม่มีใครเข้ามายุ่ง หากใครพยายามจะเข้าไปจัดการ ก็อาจถูกเอาคืนได้ ดังนั้นคนจีนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทนเอา ประเทศตะวันตกนั้นแตกต่างออกไป ทุกคนได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย หากสุนัขของเจ้าร้องเห่าบ่อยครั้งในตอนกลางดึกจนรบกวนการพักผ่อนของเพื่อนบ้าน พวกเขาก็จะยื่นเรื่องร้องเรียนเจ้า สิ่งที่เจ้ากำลังทำส่งผลกระทบต่อความปกติสุขของผู้อื่น และเจ้าได้ละเมิดข้อบังคับทางกฎหมาย—จึงเป็นเรื่องชอบด้วยกฎหมายที่พวกเขาจะใช้กฎหมายเป็นอาวุธเพื่อยื่นเรื่องร้องเรียนเจ้า ยังมีคนที่ทำงานก่อสร้างต่อไปจนถึงเวลา 23.00 น. หรือเที่ยงคืน ซึ่งรบกวนการพักผ่อนของเพื่อนบ้านจนเกิดการร้องเรียนขึ้น จากนั้นตำรวจก็มาออกใบสั่งและเตือนพวกเขาไม่ให้ส่งเสียงดังในช่วงเวลาที่กำหนด บางคนถึงกับขาดจิตสำนึกในการรักษาสภาพแวดล้อมให้สะอาด ทิ้งขยะเกลื่อนกลาดไปทั่วท้องถนน ประเทศประชาธิปไตทางยตะวันตกมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นพิเศษ ผู้อยู่อาศัยกำหนดเวลาสำหรับทิ้งขยะไว้ และรถเก็บขยะจะมาเก็บในวันที่กำหนด หลังจากการเก็บขยะแล้ว ถนนหนทางก็ยังคงสะอาดสะอ้าน ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้อาจทิ้งขยะเกลื่อนกลาด ซึ่งก็ถือเป็นการละเมิดข้อบังคับเช่นกัน การกระทำนี้ส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยของประชาชนและภาพลักษณ์ของเมือง ดังนั้นจึงอาจมีการยื่นเรื่องร้องเรียนพวกเขาได้ คนจีนซึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ มักถูกร้องเรียนเมื่อพำนักอยู่ในต่างแดน หลังจากถูกรายงานหลายครั้ง พวกเขาก็เกิดความเห็นต่อชาวตะวันตกว่า “พวกฝรั่งนี่ชอบร้องเรียนกันจริงๆ แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เว้น” ซึ่งเราขอกล่าวว่า “พวกเขาได้ยื่นเรื่องร้องเรียนเจ้าในหลายเรื่อง แต่เจ้ากลับไม่ทบทวนตนเอง ยังไปโทษพวกเขาที่ยื่นเรื่องร้องเรียนอีก แล้วที่พวกเขายื่นเรื่องร้องเรียนนั้นถูกต้องหรือไม่? สิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้องหรือไม่?” พวกเขาถูกต้องอย่างสิ้นเชิงที่ยื่นเรื่องร้องเรียนเหล่านั้น เพราะเจ้าทำให้พวกเขาเสียประโยชน์และส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขา แล้วทำไมพวกเขาจะร้องเรียนเจ้าไม่ได้เล่า? การทำเช่นนี้ก็เพื่อพิทักษ์รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและแสดงให้เห็นว่าประเทศนี้ปกครองด้วยกฎหมาย ทุกคนได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และกฎหมายในประเทศนี้ไม่ได้มีไว้เป็นแค่ไม้ประดับ—ทุกคนสามารถใช้กฎหมายเป็นอาวุธเพื่อพิทักษ์รักษาสิทธิและผลประโยชน์ของตนเองได้ พวกเขากำลังยื่นเรื่องร้องเรียนเจ้าเพราะเจ้าไม่เข้าใจกฎหมายและได้ละเมิดข้อบังคับท้องถิ่น เจ้าควรเรียนรู้ข้อบังคับท้องถิ่นก่อนและปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ—แล้วเจ้าคิดว่าพวกเขายังจะยื่นเรื่องร้องเรียนเจ้าอีกหรือไม่? (พวกเขาจะไม่ยื่นเรื่องร้องเรียนอีกต่อไป) แล้วทำไมคนจีนถึงไม่เคยยื่นเรื่องร้องเรียนเลย ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงเพียงใด? (เพราะพวกเขาถูกรัฐบาลกดขี่มานานเกินไป พวกเขาไม่กล้ายื่นเรื่องร้องเรียน อีกทั้งคนจีนยังไม่มีแนวคิดเรื่องการปกป้องสิทธิของตนด้วย) จีนไม่ใช่ประเทศที่ปกครองด้วยหลักนิติธรรม ไม่ได้ปกครองตามกฎหมาย กฎหมายของจีนมีไว้เพียงแค่ประดับเท่านั้น และการยื่นเรื่องร้องเรียนที่นั่นก็ไร้ประโยชน์ หากเจ้ายื่นเรื่องร้องเรียนเข้าจริงๆ และอีกฝ่ายมีอำนาจและอิทธิพล พวกเขาก็อาจเล่นงานเจ้าได้ หากเจ้าไม่มีอิทธิพล เจ้าก็จะไม่กล้ายื่นเรื่องร้องเรียนด้วยซ้ำ การยื่นเรื่องร้องเรียนอาจนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่เจ้าได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเมื่อคนจีนเผชิญกับการข่มเหง—โดยเฉพาะในกรณีที่มีคนเสียชีวิต—ไม่ว่าการตายนั้นจะอยุติธรรมเพียงใด หากผู้กระทำผิดยอมจ่ายเงินสักหน่อยเรื่องก็จะยุติลงอย่างเงียบๆ ทำไมสมาชิกในครอบครัวของเหยื่อถึงไม่ฟ้องร้อง? เพราะพวกเขารู้ว่าพวกตนจะไม่มีวันชนะคดี การฟ้องต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาก็จะยังคงไม่ได้รับความยุติธรรม และผู้กระทำผิดก็จะไม่ถูกนำตัวมาลงโทษ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายแต่ตกลงกันเงียบๆ แทน กฎหมายของจีนเป็นเพียงไม่ประดับเท่านั้น จีนไม่ใช่ประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมาย และหาความยุติธรรมไม่ได้เลย การยื่นฟ้องจึงไร้ประโยชน์ ดังนั้น ไม่ว่าคนจีนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายใดๆ พวกเขาก็ไม่กล้ายื่นเรื่องร้องเรียน นี่เป็นเพราะพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากการกระทำผิด เป็นพวกไร้เหตุผล และไม่ได้ปกครองตามกฎหมาย ในประเทศจีน ตราบใดที่คนหนึ่งเป็นคนธรรมดา ไม่ว่าปัญหาที่พวกเขาเผชิญจะร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลในสายตาของพรรคคอมมิวนิสต์—จะไม่มีใครจัดการเรื่องนี้ให้ เรื่องต่างๆ เช่น การรบกวนการพักผ่อนของผู้อื่น หรือแม้แต่กรณีการลักขโมย การปล้น และการย่องเบา พรรคคอมมิวนิสต์ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา อย่างไรก็ดี ในประเทศตะวันตกนั้นแตกต่างออกไป ตะวันตกมีระบอบประชาธิปไตยและเป็นสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมาย ตราบใดที่เป็นการรบกวนการพักผ่อนของผู้อื่น ก็จะมีคนยื่นเรื่องร้องเรียน และตำรวจจะมาตรวจสอบและจัดการเรื่องนั้น ชาวตะวันตกมีความตระหนักรู้ทางกฎหมายนี้และไม่ทำเรื่องโง่ๆ เช่นนั้น มีเพียงผู้ที่มาจากต่างแดนและไม่เข้าใจกฎเกณฑ์เท่านั้นที่ทำเรื่องโง่ๆ เหล่านี้ เมื่อคนจีนเพิ่งเริ่มใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน พวกเขาก็มักจะได้รับการร้องเรียน เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับท้องถิ่นและไม่กล้าทำในสิ่งต่างๆ ที่ละเมิดกฎหมายหรือรบกวนผู้อื่นอีกต่อไป ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานควรจัดให้พี่น้องชายหญิงเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ของประเทศที่พวกเขาอยู่ ไม่ว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอะไร พวกเขาต้องพิจารณาเรื่องกฎหมายก่อน—แม้แต่การเลี้ยงไก่หรือสุกรในสวนหลังบ้านของตนเอง พวกเขาก็ควรตรวจสอบข้อบังคับของทางการก่อน พวกเขาสามารถค้นหาข้อมูลทางออนไลน์หรือปรึกษากับพี่น้องชายหญิงในท้องถิ่น และพบคำตอบที่ถูกต้องได้ด้วยวิธีนี้ รัฐบาลในนานาประเทศทางตะวันตก มีข้อบังคับที่เฉพาะเจาะจงในทุกเรื่อง ตัวอย่างเช่น ในการก่อสร้าง มีข้อบังคับเกี่ยวกับความสูงของปลั๊กไฟจากพื้นและระยะห่างระหว่างปลั๊กแต่ละตัว ยังมีมาตรฐานที่เจาะจงสำหรับความหนาของราวบันไดและความกว้างของลูกกรงบันไดอีกด้วย การก่อสร้างแต่ละขั้นตอนจะถูกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนั้นกรณีของอาคารที่ละเมิดกฎการก่อสร้างหรือการก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับจึงมีน้อย หากผู้อยู่อาศัยต้องการสร้างบ้าน โรงเก็บเครื่องมือ หรือโรงเก็บของขนาดเล็กในสวนของตน พวกเขาจะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาล หากพวกเขาต้องการเลี้ยงเป็ดหรือไก่ ก็มีข้อบังคับเรื่องการเว้นระยะห่างของคอกจากที่ดินของเพื่อนบ้าน ต่อให้ผู้นำและคนทำงานจะไม่เข้าใจกฎหมายและข้อบังคับเหล่านี้ แต่หากงานคริสตจักรเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ ผู้นำและคนทำงานก็ต้องใส่ใจเรื่องเหล่านี้ พวกเขาควรพิจารณาเรื่องกฎหมายท้องถิ่นและข้อบังคับของทางการก่อน การทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ให้ชัดเจนเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา แม้ว่าเรื่องทางกฎหมายจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานภายในของคริสตจักร แต่การให้ความรู้ทางกฎหมายขั้นพื้นฐานแก่ทุกคนก็ยังคงเป็นประโยชน์ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็สามารถได้รับความรู้บ้าง เข้าใจกฎเกณฑ์บางส่วน เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม และบรรลุสภาพเสมือนมนุษย์ได้ นอกจากนี้ ผู้นำและคนทำงานควรสามัคคีธรรมกับผู้ที่รับผิดชอบกิจธุระภายนอก ช่วยให้พวกเขาพัฒนาความตระหนักรู้ทางกฎหมาย สำหรับเรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องปรึกษาทนายความ—พวกเขาเพียงต้องเข้าใจข้อบังคับท้องถิ่นและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องใหญ่ พวกเขาควรปรึกษาทนายความเพื่อทำความเข้าใจกฎหมายท้องถิ่น โดยสรุป ไม่ว่ากำลังทำอะไร การกระทำทั้งหมดต้องสอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับ การปฏิบัติเช่นนี้เป็นระยะเวลาหนึ่งจะช่วยให้ผู้คนได้รับประสบการณ์ถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ และพวกเขาจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เมื่อทำสิ่งต่างๆ การทำเช่นนี้ยังเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรอีกด้วย
ค. หลักธรรมที่ต้องปฏิบัติตามเมื่อส่งผู้คนไปประกาศข่าวประเสริฐ
ในแง่ของการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญ ยังมีงานอีกด้านหนึ่งที่ผู้นำและคนทำงานต้องใส่ใจ ซึ่งก็คือการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ที่ออกไปทำหน้าที่ของตน ควรปฏิบัติตามหลักธรรมใดเมื่อส่งผู้คนออกไปทำหน้าที่ของตน? ก่อนอื่น ควรพิจารณาถึงอายุและเพศของผู้คน ตลอดจนดุลยพินิจและประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา—ผู้นำและคนทำงานจะเลอะเลือนหรือทำตามสบายในเรื่องนี้ไม่ได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังส่งคนทำงานข่าวประเสริฐไปประกาศข่าวประเสริฐในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย การส่งคนประเภทใดไปจึงจะเหมาะสม? (ผู้ที่มีดุลยพินิจและสติปัญญาอยู่บ้าง) หากคริสตจักรแห่งหนึ่งไม่มีผู้คนที่เหมาะสมมากนัก โดยส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่ขาดประสบการณ์ชีวิตและดุลยพินิจ ไม่รู้วิธีการรับมือสถานการณ์ต่างๆ—โดยเฉพาะปัญหาที่ท้าทาย—เมื่อพวกเขาเจอคนเหล่านี้ คนที่พูดโดยไม่มีหลักธรรม และขาดสติปัญญาอีกด้วย พวกเขาก็จะไม่สามารถทำงานได้ หากส่งคนเช่นนี้ไป ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ยังมักจะส่งผลกระทบต่องานและทำให้งานล่าช้าอีกด้วย ดังนั้น เวลาส่งผู้คนออกไปทำหน้าที่ของตน จึงจำเป็นต้องเลือกผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่แล้วและมีสติปัญญา—เฉพาะคนเช่นนี้เท่านั้นที่เหมาะสม หากมีผู้คนที่เหมาะสมไม่เพียงพอ ก็ให้คนหนุ่มสาวร่วมมือกับผู้สูงวัยออกไปทำหน้าที่ของตน ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีพี่น้องหญิงสาวคนหนึ่งอายุประมาณ 25 หรือ 26 ปี ซึ่งแม้ว่าเธอจะเชื่อในพระเจ้ามานานพอสมควร มีความเชื่อและวุฒิภาวะ และทำหน้าที่ของตนมาเป็นเวลานาน แต่หากถูกส่งไปทำหน้าที่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เธอก็จะไม่รู้วิธีรักษาตนเองให้ปลอดภัย—ในกรณีเช่นนี้ จำเป็นต้องหาพี่น้องชายหรือหญิงในท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ในด้านสังคมมาร่วมมือกับเธอเพื่อทำหน้าที่นั้น แน่นอนว่า หากสถานที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นพื้นที่ที่คุ้นเคยหรือเป็นสถานที่ที่มีคริสตจักรอยู่แล้ว พี่น้องชายหญิงที่อายุน้อยก็สามารถไปได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้คนกำลังจะไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่มีความปลอดภัยสาธารณะไม่ดี เพื่อประกาศข่าวประเสริฐหรือทำงานอื่นแล้ว ก็ต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยส่วนบุคคลของพวกเขา สำหรับผู้นำและคนทำงาน ไม่ว่าพวกเขาจะส่งใครออกไปทำงาน ย่อมต้องพิจารณาความปลอดภัยเป็นอันดับแรก หากไม่ชัดเจนว่าผู้ที่มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐเป็นคนประเภทใด หรือว่าคนเหล่านี้อาจทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ ก็ควรใช้ความระมัดระวังเมื่อส่งผู้คนไปประกาศข่าวประเสริฐ ในอดีต เราเคยได้ยินว่าผู้นำและคนทำงานบางคนมักจะส่งพี่น้องหญิงสาว—อายุประมาณ 18 หรือ 19 ปี หรือในช่วงอายุ 20 ต้นๆ—ไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ และมีรายงานว่าเกิดเรื่องที่ไม่ดีไม่งามขึ้น ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจะเป็นเช่นไร ท้ายที่สุดแล้วมันก็เกี่ยวข้องกับการที่ผู้นำและคนทำงานไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนเมื่อทำงาน ผู้นำและคนทำงานควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ในงานของตนและไม่ควรมอบหมายส่งๆ ให้พี่น้องหญิงสาวหรือชายหนุ่มที่อายุน้อยมากไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและอันตรายเพื่อทำหน้าที่ของตน มีผู้นำคนหนึ่งที่เคยจัดให้พี่น้องหญิงสองคน อายุ 18 หรือ 19 ปี ไปประกาศข่าวประเสริฐ เมื่อมีคนบอกว่าพวกเธออายุน้อยเกินไปและไม่เหมาะสมสำหรับงานนี้ ผู้นำคนนั้นก็หาพี่น้องหญิงอายุ 21 ปีให้ไปแทน โดยคิดว่า “คุณบอกว่า 19 ปีอายุน้อยเกินไป ฉันก็เลยหาคนที่อายุ 21 ปีมา นั่นก็แก่ขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ?” ผู้นำคนนี้มีขีดความสามารถเป็นอย่างไร? เขาเป็นคนมีแนวโน้มที่จะมีความคิดบิดเบือนมิใช่หรือ? (ใช่) อายุมากกว่า 19 ปีเพียงสองปี—เธอจะมีประสบการณ์ชีวิตได้อย่างไร? เธอจะมีประสบการณ์ในสังคมได้อย่างไร? เมื่อเผชิญกับความยุ่งยากหรือสถานการณ์อันตราย เธออาจจะลงเอยด้วยการร้องไห้หรือไม่? แม้ว่าเธอจะอายุมากกว่าอยู่สองปี แต่ในแง่ของอายุ เธอก็ยังอายุน้อยเกินไปและไม่สามารถรับงานนี้ได้ อย่างน้อยที่สุด จำเป็นต้องหาพี่น้องชายหรือหญิงที่อยู่ในช่วงอายุ 30 หรือ 40 ปี หรือ 50 หรือ 60 ปี—พวกเขาอายุมากกว่าและมีประสบการณ์ในสังคม เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ พวกเขาก็มีสติปัญญาที่จะจัดการกับมัน ป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์อันตรายใดๆ ขึ้น คนหนุ่มสาวไม่เคยเห็นหรือผ่านประสบการณ์กับหลายสิ่งหลายอย่างและไม่รู้วิธีจัดการกับสิ่งเหล่านั้น เมื่อเผชิญกับอันตราย พวกเขาอาจไม่ทันตระหนักด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้เกิดเหตุร้ายขึ้นได้ง่าย ผู้สูงวัยซึ่งได้เห็นความเลวร้ายในสังคมนี้และในมวลมนุษย์นี้มามากกว่า มักจะระแวดระวังผู้คนมากกว่า จากประสบการณ์ในสังคมและความรู้จากประสบการณ์ตรงของพวกเขา พวกเขาสามารถทำการตัดสินที่สมเหตุสมผลได้ว่าในบางสถานการณ์อาจมีอันตรายประเภทใดเกิดขึ้น อันตรายนั้นมีระดับสูงเพียงใด บุคคลใดเป็นคนชั่ว และคนบางจำพวกอาจทำสิ่งใดได้บ้าง เมื่อเผชิญกับสถานการณ์อันตราย พวกเขาก็มีสติปัญญาที่จะรอดพ้นจากอันตรายด้วย ในทางกลับกันคนหนุ่มสาวนั้นขาดประสบการณ์ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ พวกเขาก็ไม่อาจรู้ถึงอันตรายที่อาจตามมาได้ ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องความปลอดภัย ผู้สูงวัยจึงพิจารณาได้ถี่ถ้วนกว่าคนหนุ่มสาว เมื่อผู้นำและคนทำงานจัดให้ผู้คนออกไปทำหน้าที่ของตน พวกเขาควรพิจารณาสภาวะในท้องถิ่นและจัดให้ผู้ที่อายุค่อนข้างมากและมีสติปัญญาและประสบการณ์อยู่บ้างมาร่วมมือกับคนหนุ่มสาวเพื่อทำหน้าที่ของตน ผู้นำและคนทำงานต้องพิจารณาเรื่องเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน
ไม่ว่าจะทำงานคริสตจักรในประเทศใด การรับประกันความปลอดภัยของผู้ที่ทำหน้าที่ของตนเป็นงานอย่างหนึ่งที่ผู้นำและคนทำงานต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะส่งให้ใครไปทำงานใด พวกเขาก็ต้องมีขีดความสามารถและความสามารถในระดับหนึ่งเพื่อที่จะเพียงพอสำหรับงาน เพื่อให้สามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่หรือประเทศที่มีความปลอดภัยสาธารณะไม่ดี ผู้นำและคนทำงานควรจะถือว่าความปลอดภัยของผู้ที่ทำหน้าที่ของตนเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรก ไม่ใช่เพิกเฉยอย่างไม่ใส่ใจ บางคนกล่าวว่า “ไม่เป็นไร สิ่งที่พวกเรากำลังทำคือการปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า—พวกเรามีการคุ้มครองของพระเจ้า ดังนั้นจะไม่มีใครตาย จะมีอะไรผิดพลาดได้ล่ะ?” การที่พวกเขากล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง? (การพูดเช่นนี้คือการขาดความรับผิดชอบ และมุมมองนี้ก็เป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างยิ่ง) ผู้คนควรทำอย่างสุดความสามารถเพื่อลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขาสามารถลุล่วงและใส่ใจสิ่งที่พวกเขาสามารถพิจารณาได้ พวกเขาไม่ควรทดลองพระเจ้า หรือเอาความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงมาเดิมพัน พระเจ้าสามารถคุ้มครองผู้คน แต่ถ้าเจ้าไม่พิจารณาปัญหาที่เจ้าสามารถพิจารณาได้ และเจ้าใช้ความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงเป็นเดิมพันเพื่อทดลองพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงเผยเจ้า—ใครทำให้เจ้าโง่เขลาอย่างที่สุด ถึงได้ทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้! เพราะฉะนั้น ผู้นำและคนทำงานไม่ควรใช้คำพูดแบบนี้เป็นข้ออ้างเพื่อทำเรื่องที่ขาดความรับผิดชอบ การรับประกันความปลอดภัยของผู้ที่กำลังทำหน้าที่ของตนเป็นความรับผิดชอบของเจ้า และเจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเจ้าเอง เมื่อได้ใส่ใจทุกสิ่งที่เจ้าพิจารณาได้และทำได้แล้ว เช่นนั้นในส่วนสิ่งที่เจ้าไม่ได้พิจารณา พระเจ้าจะทรงกระทำการในเรื่องนั้นอย่างไรก็เป็นเรื่องของพระเจ้าพระองค์เองและไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า บางคนผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้พระเจ้าอย่างไม่เลือกหน้า โดยกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้รับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้คน พวกเราไม่จำเป็นต้องกลัว พวกเราสามารถประกาศได้ตามที่พวกเราต้องการ เมื่อมีพระเจ้าแล้วทุกอย่างล้วนอิสระเสรี พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องพวกนั้น!” คำกล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) ตามคำกล่าวเช่นนี้ ผู้คนก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาหลักธรรมเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้น ความจริงที่พระเจ้าได้ทรงแสดงไว้จะมีประโยชน์อะไร? ย่อมจะไร้ประโยชน์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากมายอย่างอดทนและอุตสาหะเพื่อสอนผู้คน โดยมีพระประสงค์ที่จะทำให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรสามารถรู้ว่าจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร จะไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไร และจะประพฤติปฏิบัติตนในโลกที่ชั่วร้ายนี้และท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ชั่วร้ายนี้ได้อย่างไร เพื่อที่จะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าทดลองพระเจ้า และไม่ใช่เพื่อให้เจ้ากระทำการตามที่เจ้าปรารถนาตามคำพูดและคำสอนโดยปราศจากหลักธรรม เพื่อให้ผู้นำและคนทำงานทำงานประกาศข่าวประเสริฐได้ดี พวกเขาต้องรับประกันความปลอดภัยของผู้คนซึ่งสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรก ในการที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาต้องล่วงรู้และเข้าใจสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงของผู้ที่กำลังทำหน้าที่ของพวกเขาเสียก่อน ส่งคนที่เหมาะสมออกไป และเข้าใจด้วยว่าจะทำอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของผู้คน หากสถานที่ใดมีความโกลาหลเป็นพิเศษ ไม่มีใครมีคนรู้จักที่นั่น และไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของผู้ใดก็ตามที่ไปประกาศข่าวประเสริฐที่นั่นได้ ก็อย่าเพิ่งมอบหมายคนไปที่นั่น อย่าเสี่ยงเช่นนี้ อย่าให้ใครพลีอุทิศโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะทำหน้าที่ใดหรือดำเนินงานใด ก็ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องออกไปเผชิญโชคหรือเสี่ยงชีวิตของเจ้า และไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องเอาความปลอดภัยหรือชีวิตของเจ้ามาเดิมพัน แน่นอนว่า ในสภาพแวดล้อมของประเทศจีน การเสี่ยงเพื่อทำหน้าที่ของตนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลข่มเหงผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และแม้จะรู้ดีว่ามีอันตราย เจ้าก็ยังต้องเชื่อในพระเจ้า ติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่สามารถละทิ้งหน้าที่ของเจ้าได้ และไม่สามารถหยุดทำงานใดได้ สถานการณ์ในประเทศต่างๆ ในต่างแดนล้วนแตกต่างกันไป—บางประเทศเป็นประเทศเผด็จการที่คล้ายกับจีน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ มีระบอบประชาธิปไตย ในประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตย งานประกาศข่าวประเสริฐสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และงานต่างๆ ก็สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมากกว่าด้วย แต่ในบางประเทศที่มีลักษณะเผด็จการ ผู้คนทั้งป่าเถื่อนและล้าหลัง และไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับหนทางที่แท้จริง เมื่อมีการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ตรวจสอบเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถกล่าวโทษอย่างมืดบอด และอาจถึงขั้นแจ้งตำรวจด้วยซ้ำ ในกรณีเช่นนี้ อย่ามอบหมายคนไปประกาศข่าวประเสริฐที่นั่น แต่ให้เลือกสถานที่ที่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้เพื่อดำเนินงาน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ตัวอย่างเช่น ในประเทศอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย หรืออินเดีย ซึ่งมีภูมิหลังทางศาสนาที่ซับซ้อนมาก นิกายศาสนาบางนิกายมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงและควบคุมสังคมทั้งหมด ถึงขนาดที่แม้แต่รัฐบาลก็ยังยอมอ่อนข้อต่ออิทธิพลของศาสนาเหล่านี้ ในประเทศเช่นนั้น ก็อย่าส่งคนไปประกาศข่าวประเสริฐที่นั่นเพิ่มอีก เพียงให้คริสตจักรท้องถิ่นประกาศข่าวประเสริฐก็เพียงพอแล้ว ในบางประเทศ สถานการณ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐหรือมณฑล และกฎหมายและข้อบังคับท้องถิ่นก็แตกต่างจากกฎหมายและข้อบังคับระดับประเทศ ตัวอย่างเช่น บางภูมิภาคมีภูมิหลังทางศาสนาที่พิเศษ และในภูมิภาคเหล่านั้น คริสตจักรและรัฐเป็นหนึ่งเดียวกัน ในบางกรณี ผู้นำศาสนามีอำนาจมากกว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นและสามารถละเมิดนโยบายระดับชาติบางอย่างได้อย่างเปิดเผย หากเจ้าประกาศข่าวประเสริฐในภูมิภาคเช่นนั้น ก็จะมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่การกุข่าวลือเกี่ยวกับเจ้าหรือการขับไล่เจ้า—พวกเขายังสามารถจับกุมเจ้า กักขังเจ้าไว้ในคุกโดยไม่มีการตั้งข้อหา และแม้กระทั่งทรมานเจ้า ทำให้เจ้าพิการหรือฆ่าเจ้า และรัฐบาลก็จะไม่เข้ามาแทรกแซง ตามข้อเท็จจริง ผู้นำของนิกายศาสนาส่วนใหญ่เกลียดชังศาสนาจากภายนอก เนื่องจากอิทธิพลของพวกเขามีมากเกินไปและไม่ว่ากฎหมายอะไรก็ควบคุมพวกเขาไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะข่มเหงคนทำงานข่าวประเสริฐอย่างโหดเหี้ยมเพียงใด ก็ไม่มีใครกล้าเอาผิดพวกเขา และแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นก็ไม่ต้องการทำให้พวกเขาขุ่นเคือง เมื่อเจ้าเริ่มประกาศข่าวประเสริฐในดินแดนของพวกเขา พวกเขาก็สามารถทรมานเจ้าได้ตามที่พวกเขาต้องการ ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อส่งคนไปประกาศข่าวประเสริฐที่ใดสักแห่ง ก่อนอื่น พวกเขาต้องสืบค้นและเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในสถานที่นั้น—ว่ามีเสรีภาพในการเชื่อหรือไม่ กองกำลังทางศาสนามีอำนาจเพียงใด และหากคนที่ไปประกาศข่าวประเสริฐที่นั่นถูกรายงานอาจจะเกิดผลอะไรตามมา ต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้ให้ชัดเจนเสียก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะส่งคนไปที่นั่นหรือไม่ หากหลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่ใดแล้ว ได้ข้อสรุปว่าที่นั่นไม่เหมาะสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐ ก็จะไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ส่งคนไปประกาศที่นั่น นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ควรทำเช่นกันเพื่อรับประกันความปลอดภัยของคนทำงานข่าวประเสริฐ ผู้นำและคนทำงานบางคนมีความเข้าใจที่บิดเบือน และกล่าวว่า “ไม่เป็นไร พระเจ้าจะทรงคุ้มครองพวกเรา ยิ่งท้าทายมากเท่าไร เราก็ยิ่งควรทำมากขึ้นเท่านั้น มีผู้คนมากมายที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าในสถานที่นั้น แล้วทำไมเราถึงไม่ไปประกาศข่าวประเสริฐที่นั่นล่ะ?” มีคนบอกพวกเขาว่า “ที่นั่นมีคุกส่วนตัว ถ้าเราไปประกาศข่าวประเสริฐที่นั่น ไม่เพียงแต่เราจะถูกกักขัง แต่เราอาจถึงกับตายที่นั่นได้ เราไปไม่ได้!” ผู้นำเทียมเท็จที่โง่เขลาเหล่านั้นคิดทบทวนเรื่องนี้ว่า “พญานาคใหญ่สีแดงมีคุกมากมาย แต่เราก็ไม่กลัวมัน—แล้วทำไมเราต้องกลัวคุกส่วนตัวที่นั่นด้วย? คุกกักขังร่างกายของพวกเราได้ แต่กักขังหัวใจของพวกเราไม่ได้! อย่ากลัว—ไปเลย!” จากนั้นพวกเขาก็ส่งคนไปเป็นระลอกแล้วระลอกเล่า และในท้ายที่สุด ก็ไม่มีใครกลับมาเลย พวกเขาล้วนถูกกักขัง ผู้นำเทียมเท็จก็ถึงกับตะลึงงัน ปัญหาในทีนี้คืออะไร? (ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้เป็นคนปัญญาทึบ) ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้เป็นคนเส็งเคร็ง พวกเขาขาดความรับผิดชอบ ส่งผู้คนไปเข้าปากเหยี่ยวปากกา ทำไมพวกเขาไม่ไปเองเสียเลยล่ะ? ในเมื่อพวกเขาไม่กลัวอันตราย พวกเขาก็ควรไปก่อน หากพวกเขาไปแล้วกลับมาอย่างปลอดภัย และได้ผู้คนมา คนอื่นๆ ก็ค่อยไปตามพวกเขา ไม่ว่าจะอย่างไร ความปลอดภัยของผู้คนต้องได้รับการรับประกันในการประกาศข่าวประเสริฐ อย่าเสี่ยงในพื้นที่ที่เป็นอันตรายและไม่เหมาะสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐเป็นอันขาด อย่าทึกทักเอาว่านอกจีนแผ่นดินใหญ่ที่ไหนก็ปลอดภัย นี่คือความเชื่อผิดๆ เป็นความเข้าใจที่บิดเบือน มีเพียงคนที่ไม่รู้ความเท่านั้นที่คิดเช่นนี้—คนเช่นนี้เข้าใจโลกนี้น้อยเกินไป! อย่าทึกทักเอาว่าเพราะประเทศตะวันตกส่วนใหญ่มีเสรีภาพในการเชื่อและมีผู้คนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าค่อนข้างมาก เจ้าจึงสามารถประกาศข่าวประเสริฐอย่างเปิดเผยและแสดงความคิดเห็นต่างๆ อย่างเปิดเผยเพื่อเปิดโปงว่าโลกศาสนามืดมนและชั่วร้ายเพียงใด หากเจ้าทำเช่นนี้ ผลที่ตามมาจะเกินกว่าจะจินตนาการได้ เจ้าต้องเข้าใจว่าเมื่อประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ว่าจะแก่คนในศาสนาหรือผู้ไม่มีความเชื่อ เจ้ากำลังเผชิญหน้ากับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม มวลมนุษย์ที่ต่อต้านพระเจ้า อย่าคิดง่ายเกินไปในเรื่องนี้
หากผู้นำและคนทำงานต้องการรับประกันความปลอดภัยของคนทำงานข่าวประเสริฐ พวกเขาก็ต้องพิจารณาประเด็นนี้ในทุกแง่มุมอย่างละเอียดถี่ถ้วน และในกรณีที่เกิดปัญหาใดๆ ขึ้น ก็ควรจัดการโดยทันที และหลังจากนั้น ควรมีการสรุปประสบการณ์และบทเรียนเพื่อค้นหาหลักธรรมและเส้นทางแห่งการปฏิบัติ เพื่อตัดสินใจว่าจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป—นี่เป็นงานที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องทำด้วยเช่นกัน มีบางเรื่องที่ผู้นำและคนทำงานไม่เคยพิจารณาหรือพบเจอมาก่อน หลังจากที่เกิดปัญหาขึ้น พวกเขาควรสรุปว่า “เราควรจะยังไปสถานที่แบบนั้นหรือไม่? วิธีการส่งคนออกไปเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? เราควรปรับเปลี่ยนแผน กลยุทธ์ หรือทิศทางสำหรับขั้นตอนต่อไปในการประกาศข่าวประเสริฐหรือการทำงานที่สำคัญอื่นๆ หรือไม่?” ในขั้นตอนการสรุปที่ดำเนินไป ผู้นำและคนทำงานควรกำหนดวิธีการและหลักธรรมของงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ยิ่งพวกเขาทำงาน งานนั้นก็ยิ่งเจาะจงและยิ่งถึงมาตรฐานที่ตั้งไว้มากขึ้น โดยมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นน้อยลง หรือไม่เกิดขึ้นเลย หรือกระทั่งไม่ทำให้บุคลากรสำคัญของงานต้องแบกรับความเสี่ยงใดๆ เลย เพื่อให้บรรลุผลลัพธ์นี้ ผู้นำและคนทำงานควรสรุปประสบการณ์บ่อยครั้งและได้รับความเข้าใจสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องเผชิญในภูมิภาคต่างๆ เมื่อประกาศข่าวประเสริฐ ยิ่งพวกเขาได้รับข้อมูลมากเท่าไรและยิ่งข้อมูลนั้นแม่นยำมากเท่าไร หลักธรรมและแผนการสำหรับจัดการเรื่องต่างๆ ก็จะยิ่งแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งท้ายที่สุดจะสัมฤทธิ์ผลในการรับประกันความปลอดภัยของผู้คน ด้วยวิธีนี้ จึงจะรับประกันได้ว่างานประกาศข่าวประเสริฐจะดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
III. วิธีจัดการกับผู้นำและคนทำงานที่ไม่ใส่ใจงานด้านความปลอดภัย
ผู้นำและคนทำงานบางคนมีขีดความสามารถต่ำและขาดสำนึกรับผิดชอบ พวกเขาไม่สามารถทำงานจริงและยังขี้เกียจเกินกว่าจะทำงานจริง ในพื้นที่ที่พวกเขารับผิดชอบ ผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญมักเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ต้องย้ายบ้านย้ายที่อยู่ตลอดเวลาจนไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างสบายใจ แม้แต่เรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นก็ยังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น ผู้นำหรือคนทำงานบางคนหาบ้านเจ้าภาพที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ เมื่อคาดว่าจะมีฝนตกหนักและน้ำท่วม ด้วยความกลัวว่าบ้านจะถูกน้ำท่วม พี่น้องชายหญิงที่พักอยู่ที่นั่นจึงจำเป็นต้องย้ายออกมาก่อน—ขนทั้งอุปกรณ์ทำงาน หม้อ กระทะ และของที่เหลือ ย้ายกันสองวันติดต่อกัน การทำเช่นนี้ทำให้ทุกคนเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ต่างพากันคอตกด้วยความสิ้นหวัง พวกเขากล่าวว่า “พวกเราย้ายกันทุกสองสามวัน ต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่จะสิ้นสุดเสียที? เราหาบ้านที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ซึ่งเราสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างปกติไม่ได้หรือ?” ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ไม่สามารถแม้แต่จะแบกรับงานเพียงเล็กน้อยนี้ได้ พี่น้องชายหญิงภายใต้การดูแลของพวกเขาทั้งกินไม่ได้นอนไม่หลับ และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอ พวกเขามีสภาพความเป็นอยู่เพียงชั่วคราวอยู่เสมอ ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะหนีภัยพิบัติได้ทุกเมื่อ เมื่อใช้ของใช้ในชีวิตประจำวันเสร็จแล้ว พวกเขาก็รีบเก็บเข้ากระเป๋า เพราะอาจจะเกิดสถานการณ์ที่มีการประกาศตรวจทะเบียนบ้านขึ้นได้ทุกเมื่อ ตามข้อเท็จจริงแล้ว ทุกคนรู้ว่านี่หมายถึงการตรวจค้นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพร้อมที่จะย้ายที่อยู่ได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่กำลังทำหน้าที่จึงมักหวาดกลัวอยู่เสมอและไม่มีความรู้สึกปลอดภัย สิ่งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของหน้าที่ของพวกเขาหรอกหรือ? สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับงานที่ผู้นำและคนทำงานกำลังทำอยู่หรอกหรือ? (เกี่ยว) พวกเขาทำงานนี้เป็นอย่างไรบ้าง? (พวกเขาทำได้ไม่ดี ไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตน) ผู้นำและคนทำงานบางคนขาดความรับผิดชอบและขาดการอุทิศตน พวกเขาเองไม่ได้มีมาตรฐานสูงสำหรับสภาพความเป็นอยู่ ตราบใดที่มีที่กำบังลมฝนก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อหาที่อยู่ที่ปลอดภัยและมั่นคงให้พี่น้องชายหญิง ผู้นำและคนทำงานบางคนมีขีดความสามารถต่ำ พวกเขาไม่รู้ว่าสภาพแวดล้อมแบบใดที่เงียบสงบและเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย หรือเหมาะสำหรับพี่น้องชายหญิงที่จะทำหน้าที่ของตน พวกเขาเช่าบ้านที่ลุ่มต่ำที่ไม่มีใครอยากเช่า และหลังจากที่พี่น้องชายหญิงย้ายเข้าไปได้ไม่กี่วัน พวกเขาก็เป็นผื่นคันไปทั้งตัว เกิดอะไรขึ้น? บ้านชื้นเกินไป มีน้ำซึมขึ้นมาจากพื้น ใครจะอยู่ในที่เช่นนี้ได้? ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ไม่สามารถแม้แต่จะแก้ปัญหานี้ พวกเขาไม่สามารถหาบ้านที่เหมาะสำหรับการทำหน้าที่—นี่เป็นขีดความสามารถแบบใดกัน? ผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ บางคนเช่าบ้านที่ฝนรั่วตลอดเวลา มีลมโกรก ไม่เก็บเสียง หรือไม่มีอินเทอร์เน็ต น้ำ หรือไฟฟ้า—ใครจะอยู่ที่นั่นได้? พวกเขามองข้ามบ้านดีๆ และยืนกรานที่จะเช่าบ้านที่บกพร่องเหล่านี้—สิ่งนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อเรื่องต่างๆ หรอกหรือ? แม้ว่าพี่น้องชายหญิงจะไม่ได้กินนอนกลางดินกลางทราย แต่บ้านก็ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานหลายอย่าง พวกเขาไปอยู่ในเต็นท์เสียยังจะดีกว่า ต่อให้พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับความยากลำบากและรู้สึกว่าการทนทุกข์ระดับนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตและพวกเขาสามารถทนได้ แต่การถูกรบกวนเช่นนี้ทุกสองสามวันอย่างต่อเนื่องไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรอกหรือ? ดังนั้น หากผู้นำและคนทำงานมีขีดความสามารถต่ำและขาดสำนึกรับผิดชอบ พวกเขาก็ไม่สามารถแบกรับงานนี้ได้ พวกเขาควรลาออกโดยทันทีและแนะนำผู้ที่สามารถทำงานนี้ได้ดีมารับช่วงต่อ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสำคัญของงานส่วนใหญ่ การจัดหาที่พักให้ผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญไม่จำเป็นต้องพิจารณาาทุกแง่มุม แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรับประกันสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน เมื่อมีการรับประกันในด้านนี้แล้วเท่านั้น งานของคริสตจักรจึงจะไม่ได้รับผลกระทบ งานนี้ทำง่ายหรือไม่? (ง่าย) การพูดว่าทำง่ายนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าผู้นำและคนทำงานเป็นคนเลอะเลือนที่มีขีดความสามารถต่ำและขาดสำนึกรับผิดชอบใดๆ พวกเขาจะไม่สามารถทำได้เลย เมื่อผู้นำและคนทำงานไม่สามารถทำงานนี้ได้หรือไม่สามารถทำได้ดี ผู้คนมากมายก็ต้องทนทุกข์กับผลที่ตามมา ใช้ชีวิตทุกวันราวกับว่าพวกเขากำลังหนีความอดอยาก—พวกเขาจะทำหน้าที่ของตนเช่นนี้ได้อย่างไร? ผู้นำเทียมเท็จบางคนไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงแต่ยังชอบที่จะอยู่ท่ามกลางแสงไฟ พวกเขาไม่สามารถทำงานได้ดีแต่ปฏิเสธที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง เกาะขาเก้าอี้ไว้แน่นและไม่ยอมจากไป ควรจัดการกับผู้นำเช่นนี้อย่างไร? (พวกเขาควรถูกปลด) การปลดพวกเขานั้นง่าย ปัญหาคือมีใครที่ดีกว่ามารับช่วงงานของพวกเขาหรือไม่ หากไม่มี พวกเจ้าจะสามารถแบกรับงานนี้ได้หรือไม่? พวกเจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าบุคลากรสำคัญของงานจะมีสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่มั่นคง? หากคนเดียวไม่สามารถจัดการได้ พวกเจ้าสามหรือห้าคนจะสามารถร่วมมือกันเพื่อแบกรับงานนี้ได้หรือไม่? หากพวกเจ้าก็ไม่สามารถจัดการงานนี้ได้—หากพวกเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะทำงานง่ายๆ เช่นนี้ได้ ไม่สามารถแม้แต่จะรับประกันสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานได้—เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ต้องสู้ทนความยากลำบากและความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเป็นการชั่วคราว หากพวกเจ้ายังคงสามารถยืนหยัดในการทำหน้าที่ของตนได้ และเมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่าความตั้งใจของพวกเจ้าที่จะทนทุกข์กับความยากลำบากนั้นมั่นคงเพียงพอ ก็จะทรงส่งผู้ที่วางใจให้จัดการเรื่องต่างๆ ได้และผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้มาทำงาน เช่นนั้นแล้ววันเวลาแห่งความทุกข์ทรมานของพวกเจ้าก็จะสิ้นสุดลงและเปลี่ยนเป็นวันเวลาแห่งความสุขแทน หากไม่มีใครเช่นนี้มาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ต้องยอมรับชะตากรรมของตน—พวกเจ้าถูกกำหนดให้ทนทุกข์กับความยากลำบาก พวกเจ้าถูกลิขิตให้สู้ทนมัน พวกเจ้าต้องสงบใจและสู้ทนความยากลำบากนั้น อันที่จริงแล้ว การสู้ทนความยากลำบากเล็กน้อยนี้คุ้มค่า ดีกว่าการอยู่ในคุกและทนทุกข์กับการทรมานมากนัก อย่างน้อยพวกเจ้าก็ไม่ถูกทรมานหรือสอบสวน พวกเจ้ายังสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้า ทำหน้าที่ของตน และดำเนินชีวิตคริสตจักรร่วมกับพี่น้องชายหญิงได้ แม้ว่าจะมีความกลัว ความท้อถอย และอุปสรรคอยู่บ้าง และพวกเจ้าต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง แต่นี่ก็ยังเป็นประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดาในชีวิตของพวกเจ้า และสามารถให้บทเรียนและบางสิ่งบางอย่างแก่เจ้า นี่ดีทีเดียวเลยไม่ใช่หรือ? (ใช่) ผู้คนควรมีความตั้งใจที่จะสู้ทนความยากลำบาก และยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงตามพระประสงค์ของพระองค์ หากพวกเจ้าไม่สามารถสู้ทนความยากลำบากนี้ได้จริงๆ พวกเจ้าอาจอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงจังในใจของพวกเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทูลขอให้พระองค์ทอดพระเนตรพวกข้าพระองค์ผู้กำลังทนทุกข์—พวกข้าพระองค์ช่างน่าเวทนาเสียนี่กระไร! พวกข้าพระองค์ติดตามพระองค์โดยไม่มีคำบ่นหรือความเสียใจ! เมื่อทรงคำนึงถึงความจงรักภักดีที่ไม่สั่นคลอนของพวกข้าพระองค์ที่มีต่อพระองค์ ข้าพระองค์ทูลขอให้พระองค์โปรดทรงจบชีวิตอันยากลำบากนี้! พวกข้าพระองค์ทูลขอให้พระองค์ทรงส่งผู้นำหรือคนทำงานที่เหมาะสมมาหาที่อยู่ที่เหมาะสมให้พวกข้าพระองค์! พวกข้าพระองค์ต้องกินนอนกลางดินกลางทรายทุกวัน ย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง และพวกข้าพระองค์ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะดำเนินต่อไปนานเท่าใด พวกข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะพลัดที่นาคาที่อยู่ต่อไปอีกแล้ว—โปรดหาที่อยู่อาศัยที่มั่นคงให้พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด!” การอธิษฐานเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่? พวกเจ้าอาจอธิษฐานเช่นนี้ได้ พวกเจ้าควรอธิษฐานเช่นนี้ตามความต้องการของสภาพแวดล้อม
การสู้ทนความยากลำบาก เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก การสู้ทนความยากลำบากบ้างสามารถขัดเกลาเจตจำนงของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้นได้ การขัดเกลาเจตจำนงของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าผ่านการสู้ทนความยากลำบากนี้อย่างต่อเนื่อง เจ้าจะด้านชากับมันและไม่รับรู้ว่ามันเป็นความยากลำบากอีกต่อไป ไม่ว่าเจ้าจะสู้ทนความยากลำบากมากเพียงใด เจ้าก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ เจ้าต้องเรียนรู้บทเรียนบางอย่าง ได้รับความเข้าใจบางอย่าง และเรียนรู้วิธีที่จะมีวิจารณญาณแยกแยะผู้คน หากผู้นำหรือคนทำงานมีขีดความสามารถที่ต่ำอย่างยิ่งและไม่สามารถแม้แต่จะทำงานจัดหาที่พักพิงได้อย่างเหมาะสม พวกเขาจะสามารถจัดหาให้และนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้อย่างไร? คนเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ขาดเงินที่จะเช่าบ้าน และไม่อยากเห็นพี่น้องชายหญิงไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งอยู่เรื่อยไป พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้สนับสนุนให้ผู้คนสู้ทนความยากลำบากอยู่เสมอหรือใช้ชีวิตที่ยากลำบากทุกวัน แต่แน่นอนว่าจะไม่หลีกหนีการให้ผู้คนทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ เช่นกัน แต่ถ้าผู้นำและคนทำงานไม่สามารถแม้แต่จะจัดการงานจัดหาที่พักพิงได้ และการทำอะไรให้ถูกควรก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างแท้จริงสำหรับพวกเขา เช่นนั้นแล้วจะมีอะไรเหลือให้พวกเขาไปโอ้อวดได้อีก? แต่ละคนล้วนดูดี มีใบประกาศนียบัตร และเป็นคนมีสถานะ แต่การจัดการเรื่องเล็กน้อยนี้กลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา ในกรณีนั้น ก็ไม่มีอะไรจะทำได้—เจ้าทำได้เพียงยอมรับเรื่องนี้จากพระเจ้าเท่านั้น นี่คือความยากลำบากที่ผู้คนควรสู้ทน เจ้าควรยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงตามพระประสงค์ของพระองค์ นี่จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง บางทีวันหนึ่ง ความยากลำบากนี้คงจะมีวันดีๆ ตามมา และจะไม่มีชีวิตแบบนี้อีก ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด เจ้าควรดำรงท่าทีแห่งการนบนอบและหลีกเลี่ยงการพร่ำบ่น หากผู้นำหรือคนทำงานคนใดคนหนึ่งไม่น่าเชื่อถือและทำงานได้ไม่ดี อย่าปล่อยให้มันส่งผลกระทบต่อความจริงใจและความจงรักภักดีของเจ้าที่มีต่อพระเจ้า และอย่าปล่อยให้มันส่งผลกระทบต่อการนบนอบพระเจ้าและท่าทีแห่งการนบนอบต่อพระเจ้าของเจ้า ด้วยวิธีนี้ เจ้าก็จะตั้งมั่นในเรื่องนี้ได้ ผู้นำและคนทำงานเป็นเพียงคนธรรมดา หากพวกเขามีขีดความสามารถต่ำและไม่สามารถทำงานได้ หรือหากพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตน นั่นเป็นปัญหาส่วนตัวของพวกเขาและไม่เกี่ยวข้องกับพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ใช่พระนิเวศของพระเจ้าที่สั่งสอนให้พวกเขากระทำเช่นนี้ เป็นเพียงว่าพวกเขาถูกเผยออกมาเพราะความไม่รับผิดชอบของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถทำงานที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้สำเร็จได้ และดังนั้นจึงทำได้เพียงถูกปลดและกำจัดออกไปเท่านั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทนทุกข์กับความยากลำบากนี้ พวกเขาต้องยอมรับจากพระเจ้าและยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงตามพระประสงค์ของพระองค์ ต่อให้ผู้นำและคนทำงานจะทำงานได้ไม่ดีหรือพวกเขามีปัญหาใดๆ ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าคือความจริง หนทาง และชีวิตนั้นไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล การติดตามพระเจ้า การนบนอบพระเจ้า และการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าของเจ้าไม่ควรมีวันเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้คือความจริงนิรันดร์ ขณะทำหน้าที่ของเจ้า ไม่ว่าเรื่องที่ไม่น่าพอใจอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าก็ควรยอมรับจากพระเจ้าและเรียนรู้บทเรียนที่อยู่ในนั้น เจ้าควรสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานต่อพระองค์ และอย่าปล่อยให้ตนเองได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ และเรียนรู้ที่จะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในสภาพแวดล้อมทุกประเภท การเข้าสู่ชีวิตจะสำเร็จได้ก็ด้วยวิธีนี้เท่านั้น บางคนมีวุฒิภาวะน้อย เมื่อความยากลำบากเกิดขึ้น พวกเขาก็พร่ำบ่นและกังวล รู้สึกทุกข์ใจและสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า—ช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริง! ผู้นำและคนทำงานที่ไม่ทำงานจริงได้ถูกเผยและกำจัดออกไปแล้ว แต่นั่นเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า? เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นคนคิดลบและห่างเหินจากพระเจ้าเพียงเพราะพวกเขาจัดเตรียมสิ่งต่างๆ อย่างไม่เหมาะสม? นี่ไม่ใช่การเป็นกบฏอย่างที่สุดหรอกหรือ? (ใช่) เมื่อผู้คนทำอะไรผิด เจ้าอาจมีวิจารณญาณแยกแยะและปฏิเสธพวกเขาได้ แต่อย่าปฏิเสธพระเจ้าหรือปฏิเสธความจริง ความจริงไม่ผิด พระเจ้าไม่ผิด เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อให้ผู้คนสู้ทนความยากลำบากเช่นนี้ แต่สำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม การทนทุกข์กับความยากลำบากบ้างก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างแท้จริง การสู้ทนความยากลำบากเล็กน้อยนั้นเป็นประโยชน์ต่อเจ้า ประโยชน์คือเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนและเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา หากเจ้าสามารถสู้ทนความยากลำบากต่างๆ เจ้าก็จะมีความอดทนมากขึ้น และสามารถที่จะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าในสภาพแวดล้อมทุกประเภทได้ การสามารถทนทุกข์กับความยากลำบากได้นั้นเป็นการขัดเกลาเจตจำนงของเจ้าที่จะนบนอบพระเจ้า นี่คือเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระเจ้าต้องการเห็นในตัวเจ้า หากเจ้าสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและกระทำและปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ หากเจ้าสามารถละเว้นจากการละทิ้งพระเจ้าได้ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับคนหรือสภาพแวดล้อมประเภทใด และหากเจ้าสามารถเรียนรู้ที่จะปฏิบัติความจริง มีความนบนอบต่อพระเจ้า มีความเข้าใจและท่าทีที่ถูกต้อง ดำรงความเชื่อที่ไม่เปลี่ยนแปลงในพระเจ้า และละเว้นจากการพร่ำบ่นพระเจ้าหรือห่างเหินจากพระองค์ในใจของเจ้า โดยไม่คำนึงว่าเนื้อหนังของเจ้าจะสู้ทนความทุกข์ทรมานมามากเพียงใด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีวุฒิภาวะ
ผู้นำและคนทำงานต้องปกป้องความปลอดภัยของผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญ ป้องกันพวกเขาจากการรบกวนของโลกภายนอก งานนี้เกี่ยวข้องกับรายละเอียดมากมาย ประการแรก ผู้นำและคนทำงานควรเข้าใจว่าจะนำงานที่มีรายละเอียดเหล่านี้ไปปฏิบัติอย่างเจาะจงได้อย่างไร ประการต่อมา เมื่อเผชิญกับสถานการณ์พิเศษบางอย่าง พวกเขาต้องทำการตัดสินที่แม่นยำ จากนั้นจึงค้นหาหลักธรรมที่เหมาะสมและคิดแผนการที่เจาะจงสำหรับจัดการกับสถานการณ์นั้นๆ เป้าหมายสูงสุดคือการรับประกันความปลอดภัยของบุคลากรสำคัญของงานทุกประเภท ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะรับประกันได้ว่างานประกาศข่าวประเสริฐจะดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย การยึดมั่นในหลักธรรมนี้ถูกต้องแล้ว นี่คือเป้าหมายและหลักธรรมของผู้นำและคนทำงานในการทำงานนี้ หากผู้นำและคนทำงานยึดมั่นในเป้าหมายและหลักธรรมนี้อย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้วโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาก็ได้มาตรฐานในการทำงานนี้ แล้วมีปัญหาอื่นใดอีกบ้างที่เกี่ยวข้องกับงานนี้? บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่เคยเป็นผู้นำหรือคนทำงานมาก่อน และฉันก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำอะไรในงานนี้ และฉันก็ไม่รู้วิธีทำงานนี้ ดังนั้น ฉันจึงไม่จำเป็นต้องทำ—ใครจะสนว่าพวกคุณจะปลอดภัยหรือไม่? พวกคุณจัดการกันเองเถอะ” การที่พวกเขาปัดความรับผิดชอบเช่นนี้เป็นที่ยอมรับได้หรือไม่? (ไม่ได้) ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ควรถูกถอดถอน หากเจ้าไม่ทำงานจริง จะมีเจ้าไว้ทำอะไร? พวกเราเก็บเจ้าไว้เป็นของประดับเพราะเจ้าหน้าตาดีอย่างนั้นหรือ? ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ต้องถูกปลดและกำจัดออกไป พวกเขาไม่ควรได้รับอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งโดยไม่ทำงานใดๆ ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง—พวกเขาไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ใช่หรือไม่? หากพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง เหตุใดเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นพวกเขาจึงไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานั้น? ไม่มีใครเกิดมาแล้วรู้ทุกสิ่ง ทุกคนเรียนรู้ไปพร้อมกับการลงมือทำ หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริง เจ้าก็จะพบหนทางที่จะทำงานได้ดี หากเจ้ามีสำนึกรับผิดชอบ เจ้าก็จะคิดหาวิธีที่จะทำงานได้ดี การทำงานผู้นำนั้นจริงๆ แล้วไม่ยาก ตราบใดที่คนเราสามารถแสวงหาความจริงได้ ก็ง่ายที่จะทำงานได้ดี นอกจากนี้ ผู้นำและคนทำงานก็มีคู่ร่วมงาน ตราบใดที่คนสองหรือสามคนมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน งานใดๆ ก็สำเร็จได้ง่าย ปัจจุบัน ผู้นำและคนทำงานจำนวนมากกำลังฝึกฝน พวกเขากำลังฝึกฝนในการแสวงหาความจริงในทุกสิ่งเพื่อแก้ไขปัญหา ณ จุดนี้ อย่างน้อยผู้นำและคนทำงานบางคนก็มีความสามารถในงานผู้นำและมีความสามารถอย่างเต็มที่ที่จะทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ดี ใช่หรือไม่? (ใช่) วันนี้เราจะสามัคคีธรรมกันถึงเพียงเท่านี้ สวัสดี!
20 กรกฎาคม ค.ศ. 2024