หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (3)

ประการที่สาม: สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่พึงเข้าใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่แต่ละอย่างให้ถูกควร (ภาคที่สอง)

ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราได้ดำเนินการสามัคคีธรรมเพิ่มเติมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สองของผู้นำและคนทำงาน โดยพูดคุยกันว่ามีความลำบากยากเย็นใดบ้างในการเข้าสู่ชีวิต และเปิดโปงการปฏิบัติและการสำแดงบางประการของผู้นำเทียมเท็จ  จากนั้นพวกเราก็หารือกันหลายเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สามของผู้นำและคนทำงาน—นั่นคือสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่พึงเข้าใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่แต่ละอย่างให้ถูกควร—แล้วเปิดโปงและชำแหละว่า “ความเทียมเท็จ” ของผู้นำเทียมเท็จนั้นสำแดงออกมาอย่างไรผ่านท่าที การปฏิบัติ และการสำแดงที่ผู้นำเทียมเท็จมีต่อเรื่องเหล่านี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการสำแดงว่าผู้นำเทียมเท็จล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของตนในฐานะผู้นำอย่างไร  โปรดแจกแจงเรื่องเหล่านี้  (หนึ่งในนั้นคือเรื่องการพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้า  ผู้นำเทียมเท็จคนนั้นไม่ได้ทำงานที่เป็นรูปธรรม เขาเพียงกล่าวคำสอนในหนทางที่ว่างเปล่า  นอกจากนั้นพวกเขายังไม่ได้สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงอย่างเฉพาะเจาะจงหรือทำงานจริงแม้แต่น้อย)  ในเรื่องนี้ ผู้นำเทียมเท็จคนนั้นไม่ได้ทำงานจริง เขาไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนในฐานะผู้นำและคนทำงาน และเขาก็ไม่ได้สามัคคีธรรมถึงข้อกำหนดทางวิชาชีพ หลักธรรมที่เฉพาะเจาะจง และข้อควรระวังที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นอย่างชัดเจน  เขาแค่ตะโกนคำขวัญและกล่าวคำพูดที่ว่างเปล่าบางคำเท่านั้น แล้วก็คิดว่าตนทำได้ดีแล้ว  พวกเราหารืออะไรกันอีกบ้าง?  (มีเหตุการณ์เกี่ยวกับการซื้อเสื้อกันหนาวขนเป็ดสำหรับพระเจ้าด้วย)  เหตุการณ์นี้เปิดโปงปัญหาใดของผู้นำเทียมเท็จ?  (เหตุการณ์นี้เปิดโปงให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง และพวกเขาขาดความเป็นมนุษย์และเหตุผลอย่างสิ้นเชิง)  เมื่อมีใครบางคนซื้อเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งให้เรา ผู้นำเหล่านั้นก็ช่วยกันดำเนินการตรวจสอบเสื้อผ้าดังกล่าว—นี่เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำหรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเขาทำงานที่พวกเขาไม่ควรทำ—ประเด็นปัญหาในเรื่องนี้คืออะไร?  (พวกเขาไม่ได้ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน)  นี่คือการสำแดงอย่างหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จ  ประการแรกคือเหตุการณ์นี้เปิดโปงว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน และประการที่สองคือเหตุการณ์นี้เปิดโปงว่าพวกเขาขาดเหตุผลและทำแต่สิ่งที่น่าขยะแขยงซึ่งไร้เหตุผลและความเป็นมนุษย์  พวกเจ้าเพียงแต่จำตัวอย่างต่างๆ ได้ แต่พวกเจ้าไม่ได้มองทะลุถึงประเด็นปัญหาที่ตัวอย่างเหล่านี้หมายจะชี้ให้เห็น หรือแก่นแท้ของประเด็นปัญหาเหล่านี้ที่ตัวอย่างดังกล่าวมุ่งจะชำแหละ  ในเรื่องที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน เราได้ยกตัวอย่างอื่นใดอีกบ้าง?  (มีคนทำขนมอบที่ทำขนมอบถวายพระเจ้าอยู่เป็นประจำ  พระเจ้าตรัสบอกเขาไม่ให้ทำ แต่ผู้นำและคนทำงานก็อนุญาตให้เขาทำต่อไป และถึงกับชิมขนมอบดังกล่าวเอง)  ตัวอย่างนี้เปิดโปงปัญหาใดของผู้นำเทียมเท็จ?  (ปัญหาที่พวกเขาไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน หรือทำงานที่พวกเขาควรทำ และยืนกรานที่จะทำงานที่พวกเขาไม่ควรทำ)  โดยหลักแล้ว ตัวอย่างนี้เปิดโปงว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตนและไม่อาจจับประเด็นสำคัญและศูนย์กลางในงานของตนได้  นอกจากนั้นผู้นำเทียมเท็จยังมีปัญหาที่ร้ายแรงอีกอย่างหนึ่ง  ปัญหานั้นคืออะไร?  (พวกเขาไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือดำเนินงานตามข้อกำหนดของพระเจ้า)  มีใครอยากเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่?  (พวกเขาแสร้งเป็นคนฝ่ายวิญญาณและแสร้งแสดงให้เห็นความคำนึงถึงภาระของพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาเอาแต่เกะกะระรานและทำสิ่งที่เลวร้าย)  นั่นเป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งของพวกเขา  มีใครอยากเพิ่มเติมอีกหรือไม่?  (ก่อนจะกระทำการใด พวกเขาไม่พยายามที่จะเข้าใจข้อกำหนดของพระเจ้า ตรงกันข้าม พวกเขากลับใช้ความคิดฝันของตนเองมาแทนที่ความปรารถนาของพระเจ้า)  นี่จัดอยู่ในประเภทที่ขาดเหตุผล  มีใครอยากเพิ่มเติมอีกหรือไม่?  (หนทางที่ผู้นำเทียมเท็จจัดการกับเรื่องที่ใครบางคนซื้อฉลองพระองค์แด่พระเจ้านั้นเผยให้เห็นว่าพวกเขาขาดพร่องความเป็นมนุษย์ที่ปกติ)  พวกเขาขาดพร่องความเป็นมนุษย์ที่ปกติในแง่มุมใด?  พวกเขาไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ในการประพฤติตนและพวกเขาไม่มีมารยาท  เรื่องเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ที่จริงแล้ว สิ่งที่พวกเจ้าได้กล่าวถึงนี้เป็นเรื่องรอง ประเด็นปัญหาหลักคืออะไร?  เมื่อผู้คนเหล่านี้กลายมาเป็นผู้นำ พวกเขาต้องการที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งและการได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ และมีความละโมบในความสะดวกสบาย  ตัวอย่างเช่น พวกเขาต้องการกินขนมอบบางอย่าง และเมื่อพวกเขาเห็นว่าใครบางคนทำอาหารเก่ง พวกเขาก็นึกถึงการชิมอาหารบางอย่างที่คนเหล่านั้นทำเพื่อตอบสนองความอยากของตน  นั่นเป็นเรื่องที่น่าสะอิดสะเอียนอยู่แล้วที่พวกเขาไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตนหรือไม่ทำงานจริง แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาละโมบความสะดวกสบายและความเพลิดเพลินจากการตะกละตะกลาม  พวกเขาใช้ข้ออ้างว่าเป็นการชิมและการตรวจสอบให้พระเจ้าเพื่อตอบสนองความอยากได้อยากมีอันตะกละตะกลามของตน และลุ่มหลงในผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งของตน  เหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จ  แม้ว่าการสำแดงเหล่านี้จะไม่อาจเรียกได้ว่าชั่วช้าหรือเลวร้ายเมื่อเทียบกับแก่นนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ แต่ความเป็นมนุษย์ของผู้นำเทียมเท็จก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยง  ในแง่ของลักษณะนิสัยของพวกเขานั้น พวกเขาขาดทั้งการมีมโนธรรมและเหตุผล ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาค่อนข้างต่ำช้าและต่ำต้อย และพวกเขาก็มีความซื่อตรงต่ำ  จากตัวอย่างเหล่านี้จะสังเกตเห็นได้ว่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำงานจริงได้  นี่คือข้อเท็จจริงประการหนึ่ง

ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถสามัคคีธรรมหลักธรรมของการปฏิบัติงานได้

วันนี้พวกเราจะเปิดโปงการสำแดงนานัปการของผู้นำเทียมเท็จกันต่อไปบนพื้นฐานของหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  โดยพื้นฐานแล้วผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำงานของคริสตจักรที่จำเป็นที่สุดและสำคัญยิ่งยวดได้  พวกเขาเพียงแค่จัดการกับกิจธุระทั่วไปที่เรียบง่ายบางอย่าง งานของพวกเขาไม่ได้มีบทบาทที่สำคัญยิ่งยวดหรือเป็นการชี้ขาดในงานของคริสตจักรโดยรวม และงานของพวกเขาไม่ได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริง  โดยพื้นฐานแล้วสามัคคีธรรมของพวกเขาครอบคลุมเพียงหัวข้อที่ธรรมดาและซ้ำซากเพียงไม่กี่หัวข้อ สามัคคีธรรมของพวกเขาล้วนเป็นคำพูดและคำสอนที่ถูกนำมากล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีก และสามัคคีธรรมของพวกเขาก็กลวงเปล่า กว้าง และขาดรายละเอียด  สามัคคีธรรมของพวกเขามีเพียงสิ่งที่ผู้คนเข้าใจได้จากการอ่านตามตัวอักษรเท่านั้น  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขายิ่งไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้  สิ่งสำคัญก็คือผู้นำเทียมเท็จนั้นไม่สามารถแบกรับงานที่สำคัญยิ่งซึ่งพระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการไว้ได้เลย อย่างเช่น งานข่าวประเสริฐ งานผลิตภาพยนตร์ หรืองานข้อเขียน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเรื่องของงานที่เกี่ยวข้องกับความรู้ที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แม้ผู้นำเทียมเท็จอาจจะรู้ชัดเจนทีเดียวว่าตนเป็นคนที่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญพิเศษในสายงานเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ไม่ศึกษาหาความรู้ในสายงานดังกล่าว และพวกเขาก็ไม่ทำการค้นคว้าวิจัย และยิ่งไม่สามารถให้แนวทางที่เฉพาะเจาะจงแก่ผู้อื่นหรือแก้ปัญหาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานเหล่านั้นได้เลย  ทว่าพวกเขายังคงจัดการชุมนุมอย่างไร้ยางอาย โดยพูดถึงทฤษฎีที่ว่างเปล่าอย่างไม่รู้จบ รวมทั้งกล่าวคำพูดและคำสอน  ผู้นำเทียมเท็จรู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถทำงานประเภทนี้ได้ แต่พวกเขากลับแสร้งทำเป็นผู้เชี่ยวชาญ กระทำการอย่างทะนงตน และใช้คำสอนที่ยิ่งใหญ่ในการว่ากล่าวผู้อื่นอยู่เสมอ  พวกเขาไม่สามารถตอบคำถามของใครได้เลย แต่กลับหาข้ออ้างและข้อแก้ตัวมาว่ากล่าวผู้อื่น โดยถามว่าเพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงไม่เรียนรู้วิชาชีพนั้น เพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงไม่แสวงหาความจริง และเพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงไม่สามารถแก้ปัญหาของตนเองได้  ผู้นำเทียมเท็จซึ่งไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญพิเศษในสายงานเหล่านี้และไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ได้นั้น ยังคงสั่งสอนผู้อื่นในฐานะผู้ที่มีอำนาจระดับสูง  ดูจากภายนอกแล้ว พวกเขายุ่งมากในสายตาคนอื่น ราวกับว่าพวกเขาสามารถทำงานได้มากมายและมีความสามารถมาก แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาไม่มีค่าอะไรเลย  เห็นได้ชัดเจนว่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำงานจริงได้ ทว่ากลับทำให้ตนเองยุ่งอย่างกระตือรือร้น และกล่าวคำพูดซ้ำซากในการชุมนุมอยู่เสมอ โดยกล่าวคำพูดของตนซ้ำไปซ้ำมา และไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้สักอย่างเดียว  ผู้คนเบื่อหน่ายเรื่องนี้มาก และไม่สามารถได้รับความเจริญใดๆ จากเรื่องนี้เลย  งานประเภทนี้ไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง และงานดังกล่าวก็ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ใดๆ เลย  นี่คือวิธีทำงานของผู้นำเทียมเท็จ และงานของคริสตจักรก็ล่าช้าออกไปเพราะวิธีทำงานเช่นนี้  ทว่าผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงรู้สึกว่าตนทำงานได้อย่างดีเยี่ยมและตนมีความสามารถมาก ในขณะที่ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาไม่เคยทำงานของคริสตจักรให้ดีได้เลยสักแง่มุมเดียว  พวกเขาไม่รู้ว่าผู้นำและคนทำงานซึ่งอยู่ภายใต้ขอบเขตความรับผิดชอบของตนนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าผู้นำและผู้กำกับดูแลฝ่ายต่างๆ สามารถแบกรับงานของตนได้หรือไม่ และพวกเขาก็ไม่ใส่ใจและไม่ถามไถ่ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ของพี่น้องชายหญิงหรือไม่  กล่าวโดยสรุปได้ว่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ในงานของตนได้ แต่พวกเขาก็ยังคงยุ่งวุ่นวายอย่างกระตือรือร้น  จากมุมมองของคนอื่น ผู้นำเทียมเท็จสามารถผ่านความยากลำบาก เต็มใจที่จะจ่ายราคา และพวกเขาก็ใช้เวลาทุกวันไปกับการวิ่งวุ่นไปมา  เมื่อถึงเวลากินอาหาร ก็ต้องเรียกพวกเขามาที่โต๊ะอาหาร และพวกเขาก็เข้านอนดึกมาก  ทว่าผลลัพธ์ของงานที่พวกเขาทำกลับไม่ดีเลย  หากเจ้าไม่ได้มองดูอย่างรอบคอบ ดูเพียงผิวเผินก็จะเหมือนว่างานทุกงานกำลังดำเนินอยู่ และทุกคนก็กำลังยุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่หากเจ้าสังเกตอย่างใกล้ชิดและพิถีพิถัน ตรวจสอบงานอย่างจริงจัง สถานการณ์ที่แท้จริงย่อมจะถูกเผยออกมา  งานทุกงานที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของพวกเขาไร้ระเบียบ ไม่มีโครงร่างหรือการจัดระบบระเบียบใดๆ ของงานเลย  มีปัญหา—หรือกระทั่งช่องโหว่—ในงานแต่ละงาน  การเกิดปัญหาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการที่ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง และกระทำการตามมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความกระตือรือร้นของตน  ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริง และพวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาทั้งหลายเลย  พวกเขาไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอย่างชัดเจนและไม่สามารถทำงานแห่งการนำได้ และพวกเขาก็ทำได้เพียงพรั่งพรูคำพูดและคำสอนโดยไม่เข้าใจความจริงเลย ทว่าพวกเขากลับแสร้งทำเป็นรู้สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาไม่รู้และพยายามแสร้งทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ  งานที่พวกเขาทำนั้นเป็นเพียงการทำอย่างขอไปที  เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น พวกเขาก็ใช้ข้อบังคับกับปัญหานั้นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า  พวกเขาเพียงเร่งรีบและวุ่นวายอย่างไร้จุดหมายและไม่ได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริงเลย  เนื่องจากผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง และเพียงพูดพล่ามแต่คำพูดและคำสอน รวมทั้งแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติตามข้อบังคับเท่านั้น ความก้าวหน้าในงานของคริสตจักรแต่ละงานจึงล่าช้าและไม่มีการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ชัดเจน  ผลสืบเนื่องที่เห็นได้ชัดที่สุดจากการที่ผู้นำเทียมเท็จได้ทำงานมาสักระยะหนึ่งแล้วก็คือการที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจความจริง พวกเขาไม่รู้จักวิธีที่จะแยกแยะเมื่อมีใครบางคนเผยความเสื่อมทรามหรือเกิดมีมโนคติอันหลงผิดขึ้นมา และแน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงที่ควรยึดถือในการทำหน้าที่ของตน  บรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนและบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนล้วนแต่เอื่อยเฉื่อย ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ และไม่มีวินัย อยู่ในความสับสนอลหม่านเหมือนเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย  พวกเขาส่วนใหญ่อาจจะสามารถกล่าวคำพูดหรือคำสอนได้บ้าง แต่ในขณะที่ทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็เพียงปฏิบัติตามข้อบังคับเท่านั้น พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลาย  ในเมื่อผู้นำเทียมเท็จเองก็ไม่รู้วิธีที่จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา พวกเขาจะสามารถนำคนอื่นให้ทำเช่นนั้นได้อย่างไร?  ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับคนอื่นก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จกลับสามารถเตือนสติพวกเขาได้เท่านั้นโดยกล่าวว่า “พวกเราต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า!”  “พวกเราต้องจงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา!”  “เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเรา พวกเราต้องรู้วิธีที่จะอธิษฐาน และพวกเราต้องแสวงหาหลักธรรมความจริง!”  ผู้นำเทียมเท็จมักจะตะโกนคำขวัญและคำสอนเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ใดๆ เลย  หลังจากที่ผู้คนได้ยินคำขวัญและคำสอนเหล่านั้น พวกเขายังคงไม่เข้าใจว่าหลักธรรมความจริงคืออะไร และพวกเขาก็ไร้เส้นทางของการปฏิบัติ  ในระดับผิวเผินนั้น ผู้คนจะอธิษฐานเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา และพวกเขาก็ปรารถนาที่จะจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตน—แต่พวกเขาล้วนขาดพร่องความเข้าใจในประเด็นปัญหา อย่างเช่น สิ่งที่พวกเขาควรทำเพื่อแสดงความจงรักภักดี วิธีที่พวกเขาควรอธิษฐานเพื่อให้เข้าใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้า และวิธีที่พวกเขาควรแสวงหาเมื่อพวกเขาเผชิญกับประเด็นปัญหาเพื่อให้ได้รับความเข้าใจในหลักธรรมความจริง  เมื่อมีผู้คนถามผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาก็บอกว่า “เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับคุณ จงอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น อธิษฐานให้มากขึ้น และสามัคคีธรรมความจริงให้มากขึ้น”  ผู้คนถามพวกเขาว่า “งานนี้เกี่ยวข้องกับหลักธรรมประการใดบ้าง?” และพวกเขาก็ตอบว่า “พระวจนะของพระเจ้าไม่ได้กล่าวถึงเรื่องงานที่อาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และฉันก็ไม่เข้าใจงานในด้านนั้นเช่นกัน  หากพวกคุณอยากจะเข้าใจ ก็จงค้นคว้าเอาเองเถิด—อย่าถามฉันเลย  ฉันนำพวกคุณให้เข้าใจความจริง ไม่ใช่ในเรื่องงานที่อาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง”  ผู้นำเทียมเท็จใช้คำพูดประเภทนี้เพื่อหลบเลี่ยงคำถาม  และผลที่ตามมาก็คือ แม้คนส่วนใหญ่จะมีความปรารถนาอันแรงกล้าในการทำหน้าที่ของตน แต่พวกเขาก็ไม่รู้วิธีที่จะปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง และพวกเขาก็ไม่รู้วิธีที่จะยึดมั่นในหลักธรรมในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน  เมื่อมองดูผลลัพธ์ของงานแต่ละงานในขอบเขตความรับผิดชอบของผู้นำเทียมเท็จแล้ว คนส่วนใหญ่ต่างพึ่งพาความรู้ การเรียนรู้ และพรสวรรค์ของตนในการทำงาน และพวกเขาก็ไม่รู้ความเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาทั้งหลาย อย่างเช่น ข้อกำหนดที่เฉพาะเจาะจงของพระเจ้าคืออะไร หลักธรรมในการทำหน้าที่คืออะไร และวิธีปฏิบัติตนเพื่อสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ของการเป็นพยานให้พระเจ้าและวิธีเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้ทุกคนที่โหยหาการทรงปรากฏของพระเจ้าและได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ สืบเสาะหาหนทางที่แท้จริง และกลับมาหาพระเจ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  เพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่รู้ความในสิ่งเหล่านี้?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความล้มเหลวในการทำงานจริงของผู้นำเทียมเท็จ  สาเหตุหลักของเรื่องนี้ก็คือตัวผู้นำเทียมเท็จเองไม่รู้ว่าหลักธรรมความจริงคืออะไร หรือหลักธรรมประการใดที่ผู้คนพึงเข้าใจและทำตาม  พวกเขาปฏิบัติตนโดยไร้หลักธรรม และพวกเขาก็ไม่เคยนำผู้คนในการค้นหาหลักธรรมแห่งการปฏิบัติและเส้นทางในหน้าที่ของผู้คน  เมื่อผู้นำเทียมเท็จพบปัญหา พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยตนเองได้ และพวกเขาก็ไม่สามัคคีธรรมและแสวงหากับผู้อื่น ซึ่งส่งผลให้จำเป็นต้องทำงานแต่ละงานใหม่อยู่เนืองๆ  นี่ไม่เพียงแต่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรทางการเงินและวัตถุเท่านั้น แต่ยังเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานและเวลาของผู้คนอีกด้วย  ผลสืบเนื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องโดยตรงกับขีดความสามารถที่อ่อนด้อยและการไม่รับผิดชอบของผู้นำเทียมเท็จ  แม้อาจจะไม่มีการกล่าวว่าผู้นำเทียมเท็จทำความชั่วและก่อให้เกิดการก่อกวนโดยเจตนา แต่ก็สามารถกล่าวได้ว่าผู้นำเทียมเท็จไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงในงานของตนเลย พวกเขากระทำการตามเจตจำนงของตนเองเสมอ  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน  ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง และไม่สามารถสามัคคีธรรมหลักธรรมเหล่านี้ให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างชัดเจน แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขากลับให้คนเหล่านั้นทำตามอำเภอใจได้อย่างเสรี  การนี้ส่งผลให้บางคนซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานบางอย่างกระทำการโดยพลการและตามอำเภอใจโดยไม่ตั้งใจ กระทำการตามที่พวกเขาต้องการและทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาชอบ  ผลก็คือไม่เพียงแต่จะมีผลลัพธ์ที่เป็นจริงน้อยมากเท่านั้น แต่ยังทำให้งานของคริสตจักรไร้ระเบียบอีกด้วย  เมื่อผู้นำเทียมเท็จถูกปลด ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ทบทวนตนเองหรือรู้จักตนเองเท่านั้น พวกเขายังใช้การอ้างเหตุผลลวงและโต้แย้งเพื่อตนเอง และพวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งไม่มีเจตนาที่จะกลับใจเลย  พวกเขาอาจขอให้พระนิเวศของพระเจ้าให้โอกาสพวกเขาอีกครั้งด้วยซ้ำไป โดยกล่าวว่าพวกเขาสามารถทำงานให้ดีได้อย่างแน่นอน  พวกเจ้าเชื่อพวกเขาหรือไม่?  พวกเขาไม่รู้จักตนเองและไม่ยอมรับความจริงเลย  แล้วพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงหนทางของตนได้หรือไม่?  พวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง ดังนั้นพวกเขาจะสามารถทำงานให้ดีได้หรือ?  เป็นไปได้หรือไม่?  คราวนี้พวกเขาไม่ได้ทำงานให้ดี—หากพวกเขาได้รับโอกาสอีกครั้ง พวกเขาจะสามารถทำงานให้ดีได้หรือไม่?  นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้  อาจกล่าวได้อย่างแน่ใจว่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีความสามารถในการทำงาน บางคราวพวกเขาอาจตรากตรำอย่างหนักและยุ่งวุ่นวายทีเดียว แต่นั่นเป็นการยุ่งวุ่นวายอย่างมืดบอด และไม่ทำให้เกิดผลใดๆ  เรื่องนี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถที่ย่ำแย่มาก พวกเขาไม่เข้าใจความจริงเลย และพวกเขาก็ไม่สามารถทำงานจริงได้  เรื่องนี้ก่อให้เกิดปัญหามากมายในงาน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้โดยการสามัคคีธรรมความจริง และใช้เพียงคำสอนที่ว่างเปล่าไม่กี่ประการในการเตือนสติผู้คนให้ปฏิบัติตามข้อบังคับ และผลที่ตามมาก็คือการที่พวกเขาทำให้งานไร้ระเบียบและทำให้งานอยู่ในความโกลาหล  นี่คือลักษณะการทำงานของผู้นำเทียมเท็จและผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้น  ผู้นำและคนทำงานทุกคนควรมองว่าเรื่องนี้เป็นคำเตือน

ประเด็นปัญหาที่ไม่น่าพึงพอใจนานัปการซึ่งปรากฏขึ้นภายในคริสตจักรนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้นำเทียมเท็จ—นี่เป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ขาดความสามารถในการทำความเข้าใจความจริง ทว่าพวกเขากลับคิดว่าตนเข้าใจและรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงกระทำการตามความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของตนเอง  พวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อที่จะจัดการกับการขาดความเข้าใจในหลักธรรมความจริงหรือการขาดมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด  เรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้นำและคนทำงานมามากมาย และเราก็ได้พบปะกับพวกเขาอยู่บ่อยๆ  เมื่อพวกเราพบปะกัน เราก็ถามพวกเขาว่า “พวกเจ้ามีประเด็นปัญหาอะไรบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าได้บันทึกปัญหาทั้งหลายที่มีอยู่ในงานไว้หรือไม่?  มีปัญหาใดที่พวกเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองบ้างหรือไม่?”  หลังจากที่เราพูดจบ พวกเขาก็จ้องมองอย่างเลื่อนลอย และในหัวใจของพวกเขาเกิดความสงสัยว่า “พวกเราเป็นผู้นำ พวกเราจะมีปัญหาได้หรือ?  หากพวกเรามีปัญหา งานของคริสตจักรก็คงจะหยุดชะงักไปนานแล้วมิใช่หรือ?  นี่เป็นคำถามประเภทใดกัน?  พวกเราฟังคำเทศนาและการสามัคคีธรรม รวมทั้งถือพระวจนะของพระเจ้าไว้ในมือ  คริสตจักรมีพวกเรามากมายซึ่งนำคริสตจักรอยู่ พระองค์ยังทรงเป็นกังวลได้อย่างไร?  การถามคำถามนี้บ่งบอกว่าพระองค์กำลังทรงดูเบาพวกเราอย่างชัดเจน  พวกเราจะมีปัญหาได้อย่างไร?  หากพวกเรามีปัญหา พวกเราคงจะไม่ได้เป็นผู้นำหรอก  คำถามของพระองค์ช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย!”  ทุกครั้งที่เราถามพวกเขาว่ามีประเด็นปัญหาอะไรบ้างหรือไม่ พวกเขาก็อยู่ในสภาวะเช่นนี้—พวกเขาแต่ละคนดูเฉยชาและโง่เขลา  งานต่างๆ ของคริสตจักรมีปัญหามากมายเหลือเกิน แต่ผู้คนเหล่านี้กลับไม่สามารถมองเห็นหรือค้นพบปัญหาเหล่านั้นได้เลย  พวกเขาไม่สามารถหยิบยกประเด็นปัญหาที่สัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตส่วนตน หรือประเด็นปัญหาที่มีอยู่ในงานซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริงขึ้นมาได้  ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถหยิบยกประเด็นปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาได้ เราจึงถามพวกเขาว่า “งานการแปลพระวจนะของพระเจ้าคืบหน้าไปอย่างไร?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ควรจะแปลเป็นกี่ภาษา?  ควรแปลเป็นภาษาใดก่อน และแปลเป็นภาษาใดทีหลัง?  ควรพิมพ์พระวจนะของพระเจ้าออกมากี่ฉบับในแต่ละภาษา?”  พวกเขาตอบว่า “เอ่อ กำลังแปลพระวจนะของพระเจ้ากันอยู่”  เราก็ถามพวกเขาว่า “งานแปลได้คืบหน้าไปถึงระดับใดแล้ว?  มีประเด็นปัญหาอะไรบ้างหรือไม่?”  พวกเขาก็ตอบว่า “ข้าพระองค์ไม่รู้ ข้าพระองค์ต้องไปถามดู”  เราต้องถามพวกเขาถึงสิ่งเหล่านี้ และพวกเขาก็ยังไม่รู้คำตอบ  แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาทำงานอะไรกันอยู่?  เราถามพวกเขาว่า “เจ้าได้แก้ไขประเด็นปัญหาที่พี่น้องชายหญิงถามถึงในคราวก่อนแล้วหรือยัง?”  พวกเขาตอบว่า “ข้าพระองค์จัดการชุมนุมกับพวกเขา—เป็นการชุมนุมเต็มวัน”  เราถามพวกเขาว่า “ประเด็นปัญหาทั้งหลายได้รับการแก้ไขหลังจากการชุมนุมหรือไม่?”  พวกเขาตอบว่า “พระองค์ทรงหมายความว่าหากยังคงมีประเด็นปัญหาอยู่ พวกเราก็ควรมีการชุมนุมอีกครั้งหนึ่งใช่หรือไม่?”  เราบอกว่า “เราไม่ได้ถามว่าเจ้าจัดการชุมนุมหรือเปล่า  เรากำลังถามว่าประเด็นปัญหาที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง  ผู้คนเหล่านี้เข้าใจหลักธรรมหรือไม่?  พวกเขาได้ละเมิดหลักธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาบ้างหรือไม่?  เจ้าได้พบปัญหาบ้างหรือไม่?”  พวกเขาตอบว่า “โอ้ ปัญหาเหล่านั้นหรือ?  ข้าพระองค์แก้ไขปัญหาเหล่านั้นแล้ว  ข้าพระองค์จัดการชุมนุมให้กับพี่น้องชายหญิงแล้ว”  บทสนทนานี้สามารถดำเนินต่อไปได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  การฟังบทสนทนานี้ทำให้พวกเจ้ารู้สึกโมโหมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้นำเหล่านี้เป็นเช่นไร?  ผู้นำเหล่านี้เป็นเพียงคนสมองทึบที่แสร้งเป็นคนฝ่ายวิญญาณมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่มีขีดความสามารถของผู้นำและคนทำงาน พวกเขามืดบอด พวกเขาไม่เข้าใจวิธีทำงาน และพวกเขาก็ตอบทุกคำถามว่า “ฉันไม่รู้”  และเมื่อเจ้าเฝ้าถามคำถามพวกเขาต่อไป พวกเขาก็ตอบว่า “ถึงอย่างไรฉันก็จัดการชุมนุมแล้ว ช่างมันเถอะ!”  ผู้นำเหล่านี้เคยทำงานที่แท้จริงหรือไม่?  พวกเขาเป็นผู้นำที่ได้มาตรฐานหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ผู้นำเหล่านี้เป็นผู้นำเทียมเท็จ  พวกเจ้าชื่นชอบผู้นำประเภทนี้หรือไม่?  หากพวกเจ้าพบเจอผู้นำดังกล่าว พวกเจ้าควรทำอย่างไร?  เวลาที่ผู้นำบางคนพบปะกับพี่น้องชายหญิง พวกเขากล่าวว่า “ไม่ว่าวันนี้คุณจะมีประเด็นปัญหาใด พวกเราจะมาสามัคคีธรรมถึงวิธีปฏิบัติหน้าที่ให้ดีกันก่อน”  บางคนจึงกล่าวว่า “พวกเราได้เผชิญกับประเด็นปัญหาเรื่องเทคนิคเฉพาะทางสายงานในหน้าที่ของพวกเรา พวกเราควรใช้เทคนิคที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อหรือไม่?”  นี่เป็นปัญหาที่ผู้นำจำเป็นต้องแก้ไขมิใช่หรือ?  หากประเด็นปัญหาบางอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการสามัคคีธรรมในหมู่พี่น้องชายหญิง ผู้นำก็ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว—นี่ถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำ  ผู้นำเทียมเท็จทำอย่างไรเมื่อพวกเขาเผชิญกับปัญหาเหล่านี้?  พวกเขากล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นประเด็นปัญหาที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เป็นปัญหาของพวกคุณ เรื่องนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันหรือ?  พวกคุณสามัคคีธรรมถึงประเด็นปัญหานี้กันเองเถิด แต่ก่อนอื่นฉันจะจัดการชุมนุมให้พวกคุณ  ในการชุมนุมวันนี้ พวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องความร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว  คำถามที่พวกคุณเพิ่งถามนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องความร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว  พวกคุณควรจะหารือสิ่งต่างๆ และสามัคคีธรรมด้วยกันได้ รวมทั้งทำการค้นคว้าเพิ่มเติม ไม่ควรมีใครคิดว่าตนเองถูก และทุกคนควรยอมรับการตัดสินใจใดๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่—นี่เป็นคำถามเกี่ยวกับความร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวมิใช่หรือ?  ดูเหมือนพวกคุณจะไม่รู้วิธีร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว หรือวิธีหารือเกี่ยวกับปัญหาทั้งหลายเมื่อเกิดปัญหาขึ้น  พวกคุณถามฉันทุกปัญหา  พวกคุณถามฉันเพื่ออะไร?  ฉันเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ?  หากฉันเข้าใจ พวกคุณก็คงจะไม่มีอะไรทำไม่ใช่หรือ?  พวกคุณถามฉันทุกสิ่งทุกอย่าง  นี่เป็นปัญหาที่ฉันควรจะจัดการหรือ?  ฉันรับผิดชอบเฉพาะการสามัคคีธรรมความจริงเท่านั้น พวกคุณแก้ไขประเด็นปัญหาทางสายงานด้วยตัวเองเถิด  ปัญหาเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับฉันหรือ?  ถึงอย่างไร ฉันก็ได้สามัคคีธรรมกับพวกคุณและบอกพวกคุณไปแล้วว่าให้ร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว—หากพวกคุณไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เช่นนั้นก็จงอย่าปฏิบัติหน้าที่นี้เลย  ฉันได้สามัคคีธรรมเสร็จสิ้นแล้ว พวกคุณก็ไปแก้ปัญหากันเองเถิด”  ผู้นำเหล่านี้รู้วิธีแก้ปัญหาหรือไม่?  (พวกเขาไม่รู้)  แม้จะไม่รู้วิธีแก้ปัญหานี้ แต่พวกเขาก็คิดว่าตนเองชอบด้วยเหตุผลอย่างยิ่ง และพวกเขาก็เชี่ยวชาญในการหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ  จากภาพที่ปรากฏนั้น พวกเขาได้ทำงานของตนแล้ว พวกเขาได้มาถึงสถานที่เพื่อดำเนินการตรวจสอบแล้ว และพวกเขาก็ไม่ได้หย่อนยาน  อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงหรือแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ  พวกเจ้าสามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ได้หรือไม่?  ในยามที่เผชิญกับปัญหาใดๆ พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องได้ พวกเขาได้แต่พูดคำสอนและทฤษฎีบางประการที่ว่างเปล่า ซึ่งพวกเขาทำให้ฟังดูสูงส่งและลุ่มลึกทีเดียว และหลังจากที่ผู้คนได้ยินคำสอนและทฤษฎีเหล่านั้น พวกเขาก็ไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจความจริงเท่านั้น แต่พวกเขายังรู้สึกสับสนและงุนงงอีกด้วย นี่คืองานที่บรรดาผู้นำเทียมเท็จทำ

ในงานของการสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงที่พึงเข้าใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่แต่ละอย่างให้ถูกควรนั้น ผู้นำเทียมเท็จถูกเผยออกมาอย่างหมดจด  พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริง หรือนำผู้คนให้ยึดถือและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือนำผู้คนให้เข้าใจและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้—พวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำพึงทำให้ลุล่วงได้  และไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังไม่สามารถติดตามสภาวการณ์ของบรรดาผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทและบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ ได้ และต่อให้พวกเขามีความเข้าใจเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถูกต้องแม่นยำ  ประเด็นปัญหานี้ก่อให้เกิดการก่อกวนและความเสียหายต่องานต่างๆ อย่างใหญ่หลวง  เหล่านี้คือการสำแดงนานัปการของผู้นำเทียมเท็จที่พวกเรากำลังจะเปิดโปงในวันนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สี่ของผู้นำและคนทำงาน

ประการที่สี่: คอยติดตามสภาวการณ์ของบรรดาผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทกับบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนหน้าที่หรือปลดพวกเขาอย่างทันท่วงทีตามความจำเป็น เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความสูญเสียที่เกิดจากการใช้ผู้คนที่ไม่เหมาะสม และเพื่อรับประกันประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของงานอย่างราบรื่น

ผู้นำและคนทำงานต้องเข้าใจสภาวการณ์ของบรรดาผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภท

หน้าที่รับผิดชอบประการที่สี่ของผู้นำและคนทำงานคืออะไร?  (“คอยติดตามสภาวการณ์ของบรรดาผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทกับบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนหน้าที่หรือปลดพวกเขาอย่างทันท่วงทีตามความจำเป็น เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความสูญเสียที่เกิดจากการใช้ผู้คนที่ไม่เหมาะสม และเพื่อรับประกันประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของงานอย่างราบรื่น”)  ถูกต้อง นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดที่บรรดาผู้นำและคนทำงานควรทำให้ได้ขณะทำงาน  พวกเจ้าทุกคนเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบหลักๆ ของผู้นำและคนทำงานในเรื่องของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สี่นี้หรือไม่?  ผู้นำและคนทำงานต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทและบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ  การเข้าใจสภาวการณ์ของผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทและบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ นั้นอยู่ภายในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  แล้วบุคลากรเหล่านี้คือใคร?  โดยหลักแล้ว ได้แก่ ผู้นำคริสตจักร ตามมาด้วยผู้กำกับดูแลฝ่ายและผู้นำของกลุ่มต่างๆ  การเข้าใจและรับรู้สภาวการณ์ทั้งหลายอย่างเช่น ผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทและบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ มีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ การกระทำของพวกเขามีหลักธรรมหรือไม่ และสามารถทำงานของคริสตจักรให้ดีได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งยวดและมีความสำคัญมากมิใช่หรือ?  หากผู้นำและคนทำงานเข้าใจสภาวการณ์ของผู้กำกับดูแลหลักของงานแต่ละประเภทอย่างครบถ้วน และปรับเปลี่ยนบุคลากรอย่างเหมาะสม นั่นก็เหมือนกับการที่พวกเขาดำเนินการตรวจงานแต่ละงานอย่างถูกควร และนั่นก็เทียบเท่ากับการที่พวกเขาลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบและหน้าที่ของตน  หากไม่ดำเนินการปรับเปลี่ยนบุคลากรเหล่านี้ให้ถูกต้อง แล้วเกิดปัญหาขึ้น งานของคริสตจักรย่อมจะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง  หากบุคลากรเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์ที่ดี มีรากฐานในการเชื่อในพระเจ้าของตน มีความรับผิดชอบในการจัดการกับเรื่องต่างๆ และสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้ เช่นนั้นแล้วการมอบหมายให้พวกเขารับผิดชอบงานย่อมจะป้องกันปัญหาได้มาก และที่สำคัญที่สุดก็คือจะเป็นการเปิดโอกาสให้งานก้าวหน้าไปได้อย่างราบรื่น  แต่หากผู้กำกับดูแลทีมต่างๆ เป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้ มีความเป็นมนุษย์ที่อ่อนด้อย ประพฤติตนไม่ดี ไม่นำความจริงไปปฏิบัติ และยิ่งไปกว่านั้นยังหมิ่นเหม่ที่จะก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้จะมีผลกระทบต่องานที่พวกเขารับผิดชอบและมีผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงที่พวกเขานำ  แน่นอนว่าผลกระทบนั้นอาจจะมากหรือน้อยก็ได้  หากผู้กำกับดูแลเพียงแค่ละเลยหน้าที่ของพวกเขาและไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน นี่อาจจะก่อให้เกิดความล่าช้าในงานไปบ้างเท่านั้น ความคืบหน้าจะล่าช้าลงเล็กน้อย และงานก็จะมีประสิทธิภาพลดลงบ้าง  อย่างไรก็ตามหากพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ ปัญหาย่อมจะร้ายแรง กล่าวคือ นี่จะไม่ใช่ประเด็นปัญหาของงานที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือมีประสิทธิผลลดลงเล็กน้อย—แต่พวกเขาจะรบกวนและสร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักรที่พวกเขารับผิดชอบ และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง  ดังนั้นการคอยติดตามสภาวการณ์ของบรรดาผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทและบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการโยกย้ายและการปลดอย่างทันท่วงทีเมื่อค้นพบว่าใครบางคนไม่ได้กำลังทำงานที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ภาระหน้าที่ที่ผู้นำและคนทำงานสามารถหลบเลี่ยงได้—นี่เป็นงานที่จริงจังและสำคัญมาก  หากผู้นำและคนทำงานสามารถรู้จักลักษณะนิสัยของผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทและบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ และรู้จักท่าทีที่ผู้กำกับดูแลและบุคลากรดังกล่าวมีต่อความจริงและหน้าที่ของตน ตลอดจนรู้สภาวะและผลการปฏิบัติงานของพวกเขาในแต่ละช่วงเวลาและในแต่ละช่วงระยะได้อย่างทันท่วงที และปรับเปลี่ยนหรือจัดการกับบุคคลเหล่านั้นตามสภาวการณ์ได้ในทันที เช่นนั้นแล้วงานย่อมสามารถดำเนินไปได้อย่างมั่นคง  ในทางตรงกันข้าม หากผู้คนเหล่านั้นเกะกะระรานทำสิ่งเลวร้ายและไม่ทำงานจริงในคริสตจักร บรรดาผู้นำและคนทำงานก็ไม่สามารถระบุเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วและทำการปรับเปลี่ยนได้อย่างทันท่วงที แต่กลับรอจนกระทั่งปัญหาที่ร้ายแรงนานาสารพัดปรากฏขึ้นมา ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากต่องานของคริสตจักร ก่อนที่จะพยายามจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างลวกๆ ปรับเปลี่ยน ตลอดจนแก้ไขและกอบกู้สถานการณ์ เช่นนั้นแล้วผู้นำและคนทำงานเหล่านั้นก็เป็นเพียงเศษขยะ  พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จที่แท้จริงซึ่งต้องถูกปลดและถูกกำจัดออกไป

เมื่อครู่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันในแบบกว้างๆ ถึงความสำคัญของการเข้าใจและการรับรู้สภาวะที่แท้จริงของผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทและประสิทธิผลของงานของพวกเขา โดยใช้ภาวะจริงเหล่านี้ในการประเมินว่าผู้นำและคนทำงานได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้วหรือยัง และเปิดโปงว่ามีการสำแดงใดบ้างที่พวกเขาแสดงออกมาซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ โดยการชำแหละแก่นแท้ของผู้นำเทียมเท็จ  เมื่อมีปัญหาร้ายแรงเกิดขึ้นในงานของคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่อาจลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนได้  พวกเขาไม่สามารถค้นพบประเด็นปัญหาเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที นับประสาอะไรกับการจัดการและแก้ไขประเด็นปัญหาดังกล่าวได้ทันเวลา  เรื่องนี้ย่อมส่งผลให้ประเด็นปัญหาทั้งหลายยืดเยื้อออกไป ซึ่งก่อให้เกิดความล่าช้าและความเสียหายต่องานของคริสตจักร และอาจถึงกับเป็นเหตุให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักหรือตกอยู่ในความโกลาหลได้  ต่อเมื่อสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเท่านั้น ผู้นำเทียมเท็จจึงไปเฝ้าสังเกตในสถานที่ทำงานของคริสตจักรอย่างไม่สู้เต็มใจนัก แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถระบุวิธีแก้ปัญหาที่สอดคล้องหรือเหมาะสมในการแก้ปัญหานั้นได้ และสุดท้ายพวกเขาก็เพียงแค่ปล่อยปัญหาดังกล่าวไว้โดยไม่ได้รับการแก้ไข  นี่คือการสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จ

มาตรฐานในการคัดเลือกผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภท

ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานในการคัดเลือกผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทและบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ ไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น ผู้กำกับดูแลงานศิลป์ควรมีคุณสมบัติหลักอะไรบ้าง?  (พวกเขาควรมีทักษะที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะในสายงานนี้และสามารถแบกรับงานนี้ได้)  การมีทักษะที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นทฤษฎีหนึ่ง  แล้วทักษะที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเหล่านี้หมายถึงอะไรเป็นการเฉพาะ?  พวกเรามาบรรยายเรื่องนี้กันเถิด  หากใครบางคนมีความสุขกับการวาดรูปและสนใจในการทำงานศิลป์ แต่ไม่ใช่อาชีพของพวกเขา และพวกเขาก็ขาดความรู้ในด้านนี้ เพียงแต่ชอบการทำงานศิลป์เท่านั้น การคัดเลือกบุคคลดังกล่าวมาเป็นผู้กำกับดูแลฝ่ายศิลป์นั้นเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่เหมาะสม)  บางคนกล่าวว่า “หากพวกเขาชอบทำงานศิลป์ พวกเขาก็สามารถทำงานนี้และเรียนรู้งานนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปได้”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  เรื่องนี้มีข้อยกเว้นอยู่ประการหนึ่ง ซึ่งก็คือหากคนอื่นในฝ่ายศิลป์ต่างก็ไม่มีความรู้ในวิชาชีพนี้เช่นกัน และคนคนนี้รู้มากกว่าเล็กน้อยและเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนอื่น  เช่นนั้นจะถือว่าการคัดเลือกคนดังกล่าวเหมาะควรในระดับหนึ่งใช่หรือไม่?  (ใช่)  นอกจากสถานการณ์เช่นนี้ สมมติว่าในบรรดาทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์งานศิลป์ มีเพียงบุคคลคนนี้เท่านั้นที่ไม่มีความรู้ในวิชาชีพนี้ แต่เขาก็ได้รับเลือกเพราะว่าเขาเข้าใจความจริงและชอบทำงานศิลป์—นั่นเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่?  (ไม่เหมาะสม)  เพราะเหตุใดจึงไม่เหมาะสม?  เพราะพวกเขาไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรกหรือตัวเลือกเดียว  เช่นนั้นแล้วควรคัดเลือกผู้กำกับดูแลประเภทนี้อย่างไร?  พวกเขาควรได้รับเลือกจากบรรดาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในวิชาชีพนั้นมากที่สุด กล่าวคือพวกเขาต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีทั้งทักษะเชิงวิชาชีพและความสามารถในการทำงาน—จงอย่าเลือกคนที่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญพิเศษ  นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง  นอกจากนั้นพวกเขาต้องแบกรับภาระ มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และสามารถเข้าใจความจริงได้  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องมีรากฐานในความเชื่อในพระเจ้าของตนด้วย  หลักธรรมสำคัญ ได้แก่ ประการแรกคือพวกเขาต้องมีความสามารถในการทำงาน ประการที่สองคือพวกเขาต้องเข้าใจวิชาชีพนั้น และประการที่สามคือพวกเขาต้องมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและสามารถเข้าใจความจริงได้  จงใช้หลักเกณฑ์ทั้งสามข้อนี้ในการคัดเลือกผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภท

การสำแดงของผู้นำเทียมเท็จในเรื่องของผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภท

หลังจากคัดเลือกผู้กำกับดูแลงานเฉพาะต่างๆ แล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ไม่ควรนิ่งเฉยและไม่ทำอะไร พวกเขาต้องฝึกฝนและบ่มเพาะผู้กำกับดูแลเหล่านี้ไปสักระยะหนึ่งด้วย เพื่อดูว่าบุคคลที่พวกเขาเลือกสรรมานั้นสามารถแบกรับงานได้อย่างแท้จริงและทำให้งานอยู่ในครรลองที่ถูกต้องได้หรือไม่  นั่นคือความหมายของการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา  สมมติว่าตอนที่ทำการคัดเลือก เจ้าเห็นว่าผู้สมัครของเจ้าเข้าใจวิชาชีพของตน มีความสามารถในการทำงาน แบกรับภาระได้เล็กน้อย รวมทั้งมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและความสามารถในการเข้าใจความจริง เจ้าก็คิดว่าทุกสิ่งจะไม่มีปัญหาเพราะพวกเขามีคุณสมบัติเหมาะสมในแง่มุมเหล่านี้ และกล่าวว่า “พวกคุณสามารถเริ่มทำงานได้ ฉันได้บอกหลักธรรมทั้งหมดให้พวกคุณฟังแล้ว  จากนี้เป็นต้นไป จงทำสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าสั่งให้พวกคุณทำด้วยตนเองเถิด”  นี่เป็นหนทางการดำเนินงานที่ยอมรับได้ใช่หรือไม่?  เมื่อเจ้าได้จัดการวางตัวผู้กำกับดูแลเรียบร้อยแล้ว ก็หมายความว่าเจ้าสามารถปล่อยปละละเลยได้ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วควรทำอย่างไร?  สมมติว่าผู้นำคนหนึ่งชุมนุมกับผู้กำกับดูแลสัปดาห์ละสองครั้ง สามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา และนั่นคือทั้งหมดที่เขาทำ โดยเชื่อว่าเนื่องจากผู้กำกับดูแลเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่กระตือรือร้น เชื่อถือได้ และมีความสามารถในการเข้าใจสิ่งที่คนอื่นกล่าว เพราะฉะนั้นพวกเขาย่อมสามารถปฏิบัติให้สอดคล้องกับความจริงได้  ผู้นำคนนี้คิดว่าตนไม่จำเป็นต้องตรวจสอบหรือติดตามว่าผู้กำกับดูแลเหล่านี้ทำงานของตนอย่างไรเป็นการเฉพาะ พวกเขาให้ความร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวหรือไม่ พวกเขาได้ทำความเข้าใจทักษะที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางระหว่างช่วงเวลานี้หรือไม่ หรือพวกเขาได้ทำงานที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้เสร็จสมบูรณ์ไปมากน้อยเพียงใด  นี่เป็นหนทางที่ผู้นำและคนทำงานควรจัดการกับงานใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่เป็นวิธีที่ผู้นำเทียมเท็จทำงานของตน  พวกเขาพยายามทำงานทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในคราวเดียว พวกเขาจึงจัดการวางตัวผู้กำกับดูแลและสร้างทีมที่มีสมาชิกไม่กี่คนขึ้นมา แล้วจากนั้นก็กล่าวว่า “เริ่มงานได้เลย  หากพวกคุณต้องการอุปกรณ์อะไร ก็บอกให้ฉันรู้ แล้วพระนิเวศของพระเจ้าจะซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวให้พวกคุณ  หากพวกคุณเผชิญกับความลำบากยากเย็นใดๆ ในชีวิตประจำวันของพวกคุณหรือเผชิญกับความเดือดร้อนใดๆ ก็ไม่ต้องเกรงใจที่จะหยิบยกเรื่องเหล่านั้นขึ้นมา พระนิเวศของพระเจ้าจะแก้ไขเรื่องเหล่านั้นให้พวกคุณเสมอ  หากพวกคุณไม่มีความลำบากยากเย็นใดๆ เช่นนั้นจงมุ่งเน้นที่งานของพวกคุณ  อย่าก่อให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน และอย่าพูดพล่ามแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งใดๆ”  ผู้นำเทียมเท็จจัดการเตรียมการให้ผู้คนเหล่านี้ทำงานด้วยกัน และคิดว่าตราบใดที่พวกเขามีอาหาร เครื่องดื่ม และที่พักอาศัย นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาใจใส่พวกเขาอีก  เมื่อเบื้องบนถามว่า “ผู้กำกับดูแลงานนี้ถูกคัดเลือกมานานเพียงใดแล้ว?  งานกำลังคืบหน้าไปอย่างไร?”  พวกเขาก็ตอบว่า “ผ่านมาได้หกเดือนแล้ว พวกเราได้จัดการชุมนุมให้พวกเขาไปประมาณ 10 ครั้งแล้ว และพวกเขาก็ดูเบิกบานดี และงานก็กำลังดำเนินการอยู่”  เมื่อเบื้องบนถามว่า “แล้วความสามารถในการทำงานของผู้กำกับดูแลเป็นอย่างไร?”  พวกเขาตอบว่า “ก็พอใช้ได้ ตอนที่พวกเราเลือกผู้กำกับดูแลเหล่านี้ พวกเขาเป็นคนที่เก่งที่สุดแล้ว”  เบื้องบนถามพวกเขาว่า “ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไร?  พวกเขาสามารถทำงานจริงได้หรือไม่?”  พวกเขาตอบว่า “ได้จัดการชุมนุมให้พวกเขาไปแล้ว”  เบื้องบนตอบว่า “ไม่ได้ถามว่าคุณจัดการชุมนุมหรือเปล่า ฉันถามว่างานของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”  พวกเขากล่าวว่า “ก็น่าจะใช้ได้ ไม่มีใครรายงานสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับพวกเขาเลย”  เบื้องบนจึงกล่าวตอบว่า “การที่ไม่มีใครรายงานสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับพวกเขาไม่ใช่มาตรฐาน  คุณจำเป็นต้องดูว่าความสามารถในการทำงานและทักษะเชิงวิชาชีพของพวกเขาเป็นอย่างไร และดูว่าพวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่ และพวกเขาทำงานจริงหรือไม่”  พวกเขาตอบว่า “ตอนที่ทำการคัดเลือก พวกเขาก็ดูใช้ได้  ก็เลยไม่ได้ไต่ถามถึงรายละเอียดเหล่านี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว  หากคุณต้องการทราบ ฉันจะถามอีกที”  นี่คือวิธีที่ผู้นำเทียมเท็จทำงาน  พวกเขาเอาแต่จัดการชุมนุมและการสามัคคีธรรมอย่างไม่รู้จบกับบรรดาผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกเขา แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเบื้องบน พวกเขาก็พูดจาหลบเลี่ยงและตอบอย่างขอไปที  คำตอบอย่างขอไปทีที่ดีที่สุดของพวกเขาก็คือการกล่าวว่า “ฉันได้จัดการชุมนุมให้พวกเขา คราวที่แล้วได้ถามถึงเรื่องงาน และลงรายละเอียดไปมากทีเดียว”  นี่คือวิธีที่พวกเขาตอบเบื้องบน  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้กำลังทำงานจริงอยู่หรือไม่?  พวกเขาได้ระบุประเด็นปัญหาที่แท้จริงหรือไม่?  พวกเขาได้แก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านั้นแล้วหรือยัง?  หลังจากจัดการวางตัวผู้กำกับดูแลแล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่รู้เลยว่าผู้กำกับดูแลได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนหรือจงรักภักดีหรือไม่ งานดำเนินไปอย่างไร ผลลัพธ์ที่ออกมาดีหรือไม่ดี พี่น้องชายหญิงรายงานเกี่ยวกับพวกเขากลับมาว่าอย่างไร หรือมีบุคคลที่เหมาะสมกับงานนี้มากกว่าหรือไม่  เหตุใดพวกเขาจึงไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย?  เพราะพวกเขาไม่ได้ทำงานจริงนี้เลย พวกเขาเพียงแค่ทำให้ตัวเองยุ่งวุ่นวายกับสิ่งที่เปล่าประโยชน์  พวกเขาคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องกำกับดูแลและตรวจงานอย่างสม่ำเสมอเช่นนี้ พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนี้จะหมายความว่าพวกเขาขาดความไว้วางใจในตัวผู้กำกับดูแลเหล่านั้น  ในความคิดของพวกเขา การจัดการชุมนุมเป็นการทำหน้าที่รับผิดชอบของตนให้ลุล่วงและเป็นการแสดงความจงรักภักดี  นี่คือการสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานจริง

I. ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อผู้กำกับดูแลที่ไม่ทำงานจริงอย่างไร

ผู้นำเทียมเท็จปิดตาตนเองต่อสภาวการณ์นานัปการของผู้กำกับดูแลงานทุกประเภทในคริสตจักร พวกเขาไม่มีความเข้าใจในสภาวการณ์เหล่านี้ ไม่ตรวจสอบ ไม่จัดการ หรือแก้ไขสภาวการณ์เหล่านี้  สภาวการณ์ที่เฉพาะเจาะจงของผู้กำกับดูแลมีอะไรบ้าง?  สภาวการณ์แรกคือเมื่อผู้กำกับดูแลไม่แบกรับภาระ และกิน ดื่ม รวมทั้งแสวงหาความบันเทิง โดยไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตนหรือไม่ทำงานจริง  นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนมีความสามารถในการทำงาน มีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ และพวกเขาก็ดีเลิศที่สุด พวกเขาพูดจาฉะฉานและเฉลียวฉลาด หากพวกเขาถูกขอให้กล่าวทวนคำสั่ง พวกเขาก็สามารถทำเช่นนั้นได้โดยไม่พลาดสักคำเดียว พวกเขาฉลาดพอ พวกเขาได้รับการประเมินที่ดีไม่น้อยจากทุกคน และพวกเขาก็เป็นผู้เชื่อมาเป็นเวลานานทีเดียว  ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้กำกับดูแล  อย่างไรก็ดี ไม่มีใครรู้ว่าผู้คนเหล่านี้เป็นคนที่ลงมือทำจริงหรือไม่ สามารถจ่ายราคาได้หรือไม่ หรือสามารถทำงานจริงได้หรือไม่  เนื่องจากผู้คนเลือกพวกเขา พวกเขาจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งในเบื้องต้นเพื่อให้ได้รับการบ่มเพาะและถูกใช้งานในช่วงทดลองงาน  อย่างไรก็ตาม หลังจากทำงานมาระยะหนึ่ง ก็พบว่าถึงแม้พวกเขาจะมีทักษะเชิงวิชาชีพและมีประสบการณ์ แต่พวกเขาก็ตะกละตะกลามและเกียจคร้าน อีกทั้งไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา  พวกเขาเลิกทำงานทันทีที่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย และพวกเขาก็ไม่ต้องการใส่ใจใครก็ตามที่มีปัญหาหรือความลำบากยากเย็นซึ่งต้องการการชี้แนะจากพวกเขา  ในตอนเช้า ทันทีที่พวกเขาลืมตาตื่นขึ้นมา พวกเขาก็คิดว่า “วันนี้ฉันจะกินอะไร?  ห้องครัวไม่ได้ทำหมูตุ๋นมาหลายวันแล้วนะ”  ตามปกติพวกเขาจะกล่าวกับผู้อื่นเสมอว่า “ขนมที่บ้านเกิดของฉันอร่อยจริงๆ พวกเรามักจะออกไปกินขนมเหล่านั้นกันทุกเทศกาล  ตอนที่ฉันยังเรียนหนังสืออยู่ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ฉันมักจะนอนจนกระทั่งตื่นขึ้นมาเอง แล้วจากนั้นฉันก็จะไปกินข้าวโดยไม่กังวลว่าจะต้องล้างหน้าหรือหวีผมเลย  ตอนบ่ายฉันก็จะเล่นวิดีโอเกมอยู่ในบ้านโดยใส่ชุดนอน บางครั้งจนกระทั่งถึงตี 5 ในเช้าวันถัดไป  ตอนนี้งานในพระนิเวศของพระเจ้าบังคับให้ฉันมาถึงจุดนี้แล้ว และในฐานะผู้กำกับดูแล ฉันต้องทำบางสิ่งบางอย่าง  ดูสิว่าพวกคุณทุกคนมีชีวิตที่สุขสบายเพียงใด พวกคุณไม่ต้องจ่ายราคาเช่นนี้  ในฐานะผู้กำกับดูแล ฉันต้องสู้ทนความยากลำบากได้”  พวกเขากล่าวเช่นนี้ แต่พวกเขาขบถต่อเนื้อหนังหรือไม่?  พวกเขาจ่ายราคาหรือไม่?  พวกเขาเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่น และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะทำงานจริงเลย  พวกเขาจะขยับก็ต่อเมื่อถูกผลักดันเท่านั้น และเมื่อไม่มีการกำกับดูแล พวกเขาก็ประพฤติตนในแบบสุกเอาเผากิน  ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั้น พวกเขาผ่อนคลายและไม่มีวินัย มักจะมีเหลี่ยมคูและเกียจคร้าน และพวกเขาก็ไม่มีความรับผิดชอบเลยสักนิดเดียว  เมื่อเป็นเรื่องของปัญหาทางวิชาชีพที่พวกเขาสังเกตเห็น พวกเขาก็ไม่แก้ไขปัญหาดังกล่าวให้คนอื่น และพวกเขาก็มีความสุขเมื่อคนอื่นๆ ปฏิบัติตนในหนทางที่สุกเอาเผากินเหมือนพวกเขากันทุกคน  พวกเขาไม่ต้องการให้ใครจริงจังกับงาน  ผู้กำกับดูแลบางคนทำงานไม่กี่อย่างที่พวกเขามีในมือให้เสร็จในแบบที่ไม่ใส่ใจและสุกเอาเผากิน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มดูละครโทรทัศน์แบบมาราธอนอย่างไม่หยุดหย่อน  อะไรคือเหตุผลของพวกเขาในการดูละครติดต่อกันแบบนั้น?  “ฉันทำงานของฉันเสร็จแล้ว ฉันไม่ได้มากินอยู่ฟรีที่พระนิเวศของพระเจ้านะ  ฉันแค่กำลังผ่อนคลายให้จิตใจของฉันสดชื่นขึ้น  มิฉะนั้นฉันก็จะเหนื่อยเกินไป และจะส่งผลร้ายต่อประสิทธิภาพในการทำงานของฉัน  ขอฉันผ่อนคลายสักครู่เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของฉันให้ดีขึ้น”  ตอนกลางคืนพวกเขาดูละครจนถึงตี 2 หรือตี 3  เมื่อทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จตอน 8 โมงเช้าในวันต่อมาและเริ่มทำหน้าที่ของตน ผู้กำกับดูแลเหล่านี้กลับยังคงนอนหลับอยู่ และพวกเขาก็ไม่ลุกจากที่นอนแม้กระทั่งตอนที่ตะวันขึ้นสูงโด่งบนท้องฟ้าแล้วก็ตาม  พวกเขาตื่นขึ้นมาในภายหลังอย่างไม่สู้เต็มใจนัก ลากเนื้อหนังที่เกียจคร้านของตนไปข้างหน้า พลางบิดขี้เกียจและหาวนอน เมื่อพวกเขาเห็นว่าทุกคนได้เริ่มงานไปแล้ว พวกเขาก็เกรงว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นความเกียจคร้านของตน และเริ่มมองหาข้อแก้ตัว โดยบอกว่า “เมื่อคืนฉันอยู่ดึกเกินไป ฉันมีเรื่องต้องทำมากเกินไป งานก็หนักเกินไป  ฉันเหนื่อยนิดหน่อย  เมื่อคืนฉันถึงกับฝันว่างานบางชิ้นมีปัญหา  เช้านี้ตอนที่ฉันตื่นนอน มือของฉันอยู่ในท่าที่กำลังพิมพ์งานบนคอมพิวเตอร์อยู่  ความรู้สึกนึกคิดของฉันยุ่งเหยิงมาก และฉันจำเป็นต้องงีบในตอนบ่าย”  พวกเขาตื่นสายมากและต้องงีบหลับในช่วงบ่ายอีกด้วย—พวกเขากลายเป็นสุกรไปแล้วมิใช่หรือ?  พวกเขาหย่อนยานอย่างเห็นได้ชัด ทว่าพวกเขากลับหาข้อแก้ตัวเพื่ออ้างเหตุผลและแก้ต่างให้ตนเอง โดยอ้างว่าพวกเขาเหนื่อยล้าเพราะว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตนอยู่จนดึกดื่น  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาดูละครแบบมาราธอน ลุ่มหลงในความสุขสบายทางเนื้อหนัง และใช้ชีวิตในสภาวะหลงระเริง ทว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ถึงกับหาข้อแก้ตัวที่ฟังดูดีเพื่อหลอกลวงผู้อื่น  นี่คือการไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของพวกเขามิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนเช่นนี้อาจมีความสามารถในการทำงานและทักษะเชิงวิชาชีพ แต่พวกเขาได้มาตรฐานในฐานะผู้กำกับดูแลหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่  พวกเขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้กำกับดูแลเพราะพวกเขาเกียจคร้านเกินไป พวกเขาลุ่มหลงในความสุขสบายทางเนื้อหนัง พวกเขาละโมบในเรื่องอาหาร เรื่องนอน และความบันเทิง และพวกเขาก็ไม่สามารถแบกรับหรือลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้กำกับดูแลได้

ผู้หญิงบางคนมักจะดูเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง และอาหารทางออนไลน์ และหลังจากดูเสร็จแล้ว พวกเธอก็เริ่มดูละครแบบมาราธอน  ผู้คนกล่าวว่า “เพราะเหตุใดคุณจึงดูละครแบบมาราธอนทั้งที่คุณยังทำงานของคุณไม่เสร็จ?  ยิ่งไปกว่านั้น คนอื่นๆ ยังมีประเด็นปัญหามากมายเหลือเกิน  ในฐานะผู้กำกับดูแล คุณควรให้การชี้แนะแก่พวกเขา  เพราะเหตุใดคุณจึงไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของคุณ?”  ผู้หญิงเหล่านี้ก็บอกว่า “การดูละครแบบมาราธอนก็เป็นส่วนหนึ่งในงานของฉันเช่นกัน  วิดีโอและภาพยนตร์ของพระนิเวศของพระเจ้าจำเป็นต้องได้รับการพัฒนา และฉันต้องหาแรงบันดาลใจจากละครเหล่านี้!”  นั่นเป็นคำพูดหลอกลวงมิใช่หรือ?  หากเจ้าเกี่ยวข้องกับวิชาชีพนี้ การดูละครเป็นครั้งคราวเพื่อหาแรงบันดาลใจย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่การดูละครแบบมาราธอนทั้งวันทั้งคืนเป็นการแสวงหาแรงบันดาลใจหรือไม่?  นั่นเป็นเรื่องหลอกลวงมิใช่หรือ?  (นั่นเป็นเรื่องหลอกลวง)  ทุกคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นการกล่าวเช่นนั้นก็คือการขายศักดิ์ศรีและความซื่อตรงของเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนตน  บางคนเล่นวิดีโอเกมจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว และการเล่นวิดีโอเกมก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้กำกับดูแล พวกเขาก็ควรเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีและความชั่วช้าเหล่านี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  หากเจ้าไม่สามารถต่อต้านนิสัยที่ไม่ดีและความชั่วช้าดังกล่าวได้ เมื่อเจ้าได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้กำกับดูแล เจ้าก็ควรบอกว่า “ฉันไม่สามารถแบกรับงานนี้ได้  ฉันเสพติดการเล่นวิดีโอเกม  เวลาที่ฉันเล่นวิดีโอเกม ฉันจะเข้าสู่สภาวะของการไม่รู้ตัว และไม่มีใครสามารถแทรกแซงหรือทำให้ฉันเปลี่ยนวิถีชีวิตได้  หากพวกคุณเลือกฉัน ย่อมจะทำให้งานล่าช้าอย่างแน่นอน  ดังนั้นรีบดำเนินการเถิด และอย่าเปิดโอกาสให้ฉันเป็นผู้กำกับดูแลเลย”  หากเจ้าไม่แจ้งเรื่องนี้ล่วงหน้าและรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจเมื่อเจ้าได้รับคัดเลือก และทะนุถนอมสถานะนี้ แต่เมื่อเป็นผู้กำกับดูแล เจ้าก็ยังคงเล่นวิดีโอเกมตามอำเภอใจต่อไปเหมือนเดิม นี่เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และจะทำให้งานล่าช้าอย่างแน่นอน

ผู้กำกับดูแลบางคนมีนิสัยที่ไม่ดีบางอย่าง  เมื่อพี่น้องชายหญิงคัดเลือกพวกเขา บางคนก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ของตน ในขณะที่คนอื่นๆ เชื่อว่าบุคคลเหล่านี้สามารถสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้เต็มเวลา และคิดว่านิสัยที่ไม่ดีและความชั่วช้าของคนหนุ่มสาวอาจจะเปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อยตามวัยและการเข้าใจความจริงอย่างต่อเนื่อง  หลายคนเก็บงำท่าทีและมุมมองเช่นนี้ไว้ในยามที่พวกเขาคัดเลือกบุคคลเหล่านี้มาเป็นผู้กำกับดูแล  หลังจากที่บุคคลเหล่านี้ได้รับคัดเลือก พวกเขาก็ทำงานบางอย่าง แต่พวกเขาก็ทนอยู่ได้ไม่นานก่อนที่จะกลายเป็นคนคิดลบและคิดว่า “การเป็นผู้กำกับดูแลไม่ใช่เรื่องง่าย  ฉันต้องตื่นแต่เช้าและอยู่จนดึกดื่น และฉันต้องทำมากกว่าและสังเกตการณ์มากกว่าคนอื่นๆ ตลอดเวลา  ฉันต้องกังวลมากขึ้น ใช้เวลาและเรี่ยวแรงมากขึ้นด้วย  งานนี้ยากลำบาก และเหน็ดเหนื่อยเกินไป!”  ดังนั้นพวกเขาจึงคิดที่จะลาออก  หากเจ้าไม่แบกรับภาระ เจ้าย่อมไม่สามารถทำงานของผู้กำกับดูแลได้  หากเจ้าแบกรับภาระอยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าย่อมจะเต็มใจที่จะเป็นกังวลในเรื่องงาน และต่อให้เจ้าเหนื่อยล้ามากกว่าคนอื่นเล็กน้อย เจ้าก็จะไม่รู้สึกว่าตนกำลังทนทุกข์  แม้กระทั่งเมื่อถึงเวลาพักผ่อน เจ้าก็จะยังคงคิดว่า “งานในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”  หากจู่ๆ เจ้าก็จำได้ว่ามีประเด็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เจ้าก็จะไม่สามารถนอนหลับได้  หากเจ้าแบกรับภาระอยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าจะคิดถึงงานอยู่ตลอดเวลา และเจ้าจะไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่าเจ้ากินดีหรือพักผ่อนดีเพียงใด  หากผู้คนที่เป็นผู้กำกับดูแลแบกรับภาระน้อยเกินไป ความกระตือรือร้นที่พวกเขามีอยู่เล็กน้อยย่อมสามารถคงอยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น และเมื่อเวลาผ่านไป บางคนในหมู่พวกเขาก็จะไม่สามารถทนทำงานนี้ได้อีกต่อไป  พวกเขาคิดว่า “งานนี้เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน  ฉันจะมีหนทางใดบ้างที่จะสร้างความบันเทิงให้กับตนเองและผ่อนคลายสักหน่อย?  ฉันจะเล่นวิดีโอเกมบ้าง”  พวกเขาปฏิบัติงานได้ดีในช่วงเวลาสั้นๆ แต่จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกอยากเล่นวิดีโอเกมขึ้นมา  ทันทีที่เริ่มเล่น พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดได้ ภาระเล็กน้อยที่พวกเขาเคยแบกรับนั้นจะสึกกร่อนไปในขณะที่พวกเขาเล่นเกม เช่นเดียวกับแรงผลักดันจากความกระตือรือร้นในการสละตนเองของพวกเขา ความแน่วแน่ของพวกเขา และท่าทีที่เป็นบวกในการทำหน้าที่ของพวกเขา  เมื่อใครบางคนถามอะไรพวกเขาสักอย่าง พวกเขาก็เริ่มหงุดหงิด  พวกเขาตัดแต่งผู้คน หรือไม่ก็สั่งสอนและเหน็บแนมคนเหล่านั้น หรือทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีสุกเอาเผากินและละเลยงานของตน  ผู้กำกับดูแลเหล่านี้มีปัญหามิใช่หรือ?  (ใช่)  ในระหว่างวันพวกเขาก็เพียงทำงานของตนพอให้ผ่านไปท่ามกลางความสับสนเลอะเลือน และตอนกลางคืนเวลาที่ไม่มีใครเฝ้าดู พวกเขาก็แอบเล่นวิดีโอเกมโดยไม่หลับไม่นอนเลยทั้งคืน  ตอนแรกพวกเขาก็รู้สึกสบายใจในเรื่องนี้ โดยคิดว่า “ฉันไม่ได้ทำให้งานในตอนกลางวันล่าช้าเลย  ฉันได้ทำงานทั้งหมดที่ฉันควรทำแล้ว  ฉันได้แก้ปัญหาทั้งหมดที่คนอื่นถามฉันแล้ว  ต่อให้ฉันไม่นอนในตอนกลางคืนเพื่อให้มีเวลาว่างเอาไว้เล่นวิดีโอเกม แต่ทั้งหมดนี้ก็นับว่าฉันจงรักภักดีมิใช่หรือ?”  ผลลัพธ์ก็คือทันทีที่พวกเขาเริ่มเล่นวิดีโอเกม พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดได้ และพวกเขาก็ไม่ฟังใครทั้งนั้น  แม้เรื่องนี้จะไม่ส่งผลต่อการพักผ่อนของผู้อื่นหรือสภาพแวดล้อมในการทำงาน แต่ผู้กำกับดูแลดังกล่าวยังคงสามารถแบกรับงานของตนได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถทำงานของตนให้ดีได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เหตุใดจึงทำไม่ได้?  พวกเขามักจะเล่นวิดีโอเกมตลอดทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอนและต้องทำงานในตอนกลางวัน—คนคนหนึ่งจะมีเรี่ยวแรงได้มากเพียงใด?  หากพวกเขายึดติดอยู่กับการเล่นวิดีโอเกมเช่นนี้ ประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาจะสูงอยู่หรือ?  ไม่สูงแน่นอน  เพราะฉะนั้นผู้กำกับดูแลดังกล่าวจึงไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ของตนหรือแบกรับงานของตนได้เลย  แม้พวกเขาจะมีทักษะเชิงวิชาชีพและมีขีดความสามารถอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็รักการเล่นและไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน  ผู้กำกับดูแลเหล่านี้ควรถูกปลดมิใช่หรือ?  หากพวกเขาไม่ถูกปลด งานก็จะล่าช้าออกไป  บางคนกล่าวว่า “หากพวกเขาถูกปลด พวกเราก็จะไม่สามารถหาใครอื่นที่มีทักษะเชิงวิชาชีพที่พวกเขามีได้  พวกเราต้องปล่อยให้พวกเขาทำงานนี้—พวกเขายังสามารถแบกรับงานได้ต่อให้พวกเขาเล่นวิดีโอเกมก็ตาม”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  คนคนหนึ่งไม่สามารถมุ่งความสนใจไปที่สองสิ่งในเวลาเดียวกันได้ เพราะมนุษย์มีเรี่ยวแรงที่จำกัด  หากเจ้าทุ่มเทเรี่ยวแรงส่วนใหญ่ของตนไปที่การเล่น การอุทิศตนเพื่อทำหน้าที่ของเจ้าย่อมจะได้รับผลกระทบ และประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของเจ้าย่อมจะลดลงอย่างมาก  นี่เป็นท่าทีที่ไม่รับผิดชอบต่อการทำหน้าที่  ต่อให้คนคนหนึ่งทุ่มเททั้งหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดของตนให้กับหน้าที่ของเขา ผลลัพธ์ก็ไม่จำเป็นจะต้องได้มาตรฐานหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์  เรื่องจะแย่ยิ่งกว่านั้นหากเจ้าเอาหัวใจและเรี่ยวแรงส่วนใหญ่ของตนไปจดจ่อกับการเล่น—เจ้าย่อมจะไม่มีเรี่ยวแรงและความคิดเหลือมากพอที่จะใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของเจ้าย่อมจะได้รับผลกระทบ  การกล่าวว่าประสิทธิภาพจะได้รับผลกระทบนั้นเป็นการพูดที่เบาเกินไป ในความเป็นจริงนั้น ประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของเจ้าจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก  หากมีการระบุตัวผู้กำกับดูแลดังกล่าว ก็ควรปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขาในทันที และพวกเขาควรถูกปลด เพราะพวกเขาถูกตัดออกไปแล้ว  ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาจะไม่ได้มาตรฐานเท่านั้น—พวกเขายังไม่สามารถแบกรับงานของตนได้และไม่สามารถส่งผลที่เป็นบวกต่องานของตนได้เลย  เพราะฉะนั้นการหาใครบางคนที่เอาจริงเอาจังและมีความรับผิดชอบมารับงานของพวกเขา แม้ว่าจะมีทักษะเชิงวิชาชีพน้อยกว่าบ้าง ย่อมจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าพวกเขา

เมื่อครู่นี้เราได้สามัคคีธรรมถึงผู้คนประเภทต่างๆ ซึ่งละโมบในเรื่องอาหาร การนอน และความบันเทิง  มีคนอีกประเภทหนึ่ง  ในเบื้องต้นตอนที่ผู้กำกับดูแลถูกเลือกสรรมา คนประเภทนี้ก็ถูกมองว่าเหมาะสมกับบทบาทดังกล่าวในทุกทาง และพี่น้องชายหญิงล้วนเต็มใจที่จะเลือกพวกเขา  พวกเขาคิดว่าคนคนนี้มีความเป็นมนุษย์ที่ดี กระตือรือร้น และมีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพของตน ตลอดจนเป็นคนที่ดีที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในทีมในทุกแง่มุม ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นตัวเลือกที่ชัดเจนสำหรับตำแหน่งผู้กำกับดูแล  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้รับการคัดเลือกมาไม่นาน คนคนนี้ก็เริ่มรู้สึกง่วงนอนอยู่เนืองๆ แม้กระทั่งระหว่างการชุมนุม  เมื่อคนอื่นพูดกับพวกเขา พวกเขาก็สับสนตลอดเวลาและตอบสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำถาม  เมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้ แล้วเพราะเหตุใดจู่ๆ จึงดูเหมือนพวกเขาได้กลายเป็นคนละคนไปแล้ว?  ต่อมาก็มีใครบางคนค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจว่าบทสนทนาของผู้กำกับดูแลคนนี้กับอีกบุคคลหนึ่งฟังดูราวกับว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันอยู่ และเกิดการคาดเดาว่าพวกเขามีความข้องเกี่ยวกันฉันชู้สาวจริงหรือไม่  เมื่อเรื่องนี้เริ่มเป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้น ผู้กำกับดูแลคนนี้ก็ยิ่งเลอะเลือนมากขึ้น  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกถามคำถามหรือพูดคุยบางสิ่งบางอย่างกับพวกเขา การตอบสนองของพวกเขาก็ไม่รวดเร็วเหมือนแต่ก่อน และคำตอบเหล่านั้นก็ฟังดูไม่ชัดเจนและเป็นที่เข้าใจได้ที่เคยเป็น  พวกเขาเริ่มทำงานที่ผู้กำกับดูแลควรทำน้อยลงเรื่อยๆ และพวกเขาก็มีความกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่ของตนน้อยลงทุกที  ดูราวกับว่าพวกเขาได้กลายเป็นคนละคนไปแล้ว พวกเขาสนใจเรื่องเสื้อผ้าและการดูแลตัวเองมากกว่าแต่ก่อน  มีปัญหาอยู่ตรงนี้  ในอดีตระหว่างช่วงเวลาที่งานยุ่ง พวกเขาแทบจะไม่ได้อาบน้ำ แต่ตอนนี้พวกเขาล้างหน้าวันละสองครั้ง แล้วก็หวีผมและส่องกระจกทุกครั้งที่มีโอกาส และถามคนอื่นตลอดเวลาว่า “คุณว่าช่วงนี้ผิวของฉันขาวขึ้นหรือคล้ำลง?  ทำไมถึงดูเหมือนฉันคล้ำลง?”  ผู้คนตอบว่า “ไร้สาระมากที่ผู้กำกับดูแลอย่างคุณจะพูดถึงสิ่งเหล่านี้—การมีผิวขาวขึ้นหรือคล้ำลงมีผลอย่างไรหรือ?”  พวกเขาพูดถึงหัวข้อที่ไม่สลักสำคัญเหล่านี้อยู่เนืองนิจ และไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำงานของตน  เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส พวกเขาก็จะหารือเรื่องเสื้อผ้า ผู้หญิง ผู้ชาย ความรัก และคู่ครองประเภทใดที่ผู้คนจะเลือก แต่พวกเขาไม่เคยหารือว่ามีประเด็นปัญหาใดบ้างในการปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือจะแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านั้นอย่างไร  มีปัญหาอยู่ตรงนี้มิใช่หรือ?  พวกเขายังสามารถทำงานได้หรือไม่?  (พวกเขาไม่สามารถทำงานได้)  กรอบความคิดของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว และเรื่องของการทำหน้าที่ก็ไม่ได้อยู่ในความคิดของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว  ตรงกันข้าม ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขากลับหมกมุ่นอยู่กับความคิดตลอดทั้งวันว่าจะมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวอย่างไร จะแต่งตัวอย่างไร และจะดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างไร  มีอยู่วลีหนึ่งในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ นั่นก็คือ “การตกหลุมรัก”  นี่คือความรักใช่หรือไม่?  ไม่ใช่ นี่คือหลุมลึก!  ทันทีที่เจ้าเข้าไป เจ้าจะไม่สามารถกลับขึ้นมาจากหลุมนั้นได้  ในหมู่บุคลากรที่กำลังทำหน้าที่ของตน มีผู้คนเช่นนี้หรือไม่?  (มี)  ในขณะที่พระนิเวศของพระเจ้าไม่แทรกแซงการเสาะหาคู่ครองของผู้คน แต่หากพวกเขาก่อกวนชีวิตคริสตจักรและการทำเช่นนั้นส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร ผู้คนเหล่านั้นก็จำเป็นต้องถูกชำระออกไป  คู่รักเหล่านั้นก็ควรออกไปคบหากันเอง และไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ  หากเจ้าเป็นใครสักคนที่ได้อุทิศตนเองให้กับการสละทั้งชีวิตของตนเพื่อพระเจ้า และเจ้าตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันชู้สาว เช่นนั้นก็จงมุ่งเน้นที่การสละตนเองเพื่อพระเจ้าเถิด  หากเจ้าได้เข้าสู่ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและไม่รู้สึกอยากทำงานของตนอีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่ควรปฏิบัติหน้าที่ของผู้กำกับดูแล และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะเลือกคนอื่นมาดำรงตำแหน่งนี้  งานของพระนิเวศของพระเจ้าต้องไม่ล่าช้าหรือได้รับอิทธิพลจากความสัมพันธ์ฉันชู้สาวของเจ้า  งานต้องดำเนินต่อไป  งานดังกล่าวจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร?  โดยการคัดเลือกผู้กำกับดูแลอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เป็นผู้ที่มีทักษะเชิงวิชาชีพที่แข็งแกร่งและสามารถแบกรับงานได้ เพื่อรับมอบงานของเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าดำเนินงานในหนทางนี้เสมอมา และหลักธรรมนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ผู้กำกับดูแลบางคนกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวของฉันไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานของฉันเลย ให้ฉันรับผิดชอบต่อไปเถิด”  พวกเราสามารถเชื่อคำกล่าวนี้ได้หรือไม่?  (พวกเราไม่สามารถเชื่อได้)  เพราะเหตุใดพวกเราจึงไม่สามารถเชื่อถ้อยคำดังกล่าวได้?  เพราะมีข้อเท็จจริงให้ทุกคนเห็นอยู่แล้ว!  เมื่อคนคนหนึ่งอยู่ในความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ทั้งหมดที่พวกเขาคิดถึงก็คือคู่รักของตน และหัวใจของพวกเขาก็หมกมุ่นกับเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนอยู่เนืองๆ ระหว่างการชุมนุมและไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้  เพราะฉะนั้นวิธีที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการกับบุคคลดังกล่าวจึงเหมาะสมและเป็นไปตามหลักธรรม  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้กีดกันเจ้าไม่ให้คบหาดูใจใคร และไม่ได้ลิดรอนเสรีภาพในการคบหาของเจ้า  เจ้าอาจจะคบหาดูใจใครก็ได้ตามที่เจ้าปรารถนา นั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้าเอง ตราบเท่าที่เจ้าจะไม่เสียใจและไม่ร้องไห้เพราะเรื่องนี้ในภายหลัง  ผู้กำกับดูแลบางคนถูกปลดไปแล้วเพราะความสัมพันธ์ฉันชู้สาว  บางคนถามว่า “คนคนหนึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เชื่อในพระเจ้าเมื่อเขามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวอย่างนั้นหรือ?”  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยกล่าวเช่นนั้น  เป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่พระนิเวศของพระเจ้าปฏิเสธหรือขับไล่ทุกคนที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันชู้สาว?  (ไม่จริง)  หากเจ้ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่สามารถเป็นผู้กำกับดูแลหรือผู้นำหรือคนทำงานได้ และหากเจ้าไม่อุทิศตนในการทำหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรไปจากคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา  มีใครเคยกล่าวหรือไม่ว่าเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป หรือเจ้าจะถูกขับไล่?  มีใครเคยตัดสินโดยกล่าวว่าเจ้าไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด หรือเจ้าจะถูกสาปแช่งหรือไม่?  (ไม่มี)  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยกล่าวสิ่งเหล่านั้นเลย  พระนิเวศของพระเจ้าไม่แทรกแซงการเลือกส่วนตนและเสรีภาพของเจ้าเลย และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ลิดรอนเสรีภาพของเจ้าเลย—พระนิเวศของพระเจ้าให้เสรีภาพแก่เจ้า  อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้กำกับดูแลประเภทนี้ หลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าในการจัดการกับพวกเขาก็คือปลดพวกเขาและหาคนที่เหมาะสมมาแทนพวกเขา  หากพวกเขาเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ต่อไป ก็สามารถเก็บพวกเขาเอาไว้ได้  หากไม่เหมาะสม พวกเขาก็จะถูกขับออกไป  จะไม่มีการทุบตีหรือทำร้ายด้วยวาจาหรือทำให้อับอายขายหน้าแต่อย่างใด  นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย เป็นเรื่องปกติมาก  ดังนั้นเมื่อบางคนถูกปลดออกจากตำแหน่งของตนหรือถูกส่งตัวไปที่คริสตจักรธรรมดาเพราะเรื่องความสัมพันธ์ฉันชู้สาวของตน ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายหรือไม่?  นั่นสามารถบ่งชี้ได้เพียงอย่างเดียวว่าพวกเขาขาดความจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตน พวกเขาไม่สนใจความจริง และไม่แบกรับภาระใดๆ ในการเข้าสู่ชีวิตของตนเองเลย  ผู้กำกับดูแลประเภทนี้ไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน—พวกเขามุ่งเน้นแต่ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเท่านั้น ซึ่งทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า และได้ส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าของงานของคริสตจักรไปแล้ว—นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้นผู้กำกับดูแลประเภทนี้จึงไม่เหมาะสมที่จะเก็บไว้ทำงานต่อไปและควรถูกปลดออกจากตำแหน่งของตน  บางคนกล่าวว่า “ไม่เป็นการรีบร้อนไปหน่อยหรือที่ปลดพวกเขา?”  จากจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ฉันชู้สาวของพวกเขาไปจนถึงเวลาที่พวกเขาถูกปลดนั้น หากเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งหรือสองวันเท่านั้น ก็อาจถูกมองว่ารีบร้อน  แต่หากเวลาผ่านไปสามถึงห้าเดือนแล้ว นั่นจะยังคงถูกมองว่ารีบร้อนหรือไม่?  (ไม่)  การดำเนินการนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้าพอแล้ว งานนั้นก็ล่าช้าไปมากเหลือเกินแล้ว—เจ้าไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?  นี่เป็นปัญหามิใช่หรือ?  (ใช่ เป็นปัญหา)

ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยซักถามถึงผู้ดูแลที่ไม่ทำงานจริงหรือไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน  พวกเขาคิดว่าตนแค่จำเป็นต้องเลือกผู้ดูแลและนั่นก็จบเรื่องแล้ว หลังจากนั้นผู้ดูแลย่อมสามารถจัดการเรื่องงานทั้งหมดได้ด้วยตนเอง  ดังนั้นผู้นำเทียมเท็จจึงเพียงจัดการชุมนุมเป็นครั้งคราว และไม่กำกับดูแลงานหรือสอบถามว่างานดำเนินไปอย่างไร และทำตัวเหมือนเจ้านายที่ปล่อยปละละเลย  หากมีใครบางคนรายงานปัญหาเกี่ยวกับผู้ดูแล ผู้นำเทียมเท็จก็จะกล่าวว่า “นั่นเป็นแค่ปัญหาเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก  พวกคุณสามารถจัดการเรื่องนี้กันเองได้  อย่ามาถามฉันเลย”  คนที่รายงานประเด็นปัญหานี้กล่าวว่า “ผู้ดูแลคนนั้นเป็นคนตะกละตะกลามและเกียจคร้าน  เขาเอาแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องอาหารและความบันเทิง ทั้งยังขี้เกียจสันหลังยาว  เขาไม่ต้องการทนทุกข์กับความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตนแม้แต่น้อย และเขาก็อู้งานอยู่เสมอโดยการหลอกลวง อีกทั้งยังคิดหาข้อแก้ตัวเพื่อเลี่ยงงานและหลบเลี่ยงหน้าที่รับผิดชอบของตน  เขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ดูแล”  ผู้นำเทียมเท็จก็จะตอบว่า “เขาดีมากตอนที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ดูแล  สิ่งที่คุณกำลังพูดนั้นไม่ใช่ความจริง หรือต่อให้เป็นจริง นั่นก็เป็นแค่การแสดงออกชั่วคราวเท่านั้น”  ผู้นำเทียมเท็จจะไม่พยายามค้นหาเพิ่มเติมในเรื่องสถานการณ์ของผู้ดูแล ตรงกันข้ามผู้นำเทียมเท็จจะตัดสินและกำหนดเรื่องนี้ตามความประทับใจในอดีตที่พวกเขามีต่อผู้ดูแลคนนั้น  ไม่ว่าใครจะรายงานปัญหาของผู้ดูแลคนนั้น ผู้นำเทียมเท็จก็จะเพิกเฉยต่อปัญหาเหล่านั้น  ผู้ดูแลคนนั้นไม่ได้กำลังทำงานจริง และงานของคริสตจักรก็แทบจะหยุดชะงักลง แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่ใส่ใจ ราวกับว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย  เป็นเรื่องที่น่าสะอิดสะเอียนพออยู่แล้วเมื่อมีใครบางคนรายงานปัญหาของผู้ดูแล แต่เขากลับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่  แต่สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคืออะไร?  เมื่อมีคนรายงานประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงจริงๆ ของผู้ดูแลต่อผู้นำเทียมเท็จ ผู้นำเทียมเท็จจะไม่พยายามแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้ และเขายังจะคิดหาสารพัดข้อแก้ตัวด้วยซ้ำไป อย่างเช่น “ฉันรู้จักผู้ดูแลคนนี้ เขาเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาจะไม่มีทางมีปัญหาใดๆ  ต่อให้เขามีประเด็นปัญหาเล็กน้อย พระเจ้าก็จะทรงคุ้มครองและบ่มวินัยเขา  หากเขาทำผิดพลาด นั่นย่อมเป็นเรื่องระหว่างเขากับพระเจ้า—พวกเราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”  ผู้นำเทียมเท็จทำงานตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเองในหนทางนี้  พวกเขาแสร้งทำเป็นเข้าใจความจริงและมีศรัทธา แต่พวกเขากลับได้แต่ทำให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิง—งานของคริสตจักรอาจถึงกับหยุดชะงักและพวกเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้  ผู้นำเทียมเท็จกำลังทำตัวเหมือนกับคนทำงานเอกสารมากเกินไปมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่สามารถทำงานจริงได้ด้วยตนเอง และพวกเขาก็ไม่มีความละเอียดถี่ถ้วนในเรื่องงานของผู้นำทีมและผู้ดูแลด้วยเช่นกัน—พวกเขาไม่ติดตามหรือซักถามถึงงานดังกล่าวเลย  ทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนนั้นเป็นไปตามความประทับใจและความคิดฝันของตนเองเท่านั้น  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนปฏิบัติงานได้ดีมาสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็คิดว่าคนคนนี้จะดีตลอดไป เขาจะไม่เปลี่ยนไป พวกเขาจึงไม่เชื่อใครก็ตามที่กล่าวว่าคนคนนี้มีปัญหา และพวกเขาก็เพิกเฉยเมื่อมีใครบางคนเตือนในเรื่องของคนคนนั้น  พวกเจ้าคิดว่าผู้นำเทียมเท็จโง่เขลาหรือไม่?  พวกเขาเป็นคนโง่เขลาและเบาปัญญา  สิ่งใดทำให้พวกเขาโง่เขลา?  พวกเขาไว้เนื้อเชื่อใจคนคนหนึ่งโดยไม่ไตร่ตรอง เชื่อว่าตอนที่คนคนนี้ได้รับเลือก เขาให้คำสัตย์สาบาน ตั้งปณิธาน และอธิษฐานด้วยน้ำตาที่ไหลนองหน้า นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ และเขาจะไม่มีวันมีปัญหาใดๆ ในการดูแลรับผิดชอบงาน  ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คน พวกเขาไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริงของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม  พวกเขากล่าวว่า “เมื่อใครบางคนได้รับเลือกมาเป็นผู้กำกับดูแล เขาจะเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงได้อย่างไร?  ใครบางคนที่ดูจริงจังและน่าเชื่อถือขนาดนั้นจะหลีกเลี่ยงงานของตนได้อย่างไร?  เขาจะไม่ทำอย่างนั้นใช่หรือไม่?  เขามีความซื่อตรงมาก”  เนื่องจากผู้นำเทียมเท็จมีความเชื่อในความคิดฝันและความรู้สึกของตนเองมากเกินไป ท้ายที่สุดเรื่องนี้จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรได้อย่างทันท่วงที และหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้ปลดและปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้กับผู้ดูแลที่เกี่ยวข้องได้ในทันที  พวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จที่แท้จริง  แล้วประเด็นปัญหาในที่นี้คืออะไรกันแน่?  วิธีที่ผู้นำเทียมเท็จจัดการกับงานของพวกเขานั้นเกี่ยวข้องกับการสุกเอาเผากินหรือไม่?  ในแง่หนึ่ง พวกเขาเห็นพญานาคใหญ่สีแดงกำลังดำเนินการจับกุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นเพื่อให้ตนเองปลอดภัย พวกเขาจึงจัดการวางตัวใครบางคนให้มารับผิดชอบงานด้วยการสุ่มเอา โดยเชื่อว่าการทำเช่นนี้จะแก้ปัญหา และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป  พวกเขาคิดอะไรอยู่ในหัวใจ?  “นี่เป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง ฉันควรจะหลบซ่อนสักระยะหนึ่ง”  นี่คือการละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนังมิใช่หรือ?  ในอีกแง่มุมหนึ่ง ผู้นำเทียมเท็จก็มีข้อบกพร่องที่ร้ายแรง กล่าวคือพวกเขาไว้วางใจผู้คนอย่างรวดเร็วตามความคิดฝันของตนเอง  และเรื่องนี้ก็มีต้นเหตุมาจากการไม่เข้าใจความจริงมิใช่หรือ?  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นแก่นแท้ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างไรบ้าง?  เหตุใดพวกเขาจึงควรไว้วางใจผู้คนในเมื่อพระเจ้าไม่ไว้วางพระทัย?  ผู้นำเทียมเท็จคิดว่าตนเองถูกและโอหังมากเกินไปมิใช่หรือ?  สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือ “ฉันไม่น่าจะตัดสินคนคนนี้ผิดหรอก ไม่ควรจะมีปัญหาใดๆ กับคนคนนี้ที่ฉันตัดสินไปแล้วว่าเหมาะสม แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่ลุ่มหลงในการกิน การดื่ม และความบันเทิง หรือเป็นคนที่ชอบความสุขสบายและเกลียดชังงานหนัก  เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้และเชื่อถือได้อย่างแน่นอน  เขาจะไม่เปลี่ยนแปลง หากเขาเปลี่ยนไป นั่นย่อมจะหมายความว่าฉันเข้าใจเขาผิดไปมิใช่หรือ?”  นี่เป็นตรรกะประเภทใด?  เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างนั้นหรือ?  เจ้ามีสายตาที่มองทะลุได้หรือ?  เจ้ามีทักษะพิเศษเช่นนั้นหรือ?  เจ้าอาจใช้ชีวิตร่วมกับคนคนหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีหรือสองปี แต่เจ้าจะสามารถมองเห็นตัวตนที่จริงของเขาโดยไม่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการตีแผ่แก่นแท้ธรรมชาติของเขาออกมาอย่างหมดเปลือกหรือไม่?  หากพระเจ้าไม่ทรงเผยเขาออกมา เจ้าอาจใช้ชีวิตร่วมกับเขาเป็นเวลาสามปี หรือแม้กระทั่งห้าปี และจะยังคงยากที่จะมองให้ออกว่าเขามีแก่นแท้ธรรมชาติประเภทใดกันแน่  และจะยากขึ้นอีกเพียงใดเมื่อเจ้าแทบไม่ได้พบเขา หรือแทบไม่ได้อยู่กับเขาเลย?  ผู้นำเทียมเท็จไว้วางใจคนคนหนึ่งโดยไม่ไตร่ตรองตามความประทับใจชั่วครั้งชั่วคราวหรือการที่คนอื่นประเมินคนคนนั้นในทางบวก และกล้าที่จะมอบหมายงานของคริสตจักรให้บุคคลดังกล่าว  ในเรื่องนี้พวกผู้นำเทียมเท็จมืดบอดเป็นที่สุดมิใช่หรือ?  พวกเขากระทำการอย่างไม่ระมัดระวังมิใช่หรือ?  แล้วเมื่อพวกเขาทำงานแบบนี้ ผู้นำเทียมเท็จก็กำลังไร้ความรับผิดชอบอย่างที่สุดมิใช่หรือ?  ผู้นำและคนทำงานในระดับสูงขึ้นไปถามพวกเขาว่า “คุณได้ตรวจสอบงานของผู้ดูแลคนนั้นแล้วหรือยัง?  ลักษณะนิสัยและขีดความสามารถของเขาเป็นอย่างไร?  เขามีความรับผิดชอบต่องานของตนหรือไม่?  เขาสามารถแบกรับงานได้หรือไม่?”  ผู้นำเทียมเท็จตอบว่า “เขาทำได้อย่างแน่นอน!  ตอนที่เขาได้รับเลือก เขาได้กล่าวคำสาบานและตั้งปณิธานไว้  ฉันยังมีคำสัตย์สาบานที่เป็นลายลักษณ์อักษรของเขาอยู่เลย  เขาควรจะสามารถแบกรับงานนั้นได้”  เจ้าคิดอย่างไรกับคำพูดของผู้นำเทียมเท็จ?  พวกเขาเชื่อว่าในเมื่อคนคนนี้ได้กล่าวคำสาบานเพื่อแสดงถึงคำมั่นสัญญาของตน เขาจะสามารถทำตามนั้นได้อย่างแน่นอน  คำกล่าวนี้ถือเป็นจริงหรือไม่?  สมัยนี้มีกี่คนที่สามารถทำตามคำสาบานของตนได้จริง?  มีคนซื่อสัตย์กี่คนที่ทำสิ่งต่างๆ ตามปณิธานของตน?  เพียงเพราะคนคนหนึ่งกล่าวคำสาบานก็ไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถทำตามนั้นได้อย่างแท้จริง  สมมติเจ้าถามพวกเขาว่า “คุณรับประกันได้หรือไม่ว่าผู้ดูแลจะไม่เปลี่ยนไป?  คุณรับประกันได้หรือไม่ว่าเขาจะมีความจงรักภักดีไปตลอดชีวิต?  เวลาที่พระเจ้าทรงต้องการเผยผู้คน พระองค์ต้องทรงจัดวางสภาพแวดล้อมนานัปการเพื่อทดสอบพวกเขา  เจ้าบอกว่าเขาเชื่อถือได้ด้วยเหตุผลใด?  เจ้าได้ตรวจสอบเขาแล้วหรือยัง?”  ผู้นำเทียมเท็จตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น  พี่น้องชายหญิงทุกคนรายงานว่าเขาเชื่อถือได้”  คำกล่าวนี้ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน  คนคนหนึ่งเป็นคนที่ดีจริงๆ เพียงเพราะพี่น้องชายหญิงรายงานว่าเขาเป็นคนดีหรือ?  พี่น้องชายหญิงทุกคนมีความจริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่งกันทุกคนหรือไม่?  พี่น้องชายหญิงทุกคนรู้จักคนคนนี้เป็นอย่างดีหรือไม่?  คำกล่าวนี้น่าขยะแขยงยิ่งกว่า!  อันที่จริง คนคนนั้นถูกเผยมาตั้งนานแล้ว  พวกเขาสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้ว และลักษณะอันต่ำช้าของพวกเขาที่รักความสบายและเกลียดชังงานหนัก ตะกละตะกลามและเกียจคร้าน ตลอดจนไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตนนั้น ได้ถูกเปิดโปงแล้ว  นอกจากพวกผู้นำเทียมเท็จซึ่งยังคงไม่ตระหนักรู้เลย ทุกคนล้วนมองเห็นเขาอย่างทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว—มีเพียงผู้นำเทียมเท็จเท่านั้นที่ยังคงไว้วางใจเขามากถึงเพียงนี้  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้มีประโยชน์อะไร?  พวกเขาไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?  ถึงขนาดมีบางกรณีที่เบื้องบนรับรู้ถึงการสำแดงต่างๆ ของผู้ดูแลบางคนด้วยการไปถึงสถานที่จริงเพื่อสืบเสาะและสอบถามเกี่ยวกับพวกเขา แต่พวกผู้นำก็ยังคงไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น  นี่คือปัญหามิใช่หรือ?  ผู้นำเหล่านี้คือผู้นำเทียมเท็จที่แท้จริง  พวกเขาไม่ได้ทำงานจริง พวกเขาเป็นแค่คนทำงานเอกสารเท่านั้น และเหมือนเจ้านายที่ปล่อยปละละเลย พวกเขาทำงานเล็กน้อย จากนั้นก็อาศัยงานนั้นเพื่อดำรงชีวิต รวมทั้งคิดว่าตนมีสิทธิ์ที่จะสุขสำราญ เอาแต่นิ่งดูดายในยามที่สิ่งทั้งหลายเกิดความผิดพลาด  เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง?  ช่างไร้ยางอายจริงๆ!  เวลาที่ผู้นำเทียมเท็จทำงาน พวกเขาไม่เคยตรวจสอบงานใดๆ เลย พวกเขาไม่ซักถามถึงความคืบหน้าของงาน และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ตรวจสอบสภาวการณ์ของผู้ดูแลฝ่ายต่างๆ  พวกเขาเพียงแค่มอบหมายงานและจัดการวางตัวผู้ดูแล จากนั้นพวกเขาก็คิดว่าตนทำงานเสร็จสิ้นแล้ว งานของพวกเขาเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว  พวกเขาเชื่อว่า “ใครบางคนกำลังดูแลงานนี้อยู่ ดังนั้นจึงไม่ใช่ธุระของฉันอีกต่อไป  ฉันสามารถสุขสำราญได้”  นี่คือการทำงานหรือ?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครก็ตามที่ทำงานเช่นนี้ย่อมเป็นผู้นำเทียมเท็จ—ผู้นำเทียมเท็จที่ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าและสร้างความเสียหายให้แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร

ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยซักถามหรือติดตามสถานการณ์เรื่องงานของผู้ดูแลฝ่ายต่างๆ  นอกจากนั้นพวกเขายังไม่ซักถาม ติดตาม หรือจับความเข้าใจในเรื่องของการเข้าสู่ชีวิตของผู้ดูแลแต่ละฝ่ายและบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ ตลอดจนท่าทีที่พวกเขามีต่องานของคริสตจักรและหน้าที่ของตน รวมทั้งท่าทีต่อความเชื่อในพระเจ้า ความจริง และพระเจ้าพระองค์เอง  พวกเขาไม่รู้ว่าบุคคลเหล่านี้ได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงหรือการเติบโตใดๆ หรือไม่ และพวกเขาก็ไม่รู้ถึงประเด็นปัญหานานัปการที่อาจมีอยู่ในงานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาไม่รู้ถึงผลกระทบจากข้อผิดพลาดและการเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นในขั้นตอนต่างๆ ของงานที่มีต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร รวมถึงไม่รู้ว่าข้อผิดพลาดและการเบี่ยงเบนเหล่านี้ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องแล้วหรือไม่  พวกเขาไม่รู้ความเกี่ยวกับสิ่งทั้งหมดนี้  หากพวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภาวะโดยละเอียดเหล่านี้เลย พวกเขาย่อมกลายเป็นนิ่งเฉยเมื่อใดก็ตามที่มีปัญหาเกิดขึ้น  อย่างไรก็ตาม ระหว่างทำงานของตน ผู้นำเทียมเท็จไม่ใส่ใจกับประเด็นปัญหาโดยละเอียดเหล่านี้เลย  พวกเขาเชื่อว่าหลังจากจัดการวางตัวผู้ดูแลฝ่ายต่างๆ และมอบหมายงานแล้ว งานของพวกเขาเสร็จสิ้น—นั่นนับว่าเป็นการทำงานได้ดี และหากมีปัญหาอื่นๆ เกิดขึ้น นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องใส่ใจ  เนื่องจากผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถควบคุมดูแล กำกับ และติดตามผู้ดูแลฝ่ายต่างๆ ได้ และพวกเขาไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนในด้านเหล่านี้ เรื่องนี้จึงส่งผลให้เกิดความยุ่งเหยิงในงานของคริสตจักร  นี่คือผู้นำและคนทำงานที่ละเลยหน้าที่รับผิดชอบของตน  พระเจ้าทรงสามารถพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของมนุษย์ได้ นี่คือความสามารถที่มนุษย์ไม่มี  เพราะฉะนั้นเวลาทำงาน ผู้คนจึงจำเป็นต้องขยันหมั่นเพียรและใส่ใจให้มากขึ้น โดยไปสถานที่ทำงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามงาน ควบคุมดูแล และกำกับงานเพื่อให้มั่นใจว่างานของคริสตจักรมีความคืบหน้าไปตามปกติ  เห็นได้ชัดเจนว่าผู้นำเทียมเท็จนั้นไร้ความรับผิดชอบต่องานของตนโดยสิ้นเชิง และพวกเขาไม่เคยควบคุมดูแล ติดตาม หรือกำกับงานต่างๆ เลย  ผลลัพธ์ก็คือผู้ดูแลบางคนไม่รู้ว่าจะแก้ไขประเด็นปัญหานานัปการที่เกิดขึ้นในงานอย่างไร และยังคงอยู่ในบทบาทหน้าที่ของตนในฐานะผู้ดูแลต่อไป แม้ว่าจะไม่มีความสามารถในการทำงานเพียงพอก็ตาม  ในที่สุดงานก็ล่าช้าออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าและพวกเขาก็ทำให้งานยุ่งเหยิงไปหมด  นี่คือผลพวงจากการที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ซักถาม ไม่ควบคุมดูแล หรือไม่ติดตามสถานการณ์ของผู้ดูแล เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการละเลยความรับผิดชอบของผู้นำเทียมเท็จทั้งหมด  เนื่องจากผู้นำเทียมเท็จไม่ตรวจสอบ ไม่ติดตาม หรือไม่ซักถามเรื่องงาน และไม่สามารถจับความเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที พวกเขาจึงยังคงไม่รู้อะไรเลย เช่น ผู้ดูแลกำลังทำงานจริงอยู่หรือไม่ งานกำลังคืบหน้าไปอย่างไร และงานนั้นได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์จริงหรือไม่  เมื่อถูกถามว่าผู้ดูแลกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องใดหรือพวกเขากำลังจัดการกับงานเฉพาะงานใดอยู่ ผู้นำเทียมเท็จก็ตอบว่า “ฉันไม่รู้ แต่พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุมทุกครั้ง และทุกครั้งที่ฉันสื่อสารกับพวกเขาถึงเรื่องงาน พวกเขาก็ไม่เคยพูดถึงปัญหาหรือความลำบากยากเย็นเลย”  ผู้นำเทียมเท็จเชื่อว่าตราบใดที่ผู้ดูแลไม่ละทิ้งงานของตนและอยู่ในบริเวณนั้นเสมอเมื่อผู้นำเทียมเท็จมองหาพวกเขา ผู้ดูแลย่อมไม่มีปัญหาใดๆ เลย  นี่คือวิธีทำงานของผู้นำเทียมเท็จ  นี่คือการสำแดง “ความเทียมเท็จ” มิใช่หรือ?  นี่คือความล้มเหลวในการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  นี่เป็นการละเลยความรับผิดชอบอย่างร้ายแรง!  ในงานของพวกเขา ผู้นำเทียมเท็จมุ่งเน้นแต่การทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น และไม่แสวงหาผลลัพธ์ที่แท้จริง  จากภายนอกนั้น พวกเขาจัดการชุมนุมอยู่เนืองๆ และดูเหมือนจะยุ่งกว่าคนทั่วไป  อย่างไรก็ตาม ยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาแก้ไขปัญหาใดไปแล้วบ้าง พวกเขาจัดการกับงานเฉพาะใดอย่างถูกควรไปแล้วบ้าง และพวกเขาสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดไปแล้วบ้าง  ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้ รวมทั้งตัวผู้นำเทียมเท็จเอง  แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ไม่ว่าผู้คนจะมีปัญหาใดในสถานที่ทำงานก็ตาม ย่อมไม่พบผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ที่ไหนเลย และไม่มีใครเคยเห็นผู้นำเทียมเท็จแก้ปัญหาให้ผู้คนในสถานที่ทำงานเลย  แล้วผู้นำเทียมเท็จทำงานอะไรตลอดทั้งวัน?  การชุมนุมของพวกเขาแก้ปัญหาใดบ้าง?  ไม่มีใครรู้แน่ชัด และประเด็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขสะสมอยู่เป็นกองก็ถูกค้นพบในที่สุดต่อเมื่อมีการตรวจสอบงานของพวกเขา  จากภายนอก ผู้นำเทียมเท็จก็ดูเหมือนจะยุ่งมากจริงๆ—พวกเขากำลัง “จัดการกับกิจธุระมากมายจนนับไม่ถ้วน”  อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเราพิจารณาผลลัพธ์ของงานของผู้นำเทียมเท็จ กลับเป็นความยุ่งเหยิงโดยสิ้นเชิง เป็นความสับสนวุ่นวาย ไม่มีสิ่งใดที่มีคุณค่าในนั้นเลย และเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่ได้ทำงานจริงเลยแม้แต่น้อย  ถึงแม้จะมีปัญหาจริงมากมายที่พวกเขาปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการแก้ไข ผู้นำเทียมเท็จก็ดูจะไม่ตระหนักถึงมโนธรรมและไม่รู้สึกตำหนิตนเองเลย  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังพึงพอใจในตนเองมากและคิดว่าตนเก่งทีเดียว พวกเขาช่างไร้สำนึกอย่างแท้จริง  ผู้คนเช่นนี้ไม่สมควรเป็นผู้นำหรือคนทำงานในคริสตจักร

ผู้ดูแลประเภทที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปนั้นรู้จักวิชาชีพของตนและมีความสามารถในการทำงาน แต่ไม่แบกรับภาระอย่างแท้จริง และหลงระเริงกับการกิน การดื่ม และความบันเทิงตลอดทั้งวันโดยไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของพวกเขาทำหรือทำงานจริงใดๆ เลย  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่ผู้ดูแลประเภทนี้ได้อย่างทันท่วงที และเรื่องนี้ขัดขวางและรบกวนงาน ทำให้งานดังกล่าวไม่คืบหน้าไปอย่างราบรื่น  เรื่องนี้เกิดจากผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  แม้ผู้นำเทียมเท็จจะไม่ใช่ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง แต่การละเลยความรับผิดชอบของพวกเขา การที่พวกเขาไม่สามารถลุล่วงบทบาทของตนในฐานะผู้ควบคุมดูแล ทำให้พวกเขาต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับงานโดยอ้อม  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะผู้ควบคุมดูแล พวกเขาละเลยหน้าที่รับผิดชอบของตน เป็นเหตุให้งานของคริสตจักรประสบกับความสูญเสียในที่สุด  งานบางอย่างถึงกับหยุดชะงักและถูกปล่อยให้ยุ่งเหยิงเนื่องจากไม่มีผู้ดูแลที่เหมาะสมมารับผิดชอบ ดำเนินการตรวจสอบ รวมทั้งกำกับดูแลและผลักดันให้งานคืบหน้า  การใช้บุคลากรอย่างไม่ถูกควรจะก่อให้เกิดความสูญเสียประเภทเหล่านี้ต่องาน  แม้ว่าผู้ดูแลประเภทนี้จะมีขีดความสามารถเล็กน้อยและเข้าใจในวิชาชีพอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน มักจะเลือกทางเดินของตนเอง และไม่เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง  ต่อให้ผู้นำเทียมเท็จได้ยินว่ามีใครบางคนรายงานปัญหาของผู้ดูแลประเภทนี้ พวกเขาก็ไม่ตรวจสอบหรือจัดการกับปัญหานี้อย่างทันท่วงที และสุดท้ายปัญหานี้ก็ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก  เรื่องนี้เกิดจากความไม่รับผิดชอบของผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จพยายามหลบเลี่ยงความรับผิดชอบด้วยซ้ำไป โดยอ้างว่าตนไม่เข้าใจสถานการณ์ของผู้ดูแล ตนโง่เขลาและไม่รู้ความ พลางคิดว่าการกล่าวเช่นนี้จะทำให้จบเรื่อง และผู้นำเทียมเท็จก็จะไม่ต้องรับผิดชอบ  ในเรื่องงาน ผู้นำเทียมเท็จมักกระทำการในลักษณะที่สุกเอาเผากินอยู่เสมอ  แม้กระทั่งเมื่อมีผู้คนรายงานปัญหา ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ซักถามและไม่จัดการกับปัญหาดังกล่าว และเมื่อเกิดสิ่งผิดพลาดขึ้น พวกเขากลับพยายามหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ  นี่คือการสำแดงประการหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จ

II. ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อผู้ดูแลที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยและไม่มีความสามารถในการทำงานอย่างไร

เมื่อผู้นำเทียมเท็จกำลังทำงานอยู่ ปัญหาที่พวกเขาเผชิญไม่ได้จำกัดอยู่แค่สถานการณ์นี้เท่านั้น—ยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งซึ่งผู้ดูแลมีขีดความสามารถอ่อนด้อยและไม่มีความสามารถในการทำงาน ตลอดจนไม่สามารถแบกรับงานได้  ในกรณีดังกล่าว ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถซักถามและจัดการกับปัญหาได้ทันท่วงทีเช่นกัน  เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ผู้นำเทียมเท็จไร้ซึ่งความสามารถในการทำงาน มีขีดความสามารถที่อ่อนด้อย และไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยใส่ใจหรือริเริ่มซักถามเกี่ยวกับขีดความสามารถของผู้ดูแลฝ่ายต่างๆ ความสามารถในการแบกรับงานของผู้ดูแล หรือสภาวการณ์ในงานของผู้ดูแลเลย  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองทะลุถึงผู้ดูแลที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยและไม่สามารถแบกรับงานของตนได้ และผู้นำเทียมเท็จก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย  ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา เมื่อใครก็ตามมารับบทบาทหน้าที่เป็นผู้ดูแล คนคนนั้นจะอยู่ในตำแหน่งของตนเป็นเวลานาน เว้นแต่ว่าเขาจะกระทำความชั่วมากมาย ก่อให้เกิดความโกรธแค้นไปทั่ว และถูกพี่น้องชายหญิงปลด หรือเว้นแต่ว่าจะมีใครบางคนรายงานปัญหาของเขาต่อเบื้องบนและเบื้องบนปลดคนคนนั้นออกโดยตรง  มิฉะนั้นผู้นำเทียมเท็จจะไม่มีวันปลดคนคนนั้นเลย  ผู้นำเทียมเท็จเชื่อว่าเมื่อพี่น้องชายหญิงบอกว่าคนคนนั้นเป็นคนดีและเลือกเขามา คนคนนั้นก็ต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด  ผู้นำเทียมเท็จพึ่งพาความคิดฝันและการตัดสินอยู่เสมอในการพิจารณาว่าใครบางคนสามารถทำงานได้หรือไม่ และพวกเขาเหมาะสมที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหรือไม่  ตัวอย่างเช่น มีผู้ดูแลฝ่ายเต้นคนหนึ่งที่ไม่รู้วิธีเต้นรำ และเธอก็ไม่เข้าใจหลักธรรมในการคัดเลือกการเต้นรำ  ในขณะที่ออกแบบการเต้นรำ เธอไม่รู้ว่าจะเลือกแบบร่วมสมัยหรือแบบคลาสสิกดี  พูดตามตรงก็คือเธอไม่มีความรู้เรื่องการเต้นเลย  อย่างไรก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่สามารถมองเห็นปัญหานี้  เขาเลือกคนคนนั้นมาเป็นผู้ดูแลเพราะเธอกระตือรือร้นและเต็มใจที่จะก้าวเข้ามาเป็นจุดสนใจ โดยสันนิษฐานว่าเธอเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างและปล่อยให้เธอเป็นผู้ชี้แนะพี่น้องชายหญิง  ต่อมาผู้นำเทียมเท็จคนดังกล่าวก็ไม่ได้ติดตาม เฝ้าสังเกตงานของเธอ หรือดูว่าเธอชี้แนะพี่น้องชายหญิงได้ดีเพียงใด เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือเป็นคนที่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเลย สิ่งที่เธอสอนนั้นเหมาะสมหรือไม่ สิ่งที่เธอสอนเป็นไปตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่  เขาไม่สามารถบอกเล่าสิ่งเหล่านี้ได้ และเขาก็ไม่ได้ไปสอบถามถึงสิ่งเหล่านี้เลย  ผลลัพธ์ก็คือทุกคนทำงานเป็นระยะเวลานานโดยไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ใดๆ และในที่สุดก็มีการค้นพบว่าผู้ดูแลที่ผู้นำเทียมเท็จเลือกสรรมานั้นเต้นรำไม่เป็นเลย แต่เธอกลับแสร้งทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญและคอยกำกับผู้อื่น  นี่จะทำให้งานล่าช้ามิใช่หรือ?  แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถระบุปัญหานี้ได้และยังคงเชื่อว่าเธอทำได้ดี  ในความรู้สึกนึกคิดของผู้นำเทียมเท็จ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ตราบใดที่พวกเขามีความกล้าและกล้าที่จะพูด กระทำการ และรับงานนั้น นี่เป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขามีขีดความสามารถและสามารถแบกรับงานได้ ในขณะที่หากพวกเขาไม่กล้าทำสิ่งเหล่านั้น นั่นเป็นการพิสูจน์ว่าขีดความสามารถของพวกเขาไม่เพียงพอที่จะแบกรับงานนั้น  บางคนโง่เขลาเบาปัญญาหรือหัวร้อนบุ่มบ่าม กล้าพอที่จะทำสิ่งใดก็ได้  ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าตนมีขีดความสามารถที่เหมาะสมหรือไม่ หรือตนสามารถแบกรับงานนั้นได้หรือไม่ แต่ยังคงกล้าที่จะเป็นผู้ดูแล  แล้วปรากฏว่าหลังจากที่พวกเขารับบทบาทหน้าที่ดังกล่าว งานก็ไม่คืบหน้าเลย และไม่ว่าพวกเขากำลังทำงานใดอยู่ก็ตาม พวกเขาไม่มีสำนึกที่ชัดเจนในเรื่องของทิศทาง ขั้นตอน หรือแนวคิดที่ถูกต้อง  ใครๆ ก็สามารถเสนอแนะความคิดเห็นใดก็ได้ และพวกเขาก็จะไม่รู้ว่าความคิดเห็นนั้นถูกหรือผิด  หากคนคนหนึ่งบอกให้ทำสิ่งต่างๆ ในหนทางหนึ่ง พวกเขาก็บอกว่าแบบนั้นดี ในขณะที่หากอีกคนหนึ่งบอกให้ทำสิ่งต่างๆ ในอีกหนทางหนึ่ง พวกเขาก็บอกว่าแบบนั้นก็ดีเช่นกัน  และเมื่อกล่าวถึงเรื่องที่ว่าจริงๆ แล้วควรใช้แนวทางใด พวกเขาก็ให้โอกาสทุกคนแสดงความคิดเห็น และใครก็ตามที่พูดเสียงดังที่สุด แนวคิดของคนคนนั้นก็จะถูกนำไปปฏิบัติ  ผู้คนประเภทนี้ไม่มีขีดความสามารถใดทั้งนั้น ไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และทำให้งานของตนยุ่งเหยิงไปหมด แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ยังไม่สามารถมองผู้ดูแลเช่นนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  บางคนกล่าวว่า “ผู้ดูแลคนนั้นมีขีดความสามารถอ่อนด้อยจริงๆ พวกเขาจำเป็นต้องถูกปลดในทันที!”  แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับตอบว่า “ฉันได้พูดคุยกับพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็บอกว่าเต็มใจที่จะทำในส่วนของพวกเขา  ให้โอกาสพวกเขากันอีกสักครั้งเถิด”  เจ้าคิดอย่างไรกับคำกล่าวนี้?  นี่เป็นสิ่งที่คนโง่เขลาจะกล่าวมิใช่หรือ?  คำกล่าวนี้ผิดปกติอย่างไร?  (นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าพวกเขาเต็มใจทำในส่วนของตนหรือไม่ พวกเขาไร้ขีดความสามารถและไม่สามารถแบกรับงานได้เลยต่างหาก)  ถูกต้อง นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ว่าพวกเขาเต็มใจที่จะทำหรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ว่าพวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อยมากเกินไปและไม่รู้ว่าจะทำงานอย่างไร—นี่คือประเด็นสำคัญของปัญหา  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้นำของพวกเขาจึงจำเป็นต้องมีสติปัญญาอยู่บ้างและสามารถประเมินผู้คนได้ เพื่อที่จะดูว่าผู้ดูแลเหล่านี้มีขีดความสามารถที่จำเป็นหรือไม่  ผู้นำเหล่านี้จำเป็นต้องดำเนินการประเมินวัดพวกเขาอย่างรอบด้านจากการพูดและการสามัคคีธรรมของพวกเขา จากการสังเกตว่าปกติพวกเขากระทำการตามกรอบงานที่ถูกควรและมีหนทางและขั้นตอนที่เป็นระบบระเบียบหรือไม่ และจากคำติชมของพี่น้องชายหญิง  หากขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยเกินไปและขาดความสามารถในการทำงานที่จำเป็น หากพวกเขาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำยุ่งเหยิง และหากพวกเขาไร้ประโยชน์ เช่นนั้นแล้วผู้ดูแลเหล่านี้ก็จำเป็นต้องถูกปลดในทันที

มีผู้ดูแลไร่คนหนึ่งที่ทำให้งานในไร่ยุ่งเหยิง  เขาไม่รู้ว่าควรปลูกพืชชนิดใดในที่ดินแปลงใด หรือที่ดินแปลงใดเหมาะสมที่จะปลูกผัก และเขาก็ไม่ได้แสวงหาและสามัคคีธรรมกับทุกคน—เขาไม่รู้ว่าจะสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงไม่สามัคคีธรรมเลย  เขาปลูกพืชตามที่เขาพอใจ ละทิ้งหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าไว้เบื้องหลังความรู้สึกนึกคิดของตน  ผลลัพธ์ก็คือเขาดำเนินการปลูกพืชแต่ละแปลงในไร่ในแบบสับสนวุ่นวาย โดยพืชที่ควรปลูกในปริมาณน้อยกลับปลูกเป็นจำนวนมาก และพืชที่ควรปลูกในปริมาณมากกลับปลูกเพียงเล็กน้อย  เมื่อเบื้องบนตัดแต่งเขา เขาก็ยังคงแข็งขืน และรู้สึกว่าการที่เขาปลูกพืชแบบนี้ไม่ผิดตรงไหนเลย  จงบอกเราทีว่าผู้ดูแลประเภทนี้เป็นปัญหามากมิใช่หรือ?  เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้อย่างไร หรือเขาควรพิจารณาว่าจะปลูกธัญพืชกี่แปลงและปลูกผักกี่แปลงโดยอ้างอิงตามจำนวนผู้คนที่ทำหน้าที่ในคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา  ตรงกันข้ามเขากลับตัดสินใจปลูกพืชบางชนิดมากและน้อยตามความชอบส่วนตนของตัวเอง และเชื่อว่าการทำเช่นนี้เหมาะสมอย่างยิ่ง  ในที่สุดเขาก็ปลูกพืชในรูปแบบที่สับสนเลอะเลือน  ต่อมาต้นกล้าก็เริ่มงอก  บางส่วนกลายเป็นสีเหลืองและต้องการปุ๋ย แต่เขาไม่รู้ว่าต้องใส่ปุ๋ยเท่าไรหรือเมื่อใด  พืชบางส่วนมีศัตรูพืชรบกวน และเขาก็ไม่รู้ว่าควรใช้ยาฆ่าแมลงกับพืชเหล่านั้นหรือไม่  บางคนสนับสนุนให้ใช้ยาฆ่าแมลง และบางคนไม่สนับสนุนให้ทำเช่นนั้น เขาจึงเริ่มสับสน และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องยาฆ่าแมลง  ในหนทางนี้ เขาจึงทำอย่างขอไปทีจนกระทั่งถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยว  นอกจากนั้นเขาไม่รู้ด้วยว่าฤดูเพาะปลูกของพืชแต่ละชนิดใช้เวลานานเพียงใด หรือพืชแต่ละชนิดจะสมบูรณ์เต็มที่เมื่อใด  ผลก็คือ ธัญพืชที่เก็บเกี่ยวแต่เนิ่นๆ ยังคงอ่อนเกินไป ในขณะที่ธัญพืชที่เก็บเกี่ยวช้าก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน  อย่างไรก็ตาม สุดท้ายพืชดังกล่าวก็ถูกเก็บเกี่ยว ธัญพืชถูกเก็บเข้ายุ้งฉางในที่สุด และกิจกรรมการทำไร่สำหรับปีนั้นก็เสร็จสิ้นลงไปไม่มากก็น้อย  การทำงานของผู้ดูแลไร่คนนี้เป็นอย่างไร?  (เขาทำให้งานยุ่งเหยิง)  เพราะเหตุใดงานจึงยุ่งเหยิงขนาดนั้น?  จงหาสาเหตุรากเหง้าของปัญหานี้  (ขีดความสามารถของเขาอ่อนด้อยอย่างยิ่ง)  ผู้ดูแลคนนี้มีขีดความสามารถอ่อนด้อยอย่างยิ่ง!  เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องต่างๆ เขาไม่ได้ใช้การตัดสินได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ไม่สามารถค้นพบหลักธรรม และไม่มีหนทางหรือวิธีการจัดการกับสิ่งต่างๆ  เรื่องนี้ส่งผลให้เขาจัดการกับงานที่เรียบง่ายอย่างการเพาะปลูกในลักษณะที่ไร้ระเบียบอย่างเหลือเชื่อ และทำให้งานยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง  การสำแดงหลักของขีดความสามารถที่อ่อนด้อยมีอะไรบ้าง?  (ขาดการตัดสินที่ถูกต้องแม่นยำและไม่สามารถค้นพบหลักธรรม)  คำพูดเหล่านี้สำคัญมากมิใช่หรือ?  พวกเจ้าจะจดจำไว้หรือไม่?  เวลาที่คนคนหนึ่งเผชิญกับเรื่องราวทั้งหลาย การขาดการตัดสินที่ถูกต้องแม่นยำและการไม่สามารถค้นพบหลักธรรมได้นั้นบ่งชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถที่อ่อนด้อยอย่างยิ่ง  ยิ่งคนอื่นให้ข้อเสนอแนะและคำแนะนำทางอ้อมมากเท่าไร ผู้ดูแลคนนี้ก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น  เขาคิดว่าคงจะดีมากหากมีข้อเสนอแนะเพียงข้อเดียว เมื่อนั้นเขาก็จะสามารถถือได้ว่าข้อเสนอแนะนั้นเป็นเสมือนข้อบังคับ แล้วปฏิบัติตามนั้น ซึ่งจะทำให้สิ่งทั้งหลายเรียบง่ายมากและนั่นหมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องคิดหรือพิจารณาใดๆ  เขากลัวการมีผู้คนให้ข้อเสนอแนะหลายคนเพราะเมื่อเขาได้ยินข้อเสนอแนะเหล่านั้น เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับข้อเสนอแนะเหล่านั้นอย่างไร  แท้จริงแล้วผู้คนที่มีสติปัญญาและมีขีดความสามารถที่ดีจะไม่กลัวการที่คนอื่นให้ข้อเสนอแนะ  พวกเขาคิดว่าการตัดสินของตนจะถูกต้องแม่นยำมากขึ้นและโอกาสที่จะผิดพลาดก็น้อยลงเมื่อมีผู้คนมาให้ข้อเสนอแนะมากขึ้น  ผู้คนที่ไม่มีสติปัญญาหรือขีดความสามารถย่อมกลัวความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่หลากหลายจากคนหลายๆ คน พวกเขาเกิดความสับสนเมื่อเผชิญกับคำแนะนำจากหลายแหล่ง  ผู้ดูแลไร่ที่เราเพิ่งกล่าวถึงนั้นมีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยอย่างยิ่งมิใช่หรือ—เขาไม่ดีพอที่จะแบกรับงานนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนแย้งว่า “บางทีเขาอาจจะไม่เคยทำไร่มาก่อน  คุณยืนกรานที่จะให้เขาทำงานในไร่—นั่นก็เหมือนกับการบังคับปลาให้อยู่บนบกมิใช่หรือ?”  การไม่มีประสบการณ์ในการทำไร่มาก่อนหมายความว่าคนคนหนึ่งไม่สามารถทำไร่ใช่หรือไม่?  ใครบ้างมีความสามารถในการทำไร่มาตั้งแต่เกิด?  เป็นไปได้หรือไม่ที่ชาวไร่จะเกิดมาพร้อมกับความสามารถเช่นนี้?  (เป็นไปไม่ได้)  มีชาวไร่คนไหนบ้างที่ไม่เก็บเกี่ยวผลผลิตและไม่มีธัญพืชไว้กินในครั้งแรกที่พวกเขาเพาะปลูกเนื่องจากไม่มีประสบการณ์และไม่รู้วิธีทำไร่ ส่งผลให้เป็นปีแห่งความอดอยาก?  มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็คงจะเป็นความวิบัติทางธรรมชาติ ไม่ใช่ผลจากการกระทำของมนุษย์  สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นยากยิ่ง!  ชาวไร่หาเลี้ยงชีพโดยการทำไร่ และแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่เคยทำไร่มานานหนึ่งหรือสองปีก็ต้องเรียนรู้การทำไร่  บุคคลที่มีขีดความสามารถดีย่อมสามารถได้ผลผลิตจากการทำไร่มากขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่บุคคลที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยอาจเก็บเกี่ยวได้น้อยกว่า  ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความก้าวหน้าและความอุดมสมบูรณ์ของข้อมูลในปัจจุบัน หากคนคนหนึ่งมีขีดความสามารถ ข้อมูลนี้ย่อมเพียงพอที่จะใช้อ้างอิงในการใช้วิจารณญาณและการตัดสินใจอย่างถูกต้องแม่นยำ  ยิ่งมีข้อมูลที่กว้างขวางและถูกต้องแม่นยำมากเท่าใด การพิจารณาและการตัดสินใจของพวกเขาก็จะยิ่งแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็จะทำผิดพลาดน้อยลง  อย่างไรก็ตาม บุคคลที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยกลับตรงกันข้าม ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น  สุดท้ายแล้ว ทุกขั้นตอนกลายเป็นการฝ่าฟันและยากลำบากมากเหลือเกินสำหรับพวกเขา  การทำไร่เป็นการแข่งกับเวลา ซึ่งจะไม่ได้ผลหากเจ้าเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป  หากเจ้าช้าและพลาดเวลาที่เหมาะสม การเก็บเกี่ยวขั้นสุดท้ายย่อมจะได้รับผลกระทบ  ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินการทำไร่ ผู้ดูแลคนนี้เผชิญกับงานที่ประดังประเดเข้ามา เร่งรีบให้ทันเวลาที่ผ่านไป และถูกบังคับในทุกขั้นตอน  แม้เขายังคงสามารถผ่านแต่ละขั้นตอนไปได้ แต่ก็ยากลำบากมากสำหรับเขา และในท้ายที่สุด ผลลัพธ์ก็คือการที่เขาทำให้งานยุ่งเหยิง  บุคคลดังกล่าวมีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยที่สุด!

ผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยอย่างยิ่งนั้นไม่สามารถทำงานคนเดียวให้ดีได้แม้แต่งานเดียว ไม่ว่าจะทำงานใดอยู่ พวกเขาก็ทำให้งานนั้นยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง  หากผู้นำของผู้ดูแลเหล่านี้มีขีดความสามารถที่ดีและสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนได้ พวกเขาก็ควรจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้  ผู้นำดังกล่าวควรช่วยเหลือผู้ดูแลที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยด้วยการชี้แนะ การวางมาตรฐาน และการตรวจสอบ  อย่างไรก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่ผู้ดูแลทำไม่ได้เช่นกัน และเมื่อผู้ดูแลพบว่างานของตนยากลำบากหรือรู้สึกไม่แน่ใจและลังเลใจในงานของตน ผู้นำเทียมเท็จก็พลอยลังเลตามผู้ดูแลไปด้วย  ผู้นำเทียมเท็จไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่าผู้ดูแลทำงานเป็นอย่างไร ผู้ดูแลดำเนินงานไปถึงไหนแล้ว มีความท้าทายใดเกิดขึ้นบ้าง หรือผู้ดูแลกำลังมีความสับสนในเรื่องใดบ้าง  เมื่อใครบางคนถามผู้นำคนนั้นเรื่องการเพาะปลูก เธอก็ตอบว่า “ฉันเป็นผู้นำ ฉันไม่ได้รับผิดชอบเรื่องการเพาะปลูก”  เขาจึงตอบว่า “คุณเป็นผู้นำ แล้วผิดตรงไหนที่จะถามคุณเรื่องเพาะปลูก?  งานนี้อยู่ในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของคุณ”  เธอก็กล่าวว่า “เดี๋ยวฉันไปถามเรื่องนี้มาให้นะ”  หลังจากสอบถามมาแล้ว เธอตอบว่า “ตอนนี้พวกเรากำลังปลูกมันฝรั่งอยู่”  เขาถามว่า “คุณปลูกมันฝรั่งเป็นจำนวนเท่าไร?”  เธอตอบว่า “ฉันไม่ได้ถามเรื่องนั้น เดี๋ยวฉันไปตรวจสอบมาให้นะ”  หลังจากสอบถามมาอีกครั้ง เธอก็ตอบว่า “พวกเราปลูกไปห้าไร่”  เขาถามว่า “คุณปลูกพันธุ์อะไร?  ที่ดินแปลงนั้นเหมาะที่จะปลูกมันฝรั่งหรือไม่?  ตอนที่คุณปลูกมันฝรั่ง คุณได้ใส่ปุ๋ยหรือไม่?  ฝังหัวมันฝรั่งลงไปลึกแค่ไหน?”  เธอไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย  เจ้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้ แต่เจ้าก็ไม่ซักถามเรื่องเหล่านี้และไม่หาใครสักคนมาสอบถามถึงเรื่องเหล่านี้—การกระทำเช่นนี้ทำให้สิ่งต่างๆ ล่าช้ามิใช่หรือ?  เจ้าเป็นผู้นำแน่หรือ?  ในฐานะผู้นำเจ้าทำงานอะไรบ้าง?  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะนำผู้คนให้ทำงานภายนอกเล็กๆ เท่านี้ได้ แล้วการเป็นผู้นำของเจ้าจะมีประโยชน์อะไร?  แม้ขีดความสามารถของผู้ดูแลจะอ่อนด้อยถึงเพียงนี้ แต่ผู้นำเทียมเท็จคนนี้กลับไม่สามารถค้นพบเรื่องดังกล่าว และเมื่อเธอถูกถามว่าขีดความสามารถของผู้ดูแลเป็นอย่างไร พืชผลเป็นอย่างไร และรับประกันผลผลิตได้หรือไม่ เธอกลับเชื่อว่า “คุณไม่จำเป็นต้องซักถามถึงสิ่งเหล่านี้หรอก การเพาะปลูกเป็นงานง่ายๆ แค่นี้เอง!  พวกเราปลูกพืชในไร่ไปแล้วมิใช่หรือ?  จะไม่มีผลผลิตได้อย่างไร?”  เธอไม่คำนึงถึงสิ่งใด ไม่ซักถามอะไร และเธอไม่มีสมองเลยสักนิด  นี่คือผู้นำประเภทใด?  (ผู้นำเทียมเท็จ)  ทุกครั้งที่เขาเผชิญกับสิ่งใดก็ตาม ผู้ดูแลก็งงเป็นไก่ตาแตก  เขาไม่รู้ว่าจะถามใคร หรือจะค้นหาข้อมูลอย่างไร หรือจะเลือกฝ่ายใดเมื่อแหล่งข้อมูลต่างๆ นำเสนอแนวคิดที่แตกต่างกันมากมาย  ผู้นำคนนี้ไม่ได้ตรวจสอบสภาพการณ์เหล่านี้เลย  เธอคิดว่าได้มอบงานให้กับคนคนนี้แล้ว ตัวเธอจึงไม่ใส่ใจกับงานนั้นเลย  พวกเจ้าคิดว่าผู้ดูแลที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยเช่นนี้จะมีผลต่อผลงานหรือไม่?  (มี)  เช่นนั้นผู้นำควรจะได้ทำสิ่งใดเพื่อแก้ปัญหานี้?  ด้วยการตรวจสอบเรื่องนี้และการซักถามทางอ้อม ด้วยเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นรอบตัวเธอ และด้วยการเพาะปลูกในฤดูกาลนั้น เธอควรจะได้ค้นพบแล้วว่าผู้ดูแลคนนี้มีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยอย่างยิ่ง และเขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย  ผู้ดูแลคนนี้ไม่สามารถสรุปประสบการณ์ใดๆ ได้เลยแม้กระทั่งหลังจากที่ทำการเพาะปลูกมานานหลายปี—ถึงตอนนั้นเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะปลูกพืชอย่างไร—เธอควรจะเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าผู้ดูแลคนนี้มีขีดความสามารถอันอ่อนด้อยและไม่มีความสามารถเพียงพอสำหรับงานนั้น และบุคคลเช่นนี้ก็ควรจะถูกปลดไปแล้ว!  เธอควรจะได้สอบถามแล้วว่าใครเหมาะสมที่จะเป็นผู้ดูแล ใครสามารถแบกรับงานนี้และทำงานนี้ได้ดี เพื่อที่จะทำให้มั่นใจได้ว่างานของพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่เสียหาย  ผู้นำเทียมเท็จมีกรอบความคิดเช่นนี้หรือไม่?  เธอสามารถมองเห็นประเด็นปัญหาเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่)  จิตใจและดวงตาของเธอนั้นมืดบอด เธอตาบอดสนิท  นี่คือการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จ  เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่มีขีดความสามารถอันอ่อนด้อย ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้ว่าจะชี้แนะพวกเขาอย่างไรในการทำงาน ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือพวกเขาโดยการดำเนินการตรวจสอบอย่างไรหรือแก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเขาอย่างทันท่วงทีได้อย่างไร และแน่นอนว่าผู้นำเทียมเท็จไม่รู้ว่าคนที่ที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยนั้นไม่สามารถแบกรับงานนั้นได้และควรจะให้คนที่เหมาะสมมาแทนที่โดยเร็ว  ผู้นำเทียมเท็จไม่ดำเนินการเหล่านี้เลย ผู้นำเทียมเท็จไม่เหมาะสมกับงานนี้ และไม่สามารถมองเห็นเรื่องเหล่านี้เลย  คนเหล่านี้ตาบอดมิใช่หรือ?  บางคนกล่าวว่า “บางทีพวกเขาอาจจะยุ่งอยู่กับงานอื่น  เหตุใดพระองค์จึงทรงขอให้พวกเขาดูแลงานเบ็ดเตล็ดที่ไม่สลักสำคัญเหล่านี้อยู่เสมอ?”  งานเหล่านี้คืองานที่ผู้นำต้องทำ จะมองว่าเป็นงานเบ็ดเตล็ดได้อย่างไร?  เรื่องเหล่านี้อยู่ในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำ—หากผู้นำละเลยเรื่องเหล่านี้ จะเป็นที่ยอมรับได้หรือ?  หากผู้นำทำเช่นนั้น ย่อมจะเป็นการละเลยความรับผิดชอบ  มีความลำบากยากเย็นและปัญหาเกิดขึ้นในงานของผู้ดูแลทุกวันต่อหน้าต่อตาผู้นำ และผู้คนก็หยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาพูดคุยกันทุกวัน  อย่างไรก็ตาม ทั้งดวงตาและจิตใจของผู้นำเทียมเท็จล้วนมืดบอด  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองเห็น รู้สึก หรือสัมผัสได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน  ผู้นำเทียมเท็จคนนั้นไม่สามารถค้นพบได้ว่าขีดความสามารถของผู้ดูแลนั้นอ่อนด้อยอย่างที่สุด  นอกจากนั้นเธอยังไม่สามารถระบุถึงปัญหานานัปการที่เกิดขึ้นในงานของผู้ดูแล  ผู้ดูแลคนนี้ไม่สามารถจัดการกับปัญหาทั้งหลายได้ และเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น ผู้ดูแลก็กระทำการอย่างไร้ระเบียบราวกับมดบนกระทะร้อนๆ ไร้ซึ่งหลักธรรม และทำให้งานสับสนวุ่นวาย และผู้นำเทียมเท็จคนนั้นก็ไม่สามารถมองเห็นหรือค้นพบสิ่งเหล่านี้ได้เลย  มีหลักธรรมประการหนึ่งเกี่ยวกับวิธีทำงานของผู้นำเทียมเท็จ นั่นคือตราบใดที่ผู้นำเทียมเท็จได้จัดวางใครบางคนมารับผิดชอบงานแต่ละอย่างแล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็ถือว่างานของตนเสร็จสิ้น และไม่ว่าขีดความสามารถของผู้ดูแลจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ไม่ว่าผู้ดูแลจะสามารถทำงานได้ดีหรือไม่ หรือมีปัญหาเกิดขึ้นในงานมากน้อยเพียงใดก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเลย  ผู้นำเช่นนี้ยังคงสามารถทำงานให้แล้วเสร็จได้หรือ?  พวกเขาเข้าใจวิธีทำงานหรือไม่?  (ไม่)  หากเจ้าไม่เข้าใจวิธีทำงาน แล้วเหตุใดเจ้าจึงปฏิบัติตนเป็นผู้นำอยู่?  หากเจ้าทำงานรับใช้ในฐานะผู้นำทั้งที่เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าก็คือผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองเห็นหรือค้นพบการสำแดงนานัปการของผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยหรือปัญหานานัปการที่เกิดขึ้นในขณะที่ผู้คนเหล่านี้ทำหน้าที่ของตน  หัวใจของผู้นำเทียมเท็จนั้นด้านชาเป็นที่สุด  ทั้งดวงตาและจิตใจของพวกเขาล้วนมืดบอดมิใช่หรือ?  บางคนอาจกล่าวว่า “พวกเขาไม่ได้มืดบอด  คุณมักจะให้ร้ายและป้ายสีพวกเขาเสมอ”  ปัญหาที่เกิดจากผู้ดูแลการเพาะปลูกคนนี้ร้ายแรงมาก ผู้นำเทียมเท็จคนนั้นใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ดูแลทุกวัน และเธอย่อมสามารถได้ยินและมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้  แล้วเธอจะไม่สามารถค้นพบหรือตระหนักได้อย่างไรว่าสิ่งเหล่านี้คือปัญหา?  เพราะเหตุใดเธอจึงไม่จัดการหรือแก้ไขปัญหาเหล่านี้?  ดวงตาและจิตใจของเธอล้วนมืดบอดมิใช่หรือ?  ปัญหานี้ร้ายแรงหรือไม่?  (ร้ายแรง)  นี่เป็นการสำแดงอีกประการหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จ—คือความมืดบอดของจิตใจและดวงตา

เมื่อเจ้ามอบหมายงานให้ใครบางคนที่มีขีดความสามารถอันอ่อนด้อย เจ้าย่อมสามารถบอกได้จากวิธีที่พวกเขามักจะใช้ในการพูดจา อีกทั้งท่าทีและทัศนคติของพวกเขาเวลาหารือเรื่องงาน และวิธีที่พวกเขาจัดการกับงานต่างๆ ว่าขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยเกินไป การคิดอ่านของพวกเขาสับสนวุ่นวาย และพวกเขาจัดการทุกสิ่งด้วยความมืดบอดและความสะเพร่า รวมทั้งไร้ซึ่งเป้าหมายใดๆ  เจ้าสามารถระบุได้ว่าคนคนนี้มีขีดความสามารถอ่อนด้อยอย่างยิ่งโดยเพียงดูจากวิธีที่พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ดังนั้นเจ้าถึงกับจำเป็นต้องสังเกตดูพวกเขานานขนาดนั้นเลยหรือ?  เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น  อย่างไรก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จมีปัญหาร้ายแรงอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือผู้นำเทียมเท็จเชื่อว่าเมื่อคนคนหนึ่งทำงานอย่างต่อเนื่องมาตลอดโดยไม่ลาออก และผู้นำเทียมเท็จก็ไม่เคยได้ยินใครรายงานว่าคนคนนั้นทำสิ่งที่ไม่ดี หรือก่อให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน หรือเป็นคนคิดลบหรือเกียจคร้าน นั่นหมายความว่าคนคนนี้ยังคงสามารถทำงานนั้นได้  ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้วิธีตัดสินขีดความสามารถหรือความสามารถของคนคนหนึ่งในการทำงานให้ดีโดยอ้างอิงจากคำพูด ท่าทีและทัศนคติของคนคนนั้นต่อเรื่องต่างๆ หรือวิธีที่คนคนนั้นทำสิ่งต่างๆ  ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความตระหนักรู้ในเรื่องนี้เลย พวกเขาด้านชาและขาดการรับรู้ในเรื่องนี้  ผู้นำเทียมเท็จมีทัศนคติอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือตราบใดที่คนคนหนึ่งไม่อยู่เฉย ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมถือว่าดีและงานก็สามารถดำเนินต่อไปได้  พวกเจ้าคิดว่าผู้นำที่เก็บงำทัศนคติประเภทนี้ไว้สามารถทำงานให้ดีได้หรือไม่?  ผู้นำเหล่านี้มีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  การเปิดโอกาสให้บุคคลดังกล่าวเป็นผู้นำจะทำให้งานยุ่งเหยิงมิใช่หรือ?  เมื่อคนคนหนึ่งลุ่มหลงในการกิน การดื่ม และความบันเทิง รวมถึงละเลยหน้าที่ของตน ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ใส่ใจที่จะตรวจสอบหรือจัดการกับเรื่องนี้ และไม่สามารถมองเห็นได้ว่าขีดความสามารถหรือลักษณะนิสัยของคนคนหนึ่งนั้นดีหรือไม่ดี ไม่ว่าผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้จะติดต่อสัมพันธ์กับคนคนนั้นมานานเพียงใดก็ตาม  ผู้นำเหล่านี้มีความสามารถในการทำงานของผู้นำหรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้นำเหล่านี้คือผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแยกแยะได้ว่าคนคนหนึ่งมีขีดความสามารถที่ดีหรือไม่ และไม่สามารถทำงานที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้ได้  ผู้นำเทียมเท็จคิดว่านี่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งในงานของตน  นี่เป็นการละเลยความรับผิดชอบมิใช่หรือ?  พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ระหว่างคนที่มีขีดความสามารถอันอ่อนด้อยหรือคนที่มีขีดความสามารถอยู่บ้างคนไหนจะสามารถแบกรับงานได้?  (คนที่มีขีดความสามารถอยู่บ้าง)  เพราะฉะนั้นการประเมินขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของคนคนหนึ่งจึงเป็นประเด็นที่ผู้นำและคนทำงานควรใส่ใจและมีความเข้าใจ และนี่ยังเป็นงานที่ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติอีกด้วย  แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่เข้าใจว่านี่เป็นส่วนหนึ่งในงานของตน พวกเขาไร้ซึ่งความตระหนักรู้ในเรื่องนี้ และไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนในส่วนนี้ได้  นี่คือจุดที่ผู้นำเทียมเท็จละเลยความรับผิดชอบของตน และยังเป็นการสำแดงว่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานได้  นี่คือสถานการณ์ประเภทที่สอง เมื่อผู้ดูแลมีขีดความสามารถอันอ่อนด้อย ไม่มีความสามารถในการทำงาน และไม่สามารถแบกรับงานของตนได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับขีดความสามารถของผู้ดูแล  ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถแสดงบทบาทหน้าที่ของผู้นำและไม่สามารถปลดผู้ดูแลที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยได้อย่างทันท่วงทีเช่นเดียวกัน

III. ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อผู้ดูแลที่ระรานผู้อื่นและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างไร

สถานการณ์ประเภทที่สามเกี่ยวข้องกับผู้ดูแลที่ระรานและบีบคั้นผู้อื่น รวมถึงก่อกวนงานของคริสตจักร  สถานการณ์แรกที่พวกเราพูดถึงไปก่อนหน้านี้คือสถานการณ์ที่ผู้ดูแลบางคนไม่ให้ความสำคัญกับงานอย่างจริงจัง และได้แต่ประพฤติตนในแบบสุกเอาเผากิน แม้พวกเขาจะมีขีดความสามารถที่ดีพอสมควรและสามารถแบกรับงานของตนได้ ในขณะที่ผู้นำเทียมเท็จกลับเพิกเฉยต่อเรื่องนี้และไม่ปลดผู้ดูแลอย่างทันท่วงที  สถานการณ์ที่สองเกี่ยวข้องกับผู้ดูแลบางคนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยและไม่สามารถแบกรับงานได้ แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่สามารถสังเกตเห็นเรื่องนี้หรือหาคนมาแทนพวกเขาได้อย่างทันท่วงที  สถานการณ์ที่สามนี้เกี่ยวกับผู้ดูแลที่ไม่ดูแลรับผิดชอบงานที่ถูกควรของตน ไม่ว่าพวกเขาจะมีขีดความสามารถที่ดีหรือไม่ดี และเอาแต่ระรานและบีบคั้นผู้อื่น รวมถึงก่อกวนงานของคริสตจักร  ตั้งแต่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแล พวกเขาไม่พยายามเรียนรู้หรือศึกษางานในสาขาของตนเลย รวมทั้งไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ชี้แนะผู้อื่นให้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกควร  ตรงกันข้ามทุกครั้งที่มีโอกาส พวกเขากลับเหน็บแนมใครบางคน รวมทั้งล้อเลียนและเย้ยหยันคนอื่น ตราบใดที่มีโอกาส พวกเขาก็อวดตัว และไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาก็ไม่เคยจริงจังกับสิ่งที่ทำเลย  วันหนึ่งพวกเขาก็บอกให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆ ในหนทางหนึ่ง แล้ววันต่อมาก็บอกผู้คนให้ทำสิ่งต่างๆ ในอีกหนทางหนึ่ง พวกเขาเพียงแค่คิดหากลวิธีใหม่ๆ โดยต้องการที่จะโดดเด่นอยู่เสมอ  การทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้ผู้คนอยู่ในสภาวะวิตกกังวล  เมื่อใดก็ตามที่ผู้ดูแลเอ่ยปาก บางคนก็รู้สึกหัวใจสั่น  เมื่อผู้ดูแลได้กำราบทุกคน ทำให้ทุกคนหวาดกลัวและเชื่อฟังพวกเขาแล้ว พวกเขาจะรู้สึกปีติยินดี  ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ และไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในอำนาจหรือไม่ ผู้คนประเภทนี้ย่อมทำลายความสงบสุขของคริสตจักร  พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำงานจริงหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติเท่านั้น แต่ยังก่อความแตกแยกและสร้างความขัดแย้งระหว่างผู้คน รวมถึงก่อกวนชีวิตคริสตจักร  พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถช่วยผู้อื่นให้เข้าใจความจริงได้เท่านั้น แต่มักจะตัดสินและกล่าวโทษผู้คนอีกด้วย ทั้งยังทำให้ผู้คนเชื่อฟังพวกเขาในทุกเรื่อง บีบคั้นผู้คนจนถึงขั้นที่ผู้คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรให้เหมาะสม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของวิธีดำเนินชีวิต ผู้คนจะไม่สามารถเข้านอนเร็วขึ้นหรือช้าลงสักนิดได้เลย  ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม พวกเขาต้องดูการแสดงออกทางสีหน้าของผู้คนเหล่านี้ ซึ่งทำให้ชีวิตน่าเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง  หากผู้คนเช่นนี้กลายเป็นผู้ดูแล คนอื่นๆ ย่อมจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากกันทุกคน  หากเจ้าพูดกับคนเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมาและเปิดโปงประเด็นปัญหาของพวกเขา คนเหล่านี้จะบอกว่าเจ้ากำลังจงใจเพ่งเล็งและเปิดโปงพวกเขา  หากเจ้าไม่พูดคุยกับคนเหล่านี้ถึงปัญหาของพวกเขา คนเหล่านี้ก็จะบอกว่าเจ้ากำลังดูแคลนพวกเขา  หากเจ้าจริงจังและมีความรับผิดชอบต่องาน รวมทั้งให้คำแนะนำบางอย่างแก่พวกเขา คนเหล่านี้ก็จะแข็งขืนและกล่าวว่าเจ้ากำลังโจมตีพวกเขาและเรียกเจ้าว่าคนโอหัง  ไม่ว่าในกรณีใด ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด พวกเขาก็จะรู้สึกว่ามันไม่น่าพึงพอใจ  พวกเขาคิดแต่จะระรานผู้คนอยู่เสมอ และบีบคั้นผู้คนจนกระทั่งคนเหล่านั้นถูกมัดมือมัดเท้าและรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่ตนทำแล้วถูกต้องเลย  ผู้ดูแลเช่นนั้นก่อกวนงานของคริสตจักร

ผู้นำเทียมเท็จทำงานผิวเผินได้ดี แต่ไม่เคยทำงานจริงเลย  พวกเขาไม่ไปตรวจสอบ ควบคุมดูแล หรือกำกับงานทางวิชาชีพต่างๆ หรือค้นหาว่ามีอะไรเกิดขึ้นในฝ่ายต่างๆ อย่างทันท่วงที ไม่ตรวจสอบว่างานกำลังคืบหน้าไปอย่างไร มีปัญหาอะไรบ้าง ผู้ดูแลฝ่ายต่างๆ มีความสามารถในการทำงานของตนหรือไม่ และพี่น้องชายหญิงรายงานหรือประเมินผู้ดูแลกลับมาว่าอย่างไร  ผู้นำเทียมเท็จไม่ตรวจสอบเพื่อดูว่ามีใครถูกผู้นำทีมหรือผู้ดูแลบีบคั้นหรือไม่ ข้อเสนอแนะที่ถูกต้องซึ่งผู้คนเสนอมานั้นถูกนำไปใช้หรือไม่ มีใครที่มีความสามารถพิเศษหรือแสวงหาความจริงถูกกดขี่หรือกีดกันหรือไม่ มีคนที่บริสุทธิ์ใจถูกกลั่นแกล้งบ้างหรือไม่ คนที่เปิดโปงและรายงานผู้นำเทียมเท็จถูกโจมตี ตอบโต้ เอาตัวออกไป หรือถูกขับไล่หรือไม่ ผู้นำทีมหรือผู้ดูแลเป็นคนชั่วหรือไม่ และมีใครถูกระรานหรือไม่  หากผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้เลย พวกเขาก็ควรจะถูกปลด  ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีใครบางคนรายงานให้ผู้นำเทียมเท็จรู้ว่ามีผู้ดูแลคนหนึ่งที่มักจะบีบคั้นและกดขี่ผู้คน  ผู้ดูแลคนนี้ได้ทำบางสิ่งผิดไปแต่จะไม่ยอมให้พี่น้องชายหญิงให้ข้อเสนอแนะใดๆ และเขายังถึงกับมองหาข้อแก้ตัวเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองบริสุทธิ์และแก้ต่างให้ตนเอง โดยไม่เคยยอมรับความผิดพลาดของตนเลย  ผู้ดูแลเช่นนี้ควรถูกปลดอย่างทันท่วงทีมิใช่หรือ?  สิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่ผู้นำควรแก้ไขอย่างทันท่วงที  ผู้นำเทียมเท็จบางคนไม่เปิดโอกาสให้ผู้ดูแลที่ตนแต่งตั้งถูกเปิดโปง ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดขึ้นในงานของผู้ดูแลก็ตาม และแน่นอนว่าผู้นำเทียมเท็จไม่เปิดโอกาสให้มีการรายงานผู้ดูแลเหล่านั้นต่อผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า—ผู้นำเทียมเท็จถึงขนาดบอกผู้คนให้เรียนรู้ที่จะนบนอบด้วยซ้ำไป  หากใครบางคนเปิดโปงประเด็นปัญหาของผู้ดูแล ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็จะพยายามปกป้องผู้ดูแลหรือปิดบังข้อเท็จจริงที่เป็นความจริง โดยกล่าวว่า “นี่เป็นปัญหาเรื่องการเข้าสู่ชีวิตของผู้ดูแล  เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะมีอุปนิสัยโอหัง—ทุกคนที่มีขีดความสามารถอยู่บ้างล้วนโอหังทั้งสิ้น  นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ฉันแค่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมกับพวกเขาบ้างเท่านั้นเอง”  ผู้ดูแลแสดงจุดยืนของตนผ่านทางการสามัคคีธรรม โดยกล่าวว่า “ฉันยอมรับว่าฉันโอหัง  ฉันยอมรับว่ามีบางครั้งที่ฉันหมกมุ่นอยู่กับความหลงตัวเอง ความหยิ่งยโส และสถานะของตัวเอง และไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่น  แต่คนอื่นก็ไม่เก่งในวิชาชีพนี้ พวกเขามักจะเสนอข้อเสนอแนะที่ไร้ค่า ดังนั้นจึงมีเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่รับฟังพวกเขา”  ผู้นำเทียมเท็จไม่พยายามที่จะเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ ไม่มองดูผลลัพธ์ที่ได้จากงานของผู้ดูแล นับประสาอะไรกับการพิจารณาว่าความเป็นมนุษย์ อุปนิสัย และการไล่ตามเสาะหาของผู้ดูแลเป็นเช่นไร  ทั้งหมดที่ผู้นำเทียมเท็จทำคือการพูดให้สิ่งต่างๆ เบากว่าความเป็นจริง โดยกล่าวว่า “มีการรายงานเรื่องนี้ให้ฉันทราบแล้ว ดังนั้นฉันจึงคอยจับตาดูคุณอยู่  ฉันจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง”  หลังจากการพูดคุยของพวกเขา ผู้ดูแลก็กล่าวว่าตนยินดีที่จะกลับใจ แต่ต่อมาผู้ดูแลจะกลับใจจริงหรือไม่ หรือเพียงโกหกหลอกลวงเท่านั้น ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลย  หากใครบางคนตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้นำเทียมเท็จก็กล่าวว่า “ฉันได้พูดคุยกับเขาแล้วและถึงขนาดสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าให้เขาฟังไปหลายบทตอน  เขาเต็มใจที่จะกลับใจ และปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขแล้ว”  เมื่อคนคนนั้นถามว่า “ความเป็นมนุุษย์ของผู้กำกับดูแลคนนั้นเป็นอย่างไร?  เขาเป็นคนที่ยอมรับความจริงหรือไม่?  คุณให้โอกาสเขาแล้ว แต่เขาจะสามารถกลับใจและเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงหรือเปล่า?”  ผู้นำเทียมเท็จซึ่งไม่สามารถมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งจึงตอบว่า “ฉันยังคงเฝ้าสังเกตเขาอยู่”  คนคนนั้นก็ตอบว่า “คุณเฝ้าสังเกตเขามานานเท่าใดแล้ว?  คุณได้ข้อสรุปบ้างหรือยัง?”  ผู้นำเทียมเท็จก็บอกว่า “ผ่านมากว่าหกเดือนแล้ว ฉันก็ยังไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เลย”  หากผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆ หลังจากเฝ้าสังเกตมานานกว่าหกเดือน นั่นเป็นประสิทธิภาพของงานประเภทใด?  ผู้นำเทียมเท็จเชื่อว่าการได้สนทนากับผู้ดูแลคนนั้นหนึ่งครั้งก็มีประสิทธิผลและแก้ไขปัญหาได้แล้ว  แนวคิดนี้ถูกต้องหรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จคิดว่าเมื่อตนได้พูดคุยกับใครบางคนแล้ว คนคนนั้นก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และหากมีใครบางคนแสดงออกถึงปณิธานที่จะไม่ทำเช่นนั้นอีก ผู้นำเทียมเท็จก็เชื่อคนคนนั้นสนิทใจโดยไม่ดำเนินการซักถามเพิ่มเติมหรือตรวจสอบสถานการณ์นั้นอีกครั้ง  หากไม่มีใครติดตามเรื่องนี้ ผู้นำเทียมเท็จอาจจะไม่ใส่ใจที่จะตรวจสอบหรือติดตามงานดังกล่าวเป็นเวลาครึ่งปี  ผู้นำเทียมเท็จยังคงไม่ตระหนักแม้เมื่อผู้ดูแลคนนั้นทำให้งานยุ่งเหยิง  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ดูแลกำลังหลอกลวงและเล่นตลกกับผู้นำเทียมเท็จอย่างไร  สิ่งที่น่าเกลียดยิ่งกว่านั้นก็คือเมื่อมีใครบางคนรายงานประเด็นปัญหาของผู้ดูแล ผู้นำเทียมเท็จกลับเพิกเฉยต่อปัญหาเหล่านั้นและไม่ตรวจสอบอย่างแท้จริงว่าประเด็นปัญหาเหล่านั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือประเด็นปัญหาที่มีคนรายงานนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่  ผู้นำเทียมเท็จไม่คำนึงถึงปัญหาเหล่านี้เลย—พวกเขามีความเชื่อในตนเองมากเกินไปจริงๆ!  ไม่ว่าจะมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นในงานของคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่รีบจัดการกับสถานการณ์เหล่านั้น ผู้นำเทียมเท็จคิดว่าถึงอย่างไรนั่นก็เกี่ยวข้องกับตน  ผู้นำเทียมเท็จตอบสนองต่อปัญหาเหล่านี้อย่างเชื่องช้ายิ่ง ผู้นำเทียมเท็จดำเนินการและเคลื่อนไหวอย่างล่าช้ามาก เอาแต่พูดหลบเลี่ยง และคอยให้โอกาสผู้คนในการกลับใจอีกครั้ง ราวกับว่าโอกาสที่ผู้นำเทียมเท็จมอบให้ผู้คนนั้นล้ำค่าและสำคัญมาก ราวกับผู้นำเทียมเท็จสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของผู้คนได้  ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้วิธีที่จะมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของใครบางคนผ่านสิ่งที่สำแดงในตัวคนคนนั้น หรือวิธีที่จะตัดสินว่าคนคนหนึ่งเดินอยู่ในเส้นทางใดจากแก่นแท้ธรรมชาติของคนคนนั้น หรือวิธีที่จะมองเห็นว่าคนคนหนึ่งเหมาะสมที่จะเป็นผู้ดูแลหรือทำงานแห่งการนำหรือไม่จากเส้นทางที่พวกเขาเดิน  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายในหนทางนั้นได้  ผู้นำเทียมเท็จสามารถทำได้เพียงสองสิ่งในงานของพวกเขาเท่านั้น อย่างแรกคือการดึงผู้คนเข้ามาพูดคุยและทำอย่างขอไปที อย่างที่สองคือการให้โอกาสผู้คน เอาอกเอาใจผู้อื่น และไม่ล่วงเกินใคร  ผู้นำเทียมเท็จกำลังทำงานที่แท้จริงหรือไม่?  เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่  แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับเชื่อว่าการดึงใครบางคนเข้ามาพูดคุยนั้นคืองานที่แท้จริง  ผู้นำเทียมเท็จถือว่าการสนทนาเหล่านี้มีค่าและสำคัญมาก และมองว่าคำพูดและคำสอนอันว่างเปล่าที่พวกเขาพูดพล่ามออกมานั้นมีนัยสำคัญอย่างเหลือเชื่อ  พวกเขาคิดว่าตนได้แก้ไขปัญหาสำคัญๆ ด้วยการสนทนาเหล่านี้และได้ทำงานที่แท้จริงแล้ว  พวกเขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงพิพากษาและตีสอน ทรงตัดแต่ง หรือทรงทดสอบตลอดจนถลุงผู้คน  พวกเขาไม่รู้ว่ามีเพียงพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเท่านั้นที่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ได้  พวกเขาทำให้พระราชกิจของพระเจ้าและการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าเป็นเรื่องง่ายดายเกินไป!  พวกเขาเชื่อว่าการกล่าวคำพูดและคำสอนไม่กี่คำนั้นเป็นสิ่งที่ทดแทนพระราชกิจของพระเจ้า และสามารถแก้ไขปัญหาความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้  นี่เป็นความโง่เขลาและไม่รู้ความของผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความเป็นจริงความจริงเลยแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดพวกเขาจึงมั่นใจมากเหลือเกิน?  การพูดพล่ามคำสอนเพียงไม่กี่คำจะทำให้ผู้คนรู้จักตนเองหรือไม่?  การพูดพล่ามเช่นนั้นจะทำให้ผู้คนทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่รู้ความและไร้เดียงสามากขนาดนี้ได้อย่างไร?  การแก้ไขการปฏิบัติที่ผิดพลาดและพฤติกรรมที่เสื่อมทรามของคนคนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องง่ายดายอย่างนั้นจริงๆ หรือ?  ประเด็นปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์นั้นแก้ไขได้ง่ายมากนักหรือ?  ผู้นำเทียมเท็จช่างโง่เขลาและตื้นเขินเหลือเกิน!  พระเจ้าไม่ทรงใช้เพียงแค่วิธีการเดียวในการแก้ไขประเด็นปัญหาเรื่องความเสื่อมทรามของมนุษย์  พระองค์ทรงใช้วิธีการมากมายและทรงจัดวางสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันเพื่อที่จะเผยผู้คน ชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ และทำให้ผู้คนเพียบพร้อม  ในทางตรงกันข้าม ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติงานในหนทางที่ซ้ำซากจำเจและผิวเผินอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาดึงผู้คนเข้ามาพูดคุย ให้คำปรึกษาแก่ผู้คนเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องวิธีคิด เตือนสติผู้คนนิดหน่อย และเชื่อว่านี่คือการทำงานจริง  นี่เป็นเรื่องผิวเผินมิใช่หรือ?  แล้วเบื้องหลังความผิวเผินนี้ มีประเด็นปัญหาใดซ่อนเร้นอยู่?  นั่นคือความไร้เดียงสามิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จนั้นไร้เดียงสาอย่างยิ่ง และพวกเขาก็มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่ไร้เดียงสาอย่างเหลือเชื่ออีกด้วย  ไม่มีสิ่งใดยากไปกว่าการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน—เสือย่อมไม่อาจทิ้งลายของมันได้  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองปัญหานี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลย  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของผู้ดูแลในคริสตจักรซึ่งเป็นประเภทที่คอยก่อกวนตลอดเวลา คอยบีบคั้นและระรานผู้คนเสมอ ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากพูดคุยกับผู้ดูแลเหล่านั้น และตัดแต่งพวกเขาด้วยคำพูดไม่กี่คำ และก็จบแค่นั้น  ผู้นำเทียมเท็จไม่ปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขาหรือปลดพวกเขาอย่างทันท่วงที  วิธีการเช่นนี้ของผู้นำเทียมเท็จก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาลต่องานของคริสตจักร และมักจะส่งผลให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ล่าช้า เสียหาย และขัดขวางไม่ให้คืบหน้าไปตามปกติ อย่างราบรื่น และมีประสิทธิผลเพราะการก่อกวนของคนชั่วบางคน—ซึ่งล้วนแต่เป็นผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงจากการที่ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติตนตามความรู้สึกของตน ละเมิดหลักธรรมความจริง และใช้คนผิด  จากสิ่งที่ปรากฏออกมาภายนอก ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้จงใจกระทำความชั่วมากมาย หรือทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตนเองรวมทั้งสถาปนาอาณาจักรอิสระของตนเอง เหมือนที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ  แต่ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแก้ไขปัญหานานัปการที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรได้อย่างทันท่วงที และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับผู้ดูแลของฝ่ายต่างๆ และเมื่อผู้ดูแลเหล่านั้นไม่สามารถแบกรับงานของตนได้ ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่ผู้กำกับดูแลหรือปลดผู้ดูแลออกได้อย่างทันท่วงที ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียที่ร้ายแรงต่องานของคริสตจักร  และนี่ล้วนเกิดจากการละเลยความรับผิดชอบของผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำเทียมเท็จน่ารังเกียจมากมิใช่หรือ?  (ใช่)

IV. วิธีที่ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อผู้ดูแลที่ไม่ทำตามการจัดการเตรียมงานและทำสิ่งต่างๆ ในหนทางของตนเอง

ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถจัดการกับการทำชั่วที่เกิดขึ้นในคริสตจักรอย่างเช่น การที่ผู้ดูแลระรานและบีบคั้นผู้อื่น รวมทั้งก่อกวนงานของคริสตจักรได้อย่างทันท่วงที  ในทำนองเดียวกัน เมื่อผู้ดูแลบางคนไม่ทำตามการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าและทำสิ่งต่างๆ ในหนทางของตนเอง ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถคิดหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที  เรื่องนี้ส่งผลให้เกิดการสูญเสียต่องานของคริสตจักรรวมทั้งทรัพยากรทางวัตถุและการเงินของพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้นำเทียมเท็จไร้เดียงสาและตื้นเขิน ไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  ผลที่ตามมาก็คือผู้นำเทียมเท็จมักจะทำงานของตนแบบผิวเผิน ทำอย่างขอไปที ปฏิบัติตามข้อบังคับ และท่องคำขวัญ แต่ไม่สามารถไปยังสถานที่ทำงานจริงเพื่อตรวจสอบงาน เฝ้าสังเกต และสอบถามถึงผู้ดูแลแต่ละคน หรือสอบถามอย่างทันท่วงทีว่าผู้ดูแลเหล่านี้ได้ทำสิ่งใดลงไปบ้าง หลักธรรมที่ชี้แนะการกระทำของผู้ดูแลเป็นเช่นไร และผลที่ตามมาเป็นอย่างไร  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้คนที่พวกเขากำลังใช้งานอยู่นั้นแท้จริงแล้วเป็นใครและผู้คนเหล่านั้นได้ทำสิ่งใดไปแล้วบ้าง  เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ดูแลเหล่านี้แอบต่อต้านการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าและทำสิ่งต่างๆ ในหนทางของตนเอง ไม่เพียงผู้นำเทียมเท็จจะไม่รู้เรื่องนี้เท่านั้น แต่ผู้นำเทียมเท็จยังพยายามแก้ต่างให้ผู้ดูแลเหล่านี้ด้วยซ้ำไป  ต่อให้ผู้นำเทียมเท็จได้ยินเรื่องนี้ ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ตรวจสอบและจัดการกับเรื่องนี้อย่างทันท่วงที  ในแง่หนึ่งผู้นำเทียมเท็จไม่มีความสามารถในการทำงานของตน และในอีกแง่หนึ่งผู้นำเทียมเท็จก็ละเลยหน้าที่ของตน  มายกตัวอย่างกันเถิด  ผู้นำคนหนึ่งเลือกใครบางคนซึ่งเคยถูกกำจัดออกไปจากอีกฝ่ายหนึ่งมาเป็นช่างเทคนิคด้านการเพาะปลูก  ผู้นำไม่ได้ตรวจสอบว่าคนคนนี้มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เธอสามารถทำงานได้ดีหรือไม่ หรือมีท่าทีที่จริงจังและรับผิดชอบหรือไม่ แล้วหลังจากที่ผู้นำให้เธอรับหน้าที่นั้น ผู้นำก็ปล่อยเธอโดยไม่มีการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น โดยกล่าวว่า “ไปเริ่มปลูกผักได้เลย  คุณสามารถเลือกเมล็ดพันธุ์ได้เลย แล้วผมจะอนุมัติจำนวนเงินตามที่คุณจ่ายไป  ขอเพียงทำงานนี้ไปตามที่คุณเห็นสมควร!”  ผู้นำกล่าวเช่นนี้ ดังนั้นผู้ดูแลคนนี้จึงเริ่มทำงานด้วยตามที่เธอเห็นสมควร  งานแรกของผู้กำกับดูแลคือการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์  เมื่อตรวจสอบข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต เธอก็พบว่า “มีพันธุ์ผักหลากหลายสายพันธุ์เหลือเกิน—โลกอันกว้างใหญ่ใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์!  การเลือกเมล็ดพันธุ์เป็นเรื่องสนุกทีเดียว  ฉันไม่เคยทำงานนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าตัวฉันจะสนใจเรื่องนี้มากถึงเพียงนี้  ในเมื่อฉันสนใจเรื่องนี้มาก ฉันก็จะทุ่มเทสุดชีวิต!”  ผู้ดูแลเปิดดูส่วนที่เป็นเรื่องของเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศก่อน แล้วเธอก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง  มีหลากหลายสายพันธุ์และสารพัดขนาด และในแง่ของสีก็มีมะเขือเทศสีแดง สีเหลือง และสีเขียว  มีชนิดหนึ่งที่มีหลากสีด้วยซ้ำ—เธอไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน และประสบการณ์ครั้งนี้เปิดโลกทัศน์ของเธอให้กว้างขึ้นจริงๆ!  แต่เธอจะเลือกเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมได้อย่างไร?  เธอจึงตัดสินใจปลูกทุกสายพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายพันธุ์ที่มีหลากสีซึ่งดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร  ผู้ดูแลคัดเลือกมะเขือเทศมามากกว่า 10 สายพันธุ์ที่มีขนาด สี และรูปร่างแตกต่างกัน  หลังจากคัดเลือกเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศแล้ว ก็ถึงเวลาที่คัดเลือกเมล็ดพันธุ์มะเขือ  โดยทั่วไป มะเขือชนิดที่ผู้คนกินกันคือมะเขือยาวสีม่วงหรือมะเขือสีขาว แต่ผู้ดูแลกลับคิดว่า “มะเขือยาวไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงสองชนิดนี้  ยังมีมะเขือสีเขียว มะเขือลาย มะเขือยาว มะเขือกลม และมะเขือรูปไข่  ฉันจะเลือกมาอย่างละนิดละหน่อย ทุกคนจะได้เปิดใจให้กว้างและกินมะเขือสารพัดชนิด  ดูสิว่าในฐานะผู้ดูแลฉันเชี่ยวชาญและกล้าหาญเพียงใดในการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ฉันเอาใจใส่พี่น้องชายหญิงเพียงใดโดยการตอบสนองรสนิยมของทุกคน”  จากนั้นผู้ดูแลก็คัดเลือกพันธุ์หัวหอม  มีหัวหอมทั้งหมด 14 สายพันธุ์ในท้องถิ่นนั้น และเธอคัดเลือกมาทุกสายพันธุ์ และเมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ดูแลก็รู้สึกพึงพอใจมากทีเดียว  ผู้ดูแลคนนี้ “กล้าหาญ” หรือไม่?  ใครจะไปกล้าเลือกสายพันธุ์มากมายขนาดนี้?  ต่อมา เราก็ยังคอยชำแหละเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และมีคนกล่าวด้วยซ้ำไปว่า “ในท้องถิ่นไม่ได้มีแค่ 14 สายพันธุ์เท่านั้น ยังมีบางสายพันธุ์ที่เธอไม่ได้เลือกมา!”  พวกเขาหมายความว่า 14 สายพันธุ์ก็ไม่ได้มากมายนัก และยังมีสายพันธุ์อื่นๆ อีกที่ผู้ดูแลไม่ได้เลือก ดังนั้นผู้กำกับดูแลจึงไม่ได้ทำอะไรผิด  คนที่กล่าวเช่นนี้เป็นคนสมองทึบมิใช่หรือ?  นี่คือการเป็นคนสมองทึบ ไม่เข้าใจภาษามนุษย์ และไม่รู้ความว่าเหตุใดเราจึงชำแหละเรื่องนี้  หลังจากคัดเลือกพันธุ์หัวหอมแล้ว ผู้ดูแลก็เลือกสรรมันฝรั่งมาอย่างน้อยแปดสายพันธุ์อีกด้วย  เธอมีจุดมุ่งหมายใดในการคัดเลือกสายพันธุ์มามากมายเช่นนี้?  เพื่อเป็นการเปิดหูเปิดตาทุกคนและเปิดโอกาสให้พวกเขาลิ้มลองรสชาติที่หลากหลาย  ผู้ดูแลเชื่อว่าการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ควรทำตามหลักธรรมที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิง  เจ้าคิดอย่างไรกับแรงจูงใจของเธอ?  การกระทำตามท่าทีที่คิดแทนทุกคนและรับใช้ทุกคนนั้นเป็นหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้หรือ?  (ไม่ใช่)  แล้วหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าในการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์คืออะไร?  อย่าปลูกพืชสายพันธุ์แปลกๆ และสายพันธุ์หายากที่พวกเราไม่ได้กินกันตามปกติ  ส่วนสายพันธุ์ที่กินกันตามปกติ หากพวกเราไม่เคยปลูกมาก่อนและไม่รู้ว่าสายพันธุ์เหล่านั้นเหมาะสมกับดินและสภาพอากาศในท้องถิ่นหรือไม่ ให้คัดเลือกมาหนึ่งหรือสองสายพันธุ์ อย่างมากที่สุดก็สามหรือสี่สายพันธุ์  ประการแรกสายพันธุ์ที่คัดเลือกมาต้องเหมาะสมกับดินและสภาพอากาศในท้องถิ่น ประการที่สองสายพันธุ์เหล่านี้ต้องปลูกง่าย ไม่เสี่ยงต่อโรคและแมลง ประการที่สามควรให้เมล็ดพันธุ์สำหรับปีถัดไป และประการสุดท้ายควรให้ผลผลิตดี  หากมีรสชาติอร่อยแต่ให้ผลผลิตต่ำ สายพันธุ์ดังกล่าวก็ไม่เหมาะสม  เมื่อตัดสินจากเรื่องของการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ผู้ดูแลคนนี้ได้กระทำการอย่างสอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่?  เธอแสวงหาหรือไม่?  เธอนบนอบหรือไม่?  เธอได้แสดงความคำนึงถึงพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  เธอปฏิบัติตนด้วยท่าทีที่พึงมีในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่?  (ไม่)  เห็นได้ชัดเจนว่าเธอวิ่งวุ่นทำสิ่งที่ไม่ดี ฝ่าฝืนการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเปิดเผยและทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของเธอเอง!  ผู้ดูแลคนนี้ผลาญของถวายของพระเจ้าในหนทางนี้เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นส่วนตนและความอยากสนุกสนานของตน และปฏิบัติต่องานที่สำคัญเช่นนั้นเหมือนกับเกม แต่ผู้นำเทียมเท็จของเธอกลับปล่อยให้เธอทำตามพึงพอใจของตนโดยไม่ตั้งคำถามหรือแทรกแซงเลย  เมื่อผู้นำเทียมเท็จถูกถามว่า “จริงๆ แล้วผู้ดูแลที่คุณเลือกสรรมานั้นทำงานบ้างหรือไม่?  ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?  คุณช่วยผู้กำกับดูแลโดยดำเนินการตรวจสอบในเรื่องของการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์หรือไม่?”  ผู้นำเทียมเท็จไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ และกล่าวเพียงว่า “มีการนำเมล็ดพันธุ์ไปปลูกแล้ว พวกเราไปเยี่ยมชมที่นั่นระหว่างการเพาะปลูก”  ผู้นำเทียมเท็จไม่ใส่ใจกับประเด็นปัญหาอื่นใดเลย  ในที่สุดปัญหาของผู้ดูแลคนนี้ถูกค้นพบได้อย่างไร?  เธอได้ปลูกสตรอว์เบอร์รีไปจำนวนหนึ่ง และตามข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง ไม่ควรมีการคลุมต้นสตรอว์เบอร์รีหรือปล่อยให้ติดผลในปีแรก และควรเด็ดดอกทั้งหมดออก มิฉะนั้นจะไม่ติดผลในปีที่สอง และต่อให้ติดผลในปีแรก ลูกก็จะเล็กมาก  ถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญได้บอกผู้ดูแลเช่นนี้ เธอก็จะไม่รับฟัง  เธอให้เหตุผลตามข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่กล่าวว่าการคลุมต้นสตรอว์เบอร์รีด้วยแผ่นพลาสติกในปีแรกและปล่อยให้ติดผลเป็นเรื่องที่ยอมรับได้  ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้ก็คือสตรอว์เบอร์รีติดผลเล็กๆ รูปทรงผิดปกติเต็มไปด้วยเมล็ด—บางลูกเปรี้ยว บางลูกหวาน และบางลูกไร้รสชาติ—มีสารพัดชนิด  ปัญหาได้กลายเป็นเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนั้น แต่ผู้นำเทียมเท็จที่อยู่ที่นั่นกลับเพิกเฉยต่อปัญหาโดยสิ้นเชิง  เป็นเพราะเหตุใด?  เพราะผู้นำเทียมเท็จคิดว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็คงจะไม่ได้กินสตรอว์เบอร์รีเหล่านั้นอยู่ดี พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่นำพากับประเด็นปัญหานี้  การไม่ได้กินบางสิ่งบางอย่างหมายความว่าพวกเขาไม่ควรใส่ใจกับเรื่องนั้นหรือ?  แล้วมันฝรั่งและหัวหอมที่พวกเขาจะได้กินเล่า—พวกเขาใส่ใจกับพืชผักดังกล่าวหรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่มีใครใส่ใจเลย พวกเขาเพียงแต่เฝ้าดูในขณะที่ผู้ดูแลทำตามที่เธอพึงพอใจ  วันหนึ่งเราไปเยี่ยมพวกเขา และใครบางคนรายงานว่าหอมเริ่มแก่แล้ว หากไม่รีบเก็บเกี่ยวผลผลิต จะไม่มีใครได้กินและผักจะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์  อย่างไรก็ตามผู้ดูแลยืนกรานที่จะปล่อยผักกาดหอมไว้ และกล่าวว่าหากพวกเขาเก็บเกี่ยวผักกาดหอม พวกเขาจะต้องปลูกผักชนิดอื่น ซึ่งผู้ดูแลเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก  แม้จะรู้เรื่องนี้ แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่ทำอะไรเลย  ในที่สุดเบื้องบนก็ต้องสั่งให้พวกเขาเก็บเกี่ยวผักกาดหอมและจัดการกับสถานการณ์นั้นโดยเร็ว มิฉะนั้นผักกาดหอมจะกินพื้นที่เพาะปลูกและกีดขวางการปลูกผักฤดูร้อน  แม้จะเกิดปัญหาที่มีนัยสำคัญดังกล่าวขึ้นในงาน แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่ทำสิ่งใดในเรื่องนี้เลยสักคน พวกเขากลัวการล่วงเกินผู้คนมากเกินไป  เนื่องจากผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งเลื่อนตำแหน่งให้กับผู้ดูแลคนนั้น และเขาก็ไม่เคยตรวจสอบงานของผู้ดูแลเลยหลังจากเลื่อนตำแหน่งให้เธอแล้ว ปล่อยให้เธอกระทำการโดยเสรี และให้การเกื้อหนุนและหนุนหลังเธอ อีกทั้งผู้นำคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าแทรกแซง แต่กลับทำงานร่วมกับพวกเขาอย่างใกล้ชิด จึงมีปัญหาเกิดขึ้นมากมายในที่สุด  นี่คืองานที่ผู้นำเหล่านี้ทำ  พวกเขายังถูกเรียกขานว่าผู้นำได้อีกหรือ?  แม้จะมีประเด็นปัญหาร้ายแรงเช่นนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา พวกเขากลับไม่สามารถตระหนักได้ว่านั่นเป็นปัญหา นับประสาอะไรกับการแก้ไขปัญหา  คนเหล่านี้คือผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  (ใช่ พวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จ)  ในแง่หนึ่ง ผู้นำเทียมเท็จเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและกลัวที่จะล่วงเกินคนอื่น  ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาไม่รู้ว่าปัญหานั้นร้ายแรงเพียงใด  พวกเขาไม่มีการตัดสินที่ถูกต้องแม่นยำ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา และไม่ตระหนักว่างานนี้จัดอยู่ในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของตน  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไร้ประโยชน์และเป็นเศษขยะมิใช่หรือ?  นี่เป็นการละเลยความรับผิดชอบมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือสถานการณ์ที่สี่ที่ว่า ผู้ดูแลไม่ทำตามการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าและทำสิ่งต่างๆ ในหนทางของตนเอง  พวกเราได้นำเสนอตัวอย่างไปแล้ว ซึ่งเปิดโปงการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จที่ละเลยหน้าที่รับผิดชอบของตนในเรื่องนี้และเปิดเผยแก่นแท้ธรรมชาติของผู้นำเทียมเท็จ

V. วิธีที่ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อผู้ดูแลที่เป็นศัตรูของพระคริสต์และสถาปนาอาณาจักรอิสระ

อีกสถานการณ์หนึ่งก็คือเมื่อผู้ดูแลขัดขืนผู้มีตำแหน่งสูงกว่าและสถาปนาอาณาจักรอิสระ—ผู้ดูแลเหล่านี้คือศัตรูของพระคริสต์  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำหน้าที่ผู้ควบคุมดูแลได้เมื่อเป็นเรื่องของประเด็นปัญหาต่างๆ อย่างเช่น ผู้ดูแลมีขีดความสามารถอันอ่อนด้อย มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี หรือวิ่งวุ่นทำสิ่งเลวร้าย  นอกจากนั้นผู้นำเทียมเท็จยังไม่สามารถตรวจสอบและสอบถามถึงงานที่ผู้ดูแลประเภทนี้กำลังทำอยู่และปัญหาที่ผู้ดูแลมีได้อย่างทันท่วงทีเพื่อที่จะกำหนดความเหมาะสมของผู้ดูแล  ในทำนองเดียวกัน ผู้นำเทียมเท็จยิ่งไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งเป็นผู้คนที่ร้ายกาจและชั่วช้าได้  พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นแท้นี้เท่านั้น ในเวลาเดียวกันผู้นำเทียมเท็จยังค่อนข้างหวาดกลัวผู้คนเหล่านี้ ทั้งอับจนหนทางและไร้อำนาจ จนถึงขั้นที่ผู้นำเทียมเท็จถูกศัตรูของพระคริสต์จูงจมูกอยู่เป็นประจำ  เรื่องนี้สามารถร้ายแรงถึงเพียงใด?  ศัตรูของพระคริสต์อาจรวบรวมพรรคพวกขึ้นมาในพื้นที่งานของผู้นำเทียมเท็จ ดึงพวกพ้องของตนเข้ามา สถาปนาอาณาจักรอิสระ และในท้ายที่สุดพวกเขาอาจจะยึดอำนาจ เริ่มสั่งการ และเปลี่ยนผู้นำเทียมเท็จให้กลายเป็นหุ่นเชิด  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ยังคงไม่ตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ที่ศัตรูของพระคริสต์รู้และตัดสินใจ พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย  พวกเขามาตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ก็หลังจากมีบางสิ่งเกิดขึ้นและมีใครบางคนรายงานเรื่องนี้ต่อพวกเขาเท่านั้น แต่เมื่อถึงตอนนั้นก็สายเกินไปเสียแล้ว  ผู้นำเทียมเท็จถึงกับถามศัตรูของพระคริสต์ว่าเหตุใดจึงไม่มีการแจ้งผู้นำเทียมเท็จ และคำตอบของศัตรูของพระคริสต์ก็คือ “บอกคุณไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?  คุณไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลย จึงไม่มีความจำเป็นต้องหารือเรื่องนี้กับคุณ พวกเราตัดสินใจกันเองแล้ว  ต่อให้พวกเราแจ้งคุณ คุณก็คงจะเห็นด้วยอย่างแน่นอน  คุณจะมีความคิดเห็นอะไรได้?”  ผู้นำเทียมเท็จอับจนหนทางในเรื่องดังกล่าว  หากเจ้าไม่สามารถแยกแยะ แก้ไข หรือจัดการกับศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ได้ เจ้าก็ควรรายงานพวกเขาต่อเบื้องบน แต่เจ้าก็ไม่กล้าแม้แต่จะทำเช่นนั้น—เจ้าย่อมเป็นคนไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเผชิญกับเรื่องดังกล่าว คนที่ไร้ประโยชน์อย่างยิ่งเหล่านี้ก็แค่มาหาเราเพื่อพร่ำบ่นทั้งน้ำตา และบ่นพึมพำว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ได้ตัดสินใจเช่นนั้น  ไม่ว่าการตัดสินใจของพวกเขาจะถูกหรือไม่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าพระองค์ เพราะตอนที่พวกเขาทำ พวกเขาก็ไม่ได้แจ้งข้าพระองค์หรือบอกข้าพระองค์เลย”  ในการกล่าวเช่นนี้ ผู้นำเทียมเท็จหมายความว่าอย่างไร?  (พวกเขากำลังหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ)  ในฐานะผู้นำ เจ้าควรรู้และเข้าใจเรื่องเหล่านี้ หากศัตรูของพระคริสต์ไม่แจ้งสิ่งต่างๆ ต่อเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปสอบถามในเชิงรุกด้วยตัวเอง?  ในฐานะผู้นำ เจ้าควรจัดระเบียบ ดูแลรับผิดชอบ และตัดสินใจทุกเรื่อง หากพวกเขาไม่แจ้งอะไรเจ้าเลยและตัดสินใจกันเอง โดยส่งใบแจ้งหนี้มาให้เจ้าลงนามในภายหลัง พวกเขากำลังแย่งชิงอำนาจของเจ้าอยู่มิใช่หรือ?  เมื่อผู้นำเทียมเท็จพบเจอศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อกวนงานของคริสตจักร ผู้นำเทียมเท็จกลายเป็นงงงัน พวกเขาอับจนหนทางราวกับคนโง่เขลาที่เผชิญหน้ากับหมาป่า และยืนเฉยอย่างไร้อำนาจในระหว่างที่กลายเป็นหุ่นเชิดและถูกแย่งชิงอำนาจไป  พวกเขาไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลยสักอย่างเดียว—ช่างเป็นคนต่ำช้าที่ไร้ประโยชน์จริงๆ!  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหา ไม่สามารถแยกแยะหรือเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ และแน่นอนว่าไม่สามารถจำกัดศัตรูของพระคริสต์จากการกระทำชั่วใดๆ ได้  ในเวลาเดียวกัน ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่รายงานประเด็นปัญหาเหล่านี้ต่อเบื้องบน  คนเหล่านี้เป็นคนไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  เลือกเจ้ามาเป็นผู้นำแล้วเกิดประโยชน์อะไร?  ศัตรูของพระคริสต์วิ่งวุ่นทำสิ่งเลวร้าย ผลาญของถวายโดยเปิดเผย และสร้างกองกำลังที่ตนเป็นผู้นำและสถาปนาอาณาจักรอิสระภายในคริสตจักร ในขณะเดียวกันเจ้าก็ไม่สามารถกำกับดูแล เปิดโปง ยับยั้ง หรือจัดการกับพวกเขาได้ ทว่าเจ้ากลับมาหาเราเพื่อพร่ำบ่น  เจ้าเป็นผู้นำประเภทไหนกัน?  เจ้าคือคนไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง!  ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์กำลังทำสิ่งใด กลุ่มเหล่านี้ซึ่งนำโดยศัตรูของพระคริสต์ย่อมมีการหารือกันในหมู่พวกเขาอย่างลับๆ และจากนั้นก็ตัดสินใจโดยไม่ได้รับอนุญาต  พวกเขาไม่ให้สิทธิ์แก่ผู้นำที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเสียด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสิทธิ์ในการตัดสินใจ  ศัตรูของพระคริสต์ปฏิเสธผู้นำโดยตรง โดยกุมอำนาจทั้งหมดไว้เอง และสั่งการทุกเรื่อง  ผู้นำที่ได้รับมอบหมายงานให้จัดการกับศัตรูของพระคริสต์ทำสิ่งใดท่ามกลางสถานการณ์ทั้งหมดนี้?  ผู้นำดังกล่าวไม่สามารถตรวจสอบ กำกับดูแล จัดการ หรือตัดสินใจเกี่ยวกับงานนี้ได้เลย  สุดท้ายผู้นำเหล่านี้ก็ปล่อยให้ศัตรูของพระคริสต์ยึดอำนาจและจัดการพวกเขาจากเบื้องบน  ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการทำงานของผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  แก่นแท้ของปัญหานี้คืออะไร?  ปัญหานี้เกิดจากที่ใด?  ปัญหานี้เกิดจากการที่ผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถอันอ่อนด้อย ไร้ซึ่งความสามารถในการทำงาน และศัตรูของพระคริสต์ไม่ให้ความเคารพต่อผู้นำเทียมเท็จเลย  ศัตรูของพระคริสต์คิดว่า “คุณทำอะไรในฐานะผู้นำได้บ้าง?  ฉันจะไม่รับฟังคุณอยู่ดี และฉันจะก้าวข้ามคุณเพื่อทำสิ่งต่างๆ ต่อไป  หากคุณรายงานเรื่องนี้ต่อเบื้องบน พวกเราจะทรมานคุณ!”  ผู้นำเทียมเท็จไม่กล้ารายงานเรื่องดังกล่าว  ผู้นำเทียมเท็จไม่เพียงไร้ความสามารถในการทำงาน แต่พวกเขายังไม่มีความกล้าหาญที่จะค้ำจุนหลักธรรมด้วย พวกเขากลัวจะล่วงเกินผู้คน และไร้ความจงรักภักดีอย่างสิ้นเชิง—นี่คือปัญหาที่ร้ายแรงมิใช่หรือ?  หากผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถอยู่บ้างและเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เช่นนั้นเมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้เป็นคนไม่ดี ผู้นำเทียมเท็จก็จะกล่าวว่า “ฉันไม่กล้าเปิดโปงพวกเขาเพียงลำพัง ดังนั้นฉันจะสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงหลายๆ คนที่ไล่ตามเสาะหาและเข้าใจความจริงให้มากขึ้นเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้  หลังจากสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงแล้ว หากพวกเรายังไม่สามารถจัดการกับศัตรูของพระคริสต์ได้ ฉันจะรายงานปัญหานี้ต่อเบื้องบนและปล่อยให้เบื้องบนแก้ไข  ฉันไม่สามารถทำสิ่งอื่นใดได้ แต่ฉันต้องปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นอันดับแรก ต้องไม่ปล่อยให้ประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ฉันมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งและปัญหาต่างๆ ที่ฉันได้ค้นพบแล้วขยายตัวต่อไปโดยเด็ดขาด”  นี่เป็นหนทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหามิใช่หรือ?  นี่ถือว่าเป็นการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนได้เช่นกันมิใช่หรือ?  หากเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ เช่นนั้นเบื้องบนก็จะไม่กล่าวว่าเจ้ามีขีดความสามารถอันอ่อนด้อยและไร้ความสามารถในการทำงาน  อย่างไรก็ตาม เจ้ากลับไม่สามารถแม้กระทั่งจะรายงานปัญหาทั้งหลายต่อเบื้องบน ดังนั้นเจ้าจึงถูกระบุว่าเป็นผู้นำที่ไร้ประโยชน์และเป็นผู้นำเทียมเท็จ  เจ้าไม่เพียงมีขีดความสามารถอันอ่อนด้อยและไร้ซึ่งความสามารถในการทำงานเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่มีแม้กระทั่งความเชื่อและความกล้าหาญที่จะพึ่งพาพระเจ้าในการเปิดโปงและต่อสู้กับศัตรูของพระคริสต์  เจ้าเป็นคนไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  บรรดาผู้ที่ถูกศัตรูของพระคริสต์ยึดอำนาจไปนั้นน่าเวทนาหรือไม่?  อาจฟังดูเหมือนผู้นำเทียมเท็จน่าเวทนา พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่ดี และมีความระมัดระวังมากในการทำงานของตน กลัวมากว่าจะทำผิดพลาด ถูกตัดแต่ง และถูกพี่น้องชายหญิงดูหมิ่น  แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับลงเอยด้วยการถูกศัตรูของพระคริสต์ยึดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จไปต่อหน้าต่อตา คำพูดของพวกเขาไม่มีผลใดๆ และไม่สำคัญเลยว่าพวกเขาจะอยู่ที่นั่นหรือไม่  ผู้นำเทียมเท็จอาจดูน่าเวทนาจากภายนอก แต่ที่จริงแล้วพวกเขาน่ารังเกียจทีเดียว  จงบอกเราเถิดว่า พระนิเวศของพระเจ้าสามารถแก้ปัญหาที่ผู้คนไม่อาจแก้ไขได้หรือไม่?  ผู้คนควรรายงานปัญหาต่อเบื้องบนหรือไม่?  (ใช่ พวกเขาควรทำเช่นนั้น)  ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่มีปัญหาใดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และพระวจนะของพระเจ้าสามารถแก้ไขประเด็นปัญหาใดก็ได้  เจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าไม่มีแม้กระทั่งความเชื่ออันน้อยนิดนี้ เจ้าจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้นำได้อย่างไร?  เจ้าเป็นคนต่ำช้าที่ไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของการเป็นผู้นำเทียมเท็จเท่านั้น เจ้าไม่มีแม้กระทั่งความเชื่อในพระเจ้าในระดับพื้นฐานที่สุด  เจ้าเป็นผู้ไม่เชื่อและเจ้าไม่สมควรที่จะเป็นผู้นำ!

ในเรื่องของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สี่ของผู้นำและคนทำงาน พวกเราได้แจกแจงสถานการณ์ห้าประการเพื่อเปิดโปงว่าผู้นำเทียมเท็จจัดการกับงานและผู้ดูแลต่างๆ อย่างไร  จากสถานการณ์ทั้งห้านี้ พวกเราได้ชำแหละการสำแดงนานัปการของผู้นำเทียมเท็จที่มีขีดความสามารถอันอ่อนด้อยอย่างยิ่ง ไร้ความสามารถ และไม่สามารถทำงานจริงได้  ด้วยการสามัคคีธรรมในหนทางนี้ เจ้าเข้าใจวิธีแยกแยะผู้นำเทียมเท็จชัดเจนขึ้นบ้างแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เอาละ ขอจบสามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้กันไว้ตรงนี้  ลาก่อน!

23 มกราคม ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า:  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (2)

ถัดไป:  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (4)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger