บทที่ 11

ทุกบุคคลในหมู่มวลมนุษย์ควรยอมรับการพินิจพิเคราะห์แห่งวิญญาณของเรา ควรตรวจดูทุกคำพูดและทุกการกระทำของพวกเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน และยิ่งไปกว่านั้น ควรมองดูกิจการอันน่าอัศจรรย์ของเรา  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร ณ เวลาที่ราชอาณาจักรมาถึงบนแผ่นดินโลก?  เมื่อบุตรและประชากรของเราหลั่งไหลมายังบัลลังก์ของเรา เราย่อมเริ่มการพิพากษาหน้ามหาบัลลังก์สีขาวอย่างเป็นทางการ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อเราเริ่มงานของเราในสภาวะบุคคลบนแผ่นดินโลก และเมื่อยุคสมัยแห่งการพิพากษาใกล้ถึงบทอวสาน เราย่อมเริ่มเผยวจนะของเราไปทั่วทั้งจักรวาล และเปล่งเสียงแห่งวิญญาณของเราไปทั่วทั้งจักรวาล  เราจะชำระล้างผู้คนและสิ่งทั้งมวลท่ามกลางทั้งหมดที่มีอยู่ในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกให้สะอาดโดยผ่านทางวจนะของเรา เพื่อให้แผ่นดินไม่โสมมและวิปริตผิดศีลธรรมอีกต่อไป แต่เป็นราชอาณาจักรอันบริสุทธิ์  เราจะฟื้นทุกสรรพสิ่งขึ้นมาใหม่ เพื่อที่ทุกสิ่งจะได้รับการจัดเตรียมเพื่อการใช้งานของเรา เพื่อที่ทุกสิ่งจะไม่มีลมปราณของดินอีกต่อไป และจะไม่แปดเปื้อนไปด้วยรสดินอีกต่อไป  บนแผ่นดินโลก มนุษย์ควานหาเป้าหมายและต้นกำเนิดแห่งวจนะของเรา และเฝ้าสังเกตกิจการของเรา กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดเคยรู้ต้นกำเนิดแห่งวจนะของเราอย่างแท้จริง และไม่มีผู้ใดเคยมองเห็นความน่าอัศจรรย์ในกิจการของเราอย่างแท้จริง  มีเพียงวันนี้เท่านั้น วันที่เรามาอยู่ท่ามกลางมนุษย์และกล่าววจนะของเราด้วยตัวเอง ที่มนุษย์มีความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับเรา อันเป็นการขจัดพื้นที่ที่ “เรา” ในความคิดของพวกเขาจับจองไว้ออกไป และสร้างพื้นที่สำหรับพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงในจิตสำนึกของพวกเขาขึ้นมาแทน มนุษย์มีมโนคติอันหลงผิดและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น  ผู้ใดจะไม่อยากเห็นพระเจ้าเล่า?  ผู้ใดจะไม่ปรารถนาที่จะได้พบเจอพระเจ้า?  กระนั้น สิ่งเดียวที่จับจองพื้นที่ที่แน่ชัดในหัวใจของมนุษย์คือพระเจ้าที่มนุษย์รู้สึกว่าคลุมเครือและเป็นนามธรรม  ผู้ใดเล่าจะตระหนักในเรื่องนี้หากเราไม่บอกพวกเขาตรงๆ?  ผู้ใดจะเชื่ออย่างแท้จริงด้วยความมั่นใจและไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อยว่าเราดำรงอยู่อย่างแท้จริง?  มีความแตกต่างอันไพศาลระหว่าง “เรา” ในหัวใจของมนุษย์กับ “เรา” ในความเป็นจริง และไม่มีผู้ใดสามารถระบุความคล้ายคลึงระหว่าง “เรา” ทั้งสองได้  หากเราไม่ได้บังเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์คงจะไม่มีวันรู้จักเรา และต่อให้เขามารู้จักเราแล้ว ความรู้เช่นนั้นจะไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดอยู่ดีหรอกหรือ?  ในแต่ละวันเราเดินไปท่ามกลางกระแสที่ไม่หยุดนิ่งของผู้คน และในแต่ละวันเราปฏิบัติงานภายในตัวบุคคลทุกคน  เมื่อมนุษย์มองเห็นเราอย่างแท้จริง เขาจะสามารถรู้จักเราในวจนะของเรา และย่อมจะจับความเข้าใจในวิถีทางที่เราใช้พูด รวมทั้งเจตนารมณ์ของเรา

เมื่อราชอาณาจักรมาถึงแผ่นดินโลกอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง มีสิ่งใดที่ไม่เงียบเสียง?  ท่ามกลางผู้คนทั้งหมด มีผู้ใดที่ไม่กลัว?  เราเดินไปทุกหนแห่งทั่วสากลพิภพ และเราจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเราเอง  ในเวลานี้ ใครบ้างไม่รู้ว่ากิจการของเราน่าอัศจรรย์?  มือของเราค้ำจุนทุกสรรพสิ่ง กระนั้นเราก็อยู่เหนือทุกสรรพสิ่งด้วย  วันนี้ การประสูติเป็นมนุษย์ของเราและการที่เรามาอยู่ท่ามกลางมนุษย์ด้วยตัวเราเองไม่ใช่ความหมายที่แท้จริงของความถ่อมใจและความลี้ลับของเราหรอกหรือ?  ภายนอกนั้น ผู้คนมากมายชมชอบเราว่าดี และสรรเสริญเราว่างดงาม แต่ผู้ใดบ้างที่รู้จักเราอย่างแท้จริง?  วันนี้ เหตุใดเราจึงขอให้พวกเจ้ารู้จักเรา?  จุดมุ่งหมายของเราไม่ใช่การทำให้พญานาคใหญ่สีแดงอับอายหรอกหรือ?  เราไม่ปรารถนาที่จะบังคับให้มนุษย์สรรเสริญเรา แต่ปรารถนาที่จะทำให้เขารู้จักเรา และโดยผ่านทางการนั้นเขาจะได้มารักเรา และดังนั้นจึงสรรเสริญเรา  การสรรเสริญเช่นนั้นย่อมควรค่าแก่ชื่อเรียกของมัน และไม่ใช่การพูดเลื่อนลอย  มีเพียงการสรรเสริญเช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถมาถึงบัลลังก์ของเราและทะยานขึ้นไปในชั้นฟ้าทั้งหลายได้  เนื่องจากมนุษย์ถูกซาตานทดลองและทำให้เสื่อมทราม เนื่องจากเขาถูกมโนคติอันหลงผิดและการนึกคิดเข้าถือครอง เราจึงได้บังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวงด้วยตัวเอง เพื่อเปิดโปงมโนคติอันหลงผิดทั้งมวลของมนุษย์ และเพื่อรื้อทำลายการนึกคิดของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง  ผลก็คือ มนุษย์ไม่เดินอวดตัวไปมาต่อหน้าเราอีกต่อไป และไม่ใช้มโนคติอันหลงผิดของเขาเองมารับใช้เราอีกต่อไป และดังนั้น “เรา” ในมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์จึงถูกขจัดไปสิ้น  เมื่อราชอาณาจักรมาถึง สิ่งแรกที่เราทำคือการเริ่มงานของช่วงระยะนี้ และเราทำเช่นนั้นท่ามกลางประชากรของเรา  ในฐานะประชากรของเราที่เกิดในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง แน่นอนว่าพิษของพญานาคใหญ่สีแดงที่อยู่ภายในตัวเจ้าไม่ได้มีเพียงเล็กน้อยหรือส่วนหนึ่งเท่านั้น  ดังนั้น งานของเราในช่วงระยะนี้จึงมุ่งเน้นที่พวกเจ้าเป็นหลัก และนี่คือแง่มุมหนึ่งของนัยสำคัญแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ของเราในประเทศจีน  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถจับความเข้าใจได้แม้กระทั่งเศษเสี้ยวของวจนะที่เราพูด และเมื่อพวกเขาจับความเข้าใจได้ ความเข้าใจของพวกเขาก็พร่ามัวและสับสนปนเป  นี่คือจุดพลิกผันของวิธีการที่เราใช้พูด  หากผู้คนทั้งปวงสามารถอ่านวจนะของเราและเข้าใจความหมายของวจนะของเรา เช่นนั้นแล้วผู้ใดท่ามกลางมนุษย์จะสามารถได้รับการช่วยให้รอดและไม่ถูกโยนลงไปในแดนคนตายเล่า?  เมื่อมนุษย์รู้จักเราและนบนอบเรา นั่นจะเป็นเวลาที่เราหยุดพัก และนั่นจะเป็นเวลาที่มนุษย์สามารถจับความเข้าใจในความหมายของคำพูดของเราได้  วันนี้ วุฒิภาวะของพวกเจ้ามีน้อยเกินไป—มันเล็กน้อยจนเกือบจะน่าเวทนา ไม่ควรค่าแม้แต่จะได้รับการยกชูขึ้น—ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงความรู้ที่พวกเจ้ามีเกี่ยวกับเรา

ถึงแม้เราพูดว่าเริ่มมีการส่งทูตสวรรค์ออกไปเพื่อเป็นผู้เลี้ยงแก่บรรดาบุตรและประชากรของเราแล้ว แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจความหมายแห่งวจนะของเราได้  เมื่อเรามาอยู่ท่ามกลางมนุษย์ด้วยตัวเอง ทูตสวรรค์ก็เริ่มต้นงานแห่งการเป็นผู้เลี้ยงไปพร้อมกัน และในระหว่างที่ทูตสวรรค์เป็นผู้เลี้ยงนั้น บรรดาบุตรและประชากรทั้งปวงไม่เพียงได้รับบททดสอบและการเลี้ยงเท่านั้น แต่ยังสามารถมองเห็นอุบัติการณ์ของนิมิตทุกประเภทด้วยตาของพวกเขาเองด้วย  เนื่องจากเราทำงานในเทวสภาพโดยตรง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเข้าสู่จุดเริ่มต้นใหม่ และเนื่องจากเทวสภาพนี้ทำงานโดยตรง เทวสภาพจึงไม่ถูกสภาวะความเป็นมนุษย์จำกัดควบคุมแม้แต่น้อย และสำหรับมนุษย์แล้ว ดูเหมือนว่าเทวสภาพนี้ทำงานโดยอิสระภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่เหนือธรรมชาติ  กระนั้นแล้ว สำหรับเรา ทั้งหมดนี้ล้วนปกติ (มนุษย์เชื่อว่าเทวสภาพเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติเพราะเขาไม่เคยเผชิญกับเทวสภาพโดยตรง) เทวสภาพไม่ถูกมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ครอบงำ และไม่ด่างพร้อยด้วยแนวคิดแบบมนุษย์  ผู้คนจะมองเห็นการนี้เฉพาะเมื่อพวกเขาทั้งหมดเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแล้วเท่านั้น เนื่องจากตอนนี้คือจุดเริ่มต้น เมื่อมาถึงการเข้าสู่ของเขา มนุษย์จึงมีข้อบกพร่องและข้อด้อยมากมาย และแทบจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความไม่ชัดเจนได้  วันนี้ ในเมื่อเรานำทางพวกเจ้ามาถึงจุดนี้ เราย่อมมีการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมและมีจุดมุ่งหมายของเราเอง  หากเราบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับการจัดการเตรียมการและจุดมุ่งหมายของเราในวันนี้ พวกเจ้าจะสามารถรู้จักสิ่งเหล่านั้นได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  เราคุ้นเคยกับความคิดในจิตใจของมนุษย์และความปรารถนาของหัวใจมนุษย์เป็นอย่างดี กล่าวคือ ใครบ้างไม่เคยมองหาทางออกเพื่อตัวพวกเขาเอง?  ใครบ้างไม่เคยคิดถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพวกเขาเอง?  กระนั้น ถึงแม้ว่ามนุษย์จะมีสติปัญญาที่รุ่มรวยและน่าทึ่ง แต่ใครบ้างสามารถทำนายได้ว่าปัจจุบันจะกลายมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่หลังจากที่ผ่านยุคต่างๆ มาแล้ว?  นี่คือผลของความพยายามส่วนตัวของเจ้าเองจริงๆ หรือ?  นี่คือค่าตอบแทนสำหรับความอุตสาหะอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเจ้าหรือ?  นี่คือจินตภาพอันงดงามที่จิตใจของเจ้าคิดฝันขึ้นมาหรือ?  หากเราไม่ได้นำมวลมนุษย์ทั้งปวง ผู้ใดจะสามารถแยกตัวพวกเขาเองออกจากการจัดการเตรียมการของเราและค้นพบทางออกอื่นได้?  การจินตนาการและความปรารถนาของมนุษย์คือสิ่งที่นำเขามาจนถึงวันนี้หรือ?  ผู้คนมากมายใช้ชีวิตทั้งชีวิตโดยที่ไม่เคยลุล่วงความปรารถนาของพวกเขา  นี่เป็นเพราะข้อผิดพลาดในการนึกคิดของพวกเขาจริงๆ หรือ?  ชีวิตของผู้คนมากมายเต็มไปด้วยความสุขและความพึงพอใจที่ไม่ได้คาดคิด  นี่เป็นเพราะพวกเขาคาดหวังน้อยเกินไปจริงๆ หรือ?  จากมวลมนุษย์ทั้งหมด ผู้ใดไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?  ผู้ใดไม่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางการทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?  ชีวิตและความตายของมนุษย์เกิดขึ้นด้วยการเลือกของเขาเองกระนั้นหรือ?  มนุษย์ควบคุมชะตากรรมของเขาเองหรือ?  ผู้คนมากมายร้องหาความตาย กระนั้นความตายก็อยู่ไกลจากพวกเขา ผู้คนมากมายต้องการที่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในชีวิตและเกรงกลัวความตาย กระนั้นวันที่พวกเขาจะสิ้นชีพกลับใกล้เข้ามา และผลักพวกเขาลงสู่หุบเหวแห่งความตายโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ผู้คนมากมายมองชั้นฟ้าทั้งหลายและถอนหายใจยาวๆ ผู้คนมากมายร้องไห้สะอึกสะอื้นคร่ำครวญสุดเสียง ผู้คนมากมายล้มลงท่ามกลางบททดสอบ และผู้คนมากมายถูกจับเป็นเชลยท่ามกลางการทดลอง  ถึงแม้ว่าเราไม่ปรากฏในสภาวะบุคคลเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นเราได้อย่างชัดเจน แต่ผู้คนมากมายก็ยำเกรงการเห็นใบหน้าของเรา กลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะบดขยี้พวกเขาจนล้มคว่ำลงไป ว่าเราจะดับชีพของพวกเขา  มนุษย์รู้จักเราอย่างแท้จริง หรือว่าเขาไม่รู้จักเรา?  ไม่มีใครรู้แน่  ไม่ใช่เช่นนี้หรอกหรือ?  พวกเจ้ายำเกรงทั้งเราและการตีสอนของเรา กระนั้นพวกเจ้าก็ลุกขึ้นยืนต่อต้านเราอย่างเปิดเผยและตัดสินเรา  ไม่ใช่กรณีเช่นนี้หรอกหรือ?  การที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักเรานั้นเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นใบหน้าของเราหรือได้ยินเสียงของเรา  ดังนั้น ถึงแม้ว่าเราอยู่ภายในหัวใจของมนุษย์ แต่มีผู้ใดหรือไม่ที่มีเราซึ่งไม่พร่ามัวและเลือนรางอยู่ในหัวใจ?  มีผู้ใดหรือไม่ที่มีเราซึ่งชัดเจนโดยบริบูรณ์อยู่ในหัวใจ?  เราไม่ปรารถนาให้บรรดาผู้ที่เป็นประชากรของเราเห็นเราอย่างคลุมเครือและพร่ามัวเช่นกัน และดังนั้น เราจึงเริ่มงานอันยิ่งใหญ่นี้

เรามาอยู่ท่ามกลางมนุษย์อย่างเงียบๆ แล้วจากนั้นเราก็เคลื่อนคล้อยจากไป  มีใครสักคนเคยเห็นเราหรือไม่?  ดวงอาทิตย์สามารถมองเห็นเราได้เพราะเปลวไฟที่แผดเผาของมันหรือ?  ดวงจันทร์สามารถมองเห็นเราได้เพราะความกระจ่างอันสุกสกาวของมันหรือ?  กลุ่มดาวสามารถมองเห็นเราได้เพราะตำแหน่งแห่งที่ของพวกมันบนท้องฟ้าหรือ?  เมื่อเรามา มนุษย์ไม่รู้ และทุกสรรพสิ่งยังคงไม่รู้เท่าทัน และเมื่อเราจากไป มนุษย์ก็ยังคงไม่ตระหนักรู้  ผู้ใดจะสามารถเป็นคำพยานให้แก่เราได้?  คำสรรเสริญของผู้คนบนแผ่นดินโลกเป็นได้หรือ?  ดอกลิลลี่ที่บานอยู่ในป่าเป็นได้หรือ?  ใช่นกที่บินอยู่บนฟ้าหรือไม่?  ใช่สิงโตที่พากันคำรามอยู่ในเทือกเขาหรือไม่?  ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นประจักษ์พยานให้แก่เราได้อย่างครบถ้วน!  ไม่มีผู้ใดสามารถทำงานที่เราจะทำได้!  ต่อให้พวกเขาได้ทำงานนี้จริง นั่นจะมีผลอันใด?  ในแต่ละวันเราเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของผู้คนมากมาย และในแต่ละวันเราตรวจค้นหัวใจและจิตใจของผู้คนมากมาย  ไม่เคยมีผู้ใดหนีพ้นการพิพากษาของเรา และไม่เคยมีผู้ใดปลดเปลื้องตัวเองให้เป็นอิสระจากความเป็นจริงแห่งการพิพากษาของเรา  เรายืนเหนือชั้นฟ้าทั้งหลายและมองออกไปไกลๆ กล่าวคือ ผู้คนนับไม่ถ้วนถูกเราบดขยี้ กระนั้น ผู้คนเหลือคณานับก็ใช้ชีวิตท่ามกลางความกรุณาและความรักเมตตาของเราด้วยเช่นกัน  พวกเจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้หรอกหรือ?

5 มีนาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า:  เพลงเฉลิมราชอาณาจักร

ถัดไป:  บทที่ 12

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger