บทที่ 16

มีมากมายเหลือเกินที่เราปรารถนาจะกล่าวแก่มนุษย์ หลายสิ่งเหลือเกินที่เราต้องบอกเขา  แต่มนุษย์ขาดพร่องความสามารถในการยอมรับมากเกินไป มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจวจนะของเราได้อย่างเต็มที่โดยสอดคล้องกับสิ่งที่เรามอบให้ และเข้าใจเพียงแง่มุมหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่ยังคงไม่รู้เท่าทันแง่มุมอื่น  กระนั้นเราก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์ถึงตายเพราะความไร้พลังอำนาจของเขา อีกทั้งเราก็ไม่เป็นทุกข์เพราะความอ่อนแอของเขา  เราเพียงทำงานของเราและกล่าวอย่างที่เราทำมาตลอดแม้ว่ามนุษย์จะไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของเราก็ตาม เมื่อวันนั้นมาถึง ผู้คนจะรู้จักเราในห้วงลึกของหัวใจของพวกเขา และจะจดจำเราในความคิดของพวกเขา  แน่นอนว่าเวลาที่เราไปจากแผ่นดินโลกนี้จะเป็นเวลาที่เราขึ้นสู่บัลลังก์ในหัวใจของมนุษย์ กล่าวคือ นั่นจะเป็นเวลาที่มนุษย์ทั้งปวงรู้จักเรา  ดังนั้น นั่นย่อมจะเป็นเวลาที่บรรดาบุตรและประชากรของเราปกครองแผ่นดินโลกเช่นกัน  บรรดาผู้ที่รู้จักเราจะกลายเป็นเสาหลักแห่งราชอาณาจักรของเราอย่างแน่นอน และไม่มีผู้ใดนอกจากพวกเขาที่จะมีคุณสมบัติปกครองและใช้พลังอำนาจในราชอาณาจักรของเรา  ผู้ที่รู้จักเราทั้งปวงย่อมมีความเป็นเรา และสามารถดำเนินชีวิตตามเราท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง  เราไม่ใส่ใจว่ามนุษย์รู้จักเราถึงระดับใด กล่าวคือ ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางงานของเราไม่ว่าในหนทางใดก็ตาม และมนุษย์ไม่สามารถเสนอความช่วยเหลือแก่เราและไม่สามารถทำสิ่งใดให้เราได้  มนุษย์สามารถเพียงติดตามการนำของเราในความสว่างของเรา และแสวงหาเจตจำนงของเราในความสว่างนี้  วันนี้ ผู้คนมีคุณสมบัติ และเชื่อว่าพวกเขาสามารถเดินกร่างต่อหน้าเรา และหัวเราะและล้อเล่นกับเราโดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจแม้แต่น้อย และพูดกับเราเหมือนเป็นผู้ที่เท่าเทียมกัน  กระนั้นมนุษย์ยังคงไม่รู้จักเรา เขายังคงเชื่อว่าพวกเรามีธรรมชาติคล้ายคลึงกัน ว่าพวกเราทั้งสองฝ่ายคือเนื้อหนังและเลือด และอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ทั้งคู่  หัวใจแห่งความยำเกรงที่เขามีให้เรานั้นเล็กเกินไป เขายำเกรงเราเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าเรา แต่ไม่สามารถรับใช้เราเฉพาะพระพักตร์พระวิญญาณได้  สำหรับมนุษย์แล้ว นี่เป็นราวกับว่าพระวิญญาณไม่ได้ทรงดำรงอยู่แต่อย่างใด  ผลก็คือ ไม่เคยมีมนุษย์คนใดรู้จักพระวิญญาณ ในการเกิดเป็นมนุษย์ของเรา ผู้คนมองเห็นเพียงร่างกายที่มีเนื้อหนังและเลือด และไม่ล่วงรู้ถึงพระวิญญาณของพระเจ้า  เจตนารมณ์ของเราจะลุล่วงในหนทางดังกล่าวได้จริงหรือ?  ผู้คนล้วนเชี่ยวชาญในการหลอกเรา พวกเขาดูเหมือนได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษจากซาตานเพื่อมาหลอกลวงเรา  กระนั้นเราก็ไม่หวั่นไหวกับซาตาน  เราจะยังคงใช้ปัญญาของเราพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวงและปราบผู้ที่ทำให้มวลมนุษย์ทั้งหมดเสื่อมทราม เพื่อที่ว่าราชอาณาจักรของเราจะได้รับการสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินโลก

ท่ามกลางมนุษย์ มีบรรดาผู้ที่พยายามที่จะสืบเสาะให้แน่ใจถึงขนาดของดาราทั้งหลาย หรือขนาดอันมหึมาของอวกาศ  กระนั้นการศึกษาวิจัยของพวกเขาก็ไม่เคยได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นผล และทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือคอตกด้วยความท้อใจและยอมจำนนต่อความล้มเหลว  เมื่อมองหาท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงและเฝ้าสังเกตพลวัตของมนุษย์ในความล้มเหลวของเขา เราไม่เห็นผู้ใดที่เชื่อมั่นในเราอย่างเต็มที่ ไม่เห็นผู้ใดที่เชื่อฟังเราและนบนอบต่อเรา  ความมักใหญ่ใฝ่สูงของมนุษย์ช่างเตลิดไปได้ถึงเพียงนี้!  เมื่อพื้นน้ำทั้งมวลมืดมัว เราได้เริ่มลิ้มรสความขมขื่นของโลกท่ามกลางมนุษย์  วิญญาณของเราเดินทางไปทั่วโลกและเฝ้ามองหัวใจของผู้คนทั้งปวง กระนั้นในเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ของเรา เราก็พิชิตมวลมนุษย์ไปด้วย  มนุษย์มองไม่เห็นเราเพราะเขานั้นตาบอด มนุษย์ไม่รู้จักเราเพราะเขากลายเป็นด้านชาไปแล้ว มนุษย์ต่อต้านเราเพราะเขาเป็นกบฏ มนุษย์มากราบไหว้ตรงหน้าเราเพราะเขาถูกเราพิชิตแล้ว มนุษย์มารักเราเพราะโดยธรรมชาติแล้วเราคู่ควรกับความรักของมนุษย์  มนุษย์ดำรงชีวิตตามเราและสำแดงเรา เพราะฤทธานุภาพของเราและปัญญาของเราทำให้เขาเป็นไปตามเจตนารมณ์ของเรา  เรามีที่ในหัวใจของมนุษย์ แต่เราไม่เคยได้รับความรักที่อาศัยอยู่ในวิญญาณของมนุษย์จากเขา  โดยแท้แล้วมีสิ่งต่างๆ ในวิญญาณของมนุษย์ที่เขารักเหนือสิ่งอื่นใด แต่เราไม่ใช่หนึ่งในสิ่งเหล่านั้น และดังนั้นความรักของมนุษย์จึงเป็นดังฟองสบู่ กล่าวคือ พอลมพัด ฟองสบู่ก็แตกหายไป ไม่มีวันจะได้เห็นอีก  เราเสมอต้นเสมอปลายและไม่เปลี่ยนแปลงเรื่อยมาในท่าทีที่เรามีต่อมนุษย์  ผู้ใดท่ามกลางมวลมนุษย์สามารถทำเช่นเดียวกันบ้าง?  ในสายตาของมนุษย์ เรานั้นมิอาจสัมผัสได้และมิอาจมองเห็นได้ดุจดังอากาศ และด้วยเหตุนี้ผู้คนส่วนใหญ่จึงแสวงหาเพียงในท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต หรือในทะเลที่ม้วนเป็นเกลียว หรือในทะเลสาบอันสงบนิ่ง หรือท่ามกลางความหมายตามคำพูดและคำสอนอันว่างเปล่า  ไม่มีสักคนเดียวที่รู้จักแก่นแท้ของมวลมนุษย์ นับประสาอะไรที่จะมีสักคนหนึ่งที่สามารถกล่าวถึงความล้ำลึกบางอย่างภายในตัวเรา และดังนั้นเราจึงไม่ขอให้มนุษย์สัมฤทธิ์มาตรฐานสูงสุดที่เขาจินตนาการว่าเราพึงประสงค์จากเขา

ท่ามกลางวจนะของเรา ภูเขาถล่มทลาย ห้วงน้ำพากันไหลย้อนกลับ มนุษย์กลายเป็นนบนอบ และทะเลสาบเริ่มไหลไปไม่หยุด  แม้ว่าทะเลอันปั่นป่วนทั้งหลายจะพวยพุ่งขึ้นไปหาท้องฟ้าอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ท่ามกลางวจนะของเรา ทะเลดังกล่าวกลับนิ่งสงบไร้คลื่นลมดุจดั่งผิวทะเลสาบ  ด้วยการขยับมือของเราเพียงนิดเดียว พายุที่ดุดันก็สลายไปจากเราทันที และโลกมนุษย์ก็หวนคืนสู่ความสงบโดยพลัน  แต่เมื่อเราปลดปล่อยความโกรธของเรา ภูเขาก็พลันขาดสะบั้น ผืนดินเริ่มสะเทือนไหวในทันใด น้ำพลันแห้งเหือด และมนุษย์ก็พลันถูกความวิบัติรุมเร้า  เพราะความโกรธของเรา เราจึงไม่ใส่ใจต่อเสียงกรีดร้องของมนุษย์ ไม่จัดเตรียมความช่วยเหลือตามเสียงร้องของเขา เพราะโทสะของเรากำลังเพิ่มขึ้น  เมื่อเราอยู่ท่ามกลางฟ้าสวรรค์  มวลดาราไม่เคยตกอยู่ในความตื่นตระหนกเพราะการสถิตของเรา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกมันกลับใส่หัวใจเข้าไปในงานของพวกมันเพื่อเรา และดังนั้นเราจึงมอบความสว่างแก่ดวงดารามากขึ้นและทำให้ดวงดาวส่องแสงเจิดจ้ามากขึ้น เพื่อที่ดวงดาวจะได้รับสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ขึ้นเพื่อเรา  ยิ่งฟ้าสวรรค์สว่างไสวมากเท่าใด โลกเบื้องล่างก็ยิ่งมืดมิดลงเท่านั้น ผู้คนมากมายเหลือเกินพร่ำบ่นว่าการจัดการเตรียมการของเรานั้นไม่เหมาะสม หลายคนเหลือเกินผละจากเราไปสร้างราชอาณาจักรของพวกเขาเอง ซึ่งพวกเขาใช้เพื่อทรยศเรา และเพื่อพลิกสภาวะของความมืด  กระนั้นผู้ใดเล่าที่สัมฤทธิ์การนี้ด้วยความแน่วแน่ของพวกเขา?  และผู้ใดเล่าที่ประสบความสำเร็จในปณิธานของพวกเขา?  ผู้ใดสามารถพลิกสิ่งที่มือของเราจัดการเตรียมการเอาไว้แล้วได้?  เมื่อฤดูใบไม้ผลิแผ่ไปทั่วแผ่นดิน เราจึงลอบส่งความสว่างไปยังโลกอย่างเงียบๆ เพื่อให้มนุษย์บนแผ่นดินโลกพลันมีสำนึกรับรู้ถึงความสดชื่นในอากาศ  กระนั้น ในชั่วขณะนั้นเอง เราก็บดบังดวงตาของมนุษย์ เพื่อให้เขามองเห็นเพียงหมอกที่ห่มคลุมผืนดิน แล้วผู้คนและสิ่งทั้งปวงก็กลายเป็นเลือนราง  ทั้งหมดที่ผู้คนสามารถทำได้คือทอดถอนใจกับตนเองและคิดว่า “เหตุใดความสว่างจึงอยู่ได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น?  เหตุใดพระเจ้าจึงประทานเพียงหมอกและความพร่ามัวแก่มนุษย์?”  ท่ามกลางความสิ้นหวังของผู้คน หมอกกลับอันตรธานไปในทันใด แต่เมื่อพวกเขามองเห็นความสว่างเพียงริบหรี่ เราก็ปล่อยให้ฝนเทกระหน่ำใส่พวกเขา และขณะที่พวกเขานอนหลับ แก้วหูของพวกเขาก็แตกเพราะพายุฟ้าคะนอง  เมื่อถูกความตื่นตระหนกเข้าเกาะกุม พวกเขาไม่มีเวลาหาที่กำบัง และถูกฝนที่เทกระหน่ำอยู่นั้นกวาดกลืน  ในชั่วอึดใจ ทุกสรรพสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์ก็ถูกชะล้างจนสะอาดในท่ามกลางความเดือดดาลอันเปี่ยมโกรธของเรา  ผู้คนไม่พร่ำบ่นถึงการรุกไล่ของฝนที่ตกหนักอีกต่อไป และหัวใจแห่งความยำเกรงก็ถือกำเนิดขึ้นในตัวพวกเขาทั้งปวง  สืบเนื่องจากฝนที่จู่โจมอย่างฉับพลันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงจมน้ำที่เทลงมาจากท้องฟ้า กลายเป็นซากศพอยู่ในน้ำ  เรามองไปทั่วทั้งแผ่นดินโลกและเห็นว่าหลายคนกำลังตื่นขึ้น หลายคนกำลังกลับใจ หลายคนกำลังค้นหาแหล่งกำเนิดของห้วงน้ำทั้งหลายอยู่ในเรือลำเล็กๆ หลายคนกำลังกราบไหว้เราเพื่อขอการให้อภัยจากเรา หลายคนมองเห็นความสว่าง หลายคนมองเห็นใบหน้าของเรา หลายคนมีความกล้าที่จะดำรงชีวิต และเรามองเห็นว่าทั่วทั้งโลกได้ถูกแปลงสภาพ  หลังฝนที่เทกระหน่ำครั้งใหญ่นี้ ทุกสรรพสิ่งได้หวนคืนสู่สภาวะที่เคยเป็นในความรู้สึกนึกคิดของเรา และไม่เป็นกบฏอีกต่อไป  ไม่ช้าไม่นาน ทั่วทั้งแผ่นดินก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ทุกหนแห่งบนแผ่นดินโลกมีบรรยากาศของการสรรเสริญ และไม่มีที่ใดที่ปราศจากสง่าราศีของเรา  ปัญญาของเรานั้นอยู่ทั่วทุกหนแห่งบนแผ่นดินโลก และตลอดทั่วทั้งจักรวาล  ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งคือดอกผลแห่งปัญญาของเรา ท่ามกลางผู้คนทั้งปวงคับคั่งไปด้วยผลงานชิ้นเอกแห่งปัญญาของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนทุกสรรพสิ่งในราชอาณาจักรของเรา และผู้คนทั้งหมดอยู่อาศัยอย่างสงบภายใต้ฟ้าสวรรค์ของเราเหมือนแกะบนทุ่งหญ้าของเรา  เราเคลื่อนไหวเหนือมนุษย์ทั้งหมดและกำลังเฝ้ามองทุกหนแห่ง  ไม่มีสิ่งใดเคยดูเก่า และไม่มีบุคคลใดเป็นดังที่เขาเคยเป็น  เราหยุดพักบนบัลลังก์ เราเอนกายอยู่เหนือทั้งจักรวาล และเราพึงพอใจอย่างเต็มเปี่ยม เพราะทุกสรรพสิ่งได้ฟื้นคืนความบริสุทธิ์ของตน และเราสามารถพักอาศัยอย่างสันติสุขภายในศิโยนได้อีกครั้ง และผู้คนบนแผ่นดินโลกสามารถใช้ชีวิตอันสงบเย็นและเป็นสุขอยู่ภายใต้การนำของเรา  กลุ่มชนทั้งหมดกำลังบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในมือของเรา กลุ่มชนทั้งปวงได้รับเชาวน์ปัญญาแต่เก่าก่อนและรูปลักษณ์ดั้งเดิมของพวกเขาคืนมา พวกเขาไม่มีฝุ่นจับอีกต่อไป แต่บริสุทธิ์ดุจดังหยกอยู่ในราชอาณาจักรของเรา โดยแต่ละคนมีใบหน้าเหมือนใบหน้าของผู้บริสุทธิ์ภายในหัวใจของมนุษย์ เพราะราชอาณาจักรของเราได้ถูกสถาปนาขึ้นท่ามกลางมนุษย์แล้ว

14 มีนาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า:  บทที่ 15

ถัดไป:  บทที่ 17

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger