พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล - บทที่ 6

จงสามารถที่จะล่วงรู้เรื่องทางฝ่ายวิญญาณ ใส่ใจวจนะของเรา  และสามารถอย่างแท้จริงที่จะคำนึงถึงวิญญาณของเรากับสิ่งที่เราเป็น และวจนะของเรากับสิ่งที่เราเป็น ในฐานะความพร้อมมูลอันมิอาจแยกจากกันได้ เพื่อที่ผู้คนทั้งปวงจะสามารถทำให้เราพึงพอใจเบื้องหน้าเรา  เราได้ก้าวเท้าไปบนสรรพสิ่งที่มี เรามองออกไปทั่วจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล และเราเดินไปท่ามกลางผู้คนทั้งปวง ลิ้มรสความหวานและความขมท่ามกลางมนุษย์—ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ไม่เคยรู้จักเราอย่างแท้จริง เขาไม่เคยใส่ใจเราเลยในระหว่างการเดินทางของเรา  เพราะเราเงียบ และไม่เคยทำกิจการที่เหนือธรรมชาติ จึงไม่มีผู้ใดเคยมองเห็นเราอย่างแท้จริง  วันนี้ไม่เหมือนในอดีต กล่าวคือ เราจะทำสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นกันนับแต่ยุคแห่งการสร้างโลก กล่าววจนะที่ไม่เคยได้ยินกันในยุคทั้งหลาย เพราะเราขอให้ผู้คนทั้งปวงมารู้จักเราในเนื้อหนัง  เหล่านี้คือขั้นตอนแห่งการบริหารจัดการของเรา แต่มนุษย์ไม่มีความเฉลียวใจแม้แต่น้อย  แม้ว่าเราพูดไปแล้วตามตรง แต่ผู้คนก็ยังคงสับสน เป็นการยากที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจ  นี่ไม่ใช่ความต่ำต้อยของมนุษย์หรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนาจะแก้ไขโดยแท้หรอกหรือ?  หลายปีแล้วที่เราไม่ได้ทำสิ่งใดในตัวมนุษย์เลย เป็นเวลาหลายปีแล้ว ทั้งที่ได้ติดต่อกับเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ของเราโดยตรง แต่กลับไม่มีผู้ใดเคยได้ยินเสียงที่เปล่งออกมาโดยตรงจากเทวสภาพของเรา  ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงขาดพร่องความรู้เกี่ยวกับเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าการนี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความรักที่พวกเขามีให้เราตลอดหลายยุคหลายสมัย  อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เราได้ทำงานอันน่าอัศจรรย์ในตัวพวกเจ้า งานที่มิอาจหยั่งถึงได้และปราศจากมาตรวัด และเราได้กล่าววจนะมากมาย  แต่ถึงกระนั้นภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ก็ยังมีหลายคนที่ต้านทานเราโดยตรงต่อหน้าเรา  บัดนี้ให้เราได้ยกตัวอย่างสักสองสามตัวอย่างแก่เจ้าเถิด

แต่ละวันเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าที่คลุมเครือ พยายามที่จะทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของเราและพยายามที่จะได้รับสำนึกแห่งชีวิต  กระนั้นเมื่อเผชิญหน้าวจนะของเรา เจ้ากลับมองวจนะต่างออกไป เจ้าคำนึงถึงวจนะและวิญญาณของเรารวมกัน แต่กลับเขี่ยสิ่งที่เราเป็นทิ้ง โดยเชื่อว่าบุคคลที่เราเป็นนั้นโดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถเปล่งวจนะเช่นนี้ได้ เชื่อว่าวจนะมีวิญญาณของเราคอยชี้นำ  แล้วความรู้ของเจ้าในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้เป็นอย่างไร?  เจ้าเชื่อในวจนะของเราถึงจุดหนึ่ง แต่ยังมีมโนคติอันหลงผิดที่ร้ายแรงต่างระดับกันไปต่อเนื้อหนังที่เราสวมให้ใส่ตัวเราเอง  เจ้าใช้เวลาทุกวันศึกษาเนื้อหนังของเรา และกล่าวว่า “เหตุใดพระองค์จึงทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนั้น?  สิ่งเหล่านั้นมาจากพระเจ้าจริงหรือ?  เป็นไปไม่ได้!  พระองค์ไม่ได้ต่างจากฉันมาก—พระองค์ก็เป็นบุคคลปกติธรรมดาเช่นกัน”  จะสามารถอธิบายรูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ได้อย่างไร?

ผู้ใดท่ามกลางพวกเจ้าที่ไม่ได้ครองสิ่งที่กล่าวถึงข้างต้น?  ผู้ใดไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งทั้งหลายเช่นนี้?  สิ่งเหล่านี้ดูราวกับสิ่งที่เจ้ายึดมั่นว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ไม่เคยเต็มใจที่จะปล่อยไป  และเจ้ายิ่งไล่ตามความพยายามส่วนตัวน้อยลงไปใหญ่ แต่เจ้ากลับรอให้เราทำเช่นนั้นด้วยตัวเราเองแทน  กล่าวตามตรงก็คือ บุคคลที่ไม่แสวงหาไม่มีสักคนที่จะมารู้จักเราโดยง่าย  วจนะที่เราสอนพวกเจ้านี้มิใช่ว่าไม่สำคัญ  เราสามารถยกตัวอย่างแก่เจ้าอีกตัวอย่างหนึ่งจากอีกมุมมองหนึ่งเพื่อให้เจ้าใช้ทำความเข้าใจ

เมื่อเอ่ยถึงเปโตร ผู้คนมีสิ่งดีๆ ให้พูดถึงเขาอย่างไม่รู้จบ  พวกเขาพลันนึกถึงห้วงเวลาสามครั้งที่เขาปฏิเสธพระเจ้า การที่เขาทดลองพระเจ้าโดยหันไปรับใช้ซาตาน และการที่เขาถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้าในท้ายที่สุด และอื่นๆ  บัดนี้เราจะมุ่งพรรณนาให้พวกเจ้าฟังว่าเปโตรรู้จักเราได้อย่างไรและปลายทางขั้นสุดท้ายของเขาเป็นเช่นไร  เปโตรมีขีดความสามารถดี แต่รูปการณ์แวดล้อมของเขาไม่เหมือนกับรูปการณ์แวดล้อมของเปาโล นั่นคือ  บิดามารดาของเขาข่มเหงเรา พวกเขาคือปีศาจที่ถูกซาตานครอบงำ และผลก็คือพวกเขาไม่ได้สอนสิ่งใดที่เกี่ยวกับพระเจ้าให้แก่เปโตรเลย  เปโตรนั้นฉลาด มีพรสวรรค์ และได้รับความรักความเอ็นดูจากบิดามารดาของเขามาแต่เยาว์วัย  กระนั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เขากลับกลายเป็นศัตรูของบิดามารดาเพราะเขาไม่เคยเลิกไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับเรา และหันหลังให้กับบิดามารดาในเวลาต่อมา  นี่เป็นเพราะเหนือสิ่งอื่นใด เขาเชื่อว่าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเชื่อว่าสิ่งที่เป็นบวกทั้งหมดล้วนมาจากพระเจ้าและส่งตรงจากพระองค์โดยไม่ได้ถูกซาตานแปรสภาพ  ความแตกต่างแบบตรงกันข้ามในตัวบิดามารดาของเปโตรทำให้เขามีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับความรักเมตตาและความกรุณาของเรา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความพึงปรารถนาของเขาที่จะแสวงหาเราเพิ่มพูนขึ้น  เขาไม่ได้แค่มุ่งเน้นไปที่การกินและดื่มวจนะของเราเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นยังมุ่งทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของเรา และตื่นตัวอยู่ในหัวใจของเขามากขึ้นทุกที  ผลก็คือเขาอ่อนไหวในวิญญาณของเขาเสมอ ดังนั้นเขาจึงเป็นไปตามเจตนารมณ์ของเราในทุกสิ่งที่เขาทำ  เขาคงความสนใจในความล้มเหลวของผู้คนในอดีตอยู่เป็นนิตย์เพื่อกระตุ้นตัวเขาเอง โดยเกรงกลัวการติดบ่วงอยู่ในความล้มเหลวอย่างลึกล้ำ  ดังนั้นเขาจึงจดจ่ออยู่กับการเปิดรับความเชื่อและความรักของบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าในยุคต่างๆ ทุกคน  ในหนทางนี้เขาจึงเติบโตเร็วขึ้น—ไม่เพียงในแง่ลบเท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่ามากก็คือในแง่บวก—จนถึงระดับที่ความรู้ของเขายิ่งใหญ่ที่สุดเมื่ออยู่เบื้องหน้าเรา  เช่นนั้นแล้วจึงไม่ยากที่จะจินตนาการถึงการที่เขาวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีไว้ในมือของเรา การที่เขาถึงกับยอมมอบการตัดสินใจเกี่ยวกับอาหาร เสื้อผ้า การนอน และสถานที่ที่เขาใช้ชีวิต และชื่นชมความมั่งคั่งของเราเพื่อทำให้เราพึงพอใจในทุกสิ่งแทน  เราทำให้เขาต้องพบกับการทดสอบนับครั้งไม่ถ้วน—การทดสอบที่โดยธรรมชาติแล้วได้ทิ้งให้เขาอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย—แต่ท่ามกลางการทดสอบหลายร้อยครั้งเหล่านี้ เขาไม่เคยสูญสิ้นความเชื่อในเราหรือรู้สึกผิดหวังในเราเลยแม้สักครั้งเดียว  แม้ในยามที่เราพูดว่าเราละทิ้งเขาแล้ว เขาก็ยังคงไม่ท้อแท้ และยังคงรักเราต่อไปในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและโดยสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งการปฏิบัติในอดีตกาล  เราบอกเขาว่าเราจะไม่สรรเสริญเขาแม้ว่าเขาจะรักเรา ว่าท้ายที่สุดแล้วเราจะขับเขาไปอยู่ในมือของซาตาน  แต่ท่ามกลางการทดสอบเช่นนั้น การทดสอบที่ไม่ได้เกิดกับเนื้อหนังของเขา แต่เป็นการทดสอบแห่งวจนะ เขาก็ยังคงอธิษฐานต่อเราแล้วกล่าวว่า “โอ พระเจ้า!  ท่ามกลางสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง มีบุคคล เรื่องราว หรือเหตุการณ์ใดที่ไม่อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?  เมื่อพระองค์ทรงกรุณาข้าพระองค์ หัวใจของข้าพระองค์ก็ชื่นบานเป็นอันมากกับความกรุณาของพระองค์  เมื่อพระองค์พิพากษาข้าพระองค์ แม้ข้าพระองค์อาจไม่ควรค่า แต่ข้าพระองค์ก็มีสำนึกมากขึ้นถึงความมิอาจหยั่งถึงได้แห่งกิจการของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและพระปัญญา  แม้เนื้อหนังของข้าพระองค์จะทนทุกข์กับความยากลำบาก แต่วิญญาณของข้าพระองค์ก็ได้รับการชูใจ  ข้าพระองค์จะไม่สรรเสริญพระปัญญาและกิจการของพระองค์ได้อย่างไร?  ต่อให้ข้าพระองค์ต้องตายหลังจากที่ได้รู้จักพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ตายอย่างเปรมปรีดิ์และมีความสุขได้อย่างไร?  องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!  พระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะให้ข้าพระองค์เห็นพระองค์จริงหรือ?  ข้าพระองค์ไม่เหมาะที่จะได้รับการพิพากษาจากพระองค์จริงหรือ?  เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีบางสิ่งบางอย่างในตัวข้าพระองค์ที่พระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะเห็น?”  ในระหว่างการทดสอบเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเปโตรจะไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของเราได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่ก็เป็นที่ประจักษ์ว่าเขาภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติที่ถูกเราใช้ (ถึงแม้เขาจะได้รับการพิพากษาจากเราเพื่อให้มนุษยชาติได้เห็นบารมีและความโกรธของเรา) และชัดเจนว่าเขาไม่ได้เศร้าหมองกับการทดสอบเหล่านี้  เนื่องจากความจงรักภักดีของเขาเบื้องหน้าเรา และเนื่องจากพรที่เรามอบแก่เขา เขาจึงเป็นแบบอย่างและต้นแบบสำหรับมนุษย์มานานหลายพันปี  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรเอาอย่างโดยแท้หรอกหรือ?  จงคิดให้หนักและนานว่าเหตุใดเราจึงเล่าเรื่องราวอันยืดยาวของเปโตรเช่นนี้ เหล่านี้ควรเป็นหลักธรรมที่พวกเจ้าใช้ประพฤติตน

แม้จะมีผู้คนไม่กี่คนที่รู้จักเรา แต่เราก็ไม่ได้ปลดปล่อยความโกรธของเราเข้าใส่มนุษย์ ด้วยเหตุที่ผู้คนนั้นขาดพร่องเกินไป และเป็นการยากที่พวกเขาจะบรรลุถึงระดับที่เราขอจากพวกเขา  ด้วยเหตุนี้ เราจึงยอมผ่อนปรนกับมนุษย์มาหลายพันปีจนกระทั่งทุกวันนี้ กระนั้นเราก็หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ย่อหย่อนกับตัวเองเพราะความยอมผ่อนปรนของเรา  เจ้าควรมารู้จักเราและแสวงหาเราผ่านทางเปโตร จากเรื่องโลดโผนทั้งหมดของเขา เจ้าควรรู้แจ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และด้วยเหตุนี้จึงบรรลุถึงอาณาจักรทั้งหลายที่มนุษย์ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน  ทั่วทั้งจักรวาลและพื้นฟ้า ท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่างในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์พยายามอย่างสุดความสามารถกับงานช่วงระยะสุดท้ายของเรา  แน่นอนว่าพวกเจ้าก็ไม่ปรารถนาที่จะเป็นผู้ชมที่ถูกกำลังบังคับของซาตานคอยออกคำสั่งมิใช่หรือ?  ซาตานนั้นมีอยู่เสมอ คอยกลืนกินความรู้เกี่ยวกับเราในหัวใจของผู้คน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของมันและเกร็งกรงเล็บของมันในการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายก่อนตาย  พวกเจ้าปรารถนาที่จะตกเป็นเหยื่อของกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของมันในครั้งนี้หรือ?  พวกเจ้าปรารถนาที่จะทำให้ชีวิตของพวกเจ้าย่อยยับในยามที่งานของเราเสร็จสมบูรณ์ในที่สุดละหรือ?  พวกเจ้ากำลังรอให้เราแสดงความยอมผ่อนปรนของเราอีกครั้งหรือ?  การไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับเราคือกุญแจสำคัญ แต่การมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัตินั้นก็ขาดเสียไม่ได้  วจนะของเราได้รับการเผยต่อพวกเจ้าโดยตรง และเราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถติดตามการนำของเราได้ และไม่มีแผนการและความทะเยอทะยานทั้งหลายสำหรับตัวพวกเจ้าเองอีกต่อไป

27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า:  พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล - บทที่ 5

ถัดไป:  พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล - บทที่ 8

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger