บทที่ 31

เราไม่เคยได้มีที่สถิตในหัวใจของผู้คนเลย  เมื่อเราสำรวจค้นผู้คนอย่างแท้จริง พวกเขาก็ปิดตาของพวกเขาแน่นและเพิกเฉยต่อการกระทำของเรา ราวกับว่าทั้งหมดที่เราทำคือการพยายามที่จะทำให้พวกเขาพอใจ ซึ่งผลลัพธ์ก็คือพวกเขาขยะแขยงกับการกระทำของเราเสมอ  มันเป็นราวกับว่าเราขาดพร่องการตระหนักรู้ตนเองใดๆ ราวกับว่าเรากำลังโอ้อวดตัวเราเองต่อหน้ามนุษย์เสมอ จึงทำให้พวกเขาผู้ซึ่ง “ซื่อตรงและชอบธรรม” โกรธด้วยประการนั้น  ถึงกระนั้นเราก็สู้ทนแม้จะอยู่ใต้สภาพเงื่อนไขที่ไม่เป็นใจเช่นนี้ และเราก็ทำงานของเราต่อไป  ด้วยเหตุนั้นเราจึงพูดว่าเราได้ชิมรสหวาน เปรี้ยว ขมและฉุนของประสบการณ์มนุษย์ และเรามาในสายลมและไปกับสายฝน เราพูดว่าเราเคยได้มีประสบการณ์กับการข่มเหงรังแกครอบครัว ได้มีประสบการณ์กับยามสุขและยามทุกข์ของชีวิต และได้ผ่านประสบการณ์กับความเจ็บปวดของการพรากจากร่างกาย  อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้มายังแผ่นดินโลก แทนที่จะต้อนรับเราเพราะความยากลำบากที่เราได้ทนทุกข์เพื่อพวกเขา ผู้คนกลับบอกปัดเจตนาดีของเรา “อย่างสุภาพ”  เราจะสามารถไม่เจ็บปวดจากการนี้ได้อย่างไร?  เราจะสามารถไม่ได้รับความเสียใจได้อย่างไร?  มันจะสามารถเป็นไปได้ไหมว่าเราได้กลายเป็นเนื้อหนังเพียงเพื่อให้มันทั้งหมดสิ้นสุดลงเยี่ยงนี้เท่านั้น?  เหตุใดมนุษย์จึงไม่รักเรา?  เหตุใดความรักของเราจึงได้รับการตอบแทนด้วยความเกลียดชังของมนุษย์?  มันจะสามารถเป็นไปได้ไหมว่าเราควรจะต้องทนทุกข์ในหนทางนี้?  ผู้คนได้หลั่งน้ำตาแห่งความเห็นอกเห็นใจเพราะความยากลำบากของเราบนแผ่นดินโลก และผู้คนได้ด่าว่าความอยุติธรรมแห่งโชคร้ายของเรา  ถึงกระนั้นผู้ใดได้เคยรู้จักหัวใจของเราอย่างแท้จริง?  ผู้ใดจะมีวันสามารถล่วงรู้ความรู้สึกของเราได้?  ครั้งหนึ่งมนุษย์ได้มีความชื่นชอบที่ลุ่มลึกต่อเรา และครั้งหนึ่งเขาได้ถวิลหาเราบ่อยครั้งในความฝันของเขา—แต่ผู้คนบนแผ่นดินโลกจะสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของเราในฟ้าสวรรค์ได้อย่างไร?  ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งผู้คนได้ล่วงรู้ถึงความรู้สึกโศกเศร้าของเรา แต่ผู้ใดได้เคยมีความเห็นอกเห็นใจในฐานะเพื่อนร่วมทนทุกข์สำหรับความทุกข์ร้อนของเรา?  มันจะสามารถเป็นไปได้ไหมว่ามโนธรรมของผู้คนบนแผ่นดินโลกสามารถขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงหัวใจที่โศกเศร้าของเราได้?  ผู้คนบนแผ่นดินโลกไม่สามารถบอกเราถึงความยากลำบากที่บอกไม่ได้ภายในหัวใจของพวกเขาได้หรือ?  วิญญาณทั้งหลายและพระวิญญาณต่างพึ่งพากันและกัน แต่เพราะสิ่งกีดขวางแห่งเนื้อหนัง สมองของผู้คนได้ “สูญเสียการควบคุม” ไปแล้ว  ครั้งหนึ่งเราได้เตือนความจำผู้คนให้มาเบื้องหน้าเรา แต่การเรียกหาของเราไม่ได้ทำให้ผู้คนทำให้สิ่งที่เราได้ขอลุล่วง พวกเขาเพียงแค่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาเต็มด้วยน้ำตา ราวกับว่าพวกเขาได้กำลังแบกรับความยากลำบากที่บอกไม่ได้ ราวกับว่ามีบางสิ่งยืนขวางทางของพวกเขาอยู่  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงประสานมือของพวกเขาและกราบไหว้อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์ในการวิงวอนต่อเรา  เพราะเราเปี่ยมปรานี เราจึงมอบพรของเราท่ามกลางมนุษย์ และในชั่วพริบตา ชั่วขณะแห่งการปรากฏด้วยตัวเองของเราท่ามกลางมนุษย์ก็มาถึง—ถึงกระนั้นมนุษย์ได้ลืมคำปฏิญาณของเขาต่อฟ้าสวรรค์ไปนานตั้งแต่นั้นแล้ว  นี่ไม่ใช่ความเป็นกบฏแท้ๆ ของมนุษย์หรือ?  เหตุใดมนุษย์จึงทนทุกข์จาก “ความจำเสื่อม” เสมอ?  เราได้แทงเขาหรือ?  เราได้กำราบร่างกายของเขาหรือ?  เราบอกมนุษย์เกี่ยวกับความรู้สึกภายในหัวใจของเรา เหตุใดเขาจึงหลีกเลี่ยงเราเสมอ?  ในความทรงจำของผู้คน มันเป็นราวกับว่าพวกเขาได้สูญเสียบางสิ่งไปและหาที่ใดก็ไม่พบ แต่มันก็เป็นราวกับว่าความทรงจำของพวกเขาไม่เที่ยงตรงด้วยเช่นกัน  ด้วยเหตุนั้นผู้คนทนทุกข์กับความขี้ลืมในชีวิตของพวกเขาเสมอ และวันเวลาของชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวงอยู่ในความระส่ำระสาย  ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดทำสิ่งใดเพื่อระบุจัดการกับการนี้ ผู้คนไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากเหยียบย่ำและฆาตกรรมกันและกัน ซึ่งได้นำไปสู่สภาวะแห่งความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในวันนี้ และได้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลล่มสลายลงไปในน้ำโสโครกและโคลนตม โดยปราศจากโอกาสแห่งความรอด

เมื่อเราได้มาถึงท่ามกลางมนุษย์ทั้งหมด นั่นคือชั่วขณะจริงแท้ที่ผู้คนได้กลายเป็นรักภักดีต่อเรา  ณ เวลานี้ พญานาคใหญ่สีแดงก็ได้เริ่มวางมือที่ชอบฆาตกรรมของมันบนผู้คน  เราได้ยอมรับ “คำเชิญ” และเราได้มา “นั่งที่โต๊ะจัดเลี้ยง” ท่ามกลางมนุษย์ โดยถือ “จดหมายเชิญ” ที่มวลมนุษย์ให้เราไว้  เมื่อพวกเขาได้เห็นเรา ผู้คนไม่ได้ใส่ใจต่อเรา เนื่องจากเราไม่ได้ตกแต่งตัวเราเองด้วยเสื้อผ้าหรูหราและได้นำเพียงแค่ “บัตรประจำตัว” ของเรามาด้วยเพื่อไปนั่งที่โต๊ะกับมนุษย์  ไม่มีการแต่งหน้าราคาแพงบนใบหน้าของเรา ไม่มีมงกุฎบนศีรษะของเรา และเราได้สวมเพียงแค่รองเท้าทำเองที่บ้านธรรมดาๆ คู่หนึ่งที่เท้าของเรา  สิ่งที่ได้ทำให้ผู้คนผิดหวังมากที่สุดคือการขาดพร่องลิปสติกบนปากของเรา  ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่ได้พูดคำพูดที่สุภาพ และลิ้นของเราไม่ได้เป็นปากกาของนักเขียนที่เตรียมพร้อม แต่คำพูดของเราแต่ละคำได้เจาะเข้าไปในหัวใจชั้นในสุดของมนุษย์แทน ซึ่งได้เพิ่มเติมความประทับใจ “ที่น่าโปรดปราน” ของผู้คนต่อปากของเราบ้างแล้ว  การปรากฏที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นได้เพียงพอสำหรับผู้คนที่จะให้ “การปฏิบัติเป็นพิเศษ” แก่เรา และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงได้ปฏิบัติต่อเราเหมือนคนบ้านนอกซื่อๆ จากชนบทซึ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับโลกเลย และไร้ปัญญา  ถึงกระนั้นเมื่อทุกคนได้ยื่น “เงินของขวัญ” มาให้ ผู้คนก็ยังคงไม่ได้คำนึงถึงเราว่ามีเกียรติ แต่เพียงแค่มาเบื้องหน้าเราโดยปราศจากความเคารพใดๆ แกล้งถ่วงเวลาและอารมณ์เสีย  เมื่อมือของเราได้เอื้อมออกไป พวกเขาก็ได้ประหลาดใจในทันที และพวกเขาได้คุกเข่าลงและได้ส่งเสียงตะโกนดังมากออกมา  พวกเขาได้รวบรวม “เงินของขวัญ” ของเราทั้งหมด  เพราะจำนวนมีมาก พวกเขาจึงได้คิดเดี๋ยวนั้นเลยว่าเราเป็นเศรษฐีเงินล้านและได้ฉีกเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งจากร่างกายของเราโดยปราศจากความยินยอมของเรา แล้วสวมเสื้อผ้าใหม่แทนที่เสื้อผ้าเก่าเหล่านั้น—ถึงกระนั้นการนี้ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข  เพราะเราไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่ง่ายดายเช่นนี้และรังเกียจการปฏิบัติ “ชั้นหนึ่ง” นี้ เพราะเราได้ถือกำเนิดจากนิเวศบริสุทธิ์ และอาจกล่าวได้ว่าเพราะเราได้เกิดมาใน “ความยากจน” เราจึงไม่เคยชินกับชีวิตที่ฟุ่มเฟือยพร้อมผู้คนที่คอยรับใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง  เราปรารถนาเพียงแค่ว่าผู้คนอาจจะสามารถเข้าใจความรู้สึกในหัวใจของเรา ว่าพวกเขาอาจจะสามารถสู้ทนต่อความยากลำบากเล็กน้อยเพื่อที่จะยอมรับความจริงที่ไม่รู้สึกชูใจจากปากของเราได้  เพราะเราไม่เคยได้สามารถพูดถึงทฤษฎี อีกทั้งไม่สามารถที่จะใช้หนทางอำพรางของมวลมนุษย์ในการประพฤติตัวคนเราเองในสังคมเพื่อที่จะมีส่วนร่วมกับผู้คนได้ และเพราะเราไม่สามารถปรับคำพูดของเราให้เหมาะสมได้โดยสอดคล้องกับสีหน้าของผู้คนหรือจิตวิทยาของพวกเขา ผู้คนจึงได้เกลียดเราเสมอ ได้เชื่อว่าเราไม่คู่ควรกับการมีปฏิสัมพันธ์ และได้พูดว่าเรามีลิ้นที่คมและทำร้ายผู้คนเสมอ  ถึงกระนั้นเราก็ไม่มีทางเลือก กล่าวคือ ครั้งหนึ่งเรา “ได้ศึกษา” จิตวิทยาของมนุษย์ ครั้งหนึ่งเรา “ได้เลียนแบบ” ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์ และครั้งหนึ่งเราได้ไปที่ “วิทยาลัยภาษา” เพื่อเรียนรู้ภาษาของมนุษย์ เพื่อที่เราอาจจะได้เชี่ยวชาญวิถีทางที่ผู้คนใช้พูดคุย และพูดอย่างเหมาะสมกับสีหน้าของพวกเขา—แต่แม้ว่าเราได้สละความพยายามมากมายและได้ไปเยี่ยม “ผู้เชี่ยวชาญ” มากมาย ทั้งหมดก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย  ไม่เคยได้มีสิ่งใดของสภาวะความเป็นมนุษย์ในตัวเราเลย  ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ความพยายามของเราไม่เคยได้ส่งผลแม้แต่น้อย และเราก็ไม่เคยได้มีความสามารถตามธรรมชาติแม้แต่น้อยในภาษาของมนุษย์  ด้วยเหตุนั้นคำพูดของมนุษย์ที่ว่า “งานหนักนำมาซึ่งความสำเร็จ” จึงได้ “กระดอน” ไปจากเรา และผลลัพธ์ก็คือคำพูดเหล่านี้มาถึงบทอวสานบนแผ่นดินโลก  โดยที่ไม่มีผู้คนตระหนักถึงมัน คำพังเพยนี้ได้ถูกพิสูจน์ว่าผิดโดยพระเจ้าจากฟ้าสวรรค์ จึงยืนยันความถูกต้องอย่างเพียงพอว่าคำพูดเหล่านี้ฟังไม่ขึ้น  ด้วยเหตุนั้นเราจึงขออภัยต่อมนุษย์ แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องทำ—นั่นคือสิ่งที่เราได้รับจากการ “โง่เขลา” เช่นนั้น  เราไม่สามารถเรียนรู้ภาษาของมนุษย์ ไม่สามารถช่ำชองปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก และไม่สามารถเข้าสังคมกับผู้คนได้  เราเพียงแค่ให้คำแนะนำแก่ผู้คนให้อดกลั้น ให้ระงับความโกรธภายในหัวใจของพวกเขา ให้ไม่ทำร้ายตัวพวกเขาเองเพราะเรา  ผู้ใดได้ทำให้พวกเรามีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน?  ผู้ใดได้ทำให้พวกเราพบกัน ณ ชั่วขณะนี้?  ผู้ใดได้ทำให้พวกเรามีอุดมคติตรงกัน?

อุปนิสัยของเรากระจายไปทั่วคำพูดของเราทั้งหมด ถึงกระนั้นผู้คนไม่สามารถทำความเข้าใจอุปนิสัยของเราในคำพูดของเราได้  พวกเขาได้แต่คิดเล็กคิดน้อยในสิ่งที่เราพูด—นั่นมีประโยชน์อันใดหรือ?  มโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเกี่ยวกับเราสามารถทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อมได้หรือ?  สิ่งต่างๆ บนแผ่นดินโลกจะสามารถลุล่วงเจตจำนงของเราได้หรือ?  เราได้พยายามสอนผู้คนถึงวิธีพูดคำพูดของเราต่อไป แต่มันก็ได้เป็นราวกับว่ามนุษย์พูดไม่ออก และเขาไม่เคยได้สามารถเรียนรู้วิธีพูดคำพูดของเราในแบบที่เราคงจะปรารถนาได้  เราได้สอนเขาแบบปากต่อปาก ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยได้สามารถเรียนรู้  หลังจากนี้เท่านั้นที่เราทำการค้นพบครั้งใหม่ กล่าวคือ ผู้คนบนแผ่นดินโลกจะสามารถพูดคำพูดแห่งฟ้าสวรรค์ได้อย่างไร?  นี่ไม่ฝ่าฝืนกฎแห่งธรรมชาติหรือ?  แต่เพราะความกระตือรือร้นและความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนที่มีต่อเรา เราจึงได้ริเริ่มงานของเราอีกส่วนหนึ่งกับมนุษย์  เราไม่เคยได้ทำให้มนุษย์อับอายเพราะความขาดตกบกพร่องของเขา แต่กลับจัดเตรียมให้มนุษย์แทนโดยสอดคล้องกับสิ่งที่เขาขาดพร่อง  มันเป็นเพราะเหตุนี้เท่านั้นนั่นเองที่ผู้คนมีความประทับใจที่น่าโปรดปรานอยู่บ้างในตัวเรา และเราใช้โอกาสนี้เพื่อรวบรวมผู้คนเข้าด้วยกันอีกครั้ง เพื่อที่พวกเขาอาจชื่นชมอีกส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งของเรา  ณ ชั่วขณะนี้ ผู้คนจมอยู่ในความสุข ความสดชื่นรื่นเริงและเสียงหัวเราะ ลอยละล่องรอบก้อนเมฆหลากสีบนท้องฟ้าอีกครั้ง  เราเปิดกว้างหัวใจของมนุษย์ และมนุษย์ก็มีกำลังวังชาใหม่ในทันที และเขาไม่เต็มใจที่จะซ่อนเร้นจากเราอีกต่อไป เนื่องจากเขาได้ลองชิมรสหวานของน้ำผึ้ง และดังนั้นเขาจึงนำของโปเกของเขาทั้งหมดออกมาเพื่อแลกเปลี่ยน—ราวกับว่าเราได้กลายเป็นจุดรวบรวมขยะ หรือสถานีจัดการของเสีย  ด้วยเหตุนั้น หลังจากมองเห็น “โฆษณา” ที่ได้ถูกปิดประกาศ ผู้คนก็มาเบื้องหน้าเราและมีส่วนร่วมด้วยใจจดใจจ่อ เนื่องด้วยพวกเขาดูเหมือนจะคิดว่าพวกเขาสามารถได้รับ “ของที่ระลึก” สองสามชิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงส่ง “จดหมาย” มาให้เรา ว่าพวกเขาอาจจะเข้าร่วมในเหตุการณ์ที่เราได้กำหนดไว้  ณ ชั่วขณะนี้พวกเขาไม่เกรงกลัวการสูญเสีย เพราะ “ทุน” ที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมเหล่านี้ไม่มาก และดังนั้นพวกเขาจึงกล้าเสี่ยงที่จะมีส่วนร่วม  หากไม่ได้มีของที่ระลึกที่จะถูกรับไว้จากการมีส่วนร่วม ผู้คนก็คงจะไปจากสังเวียนและขอเงินของพวกเขาคืน และพวกเขาก็คงจะคิดคำนวณ “ดอกเบี้ย” ที่เราเป็นหนี้พวกเขาอีกด้วย  มันเป็นเพราะมาตรฐานการดำรงชีวิตของวันนี้ได้เพิ่มขึ้น ไปถึง “ความเจริญรุ่งเรืองระดับพอประมาณ” และสัมฤทธิ์ “การทำให้ทันสมัย” โดยมี “เจ้าหน้าที่อาวุโส” “ไปสู่ชนบท” ด้วยตนเอง เพื่อจัดการเตรียมการงานนั่นเองที่ความเชื่อของผู้คนได้ทวีขึ้นหลายเท่าในทันที—และเพราะ “ร่างกาย” ของพวกเขาดีขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงพิจารณาเราด้วยความเลื่อมใส และเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมกับเราเพื่อที่จะได้รับความไว้วางใจของเรา

11 เมษายน ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า:  บทที่ 30

ถัดไป:  บทที่ 32

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger