พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล - บทที่ 12

เมื่อมีฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ซึ่งเป็นชั่วขณะเดียวกันกับที่เราเริ่มเปล่งวจนะของเราอีกด้วย—เมื่อฟ้าแลบสว่างวาบขึ้น จักรวาลทั้งหมดทั้งมวลย่อมส่องสว่าง และการแปลงสภาพก็เกิดขึ้นกับดวงดาวทั้งปวง  เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวลเสมือนว่าได้ก้าวผ่านการชำระล้างมาแล้ว  ภายใต้ประกายของลำแสงจากทิศตะวันออกนี้ รูปสัณฐานดั้งเดิมของมวลมนุษย์ทั้งปวงถูกเปิดเผย พวกเขาตาพร่า ไม่แน่ใจว่าควรทำเช่นไร และยิ่งไม่แน่ใจเข้าไปอีกว่าจะปกปิดคุณสมบัติพิเศษอันน่าเกลียดของพวกเขาอย่างไร  พวกเขาเป็นเหมือนสัตว์ที่หนีจากความสว่างของเราและหลบภัยอยู่ในถ้ำบนภูเขาอีกด้วย—กระนั้นก็ไม่มีพวกเขาคนใดสามารถถูกลบล้างไปจากความสว่างของเราได้  มนุษย์ทั้งหมดรู้สึกพิศวง ทั้งหมดกำลังรอ ทั้งหมดกำลังเฝ้าดู  ด้วยการกำเนิดขึ้นของความสว่างของเรา ทั้งหมดจะชื่นบานในวันที่พวกเขาเกิด และในทำนองเดียวกัน ทั้งหมดจะสาปแช่งวันที่พวกเขาเกิด  อารมณ์ที่ขัดแย้งกันนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงชัด น้ำตาจากการลงโทษตัวเองก่อเกิดแม่น้ำ และถูกพัดพาไปในกระแสน้ำเชี่ยวกราก และหายไปโดยทันทีอย่างไม่เหลือร่องรอย  วันของเรารุกเข้ามาใกล้มนุษยชาติทั้งปวงอีกครั้ง อันเป็นการปลุกเร้าเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกครั้ง และมอบจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแก่มนุษยชาติ  หัวใจของเราเต้น และตามจังหวะการเต้นของหัวใจของเรา ภูเขาทั้งหลายก็พากันกระโดดอย่างชื่นบานยินดี ห้วงน้ำเต้นรำด้วยความชื่นบานยินดี และระลอกคลื่นสาดซัดแนวหิน  เป็นการยากที่จะแสดงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราออกมา  เราต้องการให้ทุกสรรพสิ่งที่มีมลทินเผาไหม้เป็นเถ้าธุลีภายใต้สายตาอันจับจ้องของเรา เราต้องการทำให้บุตรแห่งการกบฏทุกคนอันตรธานไปต่อหน้าต่อตาเรา และไม่อ้อยอิ่งให้เห็นอีกต่อไป  เราไม่เพียงแต่ได้สร้างจุดเริ่มต้นใหม่ในสถานที่อาศัยของพญานาคใหญ่สีแดงเท่านั้น เรายังได้เริ่มต้นงานใหม่ในจักรวาลด้วย  อีกไม่นาน ราชอาณาจักรของแผ่นดินโลกจะกลายเป็นราชอาณาจักรของเรา  อีกไม่นาน ราชอาณาจักรของแผ่นดินโลกจะไม่ดำรงอยู่ตลอดกาลเพราะราชอาณาจักรของเรา เพราะเราได้สัมฤทธิ์ชัยชนะแล้ว เพราะเราได้กลับมาอย่างฉลองชัยแล้ว  พญานาคใหญ่สีแดงได้ใช้ทุกๆ วิถีทางที่คิดฝันได้เพื่อทำให้แผนของเราหยุดชะงัก ด้วยหวังว่าจะลบงานของเราบนแผ่นดินโลก แต่เราจะท้อใจมากขึ้นทุกทีจากกลอุบายหลอกลวงของมันไปได้หรือ?  เราจะรู้สึกหวาดผวาจนสูญเสียความมั่นใจเพราะการข่มขู่ของมันได้หรือ?  ไม่เคยมีสิ่งใดสักสิ่งเดียวในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลกที่เราไม่เคยถือไว้ในฝ่ามือของเรา การนี้ย่อมเป็นจริงยิ่งกว่าสำหรับพญานาคใหญ่สีแดงซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้เรามิใช่หรือ?  มันไม่ใช่วัตถุที่ถูกสองมือของเราบงการอยู่กระนั้นหรือ?

ในช่วงระหว่างการประสูติเป็นมนุษย์ในโลกมนุษย์ของเรา มวลมนุษย์ได้มาถึงวันนี้โดยไม่รู้ตัวภายใต้การนำของเรา และได้มารู้จักเราโดยไม่รู้ตัว  แต่สำหรับวิธีการเดินบนเส้นทางที่ทอดอยู่เบื้องหน้านั้น ไม่มีผู้ใดระแคะระคาย ไม่มีผู้ใดตระหนักรู้—และยิ่งไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าเส้นทางนั้นจะพาพวกเขาไปในทิศทางใด  ใครสักคนจะสามารถเดินบนเส้นทางนั้นไปจนถึงปลายทางได้ ก็ต่อเมื่อมีองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเฝ้าดูพวกเขาอยู่เท่านั้น  ใครสักคนจะสามารถข้ามธรณีประตูที่นำไปสู่ราชอาณาจักรของเราได้ ก็ต่อเมื่อได้รับการนำโดยฟ้าแลบในทิศตะวันออกเท่านั้น  ท่ามกลางพวกมนุษย์ ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าของเรา ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นฟ้าแลบในทิศตะวันออก  แล้วจะเคยมีผู้ที่เคยได้ยินถ้อยคำจากบัลลังก์ของเราน้อยลงไปอีกเท่าใด?  อันที่จริงแล้ว นับตั้งแต่โบราณกาล ไม่เคยมีมนุษย์คนใดที่ได้มาติดต่อโดยตรงกับตัวตนของเรา ตอนนี้ที่เราได้มาสู่โลก มีเพียงวันนี้เท่านั้นที่มนุษย์มีโอกาสจะเห็นเรา  แต่แม้กระทั่งตอนนี้ มนุษย์ยังคงไม่รู้จักเรา เช่นเดียวกับที่พวกเขาเพียงมองใบหน้าของเราและแค่ได้ยินเสียงของเรา แต่กลับไม่เข้าใจความหมายของเรา  มนุษย์ทั้งหมดเป็นเช่นนี้  พวกเจ้าที่เป็นหนึ่งในผู้คนของเราไม่รู้สึกภาคภูมิอย่างลึกซึ้งเมื่อเห็นใบหน้าของเราหรือ?  และพวกเจ้าไม่รู้สึกถึงความอับอายน่าสังเวชเพราะพวกเจ้าไม่รู้จักเราหรอกหรือ?  เราเดินท่ามกลางมนุษย์และเราใช้ชีวิตท่ามกลางมนุษย์ เพราะเราได้บังเกิดเป็นมนุษย์และเราได้มาสู่โลกมนุษย์  จุดมุ่งหมายของเราไม่ใช่แค่การทำให้มนุษยชาติมองดูเนื้อหนังของเรา แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือการทำให้มนุษยชาติรู้จักเรา  สิ่งที่มากกว่านั้นคือ เราจะตัดสินบาปของมนุษยชาติโดยผ่านทางเนื้อหนังที่เราประสูติเป็นมนุษย์ เราจะกำราบพญานาคใหญ่สีแดงและทำลายล้างที่หลบซ่อนของมันโดยผ่านทางเนื้อหนังที่เราประสูติเป็นมนุษย์

ถึงแม้ว่ามนุษย์ที่ตั้งถิ่นฐานบนแผ่นดินโลกจะมีมากดั่งดวงดาว แต่เราก็รู้จักพวกเขาทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้งราวกับฝ่ามือของเราเอง  และถึงแม้ว่ามนุษย์ที่ “รัก” เราจะมีมากมายนับไม่ถ้วนดั่งเม็ดทรายในทะเล แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่เราเลือกสรร กล่าวคือ มีเพียงบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความสว่างอันเจิดจ้าเท่านั้น ซึ่งแยกต่างหากจากบรรดาผู้ที่ “รัก” เรา  เราไม่ประเมินค่ามนุษย์สูงเกินไป อีกทั้งเราก็ไม่ประเมินค่าเขาต่ำเกินไป  แต่เราเรียกร้องจากมนุษย์โดยสอดคล้องกับลักษณะตามธรรมชาติของเขา และดังนั้น สิ่งที่เราพึงประสงค์คือบุคคลประเภทที่แสวงหาเราอย่างจริงใจ ว่าเราอาจสัมฤทธิ์เป้าหมายของเราในการเลือกสรรผู้คน  มีสัตว์ป่ามากมายเกินคณานับในภูเขา แต่ทุกตัวล้วนเชื่องราวกับลูกแกะเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา  มีความล้ำลึกที่มิอาจหยั่งถึงได้อยู่ใต้ระลอกคลื่น แต่สิ่งเหล่านั้นปรากฏแก่เราอย่างชัดเจนเฉกเช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่งบนพื้นผิวของแผ่นดินโลก  ในฟ้าสวรรค์เบื้องบนคืออาณาจักรที่มนุษย์ไม่มีวันสามารถเอื้อมถึง กระนั้นเรากลับเดินไปมาอย่างอิสระในอาณาจักรที่ไม่อาจเข้าถึงได้เหล่านั้น  มนุษย์ไม่เคยระลึกรู้เราในความสว่าง แต่กลับมองเห็นเราเพียงในโลกแห่งความมืดเท่านั้น  พวกเจ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้ในวันนี้หรอกหรือ?  จุดสูงสุดในการอาละวาดของพญานาคใหญ่สีแดงคือจุดที่เราเริ่มทำงานของเราในเนื้อหนังอย่างเป็นทางการ  เมื่อพญานาคใหญ่สีแดงเปิดเผยรูปสัณฐานที่แท้จริงของมันออกมาเป็นครั้งแรก เราได้เป็นพยานต่อนามของเรา  เมื่อเราเดินไปมาบนถนนของมวลมนุษย์ ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดสะดุ้งตื่นตัว และดังนั้นจึงไม่มีใครรู้เมื่อเราประสูติเป็นมนุษย์มาในโลกของมนุษย์  แต่เมื่อเราเริ่มต้นทำงานของเราในเนื้อหนังที่เราประสูติเป็นมนุษย์ มนุษยชาติกลับสะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝันของพวกเขาด้วยเสียงอันกึกก้องของเรา และจากชั่วขณะนี้นี่เองพวกเขาจึงเริ่มต้นชีวิตของพวกเขาภายใต้การนำของเรา  เราได้เริ่มทำงานใหม่อีกครั้งท่ามกลางผู้คนของเรา  การพูดว่างานของเราบนแผ่นดินโลกยังไม่แล้วเสร็จนั้นก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้คนของเราที่เรากล่าวถึงไม่ใช่ผู้คนที่เราพึงประสงค์ในหัวใจของเรา แต่ถึงกระนั้น เรายังคงเลือกสรรบางคนจากท่ามกลางพวกเขา  จากการนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเราไม่ได้กำลังทำให้ประชากรของเรารู้จักพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่กำลังชำระพวกเขาให้สะอาดด้วย  เนื่องด้วยความรุนแรงแห่งประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา ผู้คนส่วนใหญ่จึงยังคงตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกเรากำจัดออกไป  เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อตัดแต่งตัวเจ้าเอง เพื่อสยบร่างกายของเจ้าเอง—เว้นแต่เจ้าจะทำการนี้ เจ้าย่อมจะกลายเป็นสิ่งที่เรารังเกียจเดียดฉันท์และจะถูกโยนลงนรกเป็นแน่ เช่นเดียวกับที่เปาโลได้รับการตีสอนโดยตรงจากมือของเรา ซึ่งไม่มีทางหลีกหนีไปได้  พวกเจ้าเคยได้รวบรวมบางสิ่งบางอย่างจากวจนะของเราหรือไม่?  เราจะยังคงชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์ เราจะทำผู้คนที่เราต้องการให้บริสุทธิ์ต่อไป เพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เอง ผู้ซึ่งบริสุทธิ์ทั้งหมดและไร้ราคี  เราจะสร้างวิหารของเราไม่ให้แค่เปล่งปลั่งด้วยสีสันของสายรุ้งเท่านั้น แต่ยังสะอาดไร้รอยแต่งแต้ม และมีด้านในที่เข้าคู่กันกับด้านนอก  ต่อหน้าเรา พวกเจ้าทุกคนควรคิดย้อนกลับไปถึงสิ่งที่พวกเจ้าเคยได้ทำในอดีต และตัดสินใจว่าวันนี้พวกเจ้าจะสามารถตกลงใจแน่วแน่ที่จะให้ความพึงพอใจที่เพียบพร้อมในหัวใจของเราแก่เราได้หรือไม่

มนุษย์ไม่ใช่เพียงไม่รู้จักเราในเนื้อหนังของเราเท่านั้น แต่ที่มากกว่านั้นคือ เขายังล้มเหลวที่จะเข้าใจตัวเขาเองซึ่งพักอาศัยอยู่ในกายฝ่ายเนื้อหนังอีกด้วย  มนุษย์หลอกลวงเรามาเป็นเวลาหลายปีเหลือเกิน โดยปฏิบัติต่อเราเหมือนเป็นอาคันตุกะจากภายนอก  หลายต่อหลายครั้งพวกเขาปิดให้เราอยู่นอก “ประตูบ้านของพวกเขา”  พวกเขายืนต่อหน้าเราแต่ไม่ใส่ใจเรามาหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาประกาศตัดขาดกับเราท่ามกลางมนุษย์คนอื่นๆ มาหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาปฏิเสธเราต่อหน้าหมู่มารมาหลายต่อหลายครั้ง และพวกเขาโจมตีเราด้วยปากที่โต้เถียงของพวกเขามาหลายต่อหลายครั้ง  กระนั้นเราก็ไม่จดจำความอ่อนแอของมนุษย์ อีกทั้งเรายังไม่ขอกระทำการตอบโต้กลับคืนเพราะการกบฏของเขา  ทั้งหมดที่เราได้ทำไปคือการใช้ยารักษาโรคภัยไข้เจ็บของเขา เพื่อรักษาโรคที่รักษาไม่หายของเขา และด้วยการนั้น จึงฟื้นฟูเขาให้กลับมามีสุขภาพ เพื่อที่เขาอาจมารู้จักเราได้  ทุกสิ่งที่เราได้ทำไปไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของการอยู่รอดของมนุษยชาติ เพื่อประโยชน์ของการให้โอกาสในชีวิตกับมนุษยชาติหรอกหรือ?  เราได้มาถึงโลกของมนุษย์หลายต่อหลายครั้ง แต่มนุษย์ไม่ให้ความใส่ใจใดๆ กับเราเพราะเราได้มาถึงโลกด้วยตัวตนของเราเอง แทนที่จะทำเช่นนั้น แต่ละคนกลับปฏิบัติตามที่เขาเห็นว่าเหมาะสมและหาทางออกเพื่อตัวเขาเองแทน  พวกเขาหารู้ไม่ว่าถนนทุกสายที่อยู่เบื้องล่างฟ้าสวรรค์นั้นมาจากมือของเรา!  พวกเขาหารู้ไม่ว่าทุกๆ สิ่งที่อยู่เบื้องล่างฟ้าสวรรค์นั้นอยู่ภายใต้การลิขิตของเรา!  พวกเจ้าคนใดกล้าที่จะเก็บงำความไม่พอใจไว้ในหัวใจของพวกเขา?  พวกเจ้าคนใดกล้าที่จะตกลงปลงใจอย่างเล่นๆ?  เราแค่ทำงานของเราท่ามกลางมนุษยชาติอย่างเงียบๆ มาตลอด—เท่านั้นเอง  หากเราไม่ได้เห็นอกเห็นใจในความอ่อนแอของมนุษย์ในระหว่างช่วงเวลาของการประสูติเป็นมนุษย์ของเรา เช่นนั้นแล้วด้วยการประสูติเป็นมนุษย์ของเราเพียงประการเดียวเท่านั้น มนุษยชาติทั้งปวงก็คงจะหวาดผวาและดังนั้นจึงตกลงไปในแดนคนตายไปแล้ว  ที่มนุษยชาติหลีกหนีจากมหันตภัย ที่โชคดีที่ได้พบกับการช่วยให้พ้นจากการตีสอนของเรา และมาถึงวันนี้ในหนทางนี้ได้เป็นเพราะว่าเราถ่อมใจของเราเองและซ่อนเร้นตัวเราเองให้ห่างเท่านั้น  พวกเจ้าที่ใส่ใจว่าที่มาถึงวันนี้มันยากเพียงใดนั้น พวกเจ้าไม่ควรทะนุถนอมพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึงมากยิ่งกว่าหรือ?

8 มีนาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า:  เพลงเฉลิมราชอาณาจักร

ถัดไป:  ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นบานเถิด!

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger