บทที่ 27

การประพฤติของมนุษย์ไม่เคยสะเทือนหัวใจของเรา และไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่ามันล้ำค่า  ในสายตาของมนุษย์ เราเข้มงวดกับเขาเสมอ และใช้สิทธิอำนาจเหนือเขาเสมอ  ในการกระทำทั้งหมดของมนุษย์ แทบจะไม่มีสิ่งใดที่ทำเพื่อประโยชน์แห่งเรา แทบจะไม่มีสิ่งใดที่ตั้งมั่นในสายตาของเรา  ในท้ายที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์ก็ล้มคว่ำต่อหน้าเราโดยปราศจากเสียง หลังจากนั้นเท่านั้นที่เราย่อมทำให้การกระทำของเราเห็นเด่นชัด ซึ่งทำให้ทุกคนรู้จักเราโดยผ่านทางความล้มเหลวของพวกเขาเอง  ธรรมชาติของมนุษย์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  สิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขาไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเรา—มันไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องมี  สิ่งที่เรารังเกียจที่สุดคือความดื้อดึงและการกระทำผิดซ้ำซากของมนุษย์ แต่อะไรคือกำลังบังคับที่ยั่วยุให้มนุษยชาติล้มเหลวที่จะรู้จักเราร่ำไป ให้มนุษย์รักษาระยะห่างจากเราอยู่เสมอ และให้มนุษย์ไม่เคยกระทำการสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเราต่อหน้าเรา แต่กลับต่อต้านเราลับหลังเรา?  นี่คือความจงรักภักดีของพวกเขาหรือ?  นี่คือความรักที่พวกเขามีต่อเราหรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถกลับใจและเกิดใหม่อีกครั้ง?  เหตุใดผู้คนจึงเต็มใจตลอดกาลที่จะใช้ชีวิตอยู่ในหนองบึง แทนที่จะเป็นสถานที่ที่ปราศจากโคลนตม?  เป็นไปได้หรือว่าเราปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดี?  เป็นไปได้หรือว่าเราชี้ทิศทางให้พวกเขาผิด?  เป็นไปได้หรือว่าเรากำลังนำทางพวกเขาไปสู่นรก?  ทุกคนเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ใน “นรก”  เมื่อความสว่างมาถึง ดวงตาของพวกเขาจึงมืดบอดในทันใด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างภายในตัวพวกเขามาจากนรก  กระนั้นผู้คนก็ไม่รู้เท่าทันการนี้ และเอาแต่ชื่นชม “พรจากนรก” เหล่านี้เท่านั้น พวกเขาถึงกับกอดพรจากนรกนั่นไว้แนบอกของพวกเขาราวกับสมบัติล้ำค่า หวาดกลัวว่าเราจะคว้าสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นไป แล้วทิ้งให้พวกเขาไร้ซึ่ง “รากเหง้าแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา”  ผู้คนล้วนกลัวเรา ซึ่งเป็นสาเหตุที่เมื่อเรามายังแผ่นดินโลก พวกเขาอยู่ห่างไกลจากเรา เกลียดชังที่จะเข้ามาใกล้เรา เพราะพวกเขาไม่เต็มใจที่จะ “นำปัญหามาให้ตัวพวกเขาเอง” แต่ปรารถนาที่จะดำรงความปรองดองภายในครอบครัวของพวกเขาแทน เพื่อที่พวกเขาอาจได้ชื่นชม “ความสุขบนแผ่นดินโลก”  แต่เราไม่สามารถอนุญาตให้มนุษยชาติทำตามที่พวกเขาต้องการได้เพราะเรามาที่นี่เพื่อทำลายครอบครัวของมนุษย์โดยแท้  ตั้งแต่ชั่วขณะที่เรามาถึง สันติสุขก็หายไปจากบ้านของพวกเขา  เราตั้งใจที่จะทุบทำลายประชาชาติทั้งหมดให้เป็นเศษเล็กเศษน้อย ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงครอบครัวของมนุษย์  ผู้ใดจะสามารถหลีกหนีเงื้อมมือของเราได้?  เป็นไปได้หรือที่บรรดาผู้ที่ได้รับพรอาจหลีกหนีเพราะเหตุแห่งความไม่เต็มใจของพวกเขา?  เป็นไปได้หรือที่พวกที่ทนทุกข์กับการตีสอนอาจได้รับความเห็นใจจากเราอันเนื่องมาจากความสะพรึงกลัวของพวกเขา?  ในวจนะทั้งมวลของเรา ผู้คนได้เห็นเจตนารมณ์ของเราและการกระทำของเรา แต่ผู้ใดจะมีวันหลุดพ้นจากความคิดอันยุ่งเหยิงของพวกเขาเองไปได้?  ผู้ใดจะมีวันสามารถหาทางออกได้ไม่ว่าจะจากภายในหรือจากภายนอกวจนะของเรา?

มนุษย์มีประสบการณ์กับความอบอุ่นของเรา มนุษย์ได้รับใช้เราอย่างแท้จริง และมนุษย์ได้นบนอบเบื้องหน้าเราอย่างแท้จริง ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเราในการสถิตของเรา  กระนั้นผู้คนในทุกวันนี้ก็ไม่อาจสัมฤทธิ์การนี้ได้ พวกเขาไม่ทำสิ่งใดนอกจากร่ำไห้ในวิญญาณของพวกเขาราวกับว่าพวกเขาถูกหมาป่าหิวโหยฉุดตัวไป และพวกเขาทำได้เพียงมองดูเราด้วยความโหยหาอย่างอับจนหนทาง ร้องเรียกเราไม่หยุด  แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถหลบหนีสถานการณ์ลำบากของพวกเขาได้  เราหวนคิดถึงวิธีที่ผู้คนในอดีตได้ให้คำสัญญาในการสถิตของเรา โดยสาบานต่อฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกในการสถิตของเราว่าจะตอบแทนความใจดีมีเมตตาของเราด้วยความรักใคร่ของพวกเขา  พวกเขาได้ร่ำไห้อย่างขมขื่นเบื้องหน้าเรา และเสียงร้องไห้ของพวกเขาก็น่าสะเทือนใจ ยากที่จะแบกรับ  เพราะความแน่วแน่ของพวกเขา เราจึงจัดเตรียมความช่วยเหลือให้แก่ผู้คนอยู่บ่อยครั้ง  ผู้คนได้มาตรงหน้าเราเพื่อนบนอบเรานับครั้งไม่ถ้วน กิริยาท่าทางอันงดงามของพวกเขานั้นยากที่จะลืม  นับครั้งไม่ถ้วนที่พวกเขาได้รักเรา ความจงรักภักดีของพวกเขาไม่สั่นคลอน ความตั้งใจจริงของพวกเขานั้นน่าชื่นชม  นับครั้งไม่ถ้วนที่พวกเขาได้รักเราจนถึงจุดที่ยอมพลีอุทิศชีวิตของพวกเขาเอง พวกเขารักเรามากกว่าตัวของพวกเขาเอง—และเมื่อเห็นความจริงใจของพวกเขา เราก็ได้ยอมรับความรักของพวกเขาเอาไว้  นับครั้งไม่ถ้วนที่พวกเขาได้ถวายตัวเองในการสถิตของเรา เพื่อเห็นแก่เราโดยไม่แยแสต่อการเผชิญหน้าความตาย และเราได้คลายความกังวลไปจากคิ้วของพวกเขาและประเมินสีหน้าของพวกเขาอย่างรอบคอบ  มีนับครั้งไม่ถ้วนที่เรารักพวกเขาเหมือนสมบัติล้ำค่าที่เราทะนุถนอม และมีนับครั้งไม่ถ้วนที่เราเกลียดชังพวกเขาเสมือนศัตรูของเราเอง  แม้กระนั้นก็ตาม สิ่งที่อยู่ในจิตใจของเรายังคงพ้นวิสัยการจับความเข้าใจของมนุษย์  เมื่อผู้คนเศร้าใจ เรามาชูใจพวกเขา และเมื่อพวกเขาอ่อนแอ เราก็คอยช่วยพวกเขาให้ก้าวเดินต่อไป  เมื่อพวกเขาหลงทาง เราก็มอบทิศทางให้แก่พวกเขา  เมื่อพวกเขาร้องไห้อย่างขมขื่น เราเช็ดน้ำตาให้พวกเขา  แต่เมื่อเราเศร้าใจ ผู้ใดจะสามารถชูใจเราด้วยหัวใจของพวกเขาได้?  เมื่อเรากังวลอย่างที่สุด ผู้ใดคำนึงถึงหัวใจของเราบ้าง?  เมื่อเราโศกเศร้า ผู้ใดสามารถเยียวยาบาดแผลในหัวใจของเราได้?  เมื่อเราต้องการใครสักคน ผู้ใดอาสาที่จะร่วมมือกับเรา?  เป็นไปได้หรือที่ท่าทีแต่เก่าก่อนที่ผู้คนมีต่อเรานั้นบัดนี้สูญหายไปแล้ว และไม่มีวันกลับมา?  เหตุใดท่าทีเช่นนั้นจึงไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของพวกเขาเลย?  ผู้คนหลงลืมสิ่งเหล่านี้ไปทั้งหมดได้อย่างไร?  ทั้งหมดนี้ก็เพราะมวลมนุษย์ถูกศัตรูของเขาทำให้เสื่อมทรามไม่ใช่หรือ?

เมื่อเหล่าทูตสวรรค์เล่นดนตรีสรรเสริญเรา การนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุ้นความเห็นใจที่เรามีต่อมนุษย์  หัวใจของเราพลันเต็มไปด้วยความเศร้าใจ และเป็นไปไม่ได้ที่จะปลดปล่อยตัวเราเองให้เป็นอิสระจากภาวะอารมณ์อันเจ็บปวดนี้  ในความชื่นบานยินดีและความโศกเศร้าของการถูกแยกจาก แล้วจากนั้นก็ถูกพามาอยู่ร่วมกันอีกครั้งกับมนุษย์ พวกเราไม่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดกันได้  เมื่อแยกจากกันในสวรรค์เบื้องบนและบนแผ่นดินโลกเบื้องล่าง มีน้อยครั้งที่มนุษย์และเราสามารถพบกันได้  ผู้ใดสามารถหลุดพ้นจากความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อความรู้สึกแต่เก่าก่อนได้?  ผู้ใดสามารถหยุดรำลึกถึงอดีตได้?  ผู้ใดจะไม่หวังความต่อเนื่องของความรู้สึกนึกคิดแห่งอดีต?  ผู้ใดจะไม่คะนึงหาการกลับมาของเรา?  ผู้ใดจะไม่ถวิลหาการที่เราอยู่ร่วมกันกับมนุษย์อีกครั้ง?  หัวใจของเราเป็นทุกข์อย่างลึกล้ำ และวิญญาณของมนุษย์ก็กังวลอย่างลึกซึ้ง  แม้ว่าจะเหมือนกันในวิญญาณ แต่พวกเราก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันบ่อยๆ และพวกเราไม่สามารถพบหน้ากันบ่อยๆ  ดังนั้นชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวงจึงเต็มไปด้วยความเศร้าสลดและขาดพร่องกำลังวังชา อันเป็นเพราะมนุษย์โหยหาเราเสมอมา  เป็นราวกับว่ามนุษย์คือวัตถุที่ถูกตีตกลงมาจากสวรรค์ พวกเขาร้องเรียกชื่อของเราบนแผ่นดินโลก เงยหน้าของพวกเขาขึ้นเขม้นมองมาที่เราจากพื้นดิน—แต่พวกเขาจะสามารถหลีกหนีจากปากของหมาป่าที่หิวจัดจนออกล่าเหยื่อได้อย่างไร?  พวกเขาจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากภัยคุกคามของมันและการทดลองต่างๆ ของมันได้อย่างไร?  มนุษย์จะไม่พลีอุทิศตัวพวกเขาเองเพราะการนบนอบการจัดการเตรียมการแห่งแผนการของเราได้อย่างไร?  เมื่อพวกเขาวอนขอด้วยเสียงอันดัง เราจึงเบือนหน้าหนีไปจากพวกเขา เราไม่สามารถทนมองได้อีกต่อไป แต่เราจะไม่ได้ยินเสียงร้องไห้น้ำตานองของพวกเขาได้อย่างไร?  เราจะแก้ไขความอยุติธรรมของโลกมนุษย์  เราจะทำงานของเราด้วยมือของเราเองทั่วทั้งโลก โดยห้ามซาตานทำร้ายประชากรของเราอีก ห้ามศัตรูทำสิ่งใดตามอำเภอใจของพวกเขาอีก  เราจะกลายเป็นกษัตริย์บนแผ่นดินโลกและย้ายบัลลังก์ของเราไปที่นั่น ทำให้ศัตรูของเราทั้งหมดล้มลงกับพื้นดินและสารภาพความผิดของพวกเขาต่อหน้าเรา  ในความเศร้าใจของเรา มีความโกรธถูกผสมผสานเข้าไป เราจะเหยียบย่ำทั้งจักรวาลให้แบนราบโดยไม่ละเว้นผู้ใด และบดขยี้ความหวาดกลัวเข้าใส่หัวใจของศัตรูของเรา  เราจะทำให้ทั้งแผ่นดินโลกย่อยยับ และทำให้ศัตรูของเราตกลงไปในความย่อยยับนั้น เพื่อที่จากนี้ไปพวกเขาจะไม่ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอีก  แผนการของเราถูกกำหนดลงตัวแล้ว และต้องไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงมันไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร  เมื่อเราท่องไปเหนือจักรวาลอย่างเปี่ยมบารมี มนุษยชาติทั้งปวงจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และทุกสิ่งทุกอย่างจะได้รับการฟื้นฟู  มนุษย์จะไม่ร่ำไห้อีกต่อไป จะไม่ร้องเรียกให้เราช่วยเหลืออีกต่อไป  เมื่อนั้นหัวใจของเราจะชื่นบาน และผู้คนจะกลับมาหาเราท่ามกลางการเฉลิมฉลอง  ทั้งจักรวาล จากเบื้องบนจรดเบื้องล่าง จะรื่นเริงด้วยความยินดีปรีดา…

วันนี้ ท่ามกลางประชาชาติของโลก เรากำลังทำงานที่เราตั้งใจไว้ว่าจะทำให้สำเร็จลุล่วง  เราเคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางมวลมนุษย์ ทำงานทั้งหมดภายในแผนการของเรา และมนุษยชาติทั้งปวงกำลังทำให้นานาประชาชาติล่มสลายตามเจตนารมณ์ของเรา  ผู้คนบนแผ่นดินโลกจับจ้องความสนใจของพวกเขาไปที่บั้นปลายของพวกเขาเอง เพราะอันที่จริงแล้ววันนั้นกำลังใกล้เข้ามาและเหล่าทูตสวรรค์ก็กำลังเป่าแตรของพวกเขา  จะไม่มีความล่าช้าอีกต่อไป และครั้นแล้วสิ่งสร้างทั้งหมดจะเริ่มเต้นรำอย่างยินดีปรีดา  ผู้ใดสามารถเลื่อนวันของเราออกไปตามเจตจำนงของพวกเขาได้?  มนุษย์ของแผ่นดินโลกหรือ?  หรือดาวทั้งหลายบนท้องฟ้า?  หรือเหล่าทูตสวรรค์?  เมื่อเราเปล่งถ้อยคำเพื่อริเริ่มความรอดของประชากรแห่งอิสราเอล วันของเราก็กดดันมวลมนุษย์ทั้งปวง  มนุษย์ทุกคนยำเกรงการกลับมาของอิสราเอล  เมื่ออิสราเอลกลับมา นั่นจะเป็นวันแห่งสง่าราศีของเรา และจะเป็นวันที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและกลายเป็นได้รับการสร้างขึ้นใหม่เช่นกัน  ขณะที่การพิพากษาอันชอบธรรมกำลังจะมุ่งหน้าสู่ทั้งจักรวาล มนุษย์ทั้งปวงก็เกิดความขลาดและเกรงกลัว เพราะในโลกมนุษย์ ความชอบธรรมไม่เคยเป็นที่ได้ยิน  เมื่อดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมปรากฏ ทางตะวันออกจะได้รับความกระจ่าง และจากนั้นก็จะส่องสว่างทั้งจักรวาลต่อไปจนถึงทุกคน  หากมนุษย์สามารถดำเนินการตามความชอบธรรมของเราได้จริงๆ จะมีสิ่งใดให้ต้องเกรงกลัวเล่า?  ประชากรของเราทั้งหมดรอคอยการมาถึงแห่งวันของเรา พวกเขาทั้งหมดถวิลหาการมาแห่งวันของเรา  พวกเขารอให้เรานำการลงทัณฑ์อันสาสมมาสู่มวลมนุษย์ทั้งปวงและจัดการเตรียมการบั้นปลายของมวลมนุษย์ในบทบาทของเราที่เป็นดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม  ราชอาณาจักรของเรากำลังเป็นรูปเป็นร่างเหนือทั้งจักรวาล และบัลลังก์ของเราครอบครองหัวใจผู้คนหลายร้อยล้านคน  ด้วยความร่วมมือของเหล่าทูตสวรรค์ ความสำเร็จลุล่วงอันยิ่งใหญ่ของเราจะบรรลุผลในไม่ช้า  บรรดาบุตรของเราและประชากรของเราทั้งหมดรอคอยการกลับมาของเราอย่างใจจดใจจ่อ ถวิลหาให้เราอยู่ร่วมกับพวกเขาอีกครั้ง ไม่มีวันแยกจากกันอีก  ปวงประชาอันมากหลายในราชอาณาจักรของเราจะไม่วิ่งรี่เข้าหากันและชื่นชมยินดีเนื่องด้วยการที่เรามาอยู่ร่วมกันกับพวกเขาได้อย่างไร?  นี่จะเป็นการอยู่ร่วมกันอีกครั้งที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาอันใดได้หรือไม่?  เรามีเกียรติในสายตาของมนุษย์ทั้งปวง เราได้รับการกล่าวประกาศในคำพูดของทุกคน  ที่มากกว่านั้นคือ เมื่อเรากลับมา เราจะพิชิตกำลังบังคับของศัตรูทั้งหมด  ถึงเวลาแล้ว!  เราจะเริ่มดำเนินงานของเรา เราจะครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ท่ามกลางมนุษย์!  เรากำลังจะกลับมา!  และเรากำลังจะออกเดินทาง!  นี่คือสิ่งที่ทุกคนหวัง เป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนา  เราจะให้มนุษยชาติทั้งมวลเห็นการมาถึงแห่งวันของเรา และพวกเขาทั้งปวงจะยินดีต้อนรับการมาแห่งวันของเราด้วยความชื่นบานยินดี!

2 เมษายน ค.ศ.  1992

ก่อนหน้า:  บทที่ 26

ถัดไป:  บทที่ 28

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger