การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก

มีหลายสิ่งที่เราหวังให้พวกเจ้าสัมฤทธิ์ กระนั้นก็ไม่ใช่ว่าการกระทำทั้งหมดของพวกเจ้า ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตของพวกเจ้า จะสามารถทำให้สิ่งที่เราขอนี้ลุล่วงได้ ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพูดเข้าประเด็นตามตรงและอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของเรา  เนื่องจากการหยั่งรู้ของพวกเจ้าอ่อนด้อยและความซึ้งคุณค่าของพวกเจ้าก็อ่อนด้อยเช่นกัน พวกเจ้าจึงแทบจะไม่รู้เท่าทันอุปนิสัยและแก่นแท้ของเราอย่างสิ้นเชิง—และด้วยเหตุนี้เราจึงต้องแจ้งให้พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อย่างเร่งด่วน  ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยเข้าใจมากเพียงใด ไม่ว่าเจ้าปรารถนาที่จะเข้าใจประเด็นปัญหาเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม เรายังคงต้องอธิบายให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียด  ประเด็นปัญหาเหล่านี้ไม่ได้แปลกสำหรับพวกเจ้าโดยสิ้นเชิง กระนั้นพวกเจ้าก็ขาดพร่องความเข้าใจและความคุ้นเคยอย่างมากเกี่ยวกับความหมายของประเด็นปัญหาเหล่านี้  พวกเจ้าหลายคนมีเพียงความเข้าใจอันเลือนรางอยู่บ้างเท่านั้น และเป็นความเข้าใจที่กระท่อนกระแท่นไม่สมบูรณ์ด้วย  เพื่อที่จะช่วยให้พวกเจ้าปฏิบัติความจริงได้ดีขึ้น—ปฏิบัติวจนะของเราได้ดีขึ้น—เราคิดว่าเหล่านี้คือประเด็นปัญหาที่พวกเจ้าต้องตระหนักรู้ในเบื้องต้น  หาไม่แล้ว ความเชื่อของพวกเจ้าจะยังคงคลุมเครือ พูดอย่างทำอย่าง และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ทางศาสนา  หากเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะทำงานที่เจ้าควรทำเพื่อพระองค์  หากเจ้าไม่รู้จักแก่นแท้ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะมีความพรั่นพรึงและความยำเกรงต่อพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับจะมีแต่ความฉาบฉวยและบิดพลิ้วไปมาเท่านั้น และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ การหมิ่นประมาทที่ไม่สามารถแก้ไขได้  แม้ว่าการเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญอย่างแท้จริง และการรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้ แต่ไม่เคยมีผู้ใดตรวจตราหรือศึกษาปัญหาเหล่านี้อย่างเจาะลึกและถี่ถ้วน  เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าทุกคนไม่สนใจกฤษฎีกาบริหารที่เราบัญญัติขึ้น  หากพวกเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็ย่อมมีแนวโน้มสูงที่จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์  การล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ก็เทียบเท่ากับการยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้าพระองค์เอง ซึ่งในกรณีนั้นผลลัพธ์สุดท้ายของการกระทำต่างๆ ของเจ้าย่อมจะเป็นการละเมิดกฤษฎีกาบริหาร  บัดนี้เจ้าควรตระหนักว่าเมื่อเจ้ารู้จักแก่นแท้ของพระเจ้า เจ้าก็จะสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ด้วย—และเมื่อเจ้าเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ เจ้าก็ย่อมจะเข้าใจกฤษฎีกาบริหารแล้วเช่นกัน  คงไม่ต้องบอกว่าสิ่งที่อยู่ในกฤษฎีกาบริหารมีมากมายที่เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ว่าพระอุปนิสัยทั้งปวงของพระองค์แสดงอยู่ในกฤษฎีกาบริหาร ดังนั้นเจ้าจะต้องขยับไปอีกหนึ่งก้าวเพื่อพัฒนาความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า

เราไม่ได้พูดกับพวกเจ้าในวันนี้เหมือนอย่างการสนทนาปกติธรรมดา ดังนั้นจึงจำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องคิดกับวจนะของเราอย่างละเอียดรอบคอบ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือจะต้องตรึกตรองวจนะของเราอย่างลึกซึ้ง  ความหมายของสิ่งที่เราพูดก็คือพวกเจ้าอุทิศความพยายามให้กับวจนะที่เราพูดน้อยเกินไป  พวกเจ้ายิ่งเต็มใจน้อยลงไปอีกที่จะใคร่ครวญพระอุปนิสัยของพระเจ้า แทบจะไม่มีใครใช้ความพยายามในการนี้  ด้วยเหตุนี้เราจึงพูดว่าความเชื่อของพวกเจ้าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากการพูดจาใหญ่โต  แม้กระทั่งบัดนี้ก็ไม่มีพวกเจ้าสักคนที่มอบอุทิศความพยายามอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของพวกเจ้า  พวกเจ้าทำให้เราผิดหวังหลังจากที่เราได้พากเพียรเพื่อพวกเจ้ามามากมาย  ไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าไม่สนใจพระเจ้าและชีวิตของพวกเจ้าก็ไร้ซึ่งความจริง  ผู้คนเช่นนี้ถูกมองว่าเป็นวิสุทธิชนได้อย่างไร?  ธรรมบัญญัติแห่งสวรรค์จะไม่ยอมผ่อนปรนให้กับเรื่องเช่นนี้!  ในเมื่อพวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้กันน้อยเหลือเกิน เราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะทุ่มเทลมหายใจให้มากขึ้น

พระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นหัวข้อที่สำหรับทุกคนแล้วดูเหมือนเข้าใจยากมาก และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่ง่ายที่ใครๆ จะยอมรับด้วยเหตุที่พระอุปนิสัยของพระองค์ไม่เหมือนกับบุคลิกภาพของมนุษย์  พระเจ้าทรงมีอารมณ์ชื่นบานยินดี อารมณ์โกรธ เศร้า และสุขของพระองค์เองเช่นกัน แต่อารมณ์เหล่านี้แตกต่างจากอารมณ์ของมนุษย์  พระเจ้าพระองค์เองทรงมีสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นของพระองค์เอง  ทั้งหมดที่พระองค์ทรงเผยและแสดงออกแสดงให้เห็นแก่นแท้ของพระองค์เองและอัตลักษณ์ของพระองค์  สิ่งที่พระองค์ทรงมีเหล่านี้และสิ่งที่ทรงเป็นนี้ รวมทั้งแก่นแท้และอัตลักษณ์นี้ คือสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแทนที่ได้  พระอุปนิสัยของพระองค์ครอบคลุมถึงความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์ การปลอบประโลมมวลมนุษย์ ความเกลียดชังมวลมนุษย์ และที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ ความเข้าพระทัยในมวลมนุษย์อย่างถี่ถ้วน  อย่างไรก็ตาม บุคลิกภาพของมนุษย์นั้นอาจรวมถึงการเป็นคนร่าเริง มีชีวิตชีวา หรือปราศจากความรู้สึก  พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือพระอุปนิสัยที่องค์อธิปัตย์แห่งสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตทั้งมวลถือครอง คือพระอุปนิสัยที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งสร้างทั้งปวงถือครอง  พระอุปนิสัยของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความมีเกียรติ ฤทธานุภาพ ความสูงศักดิ์ ความยิ่งใหญ่ และเหนือสิ่งอื่นใด ความยิ่งใหญ่สูงสุด  พระอุปนิสัยของพระองค์คือสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจ สัญลักษณ์ของทุกสิ่งที่ยุติธรรม สัญลักษณ์ของทุกสิ่งที่งดงามและดีพร้อม  ยิ่งไปกว่านั้นพระอุปนิสัยของพระองค์เป็นสัญลักษณ์ของความคงกระพันที่ความมืดหรือกำลังบังคับใดๆ ของศัตรูไม่สามารถเอาชนะหรือรุกรานได้ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความไม่อาจถูกทำลายต่อการล่วงเกิน (และการไม่ทนต่อการถูกล่วงเกิน) โดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ  พระอุปนิสัยของพระองค์คือสัญลักษณ์แห่งฤทธานุภาพสูงสุด  ไม่มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดสามารถหรืออาจรบกวนพระราชกิจของพระองค์หรือพระอุปนิสัยของพระองค์ได้  แต่บุคลิกภาพของมนุษย์เป็นเพียงสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการที่มนุษย์เหนือกว่าสัตว์ร้ายนิดหนึ่งเท่านั้นเอง  ในตัวเขาเองและโดยตัวเขาเองนั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิอำนาจ ไม่มีอิสรภาพที่จะเป็นตัวของตัวเอง และไม่มีความสามารถที่จะไปพ้นตนเอง แต่ในแก่นแท้ของเขานั้นกลับเป็นผู้หนึ่งที่หมอบอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบ  ความชื่นบานของพระเจ้าเกิดขึ้นเพราะการดำรงอยู่และการอุบัติแห่งความเที่ยงธรรมและความสว่าง การทำลายล้างความมืดและความชั่ว  พระองค์ทรงปีติยินดีเมื่อทรงนำความสว่างและชีวิตที่ดีมาสู่มวลมนุษย์ ความชื่นบานของพระองค์เป็นความชื่นบานที่เที่ยงธรรม เป็นสัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ของทุกสิ่งที่เป็นบวก และที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ เป็นสัญลักษณ์ของมงคล  ความกริ้วของพระเจ้าเกิดจากอันตรายซึ่งการมีอยู่และการรบกวนของความอยุติธรรมนำมาสู่มวลมนุษย์ของพระองค์ จากการมีอยู่ของความชั่วและความมืด การมีอยู่ของสิ่งต่างๆ ที่ผลักไสความจริงออกไป และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเกิดจากการมีอยู่ของสิ่งทั้งหลายที่ต่อต้านสิ่งที่ดีพร้อมและงดงาม  ความกริ้วของพระองค์คือสัญลักษณ์ว่าทุกสิ่งที่เป็นลบย่อมไม่มีอยู่อีกต่อไป และที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ เป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  ความเศร้าของพระองค์เกิดขึ้นเพราะมวลมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงตั้งความหวังไว้ กลับร่วงหล่นลงสู่ความมืด และเป็นเพราะพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในตัวมนุษย์นั้นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ เพราะมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงรักไม่สามารถใช้ชีวิตในความสว่างได้ทั้งหมด  พระองค์ทรงรู้สึกเศร้ากับมวลมนุษย์ที่ไม่ประสา มนุษย์ที่ซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้เท่าทัน และมนุษย์ที่ดีงาม แต่ขาดทรรศนะที่เป็นของเขาเอง  ความเศร้าของพระองค์คือสัญลักษณ์แห่งความดีงามของพระองค์และความกรุณาของพระองค์ สัญลักษณ์แห่งความงดงามและความใจดีมีเมตตา  แน่นอนว่าความสุขของพระองค์ย่อมมาจากการทำให้ศัตรูของพระองค์ปราชัยและการได้รับความสุจริตใจจากมนุษย์  ที่มากกว่านี้ก็คือ ความสุขของพระองค์เกิดขึ้นจากการขับไล่และทำลายล้างกองกำลังทั้งหมดของศัตรู และจากการที่มวลมนุษย์ได้รับชีวิตอันดีงามและเปี่ยมสันติสุข  ความสุขของพระเจ้าไม่เหมือนกับความชื่นบานของมนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความสุขนี้กลับเป็นความรู้สึกของการได้รับดอกผลที่ดี เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่าความชื่นบานเสียอีก  ความสุขของพระองค์คือสัญลักษณ์ของการที่มวลมนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์นับจากเวลานี้ไป และเป็นสัญลักษณ์ของการที่มวลมนุษย์เข้าสู่โลกของความสว่าง  ในทางกลับกัน อารมณ์ต่างๆ ของมวลมนุษย์ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง ไม่ใช่เพื่อความเที่ยงธรรม ความสว่าง หรือสิ่งที่งดงาม และยิ่งไม่ใช่เพื่อพระคุณที่สวรรค์ได้ประทานลงมา  อารมณ์ทั้งหลายของมวลมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัวและเป็นของโลกแห่งความมืด  อารมณ์เหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อน้ำพระทัย และยิ่งไม่ใช่เพื่อแผนการของพระเจ้า และดังนั้นจึงไม่มีวันกล่าวถึงมนุษย์และพระเจ้าไปพร้อมกันได้  พระเจ้าทรงสูงสุดตลอดกาลและทรงเกียรติตลอดกาล ส่วนมนุษย์นั้นต่ำช้าตลอดกาล และไร้ค่าตลอดกาล  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงอุทิศพระองค์เองและทรงเสียสละให้แก่มวลมนุษย์ตลอดกาล ในขณะที่มนุษย์กลับเรียกร้องและเพียรพยายามเพื่อตัวเขาเองเท่านั้นตลอดกาล  พระเจ้าทรงพากเพียรตลอดกาลเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ กระนั้นมนุษย์กลับไม่เคยทำคุณูปการอันใดเพื่อเห็นแก่ความยุติธรรมหรือความสว่าง และต่อให้มนุษย์มานะพยายาม แต่ความพยายามนั้นก็ไม่สามารถทานทนการโจมตีได้สักครั้งด้วยเหตุที่ความพยายามของมนุษย์เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเขาเองเสมอและไม่ใช่เพื่อผู้อื่น มนุษย์เห็นแก่ตัวตลอดกาล ในขณะที่พระเจ้าไม่เห็นแก่พระองค์เองตลอดกาล พระเจ้าคือต้นกำเนิดของทุกสิ่งที่ยุติธรรม ดีพร้อม และงดงาม ส่วนมนุษย์คือผู้ที่สืบทอดและแสดงความอัปลักษณ์และความชั่วทุกอย่าง พระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแก่นแท้แห่งความยุติธรรมและความงดงามของพระองค์ ทว่ามนุษย์อาจจะทรยศความยุติธรรมและเหินห่างจากพระเจ้าได้ทุกเวลาและในทุกสถานการณ์

ทุกประโยคที่เราพูดไปมีพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่ในนั้น  พวกเจ้าควรใคร่ครวญวจนะของเราอย่างละเอียดรอบคอบ และพวกเจ้าจะได้ประโยชน์อย่างมากจากวจนะของเราอย่างแน่นอน  แก่นแท้ของพระเจ้านั้นยากที่จะจับความเข้าใจ แต่เราไว้วางใจว่าพวกเจ้าทุกคนอย่างน้อยที่สุดก็มีแนวคิดเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่บ้าง  เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็หวังว่าพวกเจ้าจะมีสิ่งที่พวกเจ้าลงมือทำและไม่ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้ามาแสดงให้เราดูมากขึ้น  เมื่อนั้นเราจึงจะมั่นใจ  ตัวอย่างเช่น จงรักษาพระเจ้าไว้ในหัวใจของเจ้าตลอดเวลา  เมื่อเจ้ากระทำการใด จงทำเช่นนั้นตามพระวจนะของพระองค์  จงแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ในทุกสิ่ง และจงละเว้นการทำสิ่งที่ไม่เคารพและลบหลู่พระเจ้า  และเจ้ายิ่งไม่ควรเอาพระเจ้าไปเก็บไว้เบื้องลึกในจิตใจของเจ้าเพื่อใช้เติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเจ้าในอนาคต  หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าก็จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า  และเช่นกัน สมมุติว่าตลอดชีวิตของเจ้า เจ้าไม่เคยตั้งข้อสังเกตที่หมิ่นประมาทหรือพร่ำบ่นพระเจ้า และอีกเช่นกัน สมมุติว่าเจ้าสามารถลุล่วงทุกอย่างที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และยังสามารถนบนอบพระวจนะทั้งปวงของพระองค์ตลอดชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนกฤษฎีกาบริหารแล้ว  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเคยพูดว่า “ทำไมฉันจึงไม่คิดว่าพระองค์คือพระเจ้า?” “ฉันคิดว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นเพียงความรู้แจ้งบางอย่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์” “ในความเห็นของฉัน ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นจำเป็นต้องถูกต้อง” “สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไม่ได้เหนือกว่าของฉัน” “พระวจนะของพระเจ้าเชื่อไม่ได้จริงๆ” หรือความคิดเห็นอื่นๆ ที่ชอบตัดสินเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว เราจะเตือนสติให้เจ้าสารภาพและสำนึกบาปของเจ้าให้บ่อยขึ้น  มิฉะนั้นแล้ว เจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสได้รับการยกโทษ ด้วยเหตุที่เจ้าไม่ได้ล่วงเกินมนุษย์ แต่ล่วงเกินพระเจ้าพระองค์เอง  เจ้าอาจเชื่อว่าเจ้ากำลังตัดสินมนุษย์คนหนึ่ง แต่พระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้ทรงพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นดังนั้น  การที่เจ้าไม่เคารพเนื้อหนังของพระองค์ย่อมเทียบเท่ากับการไม่เคารพพระองค์  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เจ้าไม่ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรอกหรือ?  เจ้าต้องจำไว้ว่าทุกสิ่งที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำล้วนทำไปเพื่อที่จะปกปักรักษาพระราชกิจในเนื้อหนังของพระองค์และเพื่อทรงพระราชกิจนี้ให้ดี  หากเจ้าละเลยเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้ว เราย่อมกล่าวว่าเจ้าคือใครบางคนที่จะไม่มีวันสามารถประสบความสำเร็จในการเชื่อในพระเจ้า  ด้วยเหตุที่เจ้าได้ยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า และดังนั้นพระองค์จะทรงใช้การลงโทษอันเหมาะสมเพื่อสอนบทเรียนแก่เจ้า

การมารู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องไม่สำคัญ  เจ้าต้องเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์  ในหนทางนี้ เจ้าจะรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าทีละน้อยและโดยไม่รู้ตัว  เมื่อเจ้าเข้าสู่ความรู้นี้แล้ว เจ้าจะพบว่าตัวเจ้ากำลังก้าวเข้าสู่สภาวะที่สูงขึ้นและสวยงามขึ้น  ในท้ายที่สุด เจ้าจะรู้สึกละอายใจในดวงจิตอันน่าขยะแขยงของเจ้า และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เจ้าจะรู้สึกว่าไม่มีที่ให้ซ่อนเร้นจากความละอายใจของเจ้า  ในเวลานั้นเจ้าจะมีการประพฤติปฏิบัติที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าน้อยลงทุกที หัวใจของเจ้าจะเข้าใกล้พระหทัยของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และความรักที่มีให้กับพระองค์ก็จะค่อยๆ เติบโตขึ้นในหัวใจของเจ้า  นี่คือสัญญาณว่ามวลมนุษย์กำลังเข้าสู่สภาวะอันสวยงาม  แต่จนถึงบัดนี้พวกเจ้าก็ยังไม่บรรลุสภาวะนี้  ในขณะที่พวกเจ้าทุกคนสาละวนเร่งรีบเพื่อโชคชะตาของพวกเจ้าเอง มีผู้ใดสนใจพยายามที่จะรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าบ้าง?  หากการนี้ดำเนินต่อไป พวกเจ้าย่อมจะฝ่าฝืนกฤษฎีกาบริหารโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุที่พวกเจ้าเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าน้อยเกินไป  ดังนั้นสิ่งที่พวกเจ้าทำในตอนนี้มิเป็นการวางรากฐานให้กับการที่พวกเจ้าจะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรอกหรือ?  การที่เราขอให้พวกเจ้าเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นหาได้แยกจากงานของเราไม่  ด้วยเหตุที่หากพวกเจ้าฝ่าฝืนกฤษฎีกาบริหารบ่อยครั้ง จะมีพวกเจ้าคนใดหลีกหนีการลงโทษไปได้ละหรือ?  เมื่อนั้นงานของเราจะไม่สูญเปล่าไปหมดหรอกหรือ?  ดังนั้น นอกเหนือจากการพินิจพิเคราะห์การประพฤติปฏิบัติของพวกเจ้าเองแล้ว เรายังคงขอให้พวกเจ้าระมัดระวังก้าวย่างที่พวกเจ้าเดิน  นี่คือข้อเรียกร้องที่สูงขึ้นที่เรามีต่อพวกเจ้า และเราหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะพิจารณาข้อเรียกร้องนี้อย่างละเอียดรอบคอบและให้ความใส่ใจอย่างจริงจังตั้งใจ  หากมีวันหนึ่งที่การกระทำต่างๆ ของพวกเจ้ายั่วยุเราให้เดือดดาลอย่างรุนแรง เมื่อนั้นย่อมจะมีแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่จะต้องคำนึงถึงผลที่ตามมา และจะไม่มีใครอื่นที่จะแบกรับการลงโทษแทนพวกเจ้า

ก่อนหน้า:  การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก

ถัดไป:  วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger