ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล - บทที่ 103

เสียงอย่างฟ้าร้องบังเกิดดังลั่น เขย่าทั่วทั้งจักรวาล  ดังสนั่นหวั่นไหวจนหูอื้อ และผู้คนก็ไม่เหลือเวลาให้หลบเลี่ยงเสียงนั้น  บางคนจึงถูกทำให้ตาย บางคนถูกทำลาย และบางคนถูกพิพากษา  เป็นฉากซึ่งไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อนอย่างแท้จริง  จงฟังอย่างตั้งใจให้ดีว่า เสียงฟ้าร้องกัมปนาทมีเสียงร่ำไห้ร่วมด้วย และเสียงนี้มาจากแดนคนตาย มันมาจากนรก  เป็นการร้องไห้อันขื่นขมของพวกบุตรแห่งการกบฏที่ได้ถูกเราพิพากษา  พวกที่ไม่ฟังสิ่งที่เรากล่าวและพวกที่ไม่นำวจนะของเราไปปฏิบัติ ได้ถูกพิพากษาอย่างรุนแรงและได้รับการสาปแช่งจากความโกรธเคืองของเรา  เสียงของเราคือการพิพากษาและความโกรธเคือง เสียงนี้ไม่ผ่อนปรนให้ผู้ใดและไม่แสดงความปรานีต่อผู้ใด เพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ชอบธรรม และเรามีความโกรธเคือง เรามีการเผาไหม้ การชำระให้สะอาด และการทำลายล้าง  ภายในตัวเรานั้นไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นและไม่มีความรู้สึกทางเนื้อหนัง แต่ในทางตรงกันข้าม มีความเปิดเผย ความชอบธรรม ความยุติธรรม และความไม่ลำเอียง  เนื่องจากบรรดาบุตรหัวปีของเราอยู่กับเราบนบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว โดยปกครองประเทศและประชากรมากมายมหาศาล บัดนี้สิ่งต่างๆ กับผู้คนที่ไม่เที่ยงธรรมและไม่ชอบธรรมเหล่านั้นกำลังเริ่มถูกพิพากษา  เราจะไต่สวนพวกเขาทีละคน โดยไม่พลาดสิ่งใดและเผยพวกเขาอย่างครบบริบูรณ์  เนื่องจากการพิพากษาของเราได้เผยอย่างเต็มที่และเปิดกว้างอย่างเต็มที่ และเราไม่ได้ปิดบังสิ่งใดไว้เลย เราจึงจะโยนทุกคนที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเราทิ้ง และให้พวกเขาพินาศอยู่ในบาดาลลึกจนชั่วนิรันดร์  ที่นั่นเราจะอนุญาตให้พวกเขาเผาไหม้ไปตลอดกาล  นี่เท่านั้นคือความชอบธรรมของเรา และนี่เท่านั้นคือความเที่ยงตรงของเรา  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ และทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การบัญชาของเรา

ผู้คนส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อถ้อยคำของเรา โดยคิดว่าวจนะเป็นเพียงคำพูดและว่าข้อเท็จจริงย่อมเป็นข้อเท็จจริง  พวกเขาช่างมืดบอด!  พวกเขาไม่รู้หรือว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้สัตย์ซื่อ?  วจนะกับข้อเท็จจริงของเราเกิดขึ้นพร้อมกัน  การนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างแท้จริงหรอกหรือ?  ผู้คนเพียงไม่จับใจความวจนะของเราเท่านั้น และเฉพาะบรรดาผู้ที่ได้รับความรู้แจ้งแล้วเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริง  นี่เป็นข้อเท็จจริง  ทันทีที่ผู้คนมองเห็นวจนะของเรา พวกเขาก็กลายเป็นขวัญผวาสุดขีดและวิ่งลนลานไปทั่วเพื่อซ่อนตัว  การนี้เป็นเช่นนี้มากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อการพิพากษาของเรามาถึง  เมื่อเราได้สร้างทุกสรรพสิ่ง เมื่อเราทำลายโลก และเมื่อเราทำให้บรรดาบุตรหัวปีครบบริบูรณ์—ทุกสรรพสิ่งเหล่านี้ย่อมสำเร็จลุล่วงโดยวจนะเพียงคำเดียวจากปากของเรา  นี่เป็นเพราะวจนะของเราเองนั้นคือสิทธิอำนาจ มันคือการพิพากษา  อาจกล่าวได้ว่าสภาวะบุคคลที่เราเป็นก็คือการพิพากษาและบารมี นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจปรับเปลี่ยนได้  นี่คือแง่มุมหนึ่งแห่งประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา เป็นเพียงทางหนึ่งในการที่เราพิพากษาผู้คนเท่านั้น  ในสายตาของเรา ทุกสิ่งทุกอย่าง—รวมถึงผู้คนทั้งปวง เรื่องทั้งปวง และสิ่งทั้งปวง—อยู่ในมือเราและอยู่ภายใต้การพิพากษาของเรา  ไม่มีผู้ใดและสิ่งใดกล้าที่จะประพฤติอย่างคะนองหรืออย่างดื้อรั้นเอาแต่ใจ และทั้งหมดต้องสำเร็จลุล่วงโดยสอดคล้องกับวจนะที่เราเอ่ย  จากภายในมโนคติอันหลงผิดอย่างมนุษย์ ทุกคนเชื่อในคำพูดของสภาวะบุคคลที่เราเป็น  เมื่อวิญญาณของเราส่งเสียง ทุกคนกลับแคลงใจ  ผู้คนไม่มีความรู้แม้แต่น้อยเกี่ยวกับฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเรา และพวกเขาถึงขั้นทำการใส่ความเราต่างๆ  เราบอกเจ้าไว้บัดนี้ว่า ผู้ใดก็ตามที่สงสัยวจนะของเรา และผู้ใดก็ตามที่สบประมาทวจนะของเรา คนเหล่านี้คือผู้ที่จะถูกทำลาย พวกเขาเป็นบุตรถาวรของความพินาศ  จากนี้สามารถเห็นได้ว่ามีไม่กี่คนที่เป็นบุตรหัวปี เพราะนี่คือวิธีที่เราทำงาน  ดังที่เราได้กล่าวมาก่อนหน้าแล้ว เราสำเร็จลุล่วงในทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีการขยับสักนิ้วมือหนึ่ง เราใช้เพียงวจนะของเรา  เช่นนั้นแล้วนี่จึงเป็นที่ที่ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเราตั้งอยู่  ในวจนะของเรา ไม่มีผู้ใดสามารถค้นพบแหล่งกำเนิดและจุดประสงค์ของสิ่งที่เรากล่าว  ผู้คนไม่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ และพวกเขาสามารถเพียงกระทำการในขณะที่ติดตามการนำทางของเรา และทำทุกสิ่งทุกอย่างตามเจตนารมณ์ของเราโดยสอดคล้องกับความชอบธรรมของเรา ทำให้ครอบครัวของเรามีความชอบธรรมและสันติสุข มีชีวิตตลอดกาล และแน่วแน่และไม่สั่นคลอนชั่วนิรันดร์

การพิพากษาของเรามาถึงทุกคน กฎการบริหารปกครองของเรามีผลถึงทุกคน และวจนะของเรากับสภาวะบุคคลของเราได้รับการเผยต่อทุกคน  นี่เป็นเวลาแห่งงานอันยิ่งใหญ่ของวิญญาณเรา (ณ เวลานี้ บรรดาผู้ที่จะได้รับพรและพวกที่จะทนทุกข์กับโชคร้ายถูกแยกความต่างออกจากกัน)  ทันทีที่วจนะของเราเปล่งออกไป เราก็ได้แยกความต่างของบรรดาผู้ที่จะได้รับพร รวมทั้งพวกที่จะทนทุกข์กับโชคร้าย  ทั้งหมดนี้ย่อมชัดเจนยิ่ง และเราสามารถเห็นทั้งหมดในปราดเดียว  (เรากำลังกล่าวดังนี้เกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของเรา ดังนั้นวจนะเหล่านี้ย่อมไม่ขัดแย้งกับการลิขิตไว้ล่วงหน้าและการคัดสรรของเรา)  เราท่องไปรอบภูเขาและแม่น้ำสายต่างๆ และท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ทั่วพื้นที่ทั้งหลายของจักรวาล โดยสังเกตการณ์และชำระทุกที่ให้สะอาดเพื่อที่ว่าที่ตั้งอันมีมลทินเหล่านั้นกับแผ่นดินลามกเสเพลเหล่านั้นทั้งหมดจะไม่มีอยู่อีกต่อไปและถูกเผาผลาญไปสู่การไม่มีสิ่งใดอันเป็นผลจากวจนะของเรา  สำหรับเราแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายดาย  หากบัดนี้เป็นเวลาที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าสำหรับการทำลายล้างโลก เราย่อมจะสามารถกลืนโลกให้หายไปด้วยการเปล่งถ้อยคำคำเดียว  อย่างไรก็ตาม บัดนี้ไม่ใช่เวลานั้น  ทั้งหมดทั้งปวงจะต้องพร้อมก่อนที่เราจะทำงานนี้เพื่อให้แผนของเราไม่ถูกรบกวนและการบริหารจัดการของเราไม่ถูกทำให้หยุดชะงัก  เรารู้วิธีทำการนี้อย่างสมเหตุสมผล กล่าวคือเรามีปัญญาของเรา และเรามีการจัดการเตรียมการของเราเอง  ผู้คนต้องไม่ขยับสักนิ้วมือหนึ่ง จงรอบคอบระมัดระวังที่จะไม่ถูกสังหารด้วยมือของเรา  การนี้ได้เกี่ยวพันกับกฎการบริหารปกครองของเราเรียบร้อยแล้ว  จากการนี้ คนผู้หนึ่งจะสามารถมองเห็นความเกรี้ยวกราดแห่งกฎการบริหารปกครองของเราได้ รวมทั้งหลักการเบื้องหลังประกาศเหล่านั้น ซึ่งมีสองด้านในตัว กล่าวคือในด้านหนึ่ง เราประหารคนทั้งปวงที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของเราและที่ล่วงละเมิดกฎการบริหารปกครองของเรา อีกด้านหนึ่ง ในความโกรธเคืองของเรา เราสาปแช่งคนทั้งปวงที่ล่วงละเมิดกฎการบริหารปกครองของเรา  สองแง่มุมนี้จำเป็นอย่างยิ่งยวด และเป็นหลักการบริหารเบื้องหลังกฎการบริหารปกครองของเรา  ทุกคนได้รับการจัดการอย่างสอดคล้องกับสองหลักการนี้โดยปราศจากอารมณ์ ไม่ว่าบุคคลหนึ่งอาจจงรักภักดีเพียงใดก็ตาม  การนี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นความชอบธรรมของเรา บารมีของเรา และความโกรธเคืองของเรา ซึ่งจะเผาผลาญทุกสรรพสิ่งทางแผ่นดินโลก ทุกสรรพสิ่งฝ่ายโลก และทุกสรรพสิ่งที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของเรา  ภายในวจนะของเราคือความล้ำลึกทั้งหลายที่ยังคงซ่อนเร้น และภายในวจนะของเราก็มีความล้ำลึกทั้งหลายที่ได้ถูกเผยไปแล้วเช่นกัน  ด้วยเหตุนั้น ในความสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์และในความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์ วจนะของเราจึงไม่อาจจับใจความได้ตลอดกาล และหัวใจของเราก็ไม่อาจหยั่งลึกได้ตลอดกาล  นั่นคือเราต้องขับพวกมนุษย์ออกจากมโนคติอันหลงผิดและการคิดของพวกเขา  นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในแผนการบริหารจัดการของเรา  เราต้องทำการนี้ด้วยวิธีนี้เพื่อให้ได้รับบรรดาบุตรหัวปีของเราไว้ และเพื่อสำเร็จลุล่วงสิ่งต่างๆ ที่เราต้องการจะทำ

ในแต่ละวันความวิบัติของโลกเพิ่มพูนใหญ่หลวงมากขึ้น และในนิเวศของเรานั้น ความวิบัติที่เป็นมหันตภัยก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นทุกที  ผู้คนไม่มีที่ใดให้ซ่อนตัวอย่างแท้จริง ไม่มีที่ใดให้ปกปิดตัวพวกเขาเอง  เพราะการเปลี่ยนผ่านกำลังเกิดขึ้นในบัดเดี๋ยวนี้ ผู้คนจึงไม่รู้ว่าพวกเขาจะผ่านก้าวย่างต่อไปของพวกเขา ณ ที่ใด  การนี้มีแต่จะกลายเป็นที่ประจักษ์ชัดภายหลังการพิพากษาของเราเท่านั้น  จงจำไว้!  เหล่านี้คือขั้นตอนทั้งหลายแห่งงานของเรา และเป็นวิธีที่เราทำงาน  เราจะชูใจบุตรหัวปีทั้งปวงของเราทีละคน และยกจิตใจพวกเขาให้สูงขึ้นทีละขั้นทีละตอน สำหรับพวกคนปรนนิบัตินั้น เราจะกำจัดพวกเขาออกไปและทอดทิ้งพวกเขาทั้งหมดทีละคน  นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของเรา  หลังจากที่พวกคนปรนนิบัติทั้งปวงถูกเผย บรรดาบุตรหัวปีของเราก็จะถูกเผยเช่นกัน  (สำหรับเราแล้ว การนี้ย่อมง่ายดายอย่างสุดขั้ว  หลังจากที่พวกเขาได้ยินวจนะของเรา พวกคนปรนนิบัติทั้งหมดจะค่อยๆ ถอนตัวเบื้องหน้าการพิพากษาและการข่มขู่แห่งวจนะของเรา และมีเพียงบรรดาบุตรหัวปีของเราเท่านั้นที่จะคงอยู่  นี่ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่เป็นไปโดยสมัครใจ อีกทั้งไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตรงกันข้าม นี่เป็นวิญญาณของเราที่ทำงานในสภาวะบุคคลต่างหาก)  นี่ไม่ใช่เหตุการณ์อันห่างไกล และพวกเจ้าควรสามารถล่วงรู้การนี้ได้จนถึงบางขอบเขตจากภายในระยะนี้แห่งงานของเราและวจนะของเรา  สาเหตุที่เรากล่าวมากมายถึงเพียงนี้ รวมทั้งธรรมชาติอันมิอาจทำนายได้แห่งถ้อยคำของเรา เป็นที่มิอาจหยั่งลึกได้สำหรับผู้คน  เราพูดกับบรรดาบุตรหัวปีของเราด้วยน้ำเสียงแห่งการชูใจ ความปรานี และความรัก (เพราะเราให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คนเหล่านี้เสมอ และเราจะไม่ไปจากพวกเขา เนื่องจากเราได้ลิขิตพวกเขาไว้ล่วงหน้า) ขณะที่เราปฏิบัติต่อผู้คนอื่นๆ นอกเหนือจากบรรดาบุตรหัวปีของเราด้วยการพิพากษาที่รุนแรง ด้วยการข่มขู่ต่างๆ และด้วยการขู่ขวัญ ทำให้พวกเขารู้สึกขวัญผวาอยู่เนืองนิตย์จนถึงจุดที่เส้นประสาทของพวกเขาทำงานอยู่เสมอ  ทันทีที่สถานการณ์ได้พัฒนาไปจนถึงขอบเขตหนึ่ง พวกเขาจะหลีกหนีจากสภาวะนี้ (เมื่อเราทำลายโลก ผู้คนเหล่านี้จะอยู่ในบาดาลลึก) ถึงกระนั้นพวกเขาจะไม่มีวันหลีกหนีมือแห่งการพิพากษาของเราหรือหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้  เช่นนั้นแล้วนี่จึงเป็นการพิพากษาของพวกเขา นี่คือการตีสอนของพวกเขา  ในวันที่คนต่างชาติมาถึง เราจะเผยผู้คนเหล่านี้ทีละคน  เหล่านี้คือขั้นตอนแห่งงานของเรา  บัดนี้พวกเจ้าเข้าใจเจตนาเบื้องหลังการเปล่งถ้อยคำก่อนหน้านี้ของเราหรือไม่?  ในความเห็นของเรานั้น บางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่ลุล่วงก็คือบางสิ่งที่ได้ลุล่วงไปแล้วเช่นกัน แต่บางสิ่งบางอย่างที่ได้ลุล่วงไปแล้วนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นบางสิ่งที่สัมฤทธิ์ผลแล้ว  นี่เป็นเพราะเรามีปัญญาของเราและวิธีทำงานของเรา ซึ่งเพียงไม่อาจเข้าใจได้สำหรับมนุษย์เท่านั้นเอง  ทันทีที่เราได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์กับขั้นตอนนี้แล้ว (เมื่อเราได้เผยพวกคนชั่วทั้งปวงที่ต้านทานเรา) เราจะเริ่มขั้นตอนถัดไป เพราะเจตจำนงของเราจะไม่ถูกกีดกั้นขัดขวางและย่อมไม่มีผู้ใดกล้ากีดขวางแผนการบริหารจัดการของเรา และไม่มีสิ่งใดกล้าตั้งสิ่งกีดขวางใดๆ—พวกมันทั้งหมดต้องเอาทุกอย่างออกนอกทางให้เกลี้ยง!  ลูกหลานของพญานาคใหญ่สีแดง จงฟังเรา!  เราได้มาจากศิโยนและได้บังเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้เพื่อให้ได้รับบรรดาบุตรหัวปีของเราไว้ เพื่อทำให้บิดาของพวกเจ้าได้อาย (วจนะเหล่านี้มุ่งหมายไปที่พงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง) เพื่อสนับสนุนบรรดาบุตรหัวปีของเรา และเพื่อแก้ไขสิ่งผิดซึ่งกระทำไว้กับบรรดาบุตรหัวปีของเรา  ด้วยเหตุนั้น จงอย่าป่าเถื่อนอีก เราจะปล่อยให้บรรดาบุตรหัวปีของเราจัดการกับพวกเจ้า  ในอดีต บุตรทั้งหลายของเราถูกรังแกและถูกกดขี่ และในเมื่อพระบิดาทรงใช้ฤทธานุภาพเพื่อบุตรทั้งหลายของพระองค์ บุตรของเราก็จะกลับคืนสู่อ้อมกอดอันรักใคร่ของเรา ไม่ถูกรังแกและกดขี่อีกต่อไป  เราไม่ใช่ไม่ชอบธรรม การนี้แสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมของเรา และเป็น “การรักบรรดาผู้ที่เรารักและเกลียดชังพวกที่เราเกลียดชัง” อย่างแท้จริง  หากเจ้ากล่าวว่าเราไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าควรรีบเร่งออกไปเสีย  จงอย่าไร้ยางอายและเอาแต่ได้ในนิเวศของเรา  เจ้าควรกลับไปบ้านของเจ้าโดยเร็วเพื่อให้เราไม่ต้องเห็นเจ้าอีกต่อไป  บาดาลลึกคือบั้นปลายของพวกเจ้า และนั่นคือที่ที่พวกเจ้าจะหยุดพัก  หากพวกเจ้าอยู่ในนิเวศของเรา ก็จะไม่มีที่สำหรับพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าเป็นสัตว์พาหนะ พวกเจ้าเป็นเครื่องมือให้เราใช้  เมื่อเราไม่มีสิ่งใดจะใช้เจ้าอีกต่อไป เราย่อมจะโยนพวกเจ้าเข้าไปในไฟเพื่อเผาผลาญพวกเจ้า  นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา เราต้องทำวิธีนี้ และเฉพาะการนี้เท่านั้นที่แสดงให้เห็นลักษณะที่เราทำงานและเผยความชอบธรรมของเรากับบารมีของเรา  ที่สำคัญยิ่งขึ้นไปอีกคือเฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นที่บรรดาบุตรหัวปีของเราจะได้รับอนุญาตให้ครองราชย์อยู่ในฤทธานุภาพกับเรา

ก่อนหน้า:  ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล - บทที่ 88

ถัดไป:  พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล - บทที่ 4

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger