การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (3)

ทุกวันนี้บรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่กำลังมีงานยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน และมีเวลาไม่พอ  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  ข้อเท็จจริงก็คือเพราะตอนนี้พวกเขาเข้าใจความจริงและมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในหลายๆ เรื่อง  สำนึกรับผิดชอบของพวกเขาจึงหนักอึ้งขึ้นทุกที  และพวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างตั้งอกตั้งใจมากขึ้น ทำงานที่มีรายละเอียดมากขึ้น  ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าตนมีหน้าที่ที่ควรปฏิบัติมากขึ้นทุกที  นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาสาละวนอยู่กับหน้าที่ของตนมากขึ้นเรื่อยๆ  และนอกเหนือจากนั้นแล้ว ทุกๆ วัน ผู้คนส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติหน้าที่ยังต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงด้วยเช่นกัน  พวกเขาต้องทบทวนตนเอง และเมื่อมีปัญหาบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานั้น  พวกเขาต้องเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพบางอย่างด้วย  พวกเขารู้สึกเสมอว่ามีเวลาไม่พอ ว่าแต่ละวันล่วงเลยไปเร็วเหลือเกิน  ตกกลางคืนพวกเขาก็คิดทบทวนว่าตนทำอะไรไปบ้างในวันนั้นๆ และสำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่มีคุณค่านัก ดูเหมือนไม่เกิดผลดีอะไรขึ้นมาเลย  พวกเขาจึงรู้สึกว่าตนมีวุฒิภาวะน้อยมากและไม่ดีพอ และพวกเขาก็กระตือรือร้นที่จะทำให้วุฒิภาวะของตนเติบโตโดยเร็ว  พวกเขาบางคนบอกว่า “เมื่อไรงานนี้ถึงจะหายยุ่ง?  เมื่อไรฉันจึงจะสามารถสงบใจและอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และทำให้ตัวเองได้รับความจริงอย่างถูกต้องเหมาะสม?  สิ่งที่ฉันได้รับจากการชุมนุมสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งนั้นมีขีดจำกัดอยู่ระดับหนึ่ง  พวกเราควรชุมนุมกันให้มากขึ้นและฟังคำเทศนาให้มากขึ้น—นั่นเป็นทางเดียวที่จะเข้าใจความจริง”  ดังนั้นพวกเขาจึงรอคอยและโหยหา แล้วพริบตาเดียวเวลาสาม สี่ ห้าปีก็ผ่านเลยไป และพวกเขารู้สึกว่าเวลาล่วงเลยไปเร็วเหลือเกิน  บางคนไม่สามารถให้คำพยานจากประสบการณ์ได้เท่าใดนักแม้จะเชื่อมานานนับสิบปีแล้วก็ตาม  พวกเขากระสับกระส่าย กลัวว่าตนจะถูกทอดทิ้ง และปรารถนาที่จะเร่งเตรียมตนให้พร้อมไปด้วยความจริงมากขึ้น  นั่นคือสาเหตุที่พวกเขารู้สึกว่าเวลาเร่งกระชั้นเข้ามา  มีหลายคนที่คิดเช่นนี้  ทุกคนที่แบกรับภาระของการปฏิบัติหน้าที่และไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมรู้สึกว่าเวลาผ่านพ้นไปเร็วมาก  คนที่ไม่รักความจริง ใฝ่หาความสุขสบายและความสำราญต่างๆ ย่อมไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาบางคนถึงกับบ่นว่า “เมื่อไรวันของพระเจ้าถึงจะมา?  พวกเขาพูดอยู่เสมอว่าพระราชกิจของพระองค์กำลังจะถึงจุดสิ้นสุด—แล้วทำไมถึงยังไม่สิ้นสุดเล่า?  เมื่อไรพระราชกิจของพระเจ้าถึงจะแผ่ไปทั่วจักรวาลเสียที?”  ผู้คนที่กล่าวเช่นนั้นย่อมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก  พวกเขาไม่ได้สนใจความจริงจากหัวใจ พวกเขาอยากกลับออกไปสู่โลกและใช้ชีวิตเล็กๆ ของตนต่อไปอยู่ตลอดเวลา  สภาวะเช่นนี้ของพวกเขาแตกต่างจากสภาวะของผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างเห็นได้ชัด  ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไม่ว่าจะยุ่งกับหน้าที่ของตนเพียงใด พวกเขาก็ยังคงสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่บังเกิดขึ้นแก่ตน และสามารถแสวงหาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขายังไม่เข้าใจชัดเจนในคำเทศนาที่ตนได้ฟังมา รวมทั้งสงบใจของตนทุกวันเพื่อคิดทบทวนว่าตนปฏิบัติหน้าที่อย่างไร จากนั้นก็พิจารณาพระวจนะของพระเจ้า และดูวิดีโอคำพยานจากประสบการณ์  พวกเขาได้รับสิ่งต่างๆ จากการทำเช่นนี้  ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งกับหน้าที่ของตนเพียงใด ก็ไม่ได้ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเลย และไม่ได้ถ่วงเวลาของการเข้าสู่ชีวิตด้วย  เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนที่รักความจริงจะปฏิบัติเช่นนี้  ผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมไม่แสวงหาความจริงและไม่เต็มใจที่จะสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตนเองและทำความรู้จักตนเอง ทั้งนี้ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนหรือไม่ และไม่ว่าปัญหาอะไรจะบังเกิดแก่พวกเขาก็ตาม  ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งหรือไม่เร่งรีบในหน้าที่ของตน พวกเขาก็ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ข้อเท็จจริงก็คือถ้าใครมีหัวใจที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าพวกเขาถวิลหาความจริง และแบกรับภาระของการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย เช่นนั้นแล้วหัวใจของพวกเขาก็จะมาใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นและพวกเขาจะอธิษฐานถึงพระองค์ไม่ว่าจะยุ่งกับหน้าที่ของตนเพียงใดก็ตาม  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมได้รับความรู้แจ้งและความสว่างไสวบางอย่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และชีวิตของพวกเขาก็จะเติบโตไม่หยุด  ถ้าใครไม่รักความจริงและไม่แบกรับภาระของการเข้าสู่ชีวิตหรือการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยใดๆ หรือถ้าพวกเขาไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถได้รับอะไรเลย  การคิดทบทวนว่าคนเรามีการพรั่งพรูความเสื่อมทรามอะไรออกมาบ้างเป็นสิ่งที่ต้องทำไม่ว่าจะอยู่ในที่แห่งใด เวลาใดตัวอย่างเช่น ถ้าคนเราพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมาระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้วในหัวใจของพวกเขา พวกเขาก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า ทบทวนตนเอง ทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้น  นี่เป็นเรื่องของหัวใจ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่  เรื่องนี้ทำง่ายหรือไม่?  นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นคนที่แสวงหาความจริงหรือไม่  ผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมไม่สนใจเรื่องของการเติบโตในชีวิต  พวกเขาไม่คำนึงถึงเรื่องดังกล่าว  มีแต่ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่พยายามเติบโตในชีวิตด้วยความเต็มใจ มีแต่พวกเขาที่ไคร่ครวญปัญหาที่มีอยู่จริงรวมทั้งวิธีแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอยู่เนืองๆ  อันที่จริงกระบวนการแก้ไขปัญหาและกระบวนการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นกระบวนการเดียวกัน  ถ้าคนเรามุ่งแสวงหาความจริงอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน และได้แก้ปัญหาไปไม่น้อยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ปฏิบัติแบบนั้น เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาย่อมได้มาตรฐานอย่างแน่นอน  ผู้คนเช่นนี้มีการพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมาน้อยลงมาก และได้รับประสบการณ์จริงมากมายในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้  ผู้คนดังกล่าวก้าวผ่านประสบการณ์ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อพวกเขาเข้ามาทำหน้าที่เป็นครั้งแรกจนสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาทำเช่นนั้นด้วยการพึ่งพาการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  นั่นคือสาเหตุที่ไม่ว่าผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะยุ่งกับหน้าที่ของตนขนาดไหน พวกเขาก็จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาและปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหลักธรรมให้สำเร็จ และพวกเขาย่อมจะสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้  นี่คือกระบวนการของการเข้าสู่ชีวิต และเป็นกระบวนการของการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงด้วย  บางคนพูดอยู่เสมอว่าพวกเขายุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนจนไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริง  เช่นนี้ฟังไม่ขึ้น  สำหรับคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอะไรอยู่ก็ตาม ทันทีที่พวกเขาสังเกตเห็นปัญหา พวกเขาจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ทำความเข้าใจ และได้รับความจริง  นั่นคือความแน่นอน  มีหลายคนที่คิดว่าจะสามารถเข้าใจความจริงได้ก็ด้วยการชุมนุมทุกวันเท่านั้น  นี่ย่อมผิดพลาดอย่างที่สุด  ความจริงไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจกันได้ด้วยการชุมนุมและฟังคำเทศนาเท่านั้น คนเราจำเป็นต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจำเป็นต้องมีกระบวนการของการค้นพบและการแก้ไขปัญหาด้วยเช่นกัน  สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือพวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง  คนที่ไม่รักความจริงย่อมไม่แสวงหาความจริงไม่ว่าปัญหาอะไรจะบังเกิดแก่พวกเขาก็ตาม คนที่รักความจริงย่อมแสวงหาความจริงไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนเพียงใดก็ตาม  ดังนั้นพวกเราจึงกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าผู้คนที่พร่ำบ่นอยู่เสมอว่าตนยุ่งอยู่กับหน้าที่จนไม่มีเวลาชุมนุม จึงต้องเลื่อนการไล่ตามเสาะหาความจริงของตนออกไปด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง  พวกเขาเป็นคนที่มีความเข้าใจอันเหลวไหลและไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  เมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังคำเทศนา ทำไมพวกเขาถึงปฏิบัติตามหรือนำไปใช้ในการทำหน้าที่ของตนไม่ได้?  ทำไมพวกเขาถึงนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตจริงของตนไม่ได้?  นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รักความจริง ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาอาจจะเผชิญความยากลำบากอะไรในการปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ตาม พวกเขาก็ไม่แสวงหาหรือปฏิบัติความจริง  ชัดเจนว่าผู้คนเหล่านี้คือพวกคนลงแรง  บางคนอาจปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยเกินไป  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะจัดแจงชีวิตของตนเองให้ดี เมื่อพวกเขามีสิ่งที่ต้องทำสักสองหรือสามอย่าง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไหนก่อนอย่างไหนทีหลัง  ถ้ามีปัญหาสักสองหรือสามอย่างบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร  พวกเขาหัวหมุน  ผู้คนเช่นนั้นจะมีหนทางเข้าถึงความจริงได้หรือไม่?  พวกเขาจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้สำเร็จหรือไม่?  ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำได้ เพราะขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยเกินไป  ผู้คนมากมายเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่แม้จะเชื่อในพระเจ้ามาสิบหรือยี่สิบปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังลงเอยด้วยการไม่สามารถให้คำพยานจากประสบการณ์ของตน และไม่ได้รับความจริงแต่อย่างใด  สาเหตุหลักที่เป็นเช่นนี้ก็คือขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อยเกินไป  การที่ใครบางคนไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องว่าพวกเขายุ่งกับหน้าที่ของตนขนาดไหนหรือพวกเขามีเวลามากเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าหัวใจของพวกเขารักความจริงหรือไม่  แท้จริงแล้วทุกคนมีเวลามากมายเท่ากัน สิ่งที่ต่างออกไปก็คือแต่ละคนใช้เวลาไปกับอะไรต่างหาก  เป็นไปได้ว่าใครก็ตามที่บอกว่าตนไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริง กำลังใช้เวลาของตนไปกับความสุขสำราญทางเนื้อหนัง หรือยุ่งอยู่กับการมุมานะทำอะไรเรื่องภายนอกบางอย่าง  พวกเขาไม่เอาเวลานั้นๆ ไปแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา  ผู้คนที่ละเลยการไล่ตามเสาะหาของตนย่อมเป็นเช่นนี้  นี่ถ่วงให้การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมีอันล่าช้าออกไป

ในการชุมนุมสองครั้งที่ผ่านมา พวกเราสามัคคีธรรมกันในหัวข้อเรื่อง “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร” รวมทั้งรายละเอียดบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นด้วย  พวกเรามาเริ่มกันด้วยการทบทวนสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในการชุมนุมครั้งที่แล้วเถิด  พวกเราได้ให้คำจำกัดความที่ถูกต้องแม่นยำเอาไว้ว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร” จากนั้นก็สามัคคีธรรมถึงปัญหาจำเพาะและลักษณะเฉพาะบางอย่างในการประพฤติตนของผู้คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับความหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริง  เรื่องสุดท้ายที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในการชุมนุมครั้งที่แล้วคืออะไร?  (พระเจ้าทรงตั้งคำถามว่าในเมื่อสิ่งที่มนุษย์ยึดถือว่าดีงามและถูกต้องไม่ใช่ความจริง ทำไมมนุษย์ถึงยังไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นราวกับเป็นความจริง?)  ในเมื่อสิ่งที่มนุษย์ยึดถือว่าดีงามและถูกต้องไม่ใช่ความจริง ทำไมเขาถึงยังคงค้ำจุนสิ่งเหล่านั้นเหมือนเป็นความจริง พลางคิดว่าตนเองกำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่?  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมกันสามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำถามนี้  เรื่องแรกคือสิ่งที่มนุษย์ไล่ตามเสาะหานั้นไม่ใช่ความจริง แล้วทำไมเขาถึงยังคงปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นราวกับเป็นความจริง?  เพราะสำหรับมนุษย์แล้ว สิ่งที่เขามองว่าถูกต้องและดีงามย่อมดูราวกับเป็นความจริง มนุษย์จึงไล่ตามเสาะหาสิ่งที่เขาคิดว่าดีงามและถูกต้องเสมือนว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง  การกล่าวเช่นนี้ชัดเจนหรือไม่?  (ชัดเจน)  ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องของคำถามนี้คืออะไร?  ผู้คนค้ำจุนสิ่งที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องและดีงามราวกับสิ่งเหล่านั้นคือความจริง และระหว่างที่ทำเช่นนั้น พวกเขาก็นึกว่าตนกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นไม่ใช่คำตอบที่ครบถ้วนแล้วหรอกหรือ?  (ครบถ้วนแล้ว)  เรื่องที่สองก็คือ เวลาค้ำจุนสิ่งต่างๆ ที่เขาคิดว่าดีงามและถูกต้องราวกับสิ่งเหล่านั้นคือความจริง ทำไมมนุษย์ถึงคิดว่าเขากำลังไล่ตามเสาะหาความจริง?  นี่อาจตอบได้ดังนี้ว่าเพราะมนุษย์มีความอยากได้พร  มนุษย์ลงมือไล่ตามเสาะหาสิ่งที่เขายึดถือว่าถูกต้องและดีงามด้วยความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยาน และด้วยเหตุนั้นเขาจึงคิดว่าตนกำลังปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่  โดยแก่นแท้แล้ว นี่คือการพยายามต่อรองกับพระเจ้า  เรื่องที่สามก็คือ ถ้าคนคนหนึ่งมีมโนธรรมและเหตุผลที่ปกติ เช่นนั้นแล้วในกรณีที่พวกเขาไม่เข้าใจความจริง โดยสัญชาตญาณแล้วพวกเขาย่อมจะเลือกกระทำการตามมโนธรรมและเหตุผลของตน ปฏิบัติตามข้อบังคับ กฎหมาย กฎเกณฑ์ และอื่นๆ  พวกเราอาจกล่าวว่าโดยสัญชาตญาณแล้ว มนุษย์ค้ำจุนสิ่งที่เขาคิดคำนึงตามมโนธรรมของตนว่าเป็นบวก เป็นประโยชน์ และสอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ ราวกับสิ่งเหล่านั้นคือความจริง  นี่สามารถทำได้ในกรอบของมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์  มีหลายคนที่สามารถตรากตรำได้ตามปกติในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเต็มใจที่จะลงแรงและนบนอบการจัดแจงเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า เพราะพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลที่ปกติ  พวกเขายอมกระทั่งก้าวผ่านความทุกข์และจ่ายราคาใดๆ ก็ตามเพื่อที่จะได้รับพร  ดังนั้นมนุษย์จึงถือเช่นกันว่าสิ่งที่เขาสามารถทำได้ภายในกรอบของมโนธรรมและเหตุผลของตนคือการปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่คือสามเรื่องหลักที่ตอบคำถามข้อนั้น  คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมกันถึงสามเรื่องนี้แบบกว้างๆ วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันอย่างละเอียดและเจาะจงถึงปัญหาต่างๆ ที่สามประเด็นนี้ทิ้งไว้ให้ และชำแหละปัญหาที่เกี่ยวข้องกับแต่ละประเด็น รวมทั้งแต่ละองค์ประกอบแตกต่างหรือขัดแย้งกับการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร เพื่อให้เจ้ารู้ชัดขึ้นว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร และที่จริงแล้วการไล่ตามเสาะหานั้นต้องปฏิบัติอย่างไร  การทำเช่นนี้ย่อมจะเป็นแรงจูงใจที่ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้คนปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงในชีวิตประจำวันของตนอย่างถูกต้องแม่นยำ

ชำแหละสิ่งที่ผู้คนยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม

I. คำกล่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมอันดีงามในวัฒนธรรมดั้งเดิม

พวกเราจะเริ่มด้วยการสามัคคีธรรมเรื่องแรก  พูดง่ายๆ ก็คือสามัคคีธรรมเรื่องแรกของพวกเราจะเน้นสิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม  เหตุใดสามัคคีธรรมของพวกเราจึงควรมุ่งเน้นในเรื่องนี้?  เนื้อหานี้เกี่ยวข้องกับปัญหาใดบ้าง?  ก่อนอื่นจงคิดเรื่องนี้โดยละเอียด  ถ้าพวกเราไม่สามัคคีธรรมเรื่องนี้อย่างถูกต้องเหมาะสมในการชุมนุม พวกเจ้าจะมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาที่ตามมาได้หรือไม่?  ถ้าพวกเราไม่เจาะจงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเนื้อหานี้ แล้วพวกเจ้ามัวแต่ไปใคร่ครวญกันเอาเอง หรือถ้าพวกเจ้าใช้เวลาทำความรู้จักและผ่านประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว?  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะรู้หรือไม่ว่าเนื้อหานี้เกี่ยวพันถึงความจริงข้อไหนบ้าง?  เมื่อใช้การใคร่ครวญ พวกเจ้าจะคิดออกหรือไม่ว่าความจริงเหล่านั้นมีอะไรบ้าง?  (ไม่)  พวกเราจะเริ่มด้วยการพิจารณาถ้อยคำของวลีที่ว่า “สิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม” ไปตามตัวอักษร และดูว่าพวกเจ้ามีความรู้ในเรื่องนี้มากเพียงใด  ก่อนอื่น ส่วนสำคัญของวลีที่พวกเรากำลังจะสามัคคีธรรมนี้พูดถึงอะไร?  พวกเจ้าบอกได้มิใช่หรือ?  นี่เป็นวลีที่เข้าใจยากหรือไม่?  มีความล้ำลึกอยู่ในวลีนี้หรือไม่?  (พูดถึงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันในตัวมนุษย์)  นั่นเป็นการพูดอย่างกว้างๆ จงยกตัวอย่างสักตัวอย่างหนึ่งเถิด  (มนุษย์เชื่อตามมโนคติอันหลงผิดของตนว่าตราบใดที่เขาสามารถตัดขาด สละตน ทนทุกข์ และจ่ายราคาได้ เขาย่อมจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ยังมีวัฒนธรรมดั้งเดิมบางอย่างอีกด้วย—อย่างเรื่องของความกตัญญูต่อบุพการีและการที่ผู้หญิงดูแลสามีและเลี้ยงลูกของตนให้เติบใหญ่  ผู้คนถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องดีเช่นกัน)  พวกเจ้ามีความเข้าใจอยู่บ้าง  พวกเจ้าจับประเด็นได้แล้วหรือยัง?  มีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อของพวกเรา?  (การตัดขาด การสละ การทนทุกข์ และการจ่ายราคา)  (ความกตัญญูต่อบุพการีและการที่ผู้หญิงดูแลสามีและเลี้ยงลูกของตนให้เติบใหญ่)  ใช่แล้ว  มีอีกหรือไม่?  (การแสดงถึงการอุทิศตน ความอดทน และการยอมผ่อนปรนเหมือนพวกฟาริสี)  ความถ่อมใจ ความอดทน การยอมผ่อนปรน—นี่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกและคำพูดจำเพาะในเชิงพฤติกรรมบางอย่าง  ในเมื่อพวกเรากำลังจะสามัคคีธรรมถึงเนื้อหาดังกล่าว พวกเราก็ควรสามัคคีธรรมเป็นการเฉพาะโดยใช้คำกล่าวที่เจาะจงลงไป  ผู้คนย่อมสามารถได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องและแม่นยำขึ้นถ้าพวกเรามุ่งเน้นไปที่คำถามในลักษณะเช่นนั้น  ตอนนี้พวกเจ้าไม่สามารถเสนอแนะแนวทางใดๆ ได้ ดังนั้นเราจะสามัคคีธรรมไปเลย ดีไหม?  (ดี)  วัฒนธรรมยาวนานห้าพันปีของจีนนั้น “กว้างใหญ่ไพศาลและลุ่มลึก” เต็มไปด้วยคำกล่าวและสำนวนซึ่งเป็นที่นิยมทุกรูปแบบ  นอกจากนี้ยังมี “ปราชญ์โบราณ” ซึ่งเป็นที่ยกย่องอีกจำนวนมาก เช่น ขงจื๊อ เม่งจื๊อ เป็นต้น  พวกเขาสร้างสรรค์คำสอนในลัทธิขงจื๊อของจีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม  มีสำนวนภาษา คำศัพท์ และคำกล่าวมากมายในวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนที่ผู้คนหลายรุ่นรังสรรค์ขึ้นมาใช้  บางส่วนอ้างอิงยุคสมัยโบราณ บ้างก็ไม่ใช่ บ้างมาจากชาวบ้านทั่วไป ขณะที่ส่วนอื่นมาจาผู้คนที่มีชื่อเสียง  อาจเป็นได้ว่าพวกเจ้าไม่ค่อยชอบวัฒนธรรมดั้งเดิมนัก หรือพวกเจ้าได้ออกห่างจากวัฒนธรรมพื้นฐานดั้งเดิม หรือพวกเจ้ายังเยาว์เกินกว่าที่จะได้ศึกษาหรือค้นคว้าเรื่องของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ “กว้างใหญ่ไพศาลและลุ่มลึก” ของจีนอย่างลึกซึ้ง และนั่นคือสาเหตุที่พวกเจ้ายังไม่รู้เรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือเข้าใจเรื่องทำนองนั้น  ที่จริงแล้วนั่นเป็นเรื่องดี  แม้คนเราจะไม่เข้าใจวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่สิ่งต่างๆ ที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมก็คอยพร่ำสอนและส่งผลต่อการคิดอ่านและมโนคติอันหลงผิดของผู้คนไปด้วย  สุดท้ายพวกเขาก็ใช้ชีวิตไปตามสิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว  สิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพชนทั้งหลายซึ่งหมายถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ส่งต่อมาจากบรรพบุรุษของมนุษย์ ทำให้มีคำกล่าวอ้างมากมายสารพัดรูปแบบว่ามนุษย์ควรพูด ทำ และวางตัวอย่างไร  และแม้ผู้คนอาจจะมีความเข้าใจและทัศนะเกี่ยวกับถ้อยแถลงนานัปการของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ต่างกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขามั่นใจในถ้อยแถลงดังกล่าวของวัฒนธรรมดั้งเดิม  จากข้อสังเกตนี้ พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าต้นกำเนิดของอิทธิพลที่ครอบงำชีวิตและการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ ครอบงำทัศนะที่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ครอบงำการวางตัวและการกระทำของมวลมนุษย์ ล้วนเป็นสิ่งที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมกันทั้งสิ้น  แม้ชาติพันธุ์ต่างๆ ในหมู่มวลมนุษย์มีการค้ำจุนถ้อยแถลงด้านมาตรฐานทางศีลธรรมและหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมที่แตกต่างกัน แต่แนวคิดโดยทั่วไปเบื้องหลังถ้อยแถลงเหล่านั้นเหมือนกัน  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมและชำแหละถ้อยแถลงบางอย่างในรายละเอียด  แม้พวกเราจะไม่สามารถเอ่ยถึงและชำแหละทุกสิ่งที่มนุษย์ยึดถือว่าถูกต้องและดีงามได้ แต่เนื้อหาโดยทั่วไปของสิ่งเหล่านั้นก็มีองค์ประกอบอยู่เพียงสองอย่างซึ่งกล่าวถึงไปแล้วในคำนิยามของการไล่ตามเสาะหาความจริงซึ่งได้แก่ ทัศนะที่คนเรามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และวิธีการวางตัวและกระทำการของคนเรา  หนึ่งคือทัศนะ อีกหนึ่งคือพฤติกรรม  นี่หมายความว่ามนุษย์มองผู้คนและเหตุการณ์ของโลกผ่านทางสิ่งที่เขายึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม และเขาก็ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐาน เป็นหลัก และหลักเกณฑ์ในการวางตัวและกระทำการ  ดังนั้น แท้จริงแล้วสิ่งที่ดีงามและถูกต้องเหล่านี้คืออะไรกันแน่?  กล่าวอย่างกว้างๆ ก็คือ สิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงามนั้นเป็นแต่เพียงข้อกำหนดให้มนุษย์ประพฤติตัวดีและให้เขามีศีลธรรมและลักษณะนิสัยอันดีงามของมนุษย์เท่านั้น  ซึ่งก็คือองค์ประกอบสองข้อนั้น  จงคิดดูเถิดว่าโดยพื้นฐานแล้วใช่สองข้อนั้นหรือไม่?  (ใช่)  ข้อหนึ่งคือพฤติกรรมอันดีงาม อีกข้อหนึ่งคือลักษณะนิสัยและศีลธรรมของมนุษย์  โดยพื้นฐานแล้วมวลมนุษย์ได้กำหนดมาตรฐานไว้สองข้อเพื่อประเมินวัดความเป็นมนุษย์ที่บางคนใช้ดำเนินชีวิตและใช้ประเมินวิธีการวางตนของพวกเขา หนึ่งนั้นคือข้อกำหนดให้มนุษย์ประพฤติตนให้เห็นภายนอกว่าดี อีกหนึ่งก็คือให้เขาประพฤติปฏิบัติตนอย่างมีศีลธรรม  พวกเขาใช้ปัจจัยสองข้อนี้วัดความดีงามของคนคนหนึ่ง  เนื่องจากพวกเขาใช้ปัจจัยสองข้อนี้วัดความดีงามของคนคนหนึ่ง มาตรฐานที่จะตัดสินพฤติกรรมและศีลธรรมของผู้คนจึงเกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว และระหว่างที่พวกเขาทำเช่นนั้น ก็เป็นธรรมดาที่ผู้คนจะเริ่มได้ยินได้ฟังถ้อยแถลงสารพัดอย่างเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมหรือพฤติกรรมของมนุษย์  มีคำกล่าวเฉพาะว่าอะไรบ้าง?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  สิ่งที่ง่ายๆ อย่างเช่นว่า มีมาตรฐานและคำกล่าวอะไรที่ใช้ประเมินพฤติกรรมของผู้คนบ้าง?  ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท—สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมภายนอก  ความสุภาพอ่อนน้อมเล่าใช่ด้วยหรือไม่?  (ใช่)  ที่เหลือก็คล้ายคลึงกันไม่มากก็น้อย และเมื่อเทียบกันแล้ว พวกเจ้าย่อมจะรู้ว่าคำพูดไหนและถ้อยแถลงไหนเป็นมาตรฐานในการประเมินพฤติกรรมของมนุษย์ และถ้อยแถลงไหนเป็นมาตรฐานในการประเมินศีลธรรมของเขา  ส่วน “สตรีต้องมีคุณธรรม มีเมตตา อ่อนโยน และมีศีลธรรม”—เป็นมาตรฐานสำหรับพฤติกรรมภายนอกหรือศีลธรรม?  (เป็นเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรม)  แล้วความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เล่า?  (นั่นก็เป็นเรื่องของศีลธรรมเช่นกัน)  ถูกต้อง  สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับศีลธรรม เกี่ยวข้องกับลักษณะนิสัยทางศีลธรรมของมนุษย์  ถ้อยแถลงหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์คือถ้อยแถลงอย่างเช่น ความสุภาพอ่อนน้อม อ่อนโยนและมีมารยาท รวมทั้ง ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่มนุษย์ยึดถือในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม นี่คือสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นบวกตามคำกล่าวอ้างของวัฒนธรรมดั้งเดิม หรืออย่างน้อยก็สอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผล ไม่ใช่สิ่งที่เป็นลบ  สิ่งที่พวกเรากำลังพูดถึงอยู่นี้คือสิ่งที่ผู้คนรับรู้กันโดยทั่วไปว่าถูกต้องและดีงาม  ดังนั้นนอกจากถ้อยแถลงที่เราเพิ่งกล่าวไปสามข้อแล้ว มีถ้อยแถลงอื่นใดเกี่ยวกับพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์อีก?  (เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์)  เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต คุยด้วยง่าย—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้คนค่อนข้างคุ้นเคยและเข้าใจกันดี  ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต คุยด้วยง่าย—ในความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ ต่างเชื่อกันว่าทุกคนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้คือคนดี เป็นคนมีเมตตา เป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์  ทุกคนประเมินคนอื่นตามพฤติกรรมของคนเหล่านั้น พวกเขาตัดสินความดีงามของคนบางคนตามพฤติกรรมภายนอกของคนเหล่านั้น  ผู้คนตัดสิน ลงความเห็น และประเมินว่าคนคนหนึ่งผ่านการอบรมบ่มเพาะและมีความเป็นมนุษย์หรือไม่ คู่ควรแก่การมีปฏิสัมพันธ์ด้วยและคู่ควรแก่ความไว้วางใจหรือไม่ ตามความคิดอ่านและมโนคติของวัฒนธรรมดั้งเดิม และตามพฤติกรรมของคนคนนั้นที่พวกเขามองเห็นได้  ผู้คนมีความสามารถที่จะเข้าใจโลกวัตถุหรือไม่?  ไม่มีแม้แต่น้อย  ผู้คนทำได้เพียงตัดสินและแยกแยะตามพฤติกรรมของคนคนหนึ่งว่าพวกเขาดีหรือไม่ดี หรือเป็นคนเช่นใด ผู้คนสามารถจับสังเกตและตัดสินสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ พูดคุย และทำงานร่วมกับใครสักคนเท่านั้น  ไม่ว่าเจ้าจะใช้ถ้อยแถลงอย่าง “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล” “มีไมตรีจิต” และ “เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์” ในการประเมินของเจ้าอย่างชัดแจ้งหรือไม่ก็ตาม มาตรฐานที่เจ้าใช้ชี้วัดก็อยู่ในกรอบของถ้อยแถลงเหล่านี้  เมื่อใครบางคนไม่สามารถมองเห็นโลกภายในตัวคนอีกคนหนึ่ง พวกเขาย่อมประเมินว่าคนเหล่านั้นดีหรือไม่ดี สูงส่งหรือต่ำช้า ด้วยการสังเกตดูพฤติกรรมและการกระทำของคนเหล่านั้น และใช้หลักเกณฑ์เชิงพฤติกรรมเหล่านี้  โดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเขาใช้  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตามถ้อยแถลงที่เพิ่งสรุปไป มวลมนุษย์มีอะไรเป็นมาตรฐานในการชี้วัดบ้าง?  สิ่งที่มวลมนุษย์ยึดถือว่าดีงามและถูกต้องในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขานั้นมีอะไรบ้าง?  แทนที่จะเริ่มด้วยเรื่องของการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรม พวกเรามาเริ่มสามัคคีธรรมและการชำแหละด้วยเรื่องของสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง และเป็นบวกที่มนุษย์แสดงออกและสำแดงในพฤติกรรมของเขา  มาดูกันเถิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวกจริงหรือไม่  เพราะฉะนั้นมีอะไรในถ้อยแถลงที่พวกเราเพิ่งไล่เรียงไปที่กล่าวถึงความจริงบ้างหรือไม่?  มีเนื้อหาอะไรที่สอดคล้องกับความจริงบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ถ้าการไล่ตามเสาะหาของใครบางคนคือการเป็นคนเช่นนี้ คนที่มีพฤติกรรมดังกล่าวและมีลักษณะภายนอกดังกล่าว คนคนนั้นกำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่หรือไม่?  สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาเกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  คนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้กำลังปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่หรือไม่?  เมื่อดูตามความหมายที่แท้จริงของคำว่าคนดี คนที่มีพฤติกรรมและมีการแสดงออกเหล่านี้เป็นคนดีหรือไม่?  คำตอบก็คือไม่—พวกเขาไม่ใช่คนดี  นี่ย่อมเห็นได้ชัด

ก. ชำแหละหกพฤติกรรมอันดีงาม เช่น “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล”

ก่อนอื่นพวกเรามาดูถ้อยแถลงที่ว่าคนเราต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  จงพูดมาเถิดว่าถ้อยแถลงว่า “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล” โดยตัวมันเองหมายความว่าอย่างไร  (ถ้อยแถลงนี้บรรยายถึงคนที่ทำตัวค่อนข้างเหมาะสมและมีกิริยามารยาทดี)  การ “ทำตัวเหมาะสม” หมายความว่าอย่างไร?  (หมายความว่าค่อนข้างทำตัวตามกฎ)  ถูกต้อง  คนแบบนี้ทำตามกฎระเบียบอะไร?  ยิ่งเจ้าให้คำตอบที่เจาะจงลงไปมากเท่าใด ความเข้าใจที่เจ้ามีต่อเรื่องนี้และแก่นแท้ของเรื่องนี้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น  เพราะฉะนั้น การทำตัวตามกฎหมายถึงอะไร?  นี่คือตัวอย่าง  เวลากินอาหาร คนรุ่นเด็กกว่าต้องไม่นั่งก่อนผู้อาวุโสของตน และเวลาผู้อาวุโสของตนไม่พูดคุยกัน พวกเขาก็ต้องอยู่เงียบๆ  อาหารที่เตรียมไว้ให้ผู้อาวุโส ไม่ว่าใครก็กินไม่ได้จนกว่าผู้อาวุโสจะออกปากให้กิน  นอกจากนั้น ระหว่างกินอาหารก็ห้ามพูดคุย หรือยิงฟัน หรือหัวเราะเสียงดัง หรือเปาะปาก หรือคุ้ยหาอาหารไปทั่วจาน  พอรุ่นอาวุโสกินเสร็จแล้ว รุ่นเด็กกว่าต้องหยุดกินทันทีแล้วลุกยืน  ต่อเมื่อพวกเขายืนส่งผู้อาวุโสของตนเรียบร้อยแล้วจึงจะกินต่อได้  นี่คือการทำตามกฎระเบียบมิใช่หรือ?  (ใช่)  กฎระเบียบเหล่านี้มีอยู่ทุกบ้านและทุกครัวเรือน ในครอบครัวของทุกสกุลและทุกเชื้อสายไม่มากก็น้อย  ผู้คนล้วนปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้มากบ้างน้อยบ้าง และเวลาพวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาก็ถูกกฎระเบียบเหล่านั้นจำกัดเอาไว้  ในแต่ละครอบครัวก็มีกฎระเบียบที่ต่างกันไป—แล้วใครเป็นคนวางกฎเหล่านี้?  บรรพชนและผู้อาวุโสซึ่งเป็นที่เคารพนับถือในยุคต่างๆ ที่ผ่านมาของครอบครัวนั้นกำหนดเอาไว้  เวลาเฉลิมฉลองวันหยุดที่สำคัญและวันรำลึกต่างๆ กฎระเบียบเหล่านี้ก็มีความสำคัญเป็นพิเศษ ในวันเหล่านั้นทุกคนต้องทำตามกฎระเบียบโดยไม่มีใครได้รับการยกเว้น  ถ้าใครบางคนทำผิดหรือละเมิดกฎ พวกเขาก็จะถูกทำโทษตามกฎข้อบังคับในครอบครัวอย่างรุนแรง  บางคนถึงกับต้องคุกเข่าขออภัยหน้าแท่นบูชาของครอบครัว  นั่นคือสิ่งที่เป็นกฎระเบียบ  สิ่งที่พวกเราเพิ่งพูดถึงไปนี้เป็นเพียงกฎระเบียบบางส่วนที่อาจนำไปใช้ในบ้านหรือครอบครัวใดๆ ก็ได้  กฎระเบียบทำนองนี้เป็นส่วนหนึ่งของความหมายของการ “ทำตัวเหมาะสม” ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เพียงดูคนคนหนึ่งกิน คนเราก็สามารถบอกได้ว่าพวกเขาทำตัวเหมาะสมหรือไม่  ถ้าพวกเขาเปาะปากเวลากินอาหาร หรือเขี่ยอาหารเลือกสิ่งที่ชอบ หรือมัวตักอาหารให้คนอื่นอยู่ตลอดเวลา พูดไปกินไป หัวเราะเสียงดัง และบางรายก็ถึงกับยกตะเกียบชี้คนที่ตนกำลังคุยด้วย เช่นนั้นในกรณีทั้งหมดนี้ พวกเขาก็กำลังแสดงให้เห็นการทำตัวไม่เหมาะสม  การบอกว่าคนคนหนึ่งทำตัวไม่เหมาะสมนั้นแสดงนัยว่าคนอื่นติติง ตั้งคำถาม และดูหมิ่นพวกเขาในเชิงพฤติกรรม  ส่วนคนที่ทำตัวเหมาะสมย่อมไม่พูดเวลากิน หรือหัวเราะคิกคัก หรือเขี่ยเพื่อเลือกอาหาร หรือตักอาหารให้คนอื่น  พวกเขาค่อนข้างทำตัวตามกฎ  คนอื่นย่อมมองเห็นพฤติกรรมและการปฏิบัติตนของพวกเขา แล้วกล่าวไปตามที่เห็นว่านี่คือคนที่ทำตัวเหมาะสม  และเพราะการทำตัวเหมาะสมเช่นนี้ พวกเขาจึงได้รับความเคารพและนับถือจากผู้อื่น รวมทั้งได้รับความชื่นชอบด้วย  นี่คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่เป็นพื้นฐานของการทำตัวเหมาะสม  ดังนั้นแท้จริงแล้วการทำตัวเหมาะสมคืออะไร?  พวกเราเพิ่งพูดไปว่า “การทำตัวเหมาะสม” เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น  ในตัวอย่างทั้งหลายที่เพิ่งยกมานี้ เช่น มีลำดับความสำคัญของคนแต่ละรุ่นเวลากินอาหาร  ทุกคนก็ต้องหาที่นั่งของตนให้ตรงตามกฎระเบียบ พวกเขาต้องไม่นั่งผิดที่  ผู้อาวุโสและรุ่นเยาว์ลงมาล้วนทำตามกฎระเบียบของครอบครัวเหมือนกันหมด ไม่มีใครละเมิดได้ และพวกเขาก็ดูเหมือนจะทำตามกฎ ดูสุภาพ ดูสูงส่ง มีศักดิ์มีศรีอย่างยิ่ง—แต่ไม่ว่าพวกเขาจะดูเป็นเช่นนั้นกันมากเพียงใด ทั้งหมดกลับเป็นแค่พฤติกรรมอันดีงามแต่เพียงภายนอกเท่านั้น  นี่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือไม่?  ไม่ นี่เป็นเพียงมาตรฐานที่ใช้ประเมินพฤติกรรมภายนอกของผู้คนเท่านั้น  พฤติกรรมอะไร?  หลักๆ แล้วก็คือวาจาและการกระทำของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น คนเราไม่ควรพูดคุยเวลากินหรือมีเสียงเวลาเคี้ยว  เวลานั่งกินอาหารย่อมมีลำดับว่าใครนั่งก่อน  โดยทั่วไปย่อมมีวิธีการยืนและนั่งที่ถูกต้องเหมาะสม  ทั้งหมดนี้เป็นเพียงพฤติกรรมเท่านั้น เป็นพฤติกรรมภายนอกทั้งสิ้น  ดังนั้น แท้จริงแล้วผู้คนเต็มใจทำตามกฎระเบียบเหล่านี้หรือไม่?  ผู้คนคิดในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  พวกเขารู้สึกอย่างไรในเรื่องนี้?  การปฏิบัติตามกฎระเบียบที่น่าสมเพชเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่?  กฎเหล่านี้มอบความก้าวหน้าในชีวิตให้กับพวกเขาได้หรือไม่?  การทำตามกฎระเบียบที่น่าสมเพชเหล่านี้มีปัญหาอะไร?  เกี่ยวข้องกับเรื่องของการมีความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติที่ใครบางคนมีต่อสิ่งต่างๆ และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาหรือไม่?  ไม่เลย  นี่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น  นี่เพียงแต่ให้ข้อกำหนดสองสามข้อในเรื่องพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น ข้อกำหนดเกี่ยวกับกฎระเบียบที่ผู้คนต้องสัมฤทธิ์และปฏิบัติตาม  ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรกับกฎระเบียบเหล่านี้ และต่อให้พวกเขาเกลียดชังและรังเกียจกฎระเบียบเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ชีวิตที่ถูกกฎระเบียบเหล่านี้พันธนาการเอาไว้เพราะครอบครัวและบรรพชนของตน และเพราะกฎเกณฑ์ภายในบ้านของตน  ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครริเริ่มสืบเสาะว่าผู้คนมีความคิดจำเพาะกับกฎระเบียบเหล่านี้อย่างไร หรือมองและพิจารณากฎระเบียบเหล่านี้ในการคิดอ่านของพวกเขาอย่างไร หรือพวกเขามีทัศนคติและท่าทีต่อกฎระเบียบเหล่านี้อย่างไร  เจ้าเพียงแสดงให้เห็นพฤติกรรมอันดีงามและทำตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ในขอบเขตที่ระบุไว้นี้เป็นพอ  คนที่ทำเช่นนี้คือผู้คนที่ทำตัวเหมาะสม  คำกล่าวที่ว่า “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล” นั้นวางข้อเรียกร้องต่างๆ เฉพาะกับพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น นั่นถูกใช้ตีกรอบพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น พฤติกรรมที่รวมถึงท่วงท่าของผู้คนเวลานั่งและยืน การเคลื่อนไหวร่างกาย ท่าทางของอวัยวะที่ใช้รับ ความรู้สึก ดวงตาของพวกเขาดูเป็นอย่างไร ปากของพวกเขาขยับอย่างไร หัวของพวกเขาหันอย่างไร และอื่นๆ  เป็นการวางมาตรฐานให้แก่พฤติกรรมภายนอกของผู้คน โดยไม่ใส่ใจว่าความรู้สึกนึกคิด อุปนิสัย และแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นเช่นไร  มาตรฐานที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลก็เป็นเช่นนี้  ถ้าเจ้าทำได้ตามมาตรฐานนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล และถ้าเจ้ามีพฤติกรรมอันดีงามซึ่งก็คือผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล เช่นนั้นแล้วในสายตาของผู้อื่น เจ้าย่อมเป็นคนที่ควรแก่การเคารพและนับถือ  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นถ้อยแถลงนี้มุ่งเน้นที่พฤติกรรมของมนุษย์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  แท้จริงแล้วมาตรฐานทางด้านพฤติกรรมนี้มีประโยชน์อะไร?  โดยมากแล้วประโยชน์ก็คือใช้ประเมินว่าคนคนหนึ่งทำตัวเหมาะสมและทำตามกฎเป็นอย่างดีหรือไม่ พวกเขาควรได้รับความเคารพและนับถือจากผู้อื่นเวลาคบค้าสมาคมกันหรือไม่ และพวกเขาคู่ควรที่จะได้รับความเลื่อมใสหรือไม่  การประเมินผู้คนในลักษณะนี้ไม่ตรงกับหลักธรรมความจริงโดยสิ้นเชิง ไร้ซึ่งนัยสำคัญ

สามัคคีธรรมของพวกเราเมื่อครู่นี้เกี่ยวข้องกับการอบรมบ่มเพาะของคนคนหนึ่งเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกำหนดที่ถูกกำหนดให้มีขึ้นโดยถ้อยแถลงที่ว่า “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล”  แล้ว “การมีเหตุผล” หมายถึงอะไร?  (เป็นการแสดงถึงความเข้าใจในเรื่องกิริยามารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติ)  นั่นตื้นเขินไปสักนิด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่ง  “การมีเหตุผล” หมายถึงมีความสุภาพที่จะยอมเข้าใจเหตุผล ยอมรับฟังเหตุผลไม่ใช่หรือ?  พวกเราจะพูดเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  เพื่อเป็นการแสดงถึงความเข้าใจในเรื่องกิริยามารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติในสังคม และมีความสุภาพที่จะเข้าใจเหตุผล  ดังนั้นเมื่อกล่าวรวมกันแล้ว หากใครบางคนมีพฤติกรรมตามที่ระบุไว้ว่า “การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล” โดยรวมแล้วพวกเขาแสดงออกมาอย่างไรกันแน่?  พวกเจ้าเคยพบคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลหรือไม่?  มีคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลในหมู่ผู้อาวุโสและญาติพี่น้องของพวกเจ้าหรือเพื่อนฝูงของพวกเจ้าหรือไม่?  ลักษณะเด่นของพวกเขาคืออะไร?  พวกเขาทำตามกฎระเบียบที่มีมากมายเป็นพิเศษ  พวกเขาค่อนข้างพิถีพิถันกับวาจาของตน โดยไม่หยาบคาย ไม่กระด้าง ไม่ทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่น  เวลานั่ง พวกเขาก็นั่งอย่างถูกต้องเหมาะสม เวลายืน พวกเขาก็ยืนอย่างมีท่วงท่า  พฤติกรรมในทุกแง่มุมของพวกเขาดูมีการขัดเกลาและสุขุมในสายตาของผู้อื่นที่รู้สึกชื่นชอบและอิจฉาที่ได้พบเห็นพวกเขา  เวลาพบปะผู้คน พวกเขาก็ก้มหัวและโน้มตัว พวกเขาโค้งคำนับและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง  พวกเขาพูดจาสุภาพ ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องความเหมาะสมและความสงบเรียบร้อยในที่สาธารณะอย่างเคร่งครัด โดยไม่มีความเคยชินหรือนิสัยอันธพาลของชนชั้นล่างในสังคม  โดยรวมแล้วพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาก่อให้เกิดความสบายใจและเรียกเสียงชมเชยจากผู้พบเห็น  แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ชวนให้ไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดี นั่นคือ สำหรับพวกเขาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมีกฎระเบียบ  การกินก็มีกฎระเบียบของการกิน การนอนก็มีกฎระเบียบของการนอน การเดินก็มีกฎระเบียบของการเดิน แม้กระทั่งการออกจากบ้านและกลับเข้าบ้านก็มีกฎระเบียบ  เวลาอยู่กับคนแบบนี้ คนเราจึงรู้สึกค่อนข้างอึดอัดและไม่สบายใจ  เจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะพูดถึงกฎระเบียบขึ้นมาเมื่อใด และถ้าเจ้าละเมิดกฎนั้นๆ เข้าโดยไม่ทันระวัง เจ้าก็จะดูไม่มีความยั้งคิดและไม่รู้ความ ในขณะที่พวกเขาดูมีมารยาทมาก  พวกเขามีมารยาทจริงๆ แม้แต่รอยยิ้มก็เป็นการยิ้มแบบไม่เห็นฟัน และในการร้องไห้ พวกเขาก็ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้อื่น แต่ร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มกลางดึกในขณะที่คนอื่นต่างนอนหลับกันหมด  ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็เป็นไปตามกฎระเบียบ  นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “การอบรมเลี้ยงดู”  ผู้คนเช่นนี้มีชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งธรรมเนียมปฏิบัติ ในครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ พวกเขามีกฎระเบียบมากมายและมีการอบรมเป็นอันมาก  ไม่ว่าเจ้าจะบรรยายว่าอย่างไร พฤติกรรมอันดีงามที่ระบุไว้ในคำว่า ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล ก็คือพฤติกรรม—เป็นพฤติกรรมอันดีงามภายนอกที่ถูกปลูกฝังไว้ในตัวคนคนหนึ่งโดยสภาพแวดล้อมที่พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ และพฤติกรรมดังกล่าวก็ค่อยๆ หล่อหลอมเข้าไปในตัวคนคนหนึ่งโดยมาตรฐานอันสูงส่งและข้อกำหนดอันเข้มงวดที่พวกเขาใช้กำกับพฤติกรรมของตนเอง  ไม่ว่าพฤติกรรมเช่นนี้จะมีอิทธิพลครอบงำผู้คนอย่างไร พฤติกรรมเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของพฤติกรรมภายนอกของมนุษย์เท่านั้น และแม้มนุษย์จะยึดถือว่าพฤติกรรมภายนอกดังกล่าวเป็นพฤติกรรมอันดีงาม เป็นพฤติกรรมที่ผู้คนเห็นชอบและพากเพียรที่จะทำให้ได้ แต่กลับเป็นคนละเรื่องกับอุปนิสัยของมนุษย์  ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกของคนเราจะดีงามอย่างไรก็ไม่สามารถปกปิดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกของคนเราจะดีงามอย่างไรก็ไม่อาจแทนที่ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้  แม้พฤติกรรมของคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลจะมีระเบียบวินัยมาก ทำให้ผู้อื่นเกิดความเคารพและนับถือไม่น้อยทีเดียว แต่พออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาพรั่งพรูออกมา พฤติกรรมอันดีงามของพวกเขาก็ไร้ประโยชน์  ไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะสูงส่งและเป็นผู้ใหญ่เพียงใด เมื่อสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริงบังเกิดขึ้นกับพวกเขา พฤติกรรมอันดีงามของพวกเขาย่อมไร้ประโยชน์ และไม่ได้กระตุ้นให้พวกเขาเข้าใจความจริง—ในทางกลับกัน เพราะพวกเขาเชื่อในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลคือสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาจึงยังยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นความจริง ทั้งยังใช้สิ่งนั้นประเมินและตั้งคำถามกับพระวจนะที่พระเจ้าตรัส  พวกเขาประเมินคำพูดและการกระทำของตนเองตามถ้อยแถลงนั้น แล้วนั่นก็เป็นมาตรฐานที่พวกเขาใช้ประเมินผู้อื่นด้วย  ตอนนี้จงดูคำนิยามที่ว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร”—คือการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  ทีนี้ มาตรฐานของพฤติกรรมภายนอกที่กำหนดให้ต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่เพียงไม่เกี่ยวข้องเท่านั้น—ยังขัดแย้งกันอีกด้วย  ขัดแย้งกันตรงไหน?  (คำกล่าวแบบนี้มีแต่จะทำให้ผู้คนมุ่งเน้นพฤติกรรมอันดีงามภายนอกเท่านั้น แต่กลับเมินเจตนาและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในตัวเอง  คำกล่าวแบบนี้ทำให้ผู้คนถูกพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ชักพาให้หลงผิด และไม่คิดทบทวนสิ่งที่อยู่ในความคิดอ่านและมโนคติของตน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และถึงกับอิจฉาและบูชาคนอื่นตามพฤติกรรมของผู้คนเหล่านั้นอย่างมืดบอด)  นั่นคือผลที่ตามมาของการยอมรับถ้อยแถลงจากวัฒนธรรมดั้งเดิม  ดังนั้นเมื่อมนุษย์มองเห็นผลงานของพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ เขาย่อมจะให้ค่ากับพฤติกรรมเหล่านั้น  เขาเริ่มด้วยการเชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านี้คือสิ่งที่ดีงามและเป็นบวก และเมื่อมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบวก เขาจึงปฏิบัติต่อพฤติกรรมเหล่านี้ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้คือความจริง  จากนั้นเขาก็ใช้เรื่องนี้เป็นหลักเกณฑ์ในการห้ามปรามตนเองและประเมินผู้อื่น เขาใช้เป็นหลักการพื้นฐานของทัศนะที่เขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และเมื่อทำเช่นนี้ เขาย่อมใช้เรื่องนี้เป็นหลักการพื้นฐานในการวางตนและการกระทำของเขาด้วย  เมื่อเป็นเช่นนี้ นี่ย่อมขัดแย้งกับความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนนี้พวกเราจะวางถ้อยแถลงที่ว่าคนเราต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลนั้นชักพาผู้คนให้หลงผิดเอาไว้ก่อน และจะพูดถึงตัวถ้อยแถลงเอง  “ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล”—เป็นวลีที่มีอารยธรรมและสูงส่ง  ทุกคนชอบถ้อยแถลงนี้ แล้วมนุษย์ก็ใช้ถ้อยแถลงนี้ประเมินคนอื่น และใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าถ้อยแถลงนี้ถูกต้อง ดีงาม และเป็นหลักเกณฑ์อย่างหนึ่ง  แล้วเมื่อคิดเช่นนี้ เขาจึงใช้ถ้อยแถลงนี้เป็นหลักการพื้นฐานในการวางตัวและกระทำการของตนด้วย  ตัวอย่างเช่น มนุษย์ไม่ได้ประเมินความดีงามของใครคนหนึ่งตามพระวจนะของพระเจ้า  เขาประเมินตามอะไร?  “คนคนนี้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลหรือไม่?  พฤติกรรมภายนอกของพวกเขาผ่านการอบรมบ่มเพาะมาหรือไม่?  พวกเขาทำตามกฎระเบียบดีหรือเปล่า?  พวกเขาเคารพผู้อื่นหรือไม่?  พวกเขามีมารยาทหรือไม่?  พวกเขาใช้ท่าทีที่ถ่อมใจเวลาพูดคุยกับคนอื่นหรือไม่?  พวกเขามีพฤติกรรมอันดีงามเหมือนที่ครั้งหนึ่งข่งหรงยอมสละลูกแพร์ลูกใหญ่กว่าหรือไม่?[ก]  พวกเขาเป็นคนแบบนั้นหรือไม่?”  พวกเขาใช้อะไรเป็นหลักในการตั้งคำถามและมีทัศนะเหล่านี้?  ก่อนอื่น นี่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  การที่พวกเขาใช้ถ้อยแถลงนี้เป็นหลักเกณฑ์ของตนนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ทำไมถึงไม่ถูกต้อง?  เป็นคำตอบที่ง่ายมาก แต่พวกเจ้าก็ตอบไม่ได้  เพราะนั่นไม่ใช่วิธีประเมินของพระเจ้า และพระองค์จะไม่ทรงยอมให้มนุษย์ทำเช่นนี้  ถ้ามนุษย์ทำเช่นนี้ เขาก็ผิด  ถ้าใครบางคนจะประเมินคนหรือเหตุการณ์ในหนทางนี้ ถ้าพวกเขาใช้วิธีนี้เป็นมาตรฐานในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย พวกเขาก็กำลังละเมิดความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  นั่นคือความขัดแย้งระหว่างความจริงกับมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิม  เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วพระเจ้าทรงให้มนุษย์ใช้อะไรเป็นหลักในการประเมินคนอื่น?  พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์มองผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามสิ่งใด?  (พระวจนะของพระองค์)  พระองค์ทรงให้มนุษย์มองผู้คนตามพระวจนะของพระองค์  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่หมายถึงการประเมินว่าคนคนหนึ่งมีความเป็นมนุษย์ตามพระวจนะของพระองค์หรือไม่  นั่นเป็นส่วนหนึ่ง  นอกเหนือจากนี้ก็เป็นไปตามการที่ว่าคนคนนั้นรักความจริงหรือไม่ พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่ และพวกเขาสามารถนบนอบความจริงได้หรือไม่  เหล่านี้คือรายละเอียดที่ชัดเจนของเรื่องมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นมนุษย์ใช้อะไรประเมินความดีงามของคนอีกคนหนึ่ง?  ด้วยการดูว่าพวกเขาได้รับการอบรมบ่มเพาะและมีระเบียบวินัยอย่างดีหรือไม่ พวกเขาเปาะปากหรือมักจะเขี่ยเลือกชิ้นอาหารเวลากินหรือไม่ เมื่อถึงมื้ออาหาร พวกเขารอให้ผู้อาวุโสของตนนั่งก่อนแล้วตนเองค่อยนั่งหรือไม่  พวกเขาใช้อะไรทำนองนี้มาประเมินคนอื่น  การใช้สิ่งเหล่านี้ก็คือการใช้มาตรฐานทางด้านพฤติกรรมที่ว่าผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลมิใช่หรือ?  (ใช่)  การประเมินแบบนี้ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  ตรงตามความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ชัดเจนทีเดียวว่าไม่ตรงตามความจริง  ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วการประเมินแบบนี้ให้ผลเช่นไร?  คนที่ประเมินเชื่อว่าใครก็ตามที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลคือคนดี และถ้าเจ้าให้คนที่ประเมินเช่นนี้สามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็จะปลูกฝังกฎเกณฑ์และหลักคำสอนต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องภายในครอบครัว รวมทั้งพฤติกรรมอันดีงามให้แก่ผู้คนอยู่เสมอ  แล้วในท้ายที่สุด ผลจากการที่พวกเขาปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ในตัวผู้คนก็คือพวกเขาย่อมจะพาให้ผู้คนมีพฤติกรรมอันดีงาม แต่แก่นแท้ที่เสื่อมทรามของผู้คนเหล่านั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย  การทำสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้คือการออกห่างจากความจริงและพระวจนะของพระเจ้าไปมาก  ผู้คนเช่นนี้มีแต่พฤติกรรมอันดีงามไม่กี่อย่างเท่านั้น  ดังนั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในตัวพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงเพราะพฤติกรรมอันดีงามได้หรือไม่?  พวกเขาจะสัมฤทธิ์การนบนอบและการจงรักภักดีต่อพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย  ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นใครไปแล้ว?  พวกฟาริสีที่มีพฤติกรรมอันดีงามเพียงภายนอกเท่านั้น แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่เข้าใจความจริง และไม่สามารถนบนอบพระเจ้า  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  จงดูพวกฟาริสีเถิด—ตามลักษณะภายนอก พวกเขาดูไร้ที่ติไม่ใช่หรือ?  พวกเขารักษาวันสะบาโต และไม่ทำอะไรในวันสะบาโต  พวกเขาพูดจาสุภาพนอบน้อม ยึดถือกฎเกณฑ์และทำตามกฎดีทีเดียว มีการอบรมบ่มเพาะเป็นอย่างดี มีอารยธรรมและมีความรู้มาก  เนื่องจากพวกเขาอำพรางตนเก่งและไม่ยำเกรงพระเจ้าเลย แต่กลับตัดสินพระองค์และกล่าวโทษพระองค์ พวกเขาจึงถูกพระองค์สาปแช่งในท้ายที่สุด  พระเจ้าทรงนิยามพวกเขาเป็นพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด เป็นคนทำชั่วทั้งสิ้น  ในทำนองเดียวกันก็เป็นที่แจ้งชัดว่าผู้คนจำพวกที่ใช้พฤติกรรมอันดีงามที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเป็นหลักเกณฑ์ในการวางตัวและการกระทำของตน ย่อมไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อพวกเขาใช้กฎเกณฑ์นี้ประเมินผู้อื่น รวมทั้งใช้วางตัวและกระทำการ ก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และเมื่อพวกเขาทำการตัดสินใครบางคนหรืออะไรบางอย่าง มาตรฐานและหลักการพื้นฐานที่ใช้ในการตัดสินนั้นย่อมไม่ตรงตามความจริง แต่ละเมิดความจริง  สิ่งเดียวที่พวกเขามุ่งเน้นก็คือพฤติกรรมของคน วิถีทางของพวกเขา ไม่ใช่อุปนิสัยและแก่นแท้ของคนเหล่านั้น  หลักการพื้นฐานของพวกเขาไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ความจริง แต่การประเมินของพวกเขากลับเป็นไปตามมาตรฐานสำหรับพฤติกรรมในวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่าผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลนี้  ผลสรุปของการประเมินเช่นนี้ก็คือสำหรับพวกเขาแล้ว ตราบใดที่คนคนหนึ่งมีพฤติกรรมภายนอกที่ดีงามดังกล่าวโดยผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล คนคนนั้นย่อมเป็นคนดีและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เมื่อผู้คนนำการจัดหมวดหมู่แบบนั้นมาใช้ ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีจุดยืนที่ตรงข้ามกับความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  และยิ่งพวกเขานำหลักเกณฑ์ทางด้านพฤติกรรมนี้มาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนใช้วางตนและปฏิบัติตนมากเท่าใด ผลที่เกิดขึ้นก็ยิ่งพาให้พวกเขาทุกคนออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้าและความจริงมากขึ้นเท่านั้น  แม้จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็สุขสำราญกับสิ่งที่ตนทำอยู่และเชื่อว่าตนเองกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  ในการค้ำชูถ้อยแถลงอันดีงามบางอย่างของวัฒนธรรมดั้งเดิม พวกเขาย่อมเชื่อว่าตนกำลังค้ำชูความจริงและหนทางที่แท้จริง  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะยึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้นเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะยืนกรานในเรื่องเหล่านั้นเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะไม่ได้ชื่นชมหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเลย และพวกเขาจะไม่นบนอบพระเจ้าแม้แต่น้อย  แล้วนี่ก็ยิ่งไม่สามารถก่อให้เกิดความยำเกรงที่แท้จริงต่อพระเจ้าได้เลย  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนค้ำจุนพฤติกรรมอันดีงามทุกอย่างที่เข้าทำนองผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  ยิ่งมนุษย์มุ่งเน้นพฤติกรรมอันดีงาม เน้นการมีชีวิตตามนั้น เน้นการไล่ตามเสาะหาพฤติกรรมเช่นนั้นมากเท่าใด เขาก็ยิ่งออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น—และยิ่งมนุษย์ออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งเข้าใจความจริงได้น้อยลงเท่านั้น  นี่เกิดขึ้นเป็นปกติ  ถ้าพฤติกรรมของบางคนดีขึ้น นั่นหมายความว่าอุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปใช่ไหม?  พวกเจ้ามีประสบการณ์แบบนี้หรือไม่?  พวกเจ้าเคยเสาะแสวงที่จะเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลโดยไม่รู้ตัวหรือไม่?  (เคย)  นั่นเป็นเพราะทุกคนเข้าใจว่าเมื่อเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล คนเราย่อมดูน่านับถือและสูงส่งทีเดียวในสายตาของผู้อื่น  ผู้อื่นย่อมยกย่องพวกเขา  เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นการมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ก็ไม่ควรเป็นเรื่องไม่ดี  แต่การมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ การแสดงออกอันดีงามเหล่านี้ สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ได้หรือไม่?  สามารถป้องกันผู้คนไม่ให้ทำเรื่องไม่ดีได้หรือไม่?  ถ้าไม่ได้ พฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้มีประโยชน์อะไร?  นี่ก็เพียงให้ดูดีเท่านั้น ไม่มีประโยชน์  ผู้คนที่มีพฤติกรรมอันดีงามดังกล่าวนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขายอมรับและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่?  ชัดเจนว่าไม่ได้  พฤติกรรมอันดีงามไม่อาจแทนที่การปฏิบัติความจริงของมนุษย์ได้  นี่เป็นอย่างที่เคยเป็นไปกับพวกฟาริสี  พฤติกรรมของพวกฟาริสีนั้นดีเยี่ยม และพวกเขาเคร่งศรัทธามาก แต่พวกเขาปฏิบัติต่อองค์พระเยซูเจ้าอย่างไร?  คงจะไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะสามารถตรึงกางเขนพระผู้ไถ่มวลมนุษย์ได้ลงคอ  ดังนั้นคนที่มีเพียงพฤติกรรมภายนอกอันดีงาม แต่ยังไม่ได้รับความจริงย่อมตกอยู่ในอันตราย  พวกเขาอาจทำอย่างที่เคยทำมาตลอด โดยต้านทานและทรยศพระเจ้า  ถ้าเจ้ามองเรื่องนี้ไม่ออก เจ้าอาจจะยังคงถูกพฤติกรรมอันดีงามของผู้คนชักพาให้หลงผิดเหมือนเช่นเคย

คำว่าผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเป็นมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมของมนุษย์  ไม่ตรงกับความจริงอย่างสิ้นเชิง  ในเมื่อขัดแย้งกับความจริง มนุษย์ควรมีสิ่งใดกันแน่ถ้าจะนำความจริงไปปฏิบัติ?  ความเป็นจริงแบบใดที่เมื่อใช้ชีวิตตามนั้นแล้วจะสอดคล้องกับความจริงและข้อกำหนดของพระเจ้า?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  ด้วยสามัคคีธรรมเช่นนี้ บางคนอาจบอกว่า “พระองค์ตรัสว่าการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลไม่ตรงกับความจริง เป็นเพียงพฤติกรรมอันดีงามภายนอกเท่านั้น  อย่างนั้นพวกเราก็จะไม่เป็นเพียงคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลอีกต่อไป  ชีวิตก็จะยิ่งไร้กังวล ไม่มีการตีกรอบ ไม่ถูกกฎเกณฑ์ควบคุม  พวกเราจะสามารถทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ใช้ชีวิตอย่างที่พวกเราต้องการ  แล้วพวกเราจะไร้กังวลกันขนาดไหน!  ในเมื่อพฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับจุดจบของเขา ตอนนี้พวกเราก็มีอิสระมากขึ้น  พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการอบรมบ่มเพาะ กฎเกณฑ์ หรืออะไรแบบนั้น”  นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะได้จากเรื่องนี้หรือ?  (ไม่ใช่)  นั่นเป็นความเข้าใจที่บิดเบี้ยว พวกเขาผิดพลาดที่ทำอะไรสุดโต่ง  แล้วจะมีใครทำผิดพลาดเช่นนั้นหรือไม่?  อาจมีบางคนที่บอกว่า “ในเมื่อผู้คนที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะอาจจะยังคงต้านทานและทรยศพระเจ้าอยู่ดี ฉันก็จะไม่เป็นคนที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะแล้วกัน  ฉันเริ่มรู้สึกดูแคลนผู้คนที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะแล้ว  ฉันนึกดูหมิ่นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม คนที่เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ คนที่มีไมตรีจิต  ฉันดูแคลนทุกคนที่ฉันเห็นว่าแสดงสิ่งเหล่านี้ออกมา และว่ากล่าวพวกเขาต่อหน้าผู้คนว่า ‘พฤติกรรมของคุณเป็นพฤติกรรมของพวกฟาริสี  นั่นหมายที่จะชักพาคนอื่นให้หลงผิด  นี่ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง และยิ่งไม่ใช่การปฏิบัติความจริง  เลิกพยายามที่จะหลอกให้พวกเราหลงกลได้แล้ว—พวกเราจะไม่ถูกคุณหลอกหรือหลงกลของคุณ!’”  พวกเจ้าจะกระทำตัวอย่างนั้นหรือไม่?  (ไม่)  ถูกต้องแล้วที่พวกเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น  ถ้าเจ้าจะทำอะไรที่ไร้สำนึกอย่างนั้น นั่นย่อมหมายความว่าเจ้าเป็นคนที่มีแนวโน้มที่จะบิดเบือนความจริง  คนที่มีความเข้าใจบิดเบี้ยวบางคนขาดความเข้าใจอันถ่องแท้ในความจริง—พวกเขาไม่มีความสามารถที่ในการความเข้าใจ  สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ พวกเขาถึงได้กระทำการอย่างนั้น  ดังนั้นเหตุใดพวกเราจึงสามัคคีธรรมและชำแหละปัญหานี้กัน?  โดยหลักแล้วก็เพื่อให้ผู้คนเข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาพฤติกรรมอันดีงามภายนอก และไม่ได้หมายจะทำให้เจ้าเป็นคนประพฤติดี มีระเบียบวินัย และมีการอบรมบ่มเพาะ  แต่หมายจะทำให้เจ้าเข้าใจความจริง ปฏิบัติความจริง และสามารถกระทำการบนพื้นฐานของความจริง ซึ่งหมายความว่าทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้นมีหลักการพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และทั้งหมดสอดคล้องกับความจริง  พฤติกรรมที่สอดคล้องกับความจริงและมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการพื้นฐานย่อมไม่เหมือนกับการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล และไม่เหมือนกับมาตรฐานที่วัฒนธรรมดั้งเดิมและหลักศีลธรรมดั้งเดิมกำหนดให้กับมนุษย์  สองอย่างนี้ต่างกัน  พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และพระวจนะก็เป็นหลักเกณฑ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ใช้ประเมินวัดความดีความชั่วของมนุษย์ และความถูกผิดของเขา  ส่วนมาตรฐานของการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลตามวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นห่างไกลจากมาตรฐานของหลักธรรมความจริงมากนัก  พระเจ้าตรัสบอกเจ้าเมื่อใดและในระหว่างพระราชกิจระยะใดว่าเจ้าต้องเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล เป็นคนที่มีการอบรมบ่มเพาะและสูงส่ง โดยไม่สนใจความใฝ่ต่ำในตัวเจ้า?  พระเจ้าเคยตรัสเรื่องดังกล่าวหรือไม่?  (ไม่เคย)  พระองค์ไม่เคยตรัส  ดังนั้นพระเจ้าทรงมีถ้อยแถลงและพระประสงค์เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ว่าอย่างไร?  จงวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  เช่นนั้นแล้วหลักการพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้าคืออะไร?  หมายถึงความจริงข้อใดที่เจ้าควรใช้เป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า และเจ้าต้องใช้ชีวิตแบบใด เจ้าจึงจะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงอยู่?  นี่คือสิ่งที่พึงทำความเข้าใจไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นมาตรฐานของข้อกำหนดทางด้านพฤติกรรมของมนุษย์ตามพระวจนะของพระเจ้าคืออะไร?  พวกเจ้าหาพระวจนะของพระองค์ที่อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนได้หรือไม่?  (พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เรามีความหวังมากมาย เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถปฏิบัติตนในลักษณะที่ถูกต้องเหมาะสมและประพฤติดี ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ มีความจริงและความเป็นมนุษย์ เป็นผู้คนที่สามารถยอมล้มเลิกทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามีและแม้แต่ชีวิตของพวกเขาเพื่อพระเจ้า และอื่นๆ อีกมาก ความหวังทั้งหมดนี้มีต้นตอมาจากความขาดตกบกพร่องของพวกเจ้าและความเสื่อมทรามกับความเป็นกบฏของพวกเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก))  พระวจนะทั้งหมดนั้นคือหลักธรรมและข้อกำหนดสำหรับการวางตัวของมนุษย์  แล้วมีพระวจนะอื่นใดอีกที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงลงไป?  (มีอีกบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “หัวใจของเจ้าต้องอยู่ในสภาวะของความเงียบสงบที่สม่ำเสมอ และเวลาที่สิ่งต่างๆ บังเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องไม่ผลีผลาม มีอคติ ดื้อดึง แตกต่างทางความคิด ไม่จริงใจ หรือจอมปลอม เพื่อที่เจ้าจะสามารถปฏิบัติตนด้วยเหตุผลได้  นี่เป็นการสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างถูกต้องเหมาะสม” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เส้นทางของการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม))  นั่นก็พอจะเป็นการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงอยู่บ้าง  เหล่านั้นคือบทบัญญัติและข้อกำหนดสำหรับพฤติกรรมและวิถีภายนอกของมนุษย์ที่เฉพาะเจาะจงลงไป  สามารถมองสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นหลักการพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่?  เฉพาะเจาะลงพอหรือไม่?  (พอ)  จงอ่านข้อความอีกครั้งเถิด  (“หัวใจของเจ้าต้องอยู่ในสภาวะของความเงียบสงบที่สม่ำเสมอ และเวลาที่สิ่งต่างๆ บังเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องไม่ผลีผลาม มีอคติ ดื้อดึง แตกต่างทางความคิด ไม่จริงใจ หรือจอมปลอม เพื่อที่เจ้าจะสามารถปฏิบัติตนด้วยเหตุผลได้  นี่เป็นการสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างถูกต้องเหมาะสม”)  จงจดบันทึกทั้งหมดนั้นเอาไว้ เป็นหลักธรรมที่พวกเจ้าควรค้ำชูเวลากระทำการในภายภาคหน้า  หลักธรรมเหล่านั้นบอกผู้คนว่าในการวางตัวและปฏิบัติตน พวกเขาควรเรียนรู้ที่จะเผชิญสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุผล และนอกจากนั้นพวกเขาต้องสามารถแสวงหาหลักธรรมความจริงจากฐานรากของการกระทำตามมโนธรรมและเหตุผล  จงวางตัวและปฏิบัติตนเช่นนี้ แล้วจะมีทั้งหลักธรรมและเส้นทางในการปฏิบัติ

เรื่องที่พวกเราเพิ่งพูดถึงว่า “เวลาที่สิ่งต่างๆ บังเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องไม่ผลีผลาม มีอคติ ดื้อดึง แตกต่างทางความคิด ไม่จริงใจ หรือจอมปลอม เพื่อที่เจ้าจะสามารถปฏิบัติตนด้วยเหตุผลได้”—เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายหรือไม่?  แท้จริงแล้วทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยการฝึกฝนสักระยะหนึ่ง  ถ้ามีบางคนที่ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้จริงๆ แล้วจะทำเช่นไร?  ตราบใดที่เจ้าทำสิ่งหนึ่งอยู่เพียงอย่างเดียวย่อมจะไม่เป็นอะไร หมายความว่าเมื่อเจ้าเผชิญปัญหาหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งให้ค้ำชู กล่าวคือ เจ้าต้องวางตัวและกระทำการในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเจริญใจ  นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุด  หากเจ้าปฏิบัติและยึดถือตามนี้เป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า โดยรวมแล้วเจ้าจะไม่สร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้อื่น และจะไม่ทำให้ตนเองเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่  จงวางตัวและกระทำการในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเจริญใจ—มีรายละเอียดในเรื่องนี้หรือไม่?  (มี)  จงอย่าอิ่มเอมใจเมื่อเห็นผลประโยชน์ของผู้อื่นเสียหาย จงอย่าสร้างความสุขและความชื่นบานของตนบนความทุกข์ของผู้อื่น  นั่นคือความหมายของการทำให้เจริญใจ  วิธีการพื้นฐานที่สุดที่จะเข้าใจการทำให้เจริญใจแบบนี้คืออะไร?  หมายความว่าเมื่อประเมินตามมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์แล้ว ผู้อื่นต้องยอมรับพฤติกรรมของเจ้าได้ พฤติกรรมของเจ้าต้องสอดคล้องกับมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์  นี่ก็เพื่อให้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถใช้ชีวิตตามนี้ได้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  สมมุติว่าใครบางคนกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง แล้วเจ้าก็เข้าไปโดยไม่สนใจมองสภาพแวดล้อมรอบตัว แล้วเริ่มร้องเพลงและเล่นดนตรี  นั่นจะเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  นั่นย่อมจะเป็นการสร้างความสุขและสนุกสนานบนความทุกข์ของผู้อื่นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าใครบางคนกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือกำลังสามัคคีธรรมความจริง แล้วเจ้าก็ต้องพูดคุยกับพวกเขาถึงปัญหาของตัวเองให้ได้ นั่นเป็นการเคารพพวกเขาหรือไม่?  นั่นย่อมไม่เป็นที่เจริญใจของพวกเขาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ที่ว่าไม่เป็นที่เจริญใจหมายความว่าอย่างไร?  อย่างน้อยที่สุดนั่นก็หมายความว่าเจ้าไม่เคารพผู้อื่น  เจ้าต้องไม่ขัดจังหวะการพูดหรือการกระทำของผู้อื่น  นั่นคือสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถสัมฤทธิ์ได้ไม่ใช่หรือ?  ถ้าเจ้าไม่อาจสัมฤทธิ์ได้แม้แต่เรื่องนั้น เจ้าก็ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลเลยจริงๆ  คนที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลจะมีทางเข้าถึงความจริงได้หรือไม่?  พวกเขาไม่มีทางเข้าถึงได้  การปฏิบัติความจริงเป็นสิ่งที่มีแต่คนที่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้นจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ได้ และถ้าเจ้าจะไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างน้อยที่สุดการพูดและการกระทำของเจ้าก็ต้องเป็นไปตามมาตรฐานทางมโนธรรมและเหตุผล เจ้าต้องทำให้คนรอบตัวเจ้าเห็นว่าเจ้าเป็นที่ยอมรับ และผ่านเกณฑ์มาตรฐานของทุกคน  นี่คือสิ่งที่พวกเราเพิ่งพูดกันไปว่า อย่างน้อยที่สุดก็ให้การกระทำของเจ้าดูดีพอในสายตาของผู้อื่นและเป็นที่เจริญใจของพวกเขา  การเป็นที่เจริญใจเหมือนกับการเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือไม่?  ไม่เหมือนกันเลย—การเป็นที่เจริญใจคือการที่ต่างฝ่ายต่างเคารพพื้นที่ของผู้อื่น ไม่ก่อให้เกิดการขัดขวาง ขัดจังหวะ หรือรุกล้ำกัน นี่คือการไม่ทำให้พวกเขาเสียหายหรือรู้สึกเป็นทุกข์เพราะพฤติกรรมของเจ้า  นั่นคือความหมายของการเป็นที่เจริญใจ  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  การเป็นที่เจริญใจไม่ใช่เรื่องว่าเจ้าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากเพียงใด นี่เป็นเรื่องของการที่พวกเขาสามารถใช้ผลประโยชน์และสิทธิ์ที่เป็นของพวกเขาอย่างถูกต้อง โดยไม่ถูกความเอาแต่ใจและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเจ้าขัดจังหวะเวลาใช้สิ่งเหล่านั้น และพรากสิ่งเหล่านั้นไปจากพวกเขา  เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนนี้พวกเจ้าก็รู้พระวจนะของพระเจ้าบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระประสงค์ที่ทรงมีต่อการวางตัวและการกระทำของมนุษย์บ้างแล้ว แต่เราก็ยังจะกล่าวแก่พวกเจ้าอยู่ดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การวางตัวและการกระทำของเจ้าต้องเป็นที่เจริญใจของผู้อื่น  นั่นคือหลักธรรมของการกระทำ  เจ้าเข้าใจหรือยังว่าการเป็นที่เจริญใจหมายความว่าอย่างไร?  (เข้าใจแล้ว)  มีบางคนที่ไม่คำนึงเลยว่าคำพูดและการกระทำของตนทำให้ผู้อื่นเจริญใจหรือไม่ แต่ก็ยังคงกล่าวอ้างว่าตนนั้นเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  นั่นเป็นการหลอกลวงไม่ใช่หรือ?  การวางตัวและการกระทำอันเป็นที่เจริญใจของผู้อื่น—มีบทเรียนให้เรียนรู้จากการทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?  นี่อาจเป็นการแสดงออกทางพฤติกรรม แต่ลุล่วงได้ง่ายหรือไม่?  ถ้าบางคนเข้าใจความจริงสักหน่อย พวกเขาจะรู้วิธีปฏิบัติตนตามหลักธรรม วิธีปฏิบัติตนในลักษณะที่พาให้ผู้อื่นเจริญใจ และวิธีปฏิบัติตนในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  ถ้าบางคนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็จะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร พวกเขาทำได้เพียงปฏิบัติตนโดยพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเท่านั้น  บางคนไม่เคยแสวงหาความจริงในชีวิตประจำวันของตนไม่ว่าอะไรจะบังเกิดแก่พวกเขาก็ตาม  พวกเขาเพียงแต่ปฏิบัติตนตามความชอบส่วนตน โดยไม่สนใจว่านั่นทำให้ผู้อื่นรู้สึกอย่างไร  การกระทำดังกล่าวมีหลักธรรมหรือไม่?  พวกเจ้าควรมองเห็นได้ว่ามีหรือไม่มีมิใช่หรือ?  พวกเจ้าทุกคนมักจะเข้าชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้า ถ้าพวกเจ้าเข้าใจความจริงได้บ้าง พวกเจ้าก็จะสามารถปฏิบัติและจัดการเรื่องบางอย่างตามหลักธรรมความจริงได้  การปฏิบัติเช่นนั้นทำให้เจ้ารู้สึกอย่างไร?  แล้วทำให้ผู้อื่นรู้สึกอย่างไร?  ถ้าเจ้าพยายามอย่างหนักที่จะจับความรู้สึกนั้นให้ได้ เจ้าก็จะรู้ว่าการปฏิบัติแบบไหนที่ทำให้ผู้อื่นเจริญใจ  ปกติแล้วเมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่พวกเจ้า ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม พวกเจ้าจะไม่ใช้ความคิดพิจารณาประเด็นปัญหาที่แท้จริงว่าควรกระทำการอย่างไรจึงจะเข้าข่ายความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือเข้าข่ายของการปฏิบัติความจริง  ดังนั้นเมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่เจ้า ถ้ามีคนถามพวกเจ้าว่าการปฏิบัติหรือการกระทำแบบไหนที่จะทำให้ผู้อื่นเจริญใจได้ พวกเจ้าย่อมจะรู้สึกว่าตอบยาก ราวกับไม่มีเส้นทางที่ชัดเจน  ทุกสิ่งที่เรานำมาสามัคคีธรรมในการชุมนุมทั้งหลายล้วนเป็นปัญหาในชีวิตจริงเหล่านี้ทั้งสิ้น แต่พอพวกเจ้าเผชิญปัญหาเหล่านี้ พวกเจ้ากลับไม่เคยตามทันได้เลยและความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้าก็ว่างเปล่าเสมอ  นั่นไม่สอดคล้องกันไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้าเล่า?  คำสอนบางอย่าง คำขวัญบางอย่าง  พวกเจ้าช่างอ่อนด้อยและน่าสมเพชนัก!

เรื่องหนึ่งที่พวกเราได้เสวนากันว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนว่าถูกต้องและดีงาม—ซึ่งก็คือการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล—มีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเฉพาะของมนุษย์บางอย่าง รวมถึงวิถีความเข้าใจดั้งเดิมบางอย่างที่มนุษย์มีต่อพฤติกรรมนี้  สรุปว่าเมื่อมองดูพฤติการณ์นี้ในปัจจุบัน พวกเราย่อมมองเห็นว่านั่นไม่เกี่ยวข้องกับความจริงหรือความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงเลย  นี่เป็นเพราะพฤติการณ์ดังกล่าวห่างไกลจากความจริงมากและไม่อาจนำมากล่าวร่วมกันได้ นอกเหนือจากนั้น โดยพื้นฐานแล้วพฤติกรรมดังกล่าวไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดไว้เกี่ยวกับทัศนะที่มนุษย์ควรมีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและการกระทำของมนุษย์ ซึ่งไม่เข้ากับมาตรฐานทั้งหลายและไม่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างสิ้นเชิง  นี่เป็นเพียงพฤติกรรมของมนุษย์เท่านั้น  ไม่ว่ามนุษย์จะแสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกมาได้ดีเพียงใด และไม่ว่าเขาจะฝึกฝนพฤติกรรมดังกล่าวได้ดีหรือไม่ นั่นก็เป็นเพียงพฤติกรรมในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น  ไม่ใช่คุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำ  ถ้อยแถลงที่ว่าคนเราต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล เป็นเพียงหนทางที่จะทำให้พฤติกรรมภายนอกของมนุษย์ดูสมบูรณ์แบบเท่านั้น  มนุษย์เพียรพยายามอย่างหนักเพื่อเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลก็เพื่อห่อหุ้มให้ตัวเองน่ามองและทำตัวเองให้ดูดี เพียรพยายามอย่างหนักที่จะเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเพื่อให้คนอื่นเคารพและนับถือ ยกฐานะและคุณค่าของตนในกลุ่มที่ตนอยู่  แต่ข้อเท็จจริงก็คือพฤติกรรมเช่นนี้เทียบไม่ได้กับระดับศีลธรรม ความซื่อตรง และศักดิ์ศรีที่บุคคลที่แท้จริงคนหนึ่งควรมี  การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเป็นถ้อยแถลงที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นชุดของพฤติการณ์ซึ่งมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามกำหนดให้กับตนเองในฐานะสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าควรค้ำชู  พฤติการณ์เหล่านี้หมายที่จะเสริมสร้างสถานะของคนคนหนึ่งในกลุ่มของตนและเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้รับความนับถือผู้อื่นและจะได้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีแนวโน้มที่จะถูกคนในกลุ่มดูหมิ่นหรือรังแก  พฤติกรรมภายนอกเช่นนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลักศีลธรรมหรือคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ แต่กลับเป็นสิ่งที่มนุษย์ยกย่องเสียสูงส่งและให้น้ำหนักมากเหลือเกิน  เจ้าจงดูเอาเองเถิดว่าต้องมีความตลบตะแลงในนั้นมากเพียงใด!  เพราะฉะนั้น ถ้าการไล่ตามเสาะหาของเจ้าตอนนี้คือการเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล และเจ้ากำลังควบคุมประพฤติกรรมของตน เพียรพยายามอย่างหนักที่จะไล่ตามไขว่คว้าและปฏิบัติให้ถึงจุดหมายที่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล เราก็ขอให้เจ้าหยุดทำเช่นนั้นทันที  พฤติกรรมและวิธีการเช่นนั้นได้แต่ทำให้เจ้าอำพรางตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นคนหน้าซื่อใจคดยิ่งขึ้นทุกทีเท่านั้น แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะออกห่างจากการเป็นคนซื่อสัตย์ การเป็นคนเปิดเผยและเรียบง่ายมากยิ่งขึ้น  ยิ่งเจ้าเพียรพยายามที่จะเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล เจ้าก็จะยิ่งอำพรางตัวเอง และยิ่งเจ้าอำพรางตัวเอง—การอำพรางของเจ้าก็ยิ่งหนักข้อขึ้น คนอื่นก็จะยิ่งประเมินหรือเข้าใจเจ้าได้ยากขึ้น แล้วเจ้าก็จะยิ่งปิดบังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ลึกขึ้นด้วย  การทำเช่นนั้นจะพาให้สัมฤทธิ์การยอมรับความจริงและความรอดยากมาก  ดังนั้น เมื่อพิจารณาประเด็นเหล่านี้ ทางแห่งการไล่ตามไขว่คว้าการเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเหมือนกับทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  เป็นการไล่ตามเสาะหาที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เบื้องหลังพฤติกรรมที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล นอกเหนือจากเนื้อแท้ที่เป็นลบและผลที่เป็นลบของมันแล้ว ยังมีการตลบตะแลงกับผู้อื่นและตัวเองมากขึ้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลกลับปิดบังความลับที่บอกใครไม่ได้เอาไว้เบื้องหลังมากมาย และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังปิดบังความคิดอ่านที่ผิดพลาด มโนคติอันหลงผิด ทัศนะ ท่าที และแนวคิดสารพัดรูปแบบที่คนอื่นไม่รู้เอาไว้ ซึ่งล้วนเลวทราม ร้ายกาจ ชั่ว และน่ารังเกียจในสายตาของผู้อื่น  เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงามของคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลนี้มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามยิ่งกว่านั้นของพวกเขาซ่อนอยู่  คนที่อยู่ภายใต้พฤติการณ์เช่นนั้นย่อมไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และไม่มีความมั่นใจที่จะยอมรับว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  พวกเขายิ่งไม่มีความกล้าและความมั่นใจที่จะเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เปิดเผยความรู้อันไร้สาระของตน ความคิด เจตนา และเป้าหมายชั่วของตน—หรือเป็นไปได้ว่า แม้แต่ความคิดอ่านที่มีพิษสงและมุ่งร้ายของตน  เบื้องหลังพวกเขามีสิ่งต่างๆ ซุกซ่อนอยู่มากมาย และไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ สิ่งที่ผู้คนมองเห็นอยู่เบื้องหน้าตนมีเพียงผู้ที่เรียกกันว่า “คนดี” ซึ่งมีพฤติกรรมอันดีงามที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  นี่คือความตลบตะแลงอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  พฤติกรรม การกระทำ การไล่ตามเสาะหา และแก่นแท้ทั้งปวงของคนคนนั้นคือการหลอกลวงทั้งสิ้น  พวกเขากำลังหลอกลวงคนอื่น และพวกเขาก็กำลังหลอกลวงตัวเอง  จุดจบของคนแบบนี้จะเป็นเช่นไร?  เพื่อที่จะเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล พวกเขาจึงละทิ้งพระเจ้า หันหลังให้หนทางที่แท้จริง และถูกพระเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์  มนุษย์ซุกซ่อนกลวิธีและพฤติกรรมของการอำพรางและหลอกลวงเอาไว้ทุกซอกมุมที่แฝงเร้นอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงามที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลนั้น และเมื่อเขาทำเช่นนั้น เขาย่อมปกปิดอุปนิสัยอันโอหัง เลวร้าย รังเกียจความจริง โหดร้าย และดื้อแพ่งเอาไว้ด้วย  ดังนั้น ยิ่งคนเราผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล พวกเขาก็ยิ่งตลบตะแลง และยิ่งคนเราเพียรพยายามที่จะเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งรักความจริงน้อยลงเท่านั้น และยิ่งเป็นคนที่รังเกียจความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  จงบอกเราเถิดว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่?  (เป็น)  ในตอนนี้พวกเราจะสรุปสามัคคีธรรมเรื่องพฤติกรรมอันดีงามที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลเอาไว้ตรงนี้

เมื่อครู่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงถ้อยแถลงทางด้านพฤติกรรมอันดีงามในวัฒนธรรมดั้งเดิมคือการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล  พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมถ้อยแถลงที่เหลือทีละข้อ  โดยรวมแล้ว ถ้อยแถลงทั้งหมดที่เกี่ยวกับพฤติกรรมอันดีงามเป็นเพียงวิธีการตกแต่งให้พฤติกรรมและภาพลักษณ์ภายนอกของมนุษย์ดูสมบูรณ์แบบ  “ตกแต่งให้ดูสมบูรณ์แบบ” เป็นการใช้ถ้อยคำที่น่าฟัง กล่าวให้ชัดเจนขึ้นก็คือ แท้จริงแล้วนี่เป็นการอำพรางรูปแบบหนึ่ง เป็นวิธีใช้ฉากหน้าเทียมเท็จหลอกให้คนอื่นรู้สึกดีกับตนเอง หลอกให้พวกเขาประเมินตนเองในทางที่เป็นบวก หลอกให้พวกเขาเคารพตนเอง ในขณะที่ด้านมืดในหัวใจของตน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และใบหน้าที่แท้จริงของตนล้วนถูกซ่อนเร้นและห่อหุ้มไว้อย่างงดงาม  พวกเราอาจกล่าวถึงเรื่องนี้ได้อีกอย่างว่า สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้รัศมีของพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้คือโฉมหน้าที่แท้จริงอันเสื่อมทรามของสมาชิกแต่ละคนของความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม  สิ่งที่ซ่อนอยู่ก็คือสมาชิกแต่ละคนของความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว มีอุปนิสัยอันโอหัง อุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง อุปนิสัยที่โหดร้าย และอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง  ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกของคนคนหนึ่งจะผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล หรืออ่อนโยนและมีมารยาท และไม่ว่าพวกเขามีไมตรีจิต คุยด้วยง่าย เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ หรืออะไรทำนองนั้น—ไม่ว่าพวกเขาแสดงให้เห็นพฤติกรรมแบบใด ก็เป็นเพียงพฤติกรรมภายนอกที่คนอื่นมองเห็นได้เท่านั้น  นั่นไม่สามารถนำพวกเขาให้รู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตนเองผ่านทางพฤติกรรมอันดีงามได้  แม้มนุษย์จะมองพฤติกรรมภายนอกที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท คุยด้วยง่าย และมีไมตรีจิตว่าดี ถึงขั้นที่โลกมนุษย์ทั้งโลกรู้สึกดีกับสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์มีอยู่จริงภายใต้เปลือกนอกที่เป็นพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้  การที่มนุษย์รังเกียจความจริง การที่เขาต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า การที่แก่นแท้ธรรมชาติของเขารังเกียจพระวจนะที่พระผู้สร้างตรัสและต้านทานพระผู้สร้าง—สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง  ไม่มีอะไรเทียมเท็จในนั้นเลย  ไม่ว่าใครบางคนเสแสร้งเก่งเพียงใด ไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะดูดีหรือดูเหมาะควรเพียงใด พวกเขาจะนำเสนอตัวเองให้ดูดีหรืองดงามขนาดไหน หรือพวกเขาจะหลอกลวงอย่างไร สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือคนที่เสื่อมทรามทุกคนเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งสิ้น  ภายใต้หน้ากากที่เป็นพฤติกรรมภายนอกเหล่านี้ พวกเขายังคงต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า ต้านทานและกบฏต่อพระผู้สร้าง  แน่นอนว่าเมื่อมีพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้เป็นสิ่งปกคลุมและเปลือกนอก มวลมนุษย์ย่อมพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาทุกวัน ทุกชั่วโมงและทุกขณะ ทุกนาทีและทุกวินาที และในทุกเรื่องราว แล้วในระหว่างนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและบาป  นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไร้ข้อโต้แย้ง  แม้มนุษย์จะมีพฤติกรรมที่ดูดี มีวาจาชวนฟัง และเปลือกนอกอันเทียมเท็จ แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาก็ไม่ได้ลดน้อยลงแม้แต่น้อย และไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะพฤติกรรมภายนอกเหล่านั้นของตนเลย  ตรงกันข้าม เพราะเขามีพฤติกรรมภายนอกอันดีงามเหล่านี้เป็นเปลือก อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาจึงพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ไม่เคยหยุดก้าวเข้าไปหาการทำชั่วและต้านทานพระเจ้า—และแน่นอนว่าเมื่อถูกอุปนิสัยอันโหดร้ายและเลวร้ายของตนกำกับเอาไว้ ความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี และข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อของเขาจึงขยายตัวและเติบโตตลอดเวลา  จงบอกเราเถิดว่าคนที่สุภาพอ่อนน้อม มีไมตรีจิต คุยด้วยง่าย มีภาพลักษณ์ในการใช้ชีวิตและมีหลักในการวางตัวและกระทำการที่เป็นบวก สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงนั้นอยู่ที่ไหน?  คนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดี มีเหตุผล อ่อนโยน มีมารยาท คนที่รักความจริง คนที่เต็มใจที่จะค้นหาทิศทางและจุดหมายในชีวิตของตนในพระวจนะของพระเจ้า คนที่ทำคุณูปการต่อการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นอยู่ที่ไหน?  เจ้าสามารถหาคนแบบนั้นให้พบสักคนหรือไม่?  (ไม่)  ข้อเท็จจริงก็คือในหมู่มวลมนุษย์ คนที่ยิ่งมีความรู้ ยิ่งมีการศึกษา และยิ่งมีแนวคิด มีสถานะ และมีหน้ามีตามากเท่าใด—แม้พวกเขาอาจได้ชื่อว่าเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดี มีเหตุผล มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่ายก็ตาม—คำกล่าวอ้างที่พวกเขาเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรก็จะยิ่งชักพาผู้คนให้หลงผิดมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาจะยิ่งทำชั่ว และการต้านทานพระเจ้าของพวกเขาก็จะยิ่งร้ายแรง  คนที่ยิ่งมีหน้ามีตาและมีสถานะใหญ่โตก็จะยิ่งชักพาผู้อื่นให้หลงผิดมากขึ้น และยิ่งต้านทานพระเจ้าอย่างรุนแรงขึ้นด้วย  ท่ามกลางความเป็นมนุษย์ จงมองดูผู้คนที่มีชื่อเสียง ผู้ยิ่งใหญ่ นักคิด นักการศึกษา นักเขียน นักปฏิวัติ รัฐบุรุษ หรือผู้ทรงคุณวุฒิที่โดดเด่นในสาขาหนึ่งๆ—ในหมู่พวกเขามีใครบ้างที่ไม่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล คุยด้วยง่าย และมีไมตรีจิต?  พวกเขาคนไหนบ้างที่ไม่มีพฤติกรรมภายนอกในลักษณะที่ทำให้ได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่นและควรค่าที่ผู้อื่นจะให้ความเคารพ?  แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาได้สร้างคุณูปการอะไรไว้ให้แก่มวลมนุษย์?  พวกเขาได้นำมวลมนุษย์ไปบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือชักนำมวลมนุษย์ให้หลงทาง?  (หลงทาง)  พวกเขาได้นำมวลมนุษย์ไปอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง หรือนำมวลมนุษย์ไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของซาตาน?  (ใต้ฝ่าเท้าของซาตาน)  พวกเขายอมให้มวลมนุษย์มีส่วนร่วมในอธิปไตย การจัดเตรียม และการชี้นำของพระผู้สร้าง หรือพวกเขาปล่อยให้มวลมนุษย์เผชิญหน้าการเหยียบย่ำ ความอำมหิต และการทารุณของซาตาน?  ในบรรดาวีรบุรุษที่สำคัญทั้งหลาย ผู้คนที่มีชื่อเสียง ยิ่งใหญ่ ได้รับการเชิดชู โดดเด่น และมีอำนาจในประวัติศาสตร์ อำนาจและสถานะของใครบ้างที่ไม่ได้มาจากการสังหารผู้คนเป็นล้านๆ คน?  ความมีหน้ามีตาของใครบ้างที่ไม่ได้มาจากการฉ้อฉล การชักพาให้หลงผิด และการล่อใจมวลมนุษย์?  ดูภายนอก พวกเขาเหมือนคุยด้วยง่ายเวลาพบปะผู้อื่นในแต่ละวัน ทำตัวค่อนข้างตามสบาย วางตัวเท่าเทียมกับผู้อื่น และพูดจาอย่างมีไมตรีจิต—แต่สิ่งที่พวกเขาทำอยู่หลังฉากนั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง  บางคนวางแผนดักจับผู้อื่น บ้างก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมคอยรังควานและทำร้ายผู้อื่น ส่วนคนอื่นๆ ก็มองหาโอกาสแก้แค้น  รัฐบุรุษส่วนมากโหดร้ายและเป็นภัยต่อผู้คนจนนับไม่ถ้วน  พวกเขาได้สถานะและอิทธิพลของตนมาโดยที่เท้าของพวกเขายืนอย่างมั่นคงบนหัวของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนและบนกองเลือดของคนเหล่านั้น แต่ในสถานที่สาธารณะ สิ่งที่ผู้คนเห็นคือท่าทางที่เข้าถึงได้ง่ายและพฤติกรรมที่มีไมตรีจิตของพวกเขา  สิ่งที่ผู้คนมองเห็นคือการทำตัวเป็นคนที่อ่อนโยนและมีมารยาท ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดี มีเหตุผล และถ่อมตน  มองภายนอก พวกเขาสุภาพอ่อนน้อม อ่อนโยน และมีมารยาท แต่เบื้องหลังนั้น พวกเขาสังหารผู้คนนับไม่ถ้วน ฉกฉวยสินทรัพย์ของผู้คนนับไม่ถ้วน ครอบงำและปั่นหัวผู้คนนับไม่ถ้วนเหมือนเป็นของเล่น  พวกเขาพูดจาเพราะพริ้งทุกคำ ทำเรื่องชั่วทุกอย่าง และเทศนาอยู่บนเวทีอย่างไร้ยางอายและไม่รู้จักอดสู สอนผู้อื่นว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นคนที่คุยด้วยง่าย ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนที่สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศและมวลมนุษย์ ทำอย่างไรจึงจะรับใช้ประชาชนและเป็นผู้รับใช้สังคม ทำอย่างไรจึงจะอุทิศตนให้ชาติได้  นั่นไม่ใช่ความไร้ยางอายหรอกหรือ?  พวกเขาล้วนเป็นเศษมนุษย์ที่เห่อเหิมไม่รู้จักพอ!  สรุปแล้วการเป็นคนที่มีพฤติกรรมที่ดีงามและปฏิบัติตามมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมในเรื่องศีลธรรมนั้นไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง  ตรงกันข้าม มีความลับอันดำมืดและพูดไม่ได้มากมายซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังการไล่ตามไขว่คว้าพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้  ไม่ว่ามนุษย์จะไล่ตามไขว่คว้าพฤติกรรมอันดีงามแบบใด เป้าหมายเบื้องหลังการทำเช่นนั้นก็เพียงเพื่อให้ได้รับความชื่นชอบและความเคารพจากผู้คนให้มากขึ้น เพิ่มสถานะให้ตนเอง และทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาน่าเคารพ ควรค่าแก่การไว้เนื้อเชื่อใจและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  ถ้าเจ้าไล่ตามไขว่คว้าการเป็นคนที่ประพฤติตัวดีเช่นนั้น ในแง่คุณสมบัติแล้ว นี่ก็เหมือนกับคนที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ทั้งหลายไม่ใช่หรือ?  ถ้าเจ้าเป็นเพียงคนที่ประพฤติตัวดีเท่านั้น แต่ไม่รักพระวจนะของพระเจ้าและไม่ยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วในด้านคุณสมบัติ เจ้าก็เหมือนกับพวกเขา  แล้วผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร?  สิ่งที่เจ้าปล่อยให้หลุดมือไปก็คือความจริง สิ่งที่เจ้าสูญเสียไปคือโอกาสที่จะได้รับความรอด  นี่คือพฤติกรรมที่โง่เขลาเป็นที่สุด—เป็นตัวเลือกและการไล่ตามไขว่คว้าของคนโง่  พวกเจ้าปรารถนาที่จะเป็นคนยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียง โดดเด่นกว่าคนทั่วไปเหมือนคนบนเวทีที่เจ้าเลื่อมใสมานานเหลือเกินบ้างหรือไม่?  เป็นคนที่มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่ายหรือไม่?  เป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อม อ่อนโยนและมีมารยาท ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลหรือไม่?  เป็นคนที่ดูภายนอกแล้วเป็นกันเองและน่ารักหรือไม่?  พวกเจ้าเคยติดตามและบูชาคนแบบนี้มาก่อนหรือไม่?  (เคย)  ถ้าตอนนี้เจ้ายังคงติดตามผู้คนแบบนี้ ยังคงหลงใหลได้ปลื้มคนแบบนี้ เราขอบอกเจ้าว่าเจ้าอยู่ไม่ไกลจากความตายแล้ว เพราะผู้คนที่เจ้าหลงใหลได้ปลื้มนั้นเป็นคนชั่วที่แสร้งเป็นคนดี  พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยคนชั่วให้รอด  หากเจ้าหลงใหลได้ปลื้มคนชั่วและไม่ยอมรับความจริง สุดท้ายเจ้าก็จะถูกทำลายล้างไปด้วย

แก่นแท้เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงาม เช่น การคุยด้วยง่ายและมีไมตรีจิต สามารถอธิบายได้ด้วยคำคำเดียวคือเสแสร้ง  พฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากพระวจนะของพระเจ้า และไม่ได้เป็นผลจากการปฏิบัติความจริงหรือกระทำการตามหลักธรรม  นี่คือผลผลิตของสิ่งใด?  นี่มาจากเหตุจูงใจและอุบายของผู้คน มาจากการที่พวกเขาเสแสร้ง เล่นละครตบตาและหลอกลวง  เมื่อผู้คนยึดติดพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ จุดมุ่งหมายย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่มีวันทำกับตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมในหนทางนี้ และจะไม่มีวันใช้ชีวิตตรงข้ามกับความอยากได้อยากมีของตนเอง  การใช้ชีวิตตรงกันข้ามกับความอยากได้อยากมีของตนเองหมายความว่ากระไร?  หมายความว่าธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขาไม่ได้ประพฤติดี ไร้เล่ห์เหลี่ยม อ่อนโยน ใจดี และมีคุณธรรมตามที่ผู้คนจินตนาการ  พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามมโนธรรมและสำนึก แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับมีชีวิตอยู่เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายหรือข้อเรียกร้องบางอย่าง  ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์เป็นเช่นไร?  เลอะเลือนและไม่รู้ความ  หากไม่มีธรรมบัญญัติและพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานมา ผู้คนจะไม่รู้เลยว่าบาปคือสิ่งใด  มวลมนุษย์เคยเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  ต่อเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติเท่านั้น ผู้คนจึงมีแนวคิดเกี่ยวกับบาปอยู่บ้าง  แต่พวกเขาก็ไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับความถูกต้องและความผิด หรือเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบอยู่ดี  และในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถตระหนักรู้หลักธรรมที่ถูกต้องของการพูดและการกระทำได้อย่างไร?  พวกเขาจะรู้ได้หรือไม่ว่าการกระทำในหนทางใด พฤติกรรมดีแบบใด ควรมีอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ?  พวกเขาจะรู้ได้หรือไม่ว่าสิ่งใดก่อกำเนิดพฤติกรรมที่ดีงามอย่างแท้จริง พวกเขาควรทำตามหนทางใดเพื่อใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์?  พวกเขาไม่สามารถรู้ได้  เพราะธรรมชาติเยี่ยงซาตานของผู้คน เพราะสัญชาตญาณของพวกเขา พวกเขาจึงทำได้เพียงเสแสร้งและเล่นละครเพื่อให้มีชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรี—ซึ่งก่อให้เกิดการหลอกลวงต่างๆ อาทิ เป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่าย เล่ห์เหลี่ยมและกลวิธีหลอกลวงเหล่านี้จึงอุบัติขึ้นด้วยประการฉะนี้  และทันทีที่สิ่งเหล่านี้อุบัติขึ้น ผู้คนก็เลือกที่จะยึดติดกับการหลอกลวงเหล่านี้สักอย่างหรือหลายอย่าง  บางคนเลือกที่จะเป็นผู้มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่าย บางคนเลือกที่จะเป็นผู้ที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท บางคนเลือกที่จะสุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ บางคนเลือกที่จะเป็นสิ่งทั้งหมดนี้  และถึงกระนั้นเราก็นิยามผู้คนที่มีพฤติกรรมอันดีงามเช่นนี้ด้วยคำคำเดียว  คำนั้นคืออะไร?  “กรวดมน”  กรวดมนคืออะไร?  คือกรวดที่เกลี้ยงเกลาในแม่น้ำซึ่งถูกสายน้ำกัดเซาะและขัดเกลาขอบที่แหลมคมมาเป็นเวลานานหลายปี  และแม้การเหยียบกรวดเหล่านั้นอาจไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ แต่หากไม่ระวัง ผู้คนก็สามารถลื่นล้มได้  กรวดเหล่านี้สวยงามมากทั้งรูปลักษณ์และรูปทรง แต่ครั้นเจ้านำกลับบ้าน กรวดหินเหล่านี้กลับไร้ประโยชน์ยิ่ง  เจ้าไม่อาจโยนทิ้งได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บเอาไว้เช่นกัน—ซึ่งก็คือสิ่งที่ “กรวดมน” เป็น  สำหรับเราแล้ว ผู้คนที่มีพฤติกรรมดีงามอย่างเห็นได้ชัดเหล่านี้ล้วนเฉื่อยชา  พวกเขาเสแสร้งให้เห็นภายนอกว่าดี แต่กลับไม่ยอมรับความจริงเลย พวกเขาพูดสิ่งที่เสนาะหู แต่ไม่ทำสิ่งใดที่เป็นจริง  พวกเขาเป็นได้เพียงกรวดมนเท่านั้น  ถ้าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงและหลักธรรมกับพวกเขา พวกเขาก็จะคุยเรื่องการทำตัวอ่อนโยน มีมารยาท และสุภาพอ่อนน้อมกับเจ้า  ถ้าเจ้าพูดกับพวกเขาเรื่องการใช้วิจารณญาณแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็จะพูดถึงการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลกับเจ้า  ถ้าเจ้าบอกพวกเขาว่าการวางตัวของคนเราต้องมีหลักธรรม คนเราต้องแสวงหาหลักธรรมในหน้าที่ของตนและไม่กระทำการตามใจชอบ ท่าทีของพวกเขาจะเป็นเช่นไร?  พวกเขาก็จะกล่าวว่า “การปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงนั้นเป็นคนละเรื่อง  ฉันแค่อยากเป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล และอยากให้คนอื่นเห็นชอบกับการกระทำของฉัน  ตราบใดที่ฉันเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ และได้รับความเห็นชอบจากคนอื่น นั่นก็พอแล้ว”  พวกเขาใส่ใจแต่พฤติกรรมอันดีงาม ไม่เน้นความจริง  โดยทั่วไปแล้วพวกเขาสามารถให้ความเคารพผู้เฒ่า ผู้อาวุโสของตน ผู้ที่มีคุณวุฒิ ผู้ที่มีจุดยืนทางด้านศีลธรรมอันดีและมีหน้ามีตาในกลุ่มของตน ขณะเดียวกันก็เอาใจใส่ดูแลชุมชนที่เป็นผู้เยาว์และเปราะบางอย่างดีเยี่ยมและเปี่ยมรักอีกด้วย  พวกเขาค้ำชูกฎเกณฑ์ของสังคมที่ให้เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์อย่างเคร่งครัดเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนนั้นสูงส่ง  แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือเมื่อผลประโยชน์ของพวกเขาขัดแย้งกับกฎเกณฑ์นั้น พวกเขาก็จะวางกฎเกณฑ์นั้นลงและมุ่งไปข้างหน้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนโดยไม่ “ทนทุกข์” กับการตีกรอบของใคร  แม้พฤติกรรมอันดีงามของพวกเขาจะได้รับความเห็นชอบจากทุกคนที่พวกเขาพบเจอ รู้จัก หรือคุ้นเคยด้วย แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือแม้ในยามที่พวกเขามีพฤติกรรมอันดีงามที่ได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่น พวกเขาก็ไม่ได้สูญเสียผลประโยชน์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็นมาต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนโดยไม่ “ทนทุกข์” กับการตีกรอบของใคร  การเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ของพวกเขาเป็นเพียงพฤติกรรมชั่วครู่ชั่วยามซึ่งเกิดขึ้นบนรากฐานของการไม่รบกวนผลประโยชน์ของตนเอง และถูกจำกัดขอบเขตอยู่ในรูปแบบของความประพฤติเท่านั้น  พวกเขาสามารถทำตามนั้นได้เมื่อพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้กระทบหรือล่วงล้ำผลประโยชน์ของพวกเขาเลย แต่เมื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกเขาย่อมจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เหล่านั้นในท้ายที่สุด  ดังนั้น แท้จริงแล้วการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์จึงไม่ได้รบกวนการไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์ของพวกเขา และไม่สามารถยับยั้งการไล่ตามไขว่คว้านั้น  พฤติกรรมของการเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์คือพฤติกรรมอันดีงามที่ผู้คนสามารถทำได้ในบางรูปการณ์เท่านั้น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่รบกวนผลประโยชน์ของพวกเขา  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากภายในชีวิตของคนคนหนึ่งหรือจากกระดูกของพวกเขา  ไม่ว่าใครบางคนจะสามารถปฏิบัติพฤติกรรมเช่นนั้นได้มากเพียงใด จะยืนหยัดได้นานแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่มนุษย์พึ่งพาในการดำเนินชีวิตได้  นี่หมายความว่าแม้บางคนอาจมีพฤติกรรมที่ดีงามนี้ แต่พวกเขาก็พรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาเหมือนกันหมด—กระนั้นทันทีที่พวกเขาได้มาซึ่งพฤติกรรมอันดีงามนี้แล้ว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากลับไม่ได้มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย  ตรงกันข้าม พวกเขากลับซุกซ่อนอุปนิสัยเหล่านั้นไว้ลึกลงไปเรื่อยๆ  ทั้งหมดนี้คือสิ่งสำคัญที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงามดังกล่าว

ทั้งหมดนั้นคือสามัคคีธรรมและการชำแหละพฤติกรรมอันดีงามที่อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่ายในวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกเรา  พฤติกรรมเหล่านี้ก็เหมือนกับการผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล ทั้งยังมีแก่นแท้ที่เหมือนกันไม่มากก็น้อย  พฤติกรรมเหล่านี้ไม่มีสาระสำคัญอันใด  ผู้คนควรปล่อยมือจากพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้  สิ่งที่ผู้คนควรเพียรพยายามที่จะสัมฤทธิ์ที่สุดคือการทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของพวกเขา และทำให้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในความสว่างและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนบุคคลปกติธรรมดา  หากเจ้าปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ในความสว่าง เจ้าก็ควรกระทำการตามความจริง เจ้าควรเป็นคนซื่อสัตย์ที่กล่าวคำพูดที่ซื่อสัตย์ และทำสิ่งที่ซื่อสัตย์  สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือการมีหลักธรรมความจริงในการวางตัวของคนเรา ทันทีที่ผู้คนสูญเสียหลักธรรมความจริงและมุ่งเน้นที่พฤติกรรมอันดีงามเท่านั้น นี่ย่อมก่อให้เกิดความเทียมเท็จและการเสแสร้งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  หากไม่มีหลักธรรมในการวางตัวของผู้คน เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะดีงามเพียงใด พวกเขาก็คือคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาอาจสามารถชักพาผู้อื่นให้หลงผิดได้ชั่วระยะหนึ่ง แต่จะไม่มีวันไว้วางใจพวกเขาได้  ต่อเมื่อผู้คนกระทำการและวางตนตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีรากฐานที่แท้จริง  หากพวกเขาไม่วางตนตามพระวจนะของพระเจ้า และมุ่งเน้นเพียงการเสแสร้งว่าประพฤติดีเท่านั้น นี่จะส่งผลให้พวกเขาสามารถกลายเป็นคนดีได้กระนั้นหรือ?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้  คำสอนและพฤติกรรมอันดีงามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของเขาได้  มีเพียงความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ความคิด และข้อคิดเห็นอันเสื่อมทรามของผู้คน และกลายเป็นชีวิตของพวกเขาได้  พฤติกรรมอันดีงามนานัปการที่มนุษย์ยึดถือตามวัฒนธรรมดั้งเดิมและมโนคติอันหลงผิดของตนว่าเป็นสิ่งดีงาม อาทิ การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่าย เป็นเพียงพฤติกรรมเท่านั้น  พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่ชีวิต และยิ่งไม่ใช่ความจริง  วัฒนธรรมดั้งเดิมไม่ใช่ความจริง และพฤติกรรมอันดีงามใดๆ ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมส่งเสริมก็ไม่ใช่ความจริงเช่นกัน  ไม่ว่ามนุษย์จะรู้ซึ้งในเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิมมากมายเพียงใด และไม่ว่ามนุษย์จะใช้ชีวิตตามพฤติกรรมอันดีงามมากมายขนาดไหนในชีวิตของตน ก็ไม่อาจปรับเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาได้  ดังนั้นหลายพันปีแล้วที่มวลมนุษย์ได้รับการพร่ำสอนเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิม และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ในทางกลับกัน ความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์กลับหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ และโลกก็มืดลงและชั่วยิ่งขึ้นทุกที  นี่เกี่ยวข้องกับการอบรมสั่งสอนของวัฒนธรรมดั้งเดิมโดยตรง  มนุษย์สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริงได้ก็ด้วยการนำพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นชีวิตของตนเท่านั้น  เรื่องนี้ไม่อาจโต้แย้งได้  ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้าวางกรอบและข้อกำหนดแบบใดให้กับพฤติกรรมของมนุษย์?  นอกเหนือจากสิ่งที่กำหนดไว้ในธรรมบัญญัติและพระบัญญัติแล้ว ยังมีข้อกำหนดที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อกำหนดและกฎเกณฑ์สำหรับมนุษย์ในการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า  นี่คือพระวจนะที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับมวลมนุษย์ และเป็นหลักธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดสำหรับการวางตัวของมวลมนุษย์  พวกเจ้าต้องค้นหาหลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่สุดทางด้านพฤติกรรมสำหรับการวางตัวและการกระทำของเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าให้พบ  เมื่อหาพบแล้ว เจ้าก็จะสามารถขจัดแนวทางที่ผิดและการชักพาให้หลงผิดโดยพฤติกรรมอันดีงามในวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนออกไปได้  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะได้พบเส้นทางและหลักธรรมในการวางตัวและกระทำการแล้ว ซึ่งหมายความว่าเจ้าย่อมจะได้พบเส้นทางและหลักธรรมของความรอดแล้ว  หากพวกเจ้าใช้พระวจนะในปัจจุบันของพระเจ้าเป็นหลักพื้นฐานของพวกเจ้า ใช้ความจริงที่สามัคคีธรรมกันอยู่ในตอนนี้เป็นหลักเกณฑ์ และนำพระวจนะและความจริงมาแทนที่มาตรฐานแห่งพฤติกรรมอันดีงามที่มวลมนุษย์ยึดถือในมโนคติอันหลงผิดของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนที่กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง  ในทุกกรณี พระประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ล้วนเป็นเรื่องที่ว่ามนุษย์ควรเป็นคนแบบใดและควรเดินบนทางสายใด  พระองค์ไม่เคยทรงกำหนดว่ามนุษย์ควรมีพฤติกรรมบางอย่างเพียงอย่างเดียว  พระองค์ประสงค์ให้ผู้คนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ไม่ใช่คนหลอกลวง พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์ยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริง สัตย์ซื่อต่อพระองค์ นบนอบ และเป็นพยานให้พระองค์  พระองค์ไม่เคยประสงค์ให้มนุษย์มีพฤติกรรมอันดีงามไม่กี่อย่างและไม่เคยทรงกำหนดว่านั่นเพียงพอแล้ว  แต่วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนก็ให้มนุษย์มุ่งเน้นแต่พฤติกรรมอันดีงาม เน้นแต่การแสดงออกภายนอกอันดีงามเท่านั้น  วัฒนธรรมดังกล่าวไม่เคยให้ความกระจ่างเลยว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์เป็นอย่างไร หรือความเสื่อมทรามของเขาก่อกำเนิดจากตรงไหน และยิ่งไม่สามารถชี้ให้เห็นเส้นทางที่จะละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา  เพราะฉะนั้นไม่ว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมจะสนับสนุนพฤติกรรมอันดีงามใดที่มนุษย์ควรมีก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องของการละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์และการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง วัฒนธรรมดั้งเดิมกลับไม่ช่วยอะไรเลย  ไม่ว่าถ้อยแถลงทางด้านศีลธรรมของวัฒนธรรมดั้งเดิมจะสูงส่งหรือดึงดูดใจเพียงใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ได้  ภายใต้การพร่ำสอนและการครอบงำของวัฒนธรรมดั้งเดิม หลายสิ่งหลายอย่างในระดับจิตใต้สำนึกได้เกิดขึ้นในมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม  คำว่า “จิตใต้สำนึก” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเมื่อมนุษย์ถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมพร่ำสอนและแพร่เชื้อให้โดยไม่ทันรู้สึกตัว และไม่มีถ้อยคำ ถ้อยแถลง กฎเกณฑ์ หรือการตระหนักรู้ที่ชัดเจนว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเหมาะสม โดยสัญชาตญาณแล้วเขาย่อมปฏิบัติและยึดถือแนวคิดและวิธีการตามแบบแผนดั้งเดิมของผู้คนทั่วไป  เมื่อดำเนินชีวิตอยู่ในรูปการณ์ดังกล่าว ในภาวะเช่นนั้น พวกเขาจึงคิดอยู่ในจิตใต้สำนึกของตนโดยไม่รู้ตัวเช่นเดียวกับทุกคนว่า “การผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผลนั้นยอดเยี่ยม—เป็นบวกและสอดคล้องกับความจริง การอ่อนโยนและมีมารยาทเป็นเรื่องดีมาก—ผู้คนควรเป็นเช่นนี้ พระเจ้าโปรดเช่นนี้ และนี่ก็สอดคล้องกับความจริง การสุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ มีไมตรีจิต และคุยด้วยง่าย ล้วนเป็นการแสดงออกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง”  แม้จะหาหลักการพื้นฐานที่ชัดเจนในพระวจนะของพระเจ้าไม่พบ แต่พวกเขาก็รู้สึกในหัวใจของตนว่าพระวจนะและพระประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นเหมือนกับมาตรฐานต่างๆ ที่วัฒนธรรมดั้งเดิมกำหนดเอาไว้ โดยไม่มีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกัน  นี่ไม่ใช่การบิดเบือนและตีความพระวจนะของพระเจ้าไปในทางที่ผิดหรอกหรือ?  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวเรื่องเช่นนั้นเอาไว้หรือไม่?  ไม่ได้กล่าวไว้ และเรื่องเช่นนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงหมายความถึง เรื่องเหล่านั้นคือการที่มนุษย์บิดเบือนและตีความพระวจนะของพระเจ้าผิดๆ  พระวจนะของพระเจ้าไม่เคยพูดเรื่องเหล่านั้น ดังนั้นสิ่งที่พวกเจ้าควรทำไม่ว่าจะในรูปการณ์ใดๆ คือการไม่คิดในแง่เหล่านั้น  เจ้าควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียดและหาข้อกำหนดทางด้านพฤติกรรมที่พระวจนะของพระองค์มีต่อมนุษย์ให้พบอย่างแท้จริง จากนั้นก็หาบทตอนในพระวจนะของพระองค์อีกสองหรือสามบท รวบรวมไว้ แล้วอ่านอธิษฐานและสามัคคีธรรมสิ่งเหล่านั้นร่วมกัน  เมื่อเจ้ามีความรู้ในเรื่องเหล่านั้นแล้ว ก็เป็นเวลาที่เจ้าต้องปฏิบัติและมีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านั้น  การทำเช่นนี้ย่อมนำพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตจริงของเจ้า พระวจนะของพระเจ้าจะกลายเป็นหลักพื้นฐานสำหรับทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตัวและการกระทำของเจ้า  สิ่งใดควรเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับการพูดและการกระทำของผู้คน?  พระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้นข้อกำหนดและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงมีต่อการพูดและการกระทำของผู้คนมีว่าอย่างไร?  (การพูดและการกระทำของผู้คนควรเป็นประโยชน์ต่อคนด้วยกัน)  ถูกต้อง  ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าต้องพูดความจริง พูดจาซื่อตรง และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  อย่างน้อยที่สุด คำพูดของเจ้าต้องทำให้ผู้คนเจริญใจ ไม่ลวงให้หลงกล ชักนำให้หลงผิด ล้อเล่นสนุกๆ เสียดสี เย้ย เยาะหยัน บีบบังคับพวกเขา เปิดเผยจุดอ่อนของพวกเขา หรือทำร้ายพวกเขา  นี่คือการแสดงความเป็นมนุษย์ที่ปกติออกมา  นี่เป็นคุณธรรมของความเป็นมนุษย์  พระเจ้าเคยตรัสบอกเจ้าหรือไม่ว่าควรพูดเสียงดังแค่ไหน?  พระองค์ทรงเคยกำหนดให้เจ้าใช้ภาษามาตรฐานหรือไม่?  พระองค์ทรงเคยกำหนดให้เจ้าใช้วาทกรรมที่สละสลวยหรือลีลาภาษาที่สูงส่งและประณีตบ้างหรือไม่?  (ไม่เคย)  ไม่มีสิ่งที่ตื้นเขิน หน้าซื่อใจคด เทียมเท็จ และไม่เป็นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย  ข้อกำหนดทั้งปวงของพระเจ้าคือสิ่งที่มนุษย์ปกติควรมี เป็นมาตรฐานและหลักธรรมสำหรับภาษาและพฤติกรรมของมนุษย์  ใครจะเกิดที่ไหนหรือพูดภาษาอะไรก็ไม่สำคัญ  กระนั้นก็ตามวาจาที่เจ้ากล่าว—คำพูดและเนื้อหาเหล่านั้น—ต้องเป็นที่เจริญใจต่อผู้อื่น  วาจาอันเป็นที่เจริญใจหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเมื่อผู้อื่นได้ฟังแล้ว รู้สึกว่าเป็นความจริง ได้รับการสร้างเสริมและการช่วยเหลือ ทำให้สามารถเข้าใจความจริงและไม่สับสนอีกต่อไป และไม่ถูกคนอื่นชักพาให้หลงผิดได้โดยง่าย  ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงกำหนดให้ผู้คนพูดความจริง พูดในสิ่งที่พวกเขาคิด และไม่ลวงให้หลงกล ชักนำให้หลงผิด ล้อเล่นสนุกๆ เสียดสี เย้ย เยาะหยัน หรือบีบบังคับผู้อื่น หรือเปิดเผยจุดอ่อนของพวกเขา หรือทำร้ายพวกเขา  นี่คือหลักธรรมของการพูดไม่ใช่หรือ?  ที่กล่าวว่าคนเราไม่ควรเปิดเผยจุดอ่อนของผู้คนหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าอย่าขุดคุ้ยเรื่องไม่ดีของผู้อื่น  อย่าเอาความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องที่ผ่านมาของพวกเขามาตัดสินหรือกล่าวโทษพวกเขา  อย่างน้อยที่สุดนี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ  คำพูดที่สร้างสรรค์ในเชิงรุกควรแสดงออกมาอย่างไร?  โดยส่วนใหญ่จะเป็นคำพูดที่หนุนใจ แนะนำ ชี้นำแนวทาง เตือนสติ เข้าอกเข้าใจ และชูใจ  นอกเหนือจากนี้ ในกรณีพิเศษบางกรณีก็จำเป็นต้องเปิดโปงข้อผิดพลาดของผู้อื่นโดยตรงและตัดแต่งพวกเขา เพื่อให้พวกเขารู้จักความจริงและอยากกลับใจ  เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผลอย่างที่ควรจะเป็น  การปฏิบัติเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างใหญ่หลวง  เป็นการช่วยเหลือพวกเขาอย่างแท้จริงและเป็นเรื่องสร้างสรรค์สำหรับพวกเขามิใช่หรือ?  ยกตัวอย่าง สมมุติว่าเจ้าดื้อรั้นและโอหังเป็นพิเศษ  เจ้าไม่เคยตระหนักรู้เรื่องนี้ แต่ใครบางคนที่รู้จักเจ้าดีย่อมจะบอกปัญหาแก่เจ้าตามตรง  เจ้าคิดกับตนเองว่า “ฉันดื้อรั้นหรือ?  ฉันโอหังหรือ?  ไม่มีใครกล้าบอกฉัน แต่เขาเข้าใจฉัน  การที่เขาพูดแบบนั้นได้ก็แสดงว่านั่นเป็นเรื่องจริงโดยแท้  ฉันต้องใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องนี้บ้างแล้ว”  หลังจากนั้นเจ้าก็พูดกับบุคคลนั้นว่า “คนอื่นพูดแต่สิ่งดีๆ ให้ฉันฟัง พวกเขาสรรเสริญฉัน ไม่มีใครเคยเปิดอกพูดกับฉัน ไม่มีใครเคยชี้ให้เห็นข้อบกพร่องและประเด็นปัญหาเหล่านี้ในตัวฉัน  มีคุณเท่านั้นที่บอกฉันได้ เปิดอกพูดกับฉัน  เยี่ยมมาก ช่วยฉันได้มากเหลือเกิน”  นี่คือการเปิดอกพูดไม่ใช่หรือ?  อีกฝ่ายสื่อสารให้เจ้ารู้ทีละเล็กทีละน้อยถึงสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเขา สิ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับตัวเจ้า และประสบการณ์ของเขาว่าเขามีมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความคิดลบ และความอ่อนแอในเรื่องนี้ และสามารถหลีกหนีด้วยการแสวงหาความจริงอย่างไร  นี่คือการเปิดอกพูด คือการเข้าสนิทของดวงจิตทั้งหลาย  และสรุปแล้วหลักธรรมเบื้องหลังการพูดคืออะไร?  คือดังนี้ จงพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า และจงพูดถึงประสบการณ์จริงของเจ้าและสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ  คำพูดเหล่านี้เป็นประโยชน์แก่ผู้คนมากที่สุด ให้สิ่งที่ผู้คนต้องการ ช่วยเหลือพวกเขาและเป็นคำพูดที่เป็นบวกที่สุด  จงอย่ายอมกล่าวคำพูดเทียมเท็จเหล่านั้น คำพูดเหล่านั้นที่ไม่เป็นประโยชน์หรือไม่ได้ทำให้ผู้คนเจริญใจ นี่ย่อมจะหลีกเลี่ยงการทำร้ายพวกเขาหรือทำให้พวกเขาสะดุดล้ม การผลักพวกเขาให้คิดลบ รวมทั้งการก่อให้เกิดผลลบ  เจ้าต้องพูดสิ่งที่เป็นบวก  เจ้าต้องเพียรพยายามช่วยเหลือผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ เพียรพยายามที่จะเป็นประโยชน์แก่พวกเขา จัดหาให้แก่พวกเขา สร้างความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าในตัวพวกเขา และเจ้าต้องเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับความช่วยเหลือและได้รับให้มากจากประสบการณ์ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและหนทางที่เจ้าใช้แก้ปัญหา และเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถเข้าใจเส้นทางของการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เปิดโอกาสให้พวกเขามีการเข้าสู่ชีวิตและทำให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต—ซึ่งล้วนเป็นผลจากการที่คำพูดของเจ้ามีหลักธรรมและเป็นที่เจริญใจของผู้คน  นอกจากเรื่องนี้แล้ว เมื่อผู้คนรวมตัวกันเพื่อนินทาและหัวเราะคิกคักกันอย่างไร้แก่นสาร นั่นก็ไม่เป็นไปตามหลักธรรม  สิ่งที่พวกเขาพรั่งพรูออกมามีแต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเท่านั้น  นี่ไม่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่ได้ค้ำชูหลักธรรมความจริง  ทั้งหมดนั้นคือปรัชญาในการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์—พวกเขาใช้ชีวิตไปตามที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนบงการให้ทำ

พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์มีหลักธรรมในคำพูดและเป็นที่เจริญใจต่อผู้อื่น  นี่เกี่ยวข้องอะไรกับพฤติกรรมภายนอกอันดีงามของมนุษย์หรือไม่?  (ไม่)  ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเหล่านั้นเลย  สมมุติว่าเจ้าไม่ชอบบงการคนอื่นหรือกล่าวคำเท็จและหลอกให้คนอื่นหลงกล ในขณะเดียวกันเจ้าก็สามารถหนุนใจ ชี้แนะ และชูใจผู้อื่นได้ด้วย  ถ้าเจ้าทำได้ทั้งสองอย่างนี้ แล้วมีความจำเป็นอันใดหรือไม่ที่เจ้าต้องทำสิ่งเหล่านั้นด้วยท่าทีที่คุยด้วยง่าย?  เจ้าต้องสัมฤทธิ์การเป็นคนเข้าถึงง่ายหรือไม่?  เจ้าทำสิ่งเหล่านั้นได้แค่ในกรอบของพฤติกรรมภายนอกดังกล่าว เช่น การเป็นคนสุภาพอ่อนน้อม อ่อนโยนและมีมารยาท เท่านั้นหรือ?  ไม่มีความจำเป็นเลย  เงื่อนไขเบื้องต้นที่คำพูดของเจ้าจะเป็นที่เจริญใจของผู้อื่นก็คือการเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดของพระองค์—ซึ่งตั้งอยู่บนความจริง แทนที่จะเป็นไปตามพฤติกรรมอันดีงามที่เกิดขึ้นท่ามกลางวัฒนธรรมดั้งเดิม  เมื่อคำพูดของเจ้าเป็นไปตามหลักธรรมและเป็นที่เจริญใจของผู้อื่น เจ้าก็อาจพูดเวลานั่งหรือพูดเวลายืนก็ได้ เจ้าอาจพูดเสียงดังหรือพูดเบาๆ อาจกล่าวคำที่นุ่มนวลหรือรุนแรงก็ได้  ตราบใดที่ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นบวก แล้วเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตน และอีกฝ่ายก็ได้ประโยชน์ ตราบนั้นย่อมสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  หากสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือความจริง สิ่งที่เจ้าปฏิบัติคือความจริง และพื้นฐานการพูดและการกระทำของเจ้าคือพระวจนะของพระเจ้า คือหลักธรรมความจริง และหากผู้อื่นสามารถได้ประโยชน์และได้รับจากเจ้า นั่นย่อมจะเป็นผลดีต่อพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ?  ถ้าการใช้ชีวิตถูกวิธีคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมตีกรอบ เจ้าแสดงละครในขณะที่คนอื่นก็แสดงเหมือนกัน เจ้าแสดงกิริยามารยาทงดงาม ขณะที่พวกเขาก็พินอบพิเทา ต่างฝ่ายต่างแสดงละครกัน เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ดีงามอะไร  ทั้งเจ้าและพวกเขาต่างพินอบพิเทาและแสดงมารยาทงามต่อกันตลอดทั้งวันโดยไม่มีถ้อยคำที่เป็นความจริงเลยสักคำ ต่างก็แสดงให้เห็นแต่พฤติกรรมอันดีงามในชีวิตตามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมส่งเสริม  แม้พฤติกรรมดังกล่าวจะเป็นไปตามแบบแผนทั่วไปเมื่อมองจากภายนอก แต่ล้วนเป็นความหน้าซื่อใจคด เป็นพฤติกรรมที่หลอกให้ผู้อื่นหลงกลและชักพาให้หลงผิด เป็นพฤติกรรมที่ล่อลวงผู้อื่นและใช้เล่ห์เหลี่ยมกับพวกเขา โดยที่ไม่มีคำพูดคำจาที่จริงใจให้ได้ยินสักคำ  ถ้าเจ้าเป็นเพื่อนกับคนแบบนั้น เจ้าก็ไม่แคล้วถูกล่อลวงและหลอกให้หลงกลในท้ายที่สุด  พฤติกรรมอันดีงามของพวกเขาไม่มีอะไรที่จะทำให้เจ้าเจริญใจเลย  มีแต่สอนความเทียมเท็จและเล่ห์เพทุบายให้กับเจ้า กล่าวคือ เจ้าลวงพวกเขาให้หลงกล พวกเขาก็หลอกเจ้าให้หลงกล  ท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะรู้สึกว่าความซื่อตรงและศักดิ์ศรีของเจ้านั้นเสื่อมอย่างถึงที่สุด ซึ่งเจ้ามีแต่จะต้องทนกล้ำกลืนเอาไว้เท่านั้น  เจ้ายังจะต้องทำตัวสุภาพอ่อนน้อม ในแบบที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับผู้อื่นหรือเรียกร้องเอากับพวกเขามากเกินไป  เจ้ายังจะต้องอดทนและยอมผ่อนปรน แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจและใจกว้างโอบอ้อมอารีพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง  ต้องใช้ความพยายามนานกี่ปีกว่าจะสัมฤทธิ์ภาวะเช่นนี้ได้!  หากเจ้าบังคับให้ตัวเองต้องใช้ชีวิตแบบนี้ต่อหน้าผู้อื่น ชีวิตของเจ้าจะไม่ทำให้เจ้าอ่อนล้าหรือ?  การเสแสร้งว่ามีความรักมากมายขนาดนี้ ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าตนไม่ได้มีความรักนั้น—ความหน้าซื่อใจคดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!  ในฐานะคนคนหนึ่ง เจ้าย่อมจะรู้สึกอ่อนล้ากับการวางตัวเช่นนี้มากขึ้นทุกที เจ้าอาจจะอยากเกิดเป็นวัวหรือม้า เป็นหมูหรือเป็นหมาในชีวิตหน้ามากกว่าเกิดเป็นมนุษย์  เจ้าจะเห็นว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเทียมเท็จและชั่วเกินไป  เหตุใดมนุษย์จึงใช้ชีวิตในแบบที่ทำให้ตัวเองอ่อนล้าอย่างนั้น?  เพราะเขาดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิม ซึ่งตีกรอบและตีตรวนเขาเอาไว้  เมื่อพึ่งพาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เขาจึงมีชีวิตอยู่ในบาปที่เขาไม่สามารถถอนตัวออกมาได้  เขาไม่มีทางออก  สิ่งที่เขาดำรงชีวิตอยู่นั้นไม่ใช่สภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง  คนเราไม่สามารถได้ยินหรือได้รับคำพูดที่มีความจริงใจขั้นพื้นฐานระหว่างผู้คนเลยสักคำเดียว แม้กระทั่งระหว่างสามีกับภรรยา แม่กับลูกสาว พ่อกับลูกชาย ผู้คนที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด—ไม่มีถ้อยคำที่สนิทสนมให้ได้ยิน ไม่มีคำพูดที่อบอุ่นหรือคำพูดที่ผู้อื่นอาจได้รับความชูใจ  แล้วพฤติกรรมภายนอกอันดีงามเหล่านี้มีไว้เพื่ออะไร?  มีไว้เพื่อคงระยะห่างตามปกติและความสัมพันธ์ที่เป็นปกติระหว่างผู้คนเป็นการชั่วคราว  แต่เบื้องหลังพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ ไม่มีใครกล้ามีปฏิสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับใครอื่น ซึ่งสุดท้ายมวลมนุษย์ก็สรุปเป็นวลีที่ว่า “ระยะห่างก่อเกิดความงาม”  นี่เผยให้เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของมวลมนุษย์ไม่ใช่หรือ?  ระยะทางจะก่อเกิดความงามได้อย่างไร?  ในความเป็นจริงที่เทียมเท็จและชั่วของชีวิตแบบนั้น มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในความโดดเดี่ยว การถอยห่างออกมา ความหดหู่ ความขุ่นเคือง และความไม่พอใจที่เพิ่มพูนยิ่งขึ้นทุกที ไร้เส้นทางที่จะเดินไปข้างหน้า  นี่คือภาวะที่แท้จริงของผู้ไม่มีความเชื่อ  อย่างไรก็ดี วันนี้เจ้าเชื่อในพระเจ้า  เจ้าได้มาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าและยอมรับการจัดเตรียมแห่งพระวจนะของพระองค์แล้ว และเจ้าก็ฟังคำเทศนาอยู่บ่อยๆ  แต่ในหัวใจของเจ้า เจ้ายังคงชอบพฤติกรรมอันดีงามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมให้การส่งเสริม  นี่พิสูจน์บางสิ่งบางอย่างให้เห็นก็คือ เจ้าไม่เข้าใจความจริงและไม่มีความเป็นจริง  เหตุใดในชีวิตของเจ้าตอนนี้ เจ้าถึงยังคงหดหู่เช่นนั้น โดดเดี่ยวเช่นนั้น น่าเวทนาเช่นนั้น ด้อยค่าตัวเองอย่างนั้น?  สาเหตุของเรื่องนี้มีข้อเดียวคือเจ้าไม่ยอมรับความจริงและไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้าไม่ได้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่ได้ใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า  เจ้ายังคงดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิม  เพราะเหตุนั้นชีวิตของเจ้าจึงยังคงโดดเดี่ยวอย่างนั้น  เจ้าไม่มีเพื่อน ไม่มีใครให้บอกเล่าความในใจ  เจ้าไม่สามารถได้รับการหนุนใจ การชี้แนะ การช่วยเหลือ หรือความเจริญใจที่เจ้าควรมีจากผู้อื่น และเจ้าก็ไม่สามารถให้การหนุนใจ การชี้แนะ หรือความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น  แม้แต่ในพฤติกรรมเล็กน้อยที่สุดเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการพื้นฐานของเจ้า และไม่ใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า เพราะฉะนั้นก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือการวางตัวและการกระทำของเจ้า—สิ่งเหล่านั้นห่างไกลอย่างสุดกู่จากความจริงและพระวจนะของพระเจ้า!

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันถึงข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์ว่า พระองค์มีพระประสงค์ให้วาจาและการกระทำของมนุษย์เป็นไปตามหลักธรรมและเป็นที่เจริญใจของผู้อื่น  ด้วยเหตุนี้ เมื่อดูตามนั้นแล้ว ตอนนี้ทุกคนรู้ไหมว่าพฤติกรรมอันดีงามที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมานั้นมีคุณค่าบ้างหรือไม่—ควรค่าที่จะเชิดชูว่าล้ำค่าหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้น ในเมื่อพวกเจ้าไม่เชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านั้นสมควรได้รับการเชิดชูว่าล้ำค่า พวกเจ้าควรทำอย่างไร?  (ตัดขาดจากพฤติกรรมเหล่านั้นเสีย)  คนเราจะตัดขาดจากพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างไร?  การที่จะตัดขาดจากสิ่งเหล่านั้น คนเราต้องมีเส้นทางและขั้นตอนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการปฏิบัติของตน  ก่อนอื่น คนเราต้องตรวจสอบตนเองว่ามีการแสดงออกเชิงพฤติกรรมที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท ตามที่วัฒนธรรมดั้งเดิมส่งเสริมหรือไม่  การตรวจสอบดังกล่าวมีรูปแบบเช่นไร และมีเนื้อหาอะไรบ้าง?  รูปแบบและเนื้อหาเหล่านั้นก็คือการมองตัวเองเพื่อดูว่าทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการของเจ้านั้นมีสิ่งใดเป็นพื้นฐาน และดูว่าสิ่งที่เป็นของซาตานนั้นมีอะไรบ้างที่หยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจของเจ้าและซึมเข้าไปอยู่ในเลือดและกระดูกของเจ้า  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีบางคนที่ได้รับการประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้จักการควบคุมตนเองเท่าไรนัก แต่ความเป็นมนุษย์ไม่แย่  พวกเขาเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง เชื่อในพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจริงใจ สามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้  พวกเขามีเพียงสิ่งเดียวที่ผิดพลาดก็คือ เวลากิน พวกเขามักจะเขี่ยเลือกชิ้นอาหารไปทั่วจานและเปาะปาก  เสียงเปาะปากนั้นกวนใจเจ้าเสียจนกลืนอาหารไม่ลงเมื่อได้ยิน  เมื่อก่อนเจ้าเคยรู้สึกชิงชังผู้คนแบบนี้เป็นพิเศษ  เจ้าจะคิดว่าพวกเขาไม่มีมารยาทและไม่รู้จักควบคุมตัวเอง พวกเขาไม่ได้ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีหรือมีเหตุผล  ในหัวใจของเจ้า เจ้าดูหมิ่นพวกเขา เชื่อว่าคนแบบนี้ต่ำต้อยและไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีทางที่พวกเขาจะเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และยิ่งไม่ใช่ผู้ที่พระองค์ทรงรัก  อะไรคือเหตุผลของเจ้าในการเชื่อเช่นนั้น?  เจ้าเคยมองทะลุเข้าไปถึงแก่นแท้ของพวกเขาหรือไม่?  เจ้าประเมินพวกเขาตามแก่นแท้ของพวกเขาหรือไม่?  อะไรคือหลักเกณฑ์ที่เจ้าใช้ประเมิน?  เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังประเมินผู้คนตามถ้อยแถลงนานาของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม  ดังนั้นเมื่อเจ้าเรียนรู้ปัญหานี้แล้ว เจ้าควรคิดอย่างไรบนพื้นฐานของความจริงที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปในวันนี้?  “แย่แล้ว ฉันเคยดูถูกพวกเขา  ฉันไม่เคยเต็มใจฟังสามัคคีธรรมของพวกเขาเลย  ไม่ว่าพวกเขาจะพูดหรือทำอะไรตอนไหน ไม่ว่าพวกเขาทำถูกต้องขนาดไหน หรือคำพูดที่พวกเขาสามัคคีธรรมสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร ทันทีที่ฉันนึกถึงเรื่องที่พวกเขาเปาะปากและคุ้ยหาชิ้นอาหารในมื้อ ฉันก็จะไม่อยากฟังพวกเขาพูด  ฉันมองพวกเขาเสมอว่าเป็นคนไม่มีมารยาทที่ไม่มีขีดความสามารถ  ตอนนี้ด้วยการสามัคคีธรรมของพระเจ้า ฉันกำลังมองเห็นว่าทัศนะที่ฉันมีต่อผู้คนไม่ได้เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า แต่ฉันกลับมองนิสัยและพฤติกรรมไม่ดีที่ผู้คนมีในชีวิตของพวกเขา—โดยเฉพาะในส่วนที่พวกเขาไร้มารยาทหรือทำตัวไม่ดี—ราวกับพวกเขากำลังพรั่งพรูแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาออกมา  ตอนนี้เมื่อประเมินตามพระวจนะของพระเจ้า เรื่องทั้งหมดนั้นกลับเป็นข้อเสียเล็กๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  นั่นไม่ใกล้เคียงกับปัญหาทางด้านหลักธรรมเลย”  นี่เป็นการตรวจสอบตนเองหรือไม่?  (เป็น)  ผู้ที่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริงได้ย่อมมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  ดังนั้น ควรทำอย่างไรต่อไป?  มีเส้นทางหรือไม่?  จะได้ผลหรือไม่ หากเจ้าเรียกร้องให้พวกเขาเลิกนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้ในทันที?  (ไม่ได้ผล)  ข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ฝังแน่นอยู่ภายในและยากที่จะเปลี่ยนแปลง  นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในวันหรือสองวัน  ปัญหาด้านพฤติกรรมทั้งหลายนั้นแก้ไม่ยากนัก แต่ข้อเสียในนิสัยการใช้ชีวิตของคนนั้น คนเราต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการกำจัดออกไป  แต่ข้อเสียเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของความเป็นมนุษย์หรือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ของใครบางคน ดังนั้นจงอย่าให้น้ำหนักกับมันมากเกินไปนักหรือปฏิเสธที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น  ทุกคนมีนิสัยและหนทางในชีวิตของตน  ไม่มีใครเกิดมาจากสุญญากาศ  ทุกคนจึงมีข้อเสียบางประการ และไม่ว่าข้อเสียเหล่านั้นคืออะไร ถ้าส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ก็ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง  นั่นเป็นวิธีที่จะสัมฤทธิ์การปฏิสัมพันธ์ที่เป็นมิตร  อย่างไรก็ดี เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นไปตามอุดมคติในทุกด้าน  ผู้คนมาจากสถานที่ที่แตกต่างกันมาก นิสัยที่พวกเขามีในชีวิตจึงแตกต่างกันทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาต้องยอมผ่อนปรนให้กันและกัน  นี่คือสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี  จงอย่าเอาปัญหาเล็กๆ น้อยๆ มาใส่ใจ  จงฝึกผ่อนปรน  นั่นคือวิธีปฏิบัติต่อผู้อื่นที่เหมาะสมที่สุด  นี่คือหลักธรรมเรื่องการยอมผ่อนปรน เป็นหลักธรรมและวิธีการที่ใช้รับมือเรื่องแบบนั้น  จงอย่าพยายามกำหนดแก่นแท้และความเป็นมนุษย์ของผู้คนตามข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขา  หลักการพื้นฐานเช่นนั้นไม่สอดคล้องกับหลักธรรมเลย เพราะไม่ว่าใครจะมีข้อเสียหรือข้อบกพร่องอะไร สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของคนคนนั้น ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง และยิ่งไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเราต้องดูจุดแข็งของผู้คน ทัศนะที่พวกเรามีต่อผู้คนก็ต้องเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์  นั่นคือวิธีปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรม  คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรมองผู้คนอย่างไร?  ทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการของพวกเขา ต้องเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  ดังนั้นเจ้าควรมองคนแต่ละคนตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร?  จงมองดูว่าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ พวกเขาเป็นคนดีหรือคนชั่ว  เวลาเจ้าพบปะพวกเขา เจ้าอาจมองเห็นว่าแม้พวกเขาจะมีข้อเสียและข้อบกพร่องของตัวเองอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็มีความเป็นมนุษย์ที่ดีทีเดียว  พวกเขายอมผ่อนปรนและอดทนเวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และเมื่อมีบางคนคิดลบและอ่อนแอ พวกเขาก็ให้ความรักแก่คนเหล่านั้น สามารถดูแลและช่วยเหลือพวกเขาได้  นั่นคือท่าทีที่พวกเขามีต่อผู้อื่น  แล้วท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเป็นเช่นไร?  ในส่วนของท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าก็ยิ่งวัดได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่  อาจเป็นได้ว่าในทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้น พวกเขานบนอบ แสวงหา และถวิลหา ในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น—ในยามที่พวกเขาลงมือกระทำการ—พวกเขาก็มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ไม่ใช่ว่าพวกเขาบ้าดีเดือด กระทำการอย่างอุกอาจ และไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรก็ทำ นึกจะพูดอะไรก็พูด  เวลามีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์เกิดขึ้น พวกเขาก็จะระมัดระวังเป็นอย่างมาก  เมื่อเจ้าดูจนแน่ใจแล้วว่าพวกเขามีพฤติกรรมเหล่านี้ แล้วเจ้าจะประเมินตามสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้อย่างไรว่าคนคนนั้นดีหรือไม่ดี?  จงประเมินตามพระวจนะของพระเจ้า และจงประเมินโดยดูว่าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่ ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและต่อพระเจ้าเป็นเช่นไร  ด้วยการประเมินพวกเขาในสองด้านนี้ เจ้าก็จะมองเห็นว่าแม้พฤติกรรมของพวกเขาจะมีปัญหาและมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็อาจจะเป็นคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล มีหัวใจที่นบนอบและยำเกรงพระเจ้า มีท่าทีที่รักและยอมรับความจริง  หากเป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาก็เป็นคนที่อาจได้รับการช่วยให้รอด คนที่พระองค์ทรงรัก  และเมื่อคำนึงว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาคือคนที่อาจได้รับการช่วยให้รอดและเป็นคนที่พระองค์ทรงรัก แล้วเจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  เจ้าต้องมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้าและทำการประเมินทั้งหมดนั้นตามพระวจนะของพระองค์  พวกเขาคือพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง และเจ้าก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องโดยไม่มีอคติ  จงอย่ามองพวกเขาผ่านกระจกสีหรือประเมินพวกเขาตามถ้อยแถลงของวัฒนธรรมดั้งเดิม—แต่จงประเมินพวกเขาด้วยพระวจนะของพระเจ้า  ส่วนข้อเสียในพฤติกรรมของพวกเขานั้น หากเจ้ามีหัวใจที่เมตตา เจ้าก็ควรช่วยพวกเขา  จงบอกให้พวกเขารู้ว่าควรกระทำตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม  แล้วเจ้าจะทำอย่างไรถ้าพวกเขายอมรับได้ แต่ไม่สามารถละทิ้งข้อเสียในพฤติกรรมของตนได้เดี๋ยวนั้น?  เจ้าควรหันกลับไปใช้การยอมผ่อนปรน  หากเจ้าไม่ยอมผ่อนปรน นั่นก็หมายความว่าหัวใจของเจ้าไม่มีความเมตตา และเจ้าควรแสวงหาความจริงในท่าทีที่เจ้ามีต่อพวกเขา คิดทบทวนและรู้จักข้อบกพร่องของตัวเจ้าเอง  เช่นนั้นเจ้าจึงสามารถปฏิบัติต่อผู้คนได้อย่างถูกต้อง  ในทางกลับกัน ถ้าเจ้ากล่าวว่า “คนคนนั้นมีข้อเสียมากเหลือเกิน  พวกเขาไร้การอบรม และไม่รู้จักวิธีบังคับตัวเอง พวกเขาไม่รู้จักการเคารพคนอื่น และไม่รู้จักมารยาท  เช่นนั้นพวกเขาก็คือผู้ไม่มีความเชื่อ  ฉันไม่อยากคบค้าสมาคมกับพวกเขา ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกเขา และไม่ต้องการฟังสิ่งที่พวกเขาอยากจะพูด ไม่ว่านั่นจะถูกต้องเพียงใดก็ตาม  ใครจะเชื่อว่าพวกเขายำเกรงพระเจ้าและนบนอบพระองค์?  พวกเขาทำได้ขนาดนั้นเลยหรือ?  พวกเขามีขีดความสามารถหรือไม่?” เช่นนั้นแล้ว นั่นคือท่าทีแบบใด?  การปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบนั้นเป็นการช่วยเหลืออย่างมีเมตตาหรือไม่?  สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่?  การที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบนั้นเป็นการเข้าใจและเป็นการปฏิบัติความจริงหรือไม่?  นั่นเปี่ยมรักหรือไม่?  เจ้ายำเกรงพระเจ้าด้วยหัวใจหรือไม่?  ถ้าการเชื่อในพระเจ้าของใครบางคนไม่มีแม้แต่ความเมตตาขั้นพื้นฐาน คนแบบนั้นมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  ถ้าเจ้ายึดถือมโนคติอันหลงผิดของเจ้าต่อไป และทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายยังคงเป็นไปตามความรู้สึก ความประทับใจ ความชอบส่วนตัว และมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเอง นั่นย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริงแม้แต่นิดเดียวและยังคงใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาปรัชญาเยี่ยงซาตาน  นั่นย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าเจ้าไม่ใช่คนที่รักความจริงหรือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  บางคนคิดว่าตนชอบธรรมเหลือเกิน  ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงยึดมั่นในทัศนะของตนว่า “ฉันเป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อม เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์—แล้วจะทำไม?  อย่างน้อยฉันก็เป็นคนดี  การวางตนของฉันมีอะไรไม่ดี?  อย่างน้อยทุกคนก็นับถือฉัน”  เราไม่ค้านเรื่องที่เจ้าเป็นคนดี แต่ถ้าเจ้ายังเสแสร้งอย่างที่เจ้าทำอยู่ต่อไป เจ้าจะสามารถได้รับชีวิตและความจริงหรือ?  การเป็นคนดีในหนทางที่เจ้าเป็นนั้นอาจจะไม่ทำลายความซื่อตรงของเจ้าหรือขัดแย้งกับเป้าหมายและทิศทางในการวางตนของเจ้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องเข้าใจคือ หากยังเป็นเช่นนั้นต่อไป เจ้าจะไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ และในท้ายที่สุดเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับชีวิตหรือความจริง หรือความรอดจากพระเจ้าได้เลย  นั่นคือจุดจบเพียงอย่างเดียวที่จะเป็นไปได้

เราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปว่าควรมองพฤติกรรมอันดีงามในมโนคติอันหลงผิดของผู้คนอย่างไร และจะระบุพฤติกรรมอันดีงามเหล่านั้นอย่างไรเพื่อให้คนเราไล่ตามเสาะหาความจริง  ตอนนี้พวกเจ้ามีเส้นทางแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเจ้าควรทำอย่างไร?  (ก่อนอื่นให้คิดทบทวนว่าตนเองมีพฤติกรรมเหล่านั้นหรือไม่  จากนั้นก็คิดทบทวนว่าโดยปกติแล้วอะไรคือพื้นฐานและหลักเกณฑ์ที่คนเราใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย)  ถูกต้อง  เจ้าควรเริ่มด้วยการมองให้ชัดเจนว่ามีสิ่งใดในทัศนะเดิมที่เจ้าเคยมีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือในการวางตนและกระทำการของเจ้าที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เราสามัคคีธรรมกันไปในวันนี้ หรือตรงข้ามกับสิ่งที่เราสามัคคีธรรมกันไปหรือไม่  จงคิดทบทวนว่าอะไรคือพื้นฐานของมุมมองและทัศนะที่เจ้านำมาใช้เวลาเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย พื้นฐานที่เจ้าใช้นั้นคือมาตรฐานของวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือเป็นคำกล่าวของผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงบางคน หรือเป็นพระวจนะของพระเจ้าและเป็นความจริง  จากจุดนั้นจงคิดทบทวนต่อไปว่าความคิดและทัศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิมและของผู้คนที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงนั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ ขัดแย้งกับความจริงตรงไหน และผิดพลาดตรงไหนกันแน่  เหล่านี้คือรายละเอียดในขั้นตอนที่สองของการทบทวนตัวเอง  คราวนี้สำหรับขั้นตอนที่สาม  เมื่อเจ้าพบว่าทัศนะ วิธีการ พื้นฐาน และหลักเกณฑ์ของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการของเจ้า ก่อกำเนิดจากเจตจำนงของมนุษย์ จากกระแสนิยมชั่วของสังคมและของวัฒนธรรมดั้งเดิม และสิ่งเหล่านั้นตรงข้ามกับความจริง เมื่อนั้นเจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าควรแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องให้พบและนำมาใช้เป็นหลักการพื้นฐานของเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  จงแสวงหาหลักธรรมความจริงในพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวถึงการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการ  เจ้าควรทำตามสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้เป็นหลัก หรือกล่าวให้ถูกต้องแม่นยำก็คือ ควรทำตามหลักธรรมความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  หลักธรรมความจริงเหล่านั้นควรกลายมาเป็นพื้นฐานและหลักเกณฑ์ของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและกระทำการของเจ้า  นี่คือสิ่งที่สำเร็จลุล่วงยากที่สุด  ก่อนอื่นคนเราต้องปฏิเสธทัศนะ มโนคติอันหลงผิด ความคิดเห็น และท่าทีของตนเอง  นี่รวมถึงทัศนะบางอย่างที่ไม่ถูกต้องและบิดเบี้ยวของมนุษย์  คนเราต้องขุดทัศนะเหล่านั้นขึ้นมา ทำความรู้จัก และชำแหละทัศนะเหล่านั้นให้ละเอียดถี่ถ้วน  อีกส่วนหนึ่งก็คือเมื่อผู้คนค้นพบถ้อยแถลงที่ถูกต้องเหมาะสมในพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกันแล้ว พวกเขาควรนำไปขบคิดและสามัคคีธรรม และเมื่อพวกเขากระจ่างชัดแล้วว่าคือหลักธรรมความจริงใด ก็จะกลายเป็นคำถามว่าพวกเขาควรยอมรับและปฏิบัติความจริงอย่างไรไปในทันที  จงบอกเราทีเถิดว่าเมื่อคนเราเข้าใจหลักธรรมความจริงแล้ว พวกเขาจะสามารถยอมรับและนบนอบความจริงได้ในไม่ช้าหรือไม่?  (ไม่ได้)  ความเป็นกบฏและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที  มนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และแม้เขาอาจจะรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร แต่เขาก็ไม่สามารถนำไปปฏิบัติเดี๋ยวนั้นได้  การนำความจริงไปปฏิบัติในแต่ละครั้งคือการต่อสู้สำหรับเขา  มนุษย์มีอุปนิสัยที่เป็นกบฏ  เขาไม่สามารถปล่อยมือจากอคติ ความไม่คงเส้นคงวา ความดื้อแพ่ง ความหยิ่งยโส ความคิดว่าตนเองถูก หรือความคิดว่าตนสำคัญ รวมทั้งเหตุผลที่ใช้ในการสร้างความชอบธรรมและข้ออ้างต่างๆ มากมาย หรือการนับถือตนเอง สถานะ ความมีหน้ามีตา หรือความทะนงตน  ดังนั้นเมื่อเจ้าปล่อยมือจากบางสิ่งที่เจ้ายึดถืออยู่ในมโนคติอันหลงผิดของเจ้าว่าดีงาม สิ่งที่เจ้าต้องตัดขาดก็คือผลประโยชน์เหล่านี้ของเจ้าและสิ่งที่เจ้ามองว่าล้ำค่า  เมื่อเจ้าตัดขาดและปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ นั่นคือยามที่เจ้าจะมีความหวังหรือมีโอกาสที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  การปล่อยมือจากตัวเจ้าเองและปฏิเสธตนเอง—นี่คือทางแยกที่ข้ามผ่านยากที่สุด  แต่ทันทีที่เจ้าผ่านมาได้ ก็จะไม่มีความยากลำบากที่ใหญ่หลวงใดหลงเหลืออยู่ในหัวใจของเจ้า  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและสามารถมองทะลุแก่นแท้ของพฤติกรรมอันดีงามได้แล้ว ทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป แล้วเจ้าก็จะค่อยๆ ปล่อยมือจากสิ่งดังกล่าวที่มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมได้  ดังนั้นการที่จะเปลี่ยนทัศนะที่ผิดพลาดของมนุษย์ที่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย เปลี่ยนหนทางและลักษณะการกระทำของเขา ตลอดจนต้นกำเนิดและแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของเขา—นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันโดยง่าย  สิ่งที่เปลี่ยนยากที่สุดก็คือการที่มนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ทัศนะที่มนุษย์มีต่อสิ่งทั้งหลายและรูปแบบการใช้ชีวิตของเขาเกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาเอง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทำให้เจ้าโอหัง คิดว่าตนเองถูก และดื้อรั้นเอาแต่ใจ อุปนิสัยเหล่านั้นทำให้เจ้าดูหมิ่นผู้อื่น มุ่งเน้นไปที่การรักษาชื่อและสถานะของตนตลอดเวลา มุ่งเน้นว่าตนสามารถได้รับการยอมรับนับถือและความสนใจท่ามกลางผู้อื่นหรือไม่ คำนึงถึงโอกาสในอนาคตและชะตากรรมของตนอยู่เสมอ เป็นต้น  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของเจ้า  เมื่อเจ้านำสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาแยกย่อยไปทีละอย่าง มองอย่างทะลุปรุโปร่ง และไม่ยอมรับมันไว้ เจ้าก็จะสามารถตัดขาดจากสิ่งเหล่านี้ได้  และจนกว่าเจ้าจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้ทีละน้อย แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะสามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานและใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้าในทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ในการวางตนและกระทำการของเจ้าได้อย่างเด็ดขาดและไม่มีการรอมชอม

จงใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานในทัศนะของเจ้าที่มีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และในการวางตนและกระทำการของเจ้า—ทุกคนเข้าใจวจนะเหล่านี้  สิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ  ในความมีเหตุผลและในความคิดของมนุษย์ ในความตั้งใจแน่วแน่และอุดมคติของเขา มนุษย์สามารถเข้าใจวจนะเหล่านี้และเต็มใจที่จะปฏิบัติตาม  ไม่ควรมีความยากลำบากใดๆ ในเรื่องนั้น  แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาที่มนุษย์ปฏิบัติความจริง เขากลับดำเนินชีวิตตามวจนะเหล่านี้ได้ยาก อุปสรรคและปัญหาในการทำตามวจนะเหล่านี้ไม่ใช่เพียงความยากลำบากที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอกของเขาเท่านั้น  สาเหตุหลักเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาเอง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์คือต้นเหตุของความเดือดร้อนนานัปการของเขา  เมื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้ ความเดือดร้อนและความยากลำบากของมนุษย์ก็ไม่นับเป็นปัญหาใหญ่อีกต่อไป  เมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องจึงกลายเป็นว่าความยากลำบากของมนุษย์ในการปฏิบัติความจริงล้วนมีสาเหตุมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น ขณะที่เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงของการปฏิบัติความจริงนี้ เจ้าย่อมจะตระหนักรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า “ฉันมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  ฉันคือ ‘มวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม’ ที่พระเจ้าตรัสถึง ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามจนถึงแก่น เป็นคนที่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน”  เรื่องราวเป็นดังนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น ถ้ามนุษย์จะไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง การรู้จักและเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เป็นลบก็เป็นเพียงขั้นแรกของการเข้าสู่ชีวิต เป็นขั้นตอนในช่วงแรกเริ่มเท่านั้น  ดังนั้น เหตุใดผู้คนมากมายที่เข้าใจความจริงบางอย่าง กลับไม่สามารถนำความจริงเหล่านั้นไปปฏิบัติได้?  เหตุใดพวกเขาล้วนสามารถประกาศคำพูดและคำสอนมากมาย แต่กลับไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้?  หรือว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริงเอาเสียเลย?  ไม่ใช่—ตรงข้ามกันเลย  ความเข้าใจเชิงทฤษฎีที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงในระดับคำพูดและวลีนั้นเป็นอย่างที่ควรเป็นมากทีเดียว  พวกเขาถึงกับพูดได้อย่างคล่องปากเวลาท่องคำพูดและคำสอนเหล่านั้น  แน่นอนว่าพวกเขามีความตั้งใจแน่วแน่ มีกรอบความคิดที่ดี และมีความมุ่งมาดปรารถนา พวกเขาล้วนเต็มใจพากเพียรไปสู่ความจริง  แต่แล้วเหตุใดพวกเขาถึงนำความจริงไปปฏิบัติไม่ได้ และยังไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้?  เพราะคำพูด ตัวอักษร และทฤษฎีที่พวกเขาหยิบยกมานั้นยังไม่สามารถสำแดงให้เห็นในชีวิตจริงของพวกเขา  แล้วปัญหานี้เกิดจากอะไร?  ต้นเหตุของปัญหาก็คือการมีอยู่ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาตรงใจกลางซึ่งคอยขัดขวางสิ่งต่างๆ  นั่นคือสาเหตุที่คนบางคนไม่มีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณและไม่เข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร พวกเขาคอยให้คำมั่นสัญญาและประกาศเจตจำนงของตนทุกครั้งที่พวกเขาล้มเหลวหรือล้มลงหรือไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  พวกเขาให้คำมั่นและป่าวประกาศเช่นนั้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้แก้ปัญหา  พวกเขายังคงหยุดอยู่ที่ขั้นตอนของการตั้งใจแน่วแน่ในเจตจำนงของตนและให้คำมั่นสัญญา  พวกเขายังคงติดอยู่ตรงนั้น  เวลาปฏิบัติความจริง หลายคนตั้งเจตจำนงของตนและให้คำปฏิญาณ โดยบอกว่าพวกเขาจะพยายาม  พวกเขาให้กำลังใจตัวเองทุกวัน  สาม สี่ ห้าปีแห่งความพยายาม—ท้ายที่สุดแล้วเป็นเช่นไร?  ไม่มีสิ่งใดสำเร็จลุล่วง และทุกอย่างจบลงด้วยความล้มเหลว  คำสอนเล็กน้อยที่พวกเขาเข้าใจนั้นนำไปใช้กับเรื่องใดไม่ได้เลย  เมื่อบางสิ่งบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะมองเรื่องนั้นอย่างไรและไม่สามารถเข้าใจได้  พวกเขาไม่สามารถค้นพบพระวจนะของพระเจ้าที่จะใช้เป็นพื้นฐานของตน พวกเขาจึงไม่รู้วิธีมองสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่รู้ว่าส่วนใดของความจริงในพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่บังเกิดแก่ตนเอง  แล้วพวกเขาก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก พวกเขาเกลียดชังตัวเอง จากนั้นพวกเขาก็อธิษฐาน ขอให้พระเจ้าประทานความเข้มแข็งและความเชื่อแก่พวกเขาให้มากขึ้น ยังคงให้กำลังใจตนเองในท้ายที่สุด  นั่นคือคนกล้าที่ไม่รู้จักคิดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาเหมือนเด็กไม่มีผิด  ที่จริงแล้วมนุษย์ก็ปฏิบัติต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงในชีวิตประจำวันเหมือนเด็กกันอย่างนี้ไม่ใช่หรือ?  มนุษย์อยากจะหนุนใจตนเองอยู่ตลอดเวลาให้ปฏิบัติความจริงด้วยการแน่วแน่ในเจตจำนงของตนและให้คำมั่นสัญญา ด้วยการบังคับตนเองและให้กำลังใจตัวเอง แต่การปฏิบัติความจริงและการเข้าสู่ความจริงไม่ได้เกิดจากการที่มนุษย์หนุนใจตัวเอง  ตรงกันข้าม แท้จริงแล้วเจ้าต้องเข้าสู่และปฏิบัติตามหนทางและขั้นตอนที่เราบอกเจ้า ก้าวไปอย่างหนักแน่นและมั่นคงทีละก้าว  เช่นนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเห็นผลลัพธ์ เช่นนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  ไม่มีทางลัดให้หลบเลี่ยงเรื่องนี้  นี่ไม่ได้หมายความว่า ด้วยส่วนเสี้ยวเล็กน้อยของหัวใจ ด้วยส่วนเสี้ยวของความปรารถนาที่จะสละตนเอง ด้วยเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ และเป้าหมายอันสูงส่ง ความจริงจะกลายมาเป็นความเป็นจริงของเจ้า แต่หมายความว่ามนุษย์ต้องเรียนรู้บทเรียนขั้นพื้นฐานของการแสวงหา การเข้าสู่ การปฏิบัติ และการนบนอบในชีวิตจริงของเขา ท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ  ต่อเมื่อเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้แล้วเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถสัมผัสความจริงและพระวจนะของพระเจ้า หรือมีประสบการณ์กับความจริงและพระวจนะ หรือรู้จักความจริงและพระวจนะ  หากไม่มีการเรียนรู้เช่นนี้ สิ่งที่มนุษย์จะได้รับก็ย่อมมีแต่ส่วนเสี้ยวของคำสอนไว้ใช้เติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเขาเท่านั้น ไม่ว่ามนุษย์จะใช้เวลาจูงใจตนเอง หนุนใจตนเอง และให้กำลังใจตัวเองสักกี่ปีก็ตาม  เขาจะรู้สึกถึงความพอใจทางฝ่ายวิญญาณเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่จะไม่ได้รับสิ่งอันเป็นสาระที่แท้จริง  ที่ว่าไม่ได้รับสิ่งอันเป็นสาระที่แท้จริงนั้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพื้นฐานของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการของเจ้านั้น ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า  ไม่มีพระวจนะใดของพระเจ้าที่ทำหน้าที่เป็นหลักการพื้นฐานในทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย หรือในทัศนคติเกี่ยวกับการวางตนและกระทำการของเจ้า  เจ้าใช้ชีวิตอย่างสับสน ชีวิตที่ไร้ความช่วยเหลือ และยิ่งเจ้าเผชิญปัญหาที่ต้องให้เจ้าแสดงทัศนะของเจ้า หลักธรรมและจุดยืนของเจ้าบ่อยครั้งเพียงใด ความไม่รู้ ความเขลา ความกลวงเปล่า และความอับจนหนทางของเจ้าก็จะยิ่งชัดแจ้งมากเพียงนั้น  ภายใต้รูปการณ์ปกติ เจ้าสามารถกล่าวคำสอนและวลีติดปากที่ถูกต้องจำนวนหนึ่งได้ ราวกับเจ้าเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง  แต่พอเกิดปัญหาขึ้นมา และมีบางคนมาหาเจ้าด้วยท่าทีจริงจังเพื่อให้เจ้าชี้แจงจุดยืนและระบุว่าเจ้ายืนอยู่ตรงไหน เจ้ากลับไม่มีคำพูด  บางคนก็จะกล่าวว่า “ไม่มีอะไรจะพูดหรือ?  ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก—ฉันไม่กล้าพูดต่างหาก”  ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่กล้าพูดเล่า?  นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่  เหตุใดเจ้าจึงไม่แน่ใจเล่า?  เพราะตอนที่เจ้ากำลังทำสิ่งนั้นๆ อยู่ เจ้าไม่เคยยืนยันว่าอะไรคือหลักการพื้นฐานของสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ และอะไรคือหลักธรรมของเจ้าในการทำเช่นนั้น แน่นอนว่าเจ้ายิ่งไม่เคยยืนยันว่าเจ้ามองและทำเรื่องนั้นตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้าหรือไม่  ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เจ้าจึงถูกทิ้งให้ดูกระอักกระอ่วนและหมดหนทาง  บางคนไม่ยอมเชื่อ  พวกเขากล่าวว่า “ฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้น  ฉันจบมหาวิทยาลัย  ฉันสำเร็จปริญญาโท” หรือ “ฉันเป็นนักปรัชญา เป็นศาสตราจารย์ เป็นปัญญาชนชั้นแนวหน้า” หรือ “ฉันเป็นคนที่มีการศึกษาดี  คุณเอาสิ่งที่ฉันพูดไปตีพิมพ์ได้” หรือ “ฉันเป็นนักวิชาการคนสำคัญ” หรือ “ฉันมีความสามารถพิเศษ”  การพูดถึงเรื่องเหล่านี้มีประโยชน์อะไรต่อเจ้าบ้าง?  เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่คุณสมบัติที่น่ายกย่องของเจ้า  ที่สุดแล้วเรื่องพวกนี้ก็หมายความว่าเจ้าพอมีความรู้อยู่บ้างเล็กน้อย  ส่วนจะเป็นประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่นั้นเป็นเรื่องยากที่จะบอก แต่อย่างน้อยก็แน่นอนว่าความรู้นั้นๆ ของเจ้าไม่ใช่ความจริงและไม่สะท้อนให้เห็นวุฒิภาวะของเจ้า  การกล่าวว่าความรู้ของเจ้าไม่สะท้อนให้เห็นวุฒิภาวะของเจ้านั้นหมายถึงอะไร?  เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ชีวิตของเจ้า เป็นสิ่งที่อยู่นอกตัวเจ้า  ถ้าเช่นนั้นชีวิตของเจ้าเป็นเช่นไร?  เป็นชีวิตที่มีตรรกะและปรัชญาของซาตานเป็นพื้นฐานและหลักเกณฑ์ และแม้เจ้าจะมีความรู้ มีวัฒนธรรม มีสมอง แต่เจ้าก็ไม่สามารถกำราบหรือควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้  ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหา แหล่งความสามารถและสติปัญญาของเจ้า รวมทั้งความรู้มากมายของเจ้า จึงไม่ช่วยอะไรเลย—หรือเป็นไปได้ว่าเมื่อแง่มุมหนึ่งของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าพรั่งพรูออกมา ความอดทน การอบรมเลี้ยงดู ความรู้ และอื่นๆ ทั้งหมดของเจ้าจะไม่ช่วยเจ้าเลยแม้แต่น้อย  ถึงตอนนั้นเจ้าจะรู้สึกอับจนหนทาง  ทั้งหมดนี้คือหนทางอันน่ากระอักกระอ่วนที่การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและการขาดการเข้าสู่ความจริงสำแดงในตัวมนุษย์  การเข้าสู่ความจริงนั้นง่ายหรือไม่?  มีความท้าทายในการเข้าสู่ความจริงหรือไม่?  ตรงไหน?  ไม่มีความท้าทายเลยหากเจ้าถามเรา  จงอย่ามุ่งเน้นไปที่การตั้งใจแน่วแน่ในเจตจำนงของตนหรือการให้คำมั่นสัญญา  สิ่งเหล่านั้นไร้ประโยชน์  เมื่อเจ้ามีเวลาที่จะตั้งเจตจำนงของตนและให้คำมั่นสัญญา จงเอาเวลานั้นไปทุ่มเทพยายามกับพระวจนะของพระเจ้าแทนเถิด  จงพิจารณาว่าพระวจนะกล่าวอะไรไว้ และพระวจนะส่วนไหนพูดถึงสภาวะในปัจจุบันของเจ้า  ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะตั้งเจตจำนง  เจ้าอาจทุบหัวตัวเองให้แตกและปล่อยให้เลือดไหลอาบเพื่อแสดงเจตจำนงของเจ้า แต่นั่นก็จะไร้ประโยชน์อยู่ดี  การทำเช่นนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้  เจ้าสามารถทำเช่นนั้นเพื่อหลอกมนุษย์และปีศาจให้หลงกลได้ แต่เจ้าหลอกพระเจ้าให้หลงกลไม่ได้  พระเจ้าไม่ทรงปีติยินดีไปกับเจตจำนงนั้นๆ ของเจ้า  เจ้าตั้งเจตจำนงของตนไปกี่ครั้งแล้ว?  เจ้าให้คำมั่น แล้วเจ้าก็กลับคำ และพอกลับคำแล้ว เจ้าก็ให้คำมั่นอีก แล้วก็กลับคำอีก  นั่นทำให้เจ้าเป็นคนแบบใด?  เมื่อใดเจ้าจะรักษาคำพูด?  ไม่ว่าเจ้าจะรักษาคำพูดหรือไม่ หรือเจ้าตั้งเจตจำนงของตนหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ  เจ้าจะให้คำมั่นสัญญาหรือไม่ก็ไม่สำคัญเช่นกัน  แล้วอะไรที่สำคัญ?  สิ่งสำคัญคือการที่เจ้านำความจริงที่เจ้าเข้าใจไปปฏิบัติทันที ในทันใดนั้นเลย  ต่อให้เป็นความจริงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ความจริงที่สะดุดตาคนอื่นน้อยที่สุด ความจริงที่ตัวเจ้าเองให้ความสำคัญน้อยที่สุด ก็จงลงมือปฏิบัติทันที—เข้าสู่ความจริงนั้นในทันใด  หากเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในทันที และในทันใดนั้นเอง เจ้าก็จะเริ่มเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าย่อมใกล้ที่จะกลายเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  บนพื้นฐานนั้น เจ้าจะสามารถกลายเป็นคนที่มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าได้ในไม่ช้า โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน  นั่นจะเป็นความสมบูรณ์พูนผลอย่างยิ่ง—ช่างเป็นคุณค่าที่จับต้องได้จริงๆ!

หลังสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมอันดีงามในวัฒนธรรมดั้งเดิมแล้ว พวกเจ้าได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับคำกล่าวเหล่านั้นบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าควรจัดการกับพฤติกรรมอันดีงามจำพวกนี้อย่างไร?  บางคนอาจกล่าวว่า “เริ่มจากวันนี้ไป ฉันจะไม่เป็นคนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาดีและมีเหตุผล อ่อนโยนและมีมารยาท หรือสุภาพอ่อนน้อม  ฉันจะไม่เป็นคนที่เรียกกันว่า ‘ดีงาม’ ฉันจะไม่เป็นคนที่เคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ ฉันจะไม่เป็นคนที่มีไมตรีจิตและคุยด้วยง่าย  ทั้งหมดนั้นไม่ใช่การพรั่งพรูอย่างเป็นธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นั่นเป็นพฤติกรรมหลอกลวงที่จอมปลอมและเทียมเท็จ และเทียบไม่ได้กับการไล่ตามเสาะหาความจริง  แล้วฉันจะเป็นคนประเภทไหน?  ฉันจะเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันจะเริ่มด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์  ในแง่ของวาจา ฉันสามารถจะไร้การศึกษา ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ไม่มีความรู้ และถูกคนอื่นดูหมิ่นได้ แต่ฉันจะพูดจาอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความจริงใจ และปราศจากความเทียมเท็จ  ในฐานะคนคนหนึ่งและในการกระทำของฉัน ฉันจะไม่เสแสร้งและไม่เล่นละคร  ทุกครั้งที่ฉันพูด นั่นย่อมจะมาจากหัวใจ—ฉันจะพูดสิ่งที่ฉันคิดอยู่ข้างใน  ถ้าฉันเกลียดชังใคร ฉันจะตรวจสอบตัวเองและไม่ทำสิ่งที่ทำร้ายพวกเขา ฉันจะทำแต่สิ่งที่สร้างสรรค์  เวลาพูด ฉันจะไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตน และจะไม่ถูกจำกัดด้วยชื่อเสียงหรือหน้าตาของตัวเอง  ยิ่งไปกว่านั้นฉันจะไม่เจตนาทำให้ผู้คนยกย่องฉัน  ฉันจะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงมีความสุขหรือไม่เท่านั้น  บรรทัดฐานของฉันคือการไม่ทำร้ายผู้คน  สิ่งที่ฉันทำย่อมจะเป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้า ฉันจะไม่ทำสิ่งที่ทำร้ายผู้คน และจะไม่ทำสิ่งที่ทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้รับความเสียหาย  ฉันจะทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้น และจะเป็นคนที่ทำให้พระเจ้ามีความสุข”  นี่คือความเปลี่ยนแปลงในตัวคนคนหนึ่งมิใช่หรือ?  ถ้าพวกเขาปฏิบัติตามคำพูดเหล่านี้จริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนไปแล้วอย่างแท้จริง  อนาคตและชะตากรรมของพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว  ในไม่ช้าพวกเขาจะเริ่มก้าวไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงในไม่ช้า และอีกไม่นานพวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่มีหวังในความรอด  นี่คือสิ่งที่ดีงาม และสิ่งที่เป็นบวก  นี่ต้องให้เจ้าตั้งเจตจำนงหรือให้คำมั่นหรือไม่?  ไม่ต้องทำอะไรเลย กล่าวคือ เจ้าไม่ต้องตั้งเจตจำนงต่อพระเจ้า เจ้าไม่ต้องตรวจสอบการกระทำผิด ความผิดพลาด และความเป็นกบฏก่อนหน้านี้ของเจ้า จงรีบสารภาพต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ประทานอภัย  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีพิธีรีตองเช่นนั้น  เพียงกล่าวสิ่งที่เป็นจริงและออกมาจากหัวใจเดี๋ยวนี้และในทันที รวมทั้งทำสิ่งที่เชื่อถือได้โดยไม่โกหกหรือใช้เล่ห์เพทุบาย  เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์บางสิ่งบางอย่างแล้ว และย่อมมีหวังที่เจ้าจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์  เมื่อใครบางคนกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พวกเขาย่อมได้มาซึ่งความเป็นจริงความจริง และเริ่มดำรงชีวิตอย่างมนุษย์  คนเช่นนั้นคือผู้ที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ  เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดให้กังขาเลย

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022

เชิงอรรถ:

ก. ข่งหรงปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าของจีนซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีและมักใช้อบรมสั่งสอนเด็กๆ เกี่ยวกับคุณค่าของความมีมารยาทและความรักกันฉันพี่น้องสืบเนื่องกันมา  เรื่องดังกล่าวเล่าถึงการที่ข่งหรงในวัยสี่ขวบยกลูกแพร์ที่ใหญ่กว่าให้พี่ชายทั้งหลายของตนและเก็บลูกแพร์ที่เล็กที่สุดไว้เองตอนที่ครอบครัวของเขาได้รับลูกแพร์มาหนึ่งตะกร้า

ก่อนหน้า:  การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (2)

ถัดไป:  การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (4)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger