7. ความแตกต่างระหว่างความประพฤติดีภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

โดยหลักแล้ว การแปลงสภาพในอุปนิสัยอ้างอิงถึงการแปลงสภาพของธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง  สิ่งทั้งหลายของธรรมชาติของบุคคลหนึ่งนั้นไม่สามารถมองเห็นได้จากพฤติกรรมภายนอก สิ่งเหล่านั้นสัมพันธ์โดยตรงกับความมีคุณค่าและนัยสำคัญของการดำรงอยู่ของเขา  นั่นก็คือ สิ่งเหล่านั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับทัศนะของบุคคลหนึ่งที่มีต่อชีวิตและค่านิยมทั้งหลายของเขา สิ่งทั้งหลายที่อยู่ในห้วงลึกของจิตใจของเขา และแก่นแท้ของเขา  หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถยอมรับความจริงได้ เขาย่อมจะไม่ก้าวผ่านการแปลงสภาพในแง่มุมเหล่านี้เลย  เฉพาะโดยการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า การเข้าสู่ความจริงอย่างเต็มที่ การเปลี่ยนแปลงค่านิยมของคนเราและทัศนะของคนเราที่มีต่อการดำรงอยู่และชีวิต การปรับทรรศนะของคนเราให้อยู่ในแนวเดียวกับของพระเจ้า และการกลับกลายมามีความสามารถที่จะนบนอบและอุทิศแด่พระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์เท่านั้น จึงจะพูดได้ว่าอุปนิสัยของคนเราได้แปลงสภาพไปแล้ว  เจ้าอาจดูเหมือนว่ามีการนำความพยายามบางอย่างออกมาใช้ เจ้าอาจมีความยืดหยุ่นเมื่อประจันหน้ากับความยากลำบาก เจ้าอาจมีความสามารถที่จะดำเนินการจัดการเตรียมการเกี่ยวกับพระราชกิจจากเบื้องบนจนเสร็จสิ้นได้ หรือเจ้าอาจมีความสามารถที่จะไปแห่งหนใดก็ตามที่ถูกบอกให้ไป แต่เหล่านี้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของพฤติกรรมและไม่เพียงพอที่จะนับว่าเป็นการแปลงสภาพอุปนิสัยของเจ้า  เจ้าอาจมีความสามารถที่จะล่องไปตามเส้นทางสารพัน ทนทุกข์กับความยากลำบากสารพัด และสู้ทนการเหยียดหยามอันใหญ่หลวง เจ้าอาจรู้สึกใกล้ชิดพระเจ้ามาก และพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจทรงพระราชกิจบางอย่างกับเจ้า  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าทรงขอให้เจ้าทำบางสิ่งที่ไม่คล้อยตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็ยังคงอาจจะไม่นบนอบ แต่ในทางกลับกัน เจ้าอาจจะมองหาข้อแก้ตัวทั้งหลาย อันเป็นการต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า กระทั่งถึงจุดที่เจ้าวิพากษ์วิจารณ์และประท้วงต่อพระองค์  นี่จะเป็นปัญหาที่รุนแรง!  นั่นจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังคงมีธรรมชาติที่ต้านทานพระเจ้าอยู่ และว่าเจ้ายังไม่ได้ก้าวผ่านการแปลงสภาพไม่ว่าอันใดเลยก็ตาม

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา

ผู้คนสามารถประพฤติดีได้ แต่นั่นไม่จำเป็นต้องหมายความว่า พวกเขาครองความจริง  การมีศรัทธาแก่กล้าเพียงสามารถทำให้พวกเขายึดปฏิบัติตามคำสอนและติดตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายเท่านั้น พวกที่ปราศจากความจริงไม่มีหนทางในการแก้ปัญหาที่เป็นแก่นสาร และคำสอนก็ไม่สามารถเข้ามาประจำที่แทนความจริงได้  ผู้คนที่ได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัยของพวกเขานั้นแตกต่างไป กล่าวคือ พวกเขาได้เข้าใจความจริงแล้ว พวกเขากำลังหยั่งรู้ประเด็นปัญหาทั้งหมด พวกเขารู้วิธีที่จะกระทำการโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า วิธีที่จะกระทำการโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และวิธีที่จะกระทำการเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกเขาเข้าใจธรรมชาติของความเสื่อมทรามที่พวกเขาจัดแสดง  เมื่อแนวคิดและมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเองได้รับการเปิดเผย พวกเขาสามารถหยั่งรู้และละทิ้งเนื้อหนังได้  นี่คือวิธีที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้รับการแสดงออก  สิ่งหลักเกี่ยวกับผู้คนที่ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแล้วก็คือว่า พวกเขาได้มาเข้าใจความจริงอย่างชัดเจนแล้ว และเมื่อดำเนินการสิ่งทั้งหลาย พวกเขานำความจริงไปปฏิบัติด้วยความถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นและพวกเขาไม่จัดแสดงความเสื่อมทรามบ่อยครั้งอย่างที่เป็นมา  โดยทั่วไป บรรดาผู้ที่อุปนิสัยของพวกเขาได้แปลงสภาพไปแล้วนั้นดูเหมือนจะมีเหตุผลและหยั่งรู้เป็นพิเศษ และเนื่องจากการเข้าใจความจริงของพวกเขา พวกเขาไม่แสดงความชอบคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอหรือความโอหังมากอย่างแต่ก่อน  พวกเขาสามารถมองทะลุและหยั่งรู้ความเสื่อมทรามมากมายที่ถูกเปิดเผยไปแล้ว ดังนั้นในตัวพวกเขาจึงไม่เกิดความโอหัง  พวกเขาสามารถมีการจับความเข้าใจที่ผ่านการประเมินรอบคอบแล้วเกี่ยวกับสิ่งซึ่งเป็นที่ทางของมนุษย์ เกี่ยวกับวิธีประพฤติตนอย่างสมเหตุสมผล เกี่ยวกับวิธีรับผิดชอบต่อหน้าที่ เกี่ยวกับสิ่งที่จะพูดและสิ่งที่จะไม่พูด และเกี่ยวกับสิ่งที่จะพูดและสิ่งที่จะทำกับผู้คนแบบใด  นี่คือเหตุผลที่กล่าวกันว่าผู้คนเช่นนี้ค่อนข้างมีเหตุผล  บรรดาผู้ที่ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขานั้นใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนของมนุษย์อย่างแท้จริง และพวกเขาครองความจริง  พวกเขาสามารถพูดและมองเห็นสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับความจริงอยู่เสมอ และพวกเขามีหลักธรรมในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคล เรื่อง หรือสิ่งของ และพวกเขาทั้งหมดมีทัศนะของพวกเขาเองและสามารถค้ำจุนความจริงหลักธรรมได้  อุปนิสัยของพวกเขาค่อนข้างมั่นคง พวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา และไม่สำคัญว่ารูปการณ์แวดล้อมของพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขาก็เข้าใจวิธีทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมและวิธีที่จะประพฤติตนให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  อันที่จริงแล้ว บรรดาผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยไม่มุ่งความสนใจไปที่สิ่งซึ่งจะทำเพื่อให้ตัวพวกเขาเองดูดีในระดับผิวเผิน—พวกเขาได้รับความชัดเจนภายในเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เพราะฉะนั้น จากภายนอกแล้ว พวกเขาอาจไม่ดูเหมือนว่ามีใจกระตือรือร้นมากนักหรือได้ทำสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นมีความหมาย มีคุณค่า และให้ผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  บรรดาผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยนั้นครองความจริงมากมายอย่างแน่นอน—และการนี้สามารถยืนยันได้โดยมุมมองเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายของพวกเขาและการกระทำอันมีหลักธรรมของพวกเขา  พวกที่ไม่ครองความจริงนั้นยังไม่ได้สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอันใดในอุปนิสัยอย่างแน่นอน  การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งในอุปนิสัยมิใช่หมายถึงการมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์ช่ำชอง  โดยหลักแล้ว มันอ้างอิงถึงในกรณีตัวอย่างที่พิษซาตานบางอย่างภายในธรรมชาติของบุคคลเปลี่ยนแปลงไปโดยเป็นผลมาจากการบรรลุความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและความเข้าใจความจริง  นั่นกล่าวได้ว่า พิษซาตานเหล่านั้นได้ถูกชำระให้สะอาดแล้ว และความจริงซึ่งพระเจ้าทรงแสดงออกมานั้นหยั่งรากภายในผู้คนเช่นนั้น กลายเป็นชีวิตของพวกเขา และกลายเป็นรากฐานแท้จริงแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา  เมื่อนั้นเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นผู้คนใหม่ และเช่นนั้นเอง จึงได้รับประสบการณ์กับการแปลงสภาพของอุปนิสัย  การแปลงสภาพอย่างหนึ่งในอุปนิสัยมิใช่หมายความว่า อุปนิสัยภายนอกทั้งหลายของผู้คนนั้นสุภาพอ่อนโยนขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ มิใช่หมายความว่าพวกเขาเคยโอหัง แต่มาบัดนี้สามารถสัมพันธ์สนิทได้อย่างมีเหตุมีผล หรือว่าพวกเขาเคยไม่ฟังใครเลย แต่มาบัดนี้สามารถรับฟังผู้อื่นได้ การเปลี่ยนแปลงภายนอกเช่นนั้นไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นการแปลงสภาพในอุปนิสัย  ก็แน่อยู่ว่า การแปลงสภาพทั้งหลายในอุปนิสัยนั้นย่อมรวมไปถึงสภาวะและการแสดงออกทั้งหลายดังกล่าว แต่ส่วนผสมผสานที่สำคัญยิ่งยวดก็คือ การที่ชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วภายใน  ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงออกมานั้นกลายมาเป็นชีวิตแท้จริงของพวกเขา พิษซาตานทั้งหลายภายในได้ถูกกำจัดทิ้งไป และมุมมองทั้งหลายของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างครบบริบูรณ์ และไม่มีมุมมองใดเลยที่อยู่ในแนวเดียวกับมุมมองของทางโลก  ผู้คนเหล่านี้สามารถมองเห็นกลอุบายและสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดงอย่างชัดเจนว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร พวกเขาได้จับความเข้าใจแก่นสารแท้จริงของชีวิตแล้ว  ด้วยเหตุนั้น ค่านิยมแห่งชีวิตของพวกเขาจึงได้เปลี่ยนแปลงไป—และนี่คือการแปลงสภาพชนิดที่เป็นรากฐานที่สุดและเป็นแก่นแท้แห่งการเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัย

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ในศาสนา ผู้คนมากมายทนทุกข์อย่างมากมายตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา กล่าวคือ พวกเขาอยู่เหนือร่างกายของพวกเขาเอง และแบกทุกข์ของตน พวกเขายังแม้แต่ทนทุกข์และสู้ทนต่อไปเมื่ออยู่บนปากเหวแห่งความตาย!  บางคนยังคงกำลังอดอาหารในตอนเช้าของวันที่พวกเขาตาย  ทั้งชีวิตของพวกเขา พวกเขาปฏิเสธไม่ให้ตัวเองได้รับอาหารและเสื้อผ้าดีๆ และมุ่งเน้นที่ความทุกข์เท่านั้น  พวกเขาสามารถอยู่เหนือร่างกายของพวกเขาได้และละทิ้งเนื้อหนังของพวกเขา  จิตใจที่พวกเขามีให้กับการสู้ทนความทุกข์ช่างน่ายกย่อง  แต่ความคิดของพวกเขา มโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ทัศนคติทางใจของพวกเขา และโดยแท้จริงแล้ว ธรรมชาติเก่าๆ ของพวกเขา ยังไม่ได้ถูกจัดการเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาขาดพร่องความรู้ที่แท้จริงใดๆ เกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง  ภาพในใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นภาพแบบดั้งเดิมที่มีพระเจ้าที่คลุมเครือ  ความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์เพื่อพระเจ้าของพวกเขามาจากความกระตือรือร้นและบุคลิกลักษณะที่ดีของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็ทั้งไม่เข้าใจพระองค์หรือรู้น้ำพระทัยของพระองค์  พวกเขาเพียงทำงานและทนทุกข์อย่างหูหนวกตาบอดเพื่อพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาไม่ให้คุณค่าใดๆ กับการหยั่งรู้เลย ใส่ใจวิธีการทำให้แน่ใจว่าการรับใช้ของพวกเขาทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงจริงๆ เพียงเล็กน้อย  นับประสาอะไรที่พวกเขาจะตระหนักรู้วิธีการสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า  พระเจ้าที่พวกเขารับใช้ไม่ใช่พระเจ้าในพระฉายาเนื้อแท้ภายในของพระองค์ แต่เป็นพระเจ้าที่พวกเขาได้จินตนาการ พระเจ้าผู้ที่พวกเขาเพียงแค่เคยได้ยินหรือตำนานเกี่ยวกับผู้ที่พวกเขาเคยได้อ่านในงานเขียนเท่านั้น  แล้วพวกเขาก็ใช้จินตนาการอันกว้างไกลและความเคร่งศาสนาของพวกเขาในการทนทุกข์เพื่อพระเจ้า และปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์จะปฏิบัติ  การรับใช้ของพวกเขาคลาดเคลื่อนเกินไป จนกระทั่งไม่มีพวกเขาคนใดที่มีความสามารถที่จะรับใช้โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงในทางปฏิบัติเลย  ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีทนทุกข์อย่างไรก็ตาม มุมมองแต่เดิมของพวกเขาเกี่ยวกับการรับใช้และภาพในใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะพวกเขายังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน กระบวนการถลุง และการทำให้มีความเพียบพร้อมจากพระเจ้า อีกทั้งไม่มีใครคนใดเคยนำพวกเขาโดยใช้ความจริง  ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ก็ไม่มีพวกเขาคนใดที่เคยพบเห็นพระผู้ช่วยให้รอด  พวกเขาเพียงรู้จักพระองค์โดยผ่านทางตำนานและคำบอกเล่าเท่านั้น  ดังนั้น การรับใช้ของพวกเขารวมกันแล้วไม่มากกว่าการปิดตารับใช้ไปอย่างไร้แบบแผน ราวกับคนตาบอดที่รับใช้บิดาของเขาเอง  ถึงที่สุดแล้ว การรับใช้เช่นนั้นสามารถสัมฤทธิ์ผลสิ่งใดได้บ้าง?  และผู้ใดจะเห็นชอบกับการรับใช้เช่นนั้น?  การรับใช้ของพวกเขายังคงเหมือนเดิมตลอดมาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด พวกเขาได้รับเพียงบทเรียนที่มนุษย์สร้างขึ้น และอิงการรับใช้ของพวกเขาบนความเป็นธรรมชาติของพวกเขาและความชอบของพวกเขาเองเท่านั้น  สิ่งนี้จะสามารถให้รางวัลใด?  แม้กระทั่งเปโตร ผู้ซึ่งได้มองเห็นพระเยซู ก็ยังไม่รู้วิธีการรับใช้ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เขาเพียงมารู้ถึงการนี้ในท้ายที่สุดในวัยชราของเขา  นี่บอกอะไรเกี่ยวกับผู้คนตาบอดที่ยังไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการจัดการหรือการได้รับการตัดแต่งแม้แต่น้อย และผู้ที่ไม่เคยมีผู้ใดนำพวกเขา?  การรับใช้ของผู้คนมากมายในหมู่พวกเจ้าในวันนี้ไม่เหมือนกับของผู้คนที่ตาบอดเหล่านี้หรือ?  ผู้คนทั้งหมดที่ยังไม่ได้รับการพิพากษา ยังไม่ได้รับการตัดแต่งและการจัดการ และผู้ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง—พวกเขาทั้งหมดไม่ได้ถูกพิชิตอย่างไม่ครบบริบูรณ์หรือ?  ผู้คนเช่นนั้นมีประโยชน์อันใดกัน?  หากความคิดของเจ้า ความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับชีวิต และความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าไม่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงใหม่ใดๆ และเจ้าไม่ได้รับสิ่งใดอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่มีวันสัมฤทธิ์สิ่งใดที่ยอดเยี่ยมในการรับใช้ของเจ้า!  หากปราศจากนิมิตและความรู้ใหม่เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าย่อมไม่ถูกพิชิต  แล้ววิธีการติดตามพระเจ้าของเจ้าก็จะเหมือนกับผู้ที่ทนทุกข์และอดอาหาร นั่นคือ มีคุณค่าเพียงน้อยนิด!  เป็นที่แน่แท้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมีคำพยานเพียงน้อยนิด เราจึงพูดว่าการรับใช้ของพวกเขาไร้ประโยชน์!  ผู้คนเหล่านั้นทนทุกข์และใช้เวลาอยู่ในคุกตลอดชีวิตของพวกเขา พวกเขาอดกลั้น รักใคร่เสมอมา และพวกเขาแบกกางเขนเสมอมา พวกเขาถูกเยาะเย้ยถากถางและถูกปฏิเสธจากโลก พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความยากลำบากทุกอย่าง และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อฟังจนถึงที่สิ้นสุด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ถูกพิชิต และไม่สามารถเสนอคำพยานใดๆ ต่อการถูกพิชิตได้  พวกเขาได้ทนทุกข์มากมาย แต่ภายใน พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าเลย  ความคิดเก่าๆ มโนคติอันหลงผิดเก่าๆ การปฏิบัติทางศาสนา ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น และแนวความคิดในแบบมนุษย์ของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดเลยที่เคยได้รับการจัดการ  ไม่มีเค้าของความรู้ใหม่ๆ ในตัวพวกเขาเลยแม้แต่น้อย  ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าไม่มีแม้สักเสี้ยวที่แท้จริงหรือถูกต้องแม่นยำ  พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าผิด  นี่คือการรับใช้พระเจ้าหรือ?  ไม่ว่าความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าในอดีตจะเป็นอย่างไรก็ตาม หากความรู้นั้นยังคงเหมือนเดิมในวันนี้และเจ้ายังคงใช้มโนคติอันหลงผิดและแนวคิดของเจ้าเองเป็นพื้นฐานความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าต่อไป ไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติสิ่งใดก็ตาม กล่าวคือ หากเจ้ายังไม่มีความรู้ใหม่ๆ ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และหากเจ้ายังล้มเหลวที่จะรู้จักพระฉายาและพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า หากความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงถูกนำด้วยความคิดตามระบบศักดินาและที่เป็นไสยศาสตร์ และยังคงเกิดขึ้นจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์อยู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังไม่ได้ถูกพิชิต  วจนะมากมายทั้งหมดที่เราพูดกับเจ้าบัดนี้ มุ่งหมายเพื่อให้เจ้ารู้ เพื่อให้ความรู้นี้นำทางเจ้าสู่ความรู้ใหม่กว่าที่ถูกต้องแม่นยำ  วจนะเหล่านี้ยังมุ่งหมายที่จะกำจัดมโนคติอันหลงผิดเก่าๆ และความรู้เก่าๆ ในตัวเจ้าด้วยเช่นกัน เพื่อที่เจ้าอาจมีความรู้ใหม่ๆ ได้  หากเจ้ากินและดื่มวจนะของเราจริงๆ เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก  ตราบเท่าที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าด้วยหัวใจแห่งความเชื่อฟัง เช่นนั้นแล้วมุมมองของเจ้าก็จะพลิกกลับ  ตราบเท่าที่เจ้าสามารถยอมรับการตีสอนซ้ำๆ ได้ วิธีการคิดเก่าๆ ของเจ้าก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป  ตราบเท่าที่วิธีการคิดเก่าๆ ของเจ้าถูกแทนที่อย่างถ้วนทั่วด้วยวิธีการคิดใหม่ๆ การปฏิบัติของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสอดคล้องเช่นกัน  ด้วยวิธีนี้ การรับใช้ของเจ้าจะตรงเป้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  หากเจ้ามีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเจ้า ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ และมโนคติอันหลงผิดมากมายที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วความเป็นธรรมชาติของเจ้าจะค่อยๆ ลดลง  สิ่งนี้และเป็นเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่เป็นผลที่เกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงพิชิตผู้คน มันคือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในผู้คน  หากในความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า ทั้งหมดที่เจ้ารู้คือการอยู่เหนือร่างกายของเจ้าและการสู้ทนและการทนทุกข์ และเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก หรือยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าทำไปเพื่อใคร แล้วการปฏิบัติเช่นนั้นจะสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (3)

เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนทางศาสนาเหล่านั้นมารวมตัวกัน พวกเขาอาจถามว่า “พี่สาว หมู่นี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”  เธออาจตอบกลับไปว่า “ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า และว่าฉันไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ได้”  อีกคนอาจกล่าวว่า “ฉันก็รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าเหมือนกัน และรู้สึกว่าฉันไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ได้”  ลำพังไม่กี่ประโยคและคำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นสิ่งถ่อยๆ ทั้งหลายที่อยู่ลึกภายในพวกเขา  นั่นคือ คำพูดทั้งหลายดังกล่าวนั้นน่าเกลียดที่สุด และน่าเดียดฉันท์เหลือเกิน  ธรรมชาติของผู้คนแบบนั้นย่อมต่อต้านพระเจ้า  บรรดาผู้คนที่มุ่งเน้นที่ความเป็นจริงย่อมสื่อสารสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และเปิดหัวใจของพวกเขาออกมาในการสามัคคีธรรม  พวกเขาไม่ทำกิจกรรมที่เป็นเท็จแม้สักครั้ง ไม่อวดแสดงทั้งความสุภาพมีมารยาทมากมายเกินขนาดและการหยอกล้อคุยเล่นอันว่างเปล่าไม่จริงใจ  พวกเขาตรงไปตรงมาอยู่เสมอ และไม่ถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ไม่อิงศาสนา  ผู้คนบางคนมีใจชอบการแสดงออกมาภายนอก จนถึงจุดที่ขาดสำนึกอย่างถึงที่สุดด้วยซ้ำ  เมื่อใครบางคนร้องเพลง พวกเขาก็เริ่มเต้นรำ ไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่าข้าวในหม้อของพวกเขาไหม้เสียแล้ว  ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้อยู่ในทางพระเจ้าหรือมีเกียรติ และพวกเขาเหลาะแหละมากเกินไป  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นการสำแดงทั้งหลายของการขาดพร่องความเป็นจริง  เมื่อผู้คนบางคนสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่พูดเรื่องความเป็นหนี้บุญคุณอะไรเลยต่อพระเจ้า แต่ลึกลงไปนั้น พวกเขายังคงไว้ซึ่งความรักที่แท้จริงต่อพระองค์  ความรู้สึกของเจ้าในเรื่องการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับผู้คนอื่นๆ เจ้าเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า ไม่ใช่มนุษยชาติ  มีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะพูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่นอยู่เนืองนิตย์?  เจ้าต้องให้ความสำคัญแก่การเข้าสู่ความเป็นจริง ไม่ใช่แก่ความคึกคักกระตือรือร้นหรือการอวดแสดงภายนอกใดๆ  

ความประพฤติดีแบบผิวเผินของมนุษย์ทั้งหลายเป็นตัวแทนของอะไรหรือ?  สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวแทนของเนื้อหนัง และแม้แต่การปฏิบัติภายนอกที่ดีที่สุดก็ไม่เป็นตัวแทนของชีวิต สิ่งเหล่านั้นสามารถแสดงออกได้เพียงภาวะอารมณ์แบบปัจเจกบุคคลของเจ้าเองเท่านั้น  การปฏิบัติภายนอกทั้งหลายของมนุษยชาติไม่สามารถทำให้ความพึงปรารถนาของพระเจ้าลุล่วงได้  เจ้าพูดถึงการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าของเจ้าอยู่เนืองนิตย์ ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่สามารถจัดหาให้กับชีวิตของผู้อื่น หรือสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขารักพระเจ้าได้  เจ้าเชื่อหรือว่าการกระทำเหล่านั้นของเจ้าจะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย?  เจ้ารู้สึกว่าการกระทำทั้งหลายของเจ้าเป็นไปในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และว่าการกระทำเหล่านั้นอยู่ฝ่ายวิญญาณ แต่ในความจริง การกระทำเหล่านั้นช่างไร้สาระทั้งสิ้น!  เจ้าเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้เจ้ายินดีและสิ่งที่เจ้าเต็มใจที่จะทำคือสิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงปีติยินดีเป็นแน่แท้  ความชอบทั้งหลายของเจ้าเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้หรือ?  บุคลิกลักษณะของบุคคลหนึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้หรือ?  สิ่งที่เจ้ายินดีก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงชิงชังพอดี และนิสัยทั้งหลายของเจ้าคือนิสัยเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงเกลียดและปฏิเสธพอดี  หากเจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ เช่นนั้นแล้ว จงไปอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่มีความจำเป็นที่จะพูดถึงการนั้นกับคนอื่นๆ  หากเจ้าไม่อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และกลับดึงความสนใจมาสู่ตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ต่อหน้าผู้อื่นแทน นี่จะสามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้หรือ?  หากการกระทำทั้งหลายของเจ้ามีจริงอยู่เสมอในการปรากฏภายนอกเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว นี่ก็หมายความว่าเจ้าไร้ประโยชน์อย่างสุดขั้ว  พวกที่เพียงดำเนินความประพฤติดีแบบผิวเผินและไร้ความเป็นจริงเป็นมนุษย์ลักษณะใดหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นก็เป็นแค่พวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดและบุคคลสำคัญทางศาสนาเท่านั้นเอง!  หากพวกเจ้าไม่สลัดการปฏิบัติภายนอกของพวกเจ้าทิ้งและไร้ความสามารถที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายได้ เช่นนั้นแล้ว องค์ประกอบเหล่านั้นของความหน้าซื่อใจคดในพวกเจ้าก็จะเติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก  ยิ่งองค์ประกอบของความหน้าซื่อใจคดของเจ้ามีมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีการต้านทานต่อพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ท้ายที่สุด ผู้คนเช่นนั้นก็ย่อมจะถูกกำจัดสิ้นอย่างแน่นอน!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในความเชื่อ คนเราต้องมุ่งความสนใจไปที่ความเป็นจริง—การมีส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาหาใช่ความเชื่อไม่

ก่อนหน้า:  6. การจำแนกความแตกต่างระหว่างผู้นำแท้กับผู้นำเท็จ และระหว่างผู้เลี้ยงแท้กับผู้เลี้ยงเท็จ

ถัดไป:  1. การรู้ที่มาของการต่อต้านของผู้คนที่มีต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger