1. การรู้ที่มาของการต่อต้านของผู้คนที่มีต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

เหตุผลที่มนุษย์ต่อต้านพระเจ้านั้น ในแง่หนึ่งมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา และในอีกแง่หนึ่งมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เกี่ยวกับพระเจ้าและความขาดพร่องความเข้าใจหลักการที่พระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจและน้ำพระทัยของพระองค์ที่ทรงมีให้กับมนุษย์  สองแง่มุมนี้เมื่อรวมกันแล้ว ก่อเกิดเป็นประวัติการต่อต้านพระเจ้าของมนุษย์  บรรดาผู้เชื่อซึ่งมาใหม่ต่อต้านพระเจ้าก็เพราะการต่อต้านเช่นนั้นมีอยู่ภายในธรรมชาติของพวกเขา ในขณะที่การต่อต้านพระเจ้าของบรรดาผู้ที่อยู่ในความเชื่อมาหลายปีเป็นผลลัพธ์มาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เกี่ยวกับพระองค์ บวกกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า

พระราชกิจของพระเจ้ากำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเสมอ และแม้ว่าเป้าประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง วิธีการซึ่งพระองค์ทรงใช้ในการปฏิบัติพระราชกิจนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่าบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าก็กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน  ยิ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจมากขึ้นเท่าใด ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าก็ยิ่งละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นเท่านั้น  การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายซึ่งสอดคล้องกันก็เกิดขึ้นในอุปนิสัยของมนุษย์โดยเป็นผลตามมาจากพระราชกิจของพระเจ้าเช่นกัน  อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพราะว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และบรรดาผู้คนสิ้นคิดซึ่งไม่รู้จักความจริงกลายเป็นผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า  พระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยสอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์เลย ด้วยเหตุที่พระราชกิจของพระองค์นั้นใหม่เสมอและไม่เคยเก่า และพระองค์ไม่เคยทรงปฏิบัติพระราชกิจเดิมซ้ำเลย แต่กลับทรงทะยานไปข้างหน้าด้วยพระราชกิจใหม่ซึ่งไม่เคยถูกทำมาก่อน  เนื่องจากพระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ และมนุษย์ตัดสินพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้าอยู่เป็นนิจศีลจากพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติไปในอดีต มันได้กลายเป็นยากเหลือเกินสำหรับพระเจ้าที่จะทรงดำเนินการแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของยุคใหม่  มนุษย์มีความลำบากยากเย็นมากมายเกินไป!  เขามีความคิดเชิงอนุรักษ์นิยมมากเกินไป!  ไม่มีใครรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า แต่กระนั้นทุกคนกลับจำกัดเขตพระราชกิจนั้น  เมื่อเขาละทิ้งพระเจ้า มนุษย์สูญเสียชีวิต ความจริง และพระพรของพระเจ้า แต่กระนั้นเขาก็ไม่ยอมรับชีวิตและความจริง นับประสาอะไรที่เขาจะยอมรับพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่าซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่มวลมนุษย์  พวกมนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะได้รับพระเจ้า แต่กระนั้นกลับไม่สามารถยอมผ่อนปรนต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในพระราชกิจของพระเจ้าได้  พวกที่ไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเชื่อว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เชื่อว่ามันจะยังคงหยุดนิ่งตลอดกาล  ในการเชื่อของพวกเขา ทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อที่จะได้รับความรอดชั่วนิรันดร์จากพระเจ้าคือการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ และตราบเท่าที่พวกเขากลับใจและสารภาพบาปของพวกเขา น้ำพระทัยของพระเจ้าจะเป็นที่พึงพอใจเสมอ  พวกเขามีความคิดเห็นว่าพระเจ้าสามารถเป็นได้เพียงพระเจ้าภายใต้ธรรมบัญญัติและพระเจ้าผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขนเพื่อมนุษย์เท่านั้น มันเป็นความคิดเห็นของพวกเขาอีกเช่นกันว่าพระเจ้าไม่ควรทรงและไม่สามารถกระทำเกินกว่าพระคัมภีร์ได้  ความคิดเห็นเหล่านี้นี่เองที่ได้ตีตรวนจองจำพวกเขาอย่างแน่นหนาเข้ากับธรรมบัญญัติยุคเก่า และตอกตรึงพวกเขาเข้ากับกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ตายไปแล้ว  มีผู้คนมากกว่านี้ด้วยซ้ำที่เชื่อว่า ไม่ว่าพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าจะเป็นอะไรก็ตาม มันต้องได้รับการยืนยันโดยการเผยพระวจนะ และเชื่อว่าในแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจดังกล่าว บรรดาทุกคนที่ติดตามพระองค์ด้วยหัวใจ “ที่แท้จริง” ก็จะต้องได้รับการเผยให้เห็นวิวรณ์เช่นกัน หากไม่เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจดังกล่าวก็คงไม่สามารถเป็นพระราชกิจของพระเจ้าไปได้  มันไม่ใช่งานง่ายอยู่แล้วสำหรับมนุษย์ที่จะได้มารู้จักพระเจ้า  เมื่อรวมเข้ากับหัวใจที่ไร้สาระของมนุษย์และธรรมชาติอันเป็นกบฏของเขาในความคิดว่าตนเองสำคัญเหนือผู้อื่นและความทะนงตนแล้ว ก็ยิ่งกลายเป็นยากขึ้นไปอีกสำหรับเขาที่จะยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า  มนุษย์นั้นทั้งไม่พินิจพิเคราะห์พระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วนและไม่ยอมรับมันด้วยความถ่อมใจ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับนำท่าทีของการดูหมิ่นมาใช้ขณะที่เขารอคอยวิวรณ์และการทรงนำจากพระเจ้า  นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของพวกที่เป็นกบฏต่อและต่อต้านพระเจ้าหรอกหรือ?  ผู้คนดังกล่าวสามารถได้รับการรับรองจากพระเจ้าได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?

เพราะมีพัฒนาการใหม่ๆ อยู่เสมอในพระราชกิจของพระเจ้า มีพระราชกิจที่กลายเป็นล้าสมัยและเก่าในขณะที่พระราชกิจใหม่เกิดขึ้น  พระราชกิจต่างชนิดเหล่านี้ เก่าและใหม่ก็ไม่ค้านแย้งกัน แต่เสริมกัน แต่ละขั้นตอนเป็นส่วนที่ต่อมาจากขั้นตอนล่าสุด  เพราะมีพระราชกิจใหม่ สิ่งเก่าๆ จึงต้องถูกกำจัดทิ้งไปอย่างแน่นอน  ยกตัวอย่างเช่น การปฏิบัติบางอย่างที่กำหนดให้มีมาช้านานและภาษิตทั้งหลายที่ติดเป็นนิสัยของมนุษย์ ควบคู่ไปกับประสบการณ์และการสอนในหลายปีของมนุษย์ได้ก่อให้เกิดลักษณะและรูปแบบของมโนคติที่หลงผิดทั้งหมดในจิตใจของมนุษย์  หนำซ้ำการที่พระเจ้ายังมิได้ทรงเปิดเผยพระพักตร์ที่แท้จริงและพระอุปนิสัยประจำตัวของพระองค์ต่อมนุษย์อย่างเต็มที่ ร่วมไปกับการแพร่กระจายของทฤษฎีดั้งเดิมจากสมัยโบราณมาตลอดหลายปี ก็ยังเป็นการเอื้ออำนวยมากขึ้นต่อการก่อเกิดมโนคติที่หลงผิดเช่นนั้นของมนุษย์  อาจกล่าวได้ว่า ตลอดครรลองแห่งความเชื่อของมนุษย์ในพระเจ้า อิทธิพลของมโนคติที่หลงผิดอันหลากหลายได้นำไปสู่การก่อรูปและวิวัฒนาการอันต่อเนื่องของความเข้าใจตามมโนคติที่หลงผิดทุกรูปแบบเกี่ยวกับพระเจ้าในผู้คน ซึ่งได้เป็นสาเหตุให้ผู้คนทางศาสนาจำนวนมากที่รับใช้พระเจ้ากลายเป็นศัตรูของพระองค์ไป  ดังนั้นยิ่งมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาของผู้คนรุนแรงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งต่อต้านพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งเป็นศัตรูของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  พระราชกิจของพระเจ้านั้นใหม่เสมอและไม่เคยเก่าเลย สิ่งนั้นไม่เคยก่อรูปเป็นคำสอน แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับกำลังเปลี่ยนแปลงและถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องในขอบเขตที่ไม่มากก็น้อย  การทรงพระราชกิจในหนทางนี้เป็นการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยประจำตัวของพระเจ้าเอง  นั่นยังเป็นหลักการประจำตัวแห่งพระราชกิจของพระเจ้าด้วย และเป็นหนึ่งในวิถีทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อสำเร็จลุล่วงการบริหารจัดการของพระองค์  หากพระเจ้ามิได้ทรงกระทำพระราชกิจในหนทางนี้ มนุษย์ก็คงจะไม่เปลี่ยนแปลงหรือสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าได้ และซาตานก็คงจะไม่มีอันปราชัยลงไป  ดังนั้น ในพระราชกิจของพระองค์ จึงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูเหมือนเอาแน่นอนไม่ได้ แต่อันที่จริงแล้วเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ  อย่างไรก็ตาม วิธีที่มนุษย์เชื่อในพระเจ้าช่างแตกต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว  เขาเกาะติดอยู่กับคำสอนและระบบทั้งหลายที่เก่าแก่และคุ้นเคย และยิ่งสิ่งเหล่านั้นเก่าแก่มากขึ้นเท่าใด สิ่งเหล่านั้นก็ยิ่งโอชะสำหรับเขามากขึ้นเท่านั้น  ความรู้สึกนึกคิดที่โง่เขลาของมนุษย์ ความรู้สึกนึกคิดที่หัวแข็งราวกับหินนั้น จะสามารถยอมรับพระราชกิจและพระวจนะใหม่ๆ ซึ่งแทบมิอาจหยั่งถึงได้เลยของพระเจ้าได้อย่างไร?  มนุษย์ชิงชังพระเจ้าผู้ทรงใหม่อยู่เสมอและไม่เคยเก่าเลย เขาชอบแต่เพียงพระเจ้าองค์ที่เก่าผู้ทรงพระทนต์ยาว พระเกศาขาว และติดอยู่กับที่  ดังนั้น ด้วยความที่พระเจ้าและมนุษย์ต่างก็มีสิ่งที่ตนเองชอบ มนุษย์จึงได้กลายเป็นศัตรูของพระเจ้า  ความค้านแย้งกันเหล่านี้ยังคงมีอยู่มากมายกระทั่งในทุกวันนี้ ในช่วงเวลาที่พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจใหม่มาโดยตลอดเกือบหกพันปีแล้ว  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงเกินเยียวยา…เจตนารมณ์ของพระเจ้าที่มีเสมอมาก็เพื่อที่จะให้พระราชกิจของพระองค์ใหม่และมีชีวิต ไม่ใช่เก่าและตายไปแล้ว และสิ่งที่พระองค์ทรงให้มนุษย์ยึดมั่นไว้นั้นก็แตกต่างกันไปตามยุคและช่วงเวลา และมิใช่คงอยู่ชั่วนิรันดร์กาลและเปลี่ยนแปลงไม่ได้  นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งผู้ทรงทำให้มนุษย์มีชีวิตและเป็นคนใหม่ แทนที่จะเป็นมารผู้ทำให้มนุษย์ตายและเป็นคนเก่า  พวกเจ้ายังไม่เข้าใจการนี้อยู่อีกหรือ?  เจ้ามีมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายเกี่ยวกับพระเจ้าและไม่สามารถที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้เพราะว่าเจ้ามีจิตใจที่ปิดกั้น  ไม่ใช่เพราะมีสำนึกรับรู้น้อยเกินไปภายในพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งไม่ใช่เพราะว่าพระราชกิจของพระเจ้าผิดแผกไปจากความปรารถนาทั้งหลายของมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าทรงหละหลวมอยู่เสมอในหน้าที่ทั้งหลายของพระองค์  เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของเจ้าได้เพราะเจ้าย่อหย่อนเกินไปในความเชื่อฟัง และเพราะเจ้าไม่มีสภาพเสมือนของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเลยสักนิด นั่นก็คือ ไม่ใช่เพราะพระเจ้ากำลังทรงทำให้สิ่งทั้งหลายลำบากยากเย็นสำหรับเจ้า  เจ้าได้เป็นต้นเหตุของทั้งหมดนี้และมันไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเลย นั่นก็คือ ความทุกข์และเคราะห์ร้ายทั้งมวลถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์  พระดำริทั้งหลายของพระเจ้านั้นดีงามเสมอ กล่าวคือ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะเป็นเหตุให้เจ้าผลิตมโนคติที่หลงผิดทั้งหลาย แต่ทรงปรารถนาให้เจ้าเปลี่ยนแปลงและได้รับการเริ่มใหม่เมื่อยุคทั้งหลายเคลื่อนผ่านไป  ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดดีสำหรับเจ้า และพินิจพิเคราะห์หรือไม่ก็วิเคราะห์อยู่เสมอ  มิใช่ว่าพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งทั้งหลายให้ลำบากยากเย็นสำหรับเจ้า แต่เป็นที่ว่าเจ้าไม่มีความเคารพต่อพระเจ้าเลย และความไม่เชื่อฟังของเจ้านั้นใหญ่หลวงเกินไป  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างขนาดเล็กจิ๋ว ซึ่งกล้านำเอาบางส่วนที่ไม่สลักสำคัญของสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้ก่อนหน้านี้ไป แล้วก็หันกลับมาและใช้สิ่งนั้นเพื่อโจมตีพระเจ้า—นี่มิใช่ความไม่เชื่อฟังของมนุษย์หรอกหรือ?  มันยุติธรรมแล้วที่จะกล่าวว่า เหล่ามนุษย์ไม่มีคุณสมบัติอย่างสิ้นเชิงที่จะแสดงทรรศนะทั้งหลายของตนออกมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะมีคุณสมบัติที่จะโอ้อวดภาษาที่สวยหรูแต่เน่าเหม็นไร้ค่าของพวกเขาไปทั่วตามที่พวกเขาปรารถนา—โดยไม่กล่าวถึงมโนคติที่หลงผิดขึ้นราเหล่านั้นเลย  มิใช่ว่าพวกเขายิ่งไร้ค่าขึ้นไปอีกหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้ที่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้เท่านั้นที่อาจรับใช้พระเจ้าได้

จงรู้ไว้ว่าพวกเจ้าต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้า หรือใช้มโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้าเองในการประเมินพระราชกิจของวันนี้ เพราะพวกเจ้าไม่รู้จักหลักการต่างๆ ของพระราชกิจของพระเจ้า และเพราะการปฏิบัติต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างหุนหันพลันแล่นของพวกเจ้า  การที่พวกเจ้าต่อต้านพระเจ้าและขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเกิดจากมโนคติอันหลงผิดและความโอหังแต่กำเนิดของพวกเจ้า  ไม่ใช่เพราะพระราชกิจของพระเจ้านั้นผิด แต่เพราะพวกเจ้าไม่เชื่อฟังเกินไปโดยธรรมชาติ  หลังจากที่พวกเขาได้พบการเชื่อในพระเจ้า ผู้คนบางคนก็ถึงกับไม่สามารถพูดด้วยความมั่นใจว่ามนุษย์ได้มาจากไหน กระนั้นพวกเขากล้าที่จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะเพื่อประเมินความถูกและความผิดของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขาถึงกับสั่งสอนบรรดาอัครทูตที่มีพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ความคิดเห็น และแย่งกันพูด สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาต่ำเกินไป และไม่มีสำนึกรับรู้ในพวกเขาแม้แต่น้อย  วันนั้นจะไม่มาถึงหรอกหรือเมื่อผู้คนเช่นนี้ถูกปฏิเสธโดยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถูกเผาด้วยไฟแห่งนรก?  พวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า แต่กลับวิจารณ์พระราชกิจของพระองค์แทน และยังพยายามอบรมพระเจ้าถึงวิธีทรงพระราชกิจอีกด้วย  ผู้คนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร?  มนุษย์มารู้จักพระเจ้าในระหว่างกระบวนการแสวงหาและการมีประสบการณ์ ไม่ใช่โดยผ่านทางการวิจารณ์ตามอำเภอใจว่ามนุษย์มารู้จักพระเจ้าโดยผ่านทางการทรงรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ยิ่งความรู้เรื่องพระเจ้าของผู้คนถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งต่อต้านพระองค์น้อยลงเท่านั้น  ในทางกลับกันยิ่งผู้คนรู้จักพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะต่อต้านพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  มโนคติที่หลงผิดของเจ้า ธรรมชาติเก่าของเจ้า และสภาวะความเป็นมนุษย์ ลักษณะนิสัย และทรรศนะด้านศีลธรรมของเจ้าเป็น “ทุน” ที่เจ้าใช้ในการต้านทานพระเจ้า และยิ่งศีลธรรมของเจ้าเสื่อมทรามมากขึ้นเท่าใด คุณภาพของเจ้าน่าเกลียดน่าชังมากขึ้นเท่าใด  และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าต่ำต้อยมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งเป็นศัตรูของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  พวกที่ถูกครอบงำโดยมโนคติที่หลงผิดอย่างแรงกล้า และที่มีอุปนิสัยเห็นตัวเองถูกเสมอจะยิ่งมีความเป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์มากขึ้นไปอีก ผู้คนเช่นนี้คือศัตรูของพระคริสต์  หากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกมันก็จะต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ เจ้าจะไม่มีวันเข้ากันได้กับพระเจ้า และจะอยู่ห่างจากพระองค์เสมอ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ต้นตอหรือไม่ว่าทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านพระเยซู?  พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ธาตุแท้ของพวกฟาริสีหรือไม่?  พวกเขาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์  ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงของชีวิต  และดังนั้น แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงรอคอยพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนทางแห่งชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางแห่งความจริงคืออะไร  พวกเจ้าพูดว่า ผู้คนที่โง่เขลา ดื้อรั้น และไม่รู้เท่าทันเช่นนั้นได้รับพรของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร?  พวกเขาต่อต้านพระเยซูเพราะพวกเขาไม่รู้ทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่รู้หนทางแห่งความจริงที่พระเยซูตรัส และยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระเมสสิยาห์  และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยพบเห็นพระเมสสิยาห์และไม่เคยได้ร่วมเคียงกับพระเมสสิยาห์ พวกเขาทำผิดพลาดที่ยึดติดกับเพียงแค่พระนามของพระเมสสิยาห์ ในขณะที่ต่อต้านเนื้อแท้ของพระเมสสิยาห์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้  โดยธาตุแท้แล้ว พวกฟาริสีเหล่านี้ดื้อรั้น โอหัง และไม่เชื่อฟังความจริง  หลักการของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือ ไม่สำคัญว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่ใช่พระคริสต์หากพระองค์ไม่ได้รับการขนานพระนามว่าพระเมสสิยาห์  การเชื่อนี้ไม่ได้โง่เขลาและไร้สาระน่าขันหรอกหรือ?  เราถามพวกเจ้าต่อไปอีกว่า  ด้วยความที่พวกเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเยซูเลยแม้แต่น้อย พวกเจ้าจะไม่ทำผิดพลาดอย่างพวกฟาริสีในช่วงยุคเริ่มแรกได้อย่างง่ายดายสุดขีดหรอกหรือ?  เจ้ามีความสามารถที่จะหยั่งรู้หนทางแห่งความจริงได้หรือไม่?  เจ้ามีความสามารถที่จะรับประกันได้อย่างแท้จริงหรือไม่ว่าเจ้าจะไม่ต่อต้านพระคริสต์?  เจ้ามีความสามารถที่จะติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่รู้ว่าเจ้าจะต่อต้านพระคริสต์หรือไม่ เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่าเจ้าก็กำลังใช้ชีวิตหมิ่นเหม่ใกล้ความตายแล้ว  ผู้ที่ไม่รู้จักพระเมสสิยาห์ต่างสามารถที่จะต่อต้านพระเยซู ปฏิเสธพระเยซู ใส่ร้ายป้ายสีพระองค์  ผู้คนที่ไม่เข้าใจพระเยซูล้วนสามารถที่จะปฏิเสธพระองค์และประณามพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสามารถมองเห็นการทรงกลับมาของพระเยซูว่าเป็นการหลอกลวงของซาตาน และผู้คนเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้นจะพากันกล่าวโทษพระเยซูผู้ที่ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนัง  ทั้งหมดนี้ไม่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกกลัวหรือ?  พวกเจ้าจะเผชิญกับการหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความย่อยยับที่พระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีต่อคริสตจักรทั้งหลาย และการบอกปัดทุกสิ่งที่พระเยซูทรงแสดงออก  เจ้าจะสามารถได้รับสิ่งใดจากพระเยซูหรือ หากพวกเจ้ามึนงงสับสนถึงเพียงนี้?  พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจพระราชกิจของพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงกลับมาสู่เนื้อหนังบนเมฆขาวได้อย่างไร หากพวกเจ้าปฏิเสธอย่างหัวดื้อไม่ยอมที่จะตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกเจ้า?  เราขอบอกพวกเจ้าถึงสิ่งนี้ว่า ผู้คนที่ไม่ได้รับความจริง แต่ยังรอการเสด็จมาถึงของพระเยซูบนเมฆขาวอย่างหูหนวกตาบอด จะหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอน และพวกเขาคือหมวดหมู่ที่จะถูกทำลาย  พวกเจ้าเพียงปรารถนาพระคุณของพระเยซู และเพียงต้องการชื่นชมอาณาจักรอันผาสุกแห่งสวรรค์ ทว่าพวกเจ้าไม่เคยเชื่อฟังพระวจนะที่พระเยซูตรัส และไม่เคยได้รับความจริงที่พระเยซูทรงแสดงเมื่อพระองค์ทรงกลับมาสู่เนื้อหนัง  พวกเจ้าจะยกสิ่งใดขึ้นมาแลกกับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเยซูทรงกลับมาบนเมฆขาว?  สิ่งนั้นก็คือความจริงใจที่พวกเจ้าทำบาปซ้ำๆ แล้วก็พูดคำสารภาพบาปของพวกเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ในนั้นใช่หรือไม่?  พวกเจ้าจะถวายสิ่งใดเพื่อพลีอุทิศให้แก่พระเยซูผู้ทรงกลับมาบนเมฆขาว?  สิ่งนั้นก็คือช่วงเวลางานหลายปีที่พวกเจ้าใช้ยกย่องตัวเองใช่หรือไม่?  พวกเจ้าจะยกสิ่งใดขึ้นมาทำให้พระเยซูผู้ทรงกลับมาไว้เนื้อเชื่อใจพวกเจ้า?  สิ่งนั้นคือธรรมชาติอันโอหังของพวกเจ้าที่ไม่เชื่อฟังความจริงใดเลยใช่หรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว

แหล่งที่มาของการต่อต้านและการเป็นกบฏต่อพระเจ้าของมนุษย์ก็คือความเสื่อมทรามของเขาโดยซาตาน  เพราะความเสื่อมทรามของซาตาน มโนธรรมของมนุษย์จึงได้ด้านชามากขึ้น เขาไม่มีศีลธรรม ความคิดของเขาเสื่อม และเขามีทัศนะทางจิตใจที่ล้าหลัง  ก่อนที่เขาจะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ได้ติดตามพระเจ้าโดยธรรมชาติและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์หลังจากที่ได้ยินพระวจนะเหล่านั้น  เขามีสำนึกรับรู้และมโนธรรมที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ  หลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม สำนึกรับรู้ มโนธรรม และสภาวะความเป็นมนุษย์ดั้งเดิมของมนุษย์ก็ทึบเขลาและถูกซาตานทำให้เสื่อมลง  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้สูญเสียความเชื่อฟังและความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า  สำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้กลายเป็นผิดปกติวิสัย อุปนิสัยของเขาได้กลายเป็นเช่นเดียวกับอุปนิสัยของสัตว์ตัวหนึ่ง และความเป็นกบฏของเขาต่อพระเจ้าก็เกิดขึ้นบ่อยขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก กระนั้นก็ตามมนุษย์ยังคงไม่รู้และไม่ระลึกถึงการนี้ได้ และเพียงต่อต้านและเป็นกบฏอย่างมืดบอด  อุปนิสัยของมนุษย์ถูกเผยในการแสดงออกทั้งหลายของสำนึกรับรู้ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และมโนธรรมของเขา เพราะสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของเขานั้นไม่น่าไว้ใจ และมโนธรรมของเขาได้มึนชายิ่งนัก ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของเขาจึงเป็นกบฏต่อพระเจ้า…

การเปิดเผยถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ไม่ได้มีแหล่งที่มาอยู่ในสิ่งใดมากไปกว่ามโนธรรมที่ทึบเขลาของมนุษย์ ธรรมชาติอันมุ่งร้ายของเขา และสำนึกรับรู้อันไม่น่าไว้ใจของเขา หากมโนธรรมและสำนึกรับรู้ของมนุษย์สามารถกลายเป็นปกติได้อีกครั้ง เขาก็ย่อมจะกลายเป็นใครบางคนซึ่งเหมาะสมสำหรับการใช้งานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เป็นเพียงเพราะมโนธรรมของมนุษย์นั้นด้านชามาตลอด และเพราะสำนึกรับรู้ของมนุษย์ ซึ่งไม่เคยถูกต้อง กำลังทึบเขลายิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนมนุษย์กำลังเป็นกบฏต่อพระเจ้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ว่าเขากระทั่งได้ตรึงพระเยซูบนกางเขนและไม่ยอมให้การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเข้าสู่พระนิเวศของพระองค์ และกล่าวโทษเนื้อหนังของพระเจ้า และมองเนื้อหนังของพระเจ้าว่าต่ำต้อย  หากมนุษย์เพียงมีสภาวะความเป็นมนุษย์เล็กน้อย เขาคงจะไม่โหดร้ายถึงเพียงนั้นในการปฏิบัติของเขาต่อเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า หากเขาเพียงมีสำนึกรับรู้เล็กน้อย เขาคงจะไม่ชั่วช้าถึงเพียงนั้นในการปฏิบัติของเขาต่อเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ หากเขาเพียงมีมโนธรรมเล็กน้อย เขาคงจะไม่ “ขอบคุณ” พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในหนทางนี้  มนุษย์ใช้ชีวิตในยุคสมัยของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ กระนั้นเขายังไม่สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงมอบโอกาสที่ดีเช่นนี้ให้เขา และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับสาปแช่งการเสด็จมาของพระเจ้า หรือเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และดูเหมือนว่าจะต่อต้านข้อเท็จจริงนั้นและเบื่อหน่ายข้อเท็จจริงนั้น  ไม่ว่ามนุษย์จะปฏิบัติต่อการเสด็จมาของพระเจ้าอย่างไร สรุปสั้นๆ คือ พระเจ้าได้ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์อย่างอดทนเสมอมา—แม้ว่ามนุษย์ไม่เคยต้อนรับพระองค์เลยแม้แต่น้อย และทำการร้องขอจากพระองค์อย่างหูหนวกตาบอด  อุปนิสัยของมนุษย์ได้กลายเป็นชั่วช้ายิ่งนัก สำนึกรับรู้ของเขาทึบเขลายิ่งนัก และมโนธรรมของเขาได้ถูกมารร้ายเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิงและไม่ได้เป็นมโนธรรมดั้งเดิมของมนุษย์มานานแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

ก่อนหน้า:  7. ความแตกต่างระหว่างความประพฤติดีภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

ถัดไป:  2. ในการค้นหาหนทางอันแท้จริง เจ้าต้องครองไว้ซึ่งเหตุผล

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger